สุดต๊อง หัวใจกุ๊กกิ๊ก ตอนจบ 10/06/2018 หน้า 4
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: สุดต๊อง หัวใจกุ๊กกิ๊ก ตอนจบ 10/06/2018 หน้า 4  (อ่าน 17223 ครั้ง)

ออฟไลน์ ตีสี่

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 412
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-5
    • 61'
จบมื้อเที่ยงวันนั้น สุดฟ้ากลับมาที่ห้องพักเพื่อเก็บข้าวของก่อนกลับเมืองไทย แน่นอนว่าก่อนเดินทางไปยังสถานที่ที่ไม่รู้จักเขาต้องเตรียมตัวให้พร้อม เขานัดหมายเจ้าชายฟาลิฮ์ไว้ว่าจะเดินทางไปที่ฮัชดาลลาร์สัปดาห์หน้า ส่วนแผนการณ์ที่เคยคิดไว้ก่อนหน้านี้ คงไม่จำเป็นต้องใช้อีกแล้ว

“ผมไปด้วย”ชวิศาร้องบอกทันทีที่พูดว่าจะกลับประเทศไทยแล้ว

“ก็ได้อยู่ แต่นายต้องไปขออนุญาตพี่ชายนายก่อน”สุดฟ้าพูดไปอย่างนั้นแหละ รู้อยู่แล้วว่าต่อให้โยธินขัดขวาง ชวิศาก็คงตามเขากลับไปอยู่ดี ชายหนุ่มมองชวิศาที่ยกโทรศัพท์ขึ้นมากดโทรออก เห็นล้งเล้งใส่ปลายสายอยู่ครู่เดียวก็วางสาย สุดฟ้าจึงหันหลังว่าจะไปบอกลาดีน มอร์แกนเสียหน่อย ชายหนุ่มร่างเล็กกว่าจึงตามมาเกาะแขนเขาไว้ทันที ส่วนอีกข้าง เอมมิกาก็เกาะเขาไม่ปล่อยตั้งแต่เขาก้าวเท้าเข้ามาในห้อง

นับว่าเป็นช่วงเวลาที่แปลกและตื่นเต้นดีเหมือนกันละนะ ตอนที่กลายมาเป็นที่ต้องการของสังคมแบบนี้ มีสาวสวยอกสะบึมกับผู้ชายหน้าสวยมายื้อแย่ง อ่อ...ที่สำคัญได้ทดลองเป็นไบเซ็คชวลด้วย แต่เขาเป็นพวกอยู่อย่างสงบสุขมานาน ถึงอยากจะให้ชีวิตมีเรื่องน่าตื่นเต้น แต่สุดฟ้าก็ปรารถนาช่วงเวลาอันสงบสุขเสียมากกว่า

“เอมมิกา อา...หรือผมควรจะเรียกคุณว่าซาเบียดีละ”สุดฟ้าหันไปถามหญิงสาว แต่เธอยังคงแสดงสีหน้างุนงง

“ผมตกลงกับเจ้าชายได้แล้วครับ อาทิตย์หน้ากำลังจะไปฮัชดาลลาร์แล้วด้วย ถ้าอย่างไรวันนี้ขอเชิญคุณกลับไปหาเจ้าชายก่อนดีไหมครับ”เขาพูดพร้อมรอยยิ้ม

“คุณพูดเรื่องอะไรค่ะฟ้า”เธอถามกลับ หน้าตาที่แสดงออกถึงความไม่เข้าใจยังคงเหมือนเดิมโดยไม่เปลี่ยนแปลงสักนิด ชายหนุ่มร่างสูงถอนหายใจ ถ้าเจ้าชายไม่ใจร้อนสั่งให้คนมาขโมยของที่บ้าน สุดฟ้าคิดว่าตนเองก็ยังคงไม่รู้หรอกว่า เอมมิกาเป็นสายของฝ่ายนั้น เขาจึงหันไปถามชวิศา

“ชวิศารู้ไหมว่าเจ้าชายฟาลิฮ์พักอยู่ห้องไหน พาไปหาหน่อยได้ไหม”

“อืม ได้ครับ”ชวิศาเองก็มีท่าทางแปลกใจกับคำพูดของเขาเหมือนกัน และเมื่อได้รับคำตอบชายหนุ่มพร้อมสองคนที่เกาะเขาเป็นลูกลิงจึงเดินตรงไปที่ลิฟต์

ชวิศาล้วงการ์ดสีทองที่อยู่ในกระเป๋าเสื้อออกมาเสียบเข้ากับช่องใส่การ์ดบนแผงกดในลิฟต์ บนจอแสดงสถานะถามหาหมายเลขรหัส ชายหนุ่มเจ้าของการ์ดลงหมายเลขลงไปอย่างคล่องแคล่ว ก่อนจะระบุชั้นที่ต้องการให้ลิฟต์เคลื่อนที่ไปถึง ใช้เวลาไม่นานนักลิฟต์ก็เคลื่อนที่มาถึงชั้นเป้าหมาย

คราวนี้ชวิศาก้าวเท้าเดินนำหน้าทั้งที่ยังกอดแขนของเขาไว้แน่น จึงเหมือนว่ากำลังลากให้เขาเดินตาม เมื่อมาถึงบานประตูห้องหนึ่ง ร่างเล็กบางก็กดออดหน้าห้อง อีกครู่ต่อมาประตูตรงหน้าจึงถูกเปิดออก ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ในชุดสูทสีดำยืนอยู่ตรงหน้า

“มิสเตอร์สุดฟ้า ศิริกรต้องการขอพบเจ้าชายครับ”ชวิศาพูดเป็นภาษาอังกฤษ

ประตูบานนั้นถูกปิดลงอีกครั้ง คราวนี้พวกเขายืนรออีกครู่ใหญ่กว่าประตูจะถูกเปิด สุดฟ้าได้รับคำอนุญาตให้เข้าไปในห้องได้ เขาจึงรุนหลังให้ชวิศาเดินผ่านประตูเข้าไปก่อน ภายในห้องนั้นกว้างราวๆห้าสิบตารางวา ถูกจัดตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์ครบชุด มองผ่านหน้าต่างบานกระจกออกไป สุดฟ้าเห็นว่ามีสระว่ายน้ำอยู่นอกระเบียง

เจ้าชายฟาลิฮ์เดินออกมาจากอีกห้องหนึ่ง พลางเอ่ยปากทักทายแย้มพระสรวลให้เขาทันทีที่เห็นหน้า

“สวัสดีครับ มีอะไรหรือครับ”

“อ่อ ผมพาลูกน้องของเจ้าชายมาส่งคืนครับ”สุดฟ้าเอ่ยธุระของตนออกมาทันที เจ้าชายฟาลิฮ์ทอดพระเนตรมองใบหน้าแต้มยิ้มของชายหนุ่มคู่สนทนาอย่างพิจารณา ก่อนจะแสร้งเป็นเหลือบสายพระเนตรมองทั้งชวิศาและเอมมิกา ขณะชั่งพระทัยว่าควรจะยอมรับตามตรงหรือแกล้งทำเป็นไม่รู้

“คุณไม่ชอบเธอหรือครับ”ในที่สุดพระองค์ก็ตัดสินพระทัยยอมรับออกมาตามตรง โดยคาดหวังว่าถ้าตนมอบความจริงใจให้ อีกฝ่ายน่าจะมอบความจริงใจกลับมาให้พระองค์เช่นเดียวกัน

“เอ่อ... ก็ดีครับ สวยตรงสเป็คทุกอย่าง”

ชวิศาได้ยินแล้วรู้สึกไม่ชอบใจอย่างที่สุด เหลือบตาขึ้นมองหน้าชายหนุ่มร่างสูงก่อนเขม่นส่งสายตาข่มขู่ไปยังคู่อริที่ยังคงลอยหน้าลอยตาอยู่เช่นเดิม

“แต่ผมไม่อยากมีปัญหาทีหลัง”สุดฟ้าเหลือบสายตามองคนที่เขาไม่อยากมีปัญหาด้วยที่ยังคงจ้องเอมมิกาอย่างไม่ลดละ เชื้อพระวงศ์หนุ่มพยักพระพักตร์อย่างเข้าใจ

“ซาเบีย ยกเลิกภารกิจ”

“ค่ะ”หญิงสาวขานเสียงตอบรับ ก่อนจะถอยหลังออกห่างจากชายหนุ่มร่างสูงไปหนึ่งก้าว

“แล้วเรื่องของที่คนของผมขโมยไป”เจ้าชายตรัสถาม

“อ่อ... ไม่เป็นไรครับ ผมไม่ได้ใช้แล้ว ส่วนเรื่องไฟล์ ผมคิดว่าคนของเจ้าชายน่าจะยังปลดล็อกไม่ได้”

สุดฟ้าพูดออกมาได้ถูกต้องราวกับตาเห็น เจ้าชายฟาลิฮ์ทรงดำริอยู่ในพระทัย และนับว่าเป็นความโชคดีอย่างยิ่งที่อีกฝ่ายมางานเลี้ยงฉลองวันพระราชสมภพของพระองค์ ทั้งยังตอบรับคำเชิญเลี้ยงอาหารเที่ยง ไม่เช่นนั้น พระองค์ก็ยังคงจนหนทางอยู่เช่นเดิม

“แล้วไว้เจอกันอาทิตย์หน้านะครับ”สุดฟ้ากล่าวเช่นนั้นก่อนจะหมุนตัวหันหลังกลับ เดินออกจากห้องพลางลากชวิศาที่ยังเขม่นมองซาเบียไม่เลิก

พอออกมายืนนอกห้อง พ้นสายตาคนอื่นแล้ว ชวิศาเอ่ยปากถามออกมาเป็นภาษาไทยทันที

“ระหว่างผมกับแม่นั่น คุณสุดฟ้าชอบใครมากกว่ากันครับ”คนถามตีสีหน้าจริงจังเสียจนเขาอดที่จะยกยิ้มไม่ได้

“อืม ใครดีน๊า”เขาว่าพลางทำหน้าครุ่นคิด ก่อนจะหันมามองหน้าอีกฝ่ายและยกยิ้มเจ้าเล่ห์ ก้มหน้าลงไปใกล้แล้วพูดเสียงเบา “ถ้ายอมออนท็อปแล้วร่อนสะโพกอย่างเซ็กซี่ๆให้ดูสักรอบคงจะตอบได้”

“อ๊ะ”ชวิศาหน้าแดงขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ความร้อนแล่นลามขึ้นศีรษะจนคิดอะไรไม่ออกพลันก้มหน้าหลบสายตาแพรวพราวของชายหนุ่มร่างสูงตรงหน้า “ปกติก็ไม่เคยขัดอยู่แล้วนะ” ชายหนุ่มร่างเล็กพูดเสียงเบาไม่แพ้กัน รู้สึกเขินอายมากขึ้น ก่อนจะต้องจำยอมเงยหน้าขึ้นมาตามแรงมือที่ประคองอยู่ข้างแก้ม หลับตาลงเมื่อที่สุดฟ้าเคลื่อนใบหน้าเข้ามาใกล้ ในหัวใจของเขาเต้นตึกตักเสียงดัง จากนั้นความรู้สึกนึกคิดทุกอย่างก็ไปกองรวมอยู่กับความนุ่มหยุ่นที่สัมผัสอยู่บนริมฝีปาก หวิววาบในช่องท้องจนแทบทรงตัวยืนไม่อยู่ ชวิศาจึงยกมือยึดเสื้อของสุดฟ้าไว้พลางบอกตัวเองให้หายใจเข้า

“ชวิศา”เสียงเรียกชื่อทำให้เขาสะดุ้งลืมตา ทันเห็นสุดฟ้าเหลือบตามองเลยไปทางด้านหลัง ก่อนชายหนุ่มจะผละออกห่างอย่างเชื่องช้า ชวิศาหันมอง เห็นโยธินเดินหน้าเครียดมาแต่ไกล จึงได้ขยับตัวไปหลบอยู่ด้านหลังของสุดฟ้า

“ผมจะกลับเมืองไทยกับคุณสุดฟ้า”ชวิศาพูดบอกไปอีกรอบ

“พี่ไม่อนุญาต”โยธินปฏิเสธเสียงแข็ง

“แต่คุณย่าอนุญาตแล้ว”

“อย่าโกหกนะ”

“ไม่เชื่อพี่ลองโทรถามคุณย่าเลย”ชวิศาพูด ตอนที่โยธินหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดโทรออก เขาก็พยายามลากพาสุดฟ้าให้เดินหนี แต่คนเป็นพี่ชายไม่ยอมปล่อยให้เขาหนีไปง่ายๆ ฝ่ายนั้นยื่นมือมาจับต้นแขนของเขาไว้

ขณะที่หูกำลังฟังเสียงที่ดังออกมาจากโทรศัพท์ สายตาของโยธินก็กำลังจับจ้องอยู่ที่น้องชาย ชวิศาทำหน้างอไม่พอใจเขาแต่พอสุดฟ้ายื่นมือมาบีบจมูก ก็หันไปสนใจชายหนุ่มร่างสูงที่ตนยืนเกาะแขนไม่ปล่อยทันที พลางสะบัดหน้าหนีมือนั้นแต่มีรอยยิ้มอยู่เกลื่อนใบหน้า ไม่ต่างกับอีกคนที่ทอดสายตามองน้องชายของเขาด้วยความอ่อนโยน

“มีอะไรถึงโทรหาย่าได้ละเนี่ย”เสียงถามจากปลายสายเป็นภาษาฝรั่งเศส น้ำเสียงฟังดูแปลกใจที่เขาโทรหา โยธินจึงกรอกเสียงกลับไปเป็นภาษาเดียวกัน

“เรื่องซีนะครับ”ยังพูดไม่ทันจบประโยคอีกฝ่ายก็กล่าวแทรกขึ้นมาทันที

“น้องโตแล้วนะโย ปล่อยน้องไปบ้างเถอะ ย่ารู้ว่าหลานห่วงน้อง แต่พวกเราไม่สามารถปกป้องเขาไปได้ตลอดหรอกนะ ขนาดลภัสยังไม่หวงห้ามตามติดเท่าหลานเลย”คนพูดพูดด้วยน้ำเสียงเหนื่อยหน่ายใจ แต่คนฟังอดที่จะรู้สึกน้อยใจไม่ได้ ก็เขาเลี้ยงของเขามา จะปล่อยให้ใครหน้าไหนมาพรากไปง่ายๆได้อย่างไร

“ตอนที่ย่ายุให้เรารวบหัวรวบหาง เราก็ไม่ยอมทำ”โยธินได้แต่ตอบกลับไปในใจว่า เขารักชวิศามากแต่ก็ใช่จะมีอารมณ์พิศวาสด้วยเสียหน่อย ถ้าสมมติว่าวันหนึ่งเขาไปเจอผู้หญิงที่ใช่ขึ้นมา ก็จะกลายเป็นเขาเองนั่นสิที่ทำให้น้องชายเสียใจ

ชายหนุ่มบอกลาก่อนจะกดวางสาย

“เรานะ จะกลับไปเมืองไทย ไม่ไปเก็บเสื้อผ้าหรือไง”

ชวิศายิ้มกว้างโผเขามากอดเขา “รักพี่โยที่สุดเลย” เขายกมือขึ้นลูบศีรษะน้องชาย และเหลือบตาขึ้นมองหน้าชายหนุ่มอีกคน ให้ตายเถอะ ไม่ว่าอย่างไรก็ทำใจให้ชอบไอ้หมอนี่ไม่ได้จริงๆ

+++++โปรดติดตามตอนต่อไป+++++

ออฟไลน์ ตีสี่

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 412
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-5
    • 61'
*//อาทิตย์ที่แล้วมาสาย อาทิตย์นี้มาเย็น แถมยังเขียนได้สั้นๆ ไม่อยากจะคิดถึงอาทิตย์หน้าเลยอ่ะ//*

ตอนที่สิบสอง

สุดฟ้ามองคนที่นั่งอยู่หน้าทีวีด้วยความหงุดหงิด บนหน้าจอโทรทัศน์ยังคงฉายซีรี่ย์เกาหลี พอชวิศาร้องทักและเดินเข้าไปหา ฝ่ายนั้นถึงได้หันมามองและโผเข้ากอดทำราวกับไม่ได้เจอกันมาสักสามสี่ชาติ ซ้ำยังสนิทสนมกันอย่างแปลกๆ พอพูดทักออกไป จึงได้รับคำตอบกลับมาว่า

“เค้าคุยกันตลอดแหละ”

“คุย?”จะหาว่าเขาโง่ก็ได้นะ แต่มาริเอะไม่มีโทรศัพท์ แล้วสองคนนี้จะมาคุยกันตลอดได้อย่างไร

“คุณมาริจะโทรมาคุยกับผมครับ”

“ผมไม่ได้ใช้เซิร์ฟเวอร์กลางต่อออกข้างนอกนะ ถามสเตบาสเตียนได้”มาริเอะออกตัว เพราะเซิร์ฟเวอร์กลางมีโปรแกรมควบคุมการทำงานในบ้าน ซ้ำยังเก็บข้อมูลอีกหลายอย่าง การเชื่อมต่อทุกอย่างล้วนอยู่ในการควบคุมดูแลของสเตบาสเตียน และเช่นเดียวกัน การเชื่อมต่อที่แทรกแซงจากอุปกรณ์อื่นอาจจะส่งผลต่อโปรแกรมควบคุมได้

สุดฟ้ารู้อยู่แล้วว่ามาริเอะคงไม่ได้ใช้เซิร์ฟเวอร์กลาง ไม่เช่นนั้นสเตบาสเตียนคงจะรายงานเขาแล้ว ถึงแม้ว่ามาริเอะจะมีสิทธิ์ออกคำสั่งกับสเตบาสเตียนได้ แต่ขอบข่ายคำสั่งต้องไม่เกี่ยวข้องกับระบบที่หุ่นยนต์พ่อบ้านดูแลอยู่ ดังนั้นคงมีทางเดียวที่ทำให้มาริเอะติดต่อกับชวิศาได้ หุ่นยนต์สมองกลอย่างมาริเอะคงจะใช้เอ็กซ์เทอร์นอลโมเด็มแฮ็กเบอร์โทรศัพท์ในเครือข่ายแล้วโทรหาชวิศา

“ทำไมนายถึงไม่โทรผ่านแอพเคชั่นติดต่อสื่อสารละ”

“อ่ะ นั่นสิ”มาริเอะทำหน้าเหมือนว่าเพิ่งนึกขึ้นได้ “ผมขอโทษครับ แต่ผมใช้เบอร์ของด็อกเตอร์นะครับ”

สุดฟ้าถอนหายใจ ฝ่ายชวิศาที่พอจะเข้าใจได้ลางๆจึงยกโทรศัพท์ขึ้นมาดู เพราะบนหน้าจอไม่เคยปรากฏเบอร์ โทรให้เห็น เขาจึงไม่เคยโทรกลับ กระนั้นมาริเอะก็มักจะโทรมาหาเขาตอนที่เขาอยากพูดคุยกับใครสักคนทุกครั้ง

“ชวิศากับสเตบาสเตียน ไปซื้อกับข้าวสำหรับวันนี้มาก่อนแล้วกัน ฉันจะปรับแก้มาริเอะหน่อย แล้วก็เตรียมของสำหรับเดินทางไปฮัชดาลลาร์วันอังคารหน้า”

เจ้าของบ้านพูดพลางรุนหลังมาริเอะให้เดินไปทางห้องทำงาน

“ให้ผมไปด้วยใช่ไหมครับ”ชวิศาถาม

“แน่นอน ไปกันหมดนี่แหละ ฉันไม่ปล่อยให้ใครอยู่บ้านแล้วเอาแต่นั่งดูซี่รี่ย์หรอก”

“แหม แล้วจะให้ผมทำอะไรละ งานที่ด็อกเตอร์ให้ทำผมก็ทำเสร็จแล้วอ่ะ”

“ไม่มีอะไรให้ทำก็เข้าเซฟโหมดไปซิ มานั่งดูโทรทัศน์ให้เปลืองค่าไฟทำไม”สุดฟ้าพูดบ่นจนกระทั่งหายเข้าไปหลังบานประตูห้องทำงาน

ชวิศามองตามด้วยหัวใจที่แช่มชื่นมีความสุข ถึงความจริงที่ว่ามาริเอะเป็นคนรักของสุดฟ้าจะยังคงอยู่ แต่เขากลับยังคงมีความสุข เขาหันไปหาคุณพ่อบ้านและชักชวนกันออกไปซื้อของ แต่ยังไม่ทันพ้นจากหน้าบ้าน รถยนต์คันหรูของสองพี่น้องสุวราลักษณ์มาจอดเทียบเสียก่อน

สองพี่น้องลงมาจากรถแล้วถลาเข้ามาหาหุ่นยนต์พ่อบ้านทันที “สเตบาสเตียน ดีใจจังที่นายกลับมา” ว่าพลางกอดหมับอย่างพร้อมเพรียง

“หิวข้าว อยากกินข้าว”

“ทำอะไรให้กินหน่อย”

ชวิศาหัวเราะกับสาเหตุที่สองคนนั้นคิดถึงคุณพ่อบ้าน “ผมกับคุณสเตบาสเตียนกำลังจะไปซื้อของมาทำกับข้าวกันครับ”

“ดีเลย เดี๋ยวเราไปส่ง”ธัชนนท์บอก

“แล้วจะกันหมดหรือครับ”ชวิศาถามเมื่อเห็นเดย์กับน้ำยืนอยู่ไม่ห่าง

“ก็ให้สเตบาสเตียนขับ ซีก็นั่งหน้า แล้วพวกฉันสี่คนนั่งข้างหลังเอง”

ชวิศายังมีท่าทางลังเล แต่แฝดผู้น้องเดินไปเปิดประตูรถ แล้วแฝดผู้พี่ก็ดันให้เขาไปนั่งที่เบาะหน้า หุ่นยนต์พ่อบ้านจึงเดินไปเปิดประตูฝั่งคนขับ เป็นจังหวะเดียวกับที่สองพี่น้องสุวราลักษณ์เปิดประตูที่นั่งตอนหลังและเข้าไปด้านใน ทันทีที่ประตูรถปิดสนิท สเตบาสเตียนจึงใส่เกียร์และเหยียบคันเร่งให้รถยนต์คันหรูเคลื่อนที่

สเตบาสเตียนขับรถยนต์มาจอดยังตลาดสดที่เขาสองคนมาด้วยกันบ่อยๆ เป็นตลาดที่อยู่ห่างจากหมู่บ้านไม่ไกล ระยะทางประมาณเดินให้เหงื่อออก พี่น้องสุวราลักษณ์บ่นอุบออกมาทันทีที่เห็นสภาพตลาดเพราะทั้งสองคนต่างอยู่ในชุดสูทเต็มยศ

“ไม่ต้องลงไปก็ได้ครับ ผมซื้อของไม่นาน”ชวิศาพูดพลางยิ้มให้

“ไม่ละ ไหนๆก็มาแล้ว”ฝาแฝดคนน้องบอกขณะถอดสูทปลดเนคไท ขัดแขนเสื้อมากองอยู่แถวข้อศอก หันไปมองคนพี่กลับเตรียมพร้อมอยู่ข้างรถยนต์แล้ว ชวิศาโคลงศีรษะก่อนจะก้าวเท้าเดินนำ สเตบาสเตียนเดินเข้ามาใกล้ ยื่นมือมารับตระกร้าในมือไปถือไว้เอง

“ทำอะไรดีละครับ”ชายหนุ่มถามคุณพ่อบ้าน

“ตารางเมนูเป็นต้มยำ ผัดผัก ชะอมชุบไข่กับน้ำพริกครับ”
สเตบาสเตียนมีรายการอาหารอยู่ในฐานข้อมูลเป็นร้อยชนิด โดยจัดเรียงลำดับเพื่อเลือกมาทำโดยไม่ให้ซ้ำกันในแต่ละวัน นอกเหนือจากเมนูพิเศษที่สุดฟ้าหรือคุณผู้ชายทั้งสองจากบ้านสุวราลักษณ์ต้องการทาน

“ต้มยำทะเลน้ำข้น หน่อไม้ผรั่งผัดกุ้ง ชะอมชุบไข่กับน้ำพริกเหมือนเดิม”

“หมึกนึ่งน้ำมะนาว”

“กุ้งแช่น้ำปลา”

“เอาปลาดุกผัดเผ็ดด้วย”สองพี่น้องบอกรายการอาหารอีกสองสามอย่างเพิ่มเติม แต่พอถึงเวลาที่เดินผ่านร้านไหน ฝาแฝดกลับแวะซื้อของเสียทุกร้าน

“พอเถอะครับ เดี๋ยวจะเหลือทิ้งเสียเปล่าๆ”

“ไม่เหลือหรอกน่า สำหรับทำกับข้าวของมือเช้ากับมื้อกลางวันพรุ่งนี้”

“นี่ก็สำหรับทำขนม”ธัชนนท์ชูถุงใส่เผือกใส่แป้งให้เขาดู เห็นหน้าคนพูดแล้วเขาได้แต่อ่อนใจ จำใจพยักหน้ารับและออกปากสำทับไม่ให้ซื้ออะไรเพิ่มอีก จังหวะนั้น เสียงโทรศัพท์ของชวิศาก็ดังขึ้น แม้เบอร์ที่ปรากฏอยู่บนหน้าจอจะเป็นเบอร์ที่เขาไม่ได้บันทึกชื่อ กระนั้นชวิศาก็กดรับสาย

“สวัสดีครับ”

“ติดแล้ว แน่นอนสิ จะตื่นเต้นอะไร
ชวิศานิ่งฟังอย่างงุงงง เพราะเหมือนว่าปลายสายจะไม่ได้คุยกับเขา ทั้งยังมีเสียงคนอื่นพูดแทรก

“ผมมาริครับ คุณชวิศาซื้อของถึงไหนแล้วครับ ให้ผมไปช่วยไหม”

“ไม่ต้องครับ นี่ก็จะกลับแล้ว”

“อย่างนั้นรีบกลับมาเร็วนะครับ”


ดังนั้น ชวิศาจึงชวนทุกคนกลับบ้านพร้อมกับช่วยกันหอบหิ้วของสดมามากมายเต็มสองมือ

“โอ๊ะ กลับมาแล้วหรือครับ”

“เฮ้ย!!!”ทั้งธัชนนท์และธัชนันท์ร้องออกมาพร้อมกันเมื่อเห็นหน้าเจ้าของคำพูดนั้น

“ตกใจอะไร จำผมไม่ได้หรือครับ ถ้าอย่างนั้นผมขอแนะนำตัวอีกครั้งนะครับ ผมมาริครับ”

ไม่ใช่ว่าจำไม่ได้ แต่ไม่คิดว่าทั้งสองคนจะมาอยู่พร้อมหน้ากันแบบนี้ “อ่า... เอ่อ... ยังไงดีละ” ชวิศาเลิกคิ้วมองอย่างสงสัย “ยังไงอะไรหรือครับ”

“นั่นสิเนอะ ว่าแต่เราไปทำกับข้าวกันดีกว่าครับคุณชวิศา ปล่อยสองคนนี้อ่าเอ่อกันต่อไปเถอะช่วยเอาข้าวของทั้งหมดไปวางไว้ในครัวด้วยนะครับ”ประโยคหลังมาริเอะหันไปสั่งสองหนุ่มที่ยังยืนนิ่งอยู่ที่เดิม แล้วหันไปคุยชายหนุ่มผู้ซึ่งเป็นเจ้าของร่างต้นแบบของตนเรื่องรายการอาหารวันนี้

“โค-ตรเหมือนคนจริงๆ”ธัชนันท์พูดออกมา “ทั้งแววตาทั้งอารมณ์ในน้ำเสียง พี่เห็นไหม”

“เออ เห็นแล้ว”

“พี่ว่าเราสองคนยอมจ่ายเงินให้สุดฟ้าปรับปรุงเดย์กับน้ำให้ดีไหม”เขาสองคนเดินตามเข้าไปวางของบนโต๊ะทานอาหารในครัว เอ่ยปากสั่งให้หุ่นยนต์ของตนเป็นลูกมือช่วยทำกับข้าว จากนั้นจึงเดินกลับออกมาทรุดตัวลงนั่งบนโซฟาหน้าทีวีเพื่อคุยเรื่องนี้กันต่อ

“ฉันว่าคงโดนเก็บย้อนหลังค่าหุ่นทั้งตัวแน่เลยว่ะ”แฝดคนพี่พูดพลางกดรีโมทหาช่องรายการ และหัวข้อที่พูดคุยก็เปลี่ยนไปเรื่อยๆ จนอาหารทุกอย่างเสร็จเรียบร้อย ชัธนันท์ไปถึงโต๊ะอาหารเป็นคนแรก

“รอก่อนนะครับ อย่าเพิ่งทาน”
ถึงชวิศาจะบอกว่าอย่าเพิ่งทาน แต่สองพี่น้องก็ถือช้อนกับส้อมไว้ในมือเตรียมพร้อมลงมือทานทันทีที่เจ้าของบ้านมาถึง

“มาเร็วแท้ ฉันเพิ่งบ้านเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนเอง”

“ถ้าแกใช้บริการเครื่องบินของอาอาร์ม ข่าวมันก็ต้องไวเป็นธรรมดา”พอสเตบาสเตียนวางจานข้าวตรงหน้า ธัชนันท์ก็จ้วงปลาหมึกนึ่งน้ำมะนาวทันที

“ว่าแต่คุณแอมหายไปไหนว่ะ ไปด้วยกันไม่ใช่เหรอ”ธัชนนท์ถามบ้าง

“คืนไปแล้ว”

“หือ อธิบายให้เคลียร์หน่อยดิ”

สุดฟ้ายิ้มรับเมื่อชวิศาตักต้มยำแยกใส่ถ้วยเล็กๆมาให้ “ก็พอดีว่าเธอเป็นคนของเจ้าชายฟาลิฮ์ แล้วบังเอิญเจอกันพอดีเลยคืนให้”

“อือ”ธัชนันท์รีบเคี้ยวข้าวที่อยู่ในปากและกลืนลงไปอย่างรวดเร็วก่อนจะพูดว่า “ว่าแล้วเชียว ประวัติว่าเป็นนักเขียน แต่มีหนังสือออกมาสองสามเล่ม แถมยังไม่ใช่หนังสือดัง ยังว่าอยู่ทำไมใช้ของแบรนด์ทั้งตัว”
สุดฟ้าพยักหน้ารับ ไม่ออกความคิดเห็น

“เจ้าชายฟาลิฮ์ที่ว่านี่ หมายถึงรัชทายาทของฮัชดาลลาร์ใช่ไหม”

“ไม่รู้ดิ”สุดฟ้าตอบ ชวิศาจึงกล่าวต่อไปว่า “ใช่ครับ เพิ่งมีการประกาศไปเมื่อไม่นาน”

“แล้วจู่ๆแกไปเจอได้ยังไงว่ะ”

“คุณสุดฟ้าไปร่วมงานฉลองวันคล้ายวันพระราชสมภพของเจ้าชายครับ แล้วจะไปฮัชดาลลาร์วันอังคารที่จะถึงนี้ด้วย”ชวิสาพูดพร้อมรอยยิ้ม

“เฮ้ย!!!”สองพี่น้องร้องตะโกนออกมาจนพวกเขาตกใจ “ไปด้วย”

“ไม่ได้”สุดฟ้าเองก็ปฏิเสธเสียงแข็ง “ฉันไปทำงานไม่ได้ไปเที่ยวสักหน่อย” แม้ว่าจะเที่ยวให้ทั่วก่อนแล้วค่อยลงมือทำงานก็ตาม

“ใจร้ายว่ะ”แฝดคนน้องหน้างอ

“แกลืมไปแล้วเหรอว่าพวกฉันเป็นเพื่อนกับแกมาตั้งแต่เด็ก เพื่อนกันนะเว้ย ยามทุกข์ก็ทุกข์ด้วยกัน ยามสุขแกจะมีความสุขคนเดียวเหรอ”ธัชนนท์พูดต่อ แต่โดนเจ้าของบ้านตบมุขจนหงายเงิบ

“มันเคยมีเหตุการณ์แบบนั้นด้วยเหรอว่ะ ไม่ยักจะจำได้”

“มีสิมี แกจะให้ฉันเล่าเรื่องไหนละ ความจำของแกออกจะดี เรื่องแบบนี้ไม่น่าจะจำไม่ได้เลยนะ”

“พอๆ พอเถอะ หยุดพูดได้แล้ว พวกแกก็ต้องทำงาน เอาไว้ว่างๆค่อยไปใหม่ละกัน”สุดฟ้าพูดตัดบทไปแค่นั้น ฝาแฝดสุวราลักษณ์จึงยิ่งหน้างอ กระนั้นก็ซัดกับข้าวบนโต๊ะเสียเกลี้ยงฉาดก่อนจะยอมกลับไปทำงานต่อ

สุดฟ้าส่งรายละเอียดรายการของที่จะเตรียมไปให้สเตบาสเตียน ก่อนจะพาตัวเองเข้าไปขังอยู่ในห้องทำงานอีกครั้ง

“ให้ผมช่วยอะไรไหมครับ”ชวิศาขันอาสา ถามหุ่นยนต์พ่อบ้านที่ถือกระดาษรายการอยู่ในมือ มาริเอะชะโงกหน้ามาดูสิ่งที่สุดฟ้าเขียนไว้ แล้วจึงหันไปบอกชายหนุ่มที่หน้าตาเหมือนตนว่า

“ไม่ต้องหรอกครับ ของพวกนี้ให้สตบาสเตียนจัดการไปดีกว่า ขืนเราไปยุ่งสุ่มสี่สุ่มห้าอาจจะโดนบ่นได้”

“ตามที่คุณมาริว่านั่นแหละครับ ของพวกนี้ผมจัดการเอง ไม่นานก็เสร็จ”ก่อนจะขอตัวเดินตามเจ้าของบ้านไปในห้องทำงาน
ทั้งมาริเอะและชวิศาจึงว่างงาน

“เล่นเกมกันไหมครับ ไม่อย่างนั้นก็ดูซีรี่เกาหลีกันเถอะ”

ชวิศาจึงยกยิ้มเลือกดูซีรี่ย์เกาหลีอย่างไม่ลังเล ในเมื่อเขาเองก็เล่นเกมไม่เก่งอยู่แล้วนี่นา






“เก็บของในตู้เย็นออกให้หมดนะ”สุดฟ้าเอ่ยทวนซ้ำอีกรอบ ขณะที่พวกเขาตรวจดูและชักปลั๊กไฟพวกอุปกรณ์ไฟฟ้าภายในบ้าน สเตบาสเตียนเข็นกล่องกันกระแทกซึ่งอยู่บนรถเข็นออกไปจอดรอไว้หน้าบ้าน และกลับเข้ามายกกระเป๋าเสื้อผ้าอีกรอบ

“เรียบร้อยครับ ทำความสะอาดตู้เย็นไว้เรียบร้อยแล้วด้วย”ชวิศารายงานตอนที่เดินมาสบทบกับชายหนุ่ม

“อืม สเตบาสเตียนตัดระบบควบคุมของนายให้เหลือแค่การเชื่อมต่อกับเซิร์ฟเวอร์กลาง”

หุ่นยนต์พ่อบ้านยืนนิ่งไปครู่หนึ่งและพูดต่อไปว่า“ตัดการเชื่อมต่อเรียบร้อยครับ”

สุดฟ้าเดินเข้าไปในสวนด้านข้างบ้าน หยุดยืนและทรุดตัวลงนั่งชันเข่าตรงหน้าผนังที่ซ่อนแผงควบคุมด้านนอก กดมือลงบนผนังเพื่อให้ฝาครอบเปิดออกมา เสียบสายส่งข้อมูลจากดิจิตอลไลท์มอนิเตอร์เข้ากับพอร์ตเล็กๆบนแผงควบคุม จากนั้นจึงสั่งรันโปรแกรม ชัตเตอร์ซึ่งถูกติดตั้งเหนือหน้าต่างซึ่งเป็นกระจกรอบบ้านค่อนเคลื่อนที่ลงมา แม้ว่ากระจกที่เขาใช้จะเป็นกระจกเซฟตี้ แต่ถ้าใช้อุปกรณ์เฉพาะ มันก็ถูกเจาะให้เป็นช่องได้ หลังจากลงรหัสล็อกประตู เขาจึงตัดระบบไฟในบ้านทั้งหมดให้เหลือเฉพาะเซิร์ฟเวอร์ที่เชื่อมต่ออยู่กับสเตบาสเตียนเท่านั้น สุดท้ายเขาลองปรับเวลาเพื่อทดสอบระบบสปริงเกอร์ในสวน เมื่อจัดการทุกอย่างเรียบร้อย ชายหนุ่มจึงเดินกลับมารวมกลุ่มกับคนอื่น มองเห็นชวิศาและมาริเอะยืนคุยกันอยู่แต่ไกล
วันนี้ทั้งสองคนอยู่ในชุดเสื้อคอกลมแขนสั้นสีฟ้า สกรีนลายคิกขุแมนตัวการ์ตูนสุดโปรดของเขา สวมทับด้วยเอี๊ยมยีนส์ขาสั้นเหนือเข่า สวมรองเท้าผ้าใบ ทั้งคู่แต่งตัวเหมือนกันจนแยกไม่ออกว่าใครเป็นใคร พอเห็นเขาเดินเข้าไปหา ก็หันไปยกยิ้มให้กัน ก่อนจะมาวิ่งวนอยู่รอบตัวเขา

“เล่นอะไรเนี่ย”พอถามทั้งสองคนก็มาหยุดยืนอยู่ตรงหน้า คนที่ยืนอยู่ทางซ้ายของเขายกมือขึ้นมาชี้ไปทางคนทางขวา แล้วเอ่ยปากถาม “ทายสิคนนี้ใคร”

อีกคนก็ยกมือชี้ไปที่คนที่ยืนอยู่ข้างๆและพูดว่า “ทายสิคนนี้ใคร”

สุดฟ้าเลยถามว่า “ว่างนักเหรอ ทำไมไม่คิดทำอะไรที่มันสร้างสรรค์กว่านี้ละ”

“ก็ว่างอยู่”

“เนี่ยสร้างสรรค์สุดแล้ว”

เขาหัวเราะ มีฝาแฝดสุดป่วนเพิ่มมาบนโลกใบนี้อีกคู่แล้ว

“สเตบาสเตียน”

“หยุด!!! อย่างเรียกตัวช่วยสิ”

“งั้นถ้าตอบถูกจะได้อะไร”สุดฟ้าถามพร้อมยกยิ้มเจ้าเล่ห์

“ได้เสียงปรบมือ เอ้าปรบมือ”คราวนี้ทั้งสองคนรวมถึงสเตบาสเตียนจึงปรบมือกันเปาะแปะ

“ไม่เห็นจะอยากได้ เอาเป็นหอมแก้มคนละทีได้ม่ะ”

ชวิศากับมาริเอะมองหน้ากันก่อนจะพยักหน้าตรงลง สุดฟ้าจึงยกนิ้วขึ้นชี้ “คนนี้มาริเอะ ส่วนคนนี้ชวิศา”

“เค้าชื่อมาริ”คนที่สุดฟ้าชื้ว่าชื่อมาริเอะตะเบ็งเสียงแทรกขึ้นมาทันที “ชื่อมาริ มาริ มาริ ไม่ใช่มาริเอะ”

“มาริ มาริ มาลี มาลี มาลี อ่อ อยากชื่อมาลีนี่เอง”ชายหนุ่มพูดแซว มาริเอะจึงทำท่าฟึดฟัดเชิดหน้าหนีอย่างขุ่นเคือง สุดฟ้าหัวเราะก่อนจะเอียงหน้าให้ชวิศา ชายหนุ่มร่างเล็กมีอาการเขินอายกระนั้นเขาก็กดจมูกลงบนแก้มที่ยื่นมาหา ฝ่ายมาริเอะกลับโน้มคอสุดฟ้า แล้วจงใจบี้จมูกลงไปแทนคล้ายพยายามแก้แค้ให้สาแก่ใจ เมื่อกลับมายืนเต็มความสูงได้อีกครั้ง เขาเห็นสเตบาสเตียนขยับเข้ามายืนใกล้ๆพลางยื่นหน้ามาหา

“จะทำอะไรน่ะ”

“หอมแก้มให้รางวัลด็อกเตอร์ครับ”

“ฮึ่ย ไม่ต้องออกไปไกลๆเลย”เป็นจังหวะเดียวกับที่รถของธีรวัฒน์มาจอดที่หน้าบ้าน สุดฟ้าจึงไล่พ่อบ้านส่วนตัวไปยกกระเป๋า และแล้วพวกเขาก็ได้ฤกษ์ออกเดินทางเสียที




สนามบินนานาชาติของฮัชดาลลาร์อยู่นอกเมืองค่อนไปทางตะวันตกบนพื้นที่ที่เป็นทะเลทราย อาคารผู้โดยสารถูกออกแบบให้เป็นอาคารชั้นเดียวเหมือนสนามบินในจังหวัดเล็กๆของไทย สุดฟ้าลงมาจากเครื่องบินด้วยอาการสะลึมสะลือคล้ายยังไม่ตื่นดี อากาศภายนอกอาคารร้อนระอุ แต่ภายในเย็นฉ่ำเพราะเครื่องปรับอากาศ ภายในอาคารผู้โดยสารที่เพียงพนักงานไม่กี่คน

“สวัสดีครับมิสเตอร์ศิริกร ผมชื่อบาซิมครับ ได้รับคำสั่งจากเจ้าชายให้มาต้อนรับคุณครับ”ชายหนุ่มร่างเล็กพูดกับเขาด้วยภาษาอังกฤษสำเนียงอังกฤษชัดแจ๋ว “ไม่คิดว่ามิสเตอร์สุวราลักษณ์จะมาเยือนฮัชดาลลาร์ด้วย นับว่าเป็นเกียรติอย่างยิ่งครับ”
ประโยคหลังของอีกฝ่ายทำให้สุดฟ้าตื่นเต็มตา เขาหันไปมองคนที่เดินตามมาข้างหลัง พี่น้องฝาแผดโบกมือให้เขาหยอยๆ ทั้งยังมีน้ำและเดย์ยืนอยู่ข้างๆ

“พวกแก”

“พอดีว่าฉันสองคนเคลียร์งานเสร็จแล้ว เลยมาเที่ยวพักผ่อน”

“แกก็ทำงานของแกไป ไม่ต้องสนใจพวกฉันหรอก”

สองพี่น้องพูดด้วยหน้าตายิ้มแย้ม ก่อนจะรี่เดินเข้าไปหาคนของฮัชดาลลาร์ที่มาต้อนรับพวกเขา ต้อนให้ชายหนุ่มเจ้าบ้านรีบเดินไปที่ที่รถยนต์ สุดฟ้าจึงได้แต่ส่งเสียงชิช๊ะอย่างไม่พอใจ

รถยนต์ที่อยู่ด้านหน้าอาคารเป็นมินิแวนตราดาวขนาดเจ็ดที่นั่ง ซึ่งพอเห็นยานพาหนะสุดฟ้าจึงยกยิ้ม

“ไม่มีที่นั่งสำหรับพวกแกหรอก เพราะฉะนั้นกลับไปซะ”เขาใช้ภาษาไทยเอ่ยปากไล่สองพี่น้องที่เกาะเครื่องบินมากับเขาในครั้งนี้ แต่ยังไม่ทันหันไปบอกกับบาซิม มินิแวนอีกคันก็มาจอดต่อท้าย

“มิสเตอร์ศิริกรและมิสเตอร์สุวราลักษณ์เชิญที่รถยนต์คันนี้เลยนะครับ ส่วนคันข้างหลังสำหรับผู้ติดตามครับ”

พอประโยคนั้นจบทั้งชวิศาและมาริเอะก็เข้ามากอดแขนของสุดฟ้าไว้แน่น แสดงออกชัดเจนว่าไม่ยอมแยกไปนั่งอีกคันแน่ๆ ฝาแฝดจึงเอ่ยขึ้นมาว่าจะไปนั่งอีกคันหนึ่งแทน เมื่อสรุปตกลงกันเรียบร้อย รถยนต์ทั้งสองคันจึงเคลื่อนที่ออกเดินทางเพื่อเข้าเมือง

เส้นทางจากสนามบินนานาชาติฮัชดาลลาร์สู่ตัวเมืองเป็นเส้นทางตรงยาวบนถนนราดยางขนาดสองเลนซึ่งถ้ามองตรงไปตามถนนจะเห็นว่าหายเข้าไปในหมู่ภูเขาหินเบื้องหน้า ที่พื้นถนนยังคงดูใหม่เอี่ยมเหมือนเพิ่งสร้าง ส่วนรอบข้างเองก็มีแต่ทะเลทราย กระนั้นเมื่อมองออกไปนอกหน้าต่างรถยนต์ทางทิศใต้ กลับเห็นกลุ่มควันพวยพลุ่งขึ้นมาจางๆ และถ้าฟังไม่ผิด พวกเขารู้สึกเหมือนว่าจะได้ยินเสียงระเบิดดังมาเป็นระยะๆ

“มีควันแปลกๆด้วย”ชวิศาพูดกับมาริเอะ สองคนนั้นเกาะกระจกมองไปยังทางที่ว่า

“ประเทศแถบนี้มีแต่สงคราม นั่นคงเป็นควันที่เกิดจากการรบ”มาริเอะตอบด้วยเสียงเรียบๆ

“น่ากลัวจัง”ชวิศาพึมพำ เขาเกิดและเติบโตในดินแดนที่มีแต่ความสงบสุขแม้จะไม่เคยเห็นสงครามและการสู้รบกับตาตัวเองนอกจากในภาพยนตร์ แต่เขาก็รู้สึกว่าสงครามเช่นนั้นเป็นเรื่องที่โหดร้ายและน่าหวั่นเกรง

เมื่อรถยนต์เคลื่อนที่เข้าใกล้หมู่ภูเขาหิน พวกเขาได้เห็นว่ามีกระโจมที่พักกางเรียงรายอยู่ประปราย บ้างรวมหมู่กันหนาแน่น

“มีคนอยู่ด้วย”ชวิศาพูดเป็นภาษาอังกฤษ บาซิมจึงกล่าวรับและอธิบายต่อไปอีกว่า

“ครับ บริเวณนี้ถือว่าเป็นเมืองชั้นนอก ทางเราจะมีการจัดสรรน้ำสำหรับการบริโภคให้แต่ยังไม่มีไฟฟ้า ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นผู้คนที่อพยพมาจากที่อื่น”

รถยนต์เคลื่อนที่ตามถนนเข้ามาอยู่ในดงของภูเขาหิน สองข้างเป็นภูเขาหินแห้งแล้งที่สูงจนต้องเงยคอตั้งบ่า ระหว่างทาง ก็ได้พบผู้คนสัญจรไปมาอยู่บ้าง ทั้งเดินเท้า ใช้เกวียนเทียมวัว หรือใช้อูฐบรรทุกสำภาระ

“เขตภูเขาหินเรียกว่า เมืองชั้นกลาง ส่วนใหญ่เป็นพื้นที่ทำเหมือง มีเกษตรกรรมบ้าง และเลี้ยงสัตว์อยู่บ้าง ฮัชดาลลาร์มีพื้นที่ประมาณสี่พันสองร้อยตารางกิโลเมตรรวมทั้งพื้นที่ทะเลทราย การปกครองระบบกษัตริย์ เป็นประเทศเอกราชที่ไม่ขึ้นตรงกับชาติใด”คนพูดกล่าวอย่างภูมิใจ ก่อนที่รถยนต์จะจอดนิ่งสนิท และเมื่อบาซิมก้าวลงจากรถ คณะเดินทางของสุดฟ้าจึงต้องก้าวเท้าลงจากรถยนต์ตามไปด้วย รอบข้างยังแวดล้อมด้วยภูเขาหินสูงใหญ่อยู่เช่นเดิม ความร้อนแรงของแสงแดดถูกบดบังด้วยภูเขาสูง  กระนั้นอากาศก็ยังร้อนระอุ

“ต้องขอประทานอภัยด้วยครับ ทางเรามีกฏว่าการเดินทางภายในตัวเมืองชั้นใน ห้ามใช้ยานพาหนะที่ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์ ดังนั้นเราจะเปลี่ยนไปใช้บริการขนส่งสาธารณะ”

คนของเจ้าชายเดินนำไปยังลิฟต์ที่ฝังตัวอยู่ในภูเขาหิน พวกเขาเดินตามไปตัวเปล่า ส่วนกระเป๋าข้าวของที่สุดฟ้าขนมาถูกบรรจุอยู่บนรถเข็นกระเป๋าที่ใช้กันทั่วไปในโรงแรม มีผู้ชายอีกคนดูและคอยเข็นตามมา

ลิฟต์เคลื่อนที่ขึ้นด้วยระยะทางสั้นๆในความรู้สึก เมื่อประตูลิฟต์เปิดออก พวกเขาเห็นลานกว้างปูด้วยพื้นกระเบี้องสีน้ำตาลอิฐ แต่สิ่งที่ดึดดูสายตากว่านั้นคือ สีเขียวขจีของต้นไม้สูงใหญ่เบื้องหน้า ทั้งอากาศยังเย็นชื้นต่างจากเมื่อสักครู่ เสียงนกเสียงสัตว์กู่ร้องแว่วดังมาให้ได้ยินเป็นระยะ

ชายหนุ่มร่างเล็กผู้เป็นเจ้าบ้านหันมากล่าวเชิญให้เดินตาม จากนั้นเดินนำไปยังเจ้าหน้าที่ที่ประจำอยู่ที่ประตูตรวจตั๋ว พวกเขาพูดคุยกันด้วยภาษาพื้นเมืองอยู่ชั่วครู่ ก่อนประตูเล็กจะถูกเปิดออกเพื่อให้พวกเขาเดินผ่าน สุดฟ้าเหลือบตามองป้ายบอกทางที่ถูกแขวนไว้เหนือหัว ป้ายนั้นบอกทางนั้นทางหนึ่งไปฟาร์จาห์ อีกทางไปทาอาวีฟ จากนั้นจึงสังเกตเห็นรางรถไฟที่ทอดยาวอยู่เหนือหมู่ไม้ บริเวณโดยรอบเองก็มีคนพื้นเมืองในชุดเสื้อแขนยาวกางเกงขายาวยืนรออยู่บ้างเช่นกัน

“รถไฟฟ้า?”

“ครับ ระบบขนส่งสาธารณะของประเทศเราเป็นรถไฟฟ้ากับรถไฟใต้ดิน ภายในตัวเมืองมีแต่ถนนดินสำหรับการเดินทางด้วยเท้า สัตว์เทียมเกวียน หรือการเดินทางด้วยสัตว์ประเภทอื่นๆ”

“นั่นดาบใช่ไหม”ชวิศาชี้นิ้วไปยังผู้ชายคนหนึ่งซึ่งอยู่ในชุดรัดรูปทะมัดทะแมง ที่หลังสะพายดาบและกระเป๋าเป้

“ฮัชดาลลาร์ไม่มีกฏห้ามพกอาวุธครับ ผมเองก็มีเช่นเดียวกัน”บาซิมดึงมีดสั้นสองเล่มออกมาจากชายเสื้อด้านหลัง เขาควงมีดด้วยมือทั้งสองข้างอย่างคล่องแคล่ว

ถึงชวิศาจะใช้มีดทำอาหาร แต่ไม่เคยเอามาควงเล่นแบบนี้ จึงรู้สึกว่ามันอันตรายไม่น้อย พลางเบียดตัวเข้าหามาริเอะ

“ไม่กลัวว่า คนในเมืองจะชักอาวุธมาสู้กันบ้างหรือครับ”

“ใช่ว่าการสั่งห้ามไม่ให้พลเมืองทั่วไปพกอาวุธ จะห้ามไม่ให้คนใช้อาวุธสู้กันได้นี่ครับ ในประเทศที่เจริญแล้วอย่างอังกฤษหรืออเมริกา ก็ยังคงมีเหตุการณ์ยิงกันอยู่บ่อยครั้ง”บาซิมตอบพลางเก็บอาวุธของตนเข้าที่ ชวิศาไม่กล่าวต่อ เพราะเหตุการณ์ความรุนแรงดังที่อีกฝ่ายกล่าวมา มีเกิดขึ้นอยู่ทุกที

รอไม่นานนัก รถไฟฟ้าก็เคลื่อนที่มาจอดเทียบชานชลา ผู้คนที่ใช้บริการดูบางตา ทั้งฟากของผู้คนที่เพิ่งก้าวลงจากขบวนและผู้ที่ก้าวขึ้นขบวนรถไฟ  ที่นั่งภายในจึงโล่งว่างพอจะให้ทั้งชวิศาและมาริเอะวิ่งไปฝั่งโน้นทีฝั่งนี้ที เพราะทันทีที่ขบวนรถไฟเคลื่อนที่ ทิวทัศน์แปลกตาที่สามารถเห็นจากภายในตู้ขบวนนั้นสร้างความกระตือรือร้นให้ทั้งสองคนได้ไม่น้อย ฟากหนึ่งของภูเขานั้นแห้งแล้ง แต่อีกฟากหนึ่งนั้นหนาแน่นไปด้วยต้นไม้ใหญ่นานาพรรณ เสียงร้องเรียกดังชี้ชวนให้ดูน้ำตกที่สามารถมองเห็นได้ไกลๆทำให้สุดฟ้าในไปมอง ก่อนจะต้องตกตะลึงเมื่อเห็นสัตว์มีปีกขนาดใหญ่ซึ่งส่วนหัวเป็นนกอินทรีย์แต่มีสี่ขาบินอยู่ไม่ห่าง

“เขาเรียกว่ากริฟฟอนละ”มาริเอะบอกชวิศา ซึ่งคำพูดนั้นทำให้ทั้งฝาแฝดสองพี่น้อง สเตบาสเตียนและหุ่นยนต์ชื่อน้ำและเดย์ ลุกขึ้นมาเกาะหน้าต่างกันหมด “มีคนขี่อยู่บนนั้นด้วยนะ”

“นั่นของจริงหรือครับคุณบาซิม”สุดฟ้าถาม

“ของจริงครับ แต่กริฟฟอนเป็นสัตว์หายากที่จะต้องขึ้นทะเบียนและขออนุญาตครอบครองกับทางการ และห้ามนำออกนอกประเทศ ปัจจุบันทั่วฮัชดาลลาร์มีกริฟฟอนตัวเต็มวัยอยู่ราวๆร้อยกว่าตัว”

“เยอะมาก”ใครสักคนอุทานขึ้นมา พอกริฟฟอนบินหายไปความตื่นเต้นของทุกคนจึงลดลง พร้อมกับแยกย้ายกลับไปนั่งยังที่ของตน

จากนั้นสุดฟ้าจึงสังเกตเห็นว่า ตู้โบกี้ที่พวกเขานั่งไม่มีใครอื่นก้าวเข้ามาใช้บริการร่วมด้วย คงมีแต่พวกเขาแม้ว่ารถไฟจะจอดมาหลายสถานีแล้วก็ตาม ขณะที่เมื่อชะโงกหน้าไปดูโบกี้อื่น ผู้โดยสารเริ่มจะหนาตาขึ้นเรื่อยๆ สุดฟ้าจึงเอ่ยถามเจ้าบ้านอย่างสงสัย

“เจ้าชายให้จองโบกี้นี้ไว้เพื่อรับรองพวกคุณครับ”

“ไม่เห็นต้องทำถึงขนาดนั้นเลยครับ”ชายหนุ่มพูดบอกออกไปด้วยความเกรงใจ

“ไม่ต้องคิดมากหรอกครับ ถึงเราจะมีระบบขนส่งสาธารณะแค่สองประเภท แต่ก็ยังไม่เคยประสบปัญหาผู้โดยสารหนาแน่นเสียที คุณไม่ต้องกังวลครับ”

สุดฟ้าจึงพยักหน้ารับรู้

ใช้เวลาประมาณสี่สิบนาทีจากสถานีต้นทาง บาซิมก็บอกให้พวกเขาลง เมื่อลงจากสถานีรถไฟฟ้าพวกเขาต้องเดินเท้าต่อไปอีกหน่อยกว่าจะถึงพระราชวัง


+++++โปรดติดตามตอนต่อไป+++++
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 20-12-2016 06:05:06 โดย ตีสี่ »

ออฟไลน์ ตีสี่

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 412
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-5
    • 61'
ตอนที่สิบสาม

พระราชวังราซาห์ของราชอาณาจักรฮัชดาลลาร์ที่เห็นจากภายนอกเป็นอาคารทรงสี่เหลี่ยมที่ดูเรียบง่าย ล้อมรอบด้วยกำแพงที่สูงเกินศีรษะไปนิดหน่อย ด้านหน้าเป็นลานกว้างที่ถูกปูด้วยอิฐก้อนสีแดงสีเดียวกับพระราชวัง ซุ้มประตูด้านหน้ามีป้อมเล็กๆสำหรับทหารที่เป็นเวรรักษาการณ์

บาซิมพาพวกเขาเดินเข้าประตูเล็กที่ติดกับประตูเหล็กบานใหญ่ คนของเจ้าชายพาพวกเขาเข้ามาง่ายๆจนทั้งฝาแฝดและสุดฟ้าสงสัย กระนั้นยังไม่ทันเอ่ยถาม คนนำทางกลับเอ่ยขึ้นมาเสียก่อน

“เจ้าชายรับสั่งให้คนจัดเรือนรับรองไว้ให้พวกคุณที่พระราชวังส่วนหน้าครับ”

“ให้พวกเราพักข้างในวังแบบนี้จะดีเหรอ พวกเราพักโรงแรมก็ได้นะครับ”ธัชนนท์พูดขึ้นมาบ้าง

“ฮัชดาลลาร์ไม่มีโรงแรมติดดาวครับ ผมว่าพวกคุณพักเรือนรับรองที่เจ้าชายจัดไว้ให้จะสะดวกกว่า”คนพูดเห็นผู้ฟังยังสงสัยเลยเอ่ยต่อ พลางก้าวเท้าเดินนำ“อย่างที่พวกคุณรู้ ว่าฮัชดาลลาร์ไม่ใช่เมืองท่องเที่ยว และทางการก็ไม่สนับสนุน เรามีเทคโนโลยีที่ทันสมัยอย่างไฟฟ้า น้ำประปา รถไฟฟ้า รถไฟใต้ดิน โครงข่ายโทรคมนาคม เพื่อการพัฒนาประเทศ แต่ขณะเดียวกันก็มีแนวคิดที่จะอยู่อาศัยโดยพึ่งพิงธรรมชาติเป็นหลัก เรามีศูนย์วิจัยยา พันธุ์พืช  มีโรงงานอุตสาหกรรม แต่ไม่มีโรงงานอุตสาหกรรมจากเงินทุนต่างชาติ”

แม้หูข้างหนึ่งจะเงี่ยฟังสิ่งที่บาซิมเล่า แต่สระน้ำสี่เหลี่ยมขนาดเล็กที่เพิ่งเดินผ่านเรียกความสนใจของชวิศาได้มากกว่า พืชน้ำคล้ายบัวซึ่งชูดอกสีขาวเล็กๆสวยงามจนชายหนุ่มยกยิ้ม ทั้งต้นไม้และสวนสองข้างทางก็ร่มรื่น เขากวาดสายตามองทางโน้นทีทางนี้ทีจนมาริเอะต้องมาจับจูงมือ เพราะกลัวว่าเขาจะสะดุดเท้าไปเสียก่อน

“อาจจะดูเหมือนว่าเป็นการจำกัดเสรีภาพและปิดกั้นการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจ แต่โรงงานอุตสาหกรรมก็นำมาซึ่งความเสื่อมโทรมของสิ่งแวดล้อม เราสนับสนุนให้คนของเราทำอุตสาหกรรมในครัวเรือน อาจจะมีการผลิตที่ต้องใช้เครื่องจักรบ้าง แต่เราไม่มุ่งเน้นการส่งออก เราเน้นการใช้งานภายในประเทศเป็นหลัก และใช้วัสดุที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม”

สุดฟ้าโคลงศีรษะ คิดตามอย่างเข้าใจ

“แล้วมีโทรทัศน์ คอมพิวเตอร์ หรือเครื่องเล่นเกมกันไหม”แฝดคนน้องถามขึ้นมาบ้าง

“อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ส่วนมากเป็นสินค้านำเข้าครับ ส่วนใหญ่จึงมีแต่แท็บเล็ตกับโทรศัพท์มือถือ”บาซิมยิ้มให้ก่อนจะผายมือเป็นเชิงเชื้อเชิญเมื่อเดินนำมาถึงที่พัก

ด้านหน้านั้นเป็นชานมีหลังคายื่นออกมาจากตัวอาคาร ถูกออกแบบให้เป็นช่องลมทรงโค้ง แม้ว่าเสาและผนังอาคารจะก่อจากอิฐแดงก้อนเล็กๆ แต่ก็ประดับด้วยลายเถาเครือดอกไม้ซึ่งเป็นประติมากรรมนูนต่ำ ถูกแต้มสีจนสวยงามโดดเด่น มีชุดโต๊ะเก้าอี้ไว้นั่งจิบชาชมบรรยากาศในสวน

“เชิญครับ”

ผ่านประตูไม้สลักลายเข้าไปเป็นโถงกว้างมองตรงไปเห็นห้องรับรองซึ่งเปิดหน้าต่างไว้ทุกบานรับลมเย็นที่พัดโชยมาจากในสวน ภายในห้องนั้นจัดวางชุดโต๊ะและเก้าอี้รับแขกไว้กลางห้อง บาซิมพาพวกเขาเดินชมพื้นที่ชั้นล่างอันประกอบด้วย ห้องครัวที่อุปกรณ์ครบถ้วนทันสมัย ไม่ว่าจะเตาอบ เตาไฟฟ้า หรือตู้เย็น ห้องหนังสือที่กินพื้นที่ปีกซ้ายทั้งแถบ จากนั้นจึงพาเดินขึ้นบันไดไม้ซึ่งถูกขัดถูจนเงาวับไปยังชั้นสอง

“ชั้นนี้มีห้องนอนทั้งหมดห้าห้องครับ มีห้องน้ำในตัวทุกห้อง เอ่อ....”ชายหนุ่มชะงักคำพูดไปเมื่อกวาดสายมองแขกของเจ้าชายอีกครั้ง “ต้องขอประทานอภัยครับ จำนวนห้องอาจจะไม่เพียงพอต่อทุกท่าน ถ้าอย่างไรผมจะแจ้งให้เจ้าชายทราบและเตรียมเรือนรับรองให้ใหม่ครับ”

“โอ๊ะ ไม่ต้องครับ”ธัชนนท์กล่าวแทรก “ผมนอนกับน้ำ น้องชายผมนอนกับเดย์ ส่วนสามคนนั้นก็อย่างที่เห็น”ฝาแฝดผู้พี่พยักเพยิดไปทางสุดฟ้า ที่ทั้งชวิศาและมาริเอะรี่เข้าไปประกบทันทีที่บาซิมพูดว่าจะเปลี่ยนเรือนรับรองให้ใหม่ ธัชนันท์หัวเราะขำขัน
ด้วยเหตุนี้ สุดฟ้าจึงได้ห้องนอนใหญ่ที่เตียงกว้างขนาดนอนสามคนได้สบายๆและขนาดห้องกว้างขวางในระดับที่หาโต๊ะปิงปองสักสองตัวมาตั้งในห้องยังไม่รู้สึกคับแคบ

ชายหนุ่มร่างสูงแค่เหลือบมองห้องนอนเพียงเล็กน้อยก่อนจะเดินลงไปชั้นล่างเพื่อดูกระเป๋าอุปกรณ์ซึ่งเขาบอกให้คนของบาซิมนำไปไว้ในห้องสมุด อันที่จริงสุดฟ้าอยากได้ห้องที่มันมิดชิดกว่านี้ ชนิดที่คนอื่นๆเข้ามายุ่งวุ่นวายได้ยาก

“ต้องขอประทานอภัยครับ เรือนรับรองไม่มีห้องแบบที่มิสเตอร์ศิริกรต้องการ เรื่องนี้ผมขอแนะนำว่าให้คุณปรึกษากับเจ้าชายดีกว่าครับ” หลังจากที่เขารับคำ บาซิมจึงพูดต่อไปว่า “อีกสักหนึ่งถึงสองชั่วโมงจะมีคนนำชุดประจำชาติมาส่งนะครับ เย็นนี้เจ้าชายพระราชทานเลี้ยงรับรองให้พวกคุณ ติดขัดสิ่งใดหรือต้องการอะไรเพิ่มเติมให้กดศูนย์ติดต่อพ่อบ้านประจำเรือนรับรองครับ”เขาผายมือไปทางโทรศัพท์ที่ตั้งอยู่มุมหนึ่ง ก่อนจะขอตัวกลับออกไป จากนั้นเสียงย่ำเท้าตึงตังพร้อมปรากฎร่างแฝดคนละฝากำลังวิ่งเข้ามาหาเขา

