ราคาฝัน # 35
แบบแปลนปึกใหญ่ถูกสองหนุ่มรุ่นพี่รุ่นน้องช่วยกันจัดชุดเข้าเล่มอยู่ภายในห้องถ่ายเอกสารเล็กแคบของบริษัท กลิ่นอับชื้นอันเนื่องมาจากอากาศไม่ถ่ายเทที่ลอยเข้าจมูกมาเรื่อยๆไม่ได้เป็นอุปสรรคต่อการทำงานแต่อย่างใด
เป็นเพราะความกะทัดรัดของสถานที่ ข้อศอกของพวกเขาจึงขยับมาชนกันอยู่เป็นระยะอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
“มึงอย่ามายืนเบียดกูได้ไหม” โกวิทบ่นออกมาเสียงห้วนขณะที่มือและสายตาก็ยังไม่ละออกจากกระดาษแผ่นใหญ่ตรงหน้าไปไหน
“ตัวผมจะติดผนังแล้วนะครับพี่โก๋..ไม่ได้เบียดสักหน่อย” เด็กหนุ่มกล่าวเสียงแห้ง เขาน่ะพยายามทำตัวให้ลีบเล็กที่สุดเท่าที่สรีระจะเอื้ออำนวยแล้ว แต่โกวิทต่างหากที่ตัวใหญ่เกินไปจนทำให้รอบกายมันดูอึดอัดขนาดนี้ “..พี่นั่นแหละที่เบียดผม..”
ได้ยินดังนั้นคนถูกโบ้ยความผิดก็กระทุ้งข้อศอกใส่สีข้างของเจ้าหนูปากดีเป็นการมอบโทษในทันที แต่ทั้งที่เขามั่นใจมากว่าไม่ได้ลงแรงหนักจนเกินไป เด็กหนุ่มกลับยังสะดุ้งขึ้นสุดตัวราวกับว่าร่างกายของเขามีหนามแหลมงอกออกมาทิ่มเนื้อตัวมันเข้าอย่างไรอย่างนั้น
“มึงบ้าจี้?” โกวิทเอ่ยถามออกไปโดยที่สองมือก็หยุดสาละวนกับกระดาษปึกหนาตรงหน้าลงชั่วคราว รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ปรากฏขึ้นบนใบหน้าดุดันในตอนนั้นเอง
ต้นตระการไม่ยอมตอบคำถาม เด็กหนุ่มเพียงทำหูทวนลมและก้มหน้าก้มตาทำงานของตนต่อไปเงียบๆ ซึ่งพอได้เห็นแบบนั้นคนเป็นรุ่นพี่ก็ยิ่งนึกสนุกยื่นปลายนิ้วจิ้มเข้าไปที่สีข้างของเจ้าหนูข้างกายอีกครั้ง และคราวนี้ร่างผอมบางนั่นก็สะดุ้งขึ้นอย่างแรงตามที่เขาคาดการณ์ไว้จริงๆ
“มึงบ้าจี้จริงด้วย” สถาปนิกรุ่นพี่กล่าวพร้อมเสียงหัวเราะชอบอกชอบใจ
“พี่โก๋ ผมไม่เล่น”
รอยยิ้มสนุกสนานปรากฏขึ้นบนใบหน้าที่ปกติมักดูดุดันอยู่เสมอ โกวิทไม่ใส่ใจจะฟังคำทัดทานจากคนเป็นรุ่นน้องแม้สักนิด เขาวางมือลงจากงานอย่างง่ายดายเพื่อที่จะได้จิ้มเอวเด็กหนุ่มเล่นอีกสักทีสองที
“..ม..ไม่เอา..ฮะๆ..หยุดนะ หยุดๆ..ผมไม่เล่น” ต้นตระการร้องห้ามด้วยความยากลำบากพลางสองมือก็ขยับปัดป้องหน้าท้องของตัวเองเป็นพัลวัน
แม้ตอนแรกตั้งใจว่าจะแกล้งเพียงเล็กน้อยแค่พอหอมปากหอมคอ หากแต่เมื่อได้เห็นปฏิกิริยาตอบรับจากอีกฝ่ายแล้วโกวิทกลับหยุดตัวเองไม่ได้
...ทำงานด้วยกันมาตั้งหลายสัปดาห์แต่เขาไม่เคยเห็นต้นตระการหัวเราะอย่างเต็มเสียงแบบนี้มาก่อน...