“ด็อกเตอร์”

“คุณสุดฟ้า” ทั้งสองคนพูดออกมาแทบจะพร้อมกัน “ไปเดินเที่ยวตลาดกันเถอะ”

“ออกไปเดินสุ่มสี่สุ่มห้าจะดีเร้อ”สุดฟ้าไม่ได้มีความรู้สึกอยากชมบ้านเมืองของฮัชดาลลาร์ เขามาที่นี่เพราะเวทมนต์ที่เจ้าชายฟาลิฮ์แสดงให้ดูต่างหาก แล้วคงจะดีมาก ถ้าเขาสามารถใช้เวทมนต์เท่ๆได้สักบทสองบทก่อนกลับบ้าน ชายหนุ่มคิดอย่างกระหยิ่มยิ้มย่อง

“ไม่เป็นไรหรอกครับ ไปกันเถอะนะ”มาริเอะส่งเสียงออดอ้อน ชวิศาจึงส่งเสียง นะ นะ นะ ตามกันมา พอเห็นหน้าตาน่ารักยกกำลังสองออดอ้อนส่งสายตามาให้ ชายหนุ่มเลยไม่อาจทนได้ พอพยักหน้าตกลงปุบ ฝาแฝดสุวราลักษณ์จึงมาร่วมขบวนด้วย พอฝาแฝดจะไปด้วยทั้งน้ำและเดย์ก็ต้องไปด้วย ไม่นับรวมสเตบาสเตียนที่มักติดตามเขาเป็นเงา

ตลาดที่พวกเขามาเดินเที่ยวเป็นตลาดที่อยู่ใกล้กับสถานีรถไฟฟ้า ซึ่งพวกเขาเคยเดินผ่านเมื่อตอนเพิ่งมาถึง แต่บาซิมอยากให้พวกเขาได้เห็นที่พักเสียก่อนจึงไม่ได้หยุดแวะให้พวกเขาเดินชม

ฮัชดาลลาร์เป็นประเทศเล็กๆ ที่มองไปทางไหนก็เห็นแต่ป่า ไม่มีตึกอาคารสูงแม้แต่ในตลาดของเมืองเองก็ตาม บ้านเรือนส่วนใหญ่สร้างจากไม้หรืออิฐก้อน อาคารที่สูงที่สุดเป็นตึกสามชั้น ผู้คนดูครึกครื้นจอแจแต่ไม่แออัดเท่ากับห้างสรรพสินค้าในกรุงเทพฯตอนวันเสาร์หรือวันอาทิตย์ สินค้าที่วางขายหลากหลายทั้งผลไม้ อาหาร เสื้อผ้า เครื่องประดับ วางอยู่บนแผงขายแบบตลาดนัดที่เห็นได้ทั่วไปในประเทศไทย มีร้านที่ขายเครื่องใช้ไฟฟ้า ร้านที่ขายโทรศัพท์มือถือหรือคอมพิวเตอร์

ชวิศาค่อนข้างจะชอบพวกอาหารการกินเป็นพิเศษ ชักชวนให้เขาและมาริเอะแวะชิมโน่นนี่เสียทุกร้าน ก่อนที่กลายเป็นการสุมหัวคุยเรื่องเมนูอาหาร และหลังจากที่เดินเล่นกันจนเหนื่อย พวกเขาถึงเดินทางกลับที่พัก

เมื่อกลับมาถึงปรากฏว่า บาซิมมายืนรอพวกเขาอยู่แล้ว

“อีกไม่นานงานเลี้ยงรับรองจะเริ่มขึ้นแล้ว ถ้าอย่างไรขอความกรุณาให้พวกคุณรีบแต่งตัวด้วยนะครับ”ถึงจะเห็นว่าบาซิมกำลังยกยิ้มอยู่ก็ตาม แต่พวกเขารู้สึกเหมือนเห็นไอดำแผ่ออกมาลางๆ ดังนั้นทุกคนจึงกุลีกุจอรีบไปอาบน้ำแต่งตัวทันที

ชุดประจำชาติของฮัชดาลลาร์ที่บาซิมนำมาให้เป็นชุดที่ทำจากผ้าไหมเนื้อลื่นเบาสบาย เป็นเสื้อคอกลมแขนยาวตัวใน กางเกงขายาว เสื้อคลุมยาวตัวนอกกลัดกระดุมด้านหน้าและผ้าคาดเอว รองเท้าเองก็ทำมาจากผ้า พื้นรองเท้าถูกเย็บติดกับยางพื้นรองเท้า มองดูก็คล้ายจอมยุทธ์ในหนังจีนไม่น้อย

สุดฟ้าอยู่ในชุดสีน้ำเงินเข้มคาดดำ ในขณะที่มาริเอะอยู่ในชุดสีเขียวอ่อน ส่วนชวิศาเป็นสีขาวคาดสีฟ้าอ่อน
ธัชนันท์โบกมือไปมาเลียนแบบท่าทางการใช้วรยุธท์ที่เคยเห็นในภาพยนตร์จีน พวกเขาหัวเราะกันครึกครื้น และบาซิมก็เป็นผู้นำทางให้พวกเขาอีกครั้ง



ห้องโถงที่จัดงานเลี้ยงรับรองสว่างไสวด้วยแสงไฟ ประดับดอกไม้ไว้ตามมุมเป็นจุดๆ พื้นที่กลางห้องโถงปูด้วยพรม มีเบาะรองนั่งวางล้อมอยู่สองฝั่งกับโต๊ะเตี้ยๆวางไว้ทางขวา ตรงกลางระหว่างแถวที่นั่งทั้งสองฝั่งเป็นเบาะรองนั่งผ้าปักสีแดงและสีทอง
ช่วงที่พวกเขามาถึงมีแขกท่านอื่นมาถึงกันบ้างแล้ว พอพวกเขาถูกเชิญเข้ามาด้านใน แขกของงานคนอื่นๆจึงเดินตามเข้ามา แต่ละคนต่างเข้าไปนั่งประจำที่ของตนที่เหมือนว่าจะถูกกำหนดไว้ตั้งแต่ต้นแล้ว พวกสุดฟ้าเองก็เช่นเดียวกัน พวกเขาได้ที่นั่งแถวหน้า นั่งรออยู่แค่ครู่เดียวเจ้าชายรัชทายาทก็เสด็จมาประทับยังที่นั่งว่างๆด้านข้างของสุดฟ้า

“สวัสดีครับ”เจ้าชายทักทายเขาเป็นภาษาอังกฤษ สุดฟ้าจึงตอบกลับไปด้วยภาษาเดียวกัน ก่อนที่พระองค์จะสังเกตุเห็นชวิศาและมาริเอะ

“คุณชวิศามีพี่น้องฝาแฝดด้วยหรือครับ”เจ้าชายฟาลิฮ์ตรัสถามด้วยความสงสัย คนถูกทักจึงหันไปมองหน้ากันเองแล้วยกยิ้มให้ จากนั้นชวิศาจึงตอบกลับว่า “บังเอิญหน้าเหมือนกันเฉยๆครับ เหมือนกันมากเลยใช่ม๊า”ชวิศาลากเสียงพูดที่ฟังแล้ว พอเดาไว้คงจะสนิทกับคู่สนทนาไม่น้อย

สุดฟ้าคิ้วกระตุก แต่ดีที่ว่าเจ้าชายละความสนพระทัยไว้แค่นั้นแล้วหันมาพูดคุยกับเขาเสียก่อน

“ได้ยินว่าไปเที่ยวชมในเมืองมา เป็นอย่างไรบ้างครับ”

“เฉยๆ ครับ สองคนนี้เขาชวนไป”สุดฟ้าพยักเพยิดไปทางแฝดคนละฝาที่นั่งอยู่ข้างๆ

“อ่อ พรุ่งนี้ผมมีแผนที่จะพาพวกคุณไปเที่ยวเขตอื่นๆอยู่เหมือนกัน ไม่รู้ว่าพวกคุณจะชอบน้ำตกกับหมู่บ้านของชาวบ้านธรรมดาหรือเปล่า”

“มีน้ำตกด้วยเหรอครับ”มาริเอะถามอย่างตื่นเต้น เขายังไม่เคยเห็นน้ำตกจริงๆ พอได้ยินเช่นนั้นก็อยากจะให้ถึงพรุ่งนี้เสียเร็วๆ

“ครับ”เจ้าชายฟาลิฮ์ตอบรับ แต่จังหวะนั้นกษัตริย์ของฮัชดาลลาร์ทรงกำลังเสด็จมาถึง ผู้คนที่อยู่ในงานเลี้ยงจึงลุกขึ้นยืนเพื่อแสดงความเคารพ ผู้มาเยือนจากต่างถิ่นอย่างกลุ่มของสุดฟ้าจึงลุกขึ้นยืนตามอย่างรวดเร็ว สุดฟ้าเห็นเจ้าชายที่ยืนเยื้องอยู่ข้างๆ กำพระหัตถ์ขวาแล้วยกขึ้นประทับที่พระอุระซ้าย เลยเก้ๆกังๆว่าจะทำตามบ้าง แต่เสียงจากคนยืนอยู่ข้างหลังกลับเอ่ยกระซิบขึ้นมาเสียก่อน

“แค่คำนับก็พอครับ”

เมื่อกษัตริย์ของฮัชดาลลาร์ทรงประทับลงบนเบาะแล้ว ผู้ร่วมงานเลี้ยงคนอื่นๆจึงทรุดลงนั่งตาม

จากนั้นเจ้าชายฟาลิฮ์จึงกล่าวทูลแนะนำสุดฟ้ากับองค์กษัตริย์ด้วยภาษาของฮัชดาลลาร์ ซึ่งพระองค์ก็ตรัสยินดีต้อนรับสำหรับการมาเยือนของสุดฟ้าในครั้งนี้ และตรัสให้ทุกคนสนุกสนานกับการดื่มกินในค่ำคืนนี้ แน่นอนว่าทุกคำพูดนั้นองค์ประมุขของฮัชดาลลาร์กล่าวด้วยภาษาพื้นเมือง แต่ด้วยความสามารถอันเลิศล้ำของหุ่นยนต์สมองกลอย่างมาริเอะ เขาจึงแปลข้อความให้ทุกคนเข้าใจแบบคำต่อคำ

งานเลี้ยงในคืนวันนี้เริ่มต้นการแสดงร่ายรำจากสาวสวยเอวบางร่างน้อยในชุดเสื้อผ้าบางๆน้อยชิ้นที่สุดฟ้าไม่คิดว่าจะมีโอกาสได้เห็นกับตาบนโลกใบนี้ ทั้งปทุมถันอันอวบอัด ทั้งสะโพกร่อนส่ายอย่างเย้ายวน สุดฟ้ามองตามตาไม่กระพริบและน้ำลายหกไม่รู้ตัว ถ้าไม่ใช่เพราะแฝดคนละฝาอย่างชวิศาและมาริเอะทำหน้าตาทมึงทึงพลางขยับมาเบียดกระแซะ เขาก็ยังคงไม่ละสายตา ก่อนที่ทั้งสองคนพยายามเรียกร้องความสนใจของเขาด้วยการป้อนโน่นป้อนนี้ไม่หยุด

บรรยากาศของงานเลี้ยงดำเนินไปอย่างเรียบง่ายจนกระทั่งองค์ราชาทรงเสด็จกลับออกไปจากงานเลี้ยง ฝาแฝดสองพี่น้องของตระกูลสุวราลักษณ์ก็เหมือนโดนปล่อยผี จากที่นั่งอยู่เงียบๆอย่างเรียบร้อย ก็ยกแก้วเหล้าชนกับคนโน่นคนนี้ไปทั่ว โดยให้สเตบาสเตียนเป็นล่ามจำเป็นกรณีที่เจอคนที่พูดได้แต่ภาษาพื้นเมือง และยิ่งเหล้าที่เจ้าบ้านนำมาเลี้ยงรับรองเป็นเหล้าหวานที่ทั้งกลิ่นหอมและรสชาติกลมกล่อมแต่ดีกรีแรง เพราะฉะนั้น ยิ่งดึกจึงยิ่งเมา ต่างจากสุดฟ้า เพราะโดนทั้งชวิศาและมาริเอะนั่งประกบ เขาจึงไม่คิดที่จะลุกไปไหน ได้แต่นั่งคุยอยู่กับเจ้าชาย จนชวิศาเริ่มเมา เขาจึงขอตัวพาคนคออ่อนไปพักผ่อน

ตอนที่เขาลุกขึ้นยืน สเตบาสเตียนก็ทำท่าจะลุกขึ้นเช่นเดียวกัน สุดฟ้าจึงบอกให้อยู่ต่อเพื่อดูแลสองพี่น้องคู่นั้น

“กลับกันได้แล้วชวิศา”

เจ้าของชื่อพยักหน้ารับ ถึงจะซวนเซไปสักหน่อย แต่ถ้ามีคนพยุงเจ้าตัวก็ทรงตัวยืนได้ แต่กระนั้น ชายหนุ่มร่างสูงก็โน้มตัวลงไปหา

“กอดคอไว้นะ”

คนเมาทำตามอย่างว่าง่าย จนกระทั่งถูกยกตัวลอยขึ้นถึงได้ส่งเสียงโวยวายออกมา “เดินเองด้าย ผมเดินเองด้าย ม่ายต้องอุ้ม”

“นอนไปเถอะน่า”สุดฟ้าหันไปพูดแค่นั้นก่อนหันไปกล่าวบอกกับเจ้าชายอีกรอบ

ทางเดินจากอาคารที่จัดงานเลี้ยงรับรองจนถึงเรือนพักมีแสงไฟส่องสว่างตลอดทาง แม้จะไม่สว่างชัดเท่ากลางวันแต่ก็ไม่เป็นอุปสรรค เสียงดนตรีจากภายในงานแว่วดังมาให้ได้ยินอยู่บ้าง ผสมกับเสียงงึมงำของชวิศา สุดฟ้ารู้สึกได้ว่ามาริเอะจับรั้งชายเสื้อของเขาไว้ตั้งแต่เดินออกมา

“มีอะไรหรือเปล่า”

“ถ้าด็อกเตอร์จะจำได้ คุณเขียนคำสั่งให้ผมรัก เทิดทูลคุณ และซื่อสัตย์ต่อคุณคนเดียว”

สุดฟ้าไม่ได้พูดอะไร เขารอแค่ให้มาริเอะพูดต่อ “ผมอยากให้คุณลบคำสั่งนั้นให้ครับ ถ้าด็อกเตอร์อยากให้ผมดูแลคุณชวิศา คำสั่งนั้นทำให้ระบบประมวลผลมองว่าคุณชวิศาเป็นปรปักษ์ในบางครั้ง”

“มันไม่น่าจะเกี่ยวกัน”

“โปรแกรมเรียนรู้ได้ทำการลงเงื่อนไขนั้นไว้ในระบบครับ ถึงผมจะเลือกปฏิกิริยาแสดงออกที่เป็นมิตรออกมาใช้งาน แต่บางครั้งระบบประมวลผลก็สั่งให้เพิกเฉยต่อการปฏิสัมพันธ์กับคุณชวิศา”

สุดฟ้ายังไม่ตอบอะไรจนพาชวิศามาถึงเรือนพักรับรอง เมื่อส่งร่างเพรียวบางในอ้อมแขนถึงเตียงเรียบร้อย เขาจึงหันไปคุยกับมาริเอะอย่างจริงจังอีกครั้ง

“รู้เหตุผลที่ฉันติดโปรแกรมเรียนรู้ให้นายใช่ไหม”

“ครับ เพื่อให้ระบบประมวลผลวิเคราะห์การแสดงออกให้ใกล้เคียงกับมนุษย์จริงๆมากที่สุด”

“อืม”สุดฟ้าดึงให้มาริเอะทรุดนั่งบนเตียงตรงหน้าเขา “ฉันรู้ว่านายอาจจะไม่ได้รู้จักสิ่งที่เรียกว่าความรู้สึกจริงๆ แต่การที่นายเห็นว่าชวิศาเป็นศัตรูไม่ถูกชะตาด้วยก็เป็นเรื่องปกติของมนุษย์ อย่างที่ชวิศาเองก็ไม่ชอบเอมมิกา มันเป็นความรู้สึกหนึ่งที่เรียกว่าหึงหวง แต่นายยังสามารถดึงปฏิกิริยาการแสดงออกที่เป็นมิตรออกมาใช้ นั่นหมายความว่านายยอมรับว่าชวิศาเป็นเพื่อน มันเป็นเรื่องที่ดีนะ”

“แต่ตอนนี้ด็อกเตอร์ไม่ได้รักผมแล้ว”มาริเอะพูดเสียงแผ่ว ราวกับว่าเขากำลังเจ็บปวดจริงๆ

“ไม่ใช่เลย”สุดฟ้าส่ายศีรษะ “ฉันรักของที่ฉันสร้างขึ้นมาทุกชิ้น เพียงแต่ฉันแยกแยะเหตุผลและเป้าหมายออกจากความรู้สึกได้ และฉันจะบอกให้รู้ไว้ว่าต่อไปนี้ฉันจะไม่สร้างหุ่นยนต์ที่มีความสามารถเพียบพร้อมเท่ากับนายอีกแล้ว สเตบาสเตียนคือเพื่อนของฉัน และนายก็จะเป็นคนรักของฉันตลอดไป”

“แล้วคุณชวิศา...”

“ความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ด้วยกันเองไม่มีอะไรที่จีรัง วันนี้รักได้ อนาคตข้างหน้าก็สามารถเลิกรักได้”

“ไม่เลิก!!!”

ไม่รู้ว่าชวิศารู้สึกตัวตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่ชายหนุ่มร่างเพรียวก็ตะโกนแทรกขึ้นมา ร่างนั้นจ้องเขม็งมาทางพวกเขา ก่อนจะคลานเข้ามาใกล้

“ผมไม่เลิกรักคุณสุดฟ้าเด็ดขาด”ชวิศาย้ำด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “ผมแอบชอบคุณมาตั้งแต่ตอนเรียนมหา’ลัยแล้ว จะมาบอกว่าในอนาคตข้างหน้าผมจะเลิกชอบคุณมันเป็นไปไม่ได้หรอกครับ ถ้าความรู้สึกนี้จะหายไปละก็ มันควรจะหายไปตั้งแต่ก่อนที่เราจะได้เจอกันอีกครั้งแล้วซิ”

ชวิศาหันไปพูดกับมาริเอะ “คุณมาริไม่ต้องกังวลเรื่องของผมนะครับ ผมไม่ได้คิดแย่งคุณสุดฟ้าไปจากคุณจริงๆ ถ้าคุณจะอนุญาต ผมขอเป็น...ม ภรรยาน้อย แล้วคุณก็เป็นภรรยาหลวง”ประโยคหลังชวิศาก้มหน้าก้มตาพูดเสียงเบาด้วยความเขินอาย “ผมจะไม่ระรานคุณเหมือนที่ทำกับคุณแอมเด็ดขาด ที่จริงที่ทำไปตอนนั้นก็เพราะคุณแอมเป็นผู้หญิง ถ้าเกิดคุณสุดฟ้าไปชอบคุณแอมมากกว่า ผมกลัวว่าคุณสุดฟ้าจะทิ้งคุณซึ่งนั่นหมายถึงคุณสุดฟ้าอาจจะไม่ชอบผมด้วยเหมือนกัน แต่ในกรณีนี้ต่อให้คุณสุดฟ้ารักคุณมากกว่าผมก็ไม่เป็นไร ขอแค่ให้ผมได้อยู่กับคุณสุดฟ้าด้วย ผมก็ดีใจแล้วครับ”

“คุณก็พูดได้สิ ด็อกเตอร์รักคุณมากกว่าผมนี่”มาริเอะโพล่งขึ้นมา ชวิศาถึงกับหน้าตาตื่น แม้จะดีใจอยู่ลึกๆ แต่คำพูดนั้นก็ใช่ว่าจะเป็นจริงเสมอไป เขาหันไปมองหน้าคนกลางอย่างสุดฟ้า

“ว่าจะถามอยู่เหมือนกันว่าทำไมคิดอย่างนั้น”สุดฟ้าถาม

“ตอนแรกที่ด็อกเตอร์รู้ว่าคุณชวิศาสลับตัวกับผม ก็ไม่ยอมให้ผมกลับ สั่งให้ผมอยู่บ้านคุณชวิศาต่อ แล้วก็ไม่เคยมีอะไรกับผมเลยด้วย”

สุดฟ้าถึงกับกุมขมับ จะโทษใครก็ไม่ได้เพราะเป็นเขาเองที่สร้างให้มาริเอะเหมือนมนุษย์ได้ขนาดนี้ “เอาเรื่องที่ไม่เคยมีอะไรกันก่อนเลยนะ เราต้องแยกแยะระหว่างความรักกับความใคร่ออกจากกัน การที่มนุษย์สองคนมีอะไรกันไม่จำเป็นต้องรักกันก็สามารถมีเพศสัมพันธ์กันได้ อย่างนี้มนุษย์เรียกว่าความใคร่ แต่ความรักจะทำให้มนุษย์สองคนอยากมีเพศสัมพันธ์กัน”

ชวิศาฟังไปก็หน้าแดงไปด้วย ส่วนมาริเอะ เขากำลังบันทึกข้อมูลทุกอย่างลงหน่วยความจำ

“ตอนแรกที่ฉันมีอะไรกับชวิศา เพราะคิดว่าเป็นนาย นายต้องรู้ว่าฉันสร้างนายขึ้นมาเพราะอยากจะมีเพศสัมพันธ์กับนาย ซึ่งความรู้สึกของฉันในตอนนั้นเรียกว่าความใคร่”

“เอ๊ะ... เดี๋ยวนะ”ชวิศาออกจากโหมดหน้าแดงกลางเป็นโหมดงุนงงแทน “เมื่อกี้ผมได้ยินว่าคุณสุดฟ้าสร้างคุณมาริขึ้นมา... ใช่ไหมครับ”

“อ่า...”สุดฟ้าตอบไม่ถูก มาริเอะเลยชิงตอบเสียแทน

“ครับ ผมเป็นหุ่นยนต์ที่ด็อกเตอร์สร้างขึ้นเพื่อให้มาเป็นคนรักครับ”ไม่ได้พูดตอบเพียงอย่างเดียว มาริเอะยังพูดด้วยความภูมิใจ คราวนี้ชวิศาหันกลับมามองหน้าสุดฟ้า จ้องเขม็งจนชายหนุ่มรู้สึกผิด เขาเบือนหน้าหนี

“คุณสุดฟ้า”ชวิศาเรียกชื่อเขาเสียงแข็ง สุดฟ้าจึงจำใจต้องหันหน้ากลับมา

“ตกลง  คุณไม่เคยรักพวกเราเลยเหรอ”

“ไม่เคยรักซะที่ไหน ด็อกเตอร์เขารักผม ก่อนหน้าที่คุณจะเข้ามาแทรกระหว่างพวกเรา”มาริเอะแย้งขึ้นมาทันที

“ฟังนะครับ คุณมาริ”ชวิศาดึงให้มาริเอะหันมาประจันหน้า เขาพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ผมไม่รู้ว่าคุณสุดฟ้าบอกกับคุณยังไง เรื่องที่เขารักคุณ”

“ด็อกเตอร์เขาโปรแกรมลงในข้อมูลพื้นฐาน”

“นั่นยิ่งแล้วใหญ่”

“เอ่อ ขอโทษนะ ขอขัดจังหวะหน่อย”คราวนี้ชวิศาตวัดสายตาขุ่นเคืองมามองเขาอย่างเต็มที่ ถ้าเป็นในอนิเมะก็จะมีเสียงชิ้งเป็นซาวด์เอ็ฟเฟ็ค

“พอดีฉันนัดกับเจ้าชายไว้ ขอตัวก่อนได้หรือเปล่า” แหมะ จ้องเหมือนอยากจะกินหัว

ชายหนุ่มเลยไม่รอคำอนุญาต เขายื่นหน้าไปแตะริมฝีปากกับชวิศาและมาริเอะอย่างรวดเร็ว “แล้วก็รีบนอนละ พรุ่งนี้ เจ้าชายจะพาไปเที่ยว จำได้ใช่ไหม” จากนั้นจึงรีบเผ่นออกจากห้อง เดินย้อนกลับไปที่อาคารที่จัดงานเลี้ยง


ออฟไลน์ ตีสี่

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 412
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-5
    • 61'

ที่นั่น เจ้าชายฟาลิฮ์ทรงยืนรออยู่ก่อนแล้ว พระพักตร์คมคายจ้องมองไปยังผืนฟ้ามืดดำเบื้องบน

“ขอประทานอภัยที่ปล่อยให้พระองค์ต้องรอครับ”

“ไม่เป็นไรครับ แค่กำลังคิดอยู่ว่าคุณอาจจะไม่สะดวกแล้วก็เป็นได้”ทรงตรัสพลางสาวพระบาทเสด็จนำ สุดฟ้าจึงก้าวเท้าเดินตาม

“ผมมีเรื่องหนึ่งที่อยากจะถามก่อน”เจ้าชายรัชทายาททรงเว้นจังหวะไปชั่วขณะเหมือนรอให้คู่สนทนาตอบรับ เมื่อเห็นว่าสุดฟ้านิ่งเงียบอย่างตั้งใจฟังจึงกล่าวต่อไปว่า “นอกจากข้อมูลเรื่องศิลาสารพัดนึกกับร่างทรงฯแล้ว คุณต้องการเงินอีกเท่าไหร่”เจ้าของคำถามหยุดพระบาทเพื่อรอสดับคำตอบอย่างจริงจัง

“ถ้าผมเรียกเงินค่าจ้างจำนวนมาก ข้อมูลที่ได้จะลดลงหรือครับ”

“ไม่ สิ่งที่บอกกล่าวแก่คนนอกได้ยังคงเท่าเดิม”

“ถ้าอย่างนั้นผมไม่อยากได้ค่าจ้างที่เป็นจำนวนเงินอีก”

สุดฟ้าเหมือนเห็นว่าเจ้าชายรัชทายาททรงพรูพระปัสสาสะอย่างโล่งพระทัย “มีอะไรหรือครับ” เขาถามสิ่งที่สงสัยออกไปตามตรง เจ้าชายฟาลิฮ์เหลือบพระเนตรมองคู่สนทนาก่อนสาวพระบาทเสด็จต่อ

“ไม่มีอะไรหรอกครับ”

“หรือที่จริงแล้วฮัชดาลลาร์ไม่ได้มั่งคั่งเท่าที่คนภายนอกรับรู้”สุดฟ้าโพล่งขึ้นมา

“ก็ไม่เชิงนัก ถ้าเรายังคงเสถียรภาพของจำนวนสินค้าที่นำเข้าและส่งออกอยู่เช่นนี้ ระบบเศรษฐกิจของเราก็จะยังคงที่ไปอีกหลายปี ถ้าผมอธิบายเรื่องศิลาสารพัดนึก คิดว่าคุณก็คงจะเข้าใจได้ทันที”

“ครับ”

“ความสามารถของศิลาสารพัดนึกก็ตามชื่อของมัน มันทำได้ทุกอย่าง จะบันดาลให้ร่ำรวยเป็นมหาเศรษฐี ขอลูกหรือแม้กระทั่งฆ่าคน ศิลาชิ้นนี้ทำได้ทุกอย่าง”

“คนที่ขโมยไปไม่รวยอย่างไม่รู้เรื่องไปแล้วหรือครับ”

“น่าจะตายไปแล้วมากกว่า”

คราวนี้สุดฟ้ามองหน้าเจ้าชายอย่างสงสัย เพราะคำพูดนั้นขัดกัน “เพราะมีเงื่อนไขในการใช้อยู่” เขากล่าวออกมาตามที่คิด

“ครับ ศิลาสารพัดนึกสร้างมาจากหินธรรมดาที่หาได้ทั่วไปในฮัชดาลลาร์หรือบนโลกใบนี้ แต่มีคุณสมบัติอยู่สามประการ หนึ่งต้องเป็นหินใสไม่มีสิ่งใดเจือปน สองเป็นหินที่อาบแสงทิวาและราตรีมาอย่างน้อยหนึ่งหมื่นราตรี สามต้องดูดซับพลังเวทย์ได้โดยไม่แตกสลายไปเสียก่อน”

“เจ้าชายไม่ได้เป็นโอตาคุใช่ไหม”เขาต้องถามก่อน เพราะเห็นว่ามีโอกาสเป็นแนวร่วมมาแต่ไกล

“เคยมีคนกล่าวไว้ว่า ‘จิตนาการมาจากชีวิตจริง และชีวิตจริงๆมันยิ่งกว่าในจิตนาการ’ ”ทรงแย้มพระสรวลตอบกลับมา “กลับมาที่การสร้างศิลาสารพัดนึกกันต่อ หลังจากที่เราหาหินแบบนั้นได้แล้ว เราจะใช้นักเวทย์ห้าคนบริกรรมคาถาต่อเนื่องอีกหนึ่งพันราตรี”

“ก็ไม่นานนะ”

“ครับ ขั้นตอนที่ยากที่สุดก็ตอนที่หาหินสำหรับมาทำศิลาสารพัดนึกนี่ละ สำหรับเงื่อนไขการใช้งาน ผู้ใช้ต้องมีพลังเวทย์มากพอให้ศิลาสารพัดนึกดูดซับไปใช้งาน ยิ่งขอในสิ่งที่ยากมากขัดต่อตรรกะความเป็นไปของธรรมชาติในโลก ก็ยิ่งต้องใช้พลังเวทย์มาก สมมติ คุณทำจากแตก และใช้พลังของศิลาสารพัดนึกในการซ่อมทำให้จานกลับมาเป็นเหมือนเดิม ศิลาจะร้องขอพลังเวทย์จากคุณหนึ่งส่วนจากสิบส่วนในการซ่อม ในกรณีเดียวกันถ้าคุณต้องการซ่อมเครื่องบินโบอิ้งที่พังยับเยินให้มาเป็นเหมือนเดิม ศิลาจะร้องขอพลังเวทย์สิบห้าส่วนในขณะที่คุณมีพลังเวทย์แค่สิบส่วน ถ้าคุณฝืน คุณก็อาจจะตายได้”

“แล้วตอนที่ใช้พลังของศิลาสารพัดนึก เจ้าศิลานั่นก็คงไม่ได้โชว์หน้าจอว่าต้องใช้พลังงานแค่ไหน ยืนยันการดำเนินการหรือไม่ ใช่ไหม”

“ถูกต้องครับ”

เจ้าชายฟาลิฮ์พาเขามาหยุดที่ประตูบานหนึ่ง ด้านหน้ามีทหารยามยืนเฝ้าอยู่สี่คน เมื่อทหารเหล่านั้นเห็นพระองค์ต่างก็ยกมือทำความเคารพ จากนั้นจึงทรงผลักบานประตูเข้าไป

“ผมคงพาคุณไปดูพิธีกรรมการทำศิลาสารพัดนึกไม่ได้ ที่นั่นจะอนุญาตให้นักเวทย์ที่เกี่ยวข้องเข้าไปเท่านั้น ส่วนห้องนี้เป็นที่ประทับของร่างทรงผู้กำกับมนตราพิทักษ์”เจ้าชายพาเขาผ่านบานประตูอีกบานที่มีทหารยามอีกชุดยืนเฝ้าอยู่เช่นเดียวกัน ภายในเป็นห้องกว้าง แขวนผ้าแพรประดับไว้ตามเสา กลางห้องมีเตียงนอนซึ่งมีคนนอนอยู่

“เราก้าวเข้าไปใกล้กว่านี้ไม่ได้แล้ว”

เพราะคำพูดนั้น สุดฟ้าจึงได้ก้มหน้าลงมองที่พื้น อักขระลวดลายแปลกตาถูกเขียนไว้มากมายจนเต็มพื้นที่ เขามองคนที่นอนอยู่บนเตียงอีกครั้งก่อนจะเอ่ยถามด้วยเสียงที่เบาคล้ายเสียงกระซิบ ภายในห้องนี้เงียบสนิทจนเขาไม่กล้าเสียงดัง

“ผู้หญิงใช่ไหมครับ”

“ครับ เป็นจอมเวทย์คนเดียวที่เรามีอยู่ในขณะนั้น”เจ้าชายฟาลิฮ์ทอดพระเนตรนิ่ง ไม่ต้องถามสุดฟ้าก็พอเดาได้ว่า คนบนเตียงคงจะมีความสำคัญกับเจ้าชายรัชทายาทไม่น้อย มองไกลๆยังเห็นเค้าความสวย ไม่แน่ว่าอาจจะเป็นคนรักของเจ้าชาย

“คงไม่ใช่แค่... นอนเฉยๆใช่ไหม”

“ครับ”ตรัสพลางหมุนพระวรกายเสด็จออกจากห้อง “เพราะเราต้องการให้มนตราพิทักษ์คลอบคลุมพื้นที่ทั้งหมดของฮัชดาลลาร์ ร่างทรงเลยต้องผนึกจิตให้อยู่ในสมาธิตลอดเวลา”

“หมายความว่า ไม่กิน ไม่ขยับ ไม่ทำอะไรเลย” ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงๆ สุดฟ้าก็ไม่แปลกใจเลยที่ร่างกายของมนุษย์จะทนไม่ไหว

“ครับ สิบปีมาแล้วที่เธอนอนอยู่เช่นนั้น”

เฮ้ย!!! สิบปี สุดฟ้าอยากจะร้องอุทานออกไป แต่ทางเดินที่เงียบสงัดเป็นตัวยั้งเสียงเขาไว้และกลายเป็นเสียงบ่นพึมพำเสียแทน “จะเป็นไปได้อย่างไร”

เจ้าชายรัชทายาทจึงเสด็จนำเขามาที่ห้องห้องหนึ่ง เชื้อเชิญให้เขานั่งลง ก่อนจะเริ่มต้นอธิบาย ระหว่างนั้นนางกำนัลก็นำชามาเสริฟ ชาหอมกรุ่นบรรจุอยู่ในแก้วดินเผาคล้ายแก้วชาของญี่ปุ่น ชารสชาติเฝื่อนขมแต่กลิ่นหอมจนต้องยกจิบอีกรอบ

“ที่ฮัชดาลลาร์เราจะแบ่งผู้ที่สามารถใช้เวทมนตร์ได้ออกเป็นสามระดับ นักเวทย์ จอมเวทย์ และมหาเวทย์”เจ้าชายทรงชูพระหัตถ์ขึ้นประกอบคำอธิบาย “การใช้มนตราคือการร่ายคาถาประกอบกับพลังเวทย์ของผู้ใช้มนต์นั้นๆ ผู้ที่ใช้พลังได้เฉพาะพลังของตัวเองจะเรียกว่านักเวทย์ จอมเวทย์คือผู้ที่สามารถยืมพลังจากพื้นดินมาใช้ และมหาเวทย์คือผู้ที่สามารถใช้พลังได้โดยไม่มีขีดจำกัด”

“ใครที่เป็นมหาเวทย์นี่ก็เทพสุดๆเลย”

“แต่ก็ไม่ใช่ใครที่จะเป็นได้ ว่ากันว่าศิลาสารพัดนึกชิ้นที่ถูกขโมยไปถูกสร้างโดยมหาเวทย์เมื่อสองพันปีก่อน ตามตำนานเล่าว่า ชายคนที่มีพลังมหาเวทย์ใช้เวลาเจ็ดราตรีในการหลอมหินสำหรับทำศิลาสารพัดนึก และใช้เวลาอีกเจ็ดราตรีในการบริกรรมคาถาให้ศิลาสารพัดนึกสามารถใช้งานได้”

“แล้วทำอย่างไรถึงจะเป็นมหาเวทย์ได้หรือครับ”

“ไม่มีใครรู้ว่าทำไมเขาคนนั้นถึงมีพลังในระดับมหาเวทย์ ตลอดระยะเวลาสามพันปีที่ผ่านมาไม่มีใครที่มีพลังระดับนั้นอีกเลย แต่ก็ยังมีคนที่มีพลังระดับจอมเวทย์ปรากฏขึ้นมาบ้าง คนที่มีพลังระดับจอมเวทย์จะมีพลังนั้นติดตัวมาตั้งแต่เกิด ส่วนคนที่มีพลังระดับนักเวทย์ถ้าต้องการเพิ่มระดับของพลังก็ต้องฝึกฝนตราบชั่วชีวิตของตน”

สุดฟ้าครางไม่เป็นภาษาอยู่ในใจ ไอ้ที่เขาอยากใช้เวทมนต์ได้สักบทสองบทก็เป็นไปไม่ได้เลยนะซิเนี่ย ใครมันเป็นคนกำหนดฟร่ะ

“เท่ากับว่า ใครเกิดมาไม่มีพลังก็ไม่ต้องเป็นนักเวทย์กันเลย”สุดฟ้าพูดด้วยความเซ็ง

“ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกครับ ถ้าเราเปิดจุดจักระก็สามารถดึงพลังมาใช้ได้”

“เห๋!!!”

“วันนี้พอแค่นี้ก่อนไหมครับ ไว้ผมจะพาคุณสุดฟ้าไปดูโรงเรียนสอนเวทมนต์ของฮัชดาลลาร์”

ถ้าเจ้าชายฟาลิฮ์ไม่ยืนยันว่าโรงเรียนไม่เปิดให้เข้าชมตอนกลางคืนละก็ สุดฟ้าคงจะรบเร้าให้พาไปดูเสีเดี๋ยวนั้นแล้วละ


+++++โปรดติดตามตอนต่อไป+++++

ออฟไลน์ ตีสี่

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 412
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-5
    • 61'
*// สวัสดีค่ะ ก่อนอื่นต้องขอบคุณทุกท่านที่ติดตามมาจนถึงบทนี้

สนุกมากๆ ชวิศาน่ารัก ว่าแต่เข้ามาล้วงความลับอะไรของสุดฟ้า สุดหื่นกันนะ

ลักลับ ซ่อนเงื่อน เพื่อนทรยศ

สนุกมากกกก :ling1:

สนุกมากกก กอ/ไก่เยอะๆๆเลย เห้ยยยย พระเอกแบบโคตะระเพี้ยน 555555 น่ารักแฮะ

ขอบคุณค่ะที่บอกว่าเรื่องนี้สนุก เราเป็นพวกเล่าเรื่องตลกไม่ตลกค่ะ เลยค่อนข้างจะกังวลอยู่เหมือนกัน
เราอยากจะเขียนเรื่องนี้ให้ออกมาแบบป่วงๆฮาๆ ซึ่งตอนนี้มันออกทะเลไปไกลมากและรู้สึกห่างไกลคอนเซ็ปตอนแรกมาก
และบางตอนคนเขียนรู้สึกว่าออกจะน่าเบื่อไปเหมือนกัน ที่เขียนอย่างนี้ไม่ใช่จะเลิกเขียนนะคะ แค่จะบอกว่า
เรื่องนี้จะจบตรงที่ พ่อหนุ่มสุดฟ้าของเราทำงานให้ฮัชดาลลาร์เสร็จและกลับบ้านค่ะ ส่วนโน่นนี่นั่นมากมายต้องกลับไปนอนคิดก่อนค่ะ
ตอนนี้เรื่องมันกลายเป็นแฟนตาซีไปซะแล้ว ซึ่งก่อนหน้านี้เราตั้งใจให้มันคือนิยายรักกุ๊กกิ๊กตามชื่อเรื่องนะ
เราเริ่มเขียนเรื่องนี้เมื่อหลายปีก่อนในรูปแบบของแฟนฟิคค่ะ และไม่ได้เอาลงที่ไหนเพราะเรื่องตันไปซะก่อน
เขียนได้ถึงตอนที่ห้าค่ะ และพล็อตในหัวตอนนั้นจบลงตอนชวิศาจะกลับฝรั่งเศส แล้วสุดฟ้าก็ตามไปที่สนามบิน
มันสั้นมากกกก เมื่อคิดไม่ออกเลยต้องหยุดไปก่อน และที่เราเอามาลงเพราะปีนี้(2017)มีข่าวว่า ตุ๊กตายางระบบAI จะวางจำหน่างแล้วววว
แล้วซิ ถ้าเราไม่ชิงลงมือก่อน พ่อหนุ่มสุดอัจฉริยะของเราก็ไปก็อปเขามานะดิ เรื่องทั้งหมดก็ด้วยประการฉะนี้แล
ตอนหลังๆนี้เลยต้องด้นสด แล้วก็ไม่มีอะไรลึกลับซับซ้อนด้วย จนบางตอนรู้สึกว่า ง่ายไปไหม
อย่างเรื่องพ่อหนุ่มสุดฟ้าพาคุณเอมมิกาไปคืนเจ้าชายอ่ะ

สุดท้ายนี้ ขอความกรุณาให้ทุกท่านติดตามต่อไปด้วยนะคะ ถึงดูเหมือนจะใกล้จบ แต่ยังเหลืออีกหลายตอน....มั้ง
ไม่รู้เหมือนกันค่ะ เรายังเขียนไม่ถึงไหน ตอนใหม่ของอาทิตย์หน้ายังไม่ถึงหน้าด้วยซ้ำ
อย่างไรก็ตามขอขอบคุณอีกครั้งค่ะ
ติดตามอ่านตอนที่สิบสี่ได้ด้านล่างค่ะ//*






ตอนที่สิบสี่



เวลาในการนอนแค่สองสามชั่วโมงไม่นับว่าเป็นปัญหาของสุดฟ้า เพราะต่อให้ไม่นอนเลยยี่สิบสี่ชั่วโมง หน้าของเขาก็ยังเด้งเหมือนเดิม ต่างกับฝาแฝดสองพี่น้องที่มีอาการแฮ้งค์อย่างหนักทั้งที่เคยได้ฉายานักดื่มคอทองแดง

“หรือเพราะแก่แล้วว่ะ”ธัชนันท์กล่าวขึ้นมาลอยๆ พลางรับน้ำขิงจากสเตบาสเตียนมาดื่มอีกแก้ว

“แล้ววันนี้จะไหวป่ะเนี่ย”สุดฟ้าถาม ขณะที่ลงมือทานอาหารที่ชวิศานำมาให้ รายนี้ก็ทำท่ามึนตึงกับเขาอยู่เหมือนกัน แต่ยังใส่ใจดูแลเขาอย่างดี สุดฟ้าเลยไม่มีปัญหา เมื่อตักข้าวต้มเข้าปากเขาก็ต้องขมวดคิ้วเพราะรสชาติเหมือนเดิมเด๊ะ

“ทำกันเองเหรอ”ชายหนุ่มหันไปถาม ที่นั่งข้างหนึ่งยังเป็นของชวิศาส่วนอีกข้างเป็นของมาริเอะ แต่คำถามนั้นมาริเอะเป็นคนอ้าปากตอบ

“ครับ เพราะเห็นว่ามีครัวให้ใช้เลยไม่อยากรบกวนคนของฮัชดาลลาร์”

“แล้วเรื่องเมื่อคืนว่าไง”

“ผมโกรธมากกกกกกกกก”ชวิศาว่า เขาลากเสียงยาวที่คำสุดท้ายเพื่อบ่งบอกว่ามากจริงๆ

“ถ้าตอนนี้บอกว่ารักแล้วจะโอเคป่ะเนี่ย”

“โอ้ย!!! จะอ้วก”ธัชนันท์พูด “อย่ามาพูดอะไรเลี่ยนๆตอนนี้ได้ป่ะว่ะ แค่นี้ก็พะอืดพะอมจะตายแล้ว เดี๋ยวอ้วกใส่หน้าจริงๆหรอก”
สุดฟ้าหัวเราะ ฝาแฝดคนพี่เลยพูดขึ้นมาบ้าง “อยากรู้ว่าเรื่องมันเป็นยังไงเนี่ย ถามพวกเราเลย เราสองคนอยู่ในเหตุการณ์เดี๋ยวเล่าให้ฟังแบบละเอียดยิบไม่มีตกหล่นเลย”

“ว่ามาเลยไอซ์ เราอยากฟัง”

“เฮ้ยๆ รีบกินก่อนดีไหม นัดเจ้าชายไว้เนี่ย”สุดฟ้ากล่าวขัด

“ทำไมตื่นเต้นนักว่ะ เมื่อวานที่ซีกับมาริชวนไปเดินเที่ยวยังไม่ตื่นเต้นเลย”ธัชนันท์เอ่ยปากถาม

“ก็เจ้าชายฟาลิฮ์จะพาไปดูฮอกกอตส์”

“อะไรว่ะ ฮอกกอตส์ โรงเรียนสอนเวทมนต์ในแพรี่เหรอว่ะ”ธัชนนท์ถาม

“ถ...ถูกต้องนะคร้าบ”สุดฟ้าชี้มือเลียนแบบพิธีกรในรายดังของไทย

“อย่างนั้นด็อกเตอร์เชื่อผมแล้วใช่ไหมว่าที่นี่เป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์ซึ่งเป็นจุดศูนย์กลางของพลังปราณโลกา”มาริเอะเลยกระตือรือร้นขึ้นมาบ้าง

“ง่ะ เจ้าชายไม่เห็นจะพูดถึงสักกระพีก ฉันว่าข่าวนายมันมั่วว่ะมาริ...”เอะ เก็บไว้ในใจเพราะเจ้าของชื่อจ้องเขาเขม็ง “หาข่าวมาจากไหน เพจบุ๊คป่ะเนี่ย มันชอบมีข่าวมั่วนะ ระวังหน่อย”

“จากที่ไหน... ก็จากเว็บไซต์ของโรงเรียนคาร์มานาอย่างไรละครับ”

“โรงเรียนคาร์มานาเป็นโรงเรียนสอนการใช้เวทมนต์ในสังกัดกระทรวงศึกษาของฮัชดาลลาร์ มีนักเรียนทั้งสิ้นห้าพันสามร้อยแปดสิบแปดคน แบ่งการศึกษาเป็นสี่ระดับ มีระดับอนุบาล ประถมศึกษา มัธยมศึกษาตอนต้นและมัธยมศึกษาตอนปลาย”

“นายเยี่ยมมากสเตบาสเตียน”มาริเอะยกนิ้วโป้งและปรบมือให้ “ด็อกเตอร์ก็รีบกินซิครับ พวกเราจะได้ไปดูโรงเรียนคาร์มานากัน”
บอกได้เลยว่าสุดฟ้าไม่ชอบไอ้ท่าทางลอยหน้าลอยตาแบบนี้ของมาริเอะมากที่สุด



การเดินทางของพวกเขาในวันนี้ เจ้าชายฟาลิฮ์ได้จัดรถม้าเทียมเกวียนเตรียมไว้ให้ ปูเบาะผ้าอย่างหนาผืนใหญ่แบบที่ต้องถอดรองเท้าก่อนจึงจะเข้าไปนั่งได้ ภายในกว้างขวางมากพอสำหรับพวกเขาแปดคน รวมเจ้าชายและบาซิมเป็นสิบคน คนบังคับม้าอีกสองคน นับว่ามีคนติดตามเจ้าชายน้อยมาก

“เห็นว่าประเทศไทยกำลังนิยมการท่องเที่ยวแบบวิถีชาวบ้าน ผมเลยจัดพาหนะแบบนี้มาให้”

ไม่มีใครเดือดร้อนกับการเดินทางด้วยเกวียน เพราะรู้อยู่แล้วว่าภายในฮัชดาลลาร์มีแค่รถไฟฟ้ากับรถไฟใต้ดิน ถ้าไม่ใช้เกวียนก็คงจะมีแต่เดินเท้า...เท้าใครเท้ามัน

“แล้วเจ้าชายไม่ต้องมีองครักษ์หรือครับ”ชวิศาถาม

“บาซิมเป็นองครักษ์ฝีมือดีของผมอยู่แล้วครับ อีกอย่าง ภายในฮัชดาลลาร์ค่อนข้างสงบสุขไม่ค่อยมีเรื่องร้ายแรงเกิดขึ้นสักเท่าไหร่”

ชวิศาพยักหน้ารับรู้ ที่ถามเพราะห่วงความปลอดภัยของเจ้าชายเป็นหลัก แต่ในเมื่อเจ้าบ้านว่าเช่นนั้นเขาจึงไม่มีข้อกังขาอีก
ถนนหนทางในฮัชดาลลาร์เป็นถนนดินที่ไม่ได้เรียบสม่ำเสมอกันทั้งหมด แต่ไม่มีหลุมมีบ่อขนาดใหญ่ จึงเหลือแค่อาการสะเทือนเพราะเกวียนไม่มีโช้คคอยลดแรงกระแทก กระนั้นเบาะผ้าหนาๆก็ทำหน้าที่ของมันได้อย่างดี

สองข้างทางเป็นหมู่แมกไม้ที่เมื่อเงยมองสูงขึ้นไป จะเห็นเสาปูนรองรับรางของรถไฟฟ้า บางจุดที่ใกล้แหล่งชุมชนพวกเขาจะเห็นทางลงสถานีรถไฟใต้ดินอยู่ข้างต้นไม้ใหญ่ ถนนดินที่พวกเขาใช้งานอยู่ถึงมีคนใช้งานสัญจรอยู่บ้าง แต่ก็น้อยนัก กระทั่งรถม้าเทียมเกวียนเคลื่อนที่มาถึงแหล่งชุมชนอีกครั้ง ครั้งนี้น่าจะเป็นเมืองใหญ่พอควร เพราะถนนดินกลายเป็นพื้นปูด้วยอิฐที่มีการแบ่งเขตถนนอย่างชัดเจน อาคารบ้านเรือนถูกปลูกสร้างอย่างหนาแน่นด้วยสถาปัตยกรรมหลากหลาย มีทั้งหอระฆังและหอนาฬิกาที่สามารถมองเห็นได้จากที่ไกลๆ

“เขตนี้เป็นที่ตั้งของโรงเรียนและมหาวิทยาลัยของเราครับ ผู้คนเลยค่อนข้างพลุกพล่าน”เจ้าชายฟาลิฮ์ตรัสอธิบาย เมื่อเห็นว่าผู้ร่วมคณะให้ความสนใจบรรยากาศรอบตัวหลังจากคุยกันเองมาตลอดระยะเวลาเดินทาง

“แต่เดิมที่นี่เป็นที่ตั้งวังหลวงของฮัชดาลลาร์ ก่อนจะมีการย้ายไปเมื่อร้อยปีก่อน พระราชวังเดิมจึงกลายเป็นมหาวิทยาลัยอินดราจาร์”

“ทำไมถึงย้ายละครับ”ชวิศาเอ่ยปากถาม

“เพราะประชากรในเขตนี้เริ่มเยอะขึ้นครับ เลยมีความคิดที่จะสร้างเมืองใหม่”

สุดฟ้าที่ได้ฟังคำตอบนั้นรู้ได้ทันทีว่า เจ้าชายฟาลิฮ์กำลังตรัสโป้ปด แต่เขายังคงนิ่งเงียบ รอจนกระทั้งเกวียนเทียมม้าจอดที่หน้าประตูใหญ่ของมหาวิทยาลัยอินดราจาร์ เมื่อเจ้าชายเสด็จลงจากเกวียน พวกเขาจึงมายืนอยู่หน้าประตูของมหาวิทยาลัยด้วยเช่นกัน กลุ่มของพวกเขาอยู่ในชุดพื้นเมืองที่เจ้าชายฟาลิฮ์จัดเตรียมไว้ให้ ดังนั้นแม้หน้าตาจะผิดแปลกไปบ้างแต่ก็ไม่เป็นจุดสนใจ

“ที่นี่คือมหาวิทยาลัยอินดราจาร์ครับ”ที่จะเรียกความสนใจจากคนทั่วไปซึ่งกำลังเดินเข้าออกผ่านประตูใหญ่ของมหาวิทยาลัยคงจะเป็นข้อความภาษาอังกฤษของเจ้าชายที่ใช้สื่อสารกับพวกเขา

“หลังจากมีการย้ายพระราชวัง พระราชวังซูบราฮ์แห่งนี้ก็ถูกทิ้งร้างไปประมาณยี่สิบปีก่อนจะมีการบูรณะขึ้นมาใหม่เพื่อก่อตั้งเป็นมหาวิทยาลัยอินดราจาร์ เปิดสอนในสาขาวิชาแพทย์ วิทยาศาสตร์ วิศวกรรมศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ และรัฐศาสตร์”

มาริเอะชูมือขึ้นสูงพลางโบกไปโบกมาอย่างกระตือรือร้น เมื่อเจ้าชายผายพระหัตถ์อนุญาตให้พูด หุ่นยนต์สมองกลอย่างมาริเอะก็ทำท่าราวกับจะแปลงร่างเด็กนักเรียนที่กำลังมาทัศนศึกษานอกสถานที่ทันที

“ไม่มีการสอนเวทมนต์หรือครับ”

เจ้าชายฟาลิฮ์นิ่งงัน หันไปทอดพระเนตรมองสุดฟ้าที่กระพริบตาปริบๆส่งให้พระองค์ “ไม่ทราบว่า เวทมนต์ที่คุณมาริหมายถึง คืออะไรครับ”

คำตอบนั้นทำให้สุดฟ้ารู้ได้ทันทีว่า เจ้าชายไม่ต้องการเปิดเผยความสามารถและพลังในการใช้มนตราให้กับคนภายนอกได้รับรู้ อุปกรณ์และเทคโนโลยีอำนวยความสะดวกมากมายอาจมีไว้เพื่อให้ประชาชนในประเทศลดการใช้เวทมนต์ลง

มาริเอะทำหน้างง แต่ข้อมูลข่าวสารมากมายบนเครือข่ายออนไลน์ที่หุ่นยนต์สมองกลได้ทำการตรวจสอบยืนยันแน่ชัดว่าประเทศแห่งนี้มีการใช้งานพลังอำนาจที่นักวิทยาศาตร์แบบด็อกเตอร์ผู้เป็นเจ้านายของเขาไม่สามารถพิสูจน์ได้

“ด็อกเตอร์ ขออนุญาตเปิดเผยข้อมูลครับ”มาริเอะหันไปถามสุดฟ้าด้วยภาษาไทย

นี่เป็นหนึ่งในกฎที่สุดฟ้ากำหนดไว้

ทั้งมาริเอะและสเตบาสเตียนเป็นหุ่นยนต์สมองกลที่สามารถแทรกซึมได้ทุกระบบบนโลกออนไลน์ สองคนนั้นสามารถดึงข้อมูลจากทุกแหล่งบนโลก มาประมวลผลและกลั่นกรองจนได้ข้อมูลที่ถูกต้องเพียงหนึ่งเดียว และบางสิ่งบางอย่างก็เป็นความลับที่ไม่ควรนำมาเปิดเผย ความลับที่แม้แต่ตัวเขาเองไม่ควรรู้ และไม่ว่าใครก็ไม่ควรรู้ว่าหุ่นยนต์ของเขามีความสามารถเช่นนี้

ดังนั้น การเปิดเผยความลับและความสามารถนี้ จำเป็นต้องขออนุญาตเปิดเผยข้อมูลจากเขาก่อน

“ไม่อนุญาต”

“เฮ้ยๆ อะไรว่ะ”ธัชนันท์โวยวายออกมาเป็นภาษาไทยเช่นเดียวกัน “เรื่องอะไรกันนะ มีอะไรปิดบังพวกฉันว่ะ”

สุดฟ้าพลาดไปแล้วที่พูดถึงโรงเรียนสอนเวทมนต์ของฮัชดาลลาร์บนโต๊ะอาหารเมื่อเช้า เพราะนั่นเหมือนเป็นการอนุญาตกลายๆให้ทั้งมาริเอะและสเตบาสเตียนสามารถเปิดเผยข้อมูลนี้ต่อบุคคลอื่นได้ โชคดีที่ครั้งนี้เขาปิดปากเงียบ ไม่อย่างนั้นเรื่องที่เจ้าชายฟาลิฮ์ไม่อยากพูด คงหลุดออกมาเป็นพรวน

“ไม่มีอะไรทั้งนั้นแหละ”เขาตอบตัดบท และหันไปพูดกับเจ้าชายด้วยภาษาอังกฤษว่า “เชิญ เจ้าชายต่อได้เลยครับ”

“เฮ้ย ฉันสองคนเป็นเพื่อนของแกนะเว้ย”ฝาแฝดคนน้องยังคงโวยวายต่อ จนสุดฟ้ารู้สึกเกลียดคำว่าเพื่อนขึ้นมาตะหงิดๆ

“เจ้าชายครับ พวกเรารู้หมดแล้วละว่าประชาชนในฮัชดาลลาร์สามารถใช้เวทมนต์ได้ เพราะฉะนั้นเชิญอธิบายเรื่องของเวทมนต์ให้พวกเราฟังได้เลยครับ”ธัชนนท์บอกเจ้าชายห่งฮัชดาลลาร์ด้วยท่าทางสุภาพ สุดฟ้าหันหน้าหนีผิวปากทำเป็นไม่รู้เรื่องรู้ราวทันทีที่เห็นสายพระเนตรของเจ้าชายรัชทายาท

เจ้าชายหนุ่มผู้ทรงเป็นเชื้อพระวงศ์แห่งประเทศเล็กๆแห่งนี้ ทรงถอนพระปัสสาสะก่อนจะดำรัสต่อไปด้วยพระสุรเสียงสุภาพว่า “อย่างที่พวกคุณรู้ ประชาชนในฮัชดาลลาร์ราวๆเก้าสิบเปอร์เซ็นต์สามารถใช้เวทมนต์ได้ ตั้งแต่อดีตกาลเรามีโรงเรียนสอนเวทมนต์เพื่อสอนวิธีการใช้งานและควบคุมพลัง แต่ว่าปัจจุบันเราจะมีโรงเรียนสำหรับการเรียนการสอนแบบปกติธรรมดาด้วยเช่นกัน ตอนนี้เรากำหนดให้แค่โรงเรียนคาร์มานากับมหาวิทยาลัยอินดราจาร์เท่านั้นที่สามารถมีวิชาเวทมนต์ได้”

“ทำไมละครับ มีคนใช้เวทมนต์ได้เยอะๆก็น่าจะดีนี่ครับ”ชวิศาถาม

“คนที่ใช้เวทมนต์ก็มนุษย์ธรรมดาครับ มีรักโลภโกรธหลงความอยากมีอยากได้ ไม่ใช่ว่ามีคนที่สามารถใช้เวทมนต์ได้เยอะแล้วจะก่อให้เกิดประโยชน์กับประเทศ สาเหตุที่เมื่อร้อยปีก่อนต้องย้ายที่ตั้งพระราชวังก็เพราะเกิดสงครามกลางเมืองครับ เป็นการสู้รบเพื่อแย่งชิงราชบัลลังก์ หลังจากนั้นมาราชสำนักก็มีกฎว่ากษัตริย์ผู้ปกครองประเทศสามารถมีพระราชโอรสหรือธิดาได้เพียงพระองค์เดียว”

“เข้มงวดจัง ไม่กลัวว่ารัชทายาทจะสิ้นพระชนม์ไปก่อนบ้างหรือครับ”

“ก็ยังไม่มีเหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นนี่ครับ”เจ้าชายตรัสตอบ และเล่าให้ฟังอีกว่า “ตามที่เล่าขานกันมา เมืองที่เราเห็นอยู่ตอนนี้พังราบจนไม่มีเหลือ ขนาดพระราชวังซูบราฮ์ที่เล่ากันว่าถูกสร้างจากเวทมนต์ด้วยพลังของมหาเวทย์เมื่อสองพันปีก่อนยังเสียหายไปบางส่วน”

“สองพันปี!!!” พี่น้องสุวราลักษณ์อุทานออกมาพร้อมกัน พวกเขามองอาคารหลังคาทรงโดมยอดแหลม ค้ำยันด้วยเสาร์กลมแบบศิลปะโรมันตรงหน้าด้วยความทึ่ง เพราะมันเกินไปจากจิตนาการไปมากโข

“ครับ ฮัชดาลลาร์มีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้มามากกว่าสองพันปีแล้วครับ”




ในที่สุดเจ้าชายฟาลิฮ์ก็พาพวกเขามาเยี่ยมชมโรงเรียนคาร์มานาที่สุดฟ้ารอคอย ชายหนุ่มบอกได้เลยว่าที่นี่มีกลิ่นอายการใช้เวทมนต์ที่เข้มข้นมากๆ

“ดูการเรียนการสอนเหมือนโรงเรียนปกติเลยเนอะ”

“นั่นสนาม’บอลใช่ม่ะ เหมือนกำลังเรียนพละอยู่เลยว่ะ”

“วิ่งแข่งละ สงสัยวิ่งร้อยเมตรกันอยู่”

สองพี่น้องฝาแฝดพูดคุยกันอย่างไม่ตื่นเต้นด้วยภาษาไทย ซึ่งเมื่อกวาดสายตาจนทั่ว ความคาดหวังที่จะได้เห็นนักเรียนในโรงเรียนขี่ไม้กวาดบินได้แบบในหนังมลายหายไปทันที นอกจากอาคารเรียนที่เป็นสถาปัตยกรรมเก่าแก่จนดูขลังยิ่งกว่าในภาพยนตร์พ่อมดแล้ว นอกจากนั้นทุกอย่างดูปกติ ชนิดที่ว่าถ้าเจ้าชายบอกว่า นี่เป็นโรงเรียนธรรมดา มันก็คือโรงเรียนธรรมดาจริงๆ

“วิ่งแข่งที่มิสเตอร์สุวราลักษณ์เห็นอาจจะเหมือนว่าเป็นวิชาเรียนธรรมดา แต่ไม่ใช่วิชาเรียนธรรมดาหรอกครับ”

สุดฟ้าขมวดคิ้วสงสัย เจ้าชายรู้ได้ย่างไรว่าสองคนนั้นคุยอะไรกัน

“เจ้าชายเขาถามคุณชวิศาเมื่อกี้นี้ครับ”มาริเอะกระซิบบอก ขณะก้าวเท้าเดินตามไกด์นำทัวร์ไปใกล้สนามกีฬา

“ปัจจัยหลักในการใช้เวทมนต์คือจักระ”

“อันนี้ผมทราบครับ”ธัชนันท์ชูมือขึ้นสูงด้วยท่าทางกระตือรือร้นขึ้นมาบ้าง “จักระคือพลังที่หมุนเวียนในร่างกาย อ้างอิงที่มาจากนินจาซะโหลซะเหล มารุโตะครับ”

“ครับ ตามนั้น”เจ้าชายยิ้มบาง “โรงเรียนจะแบ่งระดับชั้นของนักเรียนตามระดับพลังและความสามารถในการควบคุมจักระ ถ้ามีพลังมากและสามารถควบคุมจักระได้คล่องแคล่ว ต่อให้อายุยังน้อยก็สามารถเรียนในชั้นเรียนระดับสูงได้เช่นเดียวกัน”

เจ้าชายฟาลิฮ์ทรงเปิดประตูและก้าวเข้าไปในสนาม อาจารย์ผู้สอนวิชานั้นเมื่อเห็นเชื้อพระวงศ์สูงศักดิ์เสด็จมา ก็ลุกขึ้นยืนทำความเคารพทันที ไม่เว้นแม้แต่เด็กนักเรียนที่กำลังนั่งบ้างยืนบ้าง ต่างลุกขึ้นมายืนรวมเข้าแถวอย่างรวดเร็ว ในกลุ่มนักเรียนเหล่านั้น มีเด็กคนหนึ่งที่มองดูแล้วน่าจะอยู่ในวัยประถม

“ฮาซีฟ” ประโยคหลังจากชื่อนั้นเป็นภาษาพื้นเมือง เด็กคนก้าวมายืนตรงหน้าเจ้าฟาลิฮ์ และทำเคารพด้วยท่าทางแข็งแรงจริงจัง เจ้าชายหนุ่มลูบพระหัตถ์บนศีรษะด้วยความเอ็นดู

“น้องชายของบาซิมครับ ปีนี้อายุสิบสองแล้ว แต่ตอนนี้อยู่เยียร์สิบเอ็ด ลำดับชั้นเรียนของเราเทียบเท่ากับของอังกฤษ ก็ประมาณ มัธยมศึกษาปีที่สี่ของไทย”

พวกเขาหันมองบาซิมที่เดินตามพวกเขามาเงียบๆทางด้านหลังทันที ชายหนุ่มร่างเล็กยังคงยิ้มแย้มให้อยู่เช่นเดิม จากนั้นเจ้าชายก็หันไปตรัสกับอาจารย์ผู้สอน