...ดูสิ อ้าปากเสียกว้าง...
...ดวงตาใต้กรอบแว่นคู่นั้นก็หยีเสียจนแทบปิดสนิท...
“พี่โก๋!..ฮะๆๆๆ..ผมเหนื่อย!.พ..พอเหอะ..ฮะๆๆๆ”
เสียงหัวเราะของคนทั้งสองดังก้องไปทั่วห้องเล็กแคบที่มีเพียงเฟอร์นิเจอร์และเครื่องใช้อื่นๆเพียงไม่กี่ชิ้นห้องนี้อย่างต่อเนื่อง ร่างของต้นตระการดิ้นขลุกขลักติดผนังโดยมีโกวิทยืนประกบไว้ในระยะประชิด ฝ่ายคนอายุมากกว่ารู้สึกสนุกกับสิ่งที่กำลังทำจนลืมไปเสียสนิทว่าตอนนี้พวกเขายืนกันอยู่ที่ไหน
...ลืมแม้กระทั่งว่าไอ้หนูนี่มันเป็นลูกเต้าเหล่าใคร...
“ไอ้โก๋!” สุ้มเสียงอันคุ้นเคยที่ดังขึ้นมาจากทางหน้าประตูห้องเรียกให้คนเป็นเจ้าของชื่อสะดุ้งโหยง โกวิทกระโดดเหยงจนตัวลอยห่างจากเด็กหนุ่มออกมาเป็นฟุต สองมือหนาใหญ่ชูขึ้นข้างศีรษะด้วยท่าทางที่ไม่ต่างอะไรกับเวลาผู้ร้ายถูกตำรวจเล็งปืนใส่
“..ว..ว่าไงป๋า!?..” ชายหนุ่มละล่ำละลักขานรับในทันที พอลองจินตนาการภาพที่เจ้านายที่เคารพจะได้เห็นจากมุมหน้าประตูแล้วจู่ๆเหงื่อกาฬมันก็เริ่มซึมชื้นออกมาตามไรหน้าผากเสียได้
...ก็จากมุมนั้นน่ะ ภาพมันคงดูล่อแหลมไม่เบา...
...เผลอๆอาจเห็นแค่แผ่นหลังของเขาเพียงคนเดียวด้วยซ้ำ ร่างผอมบางของเจ้าเด็กนี่คงถูกบังมิดไปหมด...
“แกล้งอะไรหลานกูวะ? เดินผ่านหน้าห้องได้ยินเสียงมันร้องซะดังลั่น” ต้อมเดินเข้ามาหาคนหนุ่มทั้งสองด้วยสีหน้าเต็มไปด้วยคำถาม ความเรียบร้อยของพ่อหลานรักเป็นสิ่งแรกที่สถาปนิกรุ่นใหญ่ไล่สายตาสำรวจ “แล้วทำไมหน้ามันแดงขนาดนี้?”
“พี่โก๋จี้เอวผมครับกู๋ บอกให้หยุดก็ไม่ฟัง..เหนื่อยจะตายอยู่แล้ว” ได้ทีเด็กหนุ่มรีบฟ้องผู้ปกครองพลางหอบหายใจโกยอากาศกลับเข้าปอดด้วยจังหวะถี่กระชั้น ส่วนคนถูกแฉความผิดก็ได้แต่ลอบถลึงตาใส่เงียบๆเท่านั้น
“เอ้ไอ้นี่..แก่กว่าเป็นรอบยังจะไปแกล้งมันอีก กูไว้ใจว่าดูแลดีนะโว้ยเลยเอามาฝาก นี่อะไร..เล่นหลานกูสนุกเป็นเฟอร์บี้เชียว เดี๋ยวเหอะ..เดี๋ยวกูโบกสักที”
สองมือของคนถูกต่อว่ายกขึ้นประกบกันตรงหน้าก่อนขยับขึ้นขยับลงปลกๆ ตามไรหน้าผากยังคงมีเม็ดเหงื่อเกาะพราวอยู่เหมือนเก่า “โทษทีป๋า..ผมแค่ตั้งใจจะแหย่มันเล่นเฉยๆ..ไม่ได้กะเอาตายหรอกน่า”