“ทรงตรัสว่า ให้อาจารย์ทำการสอนไปตามปกติครับ และถามคุณฮาซีฟว่าถึงคิวที่จะวิ่งหรือยัง วิ่งแล้วครับ ตอนนี้รอคิววิ่งสี่ร้อยเมตรอยู่ฮับ”ประโยคหลังๆมาริเอะปรับเสียงเป็นเสียงเด็กด้วย ชวิศาเลยหัวเราะคิกคักอย่างชอบใจ

“แล้วสถิติวันนี้ได้เท่าไหร่”มาริเอะพูดด้วยเสียงทุ้มๆให้คล้ายกับเสียงเจ้าชาย ที่จริงเข้าสามารถเลียนเสียงให้เหมือนอย่างไม่ผิดเพี้ยนเลย ก็สามารถทำได้ แต่มีกฎข้อห้ามที่ไม่ให้เปิดเผยความสามารถที่แตกต่างจากมนุษย์ทั่วไปต่อหน้าคนหมู่มากอีก จึงทำเป็นว่ากำลังดัดเสียงแทน

“เจ็ดจุดหนึ่งห้าวินาทีครับ”

พอเห็นว่าชวิศากำลังหัวเราะ องค์รัชทายาทจึงเลิกพระขนง ส่งสายพระเนตรเป็นเชิงสงสัย คนของฮัชดาลลาร์ไม่มีใครรู้ว่ามาริเอะพูดอะไร เพราะหุ่นยนต์สมองกลของสุดแปลคำพูดของเจ้าชายมาเป็นภาษาไทย

“มีอะไรหรือเปล่าครับ”

แต่เชื่อเถอะว่าพระองค์ต้องสงสัย กระนั้นสุดฟ้าก็ยังคงนิ่งเงียบไว้ เขากะว่า ถ้าได้พูดคุยกับเจ้าชายเป็นการส่วนตัวเมื่อไหร่จะบอกเรื่องที่มาริเอะและสเตบาสเตียนฟังภาษาของฮัชดาลลาร์ออก พลันนึกขึ้นได้ว่าเมื่อวานสเตบาสเตียนก็ไปเป็นล่ามให้ฝาแฝดนี่นะ เขาเลยเปลี่ยนใจเป็น ‘ไว้ถามให้ชัดเจนอีกครั้งแล้วกัน’

“ไม่มีอะไรสำคัญหรอกครับ”

“ถ้าอย่างนั้นผมจะอธิบายเรื่องจักระต่อแล้วกันนะครับ อย่างที่อธิบายไปแล้วว่า จักระเป็นพลังที่หมุนเวียนในร่างกาย เมื่อดึงออกมาใช้ก็สามารถหมดได้ เพราะเป็นพลังที่มีอยู่จำกัด ดังนั้นขั้นต้นเราต้องควบคุมและดึงออกมาใช้ให้เหมาะสม อย่างวิชานี้ เราจะให้วิ่งแข่งกัน ต้องควบคุมจักระให้อยู่เฉพาะที่ขา ถ้าเป็นรอบวิ่งสี่ร้อยเมตรจะเห็นได้ชัดเจนเลยครับ แต่นักเรียนเยียร์สิบเอ็ด ไม่ค่อยมีใครมีปัญหาเรื่องการควบคุมจักระแล้วละครับ ส่วนมากจะแข่งกันเพื่อให้ได้สถิตความเร็วสูงสุด”

“เอ๋!!! อย่างนี้ก็น่าสนุกนี่นะ ทางเราก็มีพวกวิ่งเร็วเหมือนกันนะ”ธัชนันท์พูดขึ้นมา ก่อนจะดันเดย์ให้ออกมายืนข้างหน้า

“แกรู้ได้ไงว่ะ”สุดฟ้าเปลี่ยนมาถามภาษาไทยทันที

“ก็บังเอิญอ่ะ พอดีเคยใช้ให้วิ่งไปดักคนร้ายที่ขี่มอเตอร์ไซค์วิ่งราว อึ้งไปเลยดันวิ่งทันมอเตอร์ไซค์ซะด้วย”

สุดฟ้ากุมขมับ ต่อให้ความสามารถของฟังก์ชั่นกับโปรแกรมไม่เท่ามาริเอะและสเตบาสเตียน แต่ก็เป็นโครงสร้างเดียวกันเนี่ยนะ กลับไปต้องถอดออกอีก ให้เหลือเฉพาะความสามารถบนเตียงอย่างเดียวพอ ชายหนุ่มหมายมั่นไว้ในใจ

“อ่อได้ครับ ที่ระยะทางสี่ร้อยเมตรนะครับ”

“ได้ครับ ไม่มีปัญหา”ตอบตกลงไปแล้ว ธัชนันท์ถึงได้หันมากระซิบถามคนสร้าง “ไม่มีปัญหาใช้เปล่าว่ะ”

“เออ”

คนที่มาแข่งกับเดย์เป็นเด็กหนุ่มร่างสูงหน้าตาดี ที่สามารถเรียกเสียงกรี้ดจากสาวๆได้ไม่อยาก ถ้าอยู่ในเมืองไทยหรือประเทศอื่นๆที่ไม่ใช่ฮัชดาลลาร์ เพราะเท่าที่เขาสังเกตเห็น คนในประเทศนี้มีแต่พวกหน้าตาดี มากน้อยลดหลั่นกันไปตามความสามารถให้การดูแลหนังหน้าและอายุ คนที่อายุน้อยๆส่วนใหญ่หน้าตาเหมือนเพิ่งออกมาจากคลีนิคศัลยกรรม หน้าตาเป๊ะเว่อร์ ชนิดที่สุดฟ้าคิดว่าตัวเองหล่อแล้วยังต้องชิดซ้าย

ในมือของอาจารย์ประจำวิชาเป็นนกหวีด เมื่อทั้งสองคนอยู่ในท่าเตรียมพร้อม เสียงปรี้ดก็ดังขึ้นจากนั้นไม่นาน

ระยะทางสี่ร้อยเมตรสำหรับการวิ่ง เพียงแค่อึดใจเดียวทั้งสองคนก็วิ่งเข้าสู่เส้นชัย เด็กคนที่มาแข่งกับเดย์นับว่าเก่งไม่ใช่น้อย เพราะเฉือนชนะเดย์ไปแค่ศูนย์จุดศูนย์สองวินาทีด้วยเวลายี่สิบเจ็ดจุดสองสามวินาที แต่ต่างกันที่เดย์ไม่มีออกอาการเหนื่อยหอบสักนิด ขณะที่อีกฝ่ายต้องสูดลมหายใจเข้าปอดเฮือกๆ

“ขอโทษครับ ที่ผมไม่ชนะ”เดย์พูดกับธัชนันท์ด้วยท่าทางเศร้าๆ ที่สุดฟ้ารู้สึกว่าตัวเองตาฝาด เขาแน่ใจว่าไม่มีการลงโปรแกรมการเรียนรู้หรือลงข้อมูลพื้นฐานอารมณ์ให้เดย์แน่ๆ มีเฉพาะโปรแกรมตอบสนองเรื่องบนเตียงเท่านั้น แล้วไอ้อาการออดอ้อนออเซาะเศร้าซึมนั่นมันอะไรฟร่ะ

สุดฟ้ามองเพื่อนสนิทดึงหุ่นยนต์ของตัวเองมากอดปลอบด้วยความไม่เข้าใจ

“น่าประหลาดใจมากเลยครับ ไม่คิดว่าคนของมิสเตอร์สุวราลักษณ์จะวิ่งได้เร็วขนาดนี้ ดีนารุนเป็นท็อปของชั้นปีที่มีพลังในระดับจอมเวทครับ แม้ว่าตอนนี้เขายังไม่สามารถดึงพลังออกมาใช้ได้เต็มที่ก็ตาม แต่เราก็คาดว่าเขาน่าจะใช้พลังได้คล่องแคล่วตอนอยู่เยียร์สิบสาม”

แหม!!! พอได้ฟังแล้วเป็นปลื้ม สิ่งประดิษฐ์ของเขาก็ไม่แพ้ชาติใดในโลกเหมือนกันนะเนี่ย




หลังจากหยุดพักการทัวร์เพื่อทานอาหารกลางวันกันจนเสร็จเรียบร้อย ก็มาถึงคราวที่สุดฟ้าจะตื่นเต้นกระดี้กระด๊าบ้าง เมื่อเจ้าชายฟาลิฮ์พาพวกเขาไปพบกับอาจารย์ผู้มีพลังในการเปิดจุดจักระ

อาจารย์ท่านดังกล่าวเป็นชายวัยชราซึ่งยังดูแข็งแรง เดินเหินคล่องแคล่วไม่สมกับอายุ

หลังจากที่เจ้าชายทักทายปราศรัยกับอาจารย์วัยชราอยู่ครู่หนึ่ง เจ้าชายก็หันมาดึงเดยให้ไปใกล้ ภาษาที่เขาสองคนพูดกันเป็นภาษาฮัชดาลลาร์ทั้งหมด แต่คราวนี้มาริเอะไม่ได้แปลแบบเรียลไทม์ เพราะตอนแรกอาจารย์กับเจ้าชายคุยกันด้วยเรื่องสัพเพเหระ สุดฟ้าเลยบอกว่าไม่ต้องก็ได้

“คุยอะไรกันน่ะ”เพราะเจ้าชายดึงให้เดย์เข้าไปยืนอยู่ตรงหน้าอาจารย์ สุดฟ้าเลยสงสัยขึ้นมา

“เจ้าชายทรงตรัสว่า เดย์น่าจะมีพลังมาก เพราะขนาดไม่ได้เรียนรู้เรื่องการใช้จักระ ยังมีพลังกายเหนือกว่าดีนารุนเสียอีก”

สุดฟ้าพยักหน้ารับ มองเจ้าชายที่หันมาพูดกับเดย์ด้วยภาษาอังกฤษว่า “นั่งคุกเข่าลงหน่อยได้ไหมครับ” เดย์ที่ไม่มีโปรแกรมแปลภาษาในระบบจึงยังยืนนิ่งอยู่เฉยๆ จนกระทั่งธัชนันท์ เข้าไปออกคำสั่งด้วยภาษาไทย หุ่นยนต์สมองกลในรูปลักษณ์ของชายหนุ่มคุกเข่าลงกับพื้นตรงหน้าชายชรา

อาจารย์ชราชาวฮัชดาลลาร์จึงวางมือลงบนหน้าผาก หลับตานิ่งเข้าสู่สมาธิ

“เขาทำอะไรน่ะ”สุดฟ้าถามมาริเอะอีกครั้ง

“ตรวจสอบและเปิดจุดพลังครับ”

“เฮ้ย!!!”สุดฟ้าร้องเสียงหลง เป็นจังหวะเดียวกับที่อาจารย์สูงวัยลืมตาขึ้น

“เขาไม่มีพลังชีวิต”คราวนี้สเตบาสเตียนเป็นคนแปลให้ฟัง แน่ละ หุ่นยนต์มีพลังชีวิตก็แปลกแล้ว

สุดฟ้ารีบเข้าไปแทรกระหว่างกลางทันที

“เรื่องนี้ผมพอจะอธิบายได้ครับ”สุดฟ้าพูดกับเจ้าชายฟาลิฮ์ด้วยภาษาอังกฤษ พยักเพยิดให้ชายหนุ่มราชนิกุลชั้นสูงเดินตามตนมาให้ห่างจากกลุ่ม

“เอ่อ...เดย์เป็นเอไอที่ผมสร้างขึ้นมาครับ โครงสร้างเป็นอะลูมิเนียมเบริลเลียม ความสามารถหลักคือเป็นคู่นอนบนเตียง กำลังเทียบเท่ากับเครื่องยนต์ประมาณแปดสิบแรงม้า เพราะฉะนั้นจะวิ่งได้เร็วอยู่สักหน่อยก็ไม่ใช่เรื่องแปลก”สุดฟ้าฉีกยิ้ม เจ้าชายจะรู้สึกอย่างไรไม่รู้ แต่ขอให้เขาได้ฉีกยิ้มไว้ก่อน คู่สนทนายังเงียบด้วยใบหน้าเรียบตึง

“มิน่า เขาถึงไม่ทานอะไรเลย แล้วคนอื่นละครับ อย่างคุณมาริ หรือพ่อบ้านของคุณ”

“ครับสองคนนั้นก็ด้วย แล้วก็น้ำ หุ่นยนต์ที่ตัวติดกับไอซ์ฝาแฝดคนพี่”

เจ้าชายทรงพยักพระพักตร์รับรู้ ไม่ตรัสต่อความอะไรอีก หากแต่เปลี่ยนไปพูดเรื่องอื่นแทน “คุณยังต้องการให้ท่านอาจารย์เปิดจุดจักระให้อยู่หรือเปล่าครับ”

“แน่นอนครับ มาถึงขั้นนี้แล้ว”

ถ้าเขาเป็นนักประดิษฐ์ที่ใช้เวทมนต์ได้มันคงจะเท่ขึ้นมาอีกล้านเท่า ชายหนุ่มวาดฝันไว้เสียหรูหรา เขาเดินตามเจ้าชายมานั่งอยู่ตรงหน้าท่านอาจารย์วัยชรา

ฝ่ามือเหี่ยวย่นวางลงบนหน้าผากของเขา ความรู้สึกอุ่นร้อนตรงที่ฝ่ามือนั้นวางไว้เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ก่อนไปจะไหลลามไปทั่วร่างกาย แล้วค่อยๆจางหายไป

“ไม่ได้ ท่านอาจารย์เขาว่าอย่างนั้นแหนะครับ ด็อกเตอร์”มาริเอะเสนอหน้ามาเป็นล่ามให้เขาทันที สุดฟ้าขมวดคิ้วมองหน้าเจ้าบ้าน

“อาจารย์ท่านว่าเส้นทางที่พลังของคุณไหลเวียนอยู่มันค่อนข้างสับสนครับ เมื่อเปิดจุดจักระไป พลังชีวิตในร่างกายคุณก็จะไหลออกหมด แม้จะไม่ถึงขั้นเสียชีวิตแต่ต้องใช้เวลาอีกหลายวันในการฟื้นคืนพลังในร่างกาย ท่านเลยอยากให้คุณไปฝึกสมาธิมาเสียก่อน”

อย่างเขาเนี่ยนะ ให้ไปฝึกสมาธิ สุดฟ้าอยากจะเถียง ตั้งแต่เด็กเขาเป็นพวกสมาธิดีจดจ่อมุ่งมั่นกับสิ่งที่ทำตลอด

“อาจารย์ท่านว่า ด็อกเตอร์ฟุ้งซ่านเกินไปครับ ในหัวคิดโน่นคิดนี่อยู่ตลอดอยู่ไม่สุข... เหมือนลิง”

“คำพูดนี่อาจารย์พูดไม่ใช่นายพูดเองนะ”สุดฟ้าหันไปถามมาริเอะที่แปลข้อความของอาจารย์วัยชราให้เขาฟัง

“แน่นอนสิครับ ผมไม่เพิ่มเติมอะไรเองหรอกนะ”

ชายหนุ่มจึงต้องก้มหน้ารับอย่างจำยอม พลางคิดว่า ของแบบนี้ ไม่มีก็ไม่ตายหรอกเว้ย!!! แค่เสียใจนิดๆเอง กระซิก กระซิก



ออฟไลน์ ตีสี่

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 412
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-5
    • 61'
หลังจากจบการทัวร์ในโรงเรียน เจ้าชายทรงพาทัวร์ที่ฟาร์มกริฟฟอน แต่นอกจากกริฟฟอนแล้ว ยังมียูนิคอร์น ฟีนิกซ์ และอื่นๆอีกสองสามชนิดที่สุดฟ้าไม่ได้ใส่ใจจำ แน่ละถ้าเขาชื่นชอบสัตว์ขนาดนั้น เขาคงจะไปเป็นสัตวแพทย์แล้ว นี่ขนาดมนุษย์ที่เป็นสัตว์สปีชี่ย์เดียวกัน เขายังไม่อยากจะปฏิสัมพันธ์ด้วย แล้วจะนับประสาอะไรกับสัตว์โลกชนิดอื่นๆ

เอาเป็นว่า หลังจากจบทัวร์โรงเรียนเวทมนต์ในฝันที่ทำให้เขาฝันสลายแล้ว สุดฟ้าไม่ได้สนใจสถานที่อื่นๆอีก เขาแค่ตามไปดูด้วยความรู้สึกเฉยๆ ต่างจากชวิศาและมาริเอะ ที่สองคนนั้นจะลั้นล้ารื่นเริงสุดๆไม่ว่าเจ้าชายแห่งฮัชดาลลาร์จะพอไปชมอะไรก็ตาม ดังนั้นกว่าจะได้กลับถึงที่พักก็มืดค่ำ

เช้าวันรุ่งขึ้นสุดฟ้ารี่ไปหาเจ้าชายทันที อารมณ์ ณ ตอนนี้คืออยากกลับบ้านแล้ว เขาเลยเร่งทำงานให้เสร็จไวๆ หรือถ้าพูดให้ชัดเจนคือ ที่นี่ไม่มีอะไรน่าสนใจอีกแล้ว ถ้าไม่รับปากว่าจะทำงานให้ สุดฟ้าเผ่นกลับบ้านไปตั้งแต่เมื่อคืนแล้วละ

“ไม่พักอีกสักสองสามวันหรือครับ”เจ้าชายตรัสถาม

“ไม่เป็นไรหรอกครับ การจะสร้างของที่เจ้าชายต้องการ มีอะไรต้องตรวจสอบหลายอย่าง ผมเลยต้องมาคุยเรื่องรายละเอียด” ที่จริงเขาอยากจะคุยตั้งแต่เมื่อวาน ติดที่มาริเอะเหมือนนกรู้ กันเจ้าชายไว้กับตัวไม่ปล่อยโอกาสให้เขาได้คุยบ้างเลย

“เช่น ขนาดของวัตถุที่ต้องทำลาย ระยะทำลาย แล้วก็อุปกรณ์นำวิถี อ่อ ที่สำคัญ ระเบิดของผมใช้กับคนไม่ได้นะครับ” ประโยคหลังเขาโกหก เขาไม่เคยทดลองใช้กับคนเหมือนกัน เลยไม่รู้ว่าใช้ได้หรือไม่ได้ แต่บอกว่าใช้ไม่ได้ไว้ก่อนน่าจะดีกว่า

“เรื่องนั้นไม่มีปัญหาครับ เราต้องการแค่ทำลายพวกระเบิด มิสไซล หรือพวกอาวุธทำลายล้างที่ข้ามเขตเข้ามาในพื้นที่ของฮัชดาลลาร์เท่านั้น”

“ถ้าอย่างนั้นไม่มีปัญหาครับ ผมจะจัดเตรียมระเบิดของผมไว้สองประเภท”สุดฟ้าหยิบดิจิตอลไลท์มอนิเตอร์มากดเปิด ฉายภาพอาวุธที่เขาจำแนกเป็นสองกลุ่ม และฉายภาพหน้าตาระเบิดของเขา ลักษณะของมันเป็นแค่แท่งทรงกระบอกธรรมดา

“ประเภทแรกสำหรับอาวุธขนาดเล็กที่มีน้ำหนักไม่เกินห้ากิโลกรัม และประเภทที่สองคืออาวุธที่มีน้ำหนักตั้งแต่สิบตันถึงห้าสิบตัน”

เจ้าชายฟาลิฮ์ฟังที่เขาพูดแล้วก็ขมวดพระขนง สงสัยกำลังดำหริว่าเขามักง่ายอยู่แหงมๆ ก็ช่องว่างของทั้งสองประเภทมันห่างกันขนาดนั้น แต่เขาคิดมาแล้วว่าแบบนี้ดีที่สุด ไม่อย่างนั้นเขาคงต้องส่งเข้าโรงงานให้ฝาแฝดทำให้เท่านั้นแหละถึงจะทำได้

“แล้วก็ผมจะทำระเบิดประเภทแรกให้เจ้าชายสองร้อยลูก ประเภทที่สองอีกสามลูกเท่านั้น”

“เอ๊ะ”ทว่าคราวนี้เจ้าชายจะมีปัญหากับเขาจริงๆ สุดฟ้าเลยชิงพูดก่อน

“เจ้าชายเคยตรัสไว้ว่า เหลือเวลาอีกแค่ปีเดียวศิลาสารพัดนึกก็จะเสร็จสมบูรณ์ เพราะฉะนั้นผมจะสร้างระเบิดให้ใช้ได้แค่หนึ่งปีเท่านั้น ผมไม่อยากให้โครงสร้าง รูปแบบ ทฤษฎีการทำงานหลุดไปถึงมือใครทั้งนั้น ปัจจุบันแบบแปลนระเบิดที่ผมคิดมีอยู่แผ่นเดียวที่พ่อแม่ของผม และผมคิดว่าต่อให้ใครได้ไปก็ไม่น่าจะแกะผังแบบแผ่นนั้นออก เท่ากับว่าตอนนี้มันอยู่ในหัวผมเท่านั้น ผมไม่อยากให้แพร่กระจายไปทั่วโลกเหมือนระเบิดนิวเคลียร์ธาตุยูเรเนียม”

เห็นคู่สนทนายังคงนิ่งฟังสุดฟ้าจึงพูดต่อ ภาพบนหน้าจอเปลี่ยนเป็นตารางแผนงาน

“เริ่มแรกผมจะสร้างชิ้นไทรอัลยี่สิบชิ้น เพื่อให้คนของเจ้าชายได้ทดลองใช้งาน และจะอบรมข้อกำหนดการใช้งานอีกหน”
คู่สนทนาของเขายังคงนิ่งเงียบ จนครู่ใหญ่กว่าที่เจ้าชายจะเปิดพระโอษฐ์อีกครั้ง

“คุณรู้ไหมครับว่าทำไมผมติดต่อคุณ ทั้งที่ถ้าเราอยากได้ระเบิด ฮัชดาลลาร์มีความสามารถที่จะสร้างเองได้”

“เพราะระเบิดทุกชนิดบนโลกนี้มีมลพิษตกค้าง และมลพิษที่ว่าน่าจะมีผลต่อพลังเวทย์”

“คุณทราบ?”

“ครับ ผมพอจะเดาได้ตั้งแต่ที่คุณบาซิมพูดถึงเรื่องโรงงานอุตสาหกรรม ฟังดูเหมือนกิจกรรมรณรงค์ส่งเสริมเพื่อดูแลรักษาสิ่งแวดล้อมธรรมดา แต่เจ้าชายเคยตรัสว่าร่างทรงฯอ่อนแอลงมาก ผมก็สงสัยตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว ผมไม่รู้ว่าขอบเขตของศิลาสารพัดนึกที่ปกป้องฮัชดาลลาร์อยู่มันแค่ไหน ทำอะไรบ้าง แต่การที่ให้มนุษย์คนหนึ่งมาเป็นร่างทรงเพื่อร่ายคาถาปกป้องฮัชดาลลาร์แทน ผมว่าฮัชดาลลาร์ต้องแน่ใจว่าศิลาสารพัดนึกชิ้นใหม่จะต้องเสร็จก่อนที่ร่างทรงจะหมดพลัง หรือถ้าพวกคุณไม่แน่ใจ มันน่าจะมีร่างทรงคนที่สอง คนที่สาม อ่อ อีกประเด็นคือ ณ ตอนนั้น ร่างทรงคนปัจจุบันเป็นจอมเวทคนเดียวที่ฮัชดาลลาร์มีอยู่ เมื่อลองพิจารณาดู ทุกอย่างมันย้อนแย้งกันเอง แต่เมื่อกลับมาคิดถึงประโยคแรกซึ่งเจ้าชายเคยตรัสไว้ว่า สิ่งที่สามารถบอกต่อคนนอกมีอยู่จำกัด ผมจึงพอทำความเข้าใจได้ว่า ความย้อนแย้งกันนี้คือความลับที่ไม่อาจเปิดเผย”สุดฟ้าคลี่ยิ้ม เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้เชื้อพระวงศ์แห่งฮัชดาลลาร์

“ผมจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับความลับของพระองค์อย่างเด็ดขาด” เพราะเขาก็มีความลับของตัวเองเหมือนกัน

หลังจากฟังข้อวิเคราะห์และคำมั่นของอีกฝ่ายแล้ว เจ้าชายฟาลิฮ์จึงตรัสด้วยพระสุรเสียงนุ่มนวลเช่นเดิมต่อไปอีกว่า

“ตามที่คุณเข้าใจถูกต้องแล้วครับ ศิลาสารพัดนึกชิ้นเดิมมีหน้าที่คงสภาพป่าและความอุดมสมบูรณ์ของพื้นที่ฮัชดาลลาร์ นอกจากนั้นยังเป็นปราการป้องกันศัตรูผู้รุกรานอันกล้าแข็ง เราไม่จำเป็นต้องสู้รบกับใครตราบใดที่อยู่ภายใต้พลังของศิลาสารพัดนึก ส่วนหน้าที่ของร่างทรงฯแค่คงความอุดมสมบูรณ์ของพื้นที่เท่านั้น”

สุดฟ้าแค่พยักศีรษะรับรู้ ไม่ถามอะไรเพิ่มเติม

“ไม่คิดสงสัยอะไรอีกหรือครับ”

“แล้วแต่เจ้าชายเลยครับ อยากเล่าอะไรก็เล่า”สุดฟ้าฉีกยิ้ม เจ้าชายจึงแย้มพระสรวลเช่นเดียวกัน

“ว่ากันว่า วิธีสร้างศิลาสารพัดนึก รวมถึงคาถามนตราพิทักษ์ล้วนแต่เป็นมรดกตกทอดจากมหาเวทย์ผู้สร้างศิลาฯ เขาเขียนสำเนาไว้หนึ่งร้อยฉบับแจกจ่ายให้คนในเมืองขณะนั้น หลายครัวเรือนในฮัชดาลลาร์ยังมีเอกสารฉบับนั้นสืบทอดมารุ่นต่อรุ่น ที่สำคัญเอกสารฉบับนั้นยังดูใหม่จนไม่น่าจะใช่ของเมื่อสองพันปีก่อน”

สิ่งที่เจ้าชายเล่าทำให้สุดฟ้าสนใจ แต่ไม่ว่าอย่างไร เขาก็ไม่ยอมแสดงความอยากรู้อยากเห็นออกมาเด็ดขาด ในเมื่อเจ้าชายฟาลิฮ์กำลังพยายามโน้มน้าวใจเขาอยู่ ถ้าเดินไปตกหลุมพรางอีกฝ่ายง่ายๆ ก็ไม่ควรมั่นใจว่าตัวเองเป็นอัจฉริยะแล้ว

“ทว่า ณ เวลานั้น พื้นที่ทะเลทรายแถบนี้ยังคงอุดมสมบูรณ์ด้วยแมกไม้นานาพรรณ ศิลาสารพัดนึกจึงมีหน้าที่ทำให้ผู้คนสมหวังในสิ่งที่ปรารถนา จวบจนแผ่นดินเริ่มเปลี่ยนเป็นทะเลทราย เป้าหมายที่แท้จริงของการมีอยู่ของศิลาสารพัดนึกจึงปรากฎขึ้น”

“เจ้าชายตรัสราวกับว่า มหาเวทย์รู้อยู่แล้ว”

พระพักตร์บ่งบอกว่าไม่แน่ใจเช่นเดียวกัน

“ตั้งแต่ผู้คนในฮัชดาลลาร์เริ่มรับรู้ว่าแผ่นดินแถบนี้กำลังแห้งแล้งและกลายเป็นทะเลทราย เราก็มีการศึกษาเกี่ยวกับพลังของศิลาฯมากขึ้น จนรู้ว่าขอบเขตในการปกปักคุ้มครองมีลักษณะเป็นทรงกลมคล้ายโดมคลุมพื้นที่ทั้งเมือง พลังของคาถามนตราพิทิกษ์ก็เช่นเดียวกัน และถ้าย้ายตำแหน่งของศิลาฯ ตำแหน่งพื้นที่ที่ถูกปกปักคุ้มครองก็จะเปลี่ยนไป”

“หมายความว่า ถ้าเดินถือศิลาฯไปมา พื้นที่ป่าก็จะขยับไปด้วย”สุดฟ้าขมวดคิ้ว “ถ้าเป็นอย่างนั้น ศิลาฯก็ไม่น่าจะโดนขโมยไปได้”
“เพราะมีขอบเขตในการเคลื่อนย้ายอยู่ครับ ถ้าเคลื่อนย้ายศิลาฯเกินจากระยะสามสิบกิโลเมตรของตำแหน่งที่ตั้งเมืองเดิม พลังในการปกปักพื้นที่ก็จะหายไป ถึงอย่างไรก็ตาม ความสามารถของศิลาฯก็ยังคงอยู่”

“นั่นคือ มีแหล่งพลังเวทย์ที่จ่ายให้กับศิลามาตลอด”สุดฟ้านิ่งคิด และพึมพำออกมาเบาๆ “หรือไม่ก็เป็นพลังของมหาเวทย์เอง”

“เราก็คิดเช่นนั้นเหมือนกันครับ ตามตำนานไม่เคยกล่าวถึงการเสียชีวิตของมหาเวทย์ เหมือนว่าจู่ๆเขาก็หายตัวไปเสียเฉยๆ ซึ่งมันสอดคล้องกับการศึกษาเรื่องขอบเขตของพลังพอดี ทว่าสุดท้ายเราก็ไม่พบอะไรอยู่ดี”

“ก็ตั้งสองพันปีแล้ว ศพไม่ย่อยไปหมดแล้วหรือครับ”

“เพราะว่าพลังนี้กล้าแข็งมาก เราคิดว่า น่าจะมีอะไรหลงเหลืออยู่”

อา... สุดฟ้าคิดขึ้นมาได้อีกอย่าง พลังปราณโลกาอะไรที่มาริเอะพูดถึงนั่น คงหมายถึงอย่างนี้เหมือนกัน

“เป็นอย่างไรบ้างครับ เรื่องที่ผมเล่าน่าสนใจไหม”

“ดีครับ สนุกดี”

“แล้ว?”

“ระเบิดที่ผมจะทำให้ก็ยังเท่าเดิมครับ”สุดฟ้าตอบรวดเร็วทันควัน

“โธ่”เจ้าชายทรงร้องออกมาอย่างเสียดาย

“เรื่องนี้เป็นเรื่องที่เปิดเผยต่อคนนอกได้ตั้งแต่แรกอยู่แล้ว แต่เจ้าชายทรงกั๊กไว้ ไม่ได้เล่าให้ผมฟังเอง มันจะน่าตื่นเต้นได้อย่างไร”

“ครับ ตกลงครับ ถ้าอย่างนั้น เดี๋ยวรับอาหารกลางวันกันก่อนนะครับ ตอนบ่ายผมจะพาไปค่ายทหาร”



+++++โปรดติดตามตอนต่อไป+++++

ออฟไลน์ ตีสี่

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 412
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-5
    • 61'
ตอนที่สิบห้า


เมื่อชวิศารู้สึกตื่น มาริเอะก็ลืมตายันตัวลุกขึ้นเช่นเดียวกัน

“เอ๋ วันนี้คุณสุดฟ้าตื่นเช้าจัง”ชายหนุ่มร่างเพรียวเอ่ยเมื่อไม่เห็นผู้ร่วมเตียงอีกคน ที่มักจะยังหลับอยู่เสมอตอนที่เขาตื่น

“วันนี้ ด็อกเตอร์ไปหาเจ้าชายแต่เช้าครับ”

ชวิศาผงกศีรษะรับรู้ แล้วลุกขึ้นไปจัดการธุระส่วนตัว เดินลงบันไดมาถึงชั้นล่างและก้าวเท้าเข้าครัวโดยมีมาริเอะเดินตามมาติดๆ ปรากฎว่าภายในห้องครัวนั้น คุณหุ่นยนต์พ่อบ้านยืนประจำอยู่หน้าเตาแล้ว

“อรุณสวัสดิ์ครับ”ชวิศาเอ่ยทักทาย

“อรุณสวัสดิ์ครับ คุณชวิศารับอาหารเช้าเลยนะครับ”สเตบาสเตียนโต้ตอบกลับมา

“ครับ รบกวนด้วยครับ”

ชวิศาทรุดตัวลงนั่งพร้อมๆกับข้าวต้มในถ้วยกระเบื้องสีขาวถูกยกมาวางตรงหน้า ขณะที่มาริเอะเป็นคนยกแก้วนมจืดและน้ำเปล่ามาเสริฟให้ ยังไม่ทันได้เริ่มทาน ฝาแฝดสองพี่น้องก็ตามมาสมทบ

“สุดฟ้ายังไม่ตื่นเหรอ”ธัชนนท์ถาม

“ด็อกเตอร์ไปหาเจ้าชายแต่เช้าแล้วครับ”มาริเอะเป็นคนตอบคำถามเช่นเดิม

“ไปไหนไม่เคยชวนเพื่อนฝูง”ฝาแฝดคนน้องพูดบ่น

“คงจะเริ่มงานแล้วมั้ง”ผู้เป็นพี่ชายคาดเดา

“แล้ววันนี้ซีจะไปไหนอ่ะ”ธัชนันท์จึงถามคนที่อยู่ตรงหน้าบ้าง ชวิศาถึงหันหน้าไปมองมาริเอะ

“ไปน้ำตกกันไหมครับคุณมาริ”ซึ่งมาริเอะก็ตอบตกลงทันที “แล้วนายสองคนละ ไปไหม”

“เอ่อ”ฝาแฝดส่งเสียงอย่างลังเล ก่อนคนเป็นพี่จะพูดออกมาว่า “ไม่ดีกว่า ถึงฉันสองคนจะมาเที่ยว แต่ก็มาทำงานด้วย”
ชวิศาเลิกคิ้ว ทำหน้างุนงง

“เออ ว่าแต่สุดฟ้ามันมาทำงานอะไรที่นี่รู้หรือเปล่า”ธัชนันท์ถามขึ้นมาบ้าง ซึ่งมีแต่ความเงียบตอบกลับมา เมื่อเห็นว่าทั้งมาริเอะและสเตบาสเตียนต่างไม่มีใครอ้าปากตอบ ชวิศาเลยบอกออกไปแทน

“ไม่รู้เหมือนกัน คุณสุดฟ้าไม่เคยบอกอ่ะ”

“ต้องมีอะไรลับลมคมในแหงๆ เห็นแอบไปคุยกับเจ้าชายบ่อยๆ”สองพี่น้องหันมองหน้ากันเอง แล้วหันไปถามสเตบาสเตียนอีกคำถามว่า

“มันบอกไหมว่าจะกลับมาเมื่อไหร่”

“บอกว่าอาจจะบ่ายๆเย็นๆครับ”

“ถ้าอย่างนั้นวันนี้ นายไปเป็นล่ามให้ฉันแล้วกัน โอเคไหมซี”

“อือ ไม่มีปัญหา เราไปกับคุณมาริอยู่แล้ว”พอพยักหน้ารับ ฝาแฝดสองพี่น้องก็เร่งกินข้าว และรีบไปเตรียมตัวออกไปข้างนอก ชวิศาจึงเร่งกินข้าวต้มในถ้วยของตนบ้าง ก่อนจะชวนมาริเอะให้เก็บเสื้อเตรียมไปผลัดเปลี่ยน

เขาแยกย้ายกับกลุ่มของฝาแฝดที่หน้าประตูวัง เดินเท้าไปยังสถานีรถไฟใต้ดิน พวกเขาไม่จำเป็นต้องซื้อตั๋ว เมื่อวาน เจ้าชายพระราชทานตั๋วไม่จำกัดเที่ยวให้พวกเขาได้ใช้

ขบวนรถไฟของฮัชดาลลาร์แต่ละเที่ยวทิ้งระยะห่างระหว่างกันประมาณสิบห้านาที แต่ละเที่ยวเป็นขบวนสั้นๆจำนวนไม่กี่โบกี้ กระนั้นก็เหมาะกับจำนวนผู้ใช้งาน ใช้เวลาราวๆครึ่งชั่วโมง เขาทั้งสองคนจึงมาถึงสถานีที่ต้องลง ออกจากสถานีและเดินเท้าต่อไปอีกหน่อยจะพบลำธารกว้าง และเดินย้อนขึ้นไปตามลำธารอีกครู่หนึ่งจึงจะพบแอ่งน้ำตก

มาริเอะยังตื่นเต้นกับธารน้ำไม่ต่างจากเมื่อวาน

“เย็นจัง”ชวิศากล่าวขึ้นเมื่อหย่อนปลายเท้าลงไปแกว่งเล่น มาริเอะหันมองก่อนจะจุ่มมือลงไปในน้ำบ้าง ระบบประมวลผลรับค่าอุณหภูมิของน้ำจากเซ็นเซอร์ที่อยู่ใต้ผิวหนังเทียม เทียบค่าความปลอดภัยสำหรับโครงสร้างภายนอกที่ถูกบันทึกไว้ในระบบ “สิบแปดองศาเซลเซียส”

“อย่างนั้นเหรอ”ชวิศาตอบรับ เมื่อได้ยินเสียงอีกคนพึมพำออกมา “ถอดชุดแล้วลงไปเล่นกันเถอะ”ชวิศาเอ่ยชวน พลางลุกขึ้น ถอดเสื้อคลุมตัวนอกออก

“เดี๋ยวๆครับ ถอดตรงนี้หรือ”มาริเอะร้องทักหน้าตาตื่น

“อือ ไม่เป็นไรหรอก”ว่าจบพร้อมกับเสื้อผ้าเกือบทุกชิ้นลงไปกองอยู่ที่พื้น เหลือเพียงแค่กางเกงขาสั้นตัวใน ชวิศารวบเสื้อผ้าใส่กระเป๋าหลังที่เตรียมมาด้วย หันไปเจอมาริเอะที่ยังมีเสื้อผ้าครบทุกชิ้นจึงเอ่ยเร่ง

“ถอดชุดสิครับ ลงไปเล่นน้ำกัน”พอเห็นอีกฝ่ายยังเฉย เขาจึงขยับตัวไปหาทำท่าจะถอดให้ มาริเอะก็ขยับหนี

“คุณสุดฟ้าสั่งห้ามไว้เหรอครับ”

มาริเอะสั่นศีรษะ “แต่มีกฎหมายข้อหนึ่งระบุไว้ว่าการกระทำใดที่ควรขายหน้าต่อหน้าธารกำนัล โดยการเปลือยหรือเผยร่างกาย หรือทำการลามกอย่างอื่น ถือว่าเป็นการทำผิดกฎหมายฐานอนาจารครับ”

“เราไม่ได้เปลือยเสียหน่อย ยังใส่กางเกงอยู่นี่ เห็นไหมครับ”เห็นมาริเอะยังลังเล จึงพูดคะยั้นคะยอต่อไปอีกว่า “คุณมาริไม่อยากลงเล่นน้ำเหรอ ถ้าไม่ถอดชุดออกก็ลงเล่นไม่ได้หรอกนะ น้ำเย็นมาก น่าลงเล่นจะตาย”

“ผมไม่รู้สึกถึงความเย็นของน้ำหรอกครับ”

“แต่ก็รู้ว่ามันอุณหภูมิสิบแปดองศา มันเหมือนกันนั่นแหละ หึ แต่ถ้าไม่อยากลงก็ตามใจ”ว่าจบ ชวิศาก้าวเท้าลงไปในน้ำทันที อากาศของฮัชดาลลาร์ค่อนข้างเย็นสบายอยู่แล้ว ตอนที่ก้าวเท้าลงไปแรกๆ จึงรู้สึกว่าน้ำนั้นเย็นจนหนาว แต่พอได้ลงไปแช่ทั้งตัวกลับให้ความรู้สึกว่าอุ่นสบาย ชวิศาแหวกว่ายอยู่ในแอ่งน้ำตื้นอย่างสนุกสนาน ยิ่งไปกว่านั้น บริเวณนี้ไม่มีกลุ่มคนอื่นนอกจากพวกเขา ราวกับสระน้ำนี่เป็นของพวกเขาเท่านั้น

มาริเอะมองคนที่ว่ายน้ำอย่างสนุกสนานด้วยความสนใจ โปรแกรมเรียนรู้ที่มีอยู่ในระบบเป็นตัวกระตุ้นให้ค้นหาคำตอบและพยายามเข้าไปสัมผัสประสบการณ์เดียวกับมนุษย์ทั่วไป ก่อนที่ระบบมวลผลจะคำนวณประเมินเทียบความเสี่ยง กฎข้อบังคับ ข้อกำหนดและบริบทของสังคม จากนั้นจึงตัดสินให้ปฏิบัติหรือไม่ปฏิบัติ ในกรณีนี้เอง ระบบประมวลผลก็อนุมัติให้เขาไปปฏิบัติได้

หุ่นยนต์สมองกลถอดเสื้อผ้าออกให้เหลือแต่กางเกงขาสั้นตัวในเหมือนชวิศา เก็บเสื้อผ้าลงกระเป๋าเช่นเดียวกัน ต่อจากนั้นจึงก้าวลงน้ำ ชวิศาสาดน้ำใส่เขาทันที เขายกยิ้มตอบให้

“น้ำเย็นเนอะ”

มาริเอะพยักหน้ารับรู้ ‘น้ำที่อุณหภูมิสิบแปดองศาเรียกว่าน้ำเย็น’ ความรู้นั้นถูกบันทึกเข้าระบบ

แช่น้ำและนั่งเล่นอยู่ในน้ำจนมาริเอะสังเกตเห็นว่าปากของชวิศาเขียวซีด มาริเอะจึงชวนให้ขึ้นจากน้ำ เมื่อชวิศาขึ้นมาเจอกับลมเย็นๆ จึงยิ่งตัวสั่นงกๆ

“อยู่ในน้ำยังไม่หนาวเท่านี้”

“ผมว่ารีบกลับกันเถอะครับ สีหน้าของคุณดูไม่ดีเลย”

ชวิศาโบกมือปฏิเสธ พลางหยิบผ้าเช็ดตัวที่เตรียมมาขึ้นมาพันเอว ถอดกางเกงขาสั้นออก เปลี่ยนชั้นในตัวใหม่และสวมชุดพื้นเมืองของฮัชดาลลาร์ตัวเดิม “ไม่เป็นไรหรอก ก็แค่เล่นน้ำนาน เดี๋ยวสวมเสื้อผ้าแล้วรอให้ร่างกายอุ่นขึ้นก็สบายดีเหมือนเดิมแล้ว”
มาริเอะเลียนแบบวิธีผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าตามชวิศา ปกติแล้วหุ่นยนต์เช่นเขาจะไม่มีเหงื่อ เขาจึงไม่ต้องอาบน้ำเป็นประจำเหมือนมนุษย์ แต่ต้องทำความสะอาดร่างกายบ้างในกรณีที่ฝุ่นผงเกาะติดตามร่างกายมากขึ้น ซึ่งนั่นเขาจะใช้วิธีอาบน้ำแบบเดียวกับที่มนุษย์ทั่วไป แต่การอาบน้ำที่ว่านั้นทำในพื้นที่ปิดอย่างห้องน้ำ ซึ่งไม่ต้องใช้ทักษะการผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าอย่างที่ชวิศาทำให้เขาดู

“หิวอ่ะ แวะไปหาอะไรกินในหมู่บ้านแล้วค่อยกลับนะ”ชวิศาเอ่ยปากชวน

หมู่บ้านที่ชวิศากล่าวถึงอยู่ห่างจากแอ่งน้ำตกไปทางปลายน้ำ ห่างออกไปราวๆหนึ่งกิโลเมตร เป็นหมู่บ้านขนาดเล็กที่ค่อนข้างเงียบสงบ เนื่องจากตอนที่พวกเขาไปถึงเป็นเวลาค่อนบ่ายแล้ว ตลาดของหมู่บ้านจึงเหมือนว่าจะร้างผู้คน ยังดีว่า มีร้านอาหารอยู่บ้าง

ร้านที่พวกเขาเลือกเข้าไปนั่งเป็นเพิงไม้ธรรมดาซึ่งเย็นสบายตามสภาพอากาศของฮัชดาลาร์ อาหารในร้านมีอยู่ไม่กี่อย่าง มาริเอะเป็นฝ่ายอ่านข้อความบนป้ายเมนูและถามเจ้าของร้านเกี่ยวกับรายละเอียดของอาหาร เมื่อรู้ว่าวัตถุดิบที่ใช้เป็นจำพวกแป้ง เนื้อแกะหรือเนื้อวัว ชวิศาเลยบอกให้มาริเอะสั่งเมนูขึ้นชื่อของร้าน

นั่งรอไม่นานอาหารก็ถูกนำมาเสริฟ มีจานที่ใส่แต่แป้งทอดชิ้นหนาแผ่นใหญ่ จานเนื้อ ถ้วยแกงที่ทั้งสีสันทั้งความหนืดคล้ายน้ำจิ้มหมูสะเต๊ะและผักเคียง เจ้าของร้านเองก็คงเห็นว่าเขาเป็นคนต่างถิ่น ถึงได้ลงมือทำให้ดูว่าต้องทำอย่างไร

เริ่มต้นด้วยการที่ตักเนื้อมาใส่แผ่นแป้ง ตักผักใส่ และตักแกงในถ้วยมาราด เมื่อห่อเสร็จจึงมีหน้าตาคล้ายกับเคบับ เจ้าของร้านส่งมันมาให้เขา ชวิศารับมาพร้อมยกยิ้มให้ กล่าวขอบคุณด้วยภาษาของฮัชดาลลาร์ที่ถามมาจากมาริเอะ

ทั้งมาริเอะและเจ้าของร้านจับจ้องเขาไม่วางตา ตอนที่เขาเริ่มกัดคำแรก แป้งทอดชิ้นหนานั้นนุ่มกว่าที่คิด ทั้งเนื้อและน้ำซอสต่างเข้มข้นด้วยกลิ่นของเครื่องเทศ ผสมกับรสเปรี้ยวกับผักเคียง เป็นรสชาติที่ค่อนข้างจะแปลกลิ้น แต่ก็อร่อยมาก ชวิศาจึงยกนิ้วโป้งที่เป็นภาษาสากลว่ายอดเยี่ยมให้ เจ้าของร้านซึ่งเป็นชายวัยกลางคนยกยิ้มตอบกลับ ยกมือขวาขึ้นประทับบนอกซ้ายและก้มศีรษะให้ ก่อนกลับไปอยู่หลังโต๊ะไม้เช่นเดิม

“ทานไหมครับ”

“ถ้าไม่จำเป็น ผมก็ไม่อยากทานครับ มันยุ่งยาก”

“น่าเสียดายจัง ถ้ากินด้วยกันได้จะอร่อยกว่านี้แท้ๆ”สีหน้าของชวิศาเหงาหงอยลงเล็กน้อย ก่อนจะกัดอาหารที่คล้ายเคบับด้วยความแค้นเคืองหน่อยๆ มาริเอะจึงหาทางแก้ด้วยการให้ชวิศาลองบอกส่วนผสมในอาหาร หลังจากนั้นแม้กระทั่งออกจากร้านมาแล้ว พวกเขาจึงยังคุยเรื่องส่วนผสมและวิธีการทำอาหารต่างๆไม่หยุด

“ผมไม่แน่ใจว่าด็อกเตอร์หาสูตรมาจากไหนครับ”มาริเอะตอบเมื่อชวิศาถามว่าเขาหรือสเตบาสเตียนสามารถทำอาหารให้อร่อยได้อย่างไรทั้งที่ไม่สามารถชิมหรือได้กลิ่น

“ส่วนผสมและอัตราส่วนการปรุงมีบันทึกอยู่ในฐานข้อมูลอยู่แล้วครับ ผมเองก็ไม่เคยถามทั้งด็อกเตอร์และสเตบาสเตียนเหมือนกัน”

“พูดถึงเรื่องคุณสเตบาสเตียน โอ๊ะ”ชวิศาร้องอุทานเมื่อมีเด็กน้อยคนหนึ่งวิ่งมาชนเขาและล้มลงไปกองกับพื้น ชายหนุ่มทรุดตัวลงนั่ง เมื่อเด็กคนดังกล่าวเริ่มร้องไห้

“เป็นอะไรนะ”ชวิศาถามมาริเอะเมื่อเด็กคนนั้นร้องไห้ไม่ยอมหยุด แต่หุ่นยนต์สมองกลอย่างมาริเอะได้แต่ส่ายหน้า แม้จะลองเอ่ยถามแล้ว เด็กชายคนนั้นก็เอาแต่ร้องไห้ ชวิศาจึงดูแขนจับขาหาบาดแผล พอจับแถวข้อเท้าเด็กชายก็ร้องไห้จ้าขึ้นมาอีก

“หรือจะเจ็บข้อเท้า แถวนี้มีโรงพยาบาลหรือเปล่านะ”ชวิศาพูดพลางช้อนตัวเด็กชายคนนั้นอุ้มขึ้น ขณะเดียวกันก็พูดคุยกับมาริเอะเกี่ยวกับเส้นทางไปคลินิก หรือสถานพยาบาล เป็นจังหวะเดียวกับที่เด็กชายยื่นมือมาสัมผัสร่างที่อุ้มตนอยู่ ทันใดนั้นเอง ภายในร่างกายของชวิศาพลันรู้สึกปั่นปวนจนต้องทรุดตัวลงนั่งอีกครั้ง

“คุณชวิศา เป็นอะไรหรือครับ”มาริเอะรีบเข้ามาประคองชวิศาไว้ ตอนที่ยื่นมือเข้าไปรับร่างหนูน้อย เด็กคนกลับลุกขึ้นยืนแล้ววิ่งหนีไปทันที มาริเอะมองตาม ก่อนจะกวาดสายตาไปทั่วบริเวณนั้น พร้อมกับใช้เซ็นเซอร์ตรวจจับความร้อนจากร่างกายมนุษย์ที่อยู่ในรัศมี แต่ไม่มีใครเลยนอกจากเด็กผู้ชายเมื่อสักครู่ที่วิ่งหนีไป

พวกเขาเพิ่งเดินออกมาจากหมู่บ้านเล็กๆที่แวะทานอาหารเมื่อสักครู่ เข้าสู่เขตป่าที่ไม่มีบ้านคนโดยตั้งใจว่าจะเดินคุยกันไป เพื่อไปแวะเที่ยวตลาดซึ่งอยู่ใกล้กับสถานีรถไฟใต้ดินสถานีต่อไป

“ไม่เป็นไรแล้วละ สงสัยจะไม่ค่อยสบายจริงๆ”ชวิสาบ่นออกมา และเพื่อไม่ให้มาริเอะเดือดร้อนเป็นห่วงจึงชวนกันกลับ โดยเดินย้อนกลับไปที่หมู่บ้านเดิม เพื่อลงสถานีรถไฟใต้ดินสถานีเดิมกับขามา

“เด็กคนนั้นไม่เป็นไรใช่ไหม”

“ไม่เป็นไรหรอกครับ เห็นวิ่งปร๋อ คุณชวิศาไม่เป็นไรแน่หรือครับ”

“อือ ตอนนี้ไม่รู้สึกอะไรแล้ว แข็งแรงดีเหมือนเดิม”

มาริเอะพินิจมองสีหน้าของคนพูด ยื่นมือให้ชวิศาจับไว้ ตรวจสอบอุณหภูมิร่างกายไปพลาง อุณหภูมิร่างกายของชวิศาอยู่ในเกณฑ์ปกติอย่างที่เจ้าตัวว่าจริงๆ มาริเอะจึงตอบโต้บทสนทนาไปอย่างปกติ


ตอนบ่ายเจ้าชายฟาลิฮ์พาสุดฟ้าและคนติดตามออกจากเมืองด้วยรถไฟฟ้าเช่นเดิม ลงจากสถานีเพื่อขึ้นมานั่งอยู่ในรถฮัมเมอร์สีดำซึ่งคนขับพาผู้โดยสารไต่ไปตามไหล่เขา ทิศตรงข้ามกับเส้นทางที่มาจากสนามบิน มองไปนอกหน้าต่างรถเห็นบ้านเรือนมีผู้คนอาศัยอยู่ประปราย แต่ตัวบ้านลักษณะเหมือนเจาะช่องซ่อนตัวอยู่ตามแนวเขา แถวนี้มีแต่ดินแดงฝุ่นฟุ้งไปทั่ว ไม่มีต้นไม้พืชพรรณจนไม่คิดว่ามนุษย์จะอาศัยอยู่ได้ 

ใช้เวลาร่วมสองชั่วโมงกว่าจะมาถึงค่ายทหารที่เจ้าชายว่า ซึ่งตั้งอยู่บริเวณเชิงเขา ทันทีที่พวกเขามาถึงทหารประจำค่ายในชุดเครื่องแบบที่ดูทะมัดทะแมง รีบวิ่งเข้ามายืนรับเสด็จ

ลงจากรถสุดฟ้าก็กวาดสายตามองรอบตัว รถยนต์พาพวกเขามาส่งที่หน้าอาคารทรงสี่เหลี่ยมสีแดงอิฐ ความสูงประมาณสองชั้น มีอาคารหลังอื่นถูกก่อสร้างกระจายตัวออกไป หันมองอีกด้านไม่ไกลเกินกว่าที่มองเห็นด้วยตาเปล่า เบื้องหน้านั้นเป็นตึกรามบ้านช่องอาคารสูงที่บ่งบอกว่าเป็นเมืองใหญ่ ทว่ากลับว่างเปล่าไร้ซึ่งสัญญาณของสิ่งมีชีวิต ตึกอาคารดูผุพังทรุดโทรมไม่ต่างจากเมืองร้าง ราวกับสิ่งที่เขาเห็นมีเพียงซากปรักหักพังของความรุ่งเรืองในอดีต

เจ้าชายฟาลิฮ์เองก็เหมือนจะชาชินกับภาพเบื้องหน้า ทรงสาวพระบาทเสด็จไปตามทางด้วยอาการสงบนิ่ง และหยุดประทับตรงหน้าผาเตี้ยซึ่งสูงจากพื้นด้านล่างประมาณสิบเมตร  ทรงส่งกล้องส่องทางไกลให้เขาถือ สุดฟ้าจึงยกมันขึ้นแนบดวงตา  ไกลออกไปราวๆสี่ถึงห้ากิโลเมตร พื้นที่บริเวณนั้นมีร่องดินซึ่งมีขนาดพอให้ผู้ชายตัวโตๆสักคนสองลงไปเดินสวนกันได้ ถัดออกไปอีกหน่อยมีเพียงรั้วลวดหนามไว้แบ่งเขตแดน

ด้านหลังมีทหารหลายนายเดินตามมาอยู่ไม่ห่าง

“เราจะให้ทหารต้านกองทัพศัตรูไม่ให้ผ่านแนวรั้วเข้ามาครับ”

สุดฟ้าเปิดประสาทหูรับฟังข้อมูล แต่ประสาทมองเห็นที่ส่องผ่านกล้องนั้น กวาดมองเมืองร้างด้านหน้า

“กองกำลังที่เข้ามาจู่โจมส่วนใหญ่เป็นรถถังครับ ทหารราบของฝ่ายตรงข้ามคนของเราสามารถจัดการได้”

“เจ้าชายจะตรัสว่า ระเบิดประเภทแรกของผมมันไม่มีประโยชน์”

องค์รัชทายาทแย้มพระสรวล และดำรัสต่อไปว่า “ที่จะมีปัญหาอีกอย่างคือหน่วยรบทางอากาศ”

“แล้วพระองค์ไม่มีกองบินทหารหรือครับ”

“ไม่มีครับ เรามีแต่เครื่องบินโดยสาร ถ้าคำนึงถึงความคุ้มค่าแล้ว เครื่องบินทหารค่อนข้างไม่มีประโยชน์ซักเท่าไหร่ เราเป็นประเทศที่ไม่ต้องสู้รบกับใครมาเป็นร้อยๆปี ถ้านึกไม่ชอบใจพวกที่มารุกรานเราก็ซัดพลังเวท์ใส่ หรือใช้คาถาควบคุมพื้นดิน ทำให้พื้นดินเป็นหลุมให้พวกมันตกลงไปแล้วก็ฝังทั้งเป็น”

สุดฟ้าผงะออกมาเล็กน้อย “พระองค์ก็... โหดไม่ใช่เล่นนะ” นิ่งมองเจ้าชายหนุ่มรูปงามอย่างไร้คำสนทนาที่จะเอื้อนเอ่ย กระทั่งเจ้าชายฟาลิฮ์แย้มพระสรวลกว้าง

“ล้อเล่นใช่ไหมครับ ถ้าทำได้ถึงขนาดนั้น ก็ไม่น่าจะลำบากนี่นา”

“ครับ ถ้าย้อนกลับไปเมื่อสักร้อยปีก่อน”เจ้าชายฟาลิฮ์ทอดเสียงคล้ายหนักใจ “จำเรื่องสงครามกลางเมืองที่เล่าให้ฟังเมื่อวานได้ใช่ไหมครับ”เจ้าชายแค่หันมองหน้าเขาชั่วครู่ จากนั้นจึงผินพระพักตร์กลับไปมองร้างเบื้องหน้า และกล่าวต่อไปว่า “การต่อสู้ครั้งนั้นจบลงที่เจ้าชายทั้งสองพระองค์สิ้นพระชนม์ทั้งคู่ และหลังจากนั้นเป็นต้นมา ก็ไม่มีผู้ที่ใช้พลังระดับจอมเวทย์ปรากฎขึ้นมาอีกเลย จนจอมเวทย์คนสุดท้ายในยุคนั้นเสียชีวิตลง ถึงมีจอมเวทย์ถือกำเนิดขึ้นมา เป็นแบบนั้นเรื่อยมากระทั่งศิลาสารพัดนึกถูกขโมยไป เด็กๆที่เกิดมาพร้อมพลังระดับจอมเวทย์จึงเพิ่มมากขึ้น”

สุดฟ้านิ่งฟัง รอให้เจ้าชายตรัสต่อไป

เจ้าชายฟาลิฮ์หันไปเรียกบาซิมที่ยืนเยื้องอยู่ด้านหลังเข้ามาใกล้ ออกคำสั่งไปคำหนึ่งและหันมามาหาเขา ยกพระกรข้างหนึ่งขึ้น ขยับปากออกเสียงด้วยภาษาที่เขาไม่รู้จัก บาซิมก็ทำเช่นเดียวกัน ฉับพลันลูกแก้วโปร่งใสคล้ายมีลมหมุนวนอยู่ภายในก็ปรากฎขึ้นบนพระหัตถ์ของพระองค์  ลูกแก้วนั้นเป็นสีแดง  ส่วนบนมือของบาซิมเป็นสีฟ้าอ่อน มันค่อยๆขยายขึ้นจนมีขนาดเท่ากับกำปั้น

“สมมติว่าลูกพลังสีแดงนี่คือพลังทั้งหมดของผม ส่วนสีฟ้านี่คือพลังทั้งหมดของบาซิม กรณีที่ยินยอมพร้อมใจกันทั้งคู่เราสามารถรวมพลังของเราเข้ากันคนอื่นได้”ทรงเคลื่อนพระหัตถ์เข้าหามือของบาซิม และรวมลูกพลังนั้นเป็นลูกแก้วที่มีขนาดใหญ่ขึ้น ก่อนจะดึงให้แยกออกจากกันอีกครั้ง

“แต่ถ้าไม่ หากพลังนั้นเท่ากันก็จะถูกหักล้างกันไป”ลูกพลังทั้งสองสลายหายไปเมื่อเจ้าชายและบาซิมนำมันมาชนกันอีกครั้ง “หรือพลังที่มากกว่าจะชนะพลังที่น้อยกว่า โลกของเราเองก็มีพลังมหาศาลไหลเวียนอยู่ครับและก็ไม่เคยยินยอมที่จะรวมพลังกับใคร หรือให้ใครดึงพลังไปใช้”

“ยกเว้นจอมเวทย์”

“ครับ ยกเว้นจอมเวทย์ จากการศึกษา เราพอจะสรุปได้ว่าคุณสมบัติทางกายของจอมเวทย์ต่างจากนักเวทย์ทั่วไป และในตระกูลซึ่งมีบรรพบุรุษที่มีพลังในระดับจอมเวทย์ ลูกหลานในตระกูลนั้นจะมีพลังในระดับจอมเวทย์เป็นส่วนใหญ่”

“นั่นคือความสามารถของจอมเวทย์จะถ่ายทอดทางพันธุกรรม”

“ครับ ถ้าคิดตามทฤษฎีทางพันธุกรรมศาสตร์มันควรจะเป็นเช่นนั้น แต่ในช่วงแปดถึงเก้าสิบปีก่อน ในตระกูลที่มีจอมเวทย์ปรากฎอยู่ทุกรุ่นกลับไม่มีเด็กที่มีพลังระดับจอมเวทย์ถือกำเนิดขึ้นเลย”

“หรือถ้าคิดให้เข้าเค้าสัมพันธ์กับพลังลึกลับที่คอยดูแลฮัชดาลลาร์มาตลอด ก็คือมหาเวทย์ไม่อยากให้เกิดเหตุสงครามกลางเมืองขึ้นมาอีก เลยควบคุมไม่ให้มีจอมเวทย์เกิดขึ้นมาจนเกินความจำเป็น เลยเป็นปัญหาว่ากองกำลังที่น่าจะสามารถจัดการได้ง่ายๆกลับไม่สามารถทำได้เช่นเคย”

“ผมก็คิดว่าน่าจะเป็นอย่างที่คุณพูดครับ”

“ครับเป็นอันว่า ผมเข้าใจแล้ว ถ้าอย่างนั้นผมขอปล่อยโดรนบินสำรวจพื้นที่หน่อยละกันนะครับ”สุดฟ้าเปิดกล่องกันกระแทกใบเล็กที่นำติดตัวมาด้วย ภายในนั้นมีแมลงจักจั่นที่เขาเคยใช้สอดแนมชวิศาวางนิ่งอยู่ มืออีกข้างเขาหยิบดิจิตอลไลท์มอนิเตอร์ขึ้นมาเปิด ใช้นิ้วก้อยข้างที่ถือกล่องกันกระแทกสัมผัสหน้าจอ ดึงโปรแกรมควบคุมแมลงจักจั่นขึ้นมาแสดงบนหน้าจอ จากนั้นไม่นาน เจ้าแมลงตัวน้อยก็ค่อยๆกระพือปีกบินสูงขึ้น สุดฟ้าจึงปิดกล่องกันกระแทกเก็บใส่กระเป๋าเช่นเดิม และใช้มือข้างนั้นคีย์คำสั่ง  หลังจากกดปุ่มตกลง ภาพบนหน้าจอจึงเปลี่ยนเป็นมุมมองเดียวกับกล้องที่ติดอยู่ตัวแมลงประดิษฐ์

สุดฟ้าใช้ปลายนิ้วแตะมุมหน้าจอขยายจอมอนิเตอร์ให้ใหญ่ขึ้นอีก และแบ่งหน้าจอครึ่งหนึ่งสำหรับโปรแกรมคำสั่ง พลางเลื่อนภาพจากแมลงจักจั่นไปวางไว้ตรงหน้าเจ้าชายฟาลิฮ์ที่ขยับเข้ามาดูใกล้ๆ

“ดูคล้ายกับคาถาเงาวารีอยู่มาก”

“อืม ผมก็เอาไอเดียมาจากคาถาที่ว่าแหละครับ”สุดฟ้าหัวเราะกับมุขตลกของตน ยังไม่ทันไร เจ้าชายก็ร้องอุทานออกมา พร้อมกับหันไปสั่งการทหารที่ยืนอยู่ด้านหลังด้วยสุรเสียงรัวเร็ว ชายหนุ่มเจ้าของอุปกรณ์แสนไฮเทคจึงหันไปมองภาพที่ปรากฎอยู่บนหน้าจอ บังเอิญว่าเจ้าแมลงตัวจ้อยจับภาพขีปนาวุธร่อนแบบนำวิถีพิสัยไกลที่กำลังพุ่งตรงมาทางนี้ได้

ทันใดนั้น เสียงหวอยาวก็ดังขึ้นพร้อมกับทหารของฮัชดาลลาร์วิ่งกรูเข้าประจำที่ รวดเร็วเสียจนสุดฟ้ายังมองตามไม่ทัน เขาจึงละสายตาจากหน้าจอมองพลธนูที่ขึงสายธนูขึ้นเตรียม

“ใช้ธนูเนี่ยนะ ไม่ล้าหลังไปหน่อยหรือครับ”สุดฟ้าถามออกไปอย่างไม่เกรงใจ

“ครับ ล้าหลัง แต่ถ้ารวมกับพลังเวทย์ ก็พอใช้ได้อยู่”

สุดฟ้ามองลูกธนูที่ถูกปล่อยออกจากแล่ง มันลอยขึ้นสูงจนน่าประหลาด ขณะเดียวกัน มือของเขาก็คีย์คำสั่งให้แมลงจักจั่นบินสูงขึ้นอีก เมื่อลูกธนูดอกนั้นมีแนวโน้วที่จะชนกับขีปนาวุธ แล้วก็จริงตามนั้น ทันทีที่สสารทั้งสองปะทะก็เกิดการระเบิดครั้งใหญ่ที่ทำให้ท้องฟ้าสีครามแดงฉานด้วยเปลวเพลิงลูกใหญ่ แรงระเบิดนั้นทำให้ภาพบนหน้าจอสั่นไหวขาดหายไปชั่วครู่ก่อนที่จะกลับมาปกติเช่นเดิม สุดฟ้าถอนหายใจโล่งอกที่แมลงจักจั่นของเขายังอยู่ดี

หลังการระเบิดนั้น เสียงครืนครานดังคำรามตามติดๆ ที่สุดปลายสายตานั้นปรากฎรถเกราะติดอาวุธเคลื่อนที่เข้ามาใกล้ น้ำหนักของมันทำให้แผ่นดินที่พวกเขายืนอยู่ถึงกับสะเทือน พลธนูของฮัชดาลลาร์ยังคงทำหน้าที่เดิม พวกเขาโจมตีกลับด้วยลูกธนูเสริมพลังเวทย์ซ้ำๆ แม้ครั้งแรกจะยังไม่ได้ผล แต่เมื่อรถหุ้มเกราะเหล่านั้นโดนโจมตีซ้ำๆ มันก็ระเบิดและกลายเป็นก้อนไฟที่เหลือแค่เศษซาก ส่วนขีปนาวุธที่ถูกยิงออกมาจากรถหุ้มเกราะ มันถูกม่านพลังที่มองไม่เห็นขวางไว้ และระเบิดทันทีที่กระทบกับม่านพลังนั้น

เจ้าฟาลิฮ์มองภาพเบื้องหน้าด้วยสีพระพักตร์เคร่งเครียด เมื่อรถหุ้มเกราะของฝ่ายตรงข้ามนั้นมีมากมายนับสิบ

สุดฟ้ากดปิดหน้าจอมอนิเตอร์ไลท์ในมือ ดึงปืนขนาดสิบเอ็ดมม. ออกมาจากซองข้างเอว เสียบดิจิตอลไลท์มอนิเตอร์เข้ากับด้ามปืนและกดเปิดหน้าจออีกครั้ง ใช้มือซ้ายถือปืนไว้ ขณะที่มือขวารัวคำสั่งบนหน้าจอ

“ที่จริงวันนี้ผมเตรียมตัวอย่างมาโชว์ให้เจ้าชายดูด้วยครับ แต่เผอิญว่ามีของจริงมาให้ทดลองเสียก่อน”เขาปิดหน้าจอหลังจากป้อนคำสั่งเสร็จเรียบร้อย ดึงดิจิตอลมอนิเตอร์เก็บใส่กระเป๋า ยกมือขวาที่ถือปืนอยู่ขึ้นเล็ง

มันไกลเกินไป!!! สุดฟ้าสบถในใจ ถ้าเขาพาสเตบาสเตียนมาด้วยมันคงจะง่ายกว่านี้ ระยะทางร่วมสิบกิโลเมตรมันไกลเกินกว่าจะยิงปืนให้โดนเป้าหมาย ไม่ว่าเขาจะใส่แว่นอยู่เช่นนี้หรือเป็นคนสายตาปกติก็ตาม

“ให้ผมช่วยไหมครับ”เจ้าชายฟาลิฮ์ยื่นพระหัตถ์มาตรงหน้าเขา สุดฟ้ามองอย่างลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะส่งปืนในมือไปให้ และหยิบดิจิตอลไลท์มอนิเตอร์ขึ้นมากดเปิดอีกครั้ง

“เบากว่าปกติหรือเปล่าครับ”เจ้าชายฟาลิฮ์ดำรัสอย่างสงสัย

“หรือครับ ไม่รู้เหมือนกัน ผมไม่เคยจับของจริง”เขาตอบไปตามตรง ปืนในมือของคู่สนทนาเป็นของที่เขาทำเลียนแบบปืนของเล่นขึ้นมา

“ให้ยิงรถถังคันที่สอง สี่ และหก จากทางซ้ายนะครับ”พอได้รับคำสั่ง เจ้าชายฟาลิฮ์ก็ยกปืนขึ้นยิงเป้าหมายตามที่เขาบอกบอกทันที สุดฟ้าตรวจสอบเป้าหมายบนหน้าจออีกครั้ง เมื่อระเบิดขนาดเล็กของเขาตกบนเป้าหมายตามตำแหน่งที่ต้องการ เขาจึงป้อนคำสั่งอีกเล็กน้อย ก่อนที่มือทั้งสองข้างของเขาจะสั่นขึ้นมา สุดฟ้าละมือออกจากหน้าจอ เปลี่ยนมากุมหน้าอก ในรถหุ้มเกราะพวกนั้นมีมนุษย์เป็นๆรวมอยู่ด้วย นี่จะเป็นครั้งแรกที่เขาทดลองระเบิดของเขากับมนุษย์จริงๆ และเป็นครั้งแรกที่เขาจะฆ่าคนจริงๆที่ไม่ใช่ในเกมส์

“ถ้าไม่ฆ่าเขา เขาก็ฆ่าเรา”น้ำเสียงเย็นชาดังขึ้นไม่ไกล ข้อความคุ้นหูที่เขาเคยได้ยินจากทั้งภาพยนตร์และอนิเมชั่นหลายเรื่อง สุดฟ้าเข้าใจในคำพูดนั้นดี แต่การลงมือทำมันอยากกว่าที่คิด

เขาสูดลมหายใจเข้าปอดอีกเฮือกใหญ่ ก่อนจะตัดใจแตะมือลงบนปุ่มยืนยันบนหน้าจอ

ภาพบนหน้าจอแสดงสถานะคำสั่ง แสดงภาพตรวจจับการทำงานที่ส่งมาจากแมลงจักจั่นซึ่งบินร่อนอยู่บนท้องฟ้า ภาพบนหน้าจอแสดงให้เห็นคลื่นความร้อนที่กระจายครอบคลุมเป้าหมายทั้งหมดในรูปแบบกราฟสี แต่ภาพเบื้องหน้าที่เขาเห็น ไม่มีทั้งแสงและเสียง ก่อนทั้งรถหุ้มเกราะและมนุษย์ที่อยู่ข้างในจะสลายจนเหลือแค่ฝุ่นผงเมื่อสถานะการทำงานของระเบิดสิ้นสุด

และเหลือเพียงสายลมวูบใหญ่ แต่สุดฟ้ารู้สึกเหมือนได้กลิ่นเหม็นไหม้โปรตีนในร่างกายมนุษย์โชยรวมมาด้วย เขายกมือขึ้นปิดปากด้วยความรู้สึกผะอืดผะอมพร้อมกลั้นหายใจ นึกอยากกลับบ้านขึ้นมาจับใจ

+++++โปรดติดตามตอนต่อไป+++++

ออฟไลน์ ตีสี่

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 412
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-5
    • 61'
ตอนที่สิบหก



กว่าจะถึงที่พักก็เป็นเวลาค่อนมืด เนื่องจากชวิศาเห็นว่าตัวเองกลับมาแข็งแรงดีแล้วจึงไปเดินเที่ยวในเมืองแถวพระราชวังราซาห์กันอีกรอบ ไม่ต่างจากพี่น้องฝาแฝดสุวราลักษณ์ที่พวกเขาบังเอิญเจอกันที่หน้าประตู แต่สองคนนั้นดูจะรีบร้อนมากกว่าพวกเขานัก เพราะเมื่อเห็นก็เอ่ยปากทักแบบลวกๆก่อนจะตรงดิ่งกลับเรือนรับรอง เห็นทั้งสองคนเร่งรีบ ทั้งเขาและมาริเอะจึงรีบตามไปบ้าง สองคนนั้นก้าวเท้าเร็วมาก กว่าที่ชวิศาจะตามทัน สองพี่น้องก็เข้าไปหยุดยืนอยู่ข้างเตียงในห้องนองใหญ่ของเขานั่นละ

“อาอาร์มโทรมาบอกว่าแกให้เอาเครื่องไอวีบีมารับที่ฮัชดาลลาร์”ฝาแฝดคนหนึ่งกำลังดึงผ้ากองผ้าห่มซึ่งเมื่อเดินเข้าไปดูใกล้ๆจึงเห็นว่ามีคนคู้ตัวอยู่ใต้นั้น

“เกิดอะไรขึ้นว่ะ ออกมาคุยกันดีๆดิ”

“ฉันอยากกลับบ้าน!!!”เสียงโวยวายนั้นดังมาจากใต้โปงผ้า

“เออ จะกลับก็กลับ แต่ทำไมต้องเอาเครื่องไอวีบีขึ้นด้วย แล้วแกบอกเจ้าชายหรือยัง”ธัชนนท์บอกด้วยเสียงเรียบๆ แต่สิ่งที่ตอบกลับมายังคงเป็นความเงียบ

“เฮ้ย!!! สุดฟ้า อย่ามาเงียบแบบนี้นะเว้ย”ธัชนันท์โวยวายขึ้นมาบ้าง พยายามดึงไอ้ตัวน่ารำคาญที่พยายามซ่อนตัวอยู่ใต้ผ่าห่มออกมาให้ได้

เมื่อไม่ว่าอย่างไรตัวต้นเรื่องก็ยังเงียบ ธัชนนท์จึงพูดขึ้นมาว่า “ถ้าอย่างนั้น ฉันจะบอกให้อาอาร์มเอาเครื่องบินปกติมารับ”

“ไม่ได้นะ”สุดฟ้าร้องพร้อมโผล่หัวออกมาจากใต้ผ้าห่ม

“ถ้าเป็นเครื่องปกติ ไม่มีทางลงจอดที่สนามบินได้อยู่แล้ว แถมเจ้าชายก็จะรู้เรื่องด้วย”ประโยคหลังเจ้าตัวงึมงำอย่างวิตก

“รู้แล้วยังไง แค่จะกลับ เขาจะมามีปัญหาอะไร หรืองานแกยังไม่เสร็จแต่จะหนีบ้านก่อน”ฝาแฝดคนน้องพูดออกมาเป็นฉากๆ ยิ่งอีกฝ่ายไม่โต้ตอบเลยยิ่งชัดเจน

นับตั้งแต่สุดฟ้าเริ่มรับจ้างทำงานอย่างจริงจัง สองหนุ่มพี่น้องสุวราลักษณ์สังเกตเห็นว่า เพื่อนสนิทตั้งแต่เด็กของพวกเขาไม่เคยเบี้ยวงานสักครั้ง เพราะก่อนรับงาน สุดฟ้าจะถามข้อมูลของงานจนละเอียดยิบ เท่านั้นยังไม่พอ สุดฟ้ายังเลือกงานยิ่งกว่าเลือกแม่ของลูก ดังนั้น ในช่วงสองสามปีหลังๆมานี้ สุดฟ้าจึงรับงานแค่หนึ่งหรือสองงานต่อปีเท่านั้น

“ถามจริง แกรับงานอะไรมาว่ะ”

สุดฟ้าเงยหน้าขึ้นมองฝาแฝด ก่อนจะก้มหน้าซุกลงกับเข่า ฝาแฝดคนน้องเห็นท่าทางแบบนั้นจึงหงุดหงิดโมโห เขาไปขึ้นไปนั่งคุกเข่าบนเตียง และจับล็อกคอให้สุดฟ้าเงยหน้าขึ้น

“พูดออกมาซะ แกก็รู้ ถ้าพี่ไอซ์ไม่อนุญาตต่อให้แกมีรหัสปลดล็อกเครื่องไอวีบี แกก็เอาเครื่องออกมาไม่ได้อยู่ดี”

สุดฟ้าโดนล็อกคอจนหายใจไม่ออก เขาจึงต้องพยายามดิ้นรนให้หลุดออกจากพันธนาการ ธัชนันท์เห็นว่าอีกฝ่ายท่าจะทรมานจริงๆจึงคลายวงแขนพอให้หายใจได้ สุดฟ้าสูดลมหายใจเข้าปอดเฮือกใหญ่ ก่อนจะฮึดเหวี่ยงคนที่ล็อกคอเขาอยู่ทุ่มลงกับพื้น แต่เพราะโดนทุ่มลงกับเตียง ธัชนันท์จึงลุกขึ้นมาได้อย่างรวดเร็ว

“งั้นฉันก็จะไม่ใช้เครื่องไอวีบี”สุดฟ้าลุกขึ้นเก็บเสื้อผ้ายัดใส่กระเป๋า “สเตบาสเตียนเอามอเตอร์สเปซขึ้น ใช้โหมดอากาศยานมาที่นี่ด่วน”

“ครับ”

“เฮ้ย!!!”สองพี่น้องร้องอุทานพร้อมกัน ผวาเข้าไปคว้าแขนสุดฟ้าไว้คนละข้าง พวกเขามีขนาดตัวพอๆกัน แต่เรี่ยวแรงของสุดฟ้าจะน้อยกว่าสองพี่น้องที่ชื่นชอบการออกกำลังอยู่นิดหน่อย พอโดนจับล็อกเช่นนี้จึงดิ้นไม่หลุด

“มาริเอะเก็บของเตรียมตัวกลับบ้าน”

“ครับ”เมื่อมาริเอะรับคำ ชวิศาจึงต้องเดินตามไปช่วยเก็บของด้วย

“อีกเก้าชั่วโมงสี่สิบนาทีมอเตอร์สเปซจะลงจอดครับ”เสียงสเตบาสเตียนรายงานมา ก่อนร่างสูงของหุ่นยนต์พ่อบ้านจะก้าวเท้าออกไปด้านนอก คงจะไปเก็บอุปกรณ์ที่ห้องชั้นล่าง ธัชนนท์คิด

“น้ำ ไปหยุดสเตบาสเตียนไว้ ส่วนเดย์หยุดชวิศาซะ”

“รหัส พีทีสามทูซีรี่ รับคำสั่ง”

เมื่อได้ยินเสียงนั้นทั้งเดย์และน้ำต่างหยุดกึก ก่อนจะขานทวนรหัสออกมาพร้อมกัน “คำสั่งรหัสฉุกเฉิน เริ่มทำการตรวจสอบรหัสผ่าน กรุณายืนยันรหัสผ่าน”

ดูท่าว่าธัชนันท์จะรู้ตัวไว้กว่า ฝาแฝดคนน้องจึงยกมือปิดปากสุดฟ้าได้ทันท่วงที ส่วนฝาแฝดคนพี่ก็ตะโกนลั่นออกไปว่า “ยกเลิก ยกเลิก ยกเลิกคำสั่ง” ทว่าหุ่นยนต์ทั้งสองตนยังคงยืนนิ่ง สุดฟ้ายกยิ้มแม้จะถูกปิดปากอยู่ สองพี่น้องก็รู้สึกว่าเหตุการณ์ตอนนี้เป็นตามที่สุดฟ้าต้องการ

“เอาละ”ธัชนนท์ปล่อยมือจากสุดฟ้า และล้วงกระเป๋าหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาถือ “ฉันให้โอกาสแกอธิบายอีกครั้ง ถ้าแกไม่ยอมเล่าให้ฟังดีๆละก็ เรื่องอะไรที่แกพยายามปิดบังไว้ได้ถึงหูคุณน้าแน่ๆ”




สุดฟ้านั่งกอดเข่าอยู่บนพื้นด้วยอาการกระสับกระส่าย สองพี่น้องสุวราลักษณ์นั่งอยู่ตรงหน้า แต่คงมีแค่พี่ใหญ่ของบ้านที่ตีหน้าถมึงทึงจ้องเขาเขม็ง  น้องชายฝาแฝดกำลังกอดปลอบหุ่นยนต์สุดรักของตน ทั้งชวิศา มาริเอะและสเตบาสเตียนนั่งเกาะกลุ่มกันอยู่ข้างหนึ่ง  กระเป๋าเสื้อผ้าของเขายังเปิดอ้าอยู่เช่นเดิม

“จะพูดได้หรือยัง”น้ำเสียงของฝาแฝดผู้พี่เย็นเหยียบเข้มงวดสมกับเป็นพี่ใหญ่ในหมู่พวกเขาสามคน

สุดฟ้าเหลือบตาขึ้นมอง พอจะรู้อยู่ว่าการที่ฝาแฝดมาสิงสถิตย์อยู่กับเขาตลอดเพราะต้องคอยรายงานความประพฤติให้กับผู้เป็นบิดาและมารดของเขาให้รับทราบ แต่เผอิญว่าพ่อกับแม่ไม่ได้ติดต่อกลับมานานแล้ว เขาจึงคิดว่าธัชนนท์ก็ไม่น่าจะติดต่อได้เหมือนกัน กระนั้นเขาก็ไม่กล้าเสี่ยง ถ้าสองคนนั้นรู้เรื่องนี้เข้า เขาคงโดนคุมประพฤติอีกยาว ไม่ใช่ว่าพ่อแม่ของเขาจะโหดร้ายทารุณ หรือชอบกดดันให้เขากลายเป็นเด็กมีปัญหาแบบลูกๆบ้านอื่น กลับกันทั้งสองเอาใจใส่ดูแลเขาดีมาก จำได้ว่าช่วงที่เขาเพิ่งเข้าอนุบาลปีแรกๆ พ่อกับแม่ไปเรียนกับเขาด้วย เด็กที่เรียนด้วยกันมีแต่คนอิจฉา แต่ตอนนั้นเขาไม่ดีใจด้วยหรอก ประเด็นคือ ความรู้ความสามารถของเขาอยู่ในระดับเดียวกับเด็กอายุสิบห้า แล้วทำไมเขาต้องไปเรียนอนุบาลอีกรอบ แน่นอนว่าเหตุผลของพ่อแม่คือ ต้องการฝึกให้เขาปรับตัวให้เข้ากับสังคม แต่สังคมของเขาก็มีฝาแฝดอยู่แล้ว ไม่เห็นจำเป็นต้องฝึกอีกเสียหน่อย พอบอกเหตุผลนั้นไป ผู้เป็นบิดากลับหัวเราะ และตอบกลับมาว่า ดีจังที่เขามีความเป็นเด็กเหลืออยู่ในตัวบ้าง แบบนี้ละที่เขาไม่อยากให้พ่อแม่อยู่ด้วย พอบ่นเรื่องแบบนี้ออกไป คุณน้าแม่ของฝาแฝดก็บอกว่า ไม่ว่าลูกๆจะอายุเท่าไหร่ในสายตาของคนเป็นพ่อแม่ลูกก็ยังเด็กอยู่ดี แต่คุณน้าก็ไม่เห็นปฏิบัติกับฝาแฝดเหมือนที่พ่อแม่เขาทำสักหน่อย  สุดฟ้าไม่อยากนึกถึงเลย นึกถึงทีไรก็หดหู่ทุกที

“เจ้าชายจ้างให้ทำ.....”สุดฟ้างึมงำอยู่ในลำคอ ธัชนนท์ที่เงี่ยหูตั้งใจฟังก็ยังไม่ได้ยิน

“อะไรนะ พูดดังๆดิ”แม้จะโดนย้ำเช่นนั้นแต่สุดฟ้าก็ยังงึมงำตอบกลับมาอีก ฝาแฝดผู้พี่จึงพูดเสียงแข็งสำทับไปว่า “ถ้าไม่พูดออกมาให้ได้ยินชัดๆ ฉันจะโทรหาคุณน้าแล้ว”

“เจ้าชายจ้างให้ทำบอมบ์พินาศ”คราวนี้เขาพูดออกมาเสียงดังฟังชัด บอมบ์พินาศเป็นชื่อระเบิดที่สุดฟ้าตั้งไว้ตั้งแต่ที่เขาเริ่มทดลองทำแรกๆ

“ฉันจำได้ว่าไม่ว่าจะแบบแปลนหรืออะไรเกี่ยวข้องกับไอ้ระเบิดนี่ น้าเขตริบเก็บไปหมดแล้วไม่ใช่เหรอ และถ้าจำไม่ผิด คอมเครื่องที่แกใช้โดนแยกส่วน กระดาษแบบของแกก็โดนเผาทิ้ง แล้วแกยังสร้างได้อย่างไร”

“ก็จำได้อ่ะ”สุดฟ้าช้อนตาขึ้นมองอีกฝ่ายที่ขมวดคิ้วเป็นปม

“อ่อ โอเค แล้วงานนี้แกได้ค่าจ้างเท่าไหร่”

“งึ ไม่ได้อ่ะ ได้มาเที่ยวฮัชดาลลาร์กับการที่เจ้าชายจะเล่าเรื่องเวทย์มนต์ให้ฟังนี่ไง”

“ไม่ได้เงินสักบาท”ธัชนันท์ตะเบ็งแทรกขึ้นมา “บางครั้งเรื่องโง่ๆ มึงก็โง่ไม่ใครเกินนะเนี่ย”

สุดฟ้าขมวดคิ้วฉับ เตรียมจะอ้าปากด่ากลับ แต่โดนธัชนนท์ยกมือห้ามเสียก่อน ฝ่ายน้องชายก็โดนสายตาดุห้ามปราม “ถ้าอย่างนั้นรู้ไว้อย่างนะสุดฟ้า ราคาแบบแปลนไอ้ระเบิดบ้าบอ...”

“บอมบ์พินาศ”ทำใจไม่ได้จริงๆนะ ที่ของที่เขาสร้างโดนเรียกว่าบ้าบออะไรเนี่ย

“เออ ระเบิดบอมบ์พินาศ มูลค่าราคาแบบแปลนตอนนี้อยู่ที่หนึ่งพันล้านยูเอส”

“เอ๊ะ!!!”

“แต่เพราะทุกอย่างมันหายไปหมดแล้วไง มันก็เลยยังเป็นแรร์ไอเทมที่มีแค่ภาพวงจรปิดว่าไอ้ระเบิดที่ว่ามันมีจริง”

“แกเคยเห็นด้วยเหรอ”

“เออดิ ถ้าไม่เคยเห็นน้าเขตกับน้าฟ้าเขาจะตามไปริบของของแกถูกเหรอ”ฝาแฝดคนน้องพูดขึ้นมาบ้าง

“แล้วทำไงดีละคราวนี้”สุดฟ้าโอดครวญกระสับกระส่ายมากกว่าเดิม ครั้งที่แล้วเขาโดนลงโทษให้เขียนรายงานการสำนึกผิดจำนวนยี่สิบหน้า และให้ลายมือไก่เขี่ยแบบเขาคัดรายงานให้สวยงามอ่านออกอีกหนึ่งร้อยจบ คราวนี้เขาทำคนตายด้วย ต้องโดนคัดลายมือเป็นพันจบแน่เลย

“ต้องรีบหนี”

ธัชนนท์ที่จับจ้องอยู่แล้ว รีบปราดเข้าไปจับสุดฟ้าไว้ “ใจเย็นๆดิว่ะ”

“เย็นยังไงไหว คราวนี้ฉันทำคนตายด้วย”

“มันก็เป็นเรื่องปกติของสงคราม”

จบคำพูดของธัชนันท์ สุดฟ้ามองหน้าฝาแฝดหน้าตาตื่น “พวกแกไม่ตกใจ”

“พวกเรายี่สิบหกแล้วนะเว้ย อีกอย่างแกคิดว่าพวกฉันเรียกการต่อสู้ไว้เล่นๆเหรอ”

“แต่ตอนนั้นพวกแกบอกว่าเรียนแล้วสาวจะชอบ”

“นั่นก็ส่วนหนึ่ง ผู้หญิงอ่ะชอบผู้ชายมีกล้าม”บรรยากาศที่ดูเคร่งเครียดก่อนหน้าเบาบางลงทันใด กระทั่งมีเสียงกระแอมกระไอดังขึ้น ตามด้วยเสียงของชวิศา “ตกลงว่าอย่างไรครับ จะกลับกันหรือเปล่า” ธัชนนท์จึงกลับมาตอบคำถามด้วยความจริงจังอีกครั้ง

“กลับไม่ได้หรอก ถ้าไปทั้งอย่างนี้ ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องโดนตามรังควานอยู่ดี”และหันไปถามสุดฟ้าว่า “เจ้าชายบอกหรือเปล่าว่า ทำไมเขาถึงมาจ้างแกให้ทำระเบิดให้”

สุดฟ้าจึงเล่าเรื่องที่เจ้าชายเคยติดต่อมาเมื่อปีก่อน และเรื่องที่เคยพูดคุยทั้งหมดรวมถึงเรื่องศิลาสารพัดนึกให้ฝาแฝดและคนอื่นๆฟัง

“ศิลาสารพัดนึกเหรอ ฉันเคยได้ยินคนพูดถึงอยู่ มีคนเอาออกมาประมูลเมื่อสักห้าหกปีก่อน”

“เอ้ย งั้นก็ไปขอซื้อมาคืนเจ้าชายดีป่ะ”

“แกคิดว่าเจ้าชายจะไม่มีปัญญาประมูลของแบบนั้นกลับคืนมาเหรอว่ะ”ธัชนนท์แย้ง สุดฟ้าเลยพูดขึ้นมาอีกว่า

“วันก่อนที่คุยกัน เจ้าชายฟาลิฮ์ทำท่าโล่งใจที่ฉันไม่เอาค่าจ้างด้วยนะ”

“งั้นจะย้ำให้ฟังอีกรอบว่า ระเบิดของแกราคาแพงกว่าศิลานั่นหลายสิบเท่าเลยละ”เมื่อพี่ชายพูดจบ ธัชนันท์จึงกล่าวเสริมต่อไปว่า

“เท่าที่ฉันจำได้ ราคาของศิลาที่ถูกประมูลไปอยู่ที่ประมาณสิบล้านยูเอส แม้ว่าคนที่เอามาประมูลจะบอกว่ามันสามารถทำให้ความปรารถนาเป็นจริง แต่ก็มีคำเตือนอีกว่าถ้าขออะไรที่เกินตัวก็อาจจะทำให้ตายได้ ราคาของมันเลยหยุดอยู่แค่นั้น อีกอย่างคือรูปร่างมันก็เหมือนอัญมณีจำพวกเพชร ก็เลยทำให้คนสนใจบ้าง”

“ไม่ใช่ว่า เจ้าชายเป็นคนนำออกไปประมูลเองหรอกนะ”

“เอาศิลาที่มีความสำคัญต่อประเทศของตัวเอง ไปประมูลตอนอายุสิบแปดเนี่ยนะ”ธัชนันท์หัวเราะ แม้ว่าในใจของพวกเขาจะมีความคลางแคลงอยู่บ้างก็ตาม จากนั้นธัชนนท์จึงกลับเข้ามาสู่ประเด็นหลักอีกครั้ง

“ถ้าฮัชดาลลาร์ไม่มีสงคราม ระเบิดของแกก็จะไม่จำเป็น หรืออีกกรณีหนึ่งคือ ฮัชดาลลาร์สร้างศิลาสำเร็จสินะ”

“อือ ฉันเคยจะเสนอสร้างบาเรียให้ เจ้าชายก็ไม่เอา พอวันนี้ฉันได้เห็น ก็เห็นด้วยเหมือนกันละว่าบาเรียของฉันเอาท์ไปเลย บาเรียจากพลังเวทย์ไม่ต้องติดตั้งอุปกรณ์ ไม่ต้องกลัวว่าจะโดนแฮคก์  เลยเหลือแค่ระเบิดของฉันที่มีพลังทำลายรุนแรง มีกัมมันตรังสีตกค้างน้อย และจัดการทั้งหมดได้ในคราวเดียว”

“นี่ภูมิใจอยู่ใช่ไหม”

สุดฟ้าแย้มยิ้มตอบรับ

“สงครามส่วนใหญ่ที่เกิดขึ้นเพราะประเทศผู้รุกรานต้องการยึดครองอะไรสักอย่างของประเทศผู้ถูกรุกราน ในกรณีของฮัชดาลลาร์คือความอุดมสมบูรณ์ หินหายากและน้ำมัน”

“น้ำมันน่าจะตัดทิ้งไปนะ ตั้งแต่มาถึงยังไม่เห็นแท่นขุดเจาะน้ำมันสักอัน ที่สำคัญประเทศนี้รักษ์โลกจะตาย แต่ผมว่านะพี่ ต่อให้เรารู้ว่าไอ้พวกโลภมากอยากได้ของคนอื่นต้องการอะไรก็หยุดยั้งพวกมันไม่ได้อยู่ดี คนมันจะเอา ไม่ว่าอย่างไรมันก็พยายามจะเอามาให้ได้นั่นแหละ”

“งืม คนมันจะเงี่ยน ห้ามได้ที่ไหน โอ๊ะ”ทันทีที่พูดจบ สุดฟ้าก็โดนกำปั้นจากฝาแฝดคนพี่ทุบศีรษะทันใด

“มันใช่ไหม มาพูดเล่นอยู่เนี่ย”

คนโดนทุบจึงลูบศีรษะตัวเองป้อยๆ

“ถ้าอย่างนั้น ก็ตามนั้น แกก็ทำระเบิดของแกไป ฉันคิดว่าบอมบ์พินาศของแกคงไม่ได้ทำงานอัตโนมัติหรอกใช่ไหม”

“อืม”สุดฟ้าเดินไปหยิบปืนขนาดสิบเอ็ดมม. ของเขาซึ่งวางอยู่ใต้หมอน ถอดซองกระสุนปืนออกมา บอมบ์พินาศของเขามีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางเท่ากับลูกปืนขนาดสิบเอ็ดมิลลิเมตร เป็นทรงกระบอกหัวตัด ส่วนหัวเป็นกลไกพิเศษที่เมื่อสัมผัสกับวัตถุจะมีเขี้ยวยื่นออกมาเพื่อเกาะติดวัตถุนั้น

“ตอนนี้ ต่อให้เอาไปปาใส่ใครก็ไม่ระเบิด หรือจะพูดให้ถูกมันก็แค่อุปกรณ์ที่ทำให้เกิดปฏิกิริยาการแตกตัว”สุดฟ้าลองปามันลงพื้นให้ฝาแฝดดู มันเกาะติดกับพื้นห้องเป็นแนวตั้งฉาก จากนั้นเขาจึงล้วงดิจิตอลไลท์มอนิเตอร์ออกมาจากกระเป๋า และกดเปิดเครื่อง

“มันจะใช้งานได้ก็ต่อเมื่อปลดรหัสล็อกเพื่อคีย์ค่าความเร็วที่ใช้เพื่อก่อเกิดปฏิกิริยาการแตกตัว”พูดพลางคีย์คำสั่งรีเซ็ตเพื่อเก็บเขี้ยวที่เกาะพื้นนั่น “แต่ถ้าจะทำให้เจ้าชายจริงๆ ฉันจะทำให้มันเป็นระบบออโต้ กำหนดขอบเขตการทำงานและระยะเวลาการทำงานที่ตายตัว”

“ขอโทษครับ ขอขัดจังหวะหน่อย”ชวิศากล่าวแทรกขึ้นมา “ผมขอตัวไปทำอาหารมื้อดึกก่อนแล้วกันนะ” พวกเขาจึงได้เหลือบมองนาฬิกา สองทุ่มกว่าเข้าไปแล้ว มิน่าถึงรู้สึกหิวชอบกล ธัชนันท์บ่นพึมพำ

เพราะชวิศาลุกออกไป มาริเอะจึงลุกตามออกไปด้วย

ธัชนนท์จึงวกกลับมาที่ข้อสงสัยในประโยคที่สุดฟ้าพูดออกครั้ง “แกบอกว่ามันเป็นอุปกรณ์ที่ก่อปฏิกิริยาแตกตัว”

“อืม ไอ้ตัวนี้มันจะดึงไฮโดรเจนในอากาศมารวมตัวกันก่อให้เกิดพลังงานความร้อนขยายครอบคลุมพื้นที่เป้าหมาย” ขณะที่พูดอธิบาย สุดฟ้าก็เปิดแผนภาพประกอบบนไลท์มอนิเตอร์ไปด้วย “โมเลกุลของสสารที่เกาะตัวกันอยู่ก็จะแยกออกจากกัน แล้วก็ลดพลังงานความร้อนที่ว่านั่นอย่างรวดเร็ว สสารจะเปลี่ยนสถานะอีกครั้ง แต่เพราะความเร็วในการลดพลังงานความร้อนมันเร็วมากๆ สสารพวกนี้จึงกลายเป็นฝุ่นแทนวัตถุชิ้นใหญ่เหมือนเดิม”

“เท่ากับว่า จะกำหนดให้ทำลายเฉพาะวัตถุบางชนิดไม่ได้เลย”

สุดฟ้านั่งมองของในมือนิ่ง “ใช่ ตอนนี้มันทำไม่ได้ ...แต่ฉันว่า พอจะคิดอะไรออกแล้ว สเตบาสเตียน ตามไปด้วยกันหน่อย ข้าวเย็นเสร็จแล้วไปตามด้วยละ”ประโยคสุดท้าย สุดฟ้าหันไปพูดกับสองพี่น้อง

ธัชนนท์และธัชนันท์ได้แต่มองตาม จากนั้นหันมองหน้ากัน บางครั้งพวกเขาก็มีหน้าที่เพียงแค่นี้ ป้อนประโยคคำถามเพื่อให้สุดฟ้าเรียบเรียงความคิดใหม่อีกครั้ง และเจ้าตัวก็จะต่อยอดหรือเพิ่มเติมสิ่งขาดไปด้วยตัวเอง

คืนนั้น สุดฟ้าออกจากห้องหนังสือซึ่งยึดเป็นที่ทำงานชั่วคราวมากินข้าวมื้อดึกช่วงประมาณสามทุ่มกว่าๆ และยี่สิบนาทีต่อจากนั้นก็เข้าไปทำงานต่อ กระทั่งถึงรุ่งเช้าวันใหม่ ชวิศาที่ชะโงกหน้าแอบดูเห็นอีกฝ่ายยังก้มหน้าก้มตาทำงานง่วน ส่วนคุณพ่อบ้านก็นั่งนิ่งเป็นหุ่นอยู่ข้าง ก่อนหน้านี้ถึงจะเคยได้ยินมาบ้างว่าสุดฟ้ามักจะทำงานไม่หลับไม่นอนจนกว่างานจะเสร็จ แต่เขาก็ไม่เคยเห็นกับตาสักครั้ง ด้วยเพราะห้องทำงานที่บ้านเป็นห้องปิดแบบที่ไม่ว่าใครก็เข้าไปไม่ได้ พอได้เห็นเช่นนี้แล้วก็นึกอดห่วงไม่ได้ หันหลังกลับมาถึงได้เห็นว่ามาริเอะเดินออกไปหน้าเรือนพักรับรอง ชายหนุ่มร่างเพรียวจึงได้เดินตามออกไปบ้าง

และทันทีที่ยานยนต์สีดำมันปลาบปรากฎเข้าสู่ครรลองสายตา เขาก็ต้องร้องอุทานออกมาอย่างแปลกใจ

“รถของคุณสุดฟ้า”

“ครับ ก็ที่ด็อกเตอร์สั่งให้เคลื่อนที่มาที่นี่เมื่อวาน”มาริเอะตอบพลาง เปิดประตูรถด้านคนขับ เปิดหน้าจอแสดงภาพสถานะยานยนต์ที่อยู่บนคอลโซล โหมดอากาศยานนั้นใช้พลังงานในการขับเคลื่อนมากกว่าระบบรถยนต์ปกติ หลังจากที่เครื่องมาถึง สเตบาสเตียนจึงให้เขามาเช็คสถานะพลังงานของตัวเครื่อง โดยปกติแล้วโรงจอดรถที่บ้านของสุดฟ้าจะมีหัวเชื่อมต่อสำหรับประจุพลังงานติดอยู่บนลานจอดรถ แต่คราวนี้มาริเอะกดปุ่มเปิดหลังคาเพื่อใช้แผงโซล่าเซลในการประจุพลังงาน ซึ่งอัตราเร็วในการประจุจะขึ้นอยู่กับความเข้มข้นของแสงในวันนั้น

“เอ้า ลืมไปเลย เมื่อวานไม่ได้บอกให้สุดฟ้าเอาเครื่องเก็บ”เสียงที่ดังขึ้นมาจากด้านหลังทำให้ชวิศาหันไปมอง สองพี่น้องสุวราลักษณ์ในชุดเสื้อยืดคอกลมสีเทาเข้ม กางเกงผ้าขายาวยืนมองรถคันนั้นอยู่เช่นกัน ที่สำคัญวันนี้ทั้งคู่อยู่ในชุดเสื้อผ้าที่สีเหมือนกันไม่ผิดเพี้ยน ทั้งทรงผมทั้งหน้าตาเนือยๆเหมือนยังคงง่วงนอนทำให้ชวิศาได้แต่นิ่งมองเพราะแยกทั้งคู่ไม่ออก

“ผมว่าดีเลยนะพี่ เดี๋ยวเอามอเตอร์สเปซไปวนดูเมืองที่สุดฟ้ามันเล่าให้ฟังเมื่อวานดูหน่อยเป็นไง”ธัชนันท์กล่าวพลางเดืนนำเข้าไปในครัว

“ยังไม่ได้ทำอาหารเช้าเลยครับ”ชวิศาร้องออกมา มาริเอะเองก็เดินตามมาไม่ห่าง

“อ่อ อืม จะให้ช่วยอะไรไหม”

“ทำเป็นด้วยเหรอ”ชวิศาถามเย้า

“เฮ้ย อย่าดูถูก เห็นเราเป็นแบบนี้ เราก็ทำได้นะ ไข่ต้ม ไข่ทอด ไข่เจียว หรือมาม่าได้ทั้งนั้น”

“ยังจะอวดอีกเนอะ ใครถามอย่าบอกว่าเป็นน้องฉันนะ อายว่ะ”ธัชนนท์พูดพลางกลั้วหัวเราะ

“พี่ไอซ์ พี่มีน้องอย่างผมพี่ต้องภูมิใจดิ น้องชายพี่หล่อขนาดนี้พี่ไม่ภูมิใจเหรอว่ะ”

“เออ อันนี้เห็นด้วยว่ะ แกโคตรหล่อเลยอ่ะ”

นั่งคุยนั่งเล่นไม่นาน ชวิศาและมาริเอะก็ทำอาหารมื้อเช้าเสร็จ ชายหนุ่มนำอาหารไปส่งให้สุดฟ้าก่อนจะกลับมาทานส่วนของตัวเอง หลังจากทานเสร็จได้ไม่นานยังไม่ทันที่พวกเขาจะได้ลุกจากโต๊ะ เจ้าชายฟาลิฮ์ก็เสด็จมาเยือน

“รับมื้อเช้ามาหรือยังครับ”ธัชนนท์เป็นคนลุกไปต้อนรับ

“เรียบร้อยแล้วครับ ผมแวะมาเยี่ยมมิสเตอร์ศิริกรนะครับ เมื่อวานตอนเย็นสีหน้าของเขาดูไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่นัก”

“อ่อ ไม่ต้องห่วงครับ เขาแข็งแรงดีเหมือนเดิมแล้ว ตอนนี้กำลังทำงานอยู่ในห้อง”

เจ้าชายฟาลิฮ์พยักพระพักตร์รับรู้ “แล้วไม่ทราบว่ารถยนต์ที่จอดอยู่นั่นของใครหรือครับ”

“ของสุดฟ้าครับ แต่เจ้าชายไม่ต้องเป็นห่วงนะครับ นั่นเป็นรถยนต์ไฟฟ้าครับ”

“ครับ น่าสนใจดีนะครับ”

“ถ้าสนใจก็ติดต่อผมได้นะครับ เปิดตัวปลายปีนี้ ผมจะลดราคาให้เป็นพิเศษ”

เจ้าชายฟาลิฮ์แค่แย้มพระสรวล ก่อนจะดำรัสขอตัวกลับเพียงเท่านั้น ธัชนนท์เดินกลับเข้าครัวมาอีกครั้ง เขาเห็นชวิศายังคงวุ่ยวายอยู่กับมื้ออาหารของสุดฟ้า

“วันนี้ไปด้วยกันไหมซี จะได้ลองนั่งมอเตอร์สเปซด้วย”

“ช้าไปแล้วพี่ ผมชวนแล้ว”

“แกจะไปไหน”

“ก็ไปที่เดียวกับพี่นั่นแหละ”ธัชนันท์หัวเราะ คนพี่จึงเขม่นมอง “งั้นไปเปลี่ยนเสื้อผ้าจะได้ไปกันเสียที”

“ต้องเตรียมอะไรไปไหมครับ อย่างอาหารหรือของว่าง”ชวิศาถาม สุวราลักษณ์คนน้องจึงหัวเราะอีกรอบ

“ไม่ต้องหรอก เดี๋ยวกลับมากินที่บ้านนั่นแหละ”

พวกเขาใช้เวลาไม่นานในการเปลี่ยนเสื้อผ้าเพื่อให้พร้อมเดินทางออกจากบ้าน มาริเอะยืนรอพร้อมอยู่ข้างรถ

“วันนี้ผมจะทำหน้าที่เป็นสารถีให้นะครับ”

“อืม ก็ต้องอย่างนั้นแหละ สุดฟ้าคงจะให้พวกฉันแตะรถมันหรอก”

มาริเอะยิ้มรับ เดินอ้อมไปเปิดประตูฝั่งคนขับ สองแฝดเปิดประตูขึ้นไปนั่งอยู่บนเบาะหลัง ชวิศาจึงต้องขึ้นไปนั่งบนเบาะข้างคนขับไปโดยปริยาย ชวิศากวาดสายตามองพื้นที่คอนโซลหน้ารถอีกครั้ง มันดูปกติเหมือนรถยนต์ทั่วไป

มาริเอะกดปุ่มสตาร์ทเครื่อง เสียงหวืดของมอเตอร์ดังขึ้น แต่มันก็เบาจนผู้โดยสารในรถไม่สามารถได้ยินได้ จากนั้นเขากดเลือกโหมดการทำงานเป็นโหมดอากาศยานต์ซึ่งปุ่มนั้นมีไฟเป็นรูปยูเอฟโอ

“โหมดอากาศยานต์เริ่มต้นทำงาน”เสียงผู้หญิงดังออกมาจากลำโพงทำให้ชวิศาสะดุ้ง

“ผู้โดยสารทุกท่านกรุณารัดเข็มขัด”

เมื่อได้ยินเสียงนั้นอีกรอบ ชวิศาจึงนึกขึ้นได้และดึงเข็มขัดนิรภัยข้ามตัวมากดลงล็อก หันไปมองสองพี่น้องที่นั่งอยู่ด้านหลัง สองคนนั้นก็คาดเข็มขัดนิรภัยเรียบร้อย

“เริ่มต้นลอยตัว”จบเสียงนั้น ชวิศารู้สึกว่ารถยนต์ที่พวกเขานั่งอยู่กำลังลอยสูงขึ้นเรื่อยๆ ค่อยๆสูงขึ้นจนพ้นหลังคาเรือนรับรอง แต่มันไม่ได้หยุดแค่นั้น ยังสูงขึ้นอีกเรื่อยๆ ชวิศามองไปนอกหน้าต่างรถ เห็นสวนกว้างของพระราชวัง อาคารปราสาทยอดแหลมซึ่งถูกสร้างอยู่รวมเป็นหมู่ มันยังลอยสูงขึ้นไปอีกจนสิ่งก่อสร้างบนพื้นต่างดูเล็กลง ก่อนจะหยุดลง

“ถึงระดับเพดานบิน”

“ไปเมืองที่สุดฟ้าไปดูเมื่อวานนะ”ธัชนนท์บอกมาริเอะ หุ่นยนต์สมองกลเปลี่ยนหน้าจอแสดงสถานะเป็นแผนที่ เลือกพิกัดตำแหน่ง

“ระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติเริ่มต้นทำงาน พิกัดจุดหมายละติจูดยี่สิบเจ็ดจุดเก้าศูนย์ห้าแปดสามเก้า ลองติจูดสิบเอ็ดจุดหกเจ็ดแปดศูนย์สองแปด ซันทาเนีย”

ใช้เวลาแค่สิบนาทีพวกเขาก็มาหยุดลอยตัวอยู่เหมือนเมืองที่เป็นจุดหมายปลายทาง

“ขอภาพด้วย”

ชวิศากดเลือกคำสั่งกล้อง “ภาพเมืองด้านล่างนะครับ” เขาเอ่ยบอก

กระจกหน้ารถเปลี่ยนไปแสดงภาพเมืองที่อยู่ด้านใต้ ส่วนที่นั่งตอนหลัง มีจอแสดงภาพขนาดใหญ่เลื่อนลงมาตรงหน้าสองแฝดและแสดงภาพเดียวกับที่แสดงบนกระจกหน้ารถยนต์

เมืองที่พวกเขาเห็นยังคงมีสภาพเหมือนที่สุดฟ้าเห็นจากค่ายหทารของฮัชดาลลาร์ บรรยากาศของเมืองด้านล่างนั้นเงียบกริบไร้ผู้คน ตึกอาคารล้วนถูกปล่อยให้ทิ้งร้าง มอเตอร์สเปซค่อยๆเคลื่อนที่ไปข้างหน้าอย่างช้าๆ

“ทำภาพแสกนได้หรือเปล่า”

“มีแค่สเตบาสเตียนที่ทำได้ครับ”

“งั้นเอาแค่แผนที่เมือง”

มาริเอะกดปุ่มบนหน้าจอไม่กี่ที แผนที่ภาพทั้งเมืองก็มาปรากฎอยู่บนจอ แต่ทว่าพวกเขาไม่มีข้อมูลอะไรเลย แม้จะคิดแผนได้ว่าจะทำอะไร แต่เมื่อทุกอย่างยังว่างเปล่า การทำอะไรลงไปตอนนี้ก็ล้วนแต่ไม่คุ้มค่า สองพี่น้องนั่งนิ่งก่อนจะหันมองหน้ากันเอง สุดท้ายฝาแฝดผู้พี่จึงกล่าวขึ้นมาว่า

“วันนี้แค่นี้แหละ พวกเรากลับกันเถอะ”

พวกเขากลับมาถึงเรือนพักรับรองภายในฮัชดาลลาร์ภายในไม่กี่นาที และเมื่อมอเตอร์สเปซจอดกับที่นิ่งสนิท พวกเขาจึงเปิดประตูลงจากยานยนต์ ส่วนมาริเอะเขาสั่งให้เครื่องเปิดส่วนประจุพลังงานก่อนจะเดินกลับเข้าบ้านพัก

ฝาแฝดตรงเข้าไปหาสุดฟ้าที่ในห้องหนังสือ ชวิศาเดินตามมาห่างๆได้แต่ชะเง้อชะแง้มอง เดาได้ว่าคงเข้าไปคุยอะไรที่เขาไม่รู้เรื่องอีกนั่นแหละ จึงไม่ได้ตามเข้าไป หันหลังกลับก็เห็นว่ามาริเอะตามเข้ามาพอดี

“วันนี้ไปเที่ยวกันอีกไหมครับ”เขาเอ่ยชวน การคมนาคมในฮัชดาลลาร์สะดวกสบายเสียจนนึกอยากไปไหน เขาก็สามารถไปได้ทันที มาริเอะยิ้มรับตอบตกลง


+++++โปรดติดตามตอนต่อไป+++++

ออฟไลน์ ตีสี่

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 412
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-5
    • 61'
บทที่สิบเจ็ด



“แผนของพวกฉันง่ายมาก แค่ส่งระเบิดของแกไปทำลายอาวุธยุธโธปกรณ์ของฝ่ายตรงข้าม ไม่ต้องทิ้งบอมบ์พินาศให้กับเจ้าชาย แค่ถ้าอีกฝ่ายตั้งท่าจะรุกราน เราก็ทำลายมันก่อน”

“หมายความว่าให้ฉันลบเมืองออกจากแผนที่”

“โหดไปว่ะเพื่อน”ธัชนันท์พูดกลั้วหัวเราะ “เราแค่หาคลังแสง ที่เก็บอาวุธแล้วก็ปล่อยระเบิดของแกไปทำลายมัน”

“ฟังดูง่ายเนอะ”สุดฟ้าพูดออกมาเหมือนประชด

“ใช่ มันเป็นแผนง่ายๆที่ต้องใช้ความสามารถของแกล้วนๆ”

ถึงแม้ว่าสุดฟ้าจะรู้ตัวว่า เขาเป็นคนฉลาด กระนั้นเขากลับดีใจทุกครั้งที่มีคนชื่นชอบในความฉลาดมากความสามารถของตน เขายิ้มภูมิใจ ขยับตัวตั้งใจฟังแผนของสองพี่น้องอย่างเต็มที่

“ซันทาเนียดูเหมือนจะเป็นเมืองร้างก็จริง แต่มีพวกไอดีซี อาศัยอยู่ ก่อนอื่น เราก็ต้องรู้สถานที่เก็บพวกอาวุธสงครามทั้งหลาย จากนั้นก็ปล่อยบอมบ์พินาศไปทำลายมัน”

“แค่นี้?”คนที่อุตส่าห์ตั้งอกตั้งใจฟังเอ่ยถาม

“ใช่แล้ว ไม่งั้นฉันจะบอกว่าต้องใช้ความสามารถของแกหรือ”

สุดฟ้าโคลงศีรษะ “มันก็ได้ แต่เรื่องที่ฉันคุยกับเจ้าชายไว้จะเอายังไง”

“เรื่องนั้นไม่ต้องห่วง พวกฉันเคลียร์เอง แกแค่ทำหน้าที่ของแกในส่วนที่พวกฉันบอกก็พอ”ธัชนนท์พูด

สุดฟ้าตอบตกลงอย่างไม่มีปัญหา เรื่องยากๆอย่างการเจรจาตกลงเงื่อนไขแบบนั้นปล่อยให้ฝาแฝดพี่น้องต้องปวดหัวกันไปก็นับว่าเป็นเรื่องดี ใช่ว่าสุดฟ้าจะทำไม่ได้แต่หลายครั้งที่เขาติดต่องานเอง พี่น้องสุวราลักษณ์ชอบบอกว่า รายได้ไม่คุ้มค่าแรง สุดฟ้าจึงละงานที่ค้างในมือไว้ก่อนและหันมาเข้าระบบตรวจสอบพื้นที่

สองพี่น้องเห็นเพื่อนสมัยเด็กเริ่มทำงานอย่างจริงจังแล้วเขาจึงเดินออกมาจากห้อง จุดหมายต่อไปของพวกเขาคือการเข้าเฝ้าเจ้าชายรัชทายาทของประเทศนี้

ธัชนนท์ติดต่อขอเข้าเฝ้าเจ้าชายฟาลิฮ์ แต่เนื่องจากเจ้าชายติดราชกิจจึงสามารถให้พวกเขาเข้าพบได้ในรุ่งขึ้นอีกวัน อย่างไรก็ตาม ตกเย็นวันนั้น แผนที่ที่ฝาแฝดต้องการก็เป็นอันเสร็จเรียบร้อย

“บอมบ์พินาศของฉันต้องสัมผัสกับวัตถุที่ต้องการให้ทำลายเท่านั้นนะ”สุดฟ้าพูดย้ำขณะที่ยื่นวัตถุทรงกระบอกขนาดเท่าข้อนิ้วให้ฝาแฝดสองพี่น้อง

ธัชนันท์รับมาถือยกขึ้นดูอย่างไม่ค่อยใส่ใจก่อนจะส่งคืนให้เจ้าของแล้วโน้มหน้าสุมหัวดูแผนที่ซึ่งพี่ชายกางดูอยู่อย่างตั้งอกตั้งใจ

“แกเช็คทุกที่ในเมืองแล้วใช่ไหม”ธัชนนท์ถาม

“อืม”

ธัชนนท์ก้มหน้าดูตำแหน่งที่เก็บอาวุธยุทโธปกรณ์อีกรอบ ที่ตั้งของมันห่างจากชายแดนของฮัชดาลลาร์ไปไม่ไกล นับว่าเป็นตำแหน่งที่เหมาะสมสำหรับการรุกรานก่อสงคราม เขาม้วนเก็บเอกสารในมือ

“เจ้าชายจะให้เข้าเฝ้าพรุ่งนี้ แกเตรียมตัวไว้ด้วยล่ะ”

“อะไร ฉันต้องไปด้วยเหรอ”สุดฟ้าโวยวาย

“ใช่สิ ถ้าแกไม่ไปเจ้าชายเขาจะเชื่อเหรอ”

สุดฟ้าหน้าหงิก ไม่ใช่ว่าเขาจะโดนหาว่าเบี้ยวงาน ไม่อยากทำให้ และเหมือนว่าฝาแฝดคนน้องจะรู้ว่าเพื่อนสนิทคิดอะไรอยู่จึงได้พูดออกมาว่า “การที่แกจะหนีกลับบ้านมันก็เบี้ยวงานเหมือนกัน แถมจะแย่มากกว่าเพราะแกปล่อยให้เขาต้องเผชิญกับฝ่ายตรงข้ามแบบทำอะไรไม่ได้เลย”

คนโดนต่อว่ามองหน้าเพื่อนสนิทที่เป็นดั่งญาติและพี่น้องของเขา “เออแม่งพลาด รับงานแบบนี้ไปแล้วนี่หว่า”

หลังพูดคุยกันจบ พวกเขาจึงไปทานอาหารเย็นและแยกย้ายกันพักผ่อน

“คุณสุดฟ้าไปอาบน้ำก่อนสิครับ”ชวิศาเอ่ยบอกเมื่อเห็นว่าชายหนุ่มเจ้าของชื่อจะล้มตัวลงนอนทั้งที่ไม่ได้อาบน้ำมาหลายวัน

“ไม่เอาอ่ะ ง่วงอยากนอนแล้ว”

“นอนทั้งอย่างนี้ จะนอนหลับสบายเหรอ แถมไม่ได้อาบน้ำมาตั้งหลายวันตัวเหม็นจะตาย”

“เหม็นก็ช่าง ใครสน”สุดฟ้าพลิกศีรษะไปอีกทาง กอดหมอนอย่างไม่นึกใส่ใจ เขาง่วงใครจะมาฉุดเขาออกจากเตียงไม่ได้ทั้งนั้นแหละ

“ถ้าอย่างนั้นไปอาบน้ำด้วยกันไหมครับดอกเตอร์”มาริเอะพูด ถึงเขาจะไม่มีประสาทการรับรู้กลิ่นเช่นมนุษย์ แต่คำจำกัดความซึ่งถูกเก็บอยู่ในฐานข้อมูล ระบุสถานะการไม่อาบน้ำของมนุษย์ว่าซกมก “เดี๋ยวผมกับคุณชวิศาจะช่วยนวดไหล่ขัดหลังให้”

ได้ยินเช่นนั้นสุดฟ้าจึงรู้สึกว่า ข้อเสนอของดังกล่าวน่าสนใจ แต่อย่างว่าความขี้เกียจของเขามันมากมายเหลือคณานับ “ไม่อ่ะ ขี้เกียจลุก”

“ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวผมอุ้มไปให้ครับ บริการถอดเสื้อผ้าให้เสร็จสรรพ ด็อกเตอร์แค่นอนเฉยๆเป็นพอ”มาริเอะว่าพลางยกร่างกายของชายหนุ่มผู้มีความสูงร้อยแปดสิบกว่าๆให้ลอยขึ้น ด้วยโครงสร้างร่างกายล้วนผลิตมาจากวัสดุพิเศษ และกำลังมอเตอร์อันมหาศาล สุดฟ้าจึงดูเหมือนปุยนุ่นในมือของหุ่นยนต์หน้าตาคล้ายฝาแฝดของชวิศา

“เหวอ!!!”คนโดนอุ้มจนตัวลอยร้องเสียงหลง ที่ง่วงๆอยู่ตื่นเต็มตา เขาผวาเข้ากอดคอมาริเอะไว้ทันที ถึงจะรู้ว่ามาริเอะสามารถยนรถถังได้สบายแต่ใช่ว่าเขาจะสบายใจเวลาที่โดยอุ้มอยู่แบบนี้

ชายหนุ่มโดนปล่อยให้นั่งบนขอบอ่างอาบน้ำ หลังจากนั้นสองหนุ่มร่างเพรียวหน้าตาดีเข้ามากลุ้มรุมถอดเสื้อผ้า จับโน่นจับนี่จนเขาที่หมกมุ่นอยู่แต่กับงานมาหลายวันตื่นตัวขึ้นมา

หุ่นยนต์มาริเอะซึ่งถูกลงโปรแกรมเรื่องพรรค์นี้ไว้จึงลงปรนนิบัติพัดวีให้ ใช้ทั้งปากทั้งมือจนเขาปลดปล่อยออกมา กระนั้นใช่ว่าอารมณ์ที่ตื่นตัวของเขาจะหดหาย กลับยังแข็งสู้เช่นเดิม สองหนุ่มที่หน้าตาเหมือนกันจึงพยักพเยิดจับจูงมือเขาออกไปด้านนอก สุดฟ้าถูกผลักให้นอนหงายบนเตียงก่อนมาริเอะจะตามมานั่งคร่อม ชวิศาส่งเจลให้หุ่นยนต์ที่หน้าตาเหมือนตัวเองเทชโลมบนอาวุธที่ตั้งแข็งโด่เด่ แล้วกดตัวลงตามมา

สุดฟ้าได้แต่นอนคราง

ส่วนชวิศานั้นหันบั้นท้ายมาให้เขาใช้มือช่วยเตรียมพร้อมให้ ก่อนจะขยับเปลี่ยนตัวกับมาริเอะที่เกือบพาเขาขึ้นสวรรค์ แต่อย่างไรก็ตามคืนนั้นเขาก็ได้ขึ้นไปเดินเที่ยวบนสวรรค์ชั้นเจ็ดหลายรอบเลยทีเดียว

รุ่งเช้าอีกวันสุดฟ้าจึงหน้าใสปิ๊ง ขนาดสองแฝดยังต้องเอ่ยปากทัก

“อะไรวะ นอนหลับแค่คืนเดียวแกหน้าใสได้ขนาดนี้เลยเหรอวะ”

สุดฟ้าทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้ซึ่งสเตบาสเตียนตามมาเสิร์ฟอาหารเช้าในทันใด “คนมันหน้าตาดีเว้ย นอนน้อยนอนมากมันก็ไม่มีผลกับหน้าตาหรอก”

“อ่อ เหรอ”ฝาแฝดขานเสียงรับพร้อมกัน เห็นชวิศาไม่ตามลงด้วยเลยพอจะเดาออกว่าเมื่อคืนเพื่อนสมัยเด็กของเขาคงกุ๊กกิ๊กอยู่กับฝ่ายนั้น

“ถ้าอย่างนั้นกินข้าวเสร็จไปกันเลย”ฝาแฝดคนพี่วกเข้าสู้เรื่องสำคัญที่ต้องทำ พาลให้สุดฟ้าถอนหายใจออกมา ถึงจะทำหน้าเซ็งแต่เขายังพยักหน้ารับ

“แกไม่ต้องพูดอะไรหรอกน่า แค่ไปนั่งยิ้มเพื่อยืนยันว่าแกเห็นด้วยกับแผนนี้”

“อืมรู้แล้ว”สุดฟ้าตอบรับ

ใช้เวลาทานอาหารกันไม่นานพวกเขาจึงได้ฤกษ์ออกจากบ้านพักรับรอง เมื่อถึงตำหนักของเจ้าชายรัชทายาท พวกเขาแจ้งบอกชื่อ คนรับเรื่องจึงเดินนำเขาไปยังเรือนรับรอง ที่นั่น เจ้าชาฟาลิฮ์ในฉลองพระองค์ชุดพื้นเมืองกำลังประทับรอพวกเขาอยู่แล้ว

“สวัสดีตอนเช้าครับ”เจ้าชายตรัสทักทายพวกเขาเป็นภาษาอังกฤษ เขาพวกจึงเอ่ยตอบรับกลับไป

“ที่พวกผมมาขอพบเจ้าชายวันนี้เพราะมีเรื่องบางอย่างต้องมาพูดคุยกันอีกครั้งครับ”พี่ชายคนโตของบ้านสุวราลักษณ์พูด สังเกตเห็นคู่สนทนาโคลงศีรษะรับจึงได้พูดต่อไปว่า

“พวกผมจะเสนอแผนการทำลายผู้รุกรานแทนระเบิดของสุดฟ้าน่ะครับ”

เจ้าชายฟาลิฮ์มุ่นคิ้วแต่ยังนิ่งฟังต่อไป

“ผมคงต้องบอกว่า พวกเราคงไม่สามารถปล่อยให้ระเบิดของสุดฟ้าไปอยู่ในมือใครได้ คงต้องขอยกเลิกข้อตกลงที่สุดฟ้าเคยทำไว้กับเจ้าชายครับ แต่พวกเราจะชดเชยด้วยการทำลายคลังอาวุธที่ถูกเก็บไว้ในพื้นที่ของซันทาเนีย”

“แล้วถ้าพวกนั้นหาอาวุธล็อตใหม่ส่งมาอีกล่ะครับ”

“กรณีนั้นขอให้เจ้าชายแจ้งพวกเรามาครับ พวกเราจะทำลายยุทโธปกรณ์ที่ถูกเคลื่อนย้ายเข้าใกล้ฮัชดาลลาร์ให้ตลอดระยะเวลาหนึ่งปี”

เจ้าชายฟาลิฮ์มองพวกเขานิ่ง และเมื่อสายตาของอีกฝ่ายหันเหมาสบกับสุดฟ้า ชายหนุ่มจึงยกยิ้มให้เหมือนว่าเรื่องที่พูดคุยกันนั้นไม่เกี่ยวข้องกับตัวเอง

“ขอทราบเหตุผลที่จู่ๆพวกคุณก็มายื่นเปลี่ยนแปลงข้อตกลงได้ไหมครับ”

“ถ้าเช่นนั้นผมขอถามก่อนว่าเจ้าชายรู้เรื่องระเบิดของสุดฟ้ามาได้อย่างไรครับ”คนดำเนินบทสนทนายังคงเป็นธัชนนท์เช่นเดิม ทว่าเจ้าชายยังนิ่งไม่ตอบคำถาม แฝดพี่จึงพูดต่อไปว่า “มาถึงขั้นนี้แล้วพวกผมอยากให้เจ้าชายจริงใจครับ ถ้าพระองค์ยังคงปิดบังเรื่องที่ผมอยากรู้ เห็นทีว่า พวกเราคงทำธุรกิจร่วมกันไม่ได้”

ธัชนนท์ยกยิ้ม แม้จะอยู่ในฮัชดาลลาร์แต่ใช่ว่าพวกเขาจะเป็นหมูในอวย เขายุให้สุดฟ้าทำงานให้เสร็จเพื่อตัดปัญหาการมีคนมาตามรังควานก็จริง แต่ถ้างานนั้นได้ไม่คุ้มเสีย เขาหาวิธีจัดการตัวก่อกวนดีกว่าลงแรงไป

“มีคนบอกมาครับ”

เจ้าชายฟาลิฮ์เห็นคู่สนทนาเลิกคิ้วจึงตรัสเพิ่มเติม “เป็นคนที่ถือศิลาสารพัดนึกคนปัจจุบัน”

คนฟังทั้งสามต่างร้องอุทานในใจ ก่อนฝาแฝดผู้น้องจะพูดขึ้นมา “ถ้าอย่างนั้นไปเอาศิลาคืนมาไม่ง่ายกว่าหรือครับ”

“ผมลองทำมาหลายครั้งแล้วครับ แต่ไม่สำเร็จ”เจ้าชายหนุ่มผู้มีสายเลือดหน่อเชื้อกษัตริย์ออกอาการอึกอัก นึกสลดที่ทั้งทหารราชองครักษ์รอบตัวล้วนไร้ฝีมือ แผนการใดๆที่พระองค์คิดล้วนไม่บรรลุผลทั้งสิ้น ทั้งนั้นทั้งนี้พระองค์ยังนึกโทษที่ตนไร้ความสามารถ แผนการทั้งหลายจึงไม่สำเร็จ

“ตั้งแต่คนผู้นั้นได้ศิลาไป ดั่งกับศิลานั้นไม่ใช่ของที่เป็นมรดกตกทอดของฮัชดาลลาร์ ตอนที่ศิลาถูกประมูล พวกเราไม่สามารถเข้าร่วมประมูลได้ เพราะไม่มีเส้นสายที่ให้เข้าถึงตลาดประมูล แต่หลังจากรู้แน่ชัดแล้วว่าใครที่ได้ศิลาไป เราก็ส่งคงไปขโมยคืนมาหลายต่อหลายครั้งและเราเสียทหารฝีมือดีไปสามคนในภารกิจ แผนการจึงต้องถูกยกเลิกไป”