ได้ฟังดังนั้นคนเป็นหัวหน้าก็ส่ายศีรษะไปมาเบาๆ “แล้วระหว่างเวลางานน่ะก็ตั้งใจทำงาน ไม่ใช่มาแอบเล่นกันเป็นเด็กๆ”
“โอเคๆ...ไม่เล่นแล้ว มาๆไอ้แว่น เรามาตั้งใจทำงานกันต่อดีกว่า กู๋มึงจะแดกหัวกูอยู่แล้วเนี่ย” โกวิทว่าเช่นนั้นก่อนจะรีบหันกลับไปหยิบจับเอกสารตรงหน้าขึ้นมาไว้ในมืออีกครั้ง
สถาปนิกหนุ่มรอให้อากู๋คนดีของต้นตระการเดินออกจากห้องไปก่อนแล้วจึงค่อยพ่นลมผ่านริมฝีปากออกมา ดวงตาคู่คมเหลือบมองเจ้าเด็กที่ตอนนี้กำลังอมยิ้มดั่งผู้ชนะด้วยท่าทางขุ่นเคือง
“มึงนะมึง..ขี้ฟ้องเป็นบ้า”
ต้นตระการส่งเสียงหัวเราะออกมาน้อยๆ “ก็ถ้าพี่โก๋ไม่แกล้งผมก่อน ผมก็ไม่มีอะไรให้ฟ้องหรอก”
“แหม พอกู๋มาช่วยล่ะปากเก่งจังนะ คอยดูแล้วกัน กู๋มึงเผลอเมื่อไหร่มึงโดนดีแน่”
...ขู่ไปอย่างนั้นแหละ...
...ที่จริงเมื่อครู่ในใจรู้สึกอย่างไร เขาก็ตระหนักดีอยู่ทุกขณะ...
สมัยก่อนที่จะมาแอบชอบจินดา โกวิทก็เคยมีฟงมีแฟนเหมือนอย่างคนอื่นเขาอยู่บ้างเหมือนกัน ไอ้โมเม้นต์เมื่อสักครู่นี้มันให้ความรู้สึกเหมือนกับตอนเจอพ่อฝ่ายหญิงไม่มีผิด
...กระอักกระอ่วนจนไม่กล้าสบตา...
...ตั้งแต่ทำงานที่นี่มาไม่เคยมีครั้งไหนที่เขาทั้งเกรงทั้งกลัวเจ้านายที่เคารพมากเท่าครั้งนี้มาก่อนเลย...
...ซึ่งความรู้สึกแบบที่ว่ามันเกิดขึ้นได้อย่างไรโกวิทก็ยังหาที่มาที่ไปไม่เจอ...
๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐
...ยังไม่ชิน...
...ผ่านมาเป็นสัปดาห์แล้วก็ยังทำตัวให้ชินกับสถานะคนรักไม่ได้สักที...
จินดากดรหัสปลดล็อคประตูเพนต์เฮาส์ด้วยความคล่องมือ นับตั้งแต่วันแรกที่ตกลงคบกับธีรชาติเขาก็ยังไม่ได้กลับไปนอนที่ห้องของตัวเองเลยแม้แต่คืนเดียว จะมีแวะไปบ้างก็เพียงเพื่อจ่ายค่าเช่าให้คุณลุงเจ้าของบ้านและหยิบข้าวของที่ต้องการออกมาเท่านั้น
...ใช้ชีวิตเหมือนผัวเมียเข้าไปทุกทีแล้ว...
หากจะพูดกันถึงเรื่องที่ว่าใครเป็นผัวใครเป็นเมียนั้น อันนี้สถาปนิกหนุ่มคงต้องก้มหน้ายอมรับทั้งน้ำตาว่าตัวเขานี่แหละที่รับบทฝ่ายถูกกระทำ ตัดสินเอาง่ายๆจากโพสิชั่นบนเตียงในคืนนั้นอย่างไร
...ทีนี้...
...ปัญหาที่ตามมาหลังจากได้รับตำแหน่งคือ มันเป็นกันยังไงวะไอ้ตำแหน่งนี้น่ะ?...