ฝาแฝดสองพี่น้องมองหน้ากันด้วยความสงสัย กำลังคนที่เสียไปน้อยเกินกว่าจะตัดสินใจยกเลิกภารกิจ และดูเหมือนเจ้าชายฟาลิฮ์จะเข้าพระทัยความกังขาของพวกเขา

“ฟังดูเป็นจำนวนน้อยใช่ไหมครับ แต่สามคนที่ตายเพราะสัมผัสกับศิลา และถ้าใช้วัสดุอื่นหยิบจับศิลา ศิลาสารพัดนึกจะมีน้ำหนักมากขึ้นจนยกไม่ขึ้น หลังจากนั้นองค์กษัตริย์จึงไปเจรจาขอซื้อคืนแต่ผู้ถือครองต้องการแค่ต้นแบบของระเบิดสลายสสารเป็นค่าแลกเปลี่ยน”

“ทำไมต้องทำเรื่องยุ่งยากแบบนั้นด้วย”สุดฟ้าพูดอย่างตั้งข้อสังเกต ซึ่งเจ้าชายฟาลิฮ์ได้แต่สั่นพระพักตร์เป็นการปฏิเสธ

“ถ้าศิลามีพลังมากถึงขนาดนั้นจริงๆ ก็พกติดตัวไปขโมยของไม่ดีกว่าหรือ”

“เพราะของที่ว่าไม่มีอยู่บนโลกน่ะสิ”ธัชนนท์หันไปบอก เขาพูดเป็นภาษาอังกฤษเพื่อให้เจ้าชายชาวฮัชดาลลาร์เข้าใจด้วย “ฉันว่าคุณน้าทั้งสองคงทำลายแบบแปลนที่ยึดของแกไว้ทิ้งไปแล้วล่ะ หรือถ้าแบบยังอยู่ การขโมยแบบแปลนก็คงเป็นยาก เลยต้องสร้างเหตุการณ์ให้แกทำมันขึ้นมา”

“เออว่ะ”สุดฟ้าร้องออกมาพร้อมเสียงหัวเราะ “แต่ถึงได้ไปจริงๆก็ใช่ว่าจะใช้งานได้”

“เขาก็ทำแบบที่พวกฉันทำ การถอดประกอบของจากต้นแบบไม่ใช่เรื่องยากหรอกนะ”ธัชนันท์พูด

สุดฟ้าไม่พูดอะไรเพิ่มเติม เขาได้แต่โคลงศีรษะ

“งั้นที่พวกนั้นคอยเข้ามาโจมตีอยู่เสมอเพราะต้องการกดดันพระองค์หรือครับ”ธัชนนท์เอ่ยถาม

“ผมเองก็คิดว่าอย่างนั้น เพราะช่วงแรกๆที่ประเทศแทบนี้มีสงคราม พวกเราไม่ได้เข้าไปเกี่ยวข้อง ด้วยสภาพภูมิประเทศและพลังเวทย์ที่พวกเรามี  พวกเราแค่เฝ้าระวังก็เพียงพอแล้วแต่หลังจากมีการเจรจาเรื่องศิลาสารพัดนึก พวกนั้นจึงหันมาโจมตีฮัชดาลลาร์อย่างจริงจัง”

“แล้วคนถือครองศิลาคนปัจจุบันใช้งานมันได้ด้วยหรือครับ”ธัชนันท์ถามต่อ

“ในโลกนี้ไม่ใช่แค่ชาวฮัชดาลลาร์เท่านั้นที่ใช้เวทมนต์ได้นะครับ อย่างที่บอกไว้ว่า เวทมนต์เกิดการดึงจักระภายในร่างกายมาใช้ รวมกับคาถาหรือถ้อยคำที่มาจากความตั้งมั่นของจิต เพราะฉะนั้นถ้าทำการศึกษาอย่างจริงจังไม่ว่าใครก็สามารถใช้เวทมนต์ได้ แต่ปัจจุบันนี้เราจะเรียกมันว่าพลังพิเศษ ส่วนผู้ที่ถือครองศิลาคนปัจจุบัน ตระกูลของเขาสืบทอดวิธีการดึงจักระออกมาใช้มาหลายศตวรรษเลยล่ะครับ”

“แล้วการให้ศิลาฆ่าคนไม่ใช่เรื่องยากหรือครับ”

“เราวิเคราะห์ว่า เขาร่ายคาถาสั่งให้ศิลาดูดจักระของผู้ที่มาสัมผัสครับ จักระคือพลังงาน เวลาที่ดึงพลังงานในร่างกายมาใช้แม้จะสร้างเป็นดาบแต่ก็ไม่ใช่ดาบจริง แถมเป็นดาบที่ถ้าผู้ใช้เวทย์หมดสติหรือพลังที่มีอยู่หมดไป ดาบนั้นก็จะหายไปด้วย ผู้ใช้เวทมนต์จึงนิยมถ่ายเทพลังงานในสิ่งของที่มีอยู่จริงมากกว่า ทีนี้ให้ลองนึกภาพว่าศิลาเป็นอุปกรณ์เวทย์เอนกประสงค์ เราถ่ายเทจักระสู่ศิลา เพื่อให้ศิลาสร้างสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ในทางกลับกัน ผู้ถือครองจึงน่าจะร่ายเวทย์ให้ศิลากักเก็บจักระไว้ภายในลูกแก้วได้เช่นเดียวกัน”

“ถ้าอย่างนั้นทำไมเขาถึงไม่ทำระเบิดขึ้นมาเองล่ะครับ”ธัชนันท์เอ่ยถาม ทว่าสุดฟ้ากลับพูดตอบขึ้นมา

“เพราะศิลาสารพัดนึกสร้างสิ่งของตามปัญญาผู้ถือครอง ถ้าอยากได้รถยนต์นั่นจำเป็นต้องรู้ว่ารถยนต์ประกอบด้วยอะไรบ้าง การทำงานเป็นอย่างไร เคลื่อนที่ด้วยวิธีการไหน”

“ใช่ครับเป็นตามที่คุณสุดฟ้าพูด ถ้าพวกคุณจะสังเกต ฮัชดาลลาร์จะไม่ค่อยมีคนยากจนครับ เพราะทุกคนมีสิทธิ์ขออะไรจากศิลาก็ได้ ตามพลังจักระที่พวกเขามี”

“อ่อ ถ้าไม่มีเงินก็ใช้ศิลาสร้างเงินได้ อย่างนี้ไม่วุ่นวายแย่หรือครับ”

“ไม่หรอกครับ เพราะถ้าร่ายเวทย์สั่งให้ศิลาสร้างเงิน เงินที่ได้มาอาจจะเป็นเงินปลอมก็ได้ อย่างที่คุณสุดฟ้ากล่าวครับ การใช้ศิลาสร้างของอย่างใดอย่างหนึ่งต้องจินตนาการให้ละเอียดมากพอ สมาธิและสติต้องตั้งมั่นของสิ่งนั้นถึงจะเหมือนของที่มนุษย์สร้างขึ้นมา ประชาชนส่วนใหญ่จึงใช้ศิลาสร้างทอง แต่ทองนับว่าเป็นแร่ธาตุหายากบนโลก การสร้างมันจึงต้องใช้จักระมากขึ้นด้วย ดังนั้นคนที่จะใช้ศิลาสร้างของพวกนี้ได้สำเร็จส่วนใหญ่จึงเป็นนักเวทย์ระดับสูงหรือไม่คนที่จนตรอกมากๆ”

“อย่างนั้นเท่ากับว่า พวกเราไม่มีทางนำศิลากลับมาได้เลยหรือครับ”

“น่าจะชิงคืนกลับมาได้ถ้าผู้ร่ายเวทย์เสียชีวิตลง แต่พวกเราก็ไม่แน่ใจว่าแนวคิดนี้จะใช้ได้หรือเปล่า”จากนั้นเจ้าชายฟาลิฮ์จึงตรัสเรื่องศิลาและเมืองฮัชดาลลาร์พระราชทานแด่สองพี่น้องสุวราลักษณ์ฟังอีกครั้ง

“เพราะไม่มีใครพิสูจน์เรื่องมหาเวทย์ได้สินะ เลยไม่มีใครรู้ว่าถ้าตาย เวทย์ประเภทนี้จะเสื่อมหรือเปล่า อ่อ แล้วของที่คนทั่วไปใช้ศิลาสร้างขึ้นมาละครับ”

“ครับ นั่นล่ะ ของพวกนั้นยังอยู่ดีแม้ว่าผู้สร้างจะเสียชีวิตไปแล้วก็ตาม พอเกิดเรื่องนี้ขึ้นมาแล้วเลยรู้สึกขึ้นมาได้เลยว่า พวกเรายังศึกษาข้อมูลของศิลาได้น้อยมาก”

ธัชนนท์หันไปมองอีกสองคนที่เหลือ เป็นเชิงปรึกษาขอความคิดเห็น สุดฟ้าจึงพูดออกมา “ฉันแล้วแต่พวกแก”

“ผมก็แล้วแต่พี่”

เมื่อสองเสียงย้ำสำทับ เขาจึงหันไปสนทนากับเจ้าชายรัชทายาท “ถ้าอย่างนั้นพวกผมขอเปลี่ยนแผนเป็นการชิงศิลาคืนให้เจ้าชาย คิดว่าเจ้าชายคงมีผังอาคารสถานที่ที่ศิลาถูกเก็บรักษาไว้อยู่แล้ว”

เจ้าชายพยักพระพักตร์ “ต้องการคนของทางเราหรือเปล่าครับ”

ธัชนนท์นิ่งคิด “ผมคงต้องดูผังอาคารก่อนครับ”

เจ้าชายฟาลิฮ์จึงเรียกข้ารับใช้ให้ไปนำเอกสารมาให้ รออยู่พักหนึ่งม้วนกระดาษจึงถูกส่งเข้าพระหัตถ์ เจ้าชายคลี่ม้วนเอกสารออกทอดพระเนตรก่อนจะส่งให้ฝาแฝดผู้พี่

“ศิลาถูกเก็บไว้ที่ห้องใต้ดินครับ รอบบ้านมียามประจำยี่สิบสี่ชั่วโมง หมาล่าเนื้อ มีกล้องวงจรปิด ประตูเข้าห้องมีรหัสและต้องแสกนม่านตาถึงจะเข้าไปได้ แต่เผอิญว่าเรามีเวทย์มนต์ดีๆที่ทำให้เข้าไปที่นั่นโดยไม่ต้องเจอกับของพวกนั้น เพียงแต่ครั้งแรกๆที่เข้าไปมีข้อติดขัดหลายประการ ส่วนใหญ่จึงคว้าน้ำเหลว จนมาสามครั้งสุดท้ายพวกเราจึงได้สัมผัสศิลาจริงๆ”

“เวทมนต์?”

“ใช่ครับ เรามีคนที่สามารถสร้างช่องว่างของมิติเพื่อเคลื่อนย้ายสสารได้อยู่”

“มนุษย์หรือสิ่งมีชีวิตก็ได้?”สุดฟ้าเอ่ยปากถาม

“ครับ แต่ไม่ได้สะดวกสบายขนาดนั้นนะครับ ให้นึกถึงว่าแบตเตอรี่ของเวทมนต์คือจักระนะครับ”เจ้าชายฟาลิฮ์รีบอธิบายต่อ “แต่บางกรณีถือว่าเป็นเวทมนต์ที่มีประโยชน์มากทีเดียว”

“อย่างนั้นไม่มีเวทมนต์จับสิ่งของระยะไกลบ้างหรือครับ”

“มีครับ แต่เวทมนต์ที่ว่าก็ใช้จักระเป็นตัวจับอยู่ดี

ธัชนันท์จึงต้องพยักหน้ารับ

“สิ่งที่จำเป็นคืออุปกรณ์ที่จะมาจับศิลาสินะ”ธัชนนท์พึมพำแล้วหันหน้าไปหาสุดฟ้า

“ไม่มีปัญหาของจิ๊บๆ”

“มีอุปกรณ์หรือเปล่า”

“ของที่มีอยู่ก็พอสร้างได้แต่ไม่ค่อยอยากรับรองผล อ๊ะ ทำไมจะต้องสร้างอุปกรณ์อะไรให้ยุ่งยาก พวกเรามีสเตบาสเตียนอยู่ทั้งคน”สุดฟ้าร้องออกมาอย่างดีใจ

“เออใช่”สองพี่น้องร้องเออออออกมาพร้อมกัน ธัชนนท์จึงหันไปหาเจ้าชายรัชทายาทแห่งฮัชดาลลาร์ ยิ้มกว้างพร้อมทั้งกล่าวบอกด้วยความมั่นใจ

“พวกเราพร้อมที่จะชิงศิลาสารพัดนึกมาคืนให้เจ้าชายแล้วครับ”

ไม่นึกว่าเรื่องราวจะพลิกผันกลายเป็นว่าเรื่องราวต่างๆล้วนง่ายดายเช่นนี้ สุดฟ้าติดต่อตามตัวสเตบาสเตียนให้มายังอาคารที่พวกเขาอยู่ในขณะปัจจุบัน  ส่วนสองพี่น้องทูลให้เจ้าชายตามตัวผู้ที่มีเวทย์เคลื่อนย้ายมาได้เลย

“ไม่ต้องวางแผนอะไรเพิ่มเติมหรือครับ”

“คนของเจ้าชายสร้างช่องว่างมิติให้ไปเปิดยังห้องเก็บศิลาได้เลยหรือเปล่าล่ะครับ”

“ได้ครับ”เจ้าชายตรัสตอบรับแม้จะมีพระอาการเหมือนไม่แน่พระทัยก็ตาม เห็นดังนั้นพี่ชายคนโตเอ่ยว่า “ติดปัญหาอะไรอีกหรือครับ”

“เปล่าครับ แค่รู้สึกว่ามันช่างง่ายดายเสียเหลือเกิน จนรู้สึกกังวล”

“ไม่ต้องห่วงครับ สเตบาสเตียนเป็นซุปเปอร์สมองกลที่มีโครงสร้างร่างกายแข็งแกร่ง กำลังมอเตอร์เทียบเท่ารถยนต์ และสามารถยกรถถังได้สบายๆครับ”สุดฟ้าย้ำสำทับให้เจ้าชายฟาลิฮ์สบายพระทัย เชื้อพระวงศ์สูงศักดิ์จึงแย้มพระโอษฐ์เป็นการตอบรับ

พวกเขานั่งรอไปนานนัก องครักษ์ผู้ซึ่งสามารถใช้เวทย์สร้างช่องว่างมิติเพื่อเคลื่อนย้ายสิ่งต่างๆก็มาปรากฏตัว ระหว่างนั้นพระองค์จึงสั่งให้ไปตามองครักษ์คนอื่นๆมาด้วย เพราะแม้หุ่นยนต์ของสุดฟ้าจะมีความสามารถมากอย่างที่ผู้สร้างเอ่ยอ้าง แต่การมีแผนสำรองเตรียมไว้น่าเป็นเรื่องที่ปลอดภัยกว่า

หุ่นยนต์พ่อบ้านของสุดฟ้าตามมาสมทบหลังจากนั้นไม่นาน

การส่งคนผ่านช่องว่างมิติของนักเวทย์ เขาจะทำการเขียนอักขระคาถาลงบนพื้นด้วยภาษาที่สองพี่น้องสุวราลักษณ์และสุดฟ้าไม่เข้าใจ อักขระเหล่านั้นไม่ได้ถูกเขียนอุปกรณ์การเขียนใดๆ ไม่ได้ถูกเขียนด้วยเลือดแต่ถูกเขียนด้วยจักระ พวกเขามองเห็นแค่ตัวอักษรค่อยๆปรากฏขึ้นมาทีละตัวๆ ตามปลายนิ้วมือซึ่งวาดตัวอักษรบนอากาศ

สุดฟ้าจึงใช้ช่วงจังหวะเวลานั้นทำการเตรียมช่องติดต่อสื่อสารเชื่อมต่อกับหุ่นยนต์พ่อบ้านเช่นเดียวกัน ชายหนุ่มวางดิจิตอลไลท์มอนิเตอร์บนโต๊ะตัวเล็ก เปิดกางหน้าจอดึงตำแหน่งที่ตั้งซึ่งสเตบาสเตียนกำลังถูกส่งไป แล้วพยายามทำการแฮกข้อมูลกล้องวงจรปิดของบ้านเป้าหมาย

“ดึงภาพไม่ได้”สุดฟ้าบ่นพึมพำ ระบบเครือข่ายภายในคงเป็นแบบออฟไลน์ “สเตบาสเตียน ฉันจะเชื่อมต่อสัญญาณเสียง เชื่อมต่อสัญญาณภาพผ่านเลนส์อาร์แอล เปลี่ยนเข้าโหมดต่อสู้เตรียมบันทึกค่าการทดสอบ”

หุ่นยนต์พ่อบ้านทวนคำสั่งซ้ำ ภาพเบื้องหน้าที่สเตบาสเตียนเห็นจึงมาปรากฏอยู่บนหน้าจอมอนิเตอร์ที่ชายหนุ่มเจ้าของอุปกรณ์สุดล้ำดึงขยายให้กว้างขึ้นอีกเต็มความกว้างสูงสุดที่หนึ่งร้อยสิบห้านิ้ว

“แกสองคนมาช่วยดูจอดิ”เขาพูดสั่งพลางเลื่อนหน้าต่างภาพจากเลนส์อาร์และแอลไปวางไว้ตรงหน้าฝาแฝด และเปิดหน้าต่างวัดผลเพื่อเก็บข้อมูลการทดสอบ สเตบาสเตียนเพิ่งเปลี่ยนรูปลักษณ์จากหุ่นกระป๋องมาอยู่ในรูปแบบมนุษย์ได้ไม่นาน และแม้ว่าเขาจะติดฟังก์ชั่นความสามารถนี้เข้าไป แต่ยังไม่เคยทดสอบจริงๆเสียที

อักขระซึ่งนักเวทย์ใช้จักระเขียนขึ้นมาบรรจบกันกลายเป็นวงกลมล้อมรอบจุดที่สเตบาสเตียนยืนอยู่

“เรียบร้อยครับ”นักเวทย์ผู้ร่ายคาถานั้นบอกเป็นภาษาอังกฤษ

“เริ่มเลยนะครับ”เจ้าชายฟาลิฮ์หันไปตรัสถามสุดฟ้าซึ่งชายหนุ่มได้พยักหน้าให้

“เริ่มได้”

ชายคนนั้นทาบสองมือลงกับพื้น เอ่ยถ้อยข้อความภาษาโบราณ ครู่หนึ่งวงแหวนตรงหน้าของเขาก็ส่องแสงเรืองรอง พื้นที่ที่สเตบาสเตียนยืนอยู่กลายเป็นสีดำมืดพร้อมทั้งร่างหุ่นยนต์ค่อยๆถูกดูดเข้าไป แต่เพราะสเตบาสเตียนเป็นเพียงหุ่นยนต์จึงไม่มีอาการตื่นตกใจให้เห็น

ภาพซึ่งปรากฏอยู่บนหน้าต่างของไลท์มอนิเตอร์ยังปกติชัดเจนจนกระทั่งหุ่นยนต์พ่อบ้านถูกดูดเข้าไปจนมิด ภาพจากกล้องที่ส่งมาจึงพร่าสั่นคล้ายสัญญาณขาดหายก่อนจะกลับมาชัดเจนในวินาทีต่อมา ทว่าภาพที่พวกเขาเห็นยังคงมืดสนิทอยู่ดี

“เปิดระบบอินฟราเรด”สุดฟ้าออกคำสั่งซึ่งมีเสียงของสเตบาสเตียนทวนคำสั่งดังออกมาจากลำโพง ภาพที่ฝาแฝดเห็นจึงชัดเจนขึ้นมา แม้ภาพที่เห็นจะเป็นภาพขาวดำแต่ลักษณะรายละเอียดภายในห้องนั้นชัดเจนเหมือนพวกเขาไปยืนดูอยู่ที่แห่งนั้น

เจ้าชายฟาลิฮ์สาวพระบาทมาหยุดทอดพระเนตรภาพบนหน้าจอด้วย

“นั่นแหละครับศิลาสารพัดนึก”

ไม่น่าเชื่อว่านักเวทย์ของฮัชดาลลาร์จะเก่งกาจถึงขนาดส่งสเตบาสเตียนให้ไปโผล่ตรงหน้าแทนวางศิลาสารพัดนึกได้ ที่สำคัญก้อนหินดังกล่าวยังถูกวางอยู่บนเบาะไว้เฉยๆ

“สเตบาสเตียนหยิบศิลาตรงหน้าเลย”

จากนั้นจึงเป็นภาพมือของสเตบาสเตียนเอือมไปหยิบศิลาสารพัดนึกมาไว้ในครอบครอง

ทว่าทันใดนั้นเอง หน้าต่างข้อมูลซึ่งถูกดึงให้เปิดแสดงบนหน้าจอไลท์มอนิเตอร์กลับกระตุกวาบและดับหายไป

สุดฟ้าสบถออกมาเป็นภาษาไทยดังลั่น

“อะ อะไร”สองพี่น้องสุวราลักษณ์เอ่ยถามหน้าตาตื่นไม่แพ้กัน

“สเตบาสเตียนโดนไฟช็อต”

“ห๊า!!!!!!!”


+++++โปรดติดตามตอนต่อไป+++++


ออฟไลน์ ตีสี่

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 412
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-5
    • 61'
บทที่สิบแปด



ชวิศาลืมตาตื่นตอนค่อนสายและทันทีที่เขายันตัวลุกขึ้นนั่ง มาริเอะได้เด้งตัวขึ้นนั่งตัวตรงแหน่วเช่นเดียวกัน

“อรุณสวัสดิ์ครับ”มาริเอะเอ่ยทักทายมนุษย์ผู้มีหน้าตาเหมือนกับตนด้วยรอยยิ้ม

หลังจากชวิศาทักทายอีกฝ่ายด้วยคำพูดและรอยยิ้มไม่ต่างกัน เขาลุกเดินเข้าห้องน้ำจัดการธุระส่วนตัว แล้วจึงเดินลงไปยังชั้นล่าง และทันทีที่ก้าวเท้าเข้าไปในห้องอาหาร หุ่นยนต์พ่อบ้านซึ่งอยู่ในโหมดประหยัดพลังงานได้ลืมตาลุกขึ้นยืนในทันใดเช่นเดียวกัน

“รับอาหารเช้าเลยไหมครับ”

“ครับ”ชวิศาตอบรับขณะนั่งลงบนเก้าอี้ มาริเอะเดินตามมานั่งข้างกันไม่ห่าง “คุณสเตบาสเตียนไม่ได้ไปกับคุณสุดฟ้าหรือ”

“เปล่าครับ ด็อกเตอร์ไปเข้าเฝ้าเจ้าชายพร้อมกับคุณธัชนนท์และคุณธัชนันท์ครับ”หุ่นยนต์พ่อบ้านพูดตอบพร้อมกับวางถ้วยข้าวต้มลงตรงหน้าชวิศา ตามด้วยแก้วนมและน้ำผลไม้

“อย่างนั้นวันนี้คุณสเตบาสเตียนก็ว่างใช่ไหมครับ ไปเที่ยวกันไหม”

“คงไม่ได้ครับ ถ้าผมจะไปไหนต้องแจ้งด็อกเตอร์ล่วงหน้าครับ”

“เมื่อก่อนไม่เห็นจะต้องทำอย่างนั้นเลย”ชวิศาพูดพลางตักข้าวต้มขึ้นเป่าไล่ความร้อน ก่อนส่งมันเข้าปาก ทันทีที่รสชาติอาหารสัมผัสปลายลิ้น เขายังรู้สึกข้องใจทุกครั้ง ไม่น่าเชื่อว่าหุ่นยนต์ที่ไม่สามารถรับรู้รสและกลิ่น สามารถทำอาหารได้อร่อยถึงเพียงนี้

“เพราะตอนนั้นด็อกเตอร์ให้ผมดูแลคุณชวิศาครับ ถ้าคุณชวิศาไปไหนให้ผมตามไปดูแลด้วย”

“แต่ตอนนี้หน้าที่นั้นเป็นของผมแล้ว”มาริเอะพูดบอกออกไปบ้าง “ไปกับผมสองคนไม่สนุกหรือครับ”

ชวิศารีบยกมือบอกปฏิเสธ กลืนอาหารในปากและพูดบอกว่า “ไม่ใช่อย่างนั้นครับ เห็นคุณสเตบาสเตียนต้องอยู่ที่เรือนรับรองคนเดียวเลยชวนไปด้วยเฉยๆ จะได้ไปดูไปเห็นอุตส่าห์ได้มาเที่ยวทั้งที อีกอย่างเมื่อก่อนคุณสเตบาสเตียนไม่ค่อยได้ออกจากบ้านด้วย”

“ขอบคุณครับ แต่ก่อนหน้านั้นผมได้อยู่ในต่างประเทศมาหลายปีครับ ถึงจะไปไหนเองไม่ได้แต่ก็ได้เห็นได้ยินอะไรมาหลายอย่างเหมือนกัน”

“เห๋!!!!! อย่างไรหรือครับ”

มาริเอะก็เท้าคางตั้งใจฟัง แม้จะสามารถเข้าถึงข้อมูลประวัติการสร้างสเตบาสเตียนซึ่งอยู่ในฐานข้อมูล แต่รายละเอียดพวกนั้นบ่งบอกแค่ลำดับการแก้ไข

“ตอนแรกผมเป็นแค่โปรแกรมคอมพิวเตอร์ธรรมดาครับ สำหรับเป็นเพื่อนคุยตอนที่ด็อกเตอร์รอผลแล็บ เอ่อ... ต้องบอกว่าด็อกเตอร์เขียนผมขึ้นมาตอนที่กำลังนั่งรอผลแล็บ พอว่างก็มานั่งเขียนปรับแก้ผม จนหลังๆไม่ว่าจะพิมพ์บันทึกรายงาน หรือค้นข้อมูลก็สั่งปากเปล่า แล้วก็เพิ่มฟังก์ชั่นเข้ามาเรื่อยๆจนหลังจากจบปริญญาตรีถึงได้สร้างร่างกายให้”

“เออ...แล้วทำไมคุณสุดฟ้าต้องมาเรียนปริญญาตรีด้วยครับ”

“ด็อกเตอร์บอกว่าอยากลงเรียนแบบคนอื่นดูบ้างครับ ที่จริงด็อกเตอร์อยากไปเรียนมัธยมใหม่ แต่เพราะอายุเกินไปเยอะแล้ว คุณธัชนนท์กับธัชนันท์จึงบอกว่าให้สอบเข้ามหาวิทยาลัยแทน”

โชคดีที่สุดฟ้าอยากมีชีวิตปกติ ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่มีโอกาสได้เจออีกฝ่าย ชวิศาคิดในใจ

ข้าวต้มในถ้วยของชวิศาหมดพอดี ชายหนุ่มดื่มทั้งนมและน้ำส้มจนหมดแก้วจึงลุกขึ้นยืน หยิบกระเป๋าขึ้นมาสะพาย บอกลาคุณพ่อบ้านแล้วเดินตีคู่คุยไปพลางๆกับมาริเอะ

สถานที่เที่ยวช่วงเช้าของพวกเขาเป็นน้ำตกอีกแห่งซึ่งเขาทั้งคู่ยังไม่เคยมา เดินทางโดยใช้บริการรถไฟสาธารณะอีกเช่นเคย ทว่าการมาเที่ยวน้ำตกครั้งนี้กลับต่างออกไป

มาริเอะเป็นหุ่นยนต์ที่ได้รับคำสั่งจากสุดฟ้าว่าให้ดูแลคุ้มครองชวิศา ฟังก์ชั่นการระแวดระวังภัยจึงถูกเปิดใช้งานอยู่เสมอ แน่นอนว่าอยู่ในที่สาธารณะอย่างในรถไฟไม่สามารถตรวจสอบอะไรได้ เพราะประชาชนชาวฮัชดาลลาร์พกอาวุธเดินไปเดินมากันเป็นปกติ แต่พอเข้าสู่เขตป่าที่ต้องเดินเท้าไปยังแอ่งน้ำตก เขาสังเกตว่ามีคนเดินตามมา กระนั้นในคราแรกเขายังคงไม่แน่ใจ

ชาวฮัชดาลลาร์ไม่นิยมท่องเที่ยวตามป่าหรือน้ำตก คงเพราะใช้ชีวิตอยู่ใกล้ชิดกับธรรมชาติจนคิดว่าสถานที่เหล่านี้เป็นสถานที่ธรรมดา

ดังนั้นเพื่อเป็นการทดสอบคนที่ตามรอยมา ยามที่ต้องก้าวเท้าขึ้นเนินเขาชัน มาริเอะจึงช้อนตัวชวิศาขึ้นอุ้ม ก้าวพลางกระโดดเพื่อหนีคนที่ติดตาม

“เกิดอะไรขึ้นหรือครับ”ชวิศาถาม สองมือเกี่ยวคอมาริเอะไว้เพราะความเร็วในการเคลื่อนที่ของอีกฝ่ายเริ่มเร็วขึ้นเรื่อยๆ

“พวกเราโดนสะกดรอยครับ”มาริเอะพูดออกไปเพราะยืนยันแน่ชัดแล้วว่า สองคนที่ตามหลังพวกเขามาเร่งฝีเท้าเพื่อติดตามพวกเขาจริงๆ

ชวิศาอยากจะหันมองคนที่ตามมา แต่เพราะอีกฝ่ายกระโดดเคลื่อนที่ไปข้างหน้าราวกับกำลังบินได้ เขาจึงได้แต่หันมองใบหน้าที่เหมือนกับตนและถามว่า

“พวกเขาอาจมีธุระกับเราหรือเปล่าครับ หรือเก็บของที่เราทำหล่นไว้ได้”

“ไม่ทราบครับ แต่สถานการณ์แบบนี้ผมต้องเข้าสู้โหมดป้องกันไว้ก่อน”

“ถ้าอย่างนั้นหยุดเถอะครับ ผมออกคำสั่งกับคุณได้หรือเปล่า”

มาริเอะสบตากับชวิศา จากนั้นจึงหยุดยืนอยู่กับที่และปล่อยชวิศาลงยืน เผชิญหน้ากับผู้ชายสองคนที่ตามพวกเขามา

“มีอะไรหรือเปล่าครับ”ชวิศาเอ่ยปากถาม

“พวกเราขอเชิญคุณไปด้วยกัน”หนึ่งในสองคนนั้นตอบออกมาเป็นภาษาอังกฤษกระท่อนกระแท่น มาริเอะจึงถามอีกฝ่ายว่าจะให้ไปที่ไหนด้วยภาษาฮัชดาลลาร์

“เขาบอกว่าเจ้านายของพวกเขาอยากพบคุณชวิศาครับ”

“ก็ได้ครับ”

มาริเอะพูดตอบออกไปเป็นประโยคยาว และฝ่ายนั้นก็สั่นศีรษะกลับมา

“ผมบอกเขาว่าพวกเราต้องกลับไปที่วังก่อน แต่เขาปฏิเสธ จะเอาอย่างไรครับ สำหรับผม คุณจะตอบตกลงไปกับพวกเขาก็ได้แต่ต้องแจ้งให้ด็อกเตอร์ทราบก่อน”แต่สำหรับมาริเอะ เมื่อสักครู่สเตบาสเตียนเพิ่งแจ้งเขาว่าต้องไปทำงานให้ด็อกเตอร์ ดังนั้นเขาจำต้องงดติดต่อกับหุ่นยนต์พ่อบ้านไปโดยปริยาย

“อ่อ ได้ครับ”ชวิศาจึงหยิบโทรศัพท์ออกมาเพื่อกดโทรออก ทว่าอีกฝ่ายกลับผิวปากยาวขึ้นมาและในวินาทีนั้นพวกเขาก็ถูกล้อม

ชวิศามองผู้ชายที่ยืมล้อมพวกเขาไว้ด้วยอาการตื่นตะลึง มองมาริเอะที่รัวภาษาฮัชดาลลาร์คุยกับฝ่ายตรงข้าม

“ท่าไม่ดีแล้วครับ พวกเขาไม่อยากให้เราติดต่อใคร”

“ท... ทำไมล่ะ”ชวิศาไม่ได้อยากได้คำตอบจริงๆแต่เขาถามไปด้วยอาการตื่นตกใจ ชายหนุ่มไม่เคยประสบกับเหตุการณ์ข่มขู่ล้อมจับ ถึงแม้จะเป็นหลานคนโปรดของตระกูลภูสิทธ์วรโชติแต่เพราะพี่ชายที่เลี้ยงเขามา ดูแลประคบประหงมไม่ห่าง เลยไม่เคยเกิดเหตุการณ์ลักพาตัวลูกหลานเศรษฐีอย่างที่พี่ชายเคยเล่าให้ฟัง

“คุณชวิศา ขอโทษนะครับ”

ชวิศาโดนอุ้มจนตัวลอยจากพื้นอีกครั้ง มาริเอะกระโดดจากพื้นสูงขึ้นไปบนอากาศร่วมหลายร้อยเมตร ข้ามศีรษะกลุ่มคนที่ล้อมกรอบพวกเขาอยู่ และทันทีที่สัมผัสพื้น เขารีบสาวเท้าให้ห่างจากกลุ่มคนพวกนั้น ภายในฐานข้อมูลของมาริเอะมีฟังก์ชั่นการต่อสู้อยู่เช่นกัน แต่เพราะเขายังเป็นรุ่นทดลองซึ่งยังไม่มีการทดสอบระบบและปรับปรุงอัพเกรด ฟังก์ชั่นการทำงานบางอย่างจึงถูกระงับไว้ อีกอย่างในสถานการณ์ที่มีอันตราย เขายังถูกกำหนดให้หนีเป็นอันดับแรก

อย่างไรก็ตาม ฝ่ายตรงข้ามไม่ได้ปล่อยให้พวกเขาหนีไปได้ง่ายๆ

มาริเอะชะงักเมื่อโดนดักทาง จะหันหลังกลับพวกเขาก็โดนล้อมกรอบไว้อีกครั้ง ฝ่ายตรงข้ามมีห้าคนขณะที่พวกเขามีกันแค่สองคน และถ้าเป็นมนุษย์ธรรมดา ทั้งห้าคนนั้นคงไม่สามารถตามหุ่นยนต์อย่างมาริเอะได้ทัน

หุ่นยนต์สมองกลอย่างมาริเอะปล่อยให้ชวิศาลงยืนกับพื้น

“ระวังตัวด้วยนะครับ”เขาพูดก่อนจะระบบสั่งการจะเปลี่ยนสู่โหมดการต่อสู้ ฟังก์ชั่นการทำงานนี้จะเปิดใช้เซ็นเซอร์ตรวจจับความร้อนรัศมีห้าเมตรรอบตัวเพื่อป้องกันการเข้าถึงของคู่ต่อสู้ กำลังขับเคลื่อนถูกเร่งให้อยู่ในเกณฑ์สูงสุดเพื่อให้เคลื่อนที่ได้เร็วขึ้น แต่กรณีนั้นก็ทำให้สิ้นเปลืองพลังงานมากขึ้นเช่นกัน มาริเอะไม่เคยใช้พลังงานหมดจนต้องปิดระบบโดยอัตโนมัติจึงไม่มีข้อมูลว่า ถ้าใช้พลังงานเต็มที่อย่างนี้ ระบบทั้งหมดจะใช้งานได้นานกี่นาที กระนั้นขณะที่ระบบสมองกลบางส่วนเริ่มวิเคราะห์เก็บข้อมูลค่าการใช้พลังงาน มาริเอะก็ได้กระโจนเข้าหาชายหนุ่มตรงหน้าแล้ว

มาริเอะยกขาเตะสูงเข้าที่ก้านคออีกฝ่ายเพียงทีเดียวคนตรงหน้าก็ล้มตึงลงไปนอนกับพื้น อาจเพราะผู้ชายคนนั้นไม่ทันตั้งตัว ดังนั้นตอนที่เขากระโจนเข้าข้างหลังของชายคนที่สองโดยหวังจัดการทีเดียวให้อีกฝ่ายต้องไปนอนกับพื้นเช่นเดียวกันกลับพลาดไป ผู้ชายคนนั้นตั้งการ์ดกันฝ่ามือของเขาได้ทัน เขาตามไปซัดหมัดซ้ำ แต่ฝ่ายนั้นก็ป้องกันเขาได้ทุกหมัดเช่นเดียวกัน ก่อนจะต้องยกเท้าเตะกันคนที่รุมเข้ามาอีกด้าน ส่วนสายตาพลางมองมนุษย์ที่ตนเองต้องดูแลคุ้มครองไปด้วย

ฝีมือของชวิศาอยู่ในเกณฑ์ที่เอาตัวรอดได้ เมื่อชายหนุ่มอีกสองคนย่างเท้าเข้ามาหาต้องการจับกุมตัวเขา ชายหนุ่มสามารถออกหมัดและเท้ากันฝ่ายตรงข้ามไม่ให้ถึงตัวได้ เขาได้เห็นประโยชน์ในกีฬาของพี่โยที่บังคับให้เขาเล่นก็คราวนี้ และเมื่ออีกฝ่ายเห็นว่าเขาพอมีฝีมือในการต่อสู้เช่นกัน สองคนนั้นจึงจดจ้องอยู่ห่างๆมากขึ้น 

มาริเอะกลับมายืนพิงหลังกับชวิศาอีกรอบเมื่อล้มไปได้อีกหนึ่ง ระดับพลังงานลดลงเหลือที่เจ็ดสิบเปอร์เซ็นต์ เขาไม่มีเหงื่อ หยดน้ำซึ่งถูกเรียกว่าเหงื่อจะถูกสร้างให้เกาะอยู่บนผิวหนังเฉพาะการใช้งานฟังก์ชั่นเพศสัมพันธ์เท่านั้น แต่ผิวหนังที่โดนกระแทกและฉีกขาดปรากฏฟ้องความเสียหายอยู่ในระบบ

หลังจากที่เพื่อนร่วมกลุ่มโดนชายหนุ่มหุ่นเพรียวบางล้มไปถึงสองคน อีกสามคนที่เหลือจึงระแวดระวังมากขึ้น

ต่อมาหนึ่งในนั้นเอ่ยคำภาษาโบราณที่มาริเอะไม่รู้จัก วาดมืออยู่บนอากาศ แต่เนื่องจากมาริเอะเปิดใช้เซ็นเซอร์ตรวจจับความร้อน เขาจึงเห็นคลื่นความร้อนในระดับต่ำรูปร่างคล้ายบ่วงเคลื่อนที่จากด้านบนลงมาหา เขาคว้ามือชวิศากระชากหลบไปอีกด้าน ไอ้บ่วงที่ว่านั้นก็ถูกเคลื่อนตามมา มาริเอะจึงฟันสันมืออย่างรวดเร็วลงไปบนคลื่นความร้อนที่เห็น ชายที่เป็นเจ้าของมนตรานั้นชะงักผงะไป พาให้อีกสองคนที่เหลือหน้าตาตื่น หุ่นยนต์สมองกลเห็นว่าเป็นจังหวะที่ดีจึงคว้าชายหนุ่มซึ่งยืนอยู่ข้างกันวิ่งหนี ทว่าเพียงแค่หันหลังกลับ พื้นที่ตรงหน้าพลันระเบิดตูม ประกายแสงความร้อนสะท้อนเข้าตาจนต้องชะงักเท้า

มาริเอะหันหลังกลับ กระโจนเข้าหาสามคนที่เหลือนั่นอีกรอบ

สัญญาณการติดต่อจากสเตบาสเตียนเงียบหายไปเหมือนอีกฝ่ายถูกปิดระบบ เท่ากับว่าเขาจะยังติดต่อให้ใครมาช่วยเหลือไม่ได้จนกว่าอีกฝ่ายจะกลับมาทำงานอีกครั้ง มาริเอะใช้ความเร็วสูงสุดฟันสันมือเข้าจุดตาย สามคนที่เหลือทรุดลงกองกับพื้นพร้อมค่าพลังงานที่ลดลงเหลือสามสิบเปอร์เซ็นต์

ชวิศาถูกอุ้มจนตัวลอยอีกครั้งเพราะมาริเอะต้องการกลับไปยังวังของเจ้าชายฟาลิฮ์โดยเร็วที่สุด และเพราะเขาไม่สามารถเชื่อมต่อกับระบบฐานข้อมูลกลางที่มีสเตบาสเตียนเป็นแม่ข่ายได้ ระบบสมองกลของมาริเอะจึงได้ดึงแผนที่เมืองที่เคยบันทึกไว้เทียบกับทิศและตำแหน่งที่ตั้งวัง เลือกใช้เส้นทางตรงผ่านป่า ทว่าเขากลับโดนลูกพลังซัดใส่จนต้องล้มกลิ้งไปกับพื้น ระบบขึ้นแจ้งเตือนความเสียหายหลายส่วน ขณะที่ชวิศารีบยันตัวขึ้นยืนเตรียมตั้งรับ มองกลุ่มคนที่มาใหม่ซึ่งเป็นชายสองหญิงหนึ่ง กระนั้นยังไม่ทันที่ชายหนุ่มจะได้ขยับตัวทำอะไร ร่างกายของเขากลับขยับไม่ได้เสียแล้ว

“พวกแกทำอะไร”ชวิศาเผลอร้องถามออกไปเป็นภาษาไทย

“อยู่เฉยๆ ไปกับพวกเราดีๆจะดีกว่า”คราวนี้คำตอบเป็นภาษาอังกฤษชัดเจนคล่องแคล่ว

“ต้องการอะไรจากพวกเรากันแน่”ชวิศาถามกลับไปเป็นภาษาอังกฤษเช่นเดียวกัน

“ถ้าอยากรู้ก็ต้องไปด้วยกัน”ฝ่ายนั้นตอบก่อนจะยกมือโบกทีเดียวทำให้มาริเอะซึ่งกำลังพุ่งเข้าไปหากระเด็นไปไกล

“คุณมาริ อย่าทำเขานะ”ชวิศาร้องบอก

“งั้นก็บอกให้มันอยู่เฉยๆสิ”

“ได้ ฉันยอมแล้ว แต่ปล่อยให้ฉันไปดูเขาก่อน”เมื่อพูดเช่นนั้นออกไป ชวิศาจึงสามารถขยับตัวได้อีกครั้ง เขารีบวิ่งเข้าไปหามาริเอะ ประคองร่างที่มีใบหน้าเหมือนกันตนขึ้นมา พลางเอ่ยถามเป็นภาษาไทยว่า

“เป็นอะไรมากหรือเปล่าครับ”

“ระดับพลังงานเหลือสิบห้าเปอร์เซ็นต์ ระบบเซ็นเซอร์ใต้ผิวหนังเทียมโดนทำลาย โครงสร้างหลักของร่างต้นแบบยังอยู่ในเกณฑ์ปกติ ระบบควบคุมการทำงานอยู่ในภาวะไม่เสถียร”

“คุณมาริ”ชวิศาร้องครางออกมา “ไปกับพวกเขาก่อนนะ แล้วค่อยคิดหาทางกันอีกที”

“รับทราบครับ”มาริเอะตอบรับก่อนจะปิดเปลือกตาลง สั่งรีเซ็ตระบบควบคุมทั้งหมดอีกครั้ง

ชวิศาแบกมาริเอะขึ้นบ่า น้ำหนักของร่างหุ่นยนต์สมองกลเบาอย่างไม่น่าเชื่อ เขาหันไปบอกทั้งสามคนนั้นว่าพร้อมแล้ว ผู้หญิงหนึ่งเดียวคนนั้นจึงตั้งแขนกางมือกับอากาศเบื้องหน้า อีกวินาทีต่อมาประตูลวดลายแปลกตาจึงปรากฏขึ้น ชายคนนั้นผายมือให้เขาเดินผ่านประตูเข้าไป และทันทีที่ก้าวเท้าผ่านประตู ชวิศาได้พบกับห้องว่างซึ่งไม่มีสิ่งใด ทั้งที่ไม่มีอุปกรณ์ให้แสงสว่างใดๆแต่ภายในห้องกลับสว่างมองเห็นทุกสิ่ง ผนังเป็นสีน้ำตาลคล้ายทำจากดินหรืออิฐ ไม่มีหน้าต่าง และเมื่อหันหลังกลับไป ประตูบ้านนั้นได้หายไปแล้ว



สุดฟ้าร้องโวยวายทำท่าจะกระโดดลงไปในหลุมสีดำซึ่งถูกล้อมรอบด้วยอักขระเวทย์ ยังดีว่าองครักษ์ของเจ้าชายฟาลิฮ์คนหนึ่งได้คว้าตัวเขาไว้เสียก่อน ก่อนจะมีองครักษ์อีกคนกระโดดลงไปคว้าตัวสเตบาสเตียนกลับมาให้ กระนั้นทุกอย่างเป็นไปด้วยความทุลักทุเลเพราะตัวของสเตบาสเตียนแสนหนักอึ้ง กว่าจะนำพาร่างของหุ่นยนต์พ่อบ้านกลับมาอีกฝั่งหนึ่งได้ เล่นเอาหอบเหนื่อยไปตามๆกัน

อย่างไรก็ตาม แม้ในห้องที่พวกเขารวมตัวกันอยู่จะดูเหมือนว่าทุกอย่างเป็นปกติ แต่ทว่าภายใต้ท้องฟ้าสีครามซึ่งปกคลุมเมืองฮัชดาลลาร์กลับปรากฏแสงเรืองรองจางๆ ครอบคลุมทั้งเมืองอีกครั้ง สรรพสัตว์น้อยใหญ่ต่างรับรู้ได้ถึงพลังอันมหาศาลซึ่งโอบอุ้มดูแลเมืองทั้งเมืองไว้ ไม่ต่างจากนักเวทย์ชั้นสูงในเมืองที่รับรู้พลังของศิลาสารพัดนึกได้พร้อมเพรียงกัน และนั่นทำให้หญิงสาวผู้มีพลังจอมเวทย์ซึ่งเป็นผู้กำกับคาถามนตราพิทักษ์มาอย่างยาวนานได้ลืมตาขึ้น

ขณะที่เจ้าชายรัชทายาททรงเงยพระพักตร์ขึ้นรับรู้ด้วยดวงเนตรแห่งจิตถึงพลังของศิลาที่โอบล้อมไปทั้งเมือง

ส่วนสุดฟ้าได้แต่เมียงมองเดินวนรอบร่างหุ่นยนต์พ่อบ้าน เพราะโดนกระแสไฟรบกวนการทำงานของระบบ สเตบาสเตียนจึงนอนหลับตาเหมือนคนตาย อันที่จริงถ้าปล่อยทิ้งไว้ยี่สิบสี่ชั่วโมง ระบบของสเตบาสเตียนจะถูกรีเซ็ตกลับมาทำงานได้อีกครั้ง เพียงแต่สเตบาสเตียนเป็นแม่ข่ายหลักในการเชื่อมต่อระบบทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นโทรศัพท์มือถือหรือดิจิตอลไลท์มอนิเตอร์ของเขาก็กลายเป็นสากกะเบือปาหัวหมาไปแล้ว

ชายหนุ่มหยุดจ้องมองที่มือของสเตบาสเตียน ที่มือขวานั้นมีหินทรงกลมใส ซึ่งเหมือนมีควันสีแปลกตาลอยวนเวียนอยู่ภายใน ชายหนุ่มจึงจับข้อมือของหุ่นยนต์พ่อบ้านพยายามยกขึ้นให้อยู่ในระดับสายตา ทว่ามันกลับหนักจนยกไม่ขึ้น เขาจึงเปลี่ยนไปแกะนิ้วของสเตบาสเตียนออกแทน กระนั้นแรงกายของเขากลับไม่ทำให้มันขยับสักนิด

“เฮ้ย แกสองคนมาช่วยกันหน่อยดิ๊”สุดฟ้าร้องบอกฝาแฝด

“ไม่มีประโยชน์หรอกครับ”เจ้าชายฟาลิฮ์ตรัสบอก “เพราะมีจักระแปลกปลอมเข้าใกล้ศิลาตามเวทย์เงื่อนไขที่ผู้ถือครองศิลาคนก่อนได้ร่ายใส่ศิลาไว้”

“ถ้าอย่างนั้น แกสองคนตามเดย์กับน้ำมา”สุดฟ้าหันไปบอกฝาแฝด ประโยคต่อมาเขาหันไปทูลกับเจ้าชายรัชทายาท “ขอให้พระองค์เตรียมแท่นวางศิลาให้ด้วยครับ”

พักใหญ่ๆต่อมาพวกเขาจึงออกไปจากห้องนั้น ปล่อยให้น้ำซึ่งธัชนนท์เป่ายิ้งฉุบแพ้นำศิลาสารพัดนึกออกจากมือของสเตบาสเตียนไปวางบนแท่นรองที่เจ้าชายฟาลิฮ์จัดหามาให้ พวกเขายืนมองจากนอกประตู และเมื่อปฏิบัติการของน้ำเรียบร้อย สุดฟ้าจึงก้าวเท้ากลับเข้าไปภายใน และลองจับมือสเตบาสเตียนยกขึ้น

“เป็นอันว่าพวกเรานำศิลามาคืนฮัชดาลลาร์เรียบร้อยแล้วนะครับ”ธัชนนท์ทูลกับเจ้าฟาลิฮ์ด้วยภาษาอังกฤษ

“ครับ ขอบคุณมาก”

“ถ้าอย่างนั้นผมขอตัวกลับไปที่เรือนรับรองแล้วนะครับ”สุดฟ้าพูดเป็นภาษาอังกฤษทูลบอกเจ้าชาย ส่วนประโยคต่อมาเขาหันไปพูดภาษาไทย “น้ำกับเดย์มาช่วยยกสเตบาสเตียนหน่อย”

หุ่นยนต์สองตนจึงยืนคนละฝั่ง น้ำยกแขนและเดย์ยกขา

“เฮ้ยๆ อย่ายกอย่างนั้น”สุดฟ้าร้องปรามเสียงหลงเพราะลักษณะการยกร่างหุ่นยนต์แบบนั้น อาจจะทำให้โครงสร้างช่วงข้อต่อเสียหายได้

“วางลงก่อน เอาอย่างนี้ เดย์นายนั่นแหละมาแบกสเตบาสเตียนขึ้นหลังซะ”

เดย์จึงทรุดตัวลงนั่งคุกเข่าตามคำสั่ง แบกร่างหุ่นยนต์พ่อบ้านขึ้นหลัง ทว่าพวกเขายังไม่ทันได้ก้าวเท้าไปไหน จอมเวทย์สาวผู้ซึ่งเพิ่งลืมตาตื่นก็ได้เร่งรีบก้าวเท้าเข้ามาในห้อง ร่างกายที่เคยหลับใหลอย่างยาวนานนับสิบปียังดูปกติเฉกเช่นคนทั่วไป ไม่มีทั้งอาการอาการอ่อนล้าหรืออ่อนเพลีย

“Arbhaka, atithyaH avartata parigRhNIte”

คนที่เพิ่งก้าวเท้าเข้ามาราวกับพายุบุแคมเรียกความสนใจของคนต่างถิ่นได้ดี โดยเฉพาะสุดฟ้าที่ครั้งก่อนแม้ว่าเขาจะเห็นหน้าไม่ชัด แต่ชายหนุ่มกลับจำชุด ลักษณะและเค้าหน้าได้ชัดเจน อย่างไรก็ดี เนื่องจากพวกเขาไม่มีใครฟังภาษาฮัชดาลลาร์ออก หนำซ้ำคนแปลยังแน่นิ่งให้เดย์แบกอยู่บนหลัง สุดฟ้าจึงละความสนใจไปเสีย

“คุณสุดฟ้าครับ”เจ้าชายฟาลิ์ตรัสเรียกพวกเขาไว้ ก่อนจะยกพระหัตถ์แตะอกก้มพระเศียรให้ด้วยท่าทางคล้ายเสียพระทัยปนรู้สึกผิด

“พวกเราต้องขออภัยที่ไม่อาจดูแลความปลอดภัยให้คุณชวิศาและคุณมาริได้”

คำพูดนั้นทำให้ฝาแฝดและสุดฟ้ามองหน้ากัน

“คุณชวิศาและคุณมาริโดนจับตัวไปครับ”

“เฮ้ย!!!!!!!!!!”ทั้งสามคนร้องอุทานออกมาพร้อมเพรียงกัน กระนั้นฝาแฝดคนพี่กลับตั้งสติได้อย่างรวดเร็ว “โดนจับไปเมื่อไหร่ แล้วทราบไหมครับพวกไหนจับไป”

“เมื่อประมาณครึ่งชั่วโมงก่อน”

ธัชนนท์ยกนาฬิกาขึ้นดูเวลา “ถ้าแค่ชั่วโมงเดียวน่าจะยังไปช่วยทัน สุดฟ้าแกตามสัญญาณของมาริได้หรือเปล่า”

“ตามได้ซะที่ไหนล่ะ สเตบาสเตียนนิ่งไปอย่างนี้ ไม่ว่าอะไรก็ใช้ไม่ได้ โอ้ย!!! ทำไมต้องมาเกิดเรื่องวันเดียวกันด้วยวะ”สุดฟ้าทึ้งศีรษะด้วยความหงุดหงิด ซ้ำยังบ่นไม่หยุด“ไม่น่าใช้ให้สเตบาสเตียนมาทำงานอะไรแบบนี้เลยเว้ย”

“หยุดพูดได้แล้วน่า”ธัชนันท์ส่งเสียงห้าม

“งั้นพอจะทราบไหมครับว่าพวกนั้นเป็นใคร แล้วตอนนี้ออกจากฮัชดาลลาร์ไปหรือยัง”ธัชนนท์ทูลถามต่อ

“คนพวกนั้นเป็นกลุ่มกบฏของฮัชดาลลาร์ครับ ส่วนคุณชวิศาและคุณมาริตอนนี้น่าจะอยู่นอกฮัชดาลลาร์แล้ว ในกลุ่มคนพวกนั้น มีนักเวทย์ที่ใช้คาถาเคลื่อนย้ายมิติได้เหมือนกัน”

“เท่ากับว่าตอนนี้ไม่รู้เลยว่าสองคนนั้นเป็นตายร้ายดีอย่างไร”

เจ้าชายฟาลิฮ์หันไปตรัสพูดคุยกับนักเวทย์คนนั้น ก่อนจะบอกแก่เจ้าของคำถามว่า “น่าจะยังปลอดภัยดีทั้งคู่ครับ เพราะคนพวกนั้นไม่ได้ใช้เวทย์โจมตีร้ายแรง เรื่องนี้ไม่ต้องห่วงครับ ไม่ว่าอย่างไรทางเราต้องดำเนินการช่วยเหลือคุณชวิศาและคุณมาริมาให้ได้”

“ช่วยเหลืออะไรวะ ทั้งที่เรื่องเกิดในเมืองแท้ๆยังทำอะไรไม่ได้”

ฝาแฝดคนน้องตบศีรษะสุดฟ้าดังผลัวะให้เจ้าตัวปากเปราะหยุดพูด แล้วพูดว่าเป็นภาษาไทย “ฉันรู้ว่าแกกำลังอารมณ์เสียที่ทั้งของทั้งคนของแกหาย แต่ก็ไม่ควรพูดจาหมาๆลามปามเจ้าของบ้านแบบนี้ ถ้าเรื่องนี้ใครจะผิดก็แกนั่นแหละ รับปากทำงานอะไรมั่วซั่ว”

“เออๆ ฉันมันทำอะไรก็ผิด”

ธัชนันท์กุมขมับเมื่อเพื่อนสนิทร่างสูงไม่แพ้ตนเริ่มจะเข้าโหมดงอแง แล้วคว้าคอเสื้อไม่ให้อีกฝ่ายหนีหายไปไหน

“รีบพามันกลับไปซ่อมสเตบาสเตียนเหอะว่ะ มันจะได้ไม่งี่เง่าไปกว่านี้”ธัชนนท์พูด แล้วหันไปขอพระราชอนุญาตให้น้องชายพาสุดฟ้ากลับไปเรือนรับรอง

คล้อยหลังทั้งสองคน ธัชนนท์จึงหันกลับมาสนทนากับเจ้าชายรัชทายาทต่อ

“เรื่องนี้พระองค์ทราบได้อย่างไรครับ พวกนั้นส่งข้อความเรียกร้องมาแล้วหรือ”

เจ้าชายจึงผายพระกรไปทางหญิงสาวผู้เป็นจอมเวทย์ “ท่านนี้คือองค์ราชินีผู้ซึ่งร่ายคาถามนตราพิทักษ์คอยปกปักดูแลฮัชดาลลาร์ช่วงที่ศิลาสารพัดนึกถูกขโมยไป”

ธัชนนท์จึงก้มศีรษะคำนับ

“พระองค์คอยดูแลความเรียบร้อยในเมือง ถ้าเป็นเมื่อก่อนหากเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ องค์ราชินีจะเข้าไปช่วยเหลือทันที แต่ในสองสามปีหลัง พระองค์ทำได้แค่ส่งข้อความให้เจ้าหน้าที่ซึ่งมีหน้าที่รับผิดชอบไปช่วยดำเนินการ ตอนที่ทหารของเราไปถึงพวกนั้นก็ได้ส่งคุณชวิศาและคุณมาริไปที่อื่นแล้ว และถึงทางเราจะปะทะกับอีกฝ่ายแต่ก็ไม่สามารถจับตัวได้ครับ”

สิ่งที่ธัชนนท์กังวลใจไม่ใช่หุ่นยนต์ของสุดฟ้า แต่เป็นชวิศาต่างหาก เพราะเขาไม่รู้ว่าโยธินติดต่อพูดคุยกับชวิศาบ่อยแค่ไหน ถ้าโยธินติดต่อน้องชายสุดหวงไม่ได้นานๆเข้าล่ะ เป็นเรื่องแน่

“ทราบไหมครับ ว่าพวกนั้นต้องการจับใครกันแน่ แล้วจับทั้งสองคนไปเพราะอะไร”

“เรื่องเป้าหมายเรายังไม่ทราบครับ แต่คิดว่าน่าจะตั้งใจจับคุณชวิศา องค์ราชินีทรงตรัสว่า พวกนั้นต่อรองให้คุณชวิศาไปกับพวกเขาเพื่อแลกเปลี่ยนกับการไม่ทำร้ายคุณมาริ”

“เอ๊ะ”

“เท่าองค์ราชินีเห็น คุณมาริน่าจะบาดเจ็บสาหัส”

บาดเจ็บสาหัส? เสียหายรุนแรง? เป็นไปได้ด้วยเหรอ ธัชนนท์นึกสงสัยอยู่ในใจ เพราะไม่คิดว่าสุดฟ้าจะสร้างหุ่นยนต์ของรักของหวงให้เปราะบางขนาดนั้น เดย์กับน้ำยังสู้กับผู้ร้ายได้สบายๆ

“แต่คุณมาริเป็นหุ่นยนต์?”เจ้าชายฟาลิฮ์ทรงตรัสออกมา

“เรื่องนั้นเอาไว้ก่อนเถอะครับ คิดว่าเจ้าชายก็คงทราบว่าคุณชวิศาเป็นน้องของคุณโยธิน  ภูสิทธ์วรโชติ พวกเราต้องช่วยคุณชวิศาให้ได้ก่อนที่เรื่องนี้จะรู้ถึงหูผู้ชายคนนั้น”

“ครับเรื่องนั้นผมเข้าใจ”

จบประโยคนั้น เจ้าชายทรงหันไปสนทนากับองค์ราชินี แล้วพากันลุกขึ้นสาวพระบาทไปใกล้แท่นวางศิลาสารพัดนึก ธัชนนท์จึงเดินตามไปด้วย

“จะทำอะไรหรือครับ”

“ลองใช้ศิลาหาที่อยู่ของคุณชวิศากับคุณมาริครับ”

องค์ราชินีผู้ซึ่งเป็นจอมเวทย์ยื่นมือออกไปใกล้ศิลาสารพัดนึก กล่าวคาถาด้วยถ้อยคำที่ธัชนนท์ไม่รู้จักอีกแล้ว จากนั้นศิลาจึงส่งแสงเรืองรองและปรากฏภาพพร่ามัวลอยอยู่ตรงหน้าพวกเขา

“หมายความว่าอย่างไรครับ”

“ทั้งสองคนไม่ได้อยู่ ณ ที่ใดๆบนโลกใบนี้ครับ”


+++++โปรดติดตามตอนต่อไป+++++

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ ตีสี่

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 412
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-5
    • 61'
บทที่สิบเก้า



“ไม่ได้อยู่ ณ ที่ใดๆบนโลกนี้หมายความว่าอย่างไรวะ”สุดฟ้าวางมือจากงานที่ทำอยู่และหันมาถามเขา ธัชนนท์ผ่อนหายใจก่อนจะตอบว่า

“เจ้าชายทรงตรัสว่า ทั้งสองคนน่าจะถูกขังอยู่ในมิติที่นักเวทย์ของฝ่ายนั้นสร้างขึ้น”

“อ้าว แล้วพลังของศิลาสารพัดนึกทำอะไรไม่ได้หรือวะ”สุดฟ้าถามอย่างข้องใจ ถึงจะพอเข้าใจการทำงานของศิลาสารพัดนึก แต่มันยังมีอีกหลายเรื่องที่เขาไม่เข้าใจ

“มันต้องใช้เวทย์ที่แทรกแซงมิติของผู้อื่น พลังของศิลาถึงจะใช้ได้ แต่เวทย์คาถาพวกนี้มีคนฝึกน้อยมาก เจ้าชายเลยบอกว่าเดี๋ยวจะไปหาตำรามนตรามาให้”

“กว่าจะหาเจอสองคนนั้นไม่ซี้ม่องเท่งไปแล้วเหรอ”สุดฟ้าพูดขณะหันไปคีย์คำสั่งลงบนหน้าจอดิจิตอลไลท์มอนิเตอร์ซึ่งเชื่อมต่อโดยตรงกับแผงวงจรหลักของสเตบาสเตียน เขียนคำสั่งหาพิกัดตำแหน่งของมาริเอะ ระบบสัญญาณการเชื่อมต่อในวงแลนเดียวของสุดฟ้า เป็นระบบไร้สายในคลื่นความถี่พิเศษ เป็นสัญญาณเข้ารหัสจากอุปกรณ์ที่เขาฝากติดไว้กับสถานีอวกาศของนาซ่า เขากำหนดให้สเตบาสเตียนเป็นแม่ข่ายเพื่อเก็บข้อมูลการเชื่อมต่อเครือข่ายอินเตอร์เน็ต เป็นไฟร์วอลล์ดักจับไวรัสและพวกอยากลองดีชอบขโมยข้อมูลคนอื่น นั่นเพราะสเตบาสเตียนอยู่กับเขามานาน ระบบคำสั่งต่างๆค่อนข้างสมบูรณ์เนื่องจากผ่านการปรับแก้โปรแกรมมาหลายครั้ง

“เจอล่ะ”สุดฟ้าร้องบอกเมื่อพิกัดของมาริเอะปรากฏอยู่บนหน้าจอ เขาดึงหน้าต่างโปรแกรมแผนที่เปิดขึ้นมา ป้อนตัวเลขพิกัดและกดเอ็นเทอร์ (Enter) เมื่อเห็นฝาแฝดขยับเข้ามาใกล้ สุดฟ้าจึงดึงมุมหน้าจอไลท์มอนิเตอร์ให้ขยายกว้างขึ้นอีก

“ห่างจากฮัชดาลลาร์ไปไม่ไกลเนี่ยนะ บนแผนที่มีแต่ทะเลทรายไม่ใช่เหรอวะ”ธัชนันท์ถาม

สุดฟ้าขมวดคิ้วเขม็งมอง “ไม่รู้ว่ะต้องไปดู พวกแกรออีกเดี๋ยว ฉันแก้ไขสเตบาสเตียนจะเสร็จแล้ว”

“แล้วแกรู้ไหม ว่าตอนนี้มาริเป็นอย่างไรบ้าง องค์ราชินีเห็นว่ามาริเสียหายหนัก”

สุดฟ้าจึงเปิดหน้าต่างคำสั่งอีกบานขึ้นมา รัวนิ้วเขียนคำสั่งดึงสถานะการตรวจสอบร่างต้นแบบของมาริเอะขึ้นมา “ที่มีปัญหาคือพลังงาน โครงสร้างร่างกายช่วงข้อต่อชำรุดนิดหน่อย เฮ้ย!!! ไม่หน่อยแล้วนี่หว่า”ชายหนุ่มร้อง เมื่อเห็นรายการความเสียหายของมาริเอะขึ้นเรียงเต็มพรืด

“แม่งไปทำอะไรมาวะ จำได้ว่าเขียนโปรแกรมให้หนีเป็นอันดับแรกนะเว้ย”

“เออ ฉันโคตรสงสัย ตกลงว่าเสียหายเยอะจริงหรือวะ ฉันนึกว่าแกจะสร้างมาริให้แข็งแกร่งแบบคนเหล็กซะอีก”ธัชนนท์ถาม

“โครงสร้างอ่ะเป็นอะลูมิเนียมเบริลเลียม น้ำหนักเบาแต่แข็งแรง ไม่เป็นสนิม แต่ฉันอยากทำให้คล้ายมนุษย์มากๆ เลยใส่ชิ้นส่วนช่วงข้ออีกเพียบเพื่อให้ทำงานได้สมูธเหมือนคนจริงๆ อย่างที่มือ มีเซ็นเซอร์ที่นิ้ว นิ้วละสามตัว ที่ฝ่ามืออีกหก มีเวลาจับพวกแก้วหรือของแตกง่ายเลยทำได้ไม่มีปัญหา ส่วนพวกกลไกการเคลื่อนที่ฉันติดเซอร์โวมอเตอร์ที่มีแรงขับสูงเข้าไป แต่ว่าในชีวิตประจำวัน จะใช้กำลังมอเตอร์อยู่ที่สิบหรือไม่เกินยี่สิบเปอร์เซ็นต์ เป็นไปได้ว่ามาริคงจะใช้แรงขับมอเตอร์มากกว่าแปดสิบเปอร์เซ็นต์ พวกชิ้นส่วนช่วงข้อต่อจึงทนความร้อนจากแรงเสียดสีไม่ได้”

“แล้วแกใส่มอเตอร์แรงขับสูงๆไว้ทำไมในเมื่อชิ้นส่วนของแกมันทนแรงเสียดสีไม่ได้”

“ก็ฉันตั้งใจว่าจะทดลองและพัฒนาต่อ แต่มาริกลับโดนแฮพเปลี่ยนตัวกับชวิศาเสียก่อน”สุดฟ้าตอบกลับด้วยความหงุดหงิดไม่แพ้กัน

“เออๆ แล้วนี่พวกเราจะไปหาสองคนนั้นกันเลยใช่ไหม”ธัชนนท์เอ่ยปากขัดยั้งไม่ให้น้องชายฝาแฝดและสุดฟ้าไม่ให้เถียงกันมากไปกว่านี้

“เออ รอแป็บ”สุดฟ้ากลับไปเขียนข้อความคำสั่งเพื่อแก้ไขสเตบาสเตียนต่อ ไม่นานนักหุ่นยนต์พ่อบ้านก็ได้ลืมตาขึ้น

“ชื่อร่างต้นแบบ สเตบาสเตียน ตรวจสอบการทำงานของโครงสร้าง แขนขวา”เสียงนุ่มทุ้มของหุ่นยนต์พ่อบ้านดังขึ้น จากนั้นร่างหุ่นยนต์จึงขยับส่วนต่างๆตามที่เอ่ยแจ้ง จนครบทุกส่วน สุดฟ้าจึงเก็บสายที่เชื่อมต่อระหว่างสเตบาสเตียนกับไลท์มอนิเตอร์และสั่งให้สเตบาสเตียนลุกขึ้นนั่ง

“ตรวจสอบการเชื่อมต่อ”สุดฟ้าเอ่ยสั่ง หุ่นยนต์ระบบสมองกลเอ่ยทวนคำสั่งซ้ำ ขณะที่สุดฟ้าเชื่อมต่อดิจิตอลไลท์มอนิเตอร์เข้ากับเครือข่ายไร้สายเช่นเดิม

“ภาพกล้องวงจรปิด”ชายหนุ่มออกทำสั่งอีกครั้ง ภาพจากกล้องซึ่งถูกติดตั้งไว้รอบบ้านของเขาจึงถูกแสดงอยู่บนหน้าจอ จากนั้นภาพที่แสดงจึงค่อยๆเปลี่ยนไป เป็นภาพที่ถูกดึงมาจากกล้องของรัฐที่ถูกติดไว้ตามถนน สุดฟ้าเห็นว่าระบบการเชื่อมต่อไม่น่าจะมีปัญหาอะไร จึงเปลี่ยนคำสั่งอื่น

“ติดต่อกับมาริได้หรือเปล่า”

สเตบาสเตียนนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง และกล่าวตอบว่า “ได้ครับ คุณมาริแจ้งว่าอยู่ในห้องสี่เหลี่ยมว่างๆครับ ไม่มีทั้งประตูและหน้าต่าง”

“โอเค งั้นเดี๋ยวพวกเราไปลองดูกันก่อน”ธัชนนท์เอ่ยบอก เขาคิดว่าถ้าได้เห็นสถานที่จริงคงจะพอหาทางช่วยได้

การเดินทางของพวกเขาไปยังเป้าหมายพิกัดใช้มอเตอร์สเปซของสุดฟ้าเช่นเคย พ้นเขตเมืองฮัชดาลลาร์พื้นที่รอบด้านล้วนเป็นทะเลทรายเวิ้งว้าง พวกเขาอยู่บนอากาศยานมองดูจากที่สูงพื้นที่ด้านล่างยังพบเพียงภูเขาหินสีแดงและสันทรายสุดลูกหูลูกตา

ใช้เวลาไม่นานนักพวกเขาได้มาถึงจุดหมาย

“ภาพพื้นที่ด้านล่าง”สุดฟ้าสั่งให้สเตบาสเตียนดึงภาพพื้นที่โดยรอบก่อนจะนำเครื่องลงจอด ภาพที่ปรากฏอยู่บนหน้าจอยังเป็นทะเลทรายราบไม่มีตึกอาคารใด

“ลงไปดูเลยไหม”สุวราลักษณ์คนน้องเอ่ยถาม เจ้าของอากาศยานจึงออกคำสั่งให้นำเครื่องลงจอด ลงมาจากพาหนะ มองไปทางไหนยังมีแต่ทราย

“จุดนี้แน่เหรอ”ธัชนนท์เอ่ยถาม

“ยืนยันพิกัดนี้แน่นอนครับ”สเตบาสเตียนเอ่ยย้ำยืนยัน

“หรืออยู่ใต้ดิน”

“ลำบากอีกล่ะ”สุดฟ้าบ่น กระนั้นยังเดินไปยังด้านท้ายของมอเตอร์สเปซ กดปุ่มเปิดฝากระโปรงซึ่งปรากฏให้เห็นอุปกรณ์มากมายเรียงรายอยู่ จากนั้นจึงหยิบวัตถุชิ้นหนึ่งออกมา มันมีลักษณะเป็นทรงกระบอกปลายแหลมคล้ายลิ่ม จากนั้นจึงนำมันส่งให้หุ่นยนต์พ่อบ้านเพื่อปักลงบนพื้นดิน สเตบาสเตียนกดปุ่มเปิดการทำงานของมันก่อนจะก้าวถอยออกมา

“สเตบาสเตียนขยับรถด้วย”สุดฟ้าเห็นว่าจุดจอดของมอเตอร์สเปซนั้นใกล้กับจุดที่ปักลิ่มไว้ เขาจึงเอ่ยออกคำสั่งเช่นนั้น สเตบาสเตียนยืนนิ่งขณะระบบสมองกลใช้โปรแกรมคำสั่งให้ยานยนต์เคลื่อนถอยห่าง

“พวกแกด้วย”

พี่น้องสุวราลักษณ์จึงถอยหลังออกไป สุดฟ้าหยิบดิจิตอลไลท์มอนิเตอร์ขึ้นมากดเปิดการทำงาน ดึงหน้าต่างโปรแกรมขึ้นมาคีย์ข้อมูลคำสั่ง หลังจากกดปุ่มตกลงพื้นที่โดยรอบที่ปักลิ่มไว้จึงหายไปเป็นวงกว้าง รูปลักษณ์เป็นวงกลมทรงกระบอกยาวลึกลงไปใต้พื้น ส่วนอุปกรณ์ของชายหนุ่มยังปักอยู่ที่พื้นก้นหลุม

ธัชนันท์เดินเข้ามาดูใกล้ หลุมนั้นกว้างแค่ประมาณหนึ่งเมตร ลึกไปแค่ราวๆห้าสิบเซนติเมตรเท่านั้น

“ถอยไป ฉันจะขยายความกว้าง”

ฝาแฝดคนน้องก้าวถอยหลังซึ่งเป็นจังหวะเดียวกับที่พื้นโดยรอบโดนแรงอันมหาศาลดันให้หลุมนั้นขยายกว้างออกไป ความลึกของหลุมเพิ่มขึ้นอีก

พวกเขาขยับเท้าเข้ามาดู ยังไม่เห็นสิ่งผิดปกติใดนอกจากทราย

“ด็อกเตอร์ครับ พิกัดของคุณมาริมีการขยับเคลื่อนที่เล็กน้อยครับ”

“เคลื่อนที่?”

เป็นไปได้อย่างไรในเมื่อเขาไม่เห็นอะไรสักอย่างนอกจากทราย

สเตบาสเตียนเดินไปยังตำแหน่งพิกัดของมาริเอะจุดล่าสุด เขาโน้มหน้ามองหาที่มาของตำแหน่งสัญญาณ และได้พบสิ่งของบางอย่างแทรกตัวอยู่ทรายสีน้ำตาลแดง เขาจึงแทงมือเข้าไปในพื้นดินทรายบริเวณข้างหลุม เนื่องจากสุดฟ้ายังเปิดการใช้งานอุปกรณ์ที่ใช้สำหรับการสร้างหลุม ด้วยแรงอัดอันมหาศาล หากยื่นมือเข้าไปใกล้ มือของสเตบาสเตียนคงต้องแหลกละเอียด

“นี่ครับ ที่มาของสัญญาณของคุณมาริเอะ”

สุดฟ้ารีบเดินเข้าไปหาคว้าสิ่งของในมือของสเตบาสเตียนขึ้นมาดู ของชิ้นนั้นเป็นเพียงแผ่นไม้รูปหกเหลี่ยมธรรมดา ด้านหนึ่งเป็นผิวเรียบ อีกด้านมีอักษรหรือสัญลักษณ์ที่พวกเขาไม่รู้จัก

อุปกรณ์ส่งสัญญาณของมาริเอะถูกติดตั้งอยู่บนแผงควบคุมหลัก ถ้าสัญญาณของมาริเอะมาจากแผ่นไม้นี่ไม่เท่ากับว่ามาริเอะถูกแยกส่วนไปแล้วหรือ แต่แผ่นไม้ที่ว่าหนาแค่ประมาณหนึ่งเซนติเมตรเท่านั้น ไม่มีสลักหรือเกลียวที่บอกว่าข้างในสามารถเป็นกล่องใส่ของได้

“กลับกันเถอะ เอาของนี่ไปให้เจ้าชายดูกัน”

พวกเขาต่างเห็นด้วยกับความคิดนี้

สุดฟ้าจึงพิมพ์คำสั่งบนหน้าจอไลท์มอนิเตอร์อีกครั้ง สั่งให้ปิดการทำงานของลิ่มขุดพื้น เมื่อไม่มีสนามพลัง ทรายเหล่านั้นจึงไหลไปยังพื้นที่ว่างซึ่งต่ำกว่า ทำให้คลุมทับอุปกรณ์  สุดฟ้าป้อนคำสั่งอีกครั้งให้ลิ่มขุดพื้นดันตัวออกมาจากทรายลอยสูงจากพื้นในระดับสายตา คีย์คำสั่งปิดสนามพลังที่ทำให้อุปกรณ์ชิ้นดังกล่าวลอยตัว ขณะที่มันร่วงหล่นตามแรงโน้มถ่วง เขาจึงเดินเข้าไปรับมันไว้ และนำไปเก็บที่กระโปรงท้ายเช่นเดิม

พวกเขากลับไปถึงพระราชวังราซาห์ไม่นานหลังจากนั้น และเมื่อของเข้าเฝ้าเจ้าชายรัชทายาท ผู้มีศักดิ์สูงกว่าได้ให้พวกเขาเข้าพบได้ทันที

“กำลังจะไปหาอยู่พอดีครับ ผมได้คนศึกษาเวทย์มิติเวลามาแล้ว”เจ้าชายฟาลิฮ์ทรงตรัสอย่างกระตือรือร้น นอกจากต้องการรับผิดชอบที่แขกถูกลักพาตัวในเขตการปกครองของพระองค์แล้ว การคบหาเป็นสหายกับสุดฟ้า และสองพี่น้องตระกูลสุวราลักษณ์เป็นเรื่องที่มีแต่ประโยชน์ ฉะนั้นพระองค์จึงไม่นิ่งนอนใจที่จะช่วยเหลือพวกเขา

“เธอชื่อพาลิมาครับ”

คนที่เจ้าชายแนะนำให้พวกเขารู้จักเป็นเด็กสาวที่ดูจากหน้าตาแล้วอายุยังน้อย เธอก้มศีรษะคำนับพวกเขาอย่างนอบน้อม

“ถ้าอย่างนั้นผมอยากให้เจ้าชายดูนี่ก่อนครับ”สุดฟ้าพูดพลางส่งแผ่นไม้รูปหกเหลี่ยมไปให้ และทันทีที่เห็นข้อความที่เขียนไว้ ทรงตรัสออกมาว่า “ห้อง”

“เอ๊ะ? อะไรหรือครับ”ธัชนนท์ถาม

“อักษรที่เขียนอยู่บนนี้ครับ”ทรงตรัสบอกก่อนส่งให้พาลิมาได้พิจารณาดู ทว่าจังหวะนั้นเอง สเตบาสเตียนกลับพูดออกมาว่า

“ด็อกเตอร์ครับ ตำแหน่งพิกัดของคุณมาริเปลี่ยนไปแล้วแล้วครับ”

“เอ๊ะ!!!!!”ทั้งสามคนร้องอุทานออกมาพร้อมกัน เนื่องจากสเตบาสเตียนพูดบอกพวกเขาเป็นภาษาอังกฤษ นั่นทำให้เด็กสาวเจ้าของนามพาลิมาเข้าใจข้อความประโยคนั้นด้วย เธอรีบคว้าแผ่นไม้นั้นมาถือไว้ เธอขยับปากพึมพำอยู่ครู่หนึ่งจึงกล่าวขึ้นมาว่า

“องค์รัชทายาท ตอนนี้มันกลายเป็นแค่แผ่นไม้ธรรมดาแล้วเพคะ”

“อย่างไรรึ”เจ้าชายฟาลิฮ์ตรัสถาม

“เท่าที่หม่อมฉันเห็น แผ่นไม้นี้น่าจะคือหมุนเวทย์สำหรับการกระโดดและสร้างพื้นที่มิติเวทย์ ท่านดาบุลลาจะใช้วงแหวนอักขระเวทย์ในการสร้างประตูและส่งจิตไปยังพื้นที่เป้าหมาย ขณะที่นักเวทย์ผู้นี้จะใช้ประตูเวทย์เปิดไปยังห้องมิติที่ตนได้ทิ้งไว้ในที่ต่างๆ”เธอพูดตอบเป็นภาษาอังกฤษทั้งสิ้น กระนั้นฝาแฝดและสุดฟ้ายังไม่เข้าใจมากนัก

“พวกคุณเจอแผ่นไม้นี้ได้อย่างไรครับ”เจ้าชายฟาลิฮ์ตรัสถามผู้นำแผ่นไม้นี้มา

“ผมหาพิกัดของมาริจากอุปกรณ์ติดตามตำแหน่งที่ผมติดไว้ครับ”

“นับว่าเป็นเรื่องที่น่ายินดีครับ ทีนี้ก็เป็นการง่ายที่เราตามหาพวกเขาทั้งสอง”เจ้าชายฟาลิฮ์ทรงแย้มพระสรวล ก่อนจะทรงเอ่ยพระราชรับสั่งให้บาซิม ชายหนุ่มผู้เป็นราชองครักษ์ติดตามพระองค์จัดเตรียมกำลังคนเพื่อไปช่วยเหลือราชอาคันตุกะที่ถูกจับตัวไป

“ระหว่างรอผมจะอธิบายเรื่องมิติเวทย์ที่พาลิมาพูดเมื่อสักครู่ครับ”พระองค์หันไปตรัสกับสุดฟ้าและสองพี่น้องฝาแฝด “มิติเวทย์จะเป็นการสร้างช่องว่างในมิติที่หนึ่งถึงมิติที่สาม เพื่อเปลี่ยนแปลงการกระจัด มิติเวทย์ของนักเวทย์ที่จับตัวคุณชวิศาและคุณมาริไป เป็นรูปแบบของการปักหมุดบนแผนที่แล้วกระโดดไปหาหมุดพวกนั้น สิ่งที่นักเวทย์ที่ใช้เป็นอันดับแรกคือคาถาป้องกัน ให้ลองนึกถึงไฟร์วอลล์ในระบบคอมพิวเตอร์ เพราะเขาจะสร้างพื้นที่ของตัวเองและใส่ไฟร์วอลล์เพื่อไม่ให้คนอื่นลุกล้ำเข้ามาได้ ถ้าต้องการลุกล้ำเราต้องแฮกเข้าไปหรือใช้เวทย์แทรกแซงมิติ

ก่อนหน้านี้ผมยังสงสัยอยู่เหมือนกันว่าเวทย์ประเภทนี้อาจจะสร้างช่องว่างในมิติที่เจ็ดขึ้นไป จึงใช้คำว่า ‘ไม่ได้อยู่ ณ ที่ใดๆบนโลกนี้’ แต่เพราะคุณสุดฟ้าจับสัญญาณตำแหน่งของคุณมาริได้ คราวนี้นับว่าเป็นเรื่องง่ายมากครับ เรื่องตำแหน่งที่อยู่ของพวกเขาทั้งสองคน ผมจะขอให้คุณสุดฟ้าทำการตรวจเช็ค ส่วนเรื่องที่จะนำตัวพวกเขาออกมาจากมิติเวทย์ ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของทางเราเอง”

“ได้ครับ”สุดฟ้าตอบรับ

ไม่นานนัก บาซิมได้เข้ามาแจ้งว่าทุกอย่างจัดเตรียมเรียบร้อยแล้ว เจ้าชายฟาลิฮ์จึงทรงลุกขึ้นสาวพระบาทนำพวกเขาไปยังลานโล่ง ซึ่ง ณ บัดนี้ ลานนั้นเต็มไปด้วยกริฟฟอนหลายสิบตัว ถูกบังคับตั้งแถวเป็นระเบียบ

“คุณสุดฟ้ามีอากาศยานส่วนตัวใช่ไหมครับ เช่นนั้นขอให้คุณใช้อากาศยานของคุณได้ไหมครับ”

สุดฟ้าหันไปพยักพเยิดกับหุ่นยนต์พ่อบ้านผู้ที่ทำหน้าที่ดูแลควบคุมอุปกรณ์เทคโนโลยีเกือบทุกอย่างของเขา สเตบาสเตียนยืนนิ่งโปรแกรมคำสั่งให้มอเตอร์สเปซเคลื่อนที่มายังลานแห่งนี้ ระหว่างนั้นธัชนนท์ถึงทูลถามเจ้าชายว่า

“แล้วนำกริฟฟอนออกไปบินนอกเมืองจะไม่เป็นไรหรือครับ”

“ถ้าเป็นผู้คนแถวนี้จะไม่ค่อนแปลกใจกับฝูงกริฟฟอนหรอกครับ อีกอย่างพวกเราก็มีมนต์พรางตัวด้วย”ขณะที่เจ้าชายฟาลิฮ์ตรัสตอบคำถาม มอเตอร์สเปซค่อยๆเคลื่อนที่ลงมาจอดอย่างนิ่มนวล องค์รัชทายาทแห่งฮัชดาลลาร์จึงผายมือให้พวกเขานำทาง

สุดฟ้าและสองพี่น้องสุวราลักษณ์จึงเดินไปขึ้นยานยนต์ โดยมีสเตบาสเตียนจับจองที่นั่งของพลขับเช่นเคย

“เจ้าชายเตรียมคนไปเยอะเกินไปหรือเปล่าวะ”ธัชนันท์เอ่ยปากพูดเมื่อพวกเข้าเข้ามานั่งในที่นั่งด้านในเรียบร้อย และมอเตอร์สเปซกำลังลอยตัวขึ้น

“คนเยอะย่อมอุ่นใจกว่าละมั้ง แต่ถ้าต้องปะทะจริงๆ พวกเราไม่มีปัญญาสู้เลยนะเนี่ย”ธัชนนท์พูดเช่นนั้นเพราะผู้คนที่ใช้เวทย์คาถาล้วนได้รับการฝึกฝนมากมายกว่าพวกเขา และรู้จักใช้จักระเพื่อเพิ่มความแข็งแรงของร่างกาย

“ฉันมีของอยู่กระโปรงหลัง แต่ไม่รู้จะใช้ได้มากน้อยแต่ไหน”สุดฟ้าบอก

มอเตอร์สเปซเคลื่อนที่อย่างรวดเร็ว กลุ่มของเจ้าชายฟาลิฮ์ตามมาด้านหลังโดยซ่อนตัวอยู่ภายใต้เมฆหมอกสีขาว พิกัดเป้าหมายซึ่งเป็นตำแหน่งที่อยู่ปัจจุบันของมาริไม่ได้ห่างจากเดิมหรือห่างเมืองฮัชดาลลาร์ไปมากนัก และยังอยู่ในเขตทะเลทรายที่ไร้ผู้คนอยู่อาศัยเหมือนเดิม ใช้เวลาไม่นาน มอเตอร์สเปซก็ร่อนลงจอด

ชายหนุ่มทั้งสี่คนจึงเดินลงมาจากยานยนต์ หันไปมองด้านหลังเจ้าชายฟาลิฮ์เองเพิ่งเหวี่ยงเท้าลงมาจากเจ้าสัตว์ยักษ์สี่ขาหน้าตาเหมือนนก มีผู้ติดตามเพียงบาซิมและพาลิมา สุดฟ้าจึงเงยหน้าขึ้นไปมองบทท้องฟ้า เขาจึงได้เห็นแต่เมฆสีขาว

สุดฟ้าส่งลิ่มขุดพื้นให้สเตบาสเตียน ครั้งที่แล้วนับว่าเป็นเรื่องโชคดีที่บังเอิญหมุดเวทย์โผล่มาให้พวกเขาเห็น แต่สุดฟ้ารู้แล้วว่าใต้พื้นมีของแบบนั้นอยู่ หลังจากที่สเตบาสเตียนปักลิ่มลงพื้น เขาจึงเขียนคำสั่งให้ลิ่มเคลื่อนที่ลึกลงไปจนเจอไม้ซึ่งเขียนเวทย์อักขระไว้ จากนั้นจึงสร้างหลุมกว้างอีกเล็กน้อยเพื่อหยิบมันขึ้นมา

“สเตบาสเตียนบอกมาริด้วยว่ากำลังจะมีคนไปช่วย”สุดฟ้าพูดบอกเมื่อส่งแผ่นไม้ดังกล่าวให้เจ้าชายฟาลิฮ์ พระองค์ทรงส่งต่อมันให้พาลิมา

“ด็อกเตอร์ครับ คุณมาริแจ้งว่าในห้องมีคนเฝ้าคุมพวกเขาอยู่ห้าคน”สเตบาสเตียนพูดประโยคนั้นออกมาเป็นภาษาอังกฤษ ทุกคนจึงมองหน้ากัน ก่อนเจ้าชายจะหันไปหารือกับเด็กสาวผู้ถือครองเวทย์แทรกแซงมิติ

“พาลิมา เธอเจาะจงตำแหน่งที่จะเข้าไปได้หรือเปล่า”

“ไม่แน่ใจเพคะ”เธอก้มมองแผ่นไม้ซึ่งเป็นหมุดเวทย์ “ถ้าได้เห็นภายในห้องมิติก่อนอาจจะพอกำหนดได้”

สุดฟ้าจึงเปิดหน้าจอดิจิตอลไลท์มอนิเตอร์อีกครั้ง และหันไปบอกสเตบาสเตียน ส่งข้อความให้มาริเอะส่งภาพกลับมา ไม่ใช้ไม่นานภาพภายในห้องที่ทั้งสองคนถูกจับไว้ก็ปรากฏขึ้นบนหน้าจอ

จากภาพทำให้พวกเขาพอจะเดาได้ว่า ทั้งสองคนถูกคุมบังคับให้นั่งอยู่กลางห้อง

“แบบนี้ก็ง่ายเลยค่ะ ฉันจะดึงพวกเขาออกมาจากทางพื้นด้านล่าง”

เด็กสาวนำมันวางลงกับพื้นและวางมือทาบ “ตอนที่ใช้คาถา ฉันจะไม่สามารถใช้จักระเสริมแรงได้ ฉันจะจับพวกเขาสองคนไว้ ถ้าฉันพยักหน้าให้พวกคุณช่วยดึงพวกเขาออกมาด้วยนะคะ”

สุดฟ้าจึงให้สเตบาสเตียนส่งข้อความหาทั้งสองคนเพื่อไม่ให้ตื่นตกใจ ขณะที่เจ้าชายหันไปแจ้งแก่บาซิมให้ทหารทุกนายเตรียมพร้อมทุกเมื่อ

พาลิมาพึมพำคาถาเบาๆ จากนั้นมือของเธอก็ค่อยๆจมหายใปในแผ่นไม่นั้น เธอคว้าจับข้อเท้าของทั้งสองคนไว้แล้วจึงส่งสัญญาณ สเตบาสเตียนจึงเข้าไปคว้าเอวเธอไว้ ใช้แรงยกร่างของเด็กสาวให้ลอยขึ้น สิ่งที่ตามมาคือปลายเท้าชี้ฟ้าของชวิศาและมาริเอะ สุดฟ้าและธัชนันท์จึงช่วยดึงให้ทั้งสองออกมา

และทันทีที่ร่างของทั้งสองคนพ้นจากมิติเวทย์ พาลิมาจึงคลายคาถา เธอหอบหายใจตัวโยนด้วยความเหน็ดเหนื่อย เพราะถึงแม้จะเคยแทรกเข้ามิติของผู้อื่น แต่เธอไม่เคยนำคนออกมาจากมิติเหล่านั้น อย่างมากที่สุดคือของชิ้นเล็กๆ

ฝ่ายชวิศาทันทีที่เท้าแตะพื้น และหมุนตัวหันไปเห็นสุดฟ้า เขาก็โผกอดอีกฝ่ายไว้แน่น ไม่ต่างจากมาริเอะที่รีบวิ่งไปกอดชายหนุ่มร่างสูงผู้ที่สร้างตนขึ้นมาเช่นเดียวกัน แต่การเคลื่อนไหวของมาริเอะดูขัดตาอย่างไม่ปกติ

“รีบไปกันก่อนดีกว่าครับ”เจ้าชายรัชทายาทตรัสบอก คว้าแผ่นไม้นั้นขึ้นมาถือไว้ตั้งพระทัยว่าจะร่ายเวทย์เพื่อทำลายมัน ทว่ากลับมีมือยื่นออกมาคว้าพระศอของพระองค์ไว้ บาซิมชักดาบสั้นขึ้นมาฟันแขนข้างนั้นจนขาดเป็นจังหวะเดียวกับที่องค์ชายรัชทายาทปล่อยมือจากหมุดเวทย์และดึงมือปริศนาทิ้งลงกับพื้น

แผ่นไม้เล็กๆกลับกลายเป็นประตูบานใหญ่ เมื่อมันเปิดออก คนมากมายได้เดินออกมาจากประตูนั้น หนึ่งในนั้นมีผู้หญิงคนหนึ่งที่ท่อนแขนและมือหายไป กระนั้นมันกลับไม่เลือดไหลเช่นปกติ ใบหน้างดงามแต่เย็นชาไม่แสดงความรู้สึกเดินตรงมาเก็บท่อนแขนที่ถูกบาซิมฟันขาดไว้

“รีบไปครับ ทางนี้ผมรับมือเอง”เจ้าชายฟาลิฮ์หันมาตรัสบอก

มอเตอร์สเปซถูกสั่งให้เคลื่อนที่มาหยุดจอดตรงหน้าพวกเขา สเตบาสเตียนที่ยังคงอุ้มร่างพาลิมาไว้ในวงแขนรีบพาเธออ้อมไปขึ้นเบาะฝั่งคนขับ สุดฟ้าจึงคว้าร่างมาริเอะและรุนหลังชวิศาให้ไปขึ้นยานยนต์ที่จอดอยู่ สองพี่น้องสุวราลักษณ์เองก็เช่นกัน ทว่ายังไม่ทันที่มอเตอร์สเปซจะเคลื่อนตัว ลูกไฟใหญ่ยักษ์สีแดงฉานพลันพุ่งเข้าใส่พวกเขาก่อนจะกระทบกับม่านพลัง ทำให้คลื่นความร้อนแผ่นเป็นวงกว้าง

เนื่องจากสเตบาสเตียนเป็นผู้ที่ควบคุมการเคลื่อนที่ของมอเตอร์สเปซ เขาจึงไม่มีท่าทางอาการตกใจเช่นคนอื่น เขาบังคับให้ยานยนต์ลอยสูงขึ้นเหนือพื้นจนถึงระดับเพดานบิน  ระหว่างนั้นมอเตอร์สเปซเกือบถูกโจมตีหลายครั้ง แต่มีทหารของฮัชดาลลาร์เข้ามาขัดความป้องกันไว้ พลางต่อสู้ไม่ให้อีกฝ่ายเข้ามาประชิด ฝ่ายตรงข้ามนั้นมีจำนวนคนมากกว่าเพราะมีกลุ่มคนก้าวออกมาจากประตูบานนั้นเรื่อยๆ ราวกับต้องการถล่มพวกเขาและคนของเจ้าชายรัชทายาทให้ราบเป็นหน้ากลอง

สุดฟ้าจึงล้วงกระเป๋า หยิบเอาลูกระเบิดบอมบ์พินาศออกมา ส่งให้สเตบาสเตียน

“แกจะบ้าเหรอ เดี๋ยวได้ตายกันหมด”ธัชนันท์ร้องออกมาเมื่อเห็นเช่นนั้น

“เออ ฉันรู้ว่ากำลังจะทำอะไร”สุดฟ้าพูดบอกก่อนจะสั่งให้สเตบาสเตียนปามันลงไปในกลุ่มศัตรู ขณะที่มือของเขาก็คีย์คำสั่งลงไปบนหน้าต่างโปรแกรมบนหน้าจอดิจิตอลไลท์มอนิเตอร์ หลังจากกดตกลง พายุหมุนก็เริ่มก่อตัวขึ้น

พายุหมุนที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันนั้นทำให้การต่อสู้ชะงักงัน สุดฟ้าเห็นเจ้าชายฟาลิฮ์และบาซิมถอยออกมาขึ้นกริฟฟอน รวมทั้งทหารของฮัชดาลลาร์คนอื่น มอเตอร์สเปซเคลื่อนที่ออกห่างเรื่อยๆ เมื่อพายุหมุนทำท่าจะรุนแรงขึ้น  กองกำลังของฝ่ายศัตรูโดนพายุลูกนั้นหอบลอยขึ้นไปสูงบนฟ้า ทุกคนต่างเร่งถอยหนี รอจนพวกเขาเคลื่อนที่ห่างออกมาระยะหนึ่งแล้ว สุดฟ้าจึงป้อนอีกคำสั่งเพื่อให้พายุลูกนั้นหายไป

ลมพายุที่เกิดขึ้นมาอย่างฉับพลันค่อยๆจางหายไปอย่างช้าๆ พร้อมกับพวกเขาที่เคลื่อนที่เข้าเขตเมืองฮัชดาลลาร์


+++++โปรดติดตามตอนต่อไป+++++


ขออธิบายเพิ่มเติมเล็กน้อย

1] “มิติ” ที่ถูกกล่าวอ้างในเรื่องนี้เป็นไปตามกฎของคณิตศาตร์และฟิสิกส์  มิติที่ 1-3 กล่าวถึงกว้าง ยาว และสูง มิติที่ 4 คือเวลา มิติที่ 5-6ในความเข้าใจของผู้เขียนน่าจะหมายถึงโลกคู่ขนาน เพราะที่เขาอธิบายไว้ มิติที่ 5 คือโอกาส มิติที่ 6 คือการดำรงอยู่ในอดีต ปัจจุบันและอนาคต   มิติที่ 7 – 9 เป็นเรื่องของเอกภพ จักรวาล และมิติที่ 10 คือจุดอนันต์
ซึ่งความรู้ใดๆ ผู้เขียนหาอ่านมาจากกูลเกิ้ลทั้งสิ้น โดยเน้นสรุปย่อจากพันทิป ไม่เคยได้อ่านบทความจริงๆเหมือนกัน แต่ที่ค่อนข้างเชื่อถือได้แน่นอนคือ มิติที่ 1 - 4 เพราะมีอยู่ในแบบเรียนสมัยที่ผู้เขียนยังเรียนอยู่
2] การกระจัด คือ ปริมาณที่บอกการเปลี่ยนตำแหน่งของวัตถุ หรือ เส้นทางที่สั้นที่สุดจากจุดเริ่มต้น ถึงจุดสุดท้าย ของการเปลี่ยนตำแหน่งของวัตถุ


ออฟไลน์ ตีสี่

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 412
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-5
    • 61'
บทที่ยี่สิบ



พวกเขากลับมารวมตัวกันอีกครั้งที่ลานกว้างในพระราชวัง

สุดฟ้ายิ้มหน้าระรื่นเพราะจะได้กลับบ้านจริงๆเสียที เขาไม่รอช้า ทันทีที่เท้าแต่พื้นจึงรีบก้าวเข้าไปหาเจ้าชายฟาลิฮ์ เอ่ยปากบอกความต้องการของตนเองทันที

“ผมจะกลับบ้านแล้วนะครับ”สุดฟ้าไม่เกริ่นนำหรือร่ำอารัมภาบทใดๆทั้งสิ้น

“ไม่อยู่เที่ยวอีกสักหน่อยหรือครับ”เจ้าชายฟาลิฮ์พยักพระพักตร์รับก่อนจะเอ่ยคำนั้นออกไป

“พอดีเป็นห่วงที่บ้านนะครับ ไม่มีคนอยู่ตั้งหลายวันไม่รู้ว่าโดนยกเค้าไปหมดหรือยัง”

ธัชนนท์และธัชนันท์ยืนฟังอยู่ไม่ห่าง อยากจะพูดขัดหักหน้าเพื่อนสนิทได้แต่ยั้งใจเอาไว้ สุดฟ้าติดสัญญาณกันขโมยรอบบ้าน กระจกที่ใช้ทำหน้าต่างเป็นกระจกนิรภัย ยังไม่นับชัตเตอร์รอบตัวบ้านอีก ขโมยธรรมดาที่ไหนจะงัดบ้านมันเข้าไปได้ ต่อให้เป็นมืออาชีพมีอุปกรณพร้อมยังต้องคิดหนัก

หลังผ่านเหตุการณ์ที่ชวิศาโดนลักพาตัว พวกเขาคิดว่ารีบกลับก็น่าจะดีที่สุด ถึงจะยังไม่รู้เป้าหมายที่แท้จริงของกลุ่มผู้ที่ลักพาตัว แต่ฟังจากที่เจ้าชายรัชทายาทพูดมันอาจจะเกี่ยวกับปัญหาภายใน ซึ่งพวกเขาไม่อยากเกี่ยวข้องด้วย

“ถ้าอย่างนั้นก็ได้ครับ”

“งั้นพรุ่งนี้ผมของเอาเครื่องบินลงเลยนะครับ”ธัชนนท์พูดแทรก พวกเขามีเครื่องมอเตอร์สเปซของสุดฟ้าอยู่ก็จริง แต่จำนวนคนรวมหุ่นยนต์ทั้งหมดมันเจ็ดคน ไหนจะข้าวของของสุดฟ้าอีก ฝาแฝดคนโตคิดว่าให้เครื่องบินของอาผู้ชายมารับน่าจะเข้าท่ากว่า

“อ่า ได้ครับ”

เมื่อได้รับคำตอบรับ ธัชนนท์จึงโทรศัพท์ไปติดต่อเรื่องเครื่องบินที่จะเดินทางกลับทันที สุดฟ้าจึงเอ่ยทูลลากับเจ้าชายรัชทายาทอีกครั้งเพื่อไปเก็บของเตรียมเดินทางกลับ

ตอนที่พวกเขามาถึงเรือนรับรอง แสงอาทิตย์ได้ค่อยๆลับขอบฟ้าแล้ว พวกเขาต่างอยู่ในอาการหิวโซเพราะไม่มีใครได้ทานอาหารกลางวัน ทั้งยังใช้พลังกำลังไปกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจนหมด

“ชวิศาไปทำอาหารได้ไหม เดี๋ยวให้สเตบาสเตียนไปเก็บของ”สุดฟ้าพูด ชวิศารับคำก่อนจะเดินเข้าไปในครัว มาริเอะทำท่าจะเดินตามไปด้วยเช่นกันแต่โดนสุดฟ้าคว้ามือไว้ก่อน

“นายน่ะจะไปไหน คิดว่าสภาพตอนนี้จะช่วยชวิศาทำอาหารได้หรือไง”

“เซ็นเซอร์ที่มือไม่...”มาริเอะหยุดพูดไปครู่หนึ่งก่อนจะต่อประโยคนั้นในอีกหนึ่งอึดใจต่อมา “มีปัญหานะครับ”

“ไม่มีปัญหาอะไร การโต้ตอบสนทนาหน่วงไปขนาดนี้ มานี่เลย”สุดฟ้าลากแขนให้เดินตาม ยิ่งเห็นมาริเอะเดินเหมือนคนพิการชายหนุ่มยิ่งขัดใจ จึงได้แบกร่างหุ่นยนต์ของตนขึ้นบ่าพาไปวางบนโต๊ะตัวยาว ดึงนิ้วก้อยเท้าข้างขวาและกดปุ่มปิดการทำงานที่ฝ่าเท้า จากนั้นโครงสร้างภายนอกของร่างกายจึงยกลอยขึ้นอย่างอัตโนมัติ สุดฟ้านำอะไหล่สำรองที่มีติดมาถอดเปลี่ยนให้มาริเอะ ตอนที่เขาเปลี่ยนชิ้นส่วนให้ร่างหุ่นยนต์เสร็จ ชวิศาก็มาตามเขาไปทานอาหาร สุดฟ้าจึงกดปุ่มสั่งให้โครงสร้างดึงปิด เปิดไว้เฉพาะโครงสร้างแถวสีข้างเพื่อชาร์จพลังงาน มาริเอะใช้พลังงานไปจนเหลือไม่กี่เปอร์เซ็นต์ ถ้าปล่อยให้ระบบแบตเตอรี่ชาร์จพลังงานเองมันต้องใช้เวลาอีกหลายวัน เขาจึงเสียบชาร์จพลังเข้ากับระบบไฟฟ้าปกติของบ้านพักทิ้งไว้แล้วออกไปทานอาหาร

“ตอนที่โดนจับไปพวกนั้นพูดอะไรบ้างหรือเปล่า”เมื่อพวกเขาทานอาหารเสร็จแล้ว ธัชนนท์จึงถามคำถามนี้กับชวิศา

“ไม่เลยครับ ทีแรกพวกมันให้ผมกับคุณมาริอยู่ในห้องกันแค่สองคน แต่ไม่นานพวกมันก็ให้พวกผมย้ายไปอีกที่ แต่คราวนี้มีคนเฝ้าเราทุกมุมเลย ทั้งที่ห้องไม่มีทั้งหน้าต่างและประตูให้เราหนีเลยแท้ๆ คนที่ถูกส่งมาเฝ้าเราสองคนในตอนหลังก็ไม่มีใครเอ่ยปากอะไรเลย ถึงคุณมาริจะลองถามอะไรไปก็ตาม”

“น่าแปลก”ธัชนนท์พูด “ที่ทางเราก็ไม่ได้รับติดต่อเรื่องข้อเรียกร้องเหมือนกัน”

“ไม่แน่ว่าพวกนั้นตั้งใจจะรออีกสองสามวันแล้วค่อยส่งข้อเรียกร้อง แต่เพราะพวกเราเข้าไปช่วยเหลือสองคนนี้เร็วไป”สุดฟ้าพูดขึ้นมาบ้าง

“อย่าไปคิดถึงมันดีกว่า พวกเราตั้งใจว่าจะไม่ยุ่งกับปัญหาภายในของฮัชดาลลาร์ไม่ใช่เหรอ ถึงอย่างไรพรุ่งนี้พวกเราก็จะกลับแล้ว อย่าไปเอาเรื่องพวกนี้มีใส่ใจเลย”ธัชนันท์เอ่ยเตือน จากนั้นพวกเขาจึงแยกย้ายกันพักผ่อน ส่วนสุดฟ้าเองต้องกลับไปซ่อมแซมมาริเอะต่อ แม้ว่าหลังแก้ไขมาริเอะอาจจะไม่สมบูรณ์เพราะต้องเปลี่ยนชิ้นส่วนอีกหลายชิ้น แต่เขาตั้งใจว่าจะซ่อมให้มาริเอะกลับมาอยู่ในเกณฑ์ที่มองแล้วไม่ขัดตา

ชวิศาแวะถือขนมมื้อดึกมาให้เขาก่อนที่เจ้าตัวจะเข้านอน

ค่ำคืนนั้นเป็นคืนที่บรรกาศเงียบเชียบ แสงจันทร์ส่องสว่างจนเขาต้องหยุดมือและเผลอทอดสายตามองออกไปนอกหน้าต่าง ก่อนที่เสียงดังตึงตังจากชั้นบนจะเรียกความสนใจของเขากลับมา สุดฟ้าเงยหน้ามองแม้จะไม่มีทางมองเห็นเหตุการณ์บนชั้นสอง เขาสงสัยแต่ยังหันมากดเปิดการทำงานของมาริเอะ

“ด็อกเตอร์ครับ มีคนจะมาลักพาตัวคุณชวิศาอีกแล้วครับ”มาริเอะพูดประโยคนั้นออกมาทันทีที่ลืมตา ก่อนจะกระโดดลงจากโต๊ะที่นอนอยู่แล้วรีบวิ่งขึ้นไปชั้นสอง สุดฟ้าสาวเท้าตามไปติดๆ และได้พบสาเหตุของเสียงที่ว่า สเตบาสเตียนกำลังต่อสู้อยู่กับผู้ชายคนหนึ่ง โดยบนบ่าของชายคนนั้นอุ้มร่างของชวิศาไว้ ห่างไปไม่ไกลมีผู้หญิงอีกคนยืนอยู่ข้างประตูบานใหญ่ มาริเอะโดดเข้าไปหาชายคนนั้นอย่างไม่ลังเล

“สเตบาสเตียนถอยออกไป”สุดฟ้าสั่งก่อนจะวิ่งเข้าไปซัดหมัดใส่ชายคนนั้น แต่ราวกับว่าการกระทำนั้นของเขาเป็นเรื่องที่ผิดพลาด เพราะอีกฝ่ายกลับคว้าจับข้อมือของเขาไว้แล้วเหวี่ยงร่างของเขาให้ไปปะทะกับมาริเอะที่อยู่อีกฝั่ง

“เฮ้ย อะไรวะ”เสียงร้องถามนั้นมาจากสองพี่น้องฝาแฝด สุดฟ้าจึงตะโกนตอบกลับไปว่า

“มันเป็นคนร้าย ช่วยชวิศาเร็ว”

ธัชนนท์วิ่งไปคว้าจับคอเสื้อของชวิศา คนร้ายหันกลับมาจับข้อมือบิดแขนจนเจ้าตัวต้องร้องโอดโอย ธัชนันท์เห็นเป็นโอกาสจึงเตะข้อพับขา ทว่าคนที่โดนทำร้ายยังยืนนิ่งไม่ไหวติง ฝาแฝดคนพี่โดนเหวี่ยงกระเด็นไปไกล ส่วนคนน้องโดนฟาดหลังมือใส่กระเด็นไปติดผนัง

“เดย์ น้ำ จับมันไว้”สุดฟ้าร้องสั่ง หุ่นยนต์ทั้งสองจึงเข้าประชิดตัวคนร้ายทันที น้ำจับยึดแขน ส่วนเดย์กอดยึดขาไว้ ชายที่เป็นคนร้ายจึงขยับไม่ได้ง่ายๆ ถึงเช่นนั้น ชวิศาที่โดนอุ้มพาดบ่าไว้ก็ยังคงนิ่งสนิทไม่ไหวติงปล่อยให้ชายคนนั้นโยนร่างผ่านเข้าประตูไปราวกับตุ๊กตา มาริเอะเห็นดังนั้นจึงพุ่งตัวผ่านเข้าประตูตามไป ชายคนนั้นจึงร้องสั่งออกมาเป็นคำพูดในภาษาอื่นที่พวกเขาฟังไม่เข้าใจ จากนั้นหญิงสาวที่ยืนอยู่ข้างประตูจึงเดินเข้าไปในประตูก่อนที่ประตูบานใหญ่จะหายวับไปอย่างไร้ร่องรอย

เมื่อมืออีกข้างเป็นอิสระใช่ว่าชายคนนั้นจะยอมอยู่นิ่งเฉย เขาวางมือบนศีรษะของน้ำ จากนั้นเพียงแค่ชั่วพริบตา ศีรษะของหุ่นยนต์ก็ถูกระเบิดเป็นเสี่ยงๆ ชายหนุ่มทั้งสามผู้ซึ่งเป็นมนุษย์ธรรมดาที่ยืนมองอยู่ต่างตกอยู่ในภาวะตะลึงงัน

“เดย์ ถอยออกมา”สเตบาสเตียนร้องสั่ง เดย์จึงดีดตัวออกห่างจากฝ่ามือนั้นอย่างเฉียดฉิว ชายคนร้ายยังยืนนิ่ง กวาดสายตามองพวกเขาทั้งห้าคน แล้วพุ่งเข้าหาสเตบาสเตียนในพริบตา หุ่นยนต์พ่อบ้านที่ระวังตัวอยู่แล้วหลบได้ทันท่วงที เขาวิ่งไปทางสุดฟ้าและช้อนตัวเจ้านายอุ้มขึ้น กระโดดลงไปที่ชานพักของบันไดและกระโดดอีกครั้งลงไปยังชั้นล่าง ส่วนเดย์ก็คว้าตัวธัชนนท์และธัชนันท์อุ้มไว้ที่แขนข้างละคน กระโดดจากหน้าต่างชั้นสองลงไปที่สวนพาให้ฝาแฝดร้องเสียงหลง เสียงเอะอะโวยวายของพวกเขาเรียกให้ทหารในวังมารวมตัวกัน เรือนรับรองถูกปิดล้อมอย่างรวดเร็วเพื่อป้องกันไม่ให้คนร้ายหลบหนี

ไม่นานหลังจากนั้น เจ้าชายฟาลิฮ์ได้เสด็จมาถึงอาคารที่พระองค์ได้จัดให้อาคันตุกะพักอาศัย

“ชวิศาถูกจับตัวไปอีกแล้วครับ”สุดฟ้ารีบบอกทันทีไม่ต้องรอให้เจ้าชายรัชทายาทตรัสถาม เจ้าชายฟาลิฮ์ยังคงนิ่งเฉยเงยพระพักตร์มองพระจันทร์ดวงกลมโตส่งแสงส่องสว่าง ก่อนจะหันไปถ่ายทอดคำสั่งแก่บาซิมให้จัดเตรียมกำลังคน ขณะเดียวกันหัวหน้าทหารยามก็กลับออกมาจากบ้านพร้อมร่างไร้วิญญาณของคนร้าย

“เขาพูดว่าคนร้ายปลิดชีพตัวเองครับด็อกเตอร์”

ที่ถูกหอบหิ้วตามหลังมานั้นคือร่างหุ่นยนต์ที่ส่วนศีรษะแหลกเละ ธัชนนท์ถลาเข้าไปหา ประคองหุ่นยนต์ที่เหลือเพียงแต่ร่างกายมาไว้ในอ้อมแขน “ซ่อมได้หรือเปล่าวะ”ฝาแฝดคนพี่หันไปถามสุดฟ้า

“ซ่อมได้ดิ แต่ไม่ใช่ตอนนี้ ไว้รอให้กลับไปถึงบ้านก่อน”ชายหนุ่มพูดตอบ จากนั้นจึงหันไปออกคำสั่งกับสเตบาสเตียน

“ให้เปลี่ยนการตั้งค่าแม่ข่ายเป็นไลท์มอนิเตอร์ แล้วให้ทั้งนายและมาริเอะแบ็คอัพข้อมูลทั้งหมดลงเซิร์ฟเวอร์ซะ”

“ครับ”

“บอกมาริเอะให้เลือกความปลอดภัยของตัวเองก่อนเป็นอันดับแรก”




เมื่อได้รับคำสั่งที่ถูกถ่ายทอดมาเช่นนั้น มาริเอะซึ่งกำลังตั้งท่าจะต่อสู้กับชายในชุดคลุมมิดชิดร่วมสิบคนที่ยืนประจันอยู่จึงชะงักเท้า เขายืนในวงล้อมด้วยอาการระแวดระวังภัย

“ต่อให้พวกเขากำลังจะฆ่าคุณชวิศาน่ะหรือ”มาริเอะส่งข้อความผ่านระบบเครือข่ายถามกลับไป

“ด็อกเตอร์บอกว่าพวกมันไม่ฆ่าคุณชวิศา เพราะถ้าต้องการฆ่าคุณชวิศา พวกนั้นคงทำไปนานแล้ว ด็อกเตอร์ต้องการแค่ให้คุณมาริอยู่แถวนั้นเพื่อจะตามตำแหน่งไปช่วยคุณชวิศาได้ถูก”

“รับทราบ”

มาริเอะสปริงตัวสูงลอยออกจากวงล้อม ทันทีที่แตะพื้นก็เร่งความเร็วของฝีเท้าเข้าหาจุดกำบังหลบหลีก อีกฝ่ายส่งคนตามเขามา ทั้งแสงจันทร์วันนี้ยังสว่างจ้า อย่างไรก็ดีถ้ามาริเอะต้องต่อสู้กับฝ่ายตรงข้าม แม้จะเป็นหุ่นยนต์ที่มีร่างกายและความสามารถในการวิเคราะห์คำนวนผลมากกว่ามนุษย์ เขาก็อาจจะพ่ายแพ้ เพราะคู่ต่อสู้ล้วนแต่มีขีดความสามารถเกิดกว่ามนุษย์ปกติ หากแต่สิ่งที่ต้องทำเพียงซ่อนตัว หุ่นยนต์อย่างมาริเอะนับว่าได้เปรียบทุกทาง เขาไม่มีลมหายใจ ไม่มีจิตสังหาร ฝีเบายิ่งกว่าแมวด้วยระบบควบคุมอันยอดเยี่ยม ทั้งระบบสมองกลยังได้ดึงภาพแผนที่สามมิติของพื้นที่แถวนี้จากเซิร์ฟเวอร์กลางมาแล้ว มาริเอะจึงรู้จักทุกซอกทุกมุมของจุดที่อยู่ไม่ต่างจากฝ่ายตรงข้าม

หุ่นยนต์สมองกลเคลื่อนตัวอย่างรวดเร็วไปตามแนวอาคารหลังจากสลัดคนที่ติดตามเขามา กลับไปยังลานกว้างซึ่งชวิศาถูกจับตัวไว้ แต่เนื่องจากแถวนั้นไม่มีที่ให้เขาซ่อนตัว เขาจึงต้องจับตามองอยู่ห่างๆ ระบบควบคุมสั่งการให้กล้องจับภาพซึ่งอยู่ที่ตำแหน่งดวงตาใช้เลนส์ซูม ภาพของชวิศาที่ยังนอนหลับสนิทอยู่ที่พื้นจึงปรากฏชัดเจน ภาพที่มาริเอะเห็นถูกส่งต่อและบันทึกลงเครือข่าย แม้แต่เสียงพูดคุยของอีกฝ่ายก็เช่นเดียวกัน มาริเอะปรับขยายเพิ่มช่วงความถี่ในการรับเสียงเพื่อสอดแนมในบทสนทนาของศัตรู

ชวิศาถูกปล่อยให้นอนราบอยู่บนพื้น เขายังคงหลับใหลไม่ได้สติเช่นเดิมเพราะฤทธิ์มนตรา

“ไม่ต้องปลุกให้ตื่นหรือ”ชายคนหนึ่งในที่ชุมนุมแห่งนั้นถามขึ้น ภาษาที่เขาใช้เป็นภาษาพื้นเมือง แต่มาริเอะที่อยู่ห่างออกไปยังเข้าใจมัน เนื่องจากเป็นภาษาที่มีใช้ในปัจจุบัน

“ไม่จำเป็น”ชายอีกคนพูดตอบ ทรุดตัวลงนั่งกับพื้นข้างร่างของชวิศา จับมือข้างหนึ่งของร่างที่หลับใหลอยู่ขึ้นมา แล้วใช้มีดสั้นกรีดปลายนิ้วให้เกิดแผล นำเลือดที่ซึมไหลแต้มแผ่นไม้สี่เหลี่ยมที่ล้วงหยิบออกมา ขณะที่ปากพึมพำถ้อยคำโบราณและทันทีที่ยกปลายนิ้วของชวิศาออกจากแผ่นไม้ แผลที่ปลายนิ้วได้หายไปทันทีเช่นเดียวกัน

จากนั้น เขาได้นำแผ่นไม้ดังกล่าววางไว้ที่หน้าผากของชวิศา แสงสว่างสีขาวได้ปรากฏขึ้นพร้อมถ้อยคาถาที่เขาเอื้อนเอ่ย มันหมุนวนล้อมรอบแผ่นไม้นั้นก่อนจะถูกดูดกลืนหายเข้าไป พื้นที่นั้นจึงกลับมาสลัวลางด้วยแสงจันทร์อีกครั้ง

“เรียบร้อย”ชายคนนั้นพูดพร้อมเก็บแผ่นไม้ใส่ไว้ในกระเป๋า เมื่อเขาตบฝ่ามือทั้งสองข้างเข้าหากัน ชวิศาจึงลืมตาตื่นขึ้น ชายหนุ่มร่างเพรียวลุกขึ้นยืนพร้อมกับถอดเสื้อใส่นอนที่สวมอยู่ออก มาริเอะเห็นท่าไม่ดีนึกจึงได้ส่งข้อความไปหาสเตบาสเตียนซ้ำอีกครั้ง

“กำลังไปถึง”สเตบาสเตียนส่งคำตอบเช่นนั้นกลับมา

ถึงจะเป็นแค่หุ่นยนต์ แต่มาริเอะกลับรู้สึกสังหรณ์แปลกประหลาด ว่าหลังจากนี้อาจจะเกิดเรื่องแย่ๆขึ้นมาก็ได้ ดวงตาเทียมยังจับจ้องชายสี่คนยืนล้อมรอบชวิศาอยู่สี่ทิศ คนเหล่าประกบมือไว้ที่หน้าอกพร้อมกับสวดคาถาบางอย่าง ทำให้ปรากฏแสงสว่างเรืองรองล้อมรอบชวิศา ไม่ช้าไม่นาน อักขระลวดลายประหลาดบนแผ่นหลังของชวิศาก็ถูกสำแดงออกมาให้เห็น

“อ๊าก!!!”เสียงร้องด้วยความเจ็บปวดของชวิศาทำให้มาริเอะนิ่งเฉยต่อไปอีกไม่ไหว ระบบประมวลผลวิเคราะห์หาทางช่วยเหลือทันที นอกจากสี่คนที่ทำพิธีกรรมแปลกๆนั่นอยู่แล้วยังมีฝ่ายตรงข้ามอีกเกือบสิบคนคอยเฝ้าคุมอยู่รอบนอก สำหรับโหมดต่อสู้ที่ถูกระงับห้ามใช้ มีทั้งปีนยาสลบ ปืนและระเบิด แต่เพราะฟังก์ชั้นเหล่านั้นยังไม่มีการทดสอบ ดังนั้นแทนที่จะทำลายศัตรู อาจจะเป็นการทำลายพวกเดียวกันก็เป็นได้ แต่ในเวลานี้ความเสี่ยงนั้นมันมีค่าน้อยกว่าผลลัพธ์จากเหตุการณ์ตรงหน้า

“เปิดภาพให้ด็อกเตอร์ดูด้วย ฉันอยากได้คำอนุมัติให้ใช้อาวุธ”มาริเอะส่งข้อความไปหาสเตบาสเตียน แม้จะเป็นหุ่นยนต์แต่มาตรวัดเหตุการณ์ฉุกเฉินกำลังร้องเตือนซ้ำๆให้เขาต้องเร่งมือทำอะไรสักอย่าง

“ไม่ทันแล้ว”ข้อความนั้นถูกส่งตอบกลับมาพร้อมมอเตอร์สเปซที่ค่อยๆร่อนลงจอด ฝ่ากระแสลมแรงที่มีชวิศาเป็นจุดศูนย์กลางซึ่งที่จริงแล้วมันไม่ใช่ลมหากเป็นคลื่นพลังที่พวยพุ่งออกมาจากร่างของชวิศา

“เกิดอะไรขึ้น”สุดฟ้าร้องถามเจ้าชายฟาลิฮ์ที่โดยสารมากับมอเตอร์สเปซด้วยกัน

“พวกนั้นปลดผนึกได้แล้วครับ ถ้าปล่อยไว้อย่างนี้ต้องแย่แน่ คุณชวิศาไม่เคยฝึกควบคุมจักระมาก่อน ถ้าทิ้งไว้อย่างนี้คงต้องปล่อยให้จักระไหลออกจากร่างไปหมดแน่”

ได้ยินคำอิบายเช่นนั้นสุดฟ้าจึงรีบลงจากมอเตอร์สเปซ ทว่าเขากลับไม่สามารถเปิดประตูได้

“ทำไมเปิดประตูไม่ได้ สเตบาสเตียน”

“ตรวจพบแรงดันภายนอกมีมากกว่าปกติครับ”

“เว้ย! แล้วจะไปช่วยชวิศายังไงละวะเนี่ย”สุดฟ้าพูดบ่นออกไปพลางนึกในใจว่า กลับไปคราวนี้เขามีตารางการปรับปรุงของที่ใช้อยู่ยาวเหยียด

“ทุบกระจกดิวะ”

“กระจกเซฟตี้กันกระสุนโว้ย”ร้องบอกออกไปเช่นนั้นแต่ก็ทำให้เขานึกออกด้วยเช่นกัน สุดฟ้ากดกระจกข้างลง ทันทีที่มีช่องว่างกระแสลมเชี่ยวกรากพัดเอาเศษหินและทรายเข้าไปในยานยนต์ ทว่าจู่ๆมันกลับหายไปเสียดื้อๆ

พวกเขารีบเปิดประตูออกมาจากมอเตอร์สเปซอย่างรวดเร็ว มาริเอะเห็นสุดฟ้าลงมาจากมอเตอร์สเปซจึงออกมาสมทบ

“Āpaṇa khūpa śūra āhāta, Mī mājhyā pōrān̄cā rāga lāvatō”

เสียงพูดทรงพลังนั้นเรียกความสนใจของพวกเขาที่อยู่ ณ ที่แห่งนั้นได้ทั้งหมด เธอคนนั้นเป็นหญิงสาวหน้าตาสวย ผมสีน้ำตาลเข้ม สวมเสื้อแขนยาว และกระโปรงยาวกรมเท้า ที่สำคัญไม่มีใครสังเกตเห็นการมาเยือนของเธอ ราวกับเธอโผล่มาจากอากาศที่ว่างเปล่า

“เขาพูดอะไรอ่ะ”สุดฟ้ากระซิบถามสเตบาสเตียน

“พวกแกกล้ามากที่มายุ่งวุ่นวายกับหลานรักของฉัน”

“ย่าของชวิศาเหรอ”ฝาแฝดร้องถามออกมาอย่างพร้อมเพรียงกัน

“หลานแล้วอย่างไร ต่อไปมันก็เป็นแค่ตุ๊กตาของฉัน”สเตบาสเตียนแปลข้อความต่อไปเมื่อฝ่ายตรงข้ามพูดตอบ ก่อนที่ฝ่ายนั้นจะตบฝ่ามือ แล้วทรุดตัวลงวางมือทาบกับพื้น ชวิศาเองก็ทำตามท่าทางนั้น พริบตาเดียวพื้นดินที่พวกเขายืนอยู่ก็แยกออกจากกัน

“ไม่ตลกแล้ว”สุดฟ้าร้องอุทาน รีบวิ่งขึ้นมอเตอร์สเปซทั้งที่เพิ่งก้าวเท้าลงมา ธัชนนท์ ธัชนันท์ สเตบาสเตียนและมาริเอะรีบวิ่งตามเข้าไปในยานยนต์ติดๆ เมื่อมอเตอร์สเปซลอยขึ้นจากพื้น ธัชนนท์กลับร้องออกมาว่า

“เจ้าชายล่ะ?”

แป๊ะ!

ธัชนันท์สะดุ้งโหยงมือหันไปเห็นฝ่ามือที่ทาบอยู่บนบานกระจกข้าง จากนั้นใบหน้าของเจ้าชายแห่งฮัชดาลลาร์จึงยื่นตามมาให้เห็น สุดฟ้าจึงกดกระจกลงชะโงกหน้าออกไปคุย

“ทำไมไปอยู่บนนั้นล่ะครับ”

“อยู่ข้างใน ผมใช้พลังไม่ค่อยสะดวก”

พวกเขาพูดคุยกันได้แค่นั้นก่อนจะโดนขัดจังหวะด้วยระลอกพลังที่ทำให้รู้สึกเหมือนเครื่องบินตกหลุมอากาศ แต่มันรุนแรงกว่านั้น

“ต้องลอยตัวสูงกว่านี้ครับ ไม่อย่างนั้นคงโดนลูกหลงไปด้วย”สเตบาสเตียนพูด สุดฟ้ารีบตกลงทันทีไม่อย่างนั้นเขาคงมึนศีรษะจนต้องอาเจียนออกมา จนยานยนต์ลอยตัวอยู่ในระดับห่างแล้ว สเตบาสเตียนจึงกดเปิดจอภาพเหตุการณ์ที่พื้นให้ทุกคนได้ดู

“เอายังไงดีวะ แม่งเหมือนไม่มีที่ให้พวกเราเข้าไปแทรกเลย”

“ก็ไม่ต้องไปแทรก แค่พาตัวชวิศากลับมาให้ได้ก็พอ”สุดฟ้าตอบกลับไป

“พูดเหมือนง่ายเนอะ”

“พวกแกก็ช่วยคิดหน่อยดิ๊”

“ฉันมีวิธีหนึ่ง แต่ไม่รับรองผลนะเว้ย”ธัชนันท์พูดออกมา สุดฟ้าและธัชนนท์ต่างหันมอง พร้อมทั้งส่งเสียงออกมาพร้อมกัน

“พูดออกมาเถอะ วิธีไหนก็บอกมา!!!”