เกิดมาจินดาเคยแต่ต้องเทคแคร์ผู้หญิง ไปรับไปส่ง ปกป้องดูแล พูดคะพูดขาด้วย พอถูกสลับบทบาทมาเป็นอย่างนี้แล้วก็เลยมึนงงถึงขั้นไปไม่เป็นเลยทีเดียว
ชายหนุ่มนึกย้อนอดีตไปถึงช่วงที่ตนมีคนรัก คำตอบที่พยายามควานหาจากความทรงจำคือในเวลานั้นท่าทีแบบไหนของอีกฝ่ายที่ทำให้ตัวเขาในฐานะผู้ชายปลาบปลื้มจนตัวแทบลอย
...อยากจะให้ธีรชาติมีช่วงเวลาแบบที่ว่าบ้าง...
...ในเมื่อตกลงเริ่มต้นความสัมพันธ์กันแล้วเขาก็อยากจะทำในส่วนของตัวเองให้ดี...
ภายในห้องยามนี้เงียบสงัดและมืดมิด ผู้บริหารคนดังบอกจินดาไว้ตั้งแต่เมื่อวานแล้วว่าวันนี้จะกลับมืดเป็นพิเศษ
สถาปนิกหนุ่มกดสวิทช์ให้ไฟติดก่อนจะเดินลึกเข้ามาในตัวห้อง สัมภาระที่พกกลับมาจากออฟฟิศถูกวางลงบนโต๊ะอาหารอย่างที่เขามักทำเป็นประจำ
กระดาษโน๊ตแผ่นน้อยที่นอนนิ่งอยู่กลางพื้นโต๊ะคือสิ่งที่ดึงสายตาเขาไว้ได้ในทันที ลายมือเป็นระเบียบเรียบร้อยของธีรชาติปรากฏอยู่บนนั้น
จินดาไม่รอช้าเอื้อมมือไปหยิบมันขึ้นมาอ่านดูเนื้อความ
‘ถ้าจินว่างช่วยเปิดดู LIVE ในเพจของ LINKER หน่อยสิ’
.
.
แสงแฟลชวูบวาบที่สาดเข้าหน้ามาสร้างความอึดอัดให้นักธุรกิจหนุ่มได้อีกครั้ง แม้จะเจอบรรยากาศอย่างนี้อยู่บ่อยๆแต่ก็ไม่เคยทำใจให้ชอบได้เลยสักที
ธีรชาติห่างหายจากการถูกนักข่าวรุมล้อมมาพักใหญ่ หลังจากที่ความสัมพันธ์ระหว่างเขาและรมิตาจบลงไปเมื่อหลายเดือนก่อนชายหนุ่มก็พยายามหลีกเลี่ยงการพบปะนักข่าวสายบันเทิงพวกนี้เพราะขี้เกียจต้องมายืนปั้นคำพูดเพื่ออธิบายถึงสถานะระหว่างตัวเขาและหญิงสาว
...แต่วันนี้ คงถึงเวลาสมควรแล้วที่เขาต้องเคลียร์ตัวเองได้สักที...
ผู้บริหารคนดังและนางเอกสาวออกมายืนคู่กันอยู่หน้าแบ็คดร็อปหลังจบงานตามคิวที่ฝ่ายพีอาร์ได้สัญญากับพวกนักข่าวไว้เป็นมั่นเป็นเหมาะ คำถามหลักๆที่บรรดาสื่อมวลชนยิงเข้ามาคือ ‘ยังรักกันดีหรือไม่?’
รมิตาซึ่งยืนยิ้มอยู่ข้างกายชายหนุ่มเหลือบมองไปทางเขาราวกับต้องการประเมินท่าที ดูเหมือนว่าคราวนี้เธอจะไม่กล้าเปิดปากตอบอะไรออกไปฉะฉานเท่ายามฉายเดี่ยวอีกแล้ว คงกลัวเหลือเกินว่าอีกฝ่ายจะแย้งกันออกสื่อขึ้นมา
“ไม่ได้โดนจ่อไมค์นาน ตื่นเต้นจนเหงื่อแตกไปหมดเลยครับ ดูที่ขมับผมสิ” ผู้บริหารคนดังกล่าวติดตลกขึ้นมาด้วยท่าทางไม่ถือตัว “ยังไงวันนี้ใจดีกับผมหน่อยนะ ถามกันเบาๆพอ”
ถ้อยคำจากนักธุรกิจหนุ่มเรียกเสียงหัวเราะจากบรรดาคนฟังไปได้หนึ่งครืนเล็กๆ บรรยากาศการสัมภาษณ์ดูจะผ่อนคลายลงมากพอสมควร
“คุณชาติช่วยยืนยันความสัมพันธ์กับน้องใบตองนิดนึงได้ไหมคะ? ยังสวีทกันเหมือนเดิมหรือเปล่า?” คำถามจากหนึ่งในกลุ่มสื่อมวลชนดังย้ำขึ้นมาอีกครั้งหลังจากเสียงหัวเราะโดยรอบสงบลง
“..ถามว่าสวีทเหมือนเดิมไหม..คือตอนนี้ผมกับใบตองเราเป็นแค่เพื่อนกันแล้ว คงใช้คำว่าสวีทไม่ได้หรอกครับ” ผู้บริหารคนดังกล่าวพร้อมรอยยิ้มหล่อเหลา ดวงตาคู่คมเหลือบมองอาการหญิงสาวข้างกายแวบหนึ่ง “แต่ว่าความสัมพันธ์ระหว่างเขากับลิงเกอร์ฯก็ยังเหมือนเดิมนะ ยังสนับสนุนกันและกันไปเรื่อยๆ..ใช่ไหมครับ?”
รมิตาคลี่ยิ้มกว้างรับคำถามที่ถูกส่งต่อมาจากชายหนุ่มตามลักษณะท่าทางที่ควรแสดงยามอยู่ต่อหน้าสื่อ แต่ในฐานะคนเคยคบธีรชาติก็พอมองเห็นวี่แววแห่งความไม่พอใจจากดวงตาของเจ้าหล่อนได้จางๆ
“ค่ะ ทางลิงเกอร์ฯยังให้การสนับสนุนตองอย่างดีที่สุด ตองเองก็จะตั้งใจทำหน้าที่ของตองให้ดีต่อไปเหมือนกัน”
“เลิกกันมานานขนาดไหนแล้วคะตอง?”
คราวนี้หญิงสาวมีอาการอ้ำอึ้งเล็กน้อย แต่เพียงเสี้ยวพริบตาเดียวเธอก็ปรับท่าทีให้กลับมาดูสุขุมได้เหมือนอย่างเก่า “..ก็..สักพักหนึ่งแล้วค่ะ..”
“เป็นเดือนหรือยังคะ?”
“..อืม..ก็..เป็นเดือนแล้วมั้ง..”
เมื่อคำตอบจากรมิตาไม่เคลียร์นัก สื่อฯจากสำนักเดิมจึงเบนคำถามไปทางธีรชาติแทน “กี่เดือนแล้วคะคุณชาติ?”
“เกือบแปดเดือนแล้วครับ” คำตอบที่ชัดเจนของธีรชาติเรียกเสียงฮือฮาจากคนรอบวงไปได้เป็นอย่างดี
“แต่ครั้งที่แล้วที่เราเจอกันน้องตองยังให้สัมภาษณ์อยู่เลยไม่ใช่เหรอคะว่าความสัมพันธ์กับคุณชาติยังดีอยู่เหมือนเดิม ที่เจอกันครั้งนั้นก็เมื่อเดือนที่แล้วนี้เอง”
ธีรชาติยืนนิ่งรอฟังว่ารมิตาจะตอบอย่างไร
...เป็นอย่างที่คิด เธอแสดงอาการอึกอักออกมาอย่างเห็นได้ชัด...
“..คือ..ตอง..ไม่ได้ตั้งใจจะปิดพี่ๆนักข่าวนะคะ เพียงแต่..ตองเองก็ยังไม่ค่อยแน่ใจ..สถานะมันยังคลุมเครือ..”
“คำว่าคลุมเครือของตองในที่นี้น่าจะหมายถึงคลุมเครือในแง่ของการทำงานน่ะครับ แต่เรื่องเลิกไม่เลิกเราชัดเจนกันมาตั้งแต่เมื่อแปดเดือนก่อนแล้ว” ธีรชาติเสริมต่อขึ้นมาในทันที “คือต้องเข้าใจว่านอกจากเรื่องของความสัมพันธ์ส่วนตัว ผมกับเขาก็ยังต้องติดต่อกันในฐานะพรีเซ็นเตอร์แล้วก็เจ้าของแบรนด์ที่ว่าจ้างอยู่ ตัวเขาไม่ได้มีเจตนาจะปิดบัง..ใช่ไหมตอง? เพียงแต่คงกลัวว่าถ้าตอบอะไรเยอะเกินไปแล้วมันอาจจะส่งผลกระทบกับตัวแบรนด์แล้วก็การทำงานได้ ส่วนหนึ่งต้องถือว่าเป็นความผิดของผมด้วยที่ไม่เคยตกลงเรื่องนี้กับเขาให้ดีก่อน”
...ไม่ได้มีเจตนาจะฉีกหน้าอดีตคนรัก...