+++++โปรดติดตามตอนต่อไป+++++



ขออภัยค่ะที่มาสั้นๆ แต่ตอนที่จะเขียนฉากสู้กัน เรานึกถึงนารุโตะ ฮันเตอร์ ฮันเตอร์ และพงศาวดารภูติเทพทุกที แม้ทุกเรื่องที่กล่าวถึงจะเรียกพลังพื้นฐานในร่างกายต่างกัน แต่มันก็คือพลังเดียวกัน นอกจากนี้ผู้เขียนท่านอื่นยังสร้างวิธีการนำไปใช้ที่แตกต่างกัน พอรวมเข้ากับคำว่าคาถา เราก็ดันนึกไปถึงพวกองเมียว ทั้งของไทยเองก็มีหมอผีด้วย แม้จะอธิบายการใช้เวทมนต์ของฮัชดาลลาร์ไปบ้างแล้ว แต่ใช้เพื่อการต่อสู้นี่.... มันยากเหมือนกันน๊า

ออฟไลน์ ตีสี่

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 412
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-5
    • 61'
บทที่ยี่สิบเอ็ด


ปฏิกิริยาท่าทางการกระทำการเคลื่อนไหวของชวิศาเป็นดั่งหุ่นเชิดจริงๆ ใบหน้านิ่งเฉยดวงตาไร้แววจับจ้องต่อสิ่งใด การขยับตัวล้วนเหมือนกับชายหนุ่มซึ่งอยู่ด้านหลัง ทว่าพลังที่ผู้คนในฮัชดาลลาร์ต่างเรียกว่าจักระกลับพวยพุ่งออกมามากมายมหาศาล ชนิดที่ชายหนุ่มผู้ใช้เวทมนต์ควบคุมยังตื่นเต้นระคนยินดี ที่สำคัญมันเหมือนไม่มีวันหมด

ชายคนนั้นกำหนดจิต ขยับปากส่งเสียงสร้างมือใหญ่ยักษ์เข้าคว้าจับร่างหญิงสาวซึ่งลอยอยู่เหนือพื้น ใต้ฝ่าเท้าของเธอเป็นวงแหวนเวทย์ที่ทำให้หญิงสาวสามารถยืนนิ่งได้เหมือนยืนอยู่บนพื้นดิน

“อย่างแกคงจะใช้ได้แต่เวทย์กระจอกๆ”เธอกล่าวปรามาสซึ่งเขาได้แต่เข่นเขี้ยวในใจ จากนั้นเธอจึงดึงดาบออกมาจากความว่างเปล่า ใช้คบดาบแบ่งแยกฉีกกระชากพลังที่พยายามเข้าโอบล้อม ก่อนจะพุ่งตัวเข้าหาหมายเป็นฝ่ายรุกไล่ กระนั้นชายผู้เป็นเจ้าของเวทย์หุ่นเชิดก็ใช่จะเพลี่ยงพล้ำ แม้ร่างที่เขาควบคุมจะไร้ซึ่งคำคาถาประจำตัวแต่แค่พลังที่มีอยู่ เขาก็สามารถเป็นต่อได้ง่ายๆ เขาสร้างเวทย์ป้องกันล้อมรอบ และใช้เพียงจักระในร่างของชวิศาโรมรันศัตรู

ฝ่ายหญิงสาวรู้ดีว่าหากปล่อยให้ยืดเยื้อนานไป จะเป็นตัวเธอเองที่ต้องรีดเร้นพลังจนหมด จะนึกโทษใครก็ไม่ได้นอกจากต้องโทษตัวเอง ที่ยอมใจอ่อนต่อคำขอร้องของลูกสาวที่อยากจะผนึกพลังของหลานชายไว้

สุมุนตรามีศักดิ์เป็นยายของชวิศา ซึ่งปีนี้เป็นปีที่เธอมีครบรอบอายุสองร้อยห้าสิบปี เธอเป็นพวกแปลกแยก สนใจฝักใฝ่การค้นคว้าวิชาเวทมนต์ จึงชอบเดินทางท่องเที่ยวเพื่อหาความรู้แปลกๆ ครั้งนี้เพราะเวทย์ที่เธอกำกับให้หลานชายถูกบังคับปลดผนึก เธอจึงต้องมาตรวจสอบแล้วก็เกิดเรื่องขึ้นจริงๆ

“เจ้าน่ะ มาช่วยทางนี้หน่อยซิ”เธอตะโกนร้องเรียกเจ้าชายฟาลิฮ์ เพราะเหมือนสัมผัสว่าอีกฝ่ายก็มีพลังเวทย์ที่กล้าแข็งอยู่ภายในตัว

เจ้าชายรัชทายาทแห่งฮัชดาลลาร์ซึ่งถูกพวกสุดฟ้าทิ้งไว้ให้ดูสถานการณ์ยังยืนงงแม้จะถูกร้องเรียกให้ช่วยเหลือ พระองค์ฝึกมนตราเวทย์มาอย่างช่ำชอง และเคยผ่านการสู้รบ กระนั้น ก็ยังไม่รู้ว่าจะแทรกแซงกระแสพลังที่ยิ่งใหญ่ทั้งสองสายได้อย่างไร

“มีของดีอะไรใช้ออกมาให้หมด”

ด้วยเหตุนั้น เจ้าชายถึงได้แบมือทั้งสองข้าง ขยับปากเอ่ยถ้อยคำศักดิ์สิทธิ์กำหนดจิตก่อเกิดเป็นวงแหวนเวทย์รอบฝ่ามือ จากนั้นลูกไฟสีแดงฉานจึงปรากฏขึ้น ก่อนจะผลักดันลูกพลังนั้นใส่ศัตรูอย่างต่อเนื่อง พระองค์โจมตีใส่ชายเจ้าของเวทย์หุ่นเชิดด้วยวิธีเรียบง่าย อีกฝ่ายแค่ใช้พลังมหาศาลประหัตประหาร พระองค์จึงต้องใช้กำลังเข้าชิงชัยอย่างช่วยไม่ได้

ระหว่างที่เจ้าชายฟาลิฮ์กำลังดึงความสนใจการโจมตีด้วยพลังของชวิศา สุมุนตราจึงใช้โอกาสนี้ทาบฝ่ามือลงกับพื้นดิน เธอเชี่ยวชาญคาถามนตราในระดับที่เพียงใช้ความตั้งมั่นแห่งจิตก็สามารถสร้างอักขระเวทย์ล้อมพื้นดินใต้ฝ่าเท้าของชวิศาและชายที่ใช้เวทย์หุ่นเชิดโดยที่ชายคนดังกล่าวไม่รู้ตัว ใช้เวลาไม่ถึงวินาที พลังจักระที่ไหลรินอย่างไม่ขาดสายของชวิศาก็หยุดชะงักลง ม่านพลังป้องกันการโจมตีจากเจ้าชายฟาลิฮ์ถูกสร้างขึ้นตรงหน้าชวิศา ป้องกันลูกไฟร้อนได้พอดิบพอดี ส่วนชายที่ใช้คาถาชักใยถูกมนตราอีกอย่างยึดตรึงให้ยืนนิ่งอยู่กับที่

และในจังหวะนั้นเอง ตาข่ายจากเชือกเส้นหนาคล้ายแหหรืออวนก็ถูกโยนมาคลุมร่างชวิศาไว้ สเตบาสเตียนกำลังถือปืนยิงตาข่าย เขากดปุ่มอีกทีกลไกของปืนก็ดึงเชือกกลับรั้งให้ร่างของชวิศาพลิกล้มลากไปกับพื้น ส่วนหนึ่งในฝาแฝดถือปืนอีกกระบอกเล็งยิงไปยังชายที่เป็นฝ่ายศัตรู โอกาสสำเร็จอยู่ข้างพวกเขาถึงเก้าสิบเปอร์เซ็นต์ในความคิดของสุดฟ้า เพราะฝ่ายตรงข้ามเหลือเพียงชายผู้ใช้เวทมนต์แปลกประหลาดกับชวิศาคนเดียว แม้จะมาสังเกตทีหลังว่าฝ่ายศัตรูได้หายไปอย่างไร้ร่องรอย แต่มันไม่ใช่สิ่งสำคัญเท่ากับการพาตัวชวิศากลับมา

ทว่าพริบตาเดียวเท่านั้น ชายหนุ่มผู้ถูกเวทย์ยึดตรึงของสุมุนตราก็แก้คลายเวทย์นั้นได้ ก่อนจะชักดาบซึ่งห้อยอยู่ข้างเอวขึ้นมารับกระสุนยาสลบจากฝาแฝดคนน้องของบ้านสุวราลักษณ์ได้ทันท่วงที และเงื้อดาบอีกครั้งฟันใส่ตาข่ายจากวัสดุพิเศษของสุดฟ้าขาดสะบั้นในครั้งเดียว เป็นจังหวะเดียวกับที่ประตูเวทย์สำหรับเคลื่อนย้ายมิติถูกเปิดขึ้น หญิงสาวผู้เป็นเจ้าของประตูยืนอยู่ทีอีกฝั่ง ชายคนนั้นร่ายคาถาใส่สุมุนตราและเจ้าชายฟาลิฮ์เพื่อเป็นการถ่วงเวลาก่อนจะกระโดดหายเข้าไปในประตูมิติพร้อมร่างของชวิศา หลังจากนั้นประตูบานใหญ่ก็หายไป

คงเหลือแค่เสียงลมหายใจของแต่ละคน

“Labi! Tu vari man pateikt”

“คราวนี้ พูดอะไรอีกล่ะ”สุดฟ้าหันไปถามสเตบาสเตียน เมื่อหญิงสาวหนึ่งเดียวในที่แห่งนั้นหันไปพูดคุยกับเจ้าชายฟาลิฮ์

“เธอคงบอกฉันได้แล้วว่าเกิดอะไรขึ้น”

“อ่อ”สุดฟ้าพยักหน้ารับก่อนจะเดินนำเข้าไปสมทบ และเอ่ยเป็นภาษาอังกฤษกับเจ้าชายรัชทายาท “ใช่ครับ เจ้าชายควรจะเล่าเรื่องคนกลุ่มนี้อย่างละเอียดที่สุดเลย”

ยามนั้น เวลาได้ล่วงผ่านเข้าสู่วันใหม่ไปหลายชั่วโมงแล้ว เจ้าชายฟาลิฮ์รัชทายาทแห่งฮัชดาลลาร์ยังไม่แสดงพระอาการเหนื่อยล้า ทั้งยังประทับยืนอย่างสงบสุขุมเช่นเดิมแม้จะคู่สนทนาจะมีท่าทีข่มขู่คาดคั้น ก่อนจะตรัสชวนให้ทุกคนไปดื่มน้ำชาที่วัง สุดฟ้าจึงรู้สึกเหมือนเส้นเลือดข้างขมับกำลังกระตุก กระทั่งฝาแฝดคนพี่มาตบบ่าพยักพเยิดให้เดินไปขึ้นยานพาหนะ ส่วนเจ้าชายรัชทายาทนั้นมีองครักษ์ส่วนพระองค์อย่างบาซิมตามมารับอย่างกับนัดแนะกันไว้

ไม่ต่างกับในพระราชวังที่พวกเขาเพิ่งเดินทางมาถึง ทันทีที่ถูกเชื้อเชิญให้นั่งลงกับเก้าอี้ ข้าหลวงซึ่งคอยรับใช้ภายในวังได้นำน้ำชามาเสิร์ฟให้ทันใดเช่นเดียวกัน ธัชนนท์ยกถ้วยน้ำชาอุ่นร้อนขึ้นจิบขณะที่หูคอยเงี่ยฟังคำตรัสของเจ้าชายฟาลิฮ์กับหญิงสาวที่อ้างว่าเป็นญาติกับชวิศา ต่างกับสุดฟ้าที่ยังคงจ้องพระพักตร์ขององค์รัชทายาทเขม็ง

“เจ้าชายถามคุณผู้หญิงท่านนั้นว่าเข้าใจภาษาอังกฤษหรือไม่ครับ พระองค์ประสงค์จะตรัสเป็นภาษาอังกฤษเพื่อให้ทุกคนเข้าใจไปในทิศทางเดียวกัน”

“ใจเย็นจริงโว้ย”สุดฟ้าเค้นเสียงรอดไรฟันอย่างหงุดหงิดในความพิรี้พิไรของเจ้าชายรัชทายาท ถึงจะรู้ว่าอย่างไรชวิศาก็คงต้องปลอดภัยแน่ แต่ปลอดภัยในสภาพล่าสุดที่เข้าเห็นก็อยู่ในข่ายไม่น่าไว้ใจอยู่ดี

“แกนั่นแหละควรจะใจเย็นๆหน่อย ถึงยังไงตอนนี้ก็ทำอะไรไม่ได้อยู่ดี”ธัชนันท์เอ่ยเตือน

“เพราะทำอะไรไม่ได้ไง ถึงได้หงุดหงิดอยู่นี่ อ่อ... มาริ นายเห็นหน้าไอ้พวกนั้นครบทุกคนใช่ไหม อย่างนั้นช่วยเจาะระบบฐานประชากรหาข้อมูลให้หน่อย แล้วก็เจาะระบบกล้องวงจรปิดด้วย หาสถานที่ล่าสุดที่เจอพวกนั้น”ชายหนุ่มหันไปสั่งการซุปเปอร์คอมพิวเตอร์ส่วนตัวพร้อมส่งดิจิตอลไลท์มอนิเตอร์ไปให้

“รับทราบครับ”

“คุณสุดฟ้า?”เจ้าชายฟาลิฮ์ตรัสเรียก

“อ่ะ ครับ”สุดฟ้าขานรับพร้อมรอยยิ้ม พลางผายมือเป็นเชิงให้อีกฝ่ายเริ่มเล่าได้

“จำเรื่องที่ผมเคยเล่าได้ไหมครับ ว่าเมื่อสักประมาณหนึ่งร้อยปีก่อนเคยมีศึกแย่งชิงบัลลังก์กัน”พระองค์เกริ่มนำ

“ครั้งนั้นเป็นสงครามกลางเมืองที่มีผู้คนเสียชีวิตร่วมหนึ่งหมื่น สาเหตุมาจากกษัตริย์พระองค์ก่อนมีพระประสงค์จะแต่งตั้งองค์ชายรองขึ้นเป็นกษัตริย์”

“ในอดีตก็มีหลายครั้งที่ผู้ที่เป็นกษัตริย์ไม่ใช่เจ้าชายพระองค์โต”หญิงสาวเอ่ยแทรก ทุกคนต่างหันมองไปทางเธอโดยหวังให้เธอกล่าวอะไรเพิ่มเติม แต่เธอทำเพียงแค่เลิกคิ้วโดยหวังให้เจ้าชายตรัสขยายความ แม้จะรู้ว่าทุกคนต่างสงสัยในที่มาที่ไปของเธอ แต่สุมุนตราคิดว่าเรื่องที่เธอควรพูดควรเป็นหลังจากสาเหตุของปัญหาทั้งหมด

“ใช่ครับ เพียงแต่เจ้าชายพระองค์รองทรงสมภพจากนางข้าหลวงในวัง จึงเกิดกระแสความไม่พอใจในชาติกำเนิดของพระองค์

“ที่น่าแปลกคือเจ้าชายพระองค์นั้นมีพลังระดับจอมเวทย์จนสามารถได้รับเลือกเป็นกษัตริย์มากกว่า”

“ว่ากันว่า พระองค์เป็นผู้วิริยะอุตสาหะจนสามารถก้าวข้ามระดับนักเวทย์จนกลายมาเป็นจอมเวทย์ได้ตอนที่ทรงมีพระชนมายุสิบห้าชันษา”

เมื่อได้ยินคำอธิบายสุมุนตราจึงพยักหน้ารับรู้ด้วยเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง

“เอ๊ะ! ขอนอกเรื่องนิดหน่อยนะครับ”ธัชนันท์ยกมือเป็นเชิงขออนุญาตพูด เมื่อเจ้าชายฟาลิพยักพระพักตร์รับ เขาจึงกล่าวต่อไปว่า “จะเป็นกษัตริย์ของฮัชดาลลาร์ได้ต้องเป็นจอมเวทย์เท่านั้นหรือครับ”

“ประมาณนั้นครับ แต่น่าจะหมายถึงผู้ที่มีพลังเวทย์มากที่สุดมากกว่า”

“อย่างนั้นต่อให้เป็นสามัญชนก็สามารถกลายเป็นกษัตริย์ได้”

“ครับ ก่อนที่จะมีสงครามกลางเมืองครั้งนั้นเป็นเช่นนั้นครับ”

“อ้าว แล้วจะมีกฎเรื่องพระราชโอรสหรือพระราชธิดาพระองค์เดียวทำไม”

“นับตั้งแต่สงครามเมื่อหนึ่งร้อยปีก่อน ความก้าวหน้าในการบ่มเพาะเพื่อเพิ่มพูนพลังเวทย์ของผู้คนในฮัชดาลลาร์ก็หยุดชะงัก และเด็กที่เกิดหลังจากสงครามครั้งนั้นก็ไม่มีใครมีพลังระดับจอมเวทย์อีกเลย หากจะมีเด็กที่มีพลังระดับจอมเวทย์กำเนิดขึ้นก็ต่อเมื่อผู้ที่มีพลังระดับจอมเวทย์คนก่อนเสียชีวิตไปแล้ว”

“อย่างนี้คนที่มีพลังระดับจอมเวทย์ไม่เหิมเกริมวางอำนาจหรือครับ”ธัชนนท์ถาม

“ถ้ามีแนวโน้วว่าเขาจะมีความประพฤติเช่นนั้น ไม่นานนักเขาก็จะเสียชีวิตไปเอง”

ทุกคนแสดงถึงความสงสัย หากแต่เว้นสุดฟ้าไว้หนึ่งคนเพราะเขาได้ข้อมูลเกี่ยวกับศิลาสารพัดนึกมาพอประมาณ จึงพอจะเดาต่อไปได้ว่า สาเหตุที่เป็นเช่นนั้นเพราะอะไร

“สาเหตุการเสียชีวิตคือหัวใจล้มเหลว แม้ว่าก่อนหน้านั้นเขาเป็นเด็กที่มีสุขภาพร่างกายแข็งแรงแค่ไหนก็ตาม เหล่าปราชญ์ทั้งหลายในฮัชดาลลาร์จึงสรุปว่าน่าจะเป็นเพราะอำนาจที่ยิ่งใหญ่กว่า และสิ่งที่มีพลังอำนาจมากที่สุด...”

“ศิลาสารพัดนึกสินะ”สุมุนตรากล่าวออกมา เจ้าชายฟาลิฮ์พยักพระพักตร์อย่างไม่นึกแปลกใจเพราะถ้าเป็นผู้ใช้เวทย์ย่อมต้องรู้จักอุปกรณ์เวทย์ชิ้นนี้

“อย่างนั้นเข้าใจล่ะว่าทำไมถึงอยากได้ตัวชวิศา คุณเองก็รู้ว่าชวิศามีพลังระดับมหาเวทย์ใช่ไหม”ประโยคแรกเธอพึมพำกับตัวเองก่อนจะหันไปทูลถามเจ้าชายในประโยคหลัง

“ครับ แต่หลังจากการตรวจสอบและพบว่าคุณชวิศามีอักขระเวทย์ผนึกพลังไว้ รวมถึงตอนที่ลองพูดคุยเกี่ยวกับเวทมนต์ เธอก็ดูไม่รู้เรื่องเลย ผมจึงต้องยกเลิกแผนไป”

“ยกเลิก?”สุดฟ้าทวนคำด้วยความสงสัย ก่อนที่สุมุนตราจะกล่าวเสียงดังจนดึงความสนใจของทุกคน

“เอาล่ะ ถ้าอย่างนั้นฉันจะขอแนะนำตัวเองให้พวกคุณรู้จัก ฉันชื่อสุมุนตรา เป็นยายแท้ๆของชวิศา เรื่องของหลานชายของฉัน พวกคุณไม่ต้องเข้ามายุ่งอีกแล้ว เดี๋ยวฉันจัดการเอง”พูดจบเธอก็ลุกขึ้นยืน

“ไม่ต้องยุ่งอะไรวะ แค่บอกว่าตัวเองเป็นยายแค่นี้ก็จบเหรอ ใครมันจะไปเชื่อ”สุดฟ้าลุกขึ้นมาโวยวายทันที สุมุนตรากวาดสายตามองชายหนุ่มที่ตนไม่รู้จักตั้งแต่ศีรษะจรดเท้าอีกครั้ง คาดเดาในใจว่าคนตรงหน้าคงเป็นเพื่อนของชวิศา

“ที่มิสเตอร์ศิริกรพูดมาก็มีส่วนถูกนะครับ ตอนที่มหาเวทย์ถือกำเนิดผู้มีพลังเวทย์ต่างล้วนรับรู้ความแปรปรวนของพลังในธรรมชาติทั้งนั้น คุณก็อาจจะเป็นคนหนึ่งที่ต้องการพลังนั้น”

“ตอนที่พลังมหาเวทย์กำเนิดรับรู้กับเขาด้วยหรือเจ้าหนู”สุมุนตราเย้า ดูจากพระพักตร์ของเจ้าชายแล้วน่าจะมีพระชันษาห่างจากหลานชายของเธอไม่กี่ปี ผู้ที่ถูกกล่าวหยอกจึงออกอาการอึกอักสีพระพักตร์กลายเป็นสีระเรื่อขึ้นมา

“อย่างนั้นก็ได้ เพราะฉันเรียกพรลภัสมาแล้ว ถ้าให้แม่ของเจ้าตัวยืนยัน พวกคุณก็คงยินยอมสินะ”หญิงสาวยิ้ม “ถ้าอย่างไรช่วยจัดห้องให้ด้วยแล้วกัน”

เมื่อไม่มีเหตุให้โต้แย้ง เจ้าชายฟาลิฮ์จึงสั่งให้ข้ารับใช้จัดห้องให้เธอ หญิงสาวกล่าวลาก่อนจะเดินตามผู้นำทางไป

“แล้วพวกที่ต้องการตัวซี เอ่อ... ชวิศาน่ะครับ ตกลงว่าเป็นใครกันแน่”ธัชนนท์เอ่ยทูลถามเจ้าชายฟาลิฮ์ ดึงความสนใจของกลุ่มสนทนาให้กลับมาเข้าสู่ประเด็นที่ยังค้างคาอยู่อีกครั้ง

“พวกเขาเรียกตัวเองจันทร์พยัคฆ์เป็นทายาทของหนึ่งในเจ้าชายที่ก่อสงครามกลางเมืองเมื่อหนึ่งร้อยปีก่อน หัวหน้ากลุ่มชื่อซาทาร์ สมาชิกในกลุ่มที่เราสามารถยืนยันได้ตอนนี้น่าจะราวๆหนึ่งพันคน”

“พวกเขาต้องการยึดครองฮัชดาลลาร์หรือครับ แต่ถ้ามีพลังเวทย์สูงที่สุดก็ได้เป็นกษัตริย์ได้แล้วไม่ใช่เหรอ”
“ครับ สำหรับคนต่างชาติการปกครองภายในของฮัชดาลลาร์จะดูสับสนอยู่เล็กน้อย แม้ตามหลักแล้วผู้ที่มีพลังเวทย์สูงที่สุดจะได้เป็นกษัตริย์แต่ใช่ว่าจะเป็นเช่นนั้นเสมอไป เพราะมีเหล่าเชื้อพระวงศ์ซึ่งเป็นลูกหลานของกษัตริย์องค์ก่อน กรณีบุคคลทั่วไปหากนึกครึ้มอยากเป็นราชา ต้องยื่นขอท้าประลองเพื่อชิงบัลลังก์”

“อย่างนี้ถ้าท้าประลองแล้วกษัตริย์พระองค์นั้นแพ้ คนที่ชนะก็ขึ้นเป็นกษัตริย์ได้เลย”

“ใช่ครับ”ตามหลักการแล้วเหตุการณ์ย่อมเป็นเช่นนั้น เจ้าชายฟาลิฮ์ดำริต่ออยู่ในพระทัย แต่ในความเป็นจริง ทุกอย่างย่อมไม่เรียบง่าย คนผู้หนึ่งนึกอยากเป็นกษัตริย์ขึ้นปกครองเมืองย่อมต้องซื้อใจผู้คนมาก่อนหน้า หรือไม่ก็ต้องทำคุณงามความดีจนเป็นนับหน้าถือตา ไม่เช่นนั้น อย่างน้อยที่สุดต้องสั่งสมกำลังคนเพื่อปราบปรามผู้ขัดแย้งแข็งข้อ คนธรรมดาที่ไม่นึกใคร่กระหายในอำนาจจึงหลีกเลี่ยงไม่ยุ่งเกี่ยวกับการปกครองเมือง

“ง่ายๆอย่างนี้เนี่ยนะ”ฝาแฝดคนน้องร้องออกมาอย่างไม่ค่อยเชื่อในสิ่งที่เจ้าชายรัชทายาทพูด “แล้วถ้ากษัตริย์คนใหม่เป็นพวกโลภมาก เป็นคนเลวบ้านเมืองไม่เดือดร้อนหรือครับ”

“ไม่มีเหตุการณ์แบบนั้นหรอกครับ เพราะทันทีที่เขามีแนวโน้มจะทำแบบนั้น เขาก็จะหัวใจวายตายไปก่อน”

สุดฟ้านั่งฟังอยู่เงียบๆพยักหน้าหงึกๆ ส่วนธัชนนท์และธัชนันท์ต่างหันหน้ามองกัน

“ศิลาสารพัดนึกสำหรับฮัชดาลลาร์แล้ว นอกจากเป็นอุปกรณ์เวทย์สารพัดประโยชน์สำหรับชาวเมือง ยังเป็นกฎที่ไม่มีใครสามารถฝ่าฝืนได้อีกด้วย”เจ้าชายฟาลิฮ์เห็นสองพี่น้องสุวราลักษณ์ยังแสดงอาการงุนงงจึงกล่าวต่อไปอีกว่า “ศิลาสารพัดนึกถูกสร้างขึ้นมาเพื่อคอยดูแลปกปักรักษาความอุดมสมบูรณ์และความสงบเรียบร้อยของฮัชดาลลาร์ครับ”

“อย่างนั้นก็ไม่น่าจะเกิดสงครามกลางเมือง”ฝาแฝดคนพี่พูด

“ศิลาเพิ่งจะเข้มงวดมากขึ้นหลังจากเกิดสงครามเหมือนกันครับ”เจ้าชายตรัสพร้อมทรงพระสรวล

“ทรงตรัสเหมือนหินก้อนนั้นมีความคิดเป็นของตัวเอง”ธัชนันท์ถาม

“คงต้องตอบว่าเป็นเช่นนั้น”

คำตอบเรียบๆนั้นทำให้สองพี่น้องมองหน้ากันอีกครั้ง สุดฟ้าจึงเอ่ยออกไปว่า “แกสองคนไม่ต้องไปคิดมากเรื่องนี้หรอก ฉันคิดว่าพลังของศิลาเองก็น่าจะมีข้อจำกัดอยู่ เงื่อนไขน่าจะเป็นประมาณว่า สามารถทำลายสิ่งที่จะก่อให้เกิดการล่มสลายของฮัชดาลลาร์ได้”

“คุ้นๆเหมือนหนังสือการ์ตูนเรื่องหนึ่งเหมือนกันแหะ”

“คงไม่ถึงกับพอใครคิดไม่ดี ทำไม่ดีก็ตายทันทีหรอกมั้ง”

“ก่อนหน้าสงครามเมื่อหนึ่งร้อยปีก่อนก็ไม่ใช่ครับ แต่หลังจากสงครามแล้ว คนที่อยู่ในตำแหน่งหน้าที่ซึ่งรับผิดชอบเกี่ยวกับการบริหารบ้านเมืองล้วนเป็นเช่นนั้นครับ แค่คิดว่าจะกอบโกยผลประโยชน์อาจจะไม่ตาย แต่เมื่อลงมือทำเมื่อไหร่ก็ตายทันทีเมื่อนั้นครับ”เจ้าของประโยคนั้นยังยิ้มแย้มพาลให้สองหนุ่มสั่นสะท้านเยือก “กลุ่มจันทร์พยัคฆ์จึงมีเป้าหมายหลักในการทำลายอำนาจของศิลา”

“อ้าว แล้วคนพวกนี้มีชีวิตรอดด้วยหรือครับ”

“พอศิลาสารพัดนึกออกนอกพื้นที่ของฮัชดาลลาร์แล้ว พลังอำนาจต่างๆเลยลดลง”สุดฟ้าเป็นคนตอบคำถามของธัชนันท์แทน “ตอนที่ขโมยศิลาก็น่าจะแค่จ้างใครสักคนให้นำมันออกนอกเมือง”

“ครับ ปราชญ์หลายท่านก็คาดการณ์ว่าน่าจะเป็นอย่างนั้น แต่เดิมศิลาจะถูกเก็บไว้ที่หอกลางเมือง อนุญาตให้ชาวเมืองเข้าออกได้ปกติ แม้มีทหารเฝ้าดูแลแต่ก็ไม่ได้เข้มงวดมาก”

“อ้าว มันเป็นของสำคัญไม่ใช่หรือครับ”

“พวกเราชะล่าใจครับ ศิลาถูกตั้งไว้ที่หอกลางเมืองมาร่วมพันปีแล้ว และถ้าไม่มีพลังเวทย์ ศิลาสารพัดนึกก็คือหินธรรมดาที่ไม่สามารถนำไปใช้ประโยชน์ใดๆได้ แม้จะคล้ายอัญมณีแต่ก็ไม่สามารถเปลี่ยนเป็นรูปทรงอื่นได้เช่นเดียวกัน ยิ่งหลังจากช่วงสงครามกลางเมือง การที่ผู้คนผู้คิดไม่ดีต่อฮัชดาลลาร์ล้มตายเป็นว่าเล่น ก็ยิ่งเพิ่มความน่ากลัวเกี่ยวกับพลังอำนาจของศิลาเป็นอีกเท่าตัว”

“ในความหวาดกลัวนั้นก็มีคนเห็นว่าศิลาสารพัดนึกเป็นของอัปมงคลด้วย”พี่ชายคนโตของฝาแฝดกล่าวเสริมขึ้นมา

เจ้าชายฟาลิฮ์ไม่ตอบสิ่งใดเพียงแค่พยักพระพักตร์ ธัชนนท์จึงถามต่อไปว่า

“แล้วเจ้าชายล่ะครับ เห็นว่าศิลาสารพัดนึกเป็นของอัปมงคลหรือเปล่า”

เจ้าชายรัชทายาทนิ่งเงียบ ทอดพระเนตรมองเจ้าของคำถามอย่างพินิจพิเคราะห์อยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงกล่าวตอบ “สำหรับผมที่เป็นรัชทายาทซึ่งเป็นว่าที่เจ้าครองนครคนต่อไป การคงอยู่ของศิลานับว่าเป็นขุมอำนาจหนุนหลังอันยิ่งใหญ่เสียมากกว่า ขอเพียงประพฤติตนอยู่ในศีลธรรมอันดีงาม บริหารงานดูแลประเทศด้วยความซื่อสัตย์มั่นคง ผมก็จะสามารถใช้ชีวิตอย่างสงบสุขได้ตราบเท่าหมดอายุไข”

“คำตอบฟังดูดีนะครับ แล้ว... เจ้าชายอยากได้ตัวชวิศาไปทำไมล่ะ”

“เพื่อให้สร้างศิลาสารพัดนึกชิ้นใหม่”คำตอบนั้นออกมาจากพระโอษฐ์โดยไม่ลังเล

“เจ้าชายเคยเล่าให้ฉันฟังแล้วว่า ถ้าเป็นพลังระดับมหาเวทย์จะสามารถสร้างศิลาชิ้นใหม่ได้เพียงใช้ระยะเวลาเจ็ดวัน”สุดฟ้าพูดออกมา

“แล้วพระองค์รู้ได้อย่างไรว่าชวิศาไม่สามารถใช้เวทมนต์ได้”ธัชนนท์ยังถามต่อ

“สำหรับคำตอบของคำถามนี้ ผมคงต้องอธิบายเพิ่มเติมอีกเล็กน้อย จักระคือพลังชีวิตที่ไหลเวียนอยู่ภายในร่างกาย คนทั่วไปล้วนปลดปล่อยจักระเหล่านี้เป็นเรื่องปกติ แต่สำหรับผู้ฝึกมนตราจะแตกต่างจากปกติคือจักระที่ถูกปล่อยออกจากภายนอกจะเป็นระเบียบและเบาบางกว่าคนทั่วไป บางคนสามารถทำได้ถึงขั้นไม่ปล่อยให้จักระไหลสู่ภายนอกได้เลย

สำหรับคุณชวิศา ภายนอกนั้นเธอไม่มีการปลดปล่อยจักระให้เล็ดลอดออกมาเลย ในตอนแรก เราคาดเดาว่าอาจจะเป็นเพราะเธอเชี่ยวชาญถึงขั้นควบคุมจักระได้ดั่งใจ ผมจึงได้ให้คนติดตามเพื่อตรวจสอบ แต่ระหว่างที่ติดตามเธอกลับไม่เคยใช้เวทย์สักครั้ง”

“เพราะรู้ว่ามีคนสะกดรอยอยู่เลยจงใจไม่ใช้”ธัชนันท์ตั้งข้อสังเกต

“การใช้เวทมนต์ให้เชี่ยวชาญย่อมมาจากการฝึกฝนอย่างสม่ำเสมอ การดึงจักระมาใช้ให้ได้อย่างใจนึกเกิดมาจากการฝึกฝนซ้ำๆจนเหมือนว่าจักระคืออวัยวะอย่างหนึ่งในร่างกาย ดังนั้นแม้เราจะบังคับไม่ใช้อวัยวะนั้นในช่วงหนึ่งได้ แต่ใช่ว่าจะไม่มีช่วงเวลาเผลอไผลนี่ครับ”

“เรื่องที่ชวิศามีพลังเวทย์น่ะ ช่างมันเถอะ”สุดฟ้ากล่าวตัดบท “ตอนนี้สนใจแค่จะพาตัวชวิศากลับมายังไงดีกว่า”

“ผมมีข้อมูลแหล่งกบดานของกลุ่มจันทร์พยัคฆ์ เพียงแต่ไม่รู้ตำแหน่งแน่ชัด”สถานที่ที่เจ้าชายฟาลิฮ์ตรัสถึงอยู่ในเขตประเทศเพื่อนบ้านของฮัชดาลลาร์ เขตนั้นเป็นย่านชุมชนแออัดที่ไม่มีกล้องวงจรปิดของทางการ มาริเอะจึงไม่สามารถดึงภาพออกมายืนยันได้ หุ่นยนต์อัจฉริยะหาได้เพียงรูปภาพของกลุ่มคนที่ลักพาตัวชวิศาในเขตเมืองใหญ่เท่านั้น




ออฟไลน์ ตีสี่

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 412
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-5
    • 61'



แสงแดดยามเช้ามาเยือนอย่างรวดเร็ว ขณะที่สุดฟ้ายังคงจ้องหน้าจอดิจิตอลไลท์มอนิเตอร์เปรียบเทียบข้อมูลกับที่เจ้าชายแห่งฮัชดาลลาร์มีอยู่ ก่อนจะต้องละสายตาเพราะการปรากฏตัวของคนสองคน

โยธิน ภูสิทธ์วรโชติอยู่ในชุดสูทสีเข้มหน้านิ่วคิ้วขมวดด้วยความไม่ชอบใจก่อนจะต้องปรับสีหน้าเมื่อเจ้าชายรัชทายาทแห่งฮัชดาลลาร์สาวพระบาทเข้าไปทัก ส่วนอีกคนเป็นหญิงวัยกลางคนช่วงอายุสี่สิบปลายๆในชุดผ้าไหมสีม่วงอ่อน เธอกวาดสายตาไปทั่วห้อง ก่อนจะเดินเข้าไปหาสุมุนตราที่เพิ่งโผล่าหน้าผ่านประตูเข้ามา

“แม่คะ”เธอร้องทักออกไปเป็นภาษาไทย สองพี่น้องสุวราลักษณ์และสุดฟ้าจึงให้ความสนใจยิ่งกว่าเดิม

“เรื่องมันเป็นมายังไง”

“ใจเย็นๆภัส ตอนนี้หลานยังสบายดี”

“แม่บอกว่าซีโดนจับตัวไป แล้วจะสบายดีได้ยังไง”เธอถามด้วยความกังวล สุมุนตราจึงยกยิ้มคล้ายปลอบใจ ยกมือแตะไหล่พรลภัส รุนหลังเธอให้เดินเข้าไปรวมกลุ่มกับกลุ่มชายหนุ่มที่จับจ้องมายังพวกเธอ

“แหม ถ้าฉันยังอายุน้อยกว่านี้ คงรู้สึกดีกับสายตาของหนุ่มๆยิ่งกว่านี้”
“แม่คะ”พรลภัสร้องปราม นึกอ่อนใจกับมารดา มันไม่ใช่เวลามาพูดเล่น ในเมื่อตอนนี้เธอยังไม่รู้ว่าลูกชายเป็นตายร้ายดีอย่างไร

“แม่ช่วยหลานได้ ลูกก็รู้ เพียงแต่ผนึกถูกทำลายไปชั้นหนึ่งแล้ว แม่คงต้องพาตัวหลานกลับไปด้วย”

“พาไปไหนครับ”สุดฟ้าโพล่งถามออกมาทันที ทั้งสุมุนตราและพรลภัสจึงหันไปมองหน้าคนถาม ก่อนที่หญิงสาวสวยผู้มีศักดิ์เป็นยายของชวิศาจะเอ่ยต่อไปว่า

“ผู้ชายคนนี้เป็นใคร”

“ภัสก็ไม่แน่ใจค่ะ”เธอตอบอย่างลังเล เพราะช่วงหลังๆลูกชายของเธอจะอยู่ในการดูแลของลูกพี่ลูกน้องเป็นส่วนใหญ่ และเมื่อเห็นสายตาของพรลภัส โยธินจึงบอกออกไปว่า

“เขา... เอ่อ... เป็นคนที่ซีแอบชอบครับ”

“ผู้ชายท่าทางสกปรกที่อาเคยเจอ?”พรลภัสถามย้ำ กวาดสายตามองสุดฟ้าตั้งแต่ศีรษะจรดเท้าอีกครั้ง แม้สีผมและการแต่งตัวของคนตรงหน้าจะเปลี่ยนไป แต่เค้าหน้าและแว่นตาที่สุดฟ้าสวมใส่ทำให้เธอนึกออกได้ไม่ยาก

“ซีบอกอาว่ามาเที่ยวกับเพื่อน”เสียงพูดของหญิงสาวเข้มขึ้น แววตาดุทำให้โยธินหน้าเจื่อน

“เอ่อ... ขอโทษครับ”ธัชนนท์ส่งเสียงขัด แล้วยกมือไหว้เมื่อพรลภัสหันมาให้ความสนใจพร้อมทั้งอธิบายด้วยตัวเอง “สวัสดีครับคุณอา ผมธัชนนท์ สุวราลักษณ์ครับ พอดีว่าสุดฟ้าต้องมาทำงานที่นี่ ผม น้องชาย และซีเลยตามมาเที่ยวด้วยน่ะครับ”

ดูเหมือนว่าพรลภัสจะไม่มีทีท่าแปลกใจกับเพศสภาพของคนที่ลูกชายชอบ แต่ดูคล้ายเธอจะไม่ชอบหน้าสุดฟ้าเสียมากกว่า

“แล้วเมื่อกี้ที่บอกว่าจะพาชวิศาไป จะพาไปไหนหรือครับ”สุดฟ้าถามอย่างร้อนใจ

“พาไปฝึกวิชาไง”สุมุนตราตอบเรียบๆราวกับเป็นเรื่องที่ทุกคนควรรู้อยู่แล้ว

“ไม่มีทางอื่นเลยหรือคะ หนูไม่อยากให้ซีเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับพวกที่ใช้พลังเวทย์”พรลภัสหันไปพูดกับมารดา

“จะให้แม่ผนึกพลังของซีไว้เหมือนเดิมก็ย่อมทำได้ แต่ตอนนี้ทุกคนรู้แล้วว่าหลานมีพลังมากมายขนาดไหน สักวันก็จะเกิดเรื่องแบบคราวนี้ขึ้นอีกนั่นแหละ นี่เป็นชะตาของหลาน ภัสไม่สามารถเปลี่ยนมันได้หรอก”

“ผมสัญญาว่าต่อไปจะดูแลชวิศาเอง ผมรับรองว่าจะไม่ให้เกิดเรื่องแบบนี้อีก”สุดฟ้าพูดแทรกขึ้นไปอีกครั้ง สุมุนตรากลอกตาด้วยความไม่สบอารมณ์ ก่อนจะหันหน้าไปคุยกับชายหนุ่มผู้อ่อนวัยกว่าหลายสิบรอบ

“เจ้าจะทำอะไรได้”เธอพูดพลางยื่นมือไปวางไว้บนไหล่ของสุดฟ้า ออกแรงบีบจนชายหนุ่มร่างสูงใหญ่นิ่วหน้า สุดฟ้ากัดฟันอดทนต่อความเจ็บอยู่ได้ไม่นาน เขาจำต้องร้องโอยออกมาพร้อมใช้มือทั้งสองข้างจับยึดข้อมือเรียวบางของสุมุนตราและพยายามดึงมือของอีกฝ่ายออก

“ผู้ใช้เวทย์ไม่ใช่เพียงแค่แข็งแกร่ง แต่เรายังสามารถทำในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ให้เป็นไปได้อีกด้วย”

ทั้งสเตบาสเตียนและมาริเอะเห็นเจ้านายร้องโอดโอยจึงรีบเข้าไปช่วยรั้งมือของหญิงสาวออก เธอจึงละสายตาหันไปมอง แล้วต้องแสดงอาการตกใจออกมา

“ซี!!!”เสียงร้องเรียกชื่อนั้นดึงความสนใจของพรลภัสได้เป็นอย่างดี เธอก้าวเท้าเข้าไปหาคนที่มีใบหน้าเหมือนลูกชายด้วยอาการหน้าตาตื่นไม่ต่างจากมารดา

“เอ่อ... ไม่ใช่ชวิศาหรอกครับ”สุดฟ้าอ้อมแอ้มบอก “นี่มาริ คนของผม”

สำหรับสุมุนตรานั้นตั้งแต่ที่เหยียบย่างเข้ามาในเขตของฮัชดาลลาร์ เธอไม่ได้ให้ความสนใจกับชายหนุ่มกลุ่มนี้มากนัก เนื่องจากคิดว่าคงไม่ต้องเกี่ยวข้องกันต่อไปในภายหน้า แต่เมื่อบุคคลซึ่งมีใบหน้าพิมพ์เดียวกันกับหลานชายราวกับฝาแฝดถูกแนะนำตัว เธอจึงพิจารณาอีกฝ่ายอีกครั้ง และกล่าวออกไปว่า

“ไม่มีชีวิต”

“อา... ทำนองนั้น”

“สร้างตุ๊กตาที่มีหน้าตาเหมือนหลายชายของฉันราวกับเป็นคนคนเดียวกัน เจ้าต้องการอะไรกันแน่”สุมุนตราถามเสียงเข้ม

“มันเป็นเรื่องบังเอิญน่ะครับ”สุดฟ้าตอบออกไปพร้อมเสตาหลบ ให้บอกว่าสร้างมาเพื่อเป็นคนรักก็ดูน่าสมเพชเกินไป

ธัชนนท์ฝาแฝดคนพี่จึงกล่าวแทรกออกมาว่า “พอดีว่าพวกเรารู้จักซีตั้งแต่สมัยเรียนมหาวิทยาลัยแล้วน่ะครับ ตอนที่สุดฟ้ามันจะสร้างหุ่นยนต์ไม่รู้จะสร้างหน้าแบบใครดี เลยสร้างหน้าของซีขึ้นมาแทน”

มาริเอะจึงยกยิ้มรับคำพูดนั้น ขณะที่พรลภัสจับใบหน้าของมาริเอะพลิกซ้ายพลิกขวาเพื่อสังเกตให้ชัดๆ

“เรื่องชวิศา... ผมสัญญาว่าต่อไปนี้จะดูแลเขาเอง ผมรับรองได้ว่าจะไม่เกิดเหตุการณ์แบบคราวนี้ขึ้นอีกแน่”สุดฟ้าวกกลับมาพูดเรื่องที่ยังทิ้งค้างไว้อีกครั้ง

สุมุนตราถอนหายใจ

“หรืออย่างไร อย่างน้อยที่สุดควรถามความเห็นของชวิศาบ้าง”ชายหนุ่มกล่าวสมทบเพิ่มเติม เพราะเชื่อว่าชวิศาต้องเลือกอยู่กับตนแน่นอน

“ได้ ไว้ฉันช่วยหลานชายของฉันกลับมาแล้ว ให้เขาเป็นคนตัดสินใจว่าเขาอยากจะไปกับฉันหรืออยู่กับเจ้า”

“แล้วเรื่องที่ช่วยซีกลับมานี่จะต้องทำอย่างไรล่ะคะ”

“รอให้เจ้าพวกนั้นใช้งานพลังของหลานอีกครั้ง แล้วเราค่อยไปช่วยซีด้วยกัน”สุมุนตราหันไปตอบลูกสาว

“จะรออยู่เฉยๆนะหรือครับ ไม่กลัวว่าพวกนั้นจะทำอะไรชวิศาบ้างเหรอ”สุดฟ้าถาม

“อย่างเช่นอะไรล่ะ”

“ก็...”เขานึกไม่ออก จะให้บอกว่าฝ่ายนั้นจะหมายชีวิตชวิศาก็เป็นไปได้ยากจากเหตุการณ์เมื่อคืนวาน “อาจจะทำไม่ดีไม่ร้าย”

“ถ้าเกิดเหตุการณ์เช่นที่เจ้าสมมุติขึ้นมาจริงๆ เจ้าคิดว่า ตัวเจ้าจะทำอะไรได้”

+++++โปรดติกตามตอนต่อไป+++++

ออฟไลน์ ตีสี่

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 412
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-5
    • 61'
บทที่ยี่สิบสอง



เขาทำอะไรไม่ได้จริงๆ อย่างที่หญิงสาวผู้ที่มีศักดิ์เป็นยายของชวิศาพูด เพราะแม้จะมีข้อมูลสถานที่กบดานของกลุ่มจันทร์พยัคฆ์อยู่ในมือ แต่ความสามารถของเขาตอนนี้ทำได้แค่สร้างแผนผังอาคาร ยังไม่มีเทคโนโลยีใดในมือที่สามารถระบุตำแหน่งของคนที่ถูกพาตัวไปได้

สุดฟ้ายืนนิ่งขบคิด

“ทำใจเย็นๆแล้วก็นั่งรอก่อนดีกว่าไหม”เสียงของสุมุนตราดังขึ้นอีกครั้ง ยิ่งตอกย้ำความไร้ประโยชน์ของตนเอง สุดฟ้าสร้างสิ่งประดิษฐ์มามากมาย ตั้งแต่ของชิ้นเล็กๆ ไปจนถึงของชิ้นใหญ่อย่างเครื่องบินในเครือของบริษัทตระกูลสุวราลักษณ์ ของที่เขาสร้างมีทั้งสิ่งที่มีประโยชน์เป็นสินค้าขายดี และของเล่นของไร้สาระที่เขานึกอยากทำขึ้นมาใช้เองเฉยๆ สุดฟ้าไม่เชื่อว่าของพวกนั้นจะไม่มีของชิ้นไหนเลยที่ไม่สามารถช่วยให้เขาหาตัวชวิศาได้ ที่สำคัญที่สุด เขาไม่เชื่อว่าความสามารถของตัวเองจะสิ้นสุดแค่นี้

ชายหนุ่มเงยหน้าที่เคยก้มต่ำมองพื้นขึ้น นัยน์ตามีประกายบางอย่างที่บ่งบอกว่าภายในสมองกำลังมีแนวคิดดีๆ เขาหมุนตัวหาเก้าอี้ แล้วทรุดตัวลงนั่งหันหน้าเข้าหาโต๊ะวางแก้ว หยิบดิจิตอลไลท์มอนิเตอร์ขึ้นมาเปิดอีกครั้ง ขยับนิ้วมือเพื่อเตรียมรัวรหัสคำสั่งอีกครั้ง

“คิดอะไรออกแล้วเหรอ”ธัชนันท์เดินเข้ามาถาม

“อืม แต่ไม่รู้ว่าจะทำได้แค่ไหน”สุดฟ้าเอ่ยปากตอบด้วยความไม่แน่ใจ แม้จะมีแนวคิดอยู่ในหัวแต่เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้ทดลองทำจริงๆ

สเตบาสเตียนเดินเข้ามาหาแล้วส่งแคปซูลยาสีเทาๆมาให้ แคปซูลนี้เป็นสารอาหารอัดเม็ดที่จำเป็นต่อร่างกาย การที่เขาอึดถึกสามารถทำงานได้ทั้งวันทั้งคืนโดยไม่หลับไม่นอนนั้น มาจากความสามารถของสารอาหารที่อยู่ในแคปซูล ชายหนุ่มหยิบมันเข้าใส่ปาก เคี้ยวๆและกลืนโดยไม่คิดอยากจะทานน้ำตาม

สุดฟ้าดึงขยายหน้าจอไลท์มอนิเตอร์ให้กว้างเต็มสมรรถภาพ ฝากหนึ่งเป็นจอภาพแสดงผล อีกฝากเป็นหน้าต่างสีดำเพื่อแสดงโค้ดคำสั่ง แล้วดึงหน้าต่างแป้นพิมพ์มาไว้ด้านล่างของหน้าต่างการเขียนคำสั่ง เขาพรมนิ้วกดตัวอักษรด้วยความคล่องแคล่วเชี่ยวชาญ ครู่หนึ่งต่อมาภาพใบหน้าของชวิศาก็ปรากฎขึ้นบนหน้าจอ ก่อนที่หน้าต่างหนึ่งจะปรากฏภาพใบหน้าของผู้คนซึ่งเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว

“ทำอะไรวะ”

“ใช้ดาวเทียมถ่ายภาพหน้าคนในเขตสัญญาณหาเทียบกับหน้าของชวิศา อ๊ะ...ไม่ใช่สิ”สุดฟ้าขมวดคิ้วเมื่อฉุกคิดขึ้นมาได้ว่า ตอนนี้ชวิศาอาจจะอยู่ในอาคาร ไม่มีทางที่ภาพถ่ายภายนอกแบบนี้จะหาเจอ เขาจึงลงมือเขียนคำสั่งใหม่ก่อนชะงักมืออีกครั้ง

“อ่อ... แกสองคนเตรียมตัวไว้เลย ถ้าฉันเจอที่อยู่ของชวิศาเมื่อไหร่เราจะไปช่วยชวิศากัน”

“โอ๊ะ คิดว่าจะหาเจอแน่แล้วอย่างนั้นหรือ”เสียงขัดดังขึ้นมาจากสุมุนตราอีกครั้ง

“อย่างน้อยก็ดีกว่าอยู่เฉยๆ”

“ขอโทษนะครับ”เจ้าชายฟาลิฮ์กล่าวแทรกออกมาเป็นภาษาอังกฤษ พระองค์ได้แต่ยืนนิ่งเฉยมายาวนานเพราะแขกผู้มาเยือนแต่ละคนต่างใช้ภาษาที่สามที่พระองค์ไม่สามารถเข้าพระทัยได้ ก่อนจะได้สอบถามพูดกับมาริเอะถึงเนื้อหาที่ทุกคนพูดคุยกัน

“ถ้าอย่างไร พวกเราลองใช้ศิลาสารพัดนึกหาตำแหน่งที่อยู่ของคุณชวิศาดีไหมครับ”

ทุกคนในห้องต่างหันมองพระองค์เป็นจุดเดียว “ครั้งก่อนเพราะศิลาไม่สามารถระบุที่อยู่ของคุณชวิศาได้ ผมจึงไม่ทันนึก แต่ก็น่าจะลองดูอีกครั้ง”

“ความคิดดี ถ้าอย่างนั้นไปกันเลย”สุมุนตราร้องชม พลางลุกขึ้นยืนก้าวเท้าเดินนำ พรลภัสจึงลุกขึ้นเดินตาม ก่อนจะต้องหยุดเท้าเพราะเจ้าชายรัชทายาทรั้งเรียกให้เดินไปอีกทาง

“ศิลาสารพัดนึกไม่ได้อยู่ที่หอกลางเมืองแล้วหรือ”เธอถาม ซึ่งคำถามนั้นนำความสงสัยมาสู่เจ้าชายหนุ่ม

“คุณทราบด้วยหรือครับ ว่าศิลาควรอยู่ที่ไหน”

“อ่อ ลืมบอกไป เมื่อก่อนฉันก็เคยอาศัยอยู่ในฮัชดาลลาร์”คำตอบนั้นสร้างความแปลกใจให้ทุกคนที่เดินตามอยู่เป็นขบวน แม้แต่สุดฟ้า เขาก็สั่งหยุดคำสั่งโปรแกรมที่เพิ่งเขียนให้หยุดไว้ก่อนแล้วเดินตามมาด้วย

“เมืองเล็กๆที่แม่เคยเล่าให้หนูฟังตอนเด็กๆนะเหรอ”

“ใช่ แต่ตอนนี้ฮัชดาลลาร์เปลี่ยนไปจากเดิมเยอะเลย”

จากนั้นจึงเป็นบทสนทนาเกี่ยวกับอดีตในหนหลังระหว่างเจ้าชายแห่งฮัชดาลลาร์และสุมุนตรา กระทั่งมาถึงห้องที่กลายเป็นที่เก็บศิลาสารพัดนึกแห่งใหม่

“หือ”หญิงสาวสวยที่อายุอานามปาเข้าไปหลายร้อยส่งเสียงขานแปลกใจในลำคอ “เกิดอะไรขึ้น” เธอถามเมื่อเห็นลวดลายอักขระบนบานประตู

“ศิลาถูกขโมยไปครับ มิสเตอร์ศิริกรเพิ่งช่วยนำกลับคืนมาให้เมื่อไม่กี่วันก่อนนี่เอง”เจ้าชายฟาลิฮ์ตอบพร้อมกับวางพระหัตถ์บนบานประตู ไม่นานนักแสงเรืองรองก็ส่องสว่างออกมาจากฝ่ามือนั้นพร้อมกับอักขระบนบานประตูถูกดูดหายเข้าไปในฝ่าพระหัตถ์ข้างนั้น จวบจนอักขระอักษรทุกตัวหายไปสิ้น เจ้าชายจึงดันบานทวารเปิดประตูเข้าไปด้านใน

ศิลาสารพัดนึกถูกวางอยู่บนเบาะรองสีแดงเลือดนก ลูกแก้วทรงกลมโปร่งใสยังมีลักษณะเหมือนครั้งก่อนที่สุดฟ้าเห็น ภายในลูกแก้วยังมีกลุ่มควันลักษณะแปลกๆวนเวียนอยู่

“เปลี่ยนไปจากเดิมเยอะเลย แถมยังโดนเวทย์แปลกๆเข้าใส่อีก”

เจ้าชายฟาลิฮ์หันมองผู้พูดด้วยความแปลกพระทัย แม้จะนึกคาดเดาว่าสุมุนตราคงจะเป็นผู้เชี่ยวชาญเวทย์ผู้หนึ่งแต่ไม่คิดว่าเธอจะเก่งกาจถึงขั้นมองเห็นไอเวทย์ที่ติดอยู่บนศิลา ไอเวทย์ที่ว่านี้เป็นผลตกค้างหลังจากการร่ายเวทมนตร์

“พอจะแก้ไขได้ไหมครับ”เจ้าชายตรัสถาม

“ก็อาจจะได้ แต่คงต้องใช้เวลามากทีเดียว เอาไว้ช่วยซีได้แล้วค่อยมาจัดการแล้วกัน”ประโยคหลังเธอหันไปบอกเจ้าชาย จากนั้นจึงยื่นมือออกไป หยุดฝ่ามือข้างนั้นอยู่เหนือศิลาที่คล้ายลูกแก้วใส

“สิ่งที่ข้าต้องการรู้ คือคาถาเวทย์ผนึก ผู้ที่ข้าเป็นเจ้าของ”ข้อความที่เธอเอ่ยเป็นภาษาที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบันของฮัชดาลลาร์ แต่ในยามนั้นแม้สุดฟ้าจะไม่รู้ความหมายของมันแต่ก็ไม่เอ่ยสั่งให้พ่อบ้านประจำตัวแปลความหมาย เพราะทุกคนต่างเงียบกริบราวกับต้องการให้สุมุนตราได้ใช้สมาธิ

หลังจากสิ้นสุดคำพูดของหญิงสาว ศิลาสารพัดนึกก็ส่องแสงเรืองสว่างจ้าครอบคลุมไปทั้งห้อง ก่อนที่สภาพภายในห้องจะเปลี่ยนไปกลายเป็นห้องโล่งว่างเปล่าไร้ผ้าม่านระย้าแขวนบังหน้าต่าง ผนังปูนทาสีขาวที่ความเก่าโทรมทำให้มันเป็นสีเทามอซอ ที่สำคัญคือร่างของชวิศาซึ่งยังคงหลับสนิทอยู่บนตั่งไม้

“ซี”พรลภัสเป็นคนแรกที่ถลันเข้าไปหา ซ้ำยังจับสัมผัสร่างบนเตียงได้ เมื่อสุดฟ้าได้สติเขาจึงตามเข้าไปสมทบ

“ทำไมถึงเป็นเช่นนี้ได้”เจ้าชายฟาลิฮ์ตรัสถามอย่างไม่เชื่อสายพระเนตร

ทว่าอีกชั่ววินาทีถัดมา ห้องหับมอซอได้กลับกลายเป็นห้องที่ตั้งเก็บศิลาสารพัดนึกที่อยู่ในพระราชวังราซาห์ และแม้กระทั่งร่างของชวิศายังถูกดึงกลับมาด้วย สุดฟ้ารีบคว้าช้อนร่างของชวิศาด้วยอาการตื่นตกใจเมื่อตั่งนอนที่รับน้ำหนักร่างของชวิศาหายไปอย่างกะทันหัน

“ชวิศา ชวิศาตื่นสิ”สุดฟ้าร้องเรียกพลางเขย่าร่างกายของอีกฝ่าย

“ถึงจะพาตัวกลับมาได้ แต่เวทย์หุ่นเชิดก็ยังอยู่”

“แล้วจะทำอย่างไรล่ะครับ”

“มีสองวิธี ถอนเวทย์คำสั่ง หรือไม่ก็ฆ่าคนที่ใช้เวทย์ซะ ผู้ใช้เวทย์ตายคาถาก็คลายอัตโนมัติ”สุมุนตราตอบ

“ความมหัศจรรย์ของศิลาสารพัดนึกมีมากขนาดนี้ เราใช้ศิลาถอนเวทมนตร์ได้ไหมครับ”ธัชนนท์เอ่ยถามออกไปบ้าง

“เหมือนจะได้และก็เหมือนจะไม่ได้”สุมุนตรายังตอบคำถามด้วยเสียงเรียบเฉย ก่อนจะพูดว่า “คิดว่าเจ้าชายคงทราบอยู่แล้วว่าศิลาสารพัดนึดโดนเวทย์คำสั่งอะไรไปบ้าง”

“ครับ”

“ที่บอกว่าคนที่มีพลังเวทย์สัมผัสจะทำให้ตาย”ธัชนันท์ต่อข้อความ เจ้าชายฟาลิฮ์จึงขยายความต่อ “ไม่ใช่คนที่มีพลังเวทย์ครับ แต่เป็นสิ่งมีชีวิตทุกชนิด”

“การถอนเวทย์โดยใช้ศิลาจะต้องให้ซีถือศิลาไว้ ดังนั้นจึงต้องตัดทิ้งไปเลย”นอกจากนี้ ความขุ่นมัวของศิลาสารพัดนึกยังทำให้ความสามารถของศิลาลดลงอีกด้วย ซึ่งเรื่องนี้เธอไม่ได้พูดออกไป

หญิงสาวก้าวไปหาหลานชาย เธอบอกให้สุดฟ้าวางร่างของชวิศาลงกับพื้น แตะสัมผัสนิ้วมือบนหน้าผากของชวิศาทันใดนั้นก็ปรากฏวงแหวนซึ่งประกอบด้วยอักขระมากมายเรืองแสงลอยอยู่เหนือร่างของชวิศา เจ้าชายฟาลิฮ์สาวพระบาทเข้ามาทรุดพระวรกายประทับลงกับพื้น กวาดสายพระเนตรตรวจสอบอักขระเวทย์ทั้งหมด

“ถ้าขโมยแผ่นผนึกวิญญาณมาก็น่าจะได้นะครับ”

“เจ้าของเวทย์ย่อมต้องเก็บไว้กับตัวอยู่แล้ว”สุมุนตราพูด

ทว่าฉับพลันนั้น ชวิศาได้ลืมตาขึ้น วงแหวนเวทย์หายไปในพริบตาพร้อมกับฝ่ามือของชวิศาที่วาดป่ายเข้าหาคนที่อยู่ใกล้ที่สุด ต่างคนจึงผงะหลบกันอย่างไม่ทันตั้งตัว และเป็นมาริเอะกับสเตบาสเตียนที่ยืนอยู่วงนอกกระโดดเข้ามาคว้าจับร่างของชวิศาซึ่งยันตัวลุกขึ้นยืนหมายจะหลบหนี

เจ้าชายฟาลิฮ์ใช้เวทมนตร์สร้างเชือกมามัดข้อเท้าและข้อมือของชวิศาหลังจากนั้น ส่วนสุมุนตราสร้างลูกกรงขนาดยักษ์ครอบคลุมทับไว้อีกที ด้วยเหตุนั้น มาริเอะและสเตบาสเตียนจึงติดอยู่ในกรงไปด้วย อย่างไรก็ตามใช่ว่าชวิศาจะสิ้นฤทธิ์ ชายหนุ่มเป่าลูกเพลิงออกมาจากปาก ความร้อนของมันหลอมละลายซี่ลูกกรงเหล็กตรงหน้าได้อย่างง่ายดายและทำให้ไฟเริ่มลุกไหม้ในห้อง เพียงแต่ในวินาทีต่อมามันก็ถูกดับลงด้วยเวทย์คาถาของเจ้าชายผู้เป็นทายาทของปราสาทและคนติดตาม

จังหวะเดียวกันนั้น พรลภัสได้รี่เข้าประชิดตัวลูกชาย เธอเอ่ยปากสั่งมาริเอะและสเตบาสเตียนให้จับชวิศาไว้ให้แน่นพร้อมทั้งกดร่างของลูกชายให้นอนคว่ำลงกับพื้น ถลกเสื้อที่ชวิศาใส่ขึ้นพลางกัดปลายนิ้วให้เลือดไหล เขียนอักขระคาถาที่เธอเคยเขียนมาแล้วครั้งหนึ่งลงเป็นแผ่นหลังของชวิศา ก่อนถอยออกมาให้ผู้เป็นมารดาร่ายเวทย์กำกับซ้ำ เมื่อเวทย์ผนึกสำฤทธิ์ผล อักขระเลือดนั้นจึงได้จางหายเข้าไปในร่างกายของชวิศา

ชายหนุ่มร่างเพรียวยังพยายามดิ้นรนให้หลุดจากการจับกุม

“ไม่เป็นไรแล้วล่ะ”

มาริเอะและสเตบาสเตียนจึงคลายแรงที่จับยึด นั่นทำให้ชวิศาสะบัดหลุดจากการจับกุม นัยน์ตาของชวิศาว่างเปล่าแต่สีหน้าของชวิศามีแววฉงนเมื่อตนไม่สามารถดึงจักระออกมาใช้ได้

“พวกแกทำอะไร”เสียงถามนั้นยังเป็นเสียงของชวิศาทว่าภาษาที่ใช้กลับเป็นภาษาที่ชาวฮัชดาลลาร์กันอยู่ในปัจจุบัน

“ก็ผนึกซ้ำไง”สุมุนตราตอบด้วยท่าทางกระหยิ่มยิ้มย่องอย่างเหนือกว่า เธอตอบกลับไปด้วยภาษาเดียวกัน “คิดว่าผนึกของฉันจะกิ๊กก๊อกให้พวกแกดึงพลังของหลานชายสุดที่รักของฉันไปใช้ได้ง่ายๆอย่างนั้นหรือ ฝันไปเถอะ”

“หึ ตราบใดที่เวทย์หุ่นเชิดยังคงอยู่ หลานรักของแกก็ยังคงเป็นของฉันอยู่ดี”ว่าจบร่างกายของชวิศาก็กระโจนคว้าศิลาสารพัดนึกมาถือไว้

“มาลองดูกันว่าผู้ที่มีพลังระดับมหาเวทย์จะมีจักระกล้าแข็งกันสักแค่ไหน”ชวิศายกยิ้มพลางส่งเสียงหัวเราะออกมาอย่างสะใจ เมื่อเหตุการณ์เป็นเช่นนั้น พวกเขาทุกคนจึงตกอยู่ในภาวะตะลึงงัน ก่อนที่สุดฟ้าจะได้สติรู้ตัวสั่งให้สเตบาสเตียนเข้าไปแย่งศิลาออกมา

ศิลาสารพัดนึกนั้นแม้ชื่อจะบ่งบอกว่าเป็นหิน แต่ลักษณะของมันกลับคล้ายลูกแก้วใสที่มีขนาดเล็กสามารถกำได้มิดไว้ในฝ่ามือ ดังนั้นแม้ว่าสเตบาสเตียนจะพยายามยื้อแย่งมันออกจากกำมือของชวิศาก็ใช่ว่าจะทำได้ง่ายๆ