...แม้จบกันไปไม่สวยนักแต่ก็ไม่เคยคิดจะทำแบบนั้น...
...เพียงแต่หากเขาไม่พูดเรื่องระยะเวลาออกไปให้ชัดเจนแล้ว จินดาคงไม่พ้นถูกครหาว่าเป็นมือที่สาม...
ธีรชาติเจอกับสถาปนิกหนุ่มในวันที่เลิกรากับหญิงสาวมาแล้วประมาณสามเดือน ถ้ามีใครว่างพอมานั่งไล่ไทม์ไลน์ชีวิตเขาดูก็คงได้พบว่าจินดานั้นเข้ามาในวันที่เขาไม่มีใครอยู่ข้างกายจริงๆ
“ที่จริงมีอีกเรื่องหนึ่งครับที่ผมอยากจะขอกับน้องๆนักข่าว” นักธุรกิจคนดังเปิดปากขึ้นมาอีกครั้ง “ก่อนหน้านี้ผมยอมให้สัมภาษณ์กับนักข่าวสายบันเทิงบ้างเพราะเห็นตองเป็นดารา แต่วันนี้ผมเคลียร์ชัดแล้วว่าสถานะระหว่างผมกับเขาเป็นยังไง ก็เลยอยากจะแจ้งน้องๆว่าหลังจากนี้ผมขอกลับไปอยู่แค่ในมุมของข่าวธุรกิจเหมือนเดิมนะครับ..คงไม่มีความจำเป็นที่สังคมต้องรับรู้เรื่องส่วนตัวของผมแล้ว..สำหรับที่ผ่านมาต้องขอบคุณทุกคนมากที่น่ารักกับผมมาโดยตลอด ยังไงวันนี้ผมขอตัว..”
“เดี๋ยวค่ะคุณชาติ” นักข่าวรายหนึ่งรีบตะโกนรั้งไว้ในทันทีเมื่อเห็นว่าผู้บริหารคนดังตั้งท่าจะเดินออกจากหน้าแบ็คดร็อปไป
ชายหนุ่มหันกลับมาหากล้องจำนวนนับสิบตัวอีกครั้ง
“ครับ?”
“เรื่องที่มีคนใกล้ชิดลือว่าแฟนใหม่คุณชาติเป็นผู้ชายนี่เป็นความจริงหรือเปล่าคะ?”
คราวนี้ธีรชาติคลี่ยิ้มเสียกว้าง ดวงตาคู่คมกวาดมองบรรดาสื่อมวลชนไปรอบวงอย่างไม่รีบร้อนนักราวกับต้องการสื่อสารผ่านภาษากาย
“..ผมได้พูดในส่วนที่ผมจำเป็นต้องพูดไปครบแล้ว อะไรที่นอกเหนือจากนี้ผมขอเก็บไว้เป็นเรื่องส่วนตัว..” นักธุรกิจหนุ่มกล่าวชัดถ้อยชัดคำก่อนปรายตามองหญิงสาวข้างกายเพียงครู่สั้นๆ “..ขอตัวก่อนนะครับ..”
สิ้นพยางค์สุดท้ายธีรชาติก็เดินจากวงสัมภาษณ์ไปตามที่พูด
...แว่วเสียงนักข่าวถามหาสาเหตุของการเลิกราเอาจากรมิตา...
...ชื่อของพระเอกหนุ่มที่เคยตกเป็นประเด็นกับเธอก่อนหน้านี้ก็ถูกพูดถึงขึ้นมาเช่นกัน...
ไม่มีความจำเป็นที่ธีรชาติต้องใส่ใจอีกต่อไป คำถามเหล่านั้นไม่ใช่ส่วนที่เขาจะต้องมาเค้นสมองช่วยคิดหาคำตอบดีๆ
...เคยทำอะไรไว้ก็หาทางเคลียร์เอาเองแล้วกัน...
.
.