กล่าวถึงพี่ชายที่คอยดูแลเลี้ยงดูชวิศามาตลอดอย่างโยธิน ภูสิทธ์วรโชติ ซึ่งชายหนุ่มได้แต่ดูเหตุการณ์จากวงนอกมาตลอด หลังจากพาผู้มีศักดิ์เป็นอามาถึงฮัชดาลลาร์ เนื่องเพราะเขาไม่รู้ที่มาที่ไปของเรื่องราวทั้งหมด แม้จะเป็นห่วงน้องชายไม่ต่างจากมารดาของเจ้าตัว แต่เขารู้ว่า ขืนตัวเองเข้าไปยุ่งวุ่นวายทั้งที่ไม่รู้สถานการณ์จะเป็นสร้างเรื่องยุ่งยากมากกว่าผลดี เขาจึงได้แต่ยืนนิ่งรับข้อมูลและคอยประมวลผลคาดเดาเหตุการณ์ทั้งหลาย กระทั่งลูกพี่ลูกน้องโดนรุมมะรุมมะตุ้ม ถึงรู้สึกได้ว่า คงทนนิ่งอยู่เฉยๆต่อไปอีกไม่ได้ โยธินกระโดนเข้าไปช่วยน้องชายอย่างไม่รอช้า ยื้อฝ่ามือของสเตบาสเตียนที่ยึดข้อมือของชวิศาไว้

“ต้องรีบเอาศิลาออกมาครับพี่โย ถ้าสัมผัสศิลาสารพัดนึกจะทำให้ตายได้”ธัชนนท์รีบเข้ามาบอกชายหนุ่มผู้มากกวัยกว่า คำกล่าวนั้นทำให้โยธิชะงักมองหน้าน้องชายสุดที่รักอย่างตระหนก แต่เพราะชวิศายังดูปกติดี ความตระหนกจึงเปลี่ยนเป็นความคลางแคลงใจ

ทว่า แทนที่เวทมนตร์อันเป็นเงื่อนไขซึ่งทำให้ไม่มีใครสามารถสัมผัสศิลาได้จะทำงาน กลับกลายเป็นว่าหลังจากชวิศากำศิลาไว้ในมือในชั่วระยะเวลาหนึ่ง ศิลาสารพัดนึกกลับเกิดการปริแตกเสียแทน อาจเพราะมนต์ที่เป็นคำสาปให้ศิลาพรากชีวิตผู้สัมผัสมันยังเป็นผลเช่นปกติ เพียงแต่พลังตั้งต้นสำหรับสร้างเวทย์ของชวิศามากมายกว่าคนปกติแม้จะถูกผนึกพลังไว้แล้วก็ตาม

นอกจากรอยแตกร้าวที่ยาวขึ้นเรื่อยๆ ยังมีกลุ่มควันสีขาวพวยพุ่งออกมาจากหินใสในมือของชวิศาด้วย เหตุการณ์นั้นทำให้ทุกคนชะงักงัน และในเวลาไม่นานนัก ก้อนหินที่มีอายุกว่าสองพันปีในมือของชวิศาได้แตกเป็นเสี่ยง กลุ่มควันสีขาวหนาทึบค่อยๆจับตัวเข้าหากัน

“มันคืออะไร”เสียงใครสักคนหนึ่งถามขึ้น แต่ไม่มีใครให้คำตอบได้แม้แต่เจ้าบ้านผู้ที่ถือครองโดยชอบธรรม

กระทั่งควันสีขาวกลายรูปไปคล้ายมนุษย์ผู้หนึ่ง พวกเขาซึ่งอยู่ ณ ที่นั้นต่างตกอยู่ในอาการตะลึงอีกรอบ กระนั้นการขยับร่างกายของชวิศากลับทำให้พวกเขาละความสนใจจากชายหนุ่มผู้ก่อเกิดจากควัน

ชวิศาวิ่งออกไปนอกห้อง พาให้โยธิน สเตบาสเตียนและมาริเอะวิ่งตามออกไป ชายหนุ่มร่างเพรียวบางวิ่งชนกระจกอาคารซึ่งกั้นระเบียงด้านนอกอย่างไม่ลังเล แต่การกระทำนั้นส่งผลให้โยธิใจหายวาบ พวกเขาอยู่บนชั้นที่ห้าของอาคารพระราชวัง ความตระหนกเป็นห่วงของโยธินเปลี่ยนเป็นความโกรธขึ้งขึ้นมาทันที แม้จะยังรู้เรื่องราวไม่ละเอียดแต่เขานึกแค้นพวกที่ทำให้ชวิศาพบกับเหตุการณ์อันตรายจนอยากจะเหยียบให้อีกฝ่ายจมดิน

โยธินกระโดดคว้าตัวน้องชายอย่างไม่ลังเล ตอนนั้นเขาจึงสังเกตเห็นว่า มือข้างหนึ่งของชวิศาอยู่ในอุ้งมือของชายแปลกหน้าซึ่งยืนอยู่บนหลังสัตว์หน้าตาประหลาดๆ ที่สำคัญสัตว์ตัวนั้นลอยอยู่กลางอากาศ

ชวิศาใช้เท้ายันร่างของลูกพี่ลูกน้องอย่างไม่นึกใยดี สะบัดตัวเองให้หลุดจากการจับกุม โยธินพยายามยื้อไว้สุดแรงเกิดเพียงแต่ร่างกายของเขาเองก็ลอยเคว้ง ขาสองข้างถูกจับยึดไว้มือแข็งแรงของหุ่นยนต์อัจฉริยะอย่างมาริเอะและสเตบาสเตียน สุดท้ายแล้ว ชวิศาก็สลัดเขาหลุด โยธินเห็นน้องชายปีนขึ้นไปบนหลังสัตว์หน้าตาประหลาด ทำท่าคล้ายจะบินหายไปถ้าเจ้าชายรัชทายาทไม่เร่งส่งสัญญาณบางอย่าง ด้วยเหตุนั้น ยังไม่ทันที่ชวิศาและชายแปลกหน้าจะพ้นจากขอบเขตสายตา เหล่าทหารองครักษ์บนหลังสัตว์บินได้อย่างกริฟฟอนต่างล้อมทั้งสองคนนั้นไว้ทุกทาง

สุมุนตราก้าวเท้าตามไปสมทบด้วยเวทย์เหยียบเวหาของตน พรลภัสเองก็สามารถใช้เวทมนตร์ที่ทำให้ตนยืนอยู่บนอากาศได้เช่นเดียวกัน และแม้แต่เจ้าชายฟาลิฮ์ก็ยังมีพาหนะมีปีกเป็นกริฟฟอนประจำพระองค์

“พวกเราจะเอายังไงล่ะเนี่ย แต่ละคนบินได้ทั้งนั้นเลย”ธัชนันท์หันไปถามเพื่อนสนิท

“เรียกมอเตอร์สเปซ”สุดฟ้าบอกออกมา สเตบาสเตียนขานรับคำสั่งก่อนจะเชื่อมต่อระบบเพื่อสั่งเคลื่อนย้ายยานพาหนะ

เบื้องหน้าที่พวกเขาเห็นเริ่มมีการปะทะกันบ้างแล้ว ภาพที่อยู่ในระยะสายตานั้น คล้ายกับมีลูกไฟหลากสีพุ่งเข้าชนกัน บางครั้งคล้ายมองเห็นระลอกคลื่นเบื้องหน้าชายแปลกหน้าที่ยืนบังร่างของชวิศาไว้ ชายหนุ่มร่างเพรียวผู้เป็นเจ้าของพลังระดับมหาเวทย์ไม่สามารถใช้พลังของตนได้ ทว่ากลับร่ายคาถาควบคุมพลังรอบตัวได้อย่างไม่น่าเชื่อ คนธรรมดาอย่างสุดฟ้า ธัชนนท์ ธัชนันท์ และโยธินได้แต่ยืนดูด้วยอาการร้อนรน ไม่นับรวมสเตบาสเตียนและมาริเอะ หุ่นยนต์อัจฉริยะทั้งสองตนมีโปรแกรมสำหรับต่อสู้ แต่ถ้าเข้าไปร่วมกับการต่อสู้ของพวกพลังเหนือธรรมชาติ หุ่นยนต์ที่สุดฟ้าภูมิใจก็อาจจะกลายเป็นแค่เศษเหล็ก

มอเตอร์สเปซเคลื่อนที่มาจอดลอยตัวอยู่หน้าบานหน้าต่างที่พวกเขายืนอยู่

“แล้วยังไง แกคิดว่าพวกเราจะเหลือรอดเหรอ ถ้าไปร่วมวงกับพวกนั้น”ฝาแฝดคนน้องถามต่อ

“ไม่”สุดฟ้าตอบพลางปีนขึ้นไปยืนบนขอบหน้าต่างที่เศษกระจกคมแหลมถูกทำเรียบหายไปโดยฝีมือสเตบาสเตียนและมาริเอะ เขาก้าวกระโดดไปยืนบนหลังคายานพาหนะ “ฉันไม่เคยทดลองอุปกรณ์ของฉันกับสิ่งที่เรียกว่าพลังเวทย์ รวมกับค่าข้อมูลของมาริเอะที่เคยต่อสู้กับพลังเวทย์มาแล้ว โอกาสที่โดดเข้าไปขวางแล้วยังอยู่รอดปลอดภัยน่าจะราวๆยี่สิบเปอร์เซ็นต์”

“ถือว่าเยอะ”ธัชนนท์ตอบ ขณะกระโดดตามน้องชายฝาแฝดขึ้นไปยืนบนหลังคามอเตอร์สเปซ

สุดฟ้าไม่สามารถสั่งให้มอเตอร์สเปซเปิดประตูได้ เพราะตอนที่เขาสร้างกำหนดให้ประตูทั้งสี่ด้านอยู่ในภาวะล็อกเสมอตอนที่ลอยตัวอยู่บนอากาศเพื่อความปลอดภัยของผู้ที่โดยสารในยานยนต์ ก็ใครจะไปคิดว่าจะได้ใช้รถยนต์บินได้กับเหตุการณ์ทำนองนี้ ชายหนุ่มได้แต่เพิ่มหัวข้อการปรับปรุงอีกข้อลงในสมอง

พวกเขาทั้งสามคนหันไปมองโยธินที่ยังยืนนิ่ง จึงเห็นชายหนุ่มผู้ก่อเกิดจากควันยืนมองพวกเขาอยู่เช่นกัน

“พี่โยไม่ไปด้วยกันหรือครับ”ธัชนันท์ถาม

“แล้วสองคนนี้”

“สเตบาสเตียน มาริลงไปรอข้างล่าง”จบคำสั่งของสุดฟ้า หุ่นทั้งสองก็กระโดดลงไปรออยู่บนพื้นอย่างรวดเร็ว “อ่อ ฉันว่าจะเรียกเดย์มาด้วย”

“ง่ะ”ฝาแฝดคนน้องขมวดคิ้วทำหน้าหงิก “ถ้าจบเรื่องแล้วแกสัญญาจะซ่อมให้ฟรี ฉันยินดีจะให้ยืม”

“หุ่นนั่นมันของของฉัน”สุดฟ้าเค้นเสียงตอบ กดเปิดดิจิตอลไลท์มอนิเตอร์คีย์คำสั่งเรียกให้เดย์มาสมทบโดยไม่รอคำอนุญาต เงยหน้าเหลือบสายตาไปเห็นว่าโยธินยอมมายืนบนหลังคามอเตอร์สเปซด้วยกันแล้ว จึงป้อนคำสั่งให้ยานยนต์เคลื่อนที่สู่พื้น

ยามนั้นชายหนุ่มผู้มีร่างกายคล้ายวิญญาณจึงลอยตามลงมาด้วย

“ตกลงพี่แกเป็นผีเหรอวะ”

“ออกมาจากหินที่แตกๆแบบนั้น คงเป็นคนเป็นๆมั้ง บางครั้งแกก็โง่นะ ไม่เคยดูหนังแม่นาคเหรอ ที่ผีโดนจับใส่หม้อถ่วงน้ำอ่ะ ฉันว่าศิลาสารพัดนึกมันเทพแบบทำได้ทุกอย่างเพราะมีผีสิงอยู่ในหินแหงๆ”

“ที่ข้าสามารถบันดาลได้ทุกสิ่งเพราะพลังในผนึกของศิลาต่างหาก”

“เมื่อกี้ฉันรู้สึงเหมือนมีเสียงพูดดังขึ้นในหัว”ธัชนันท์ทำท่าแปลกใจระคนไม่แน่ใจ

“บางทีแกก็โง่ในเรื่องง่ายๆเหมือนกันนั่นแหละ ได้ยินเขาพูดชัดเจนจะมาสงสัยอะไรอีก”สุดฟ้าว่ากลับไปบ้าง ก่อนจะหันไปคุยกับชายแปลกหน้า จากนั้นจึงโดดลงจากหลังคายานยนต์เมื่อมอเตอร์สเปซจอดนิ่งบนพื้น

“เท่ากับว่าตอนนี้คุณทำอะไรไม่ได้แล้ว”

“ข้าเป็นเพียงดวงจิต”

“อย่างนั้นไว้จบเรื่องค่อยคุยล่ะกันครับ”ชายหนุ่มพูดพลางเดินไปเปิดกระโปรงท้ายของรถยนต์ ภายในนั้นมีพื้นที่ด้านหนึ่งซึ่งเป็นพื้นที่สำหรับวางอุปกรณ์ต่างๆของสุดฟ้า ส่วนอีกด้านเป็นกรอบสีดำนูนคล้ายฝาปิดกล่อง สุดฟ้าวางนิ้วมือบนแผ่นสีดำเงาเรียบขนาดหนึ่งคูณหนึ่งนิ้วที่อยู่ด้านบน จากนั้นจึงปรากฏให้เห็นหน้าจอที่มีข้อความว่า ‘รหัสถูกต้อง’ ก่อนที่ฝากล่องใบนั้นจะถูกเปิดออก

ชายหนุ่มหยิบชุดที่ถูกพับเก็บอยู่ภายในส่งให้เพื่อนสนิท ชุดดังกล่าวคล้ายกับสูททหาร หน้าตาเหมือนชุดหมีสำหรับช่างซ่อม มีลักษณะเป็นชุดสวมทั้งตัวมีซิปด้านหน้า สีของชุดเป็นสีดำสนิท

สุดฟ้าอยากได้อุปกรณ์แปลงร่างที่เมื่อกดปุ่มแล้วเสื้อผ้าเปลี่ยนไปคล้ายกับชุดสูทสำหรับต่อสู้อย่างในขบวนการห้าสี แต่เพราะพยายามทำอย่างไร อุปกรณ์แปลงร่างที่ว่าก็ไม่ประสบผลสำเร็จสักที เขาจึงต้องเปลี่ยนมาสร้างชุดที่ช่วยเพิ่มสมรรถภาพร่างกายในการต่อสู้เสียแทน เคยทำเป็นชุดสีแดงตัวเด่นของขบวนการห้าสีในเวอร์ชั่นทดลองแรกๆ แต่โดนฝาแฝดหัวเราะจนหมดความมั่นใจ เลยหักดิบใช้สีดำเสียเลย

“สุดท้ายแกก็ต้องให้ฉันใส่”ธัชนันท์พูดด้วยน้ำเสียงเยาะเย้ย เนื่องจากเมื่อตอนแรกๆที่สุดฟ้าเอาของเล่นชิ้นนี้มาโชว์ มันดูเท่มากจนเขาอยากได้ แต่เจ้าตัวคนสร้างกลับกั๊กไว้ไม่ยอมปล่อยให้ใครได้แตะ ที่สำคัญเจ้าเพื่อนตัวดีมันทำมาสามตัว!!! คิดอย่างไร มันก็ทำมาให้ตัวมันเอง พี่ชายและตัวเขาชัดๆ!!!

“งั้นแกก็โดดไปร่วมวงกับเขาตัวเปล่าๆละกัน”สุดฟ้ากระชากชุดสูทที่ว่าออกจากมือเพื่อนสมัยเด็กทันที

“เฮ้ย! ได้ไง!”

“ได้ดิ หรือถ้าป็อดก็ยืนดูอยู่เฉยๆนะเอ๋อ”

“หยุดทะเลาะกันได้แล้วน่า”พี่ชายคนโตอย่างธัชนนท์เอ่ยตัดบทอย่างนึกรำคาญ “บอกแผนของแกมาได้แล้ว”

“ไม่มี”สุดฟ้าตอบ “แค่ชิงตัวชวิศา”

“แกก็รู้ว่าซีโดนเวทมนตร์ควบคุมอยู่ ได้ตัวมาเขาก็พยายามหนีไปอยู่ดี”

“อีกอย่างคือ ของทุกอย่างของแกสู้พลังเวทย์ไม่ได้นี่”

“พูดอย่างนี้เหมือนจะปล่อยให้น้องชายพี่ไปตามเวรตามกรรม”โยธินพูดขึ้นมาบ้างเมื่อฝาแฝดสุวราลักษณ์แย้งด้วยถ้อยคำที่เข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ย

“เอ้ย เปล่าพี่โย พวกผมไม่ได้หมายถึงแบบนั้น”แฝดคนน้องร้อนรนปฏิเสธ ส่วนแฝดคนพี่พยักหน้าหงึกๆสนับสนุนคำพูดของน้องชาย

สุดฟ้ายิ้มเยาะฝาแฝดก่อนจะกล่าวไปว่า “เรื่องแก้เวทมนตร์ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของคุณยายของชวิศาเขา พวกเราทำแค่จับชวิศาไว้ไม่ให้หนีไปได้ก็พอ”

“พวกผมไม่ได้คิดที่จะไม่ช่วยชวิศานะพี่โย แต่แกก็เห็นนะสุดฟ้า ตอนอยู่ในห้องซีโดนรุมขนาดนั้นยังหาทางหนีออกมาได้”

“ไม่เห็นยาก ใช้ปืนยาสลบยิงผลัวะเข้าไป ทีนี้ก็หนีไม่ได้แล้ว”สุดฟ้าพูด ทว่ากลับมีเสียงแย้งมาจากร่างที่คงเหลือเพียงแค่ดวงจิต

“ไม่ได้”

พวกเขาหันไปมองคนที่ส่งคำพูดตรงมายังสมอง

“โอสถที่มีฤทธิ์บังคับร่างกายให้นอนหลับเป็นปฏิปักษ์ต่อเวทย์คาถาควบคุมร่าง เวทมนตร์ที่ควบคุมร่างกายผู้อื่น มักจะเป็นคาถาที่ต้องใช้ยามที่ผู้ต้องคาถาอยู่ในภาวะไร้สติเพื่อป้องกันการต่อต้านจากเจ้าของร่าง ดวงจิตของเจ้าของร่างจะถูกสะกดให้จำศีล ยามที่แก้คาถาจะต้องใช้มนตราปลุกดวงจิตให้ตื่นขึ้น”

“ไม่น่าจะเกี่ยวกัน เราใช้ยาสลบเพื่อให้ชวิศาหลับไปไม่แค่กี่นาทีเท่านั้นเอง”สุดฟ้าแย้ง
“อย่างไรก็ไม่ได้ เพราะยามที่กายเนื้อหลับใหลดวงจิตจะล่องลอยออกจากร่าง และดวงจิตที่ถูกสะกดจะล่องลอยหายไป”

เมื่อได้ยินคำอธิบายเช่นนั้นมนุษย์ทั้งสี่คนจึงได้แต่มองหน้ากันเอง

“ฉันเชื่อ”โยธินพูดออกมาก่อน แม้จะไม่ได้ปักใจเชื่อร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่สิ่งใดที่จะทำให้น้องชายเป็นอันตราย เขาขอรับฟังและป้องกันไว้ก่อน

“แล้วถ้าซัดจนสลบล่ะ”คำถามนี้ธัชนนท์พูดออกมา แต่เขาตั้งใจถามทั้งโยธินและชายผู้เหลือเพียงดวงจิต

“กายหยาบของผู้โดนคาถาอยู่ในภาวะไร้สติอยู่แล้ว สิ่งที่ต้องทำคือทำให้ดวงจิตของผู้ควบคุมหลุดออกจากร่าง”

“เหมือนคนที่โดนผีสิง? อย่างนี้คุณเข้าไปสิงร่างของซีแทนไม่ได้เหรอ”ธัชนันท์ถามบ้าง

“ไม่ได้ ดวงจิตของผู้ใช้เวทย์ถูกผูกไว้ด้วยคาถา”

“ในเมื่อคุณรู้อยู่แล้วว่าทำอย่างไรถึงจะได้ร่างกายของซีคืน ฉันว่าให้คุณคนนี้เขาแนะนำดีกว่าไหม”โยธินพูดถามในเชิงขอความคิดเห็น แต่กระนั้นคำพูดดังกล่าวก็คล้ายกับการบังคับกลายๆ ทั้งเขายังไม่คิดยอมให้ใครปฏิเสธ

+++++โปรดติดตามตอนต่อไป+++++

*// เรารู้สึกงงทุกครั้งเลย ที่กลับมาดูกระทู้ของตัวเองแล้วมียอดวิวเพิ่มขึ้น สรุปว่ามีคนอ่านเรื่องนี้เหมือนกันใช่ไหม?//*


ออฟไลน์ ตีสี่

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 412
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-5
    • 61'
ตอนที่ยี่สิบสาม



เมื่อศิลาสารพัดนึกแตกสลายไป อำนาจพลังที่เคยปกป้องคุ้มครองฮัชดาลาร์ก็ได้หายไปด้วย และแน่นอนว่าผู้มีพลังเวททุกคนล้วนรับรู้ถึงม่านพลังที่สลายไป

ยามที่ศิลาถูกขโมยไปจากฮัชดาลลาร์ ครั้นนั้นดูเหมือนว่าพลังที่ปกปักเมืองจะหายไป แต่ในความจริงแล้วมนตราเวทที่ปกป้องเมืองยังคงอยู่เพียงแต่พลังนั้นเบาบางจนยากจะรับรู้ได้ซึ่งต่างกับคราวนี้ ฮัชดาลลาร์นับแต่อดีตตั้งแต่มีศิลาสารพัดนึกถือกำเนิดขึ้นเหมือนเมืองที่ถูกหยุดเวลาไว้ ดังนั้นเมื่อพลังเวทอันยิ่งใหญ่สูญสลาย เวลาของเมืองจึงเคลื่อนเดินอีกครั้ง ทว่าเวลาที่เคลื่อนเดินนั้นรวดเร็วเสียจนถ้าเพียงหยุดยืนสังเกต พวกเขาจะรับรู้ได้ทันที เพียงแต่ว่า เพราะการต่อสู้รบพุ่งเหนือน่านฟ้าพระราชวังราซาร์ได้ดึงความสนใจของผู้คนไปเสียหมด

จากฝ่ายตั้งรับที่มีเพียงสองคนอันได้แก่ ชวิศาที่ถูกควบคุมโดยผู้อื่น และชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ผู้เป็นเจ้าของสัตว์ประหลาดที่ลอยตัวอยู่กลางอากาศได้ มาบัดนี้ กลุ่มคนในนาม ‘จันทร์พยัคฆ์’ ได้ปรากฏตัวเพิ่มมากขึ้น เหตุผลหนึ่งนั่นคือ พลังของศิลาสูญสลายไปสิ้นแล้ว การปะทะจึงขยายวงกว้างขึ้น

เหล่าชาวเมืองผู้ไม่ใคร่กระหายในอำนาจจึงทำเพียงแต่เฝ้ามองอย่างระแวดระวังภัยอันตราย แม้ว่าชาวเมืองส่วนมากจะนิยมพกพาอาวุธติดตัวและฝึกการใช้อาวุธเป็นเรื่องปกติ แต่การฝึกฝนทุกอย่างล้วนเป็นไปเพื่อการพัฒนาร่างกายและพลังเวทในกายตน นอกจากนี้เพราะฮัชดาลลาร์เป็นเมืองที่ดำรงอยู่มาอย่างยาวนาน รากฐานด้านอารยธรรมจึงถูกสืบทอดต่อเนื่องเป็นพันปี ผู้คนส่วนใหญ่เป็นผู้มีปัญญา มีคุณธรรมและรักสงบ

ถึงกระนั้น มนุษย์ก็ยังคงเป็นมนุษย์

มนุษย์คือผู้ที่ไม่สามารถละกิเลสได้ฉันใด ทุกพื้นที่ย่อมมีคนลุ่มหลงมัวเมาในความอยากได้อยากมีฉันนั้น

ผู้คนที่แตกความคิดเป็นสองฝั่งต่างมุ่งเข้าฟาดฟันโรมรันอย่างไม่มีใครยอมใคร ต่างคนต่างหมายห้ำหั่นให้อีกฝ่ายตายตกไปเสีย

สุดฟ้ามองความชุลมุนที่ลุกลามจากบนฟ้าลงมาถึงพื้นลานพระราชวังด้านล่างกลายเป็นการจลาจลขนานใหญ่ ฝ่ายตรงข้ามคงหมายจะเข้ายึดวังหลวงให้ได้ ขณะที่พวกเขาเตรียมตัวละแผนการไว้พร้อม เสียแต่ยังหาเป้าหมายของภารกิจไม่เจอ

ชายหนุ่มจ้องสายตาอยู่บนหน้าจอดิจิตอลไลท์มอเตอร์ มองภาพที่ถูกส่งมาจากจักจั่นแมลงติดตามที่ถูกเปลี่ยนหน้าที่ ให้บินสำรวจพื้นที่โดยรอบ ส่วนพวกเขาขยับย้ายที่กลับมาตั้งหลักที่เรือนรับรองซึ่งเจ้าชายฟาลิฮ์ได้อนุญาตให้พวกเขาพักอาศัย เมื่อคลาดกับชวิศายามที่กลุ่มคนที่หมายจะยึดครองพระราชวังราซาห์มาร่วมสมทบเพิ่มมากขึ้น

“ไม่เจอเลย หายไปไหนของเขานะ”

“พวกเจ้ามีของใช้ของซีบ้างหรือเปล่า อย่างเช่นเสื้อผ้า”

โดยไม่ต้องรอให้สุดฟ้าสั่ง มาริเอะก็รีบวิ่งไปหยิบเสื้อผ้าของชวิศาลงมาให้

“คุณจะทำอะไร”

“ตามหาซี”
 
“มีเวทมนตร์ที่ใช้ตามหาคนได้ด้วยเหรอ ทำไมครั้งก่อนไม่เห็นมีใครใช้” ธัชนนท์เอ่ยปากแสดงความคิดเห็นอย่างสงสัย

“เพราะศิลาสามารถตามหาสิ่งใดก็ได้โดยใช้เพียงแค่พลังเวทของผู้ร้องขออย่างไรเล่า”

คนถามพยักหน้ารับรู้ จากนั้นชายผู้เหลือแค่ดวงจิตจึงบอกให้สุดฟ้าถือเสื้อของชวิศา ก่อนที่เขาจะรู้สึกว่าร่างกายมีบางสิ่งแปลกไป

“อย่าฝืน” เสียงนั้นบอกซ้ำ เขาจึงได้ปล่อยให้ร่างกายผ่อนคลายเป็นอิสระ สุดฟ้ารู้สึกได้ถึงความร้อนที่หมุนวนอยู่ภายในร่าง มันวิ่งวนไปทั่วจนเขาต้องพยายามตั้งสมาธิอยู่กับลมหายใจของตัวเอง ก่อนที่ดวงตาของสุดฟ้าจะเบิกกว้างด้วยความตระหนก เมื่อดวงไฟสีน้ำเงินลุกพรึบขึ้นในมือเผาไหม้เสื้อผ้าของชวิศาจนเหลือแค่เถ้าพร้อมความกับการรับรู้ที่ปรากฏขึ้นในมโนความคิด

“หลับใหลในที่ซ่อน”
 
เขาหันไปมองชายผู้มีร่างโปร่งใส ข้อความนั้นราวกับเป็นถ้อยคำสรุปสิ่งที่เขาเองก็ได้รับรู้เช่นเดียวกัน สิ่งที่ปรากฏขึ้นมาในความคิดของชายหนุ่มไม่ใช่รูปภาพ ไม่ใช่ข้อความ มันคล้ายคำพูดแต่ก็คลายประกายความคิดที่ผุดวาบขึ้นมาในเสี้ยววินาที และถึงแม้เหมือนจะรู้ว่าชวิศาอยู่ที่ไหน แต่สุดฟ้าพูดได้อย่างเต็มปากว่าเขาไม่อาจบอกคนอื่นได้ว่าที่นั่นคือที่ใด

“แล้วมันที่ไหนล่ะ” โยธินถามซ้ำ

สุดฟ้าได้แต่นิ่งเงียบด้วยเพราะจนคำพูด ไม่อาจอธิบายให้ใครเข้าใจได้ สถานที่นั้นไม่มืดแต่ไม่สว่าง ไม่กว้างแต่ไม่แคบ และเขาก็รู้สึกว่าชวิศาเหมือนจะนอนหลับอยู่เท่านั้น

“มิติเวท”

อ่อ... สุดฟ้าร้องอุทานในใจ

“เหมือนที่ซีและมาริเคยโดยจับไปครั้งก่อน” สองพี่น้องฝาแฝดพูดออกมาพร้อมกัน

“อย่างนั้นยิ่งหายากเข้าไปใหญ่” ธัชนันท์พูด

“โดนจับไปครั้งก่อนคืออะไร” โยธินถามขึ้นมาบ้าง ธัชนนท์จึงต้องหันไปเล่าให้ฟังคร่าวๆ พลางย้ำไปอีกว่า พวกเขาจะเดินทางกลับกันแล้ว แต่ชวิศาก็มาโดนจับตัวซ้ำไปอีก

สุดฟ้าที่ยืนนิ่งด้วยความงงงันมานานเริ่มได้สติขึ้นมาบ้าง เขาจึงหันไปถามหุ่นยนต์ที่หน้าตาคล้ายชวิศา “มาริ ครั้งก่อนที่โดนจับไปมีอะไรเป็นจุดสังเกตบ้าง”

“สถานที่ที่ผมกับคุณชวิศาถูกจับไปไม่มีสิ่งใดเป็นพิเศษครับ ห้องนั้นไม่มีหน้าต่าง ไม่มีดวงไฟ แต่ค่าความสว่างอยู่ในระดับมาตรฐาน ทุกครั้งที่ผมกับคุณชวิศาถูกควบคุมให้ย้ายสถานที่จะมีประตูปรากฏที่ผนัง ผมกับคุณชวิศาแค่ถูกคุมตัวให้เดินไปที่อีกห้องเท่านั้น”

“นั่นแหละ” สุดฟ้าร้องออกมาอย่างยินดีพร้อมกับเปิดหน้าต่างให้ไลท์มอนิเตอร์เตรียมจะดึงข้อมูล ทว่าข้อมูลที่เขาต้องการกลับปรากฏขึ้นเสียก่อน

“ดึงข้อมูลบันทึกเรียบร้อย” เสียงพูดดังมาจากสเตบาสเตียน สุดฟ้าหันไปยิ้มให้

“รู้ใจจริงๆ ขอบใจมาก”

“ได้เรื่องแล้วใช่ไหม” ธัชนันท์ถาม

“ไม่หรอก ที่ปรากฏบนนี้มีอยู่สามจุด ในพระราชวัง และตำแหน่งนอกเมืองที่พวกเราไปช่วยชวิศาเมื่อครั้งก่อน”

“หมุดเวทอาจจะมีเยอะมาก” ฝาแฝดคนพี่พูดขึ้นมา สุดฟ้าพยักหน้ารับ “ถ้ามันเป็นคอมพิวเตอร์ฉันคงจะเจาะระบบแล้วหาที่ตั้งเซิร์ฟเวอร์ เมนเฟรมหรือฮาร์ดดิสตัวอื่นๆ ไปแล้ว อีกอย่างพวกเราใช้เวทมนตร์ไม่ได้ก็เข้าไปสำรวจภายในไม่ได้”

เขาเริ่มท้อแท้อีกแล้ว

ถ้าเป็นเรื่องอุปกรณ์หรือเทคโนโลยีบนโลกใบนี้ สุดฟ้าคิดว่าตัวเองไม่มีทางแพ้ใคร แต่พอเป็นเรื่องเวทมนตร์เขากลับกลายเป็นแค่ไอ้งั่งที่ทำอะไรไม่ได้ คิดไปคิดมาก็ทำให้พาลนึกเสียใจ ที่มัวแต่นึกอยากสนุกจนไม่ได้คิดหน้าคิดหลังให้ดี แค่เขาคนเดียวที่ต้องลำบากมันคงไม่เท่าไหร่ แต่นี่... เขาเป็นคนพาให้ชวิศามาเจอเรื่องบ้าบออะไรนี่ด้วย โพรงจมูกของสุดฟ้าแสบร้อนจนต้องยกมือขึ้นกุมขมับแสร้งเป็นกำลังครุ่นคิดเพื่อข่มกลั้นอาการนัยน์ตาร้อนผ่าว

“ข้ารู้คาถาแต่ไม่อาจใช้มนตราเพราะข้าเป็นเพียงดวงจิต ถ้าเจ้าให้ข้ายืมจักระของเจ้า เรื่องที่เกี่ยวกับมนตราเวทข้าจะเป็นผู้จัดการให้เอง”

“ได้เลย!!!” ทั้งสุดฟ้าและสองหนุ่มฝาแฝดของบ้านสุวราลักษณ์ต่างประสานเสียงตอบพร้อมกัน

“จะสิงร่างใครก็ได้ทั้งนั้น” สุดฟ้าหันไปบอก

“ด็อกเตอร์ครับ” สเตบาสเตียนกล่าวแทรกขัดจังหวะ “ตรวจจับพบสัญญาณความร้อนจากร่างกายมนุษย์ในรัศมีห้าร้อยเมตรกำลังเคลื่อนที่มายังเรือนรับรองครับ”

“ต้องหนีกันแล้ว” ฝาแฝดคนน้องกล่าวขึ้นพลางเดินไปเก็บอุปกรณ์ทุกอย่างของสุดฟ้าที่อยู่ในบ้านไปใส่ไว้ที่กระโปรงหลังของมอเตอร์สเปซ เพราะกลัวว่าเทคโนโลยีของเพื่อนสนิทตกไปอยู่ในมือของคนอื่น เวทมนตร์ในฮัชดาลลาร์อาจจะเป็นสิ่งสำคัญ แต่โลกภายนอกนั่นอุปกรณ์แปลกๆ ของสุดฟ้ากลับเป็นสิ่งที่มีมูลค่ามหาศาล

“ฉันว่าให้สเตบาสเตียน มาริและเดย์ออกไปเจอที่นอกเมืองก่อนเถอะว่ะ จุดที่มีหมุดเวทเมื่อครั้งก่อน” ธัชนนท์ออกความคิดเห็น เนื่องจากมีผู้ชายตัวโตๆ จำนวนสี่คนที่ต้องเดินทางโดยมอเตอร์สเปซ พวกหุ่นยนต์จึงต้องหาทางไปกันเอง แต่นั่นไม่ใช่เรื่องลำบากของหุ่นยนต์พ่อบ้าน เพราะสุดฟ้าดันติดเครื่องไอพ่นให้สเตบาสเตียนไว้ด้วย เพียงแต่มีแค่สเตบาสเตียนเท่านั้นที่มีอุปกรณ์พิเศษชิ้นนี้

“ก็ตามๆ กันไปนี่แหละ เกิดอะไรขึ้นพวกสเตบาสเตียนจะได้ช่วยได้”

เขาทั้งสองคนพูดคุยกันพลางเดินตามกันมาขึ้นพาหนะ สุดฟ้านั่งด้านหน้าคู่กับฝาแฝดคนพี่ ส่วนด้านหลังคือโยธินกับธัชนันท์ที่มีวิญญาณในศิลานั่งอยู่ตรงกลาง สองคนที่นั่งอยู่ด้านหลังจึงต้องนั่งเบียดอยู่กับประตู ถึงแม้ร่างนั้นจะโปร่งใสสัมผัสไม่ได้แต่เพราะมองเห็นพวกเขาจึงรู้สึกเกรงใจที่ต้องนั่งเบียด

“คุณไม่บินตามไปเหรอ” แฝดน้องเอ่ยปากถาม

“ข้าชอบพาหนะเช่นนี้ สมัยที่ข้ามีชีวิตอยู่ไม่มีสิ่งของที่หน้าประหลาดที่บินบนฟ้าได้ ข้าจึงอยากสัมผัสให้พอใจ”
 
“อ้าว ตอนที่คุณมีชีวิตอยู่ไม่ขี่ไม้กวาดกันเหรอ”

“ขี่ไม้กวาด? เหตุใดผู้ใช้เวทต้องขี่ไม้กวาด ข้าเห็นก็มีแต่เด็กฝึกมนตราที่ใช้คาถาควบคุมไม้กวาดเล่นกัน”

“อ้าว” ฝาแฝดคนน้องส่งเสียงอุทานแล้วหัวเราะออกมา ก่อนจะถามต่อไปว่า “ในยุคสมัยของคุณเดินทางอย่างไร”

“ใช้ม้าบ้าง หรือสัตว์อสูร ใช้เวทคาถาอื่นๆ ตามแต่ความสามารถของคนผู้นั้น”

“มีสัตว์อสูรด้วย?” ธัชนันท์ขยับตัวหันมองหน้าคู่สนทนาด้วยความสนใจ

“มันไม่ใช่ของที่ดีนักหรอก เจ้าอย่าได้ตื่นเต้นไป สัตว์อสูรเป็นสัตว์ที่เกิดมาจากเวทมนตร์ ผู้สร้างจะใช้เวทกับสัตว์มีชีวิตฝืนบังคับเปลี่ยนมันให้กลายเป็นสิ่งที่มีคุณสมบัติตามที่ผู้สร้างต้องการ อย่างเจ้าตัวเมื่อเช้านั่นก็เป็นสัตว์ผสมจากเวทมนตร์เช่นเดียวกัน”
 
เหล่าคนที่นิ่งฟังต่างนึกภาพตาม สัตว์หน้าตาประหลาดที่มารับตัวชวิศาไปเมื่อเช้ามีส่วนผสมของสัตว์หลายชนิด หน้ายาวคล้ายม้า มีปีกเหมือนนก แต่หางยาวมีปุ่มนูนแหลมคล้ายจระเข้ ใบหูใหญ่ ตัวใหญ่คล้ายช้างแต่ขาสั้น พวกเขาจึงไม่รู้ว่าควรให้คำจำกัดความเจ้าสัตว์ตัวนั้นว่าอย่างไร

“เออว่าแต่คุยกันมาตั้งนานแล้ว คุณมีชื่อหรือเปล่า” ธัชนนท์เอ่ยถามบ้าง

“ข้ามีนามว่ากริน กริน วียาบูท์”




ใช้เวลาไม่นานพวกเขาก็มาอยู่นอกเมืองตำแหน่งที่เคยมาดึงชวิศาและมาริเอะออกจากแผ่นไม่เมื่อครั้งก่อน

“มันจะยังอยู่หรือเปล่าเนี่ย” ธัชนันท์เอ่ยออกมาลอยๆ เนื่องจากคราวก่อนหลังจากที่ช่วยชวิศาและมาริเอะออกมาแล้ว เกิดการปะทะกัน พวกเขาจึงไม่ได้ใส่ใจกับแผ่นไม้ที่ถูกเรียกว่าหมุดเวท

“ขอขัดขังหวะนิดนึงนะ” โยธินพูดขึ้นมาบ้าง “ซีควรจะถูกจับซ่อนตัวไกลจากเมืองขนาดนี้เลยเหรอ”

แดดร้อนเปรี้ยงยามกลางวันท่ามกลางทะเลทรายทำให้เขาต้องหยีตา โชคยังดีที่ชุดสูทของสุดฟ้าที่เขาสวมใส่ปรับอุณหภูมิภายในให้เหมาะสมกับร่างกายได้แม้จะเป็นสีดำตลอดทั้งตัว ไม่เช่นนั้นโยธินไม่อยากคิดเลยว่ายามที่เขาสวมชุดมิดชิดอับทึบและต้องมายืนท่ามกลางแสงแดดแรงกล้าแบบนี้ มันจะทำให้เขาร้อนสักเพียงใด

“ตามที่พวกผมเข้าใจ กลุ่มที่จับตัวชวิศาไปมีผู้หญิงคนหนึ่งที่ใช้เวทมนตร์สร้างประตูบานใหญ่ให้ไปยังสถานที่ที่มีหมุดเวทได้ครับ แล้วหมุดเวทพวกนี้น่าจะทำให้เราสืบสาวไปยังสถานที่ที่ซีอยู่ได้ครับ” ธัชนนท์อธิบายสิ่งที่พวกเขาคิด

“แค่พวกเจ้าพาข้ามาที่นี่ก็เพียงพอแล้ว”

“หมายความว่ายังไง” สุดฟ้าเอ่ยถาม

“ที่แห่งนี้ยังคงหลงเหลือไอเวทมากพอให้ตามหาหญิงสาวผู้ให้มนตราประตูมิติ”

“อย่างนั้นเรากลับเข้าเมืองกันเลย” สุดฟ้าร้องบอกด้วยความดีใจ

“ถามหน่อย นี่ไม่คิดจะช่วยเจ้าชายฟาลิฮ์กันเลยใช่ไหม” โยธินถามขณะเดินตามสองพี่น้องฝาแฝดกลับไปขึ้นมอเตอร์สเปซ เพราะพวกสุดฟ้าและสองพี่น้องสุวราลักษณ์ได้แต่ย้ายที่ไม่ไปมาจนเหมือนยังไม่ได้ลงมือทำอะไรสักอย่าง พาลให้เขารู้สึกหงุดหงิดใจ

แฝดคนน้องจึงหันกลับไปย้อนถามว่า “แล้วพี่โยไม่เป็นห่วงซีแล้วเหรอครับ”

โยธินโคลงศีรษะยังนิ่งเงียบด้วยเพราะไม่รู้ว่าจะตอบคำถามนั้นเช่นไร กับลูกพี่ลูกน้องที่เขาสนิทสนมจนตนนับอีกฝ่ายเป็นเหมือนน้องชายแท้ๆ คนนี้ เขาทั้งรักทั้งหวง และถึงจะคอยตามดูแลควบคุมเข้มงวดแต่เขาก็ตามใจชวิศามากเช่นกัน สิ่งใดที่ไม่เกินเลยอยู่ในขอบเขตที่เหมาะที่ควร เขาก็ไม่ได้ห้ามปรามอาจจะมีบ่นว่าบ้างบางครั้งเท่านั้น ดังนั้นในครั้งนี้ที่เขาเห็นน้องชายเข้าร่วมกับอีกฝ่ายที่เป็นปฏิปักษ์กับเจ้าชายฟาลิฮ์ ความคิดเห็นในใจของเขาจึงกึ่งๆ เป็นสองฝักสองฝ่ายแม้จะมีคนบอกว่าชวิศาโดนควบคุมอยู่ก็ตาม

ชวิศามีพลังเวทที่แข็งแกร่ง

ตัวเขารับรู้เรื่องนี้มาตั้งแต่สมัยที่ชวิศาย้ายเข้ามาอยู่ในบ้านภูสิทธ์วรโชติ ทุกปีในวันครบรอบวันเกิดของน้องชายผนึกมนตราที่กักขังพลังของชวิศาไว้จะอ่อนกำลังลง และครั้งแรกที่เขาเห็นพลังมหัศจรรย์ของน้องน้อยวัยสองขวบที่บันดาลทุกสิ่งให้ปรากฏมาจากความว่างเปล่า เขาตื่นเต้นจนอยากมีความสามารถแบบนี้บ้าง ทว่ายามที่น้องชายอารมณ์เสียหงุดหงิด พลังมหัศจรรย์ที่เขานึกชื่นชมกลับเหมือนคมมีดที่พร้อมจะทำลายทุกสิ่ง และทุกปีที่ชวิศาเติบโตขึ้นพลังของผนึกมนตราก็เสื่อมเร็วขึ้นทุกครั้ง กระทั่งปีที่ชวิศาครบรอบอายุเจ็ดขวบ คุณยายสุมุนตราจึงสามารถผนึกพลังของชวิศาได้อย่างสมบูรณ์

เท่าที่เขารู้ เหตุที่คุณยายสุมุนตราต้องใช้เวลาหลายปีในการคิดค้นผนึกพลังให้หลานชาย เพราะอยากสร้างผนึกให้สามารถปลดปล่อยพลังของชวิศาได้ยามที่เจ้าตัวอยู่ในภาวะคับขันจนถึงแก่ชีวิต และต้องการให้ผนึกนั้นเป็นมนต์คาถาคุ้มครองจากผู้ใช้เวทด้วยกัน

ด้วยเหตุนั้น เขาจึงไม่อยากจะเชื่อว่าชวิศาถูกควบคุมได้อย่างง่ายดาย

พวกเขากลับเข้ามาสู่เขตพระราชวังอีกครั้ง มอเตอร์สเปซของสุดฟ้าลอยนิ่งอยู่เหนือน่านฟ้าพระราชวังราซาห์ เสียงตูมตามคล้ายระเบิดและกลุ่มควันยังลอยคละคลุ้งชนิดที่ว่าไม่มีทีท่าจะสิ้นสุดลงโดยง่าย กลุ่มชายหนุ่มผู้ไร้ซึ่งพลังแห่งเวทมนตร์ไม่อยากถูกดึงเข้าไปร่วมกับการต่อสู้ที่พวกตนล้วนเป็นฝ่ายเสียเปรียบ ยานพาหนะสุดล้ำอย่างมอเตอร์สเปซจึงลอยตัวอยู่สูงจนมองเห็นผู้คนด้านล่างคล้ายมดขนาดเล็ก เพราะพวกเขาจำต้องหลีกเลี่ยงพวกที่ใช้เวทบินได้และสัตว์บินได้ต่างๆ ด้วย

“ผ่อนคลายเข้าไว้ล่ะ” กรินเอ่ยบอกกับสุดฟ้ายามที่เขาวางมือลงบนไหล่ของชายหนุ่ม เห็นเช่นนั้นฝาแฝดคนน้องก็อยากจะออกปากถามแต่เพราะสีหน้าของกรินเหมือนต้องการใช้สมาธิอย่างสูง เขาจึงต้องหุบปากเงียบไว้ก่อน

ครู่หนึ่งต่อจากนั้น วงแหวนอักขระเวทวงใหญ่ได้ปรากฏขึ้นเหนือน่านฟ้าของฮัชดาลลาร์โดยมีพวกเขาเป็นจุดศูนย์กลาง ขนาดของวงแหวนเวทนั้นครอบคลุมพื้นที่ของพระราชวังราซาห์ทั้งหมด นั่นทำให้กลุ่มทหารของฮัชดาลลาร์และกองกำลังฝั่งปฏิปักษ์ชะงักการต่อสู้ และเมื่อวงแหวนเวทหายไปพวกเขาก็ยังคงหยุดนิ่งเพื่อรอคำสั่งหากวงแหวนนั้นส่งผลให้ผลลัพธ์ของการสู้รบครั้งนี้แปรเปลี่ยนไป

ในขณะที่สุดฟ้าถึงกับหอบหายใจจนตัวโยน

“ทางทิศใต้ของพระราชวัง”
 
สุดฟ้ายังต้องฝืนยกมือสั่นระริกเพราะเรี่ยวแรงที่หายไปกดคำสั่งป้อนลงระบบเพื่อบังคับให้มอเตอร์สเปซเคลื่อนที่ และวินาทีต่อมาหน้าจอแสดงแผนที่จึงได้ปรากฏตรงหน้าผู้โดยสารตอนหลัง ธัชนันท์ที่รู้ใจเพื่อนสนิทตั้งแต่สมัยเด็กอย่างสุดฟ้าดีจึงเอ่ยถามกรินอีกครั้งให้ระบุตำแหน่งบนหน้าจอ กรินใช้นิ้วโปร่งแสงของตัวเองชี้ระบุลงไป ธัชนันท์จึงแตะย้ำเพื่อให้หน้าจอรับคำสั่ง อีกหนึ่งมาทีต่อมอเตอร์สเปซก็ลอยนิ่งอยู่ในตำแหน่งที่ว่า

“สลิงชักรอกอยู่ที่เอว” สุดฟ้าบอกพร้อมกับป้อนคำสั่งลดกระจกข้างลง เขายังคงสูดลมหายใจยาวลึกเข้าปอดแต่อาการเหนื่อยหอบจางหายไปมากแล้ว

“ลำบากชิบ” แฝดน้องเอ่ยปากบ่นพร้อมกดปุ่มที่คอเสื้อจึงปรากฏคล้ายหมวกกันน็อคคลุมทั้งศีรษะ ก่อนจะสอดตัวผ่านช่องกระจกออกไป

“ไว้กลับไปคราวนี้ฉันจะจัดการให้เนี๊ยบไม่มีที่ติเลย” สุดฟ้าหันไปบอก ส่วนฝาแฝดคนพี่หันไปบอกโยธินว่าให้อยู่กับสุดฟ้า

“พี่โยยังไม่ค่อยชินกับอุปกรณ์ อยู่บนนี้กับสุดฟ้าจะดีกว่าครับ” แล้วกดเข็มขัดดึงเอาปลายสลิงที่มีลักษณะเป็นหัวลูกตุ้มธรรมดาออกมา

“ติดกับตรงไหนของรถก็ได้ที่แกสะดวก” เจ้าของชุดแปลงร่างยื่นหน้าไปบอก “อย่าเพิ่งโดดลงไปล่ะ รอฉันให้สัญญาณก่อน” สองพี่น้องจึงขึ้นไปนั่งเหยียบขอบหน้าต่างด้านข้าง ธัชนนท์เกาะอยู่ที่ประตูที่นั่งข้างคนขับและธัชนันท์เกาะอยู่ที่ประตูที่นั่งตอนหลังตำแหน่งหลังคนขับ ปลายสลิงชักรอกติดกับหลังคามอเตอร์เปซ ทั้งสองจึงเอนตัวไปด้านหลังพร้อมที่จะดิ่งลงไปที่พื้นเต็มที่

“เช็กสัญญาณเสียง”

เสียงพูดของสุดฟ้าดังขึ้นจากลำโพงที่ติดอยู่กับหมวก

“ชัดเจน” สองเสียงของฝาแฝดตอบพร้อมกันซึ่งเสียงตอบรับนั้นได้ดังออกมาจากลำโพงของมอเตอร์สเปซ ขณะที่สองมือของสุดฟ้าคีย์คำสั่งให้มอเตอร์สเปซเตรียมพร้อมปรับสมดุลยามที่ฝาแฝดปล่อยตัว

“เตรียมนับถอยหลัง ...สาม ...สอง ...หนึ่ง ปล่อยตัว”

มอเตอร์สเปซขยับวูบนิดหน่อยเพราะแรงน้ำหนักที่ถ่วงกระชากกะทันหันของพี่น้องสุวราลักษณ์ ก่อนจะกลับมาลอยนิ่งเช่นเดิม

“ถ้าพวกแกถึงพื้นแล้วให้กดปุ่มเดิมสองครั้งเพื่อปลดปลายสลิงฝั่งของพวกแก แล้วก็จับตัวผู้หญิงคนนั้นให้ได้ สเตบาสเตียนจะตามเข้าไปสมทบ ส่วนจุดนัดหมาย...” สุดฟ้าดึงแผนที่ขึ้นเพื่อเช็กตำแหน่งที่สามารถนำมอเตอร์สเปซลงจอดได้

“ถนนออกนอกเมืองทางทิศตะวันออก ฉันส่งพิกัดเข้าระบบแล้ว”

“รับทราบ”
 
“ควรตั้งชื่อหน่วยด้วยหน่อยดีหรือเปล่าวะ”
 
“แต่สุดฟ้าแม่งทำตัวเหมือนหัวหน้าเลยว่ะ ครั้งหน้าเปลี่ยนเป็นฉันบ้างนะ”
 
เสียงของธัชนนท์และธัชนันท์คล้ายกันจนตัวสุดฟ้าที่ฟังผ่านลำโพงแยกแยะไม่ออก ส่วนคำว่า ‘รับทราบ’ ฝาแฝดเอ่ยประสานเสียงมาพร้อมกัน ทว่ายังไม่ทันเขาจะตอบอะไรกลับไป ทั้งสองคนก็ถึงพื้นเสียก่อนเพราะสลิงเส้นสีดำถูกดึงกลับมาเก็บที่ลูกตุ้มส่วนปลายอีกด้านซึ่งติดอยู่บนหลังคาของมอเตอร์สเปซ

สุดฟ้าจึงสั่งปิดกระจกและเคลื่อนที่มอเตอร์สเปซไปยังตำแหน่งนัดหมาย

“ถ้าได้ตัวผู้หญิงคนนั้นมา นายจะหาตัวชวิศาเจอแน่ใช่ไหมกริน”

“ถ้าซีอยู่ในมิติเวทของเธอ”
 
ได้ยินคำตอบเช่นนั้น ชายหนุ่มได้แต่นึกภาวนาในใจว่าขอให้การสร้างมิติเวทไม่ใช่เรื่องที่ใครๆ ก็ทำกันได้ง่ายๆ ก่อนจะถามเพื่อยืนยันความแน่ใจว่า “การสร้างมิติเวทมันเป็นเรื่องยากไหม”

“ในยุคสมัยของข้าผู้คนล้วนสามารถใช้คาถาสร้างมิติเวทเพื่อเก็บสิ่งของกันทั้งนั้น แต่ไม่ใช่ทุกคนที่จะสามารถสร้างห้องในมิติเวทเพื่อให้ผู้คนอยู่อาศัย”

“การใช้เวทมนตร์แต่ละอย่างมีเงื่อนไขอะไรบ้างเหรอ” สุดฟ้าถาม จากที่เขาฟังคำอธิบายของเจ้าชายฟาลิฮ์และที่เห็นๆ มาทุกครั้ง เหมือนกับว่าเวทมนตร์ที่ชาวฮัชดาลลาร์ใช้กัน นอกจากคาถาหรือความตั้งมั่นแห่งจิตที่เจ้าชายรัชทายาทกล่าวถึง น่าจะมีโครงสร้างของเวทมนตร์ที่เป็นเงื่อนไขให้คาถาบางอย่างมีแค่บางคนสามารถใช้ได้

“สำหรับข้า เงื่อนไขคือความเข้มแข็งของพลังเวท”

ได้ฟังคำตอบแล้วสุดฟ้ายิ่งขมวดคิ้วยิ่งไปกว่าเดิม แต่เพราะมอเตอร์สเปซเคลื่อนที่มาถึงจุดหมายแล้ว เขาจึงหันไปให้ความสนใจกับการนำเครื่องลงจอดบนพื้นดิน แล้วเปิดประตูลงมาจากยานพาหนะ เดินไปเปิดกระโปรงท้ายหยิบอุปกรณ์อีกชิ้นออกมา

โยธินเองก็ลงมาจากมอเตอร์สเปซด้วย

“มันคืออะไรน่ะ”

ลูกพี่ลูกน้องของชวิศาถามถึงอุปกรณ์ในมือของสุดฟ้า มันมีลักษณะเป็นสี่เหลี่ยมลูกเต๋าซึ่งสุดฟ้าได้นำมันไปวางไว้ที่พื้นแต่ละมุมรอบยานยนต์

แม้ว่าสุดฟ้าจะกำหนดจุดนัดหมายที่ถนนออกนอกเมือง แต่ตำแหน่งที่เขานำมอเตอร์สเปซมาจอดเป็นพื้นที่โล่งซึ่งถูกซ่อนตัวด้วยต้นไม้ใหญ่ห่างจากถนนมาเล็กน้อย และยังสามารถมองเห็นผู้คนที่ใช้ถนนสัญจรได้เป็นอย่างดี

“ลองออกไปยืนตรงนั้นสิครับ” สุดฟ้าพูดตอบ โยธินจึงเดินไปยังตำแหน่งที่สุดฟ้าชี้มือบอกก่อนจะหันหลังไปถามอีกครั้ง ทว่าภาพตรงหน้าที่ตนได้เห็นกลับเป็นเพียงพื้นที่โล่งเตียนล้อมรอบด้วยต้นไม้เช่นเดิม

“หายไปไหนแล้ว” โยธินพึมพำออกมา

“เป็นอย่างไรบ้างครับเห็นอะไรบ้างไหม”

“น... นายอยู่ไหนน่ะ” เขาร้องถามเมื่อได้ยินแต่เสียงของสุดฟ้า

“ก็อยู่ที่เดิมแหละครับ” สุดฟ้าร้องบอก “กลับมาเถอะครับ เดินตรงเข้ามาได้เลย”

โยธินทำตามที่อีกฝ่ายบอกและเมื่อก้าวเท้าผ่านไปประมาณสามสี่ก้าว มอเตอร์สเปซและสุดฟ้าจึงปรากฏให้เห็นแต่ราวกับอีกฝ่ายอยู่ตรงนั้นมาแต่แรกแล้ว

“มันเป็นอุปกรณ์พลางตัวอย่างหนึ่ง ที่จริงรถของผมก็เปลี่ยนสภาพให้เข้ากับพื้นที่โดยรอบได้ แต่ถ้าใช้อุปกรณ์ตัวนี้ เราจะได้มีระยะพื้นที่ให้ทำอย่างอื่นได้” สุดฟ้าอธิบายพร้อมรอยยิ้ม


+++++โปรดติดตามตอนต่อไป+++++



ออฟไลน์ ตีสี่

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 412
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-5
    • 61'
ตอนที่ยี่สิบสี่



ทันทีที่เท้าถึงพื้น ฝาแฝดสองพี่น้องได้รีบพุ่งตัวเข้าหาหญิงสาวที่เป็นเป้าหมายท่ามกลางกลุ่มคนซึ่งกำลังโรมรันศัตรูคู่อริ พวกเขาใช้ความเร็วที่ถูกเสริมประสิทธิภาพด้วยชุดสูทสำหรับต่อสู้ของสุดฟ้าเข้าประชิด หญิงสาวคนนั้นผงะเมื่อเห็นมีคนพุ่งเข้าหา ประตูไม้บานใหญ่ที่เคยตั้งอยู่ข้างกายเสมอหายไปกลายเป็นลูกบอลเพลิงจากพลังเวทบนฝ่ามือ แต่พวกเขามีสองคนที่กลุ้มรุมเข้าหา เมื่อเห็นอันตรายตรงหน้าคนหนึ่งจึงกระโดดขึ้นสูง อีกคนชะงักเท้ากระโดดถอยหลังไปนิดก่อนจะกระโจนเข้าใส่ทางด้านข้าง เมื่อเป็นเช่นนั้นลูกบอลเพลิงในฝ่ามือของหญิงสาวจึงกลายเป็นดาบคู่ที่คล้ายมีเปลวไฟสีเขียวลุกไหม้อยู่ตลอดเวลา เธอใช้คมดาบปัดการปะทะของทั้งคู่อย่างสอดประสาน

สองพี่น้องโดนเปลวไฟสีเขียวนั่นครั้งเดียวก็รับรู้ได้ว่าไม่ควรสัมผัสมันอีก หลังจดจ้องเป้าหมายและลอบส่งสายตาผ่านหน้ากากอันเป็นส่วนหนึ่งของชุดสูทต่อสู้อยู่ชั่ววินาทีหนึ่ง เขาทั้งคู่ได้พุ่งตัวเข้าโจมตีอีกครั้ง คนหนึ่งพุ่งเข้ามาจากทางด้านหลังเป้าหมายคือศีรษะ อีกคนมาจากทางด้านหน้าเป้าหมายคือช่วงลำตัว หญิงสาวที่อยู่กลางวงล้อมจึงต้องกระโดดหนีเพื่อตั้งหลัก แต่เหมือนว่าฝาแฝดคนพี่จะคาดเดาไว้ได้อยู่แล้ว เขาแตะเท้ายันกับพื้นพุ่งตัวขึ้นไปดักรอ ประสานสองมือสับเข้ากลางหลังของเธอเน้นๆ โดยไม่นึกออมแรงว่าเธอเป็นผู้หญิง

ทั้งนี้ทั้งนั้น การที่ปฏิกิริยาต่อสู้ของพวกเขารวดเร็วจนสามารถเปลี่ยนตำแหน่งยืนแต่ละจุดในเสี้ยววินาทีนั่นก็เพราะพวกเขาสวมชุดสูทสำหรับต่อสู้ของสุดฟ้าอยู่ นอกจากความเร็วในการเคลื่อนที่ที่เพิ่มมากขึ้น ชุดยังป้องกันการบาดเจ็บหลังจากถูกโจมตี ส่วนหมวก นอกจากลำโพงยังป้องกันการกระแทกของศีรษะได้ และหน้ากากตรงตำแหน่งสายตายังเป็นจอภาพแสดงข้อมูลที่ต้องการ มีกล้องชนิดพิเศษจับภาพระยะไกล ทำให้แม้แต่คนสายตาสั้นยังสามารถมองภาพในระยะหลายกิโลเมตรได้อย่างชัดเจน

ธัชนันท์เห็นได้ทีเมื่ออีกฝ่ายเสียท่าจึงกระโจนตัวเข้าหาหวังซัดหมัดเข้าซ้ำ ทว่าเธอกลับตั้งหลักได้เสียก่อนแล้ววาดดาบเข้าใส่ ชายหนุ่มจึงต้องยกแขนขึ้นกัน เปลวเพลิงนั้นทำให้ชุดที่สวมอยู่ขาดเป็นรอยทีเดียว ฝ่ายธัชนนท์เห็นว่าถ้ายืดเยื้อมากไปกว่านี้จะเป็นพวกเขาเองที่เสียเปรียบ จังหวะที่น้องชายชุลมุนชุลเกประมือกับหญิงสาวเป้าหมายจึงดึงอุปกรณ์อีกชิ้นจากช่องกระเป๋าของชุด สวมเข้าที่ข้อมือของหญิงสาวในจังหวะทีเผลอ ทันใดนั้นเองสเตบาสเตียนพลันโผล่พรวดเข้ามาพร้อมสกอตช์เทปที่ปิดปากและพันมือทั้งคู่ของหญิงให้ประกบแน่นจนขยับเขยื้อนไม่ได้ จากนั้นหุ่นยนต์พ่อบ้านจึงให้ถุงผ้าใบใหญ่คลุมเธอไว้ทั้งตัวแล้วแบกขึ้นบ่า

มีพวกพ้องของหญิงสาวเป้าหมายหันมาเห็นการกระทำของพวกเขาบ้างเช่นกัน บางคนจึงดาหน้าเข้ามาหา

“แยกย้ายกันหนี เจอกันที่จุดนัดพบนะครับ” สเตบาสเตียนบอกกล่าวเป็นครั้งสุดท้ายก่อนที่จะปล่อยให้ไอพ่นที่ฝ่าเท้าให้ทำงาน แล้วร่างหุ่นยนต์ก็ลอยลิ่วสูงจากพื้น

สองพี่น้องสุวราลักษณ์ได้แต่มองหน้ากันเอง พลางคิดในใจว่าโดนทิ้งง่ายๆ อย่างนี้เนี่ยนะ กระนั้นก็มีแค่‘ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน’ ในเมื่อถูกบอกให้แยกย้ายกันหนี พวกเขาจึงวิ่งหนีเป็นอันดับแรก



“คุณช่วยอธิบายเรื่องการใช้เวทมนตร์ของพวกคุณให้ฟังอีกครั้งได้ไหม” สุดฟ้าเอ่ยปากถามกริน ขณะที่ยืนพิงมอเตอร์สเปซรอให้สองพี่น้องสุวราลักษณ์มายังจุดนัดหมาย จากนั้นจึงทวนความรู้ที่เจ้าชายรัชทายาทแห่งฮัชดาลลาร์ทรงอธิบายให้ฟังออกมาเป็นคำพูด

“ผมรู้มาว่าเวทมนตร์คือการดึงจักระในร่างกายมาใช้ รวมกับคาถาหรือถ้อยคำที่มาจากความตั้งมั่นแห่งจิต อย่างนั้นถ้าผมเอ่ยคาถาได้ผมก็ต้องใช้เวทมนตร์ได้น่ะสิ”

“ถูกครึ่งหนึ่งและไม่ถูกครึ่งหนึ่ง” กรินตอบ “คาถาที่มีใช้อยู่เพียงแค่ทำให้การใช้เวทง่ายมากขึ้น และคาถาเป็นแค่ตัวกลางที่ทำให้จิตตั้งมั่นจนทำให้เวทนั้นสัมฤทธิผล ก่อนที่จะรู้จักคาถาเจ้าจะต้องรู้จักธาตุทั้งห้าเสียก่อน” กรินวาดมือเป็นวงกลมบนอากาศ แล้วชี้มือที่ตำแหน่งบนสุดวนมือตามเข็มนาฬิกาเพื่ออธิบายตำแหน่งของธาตุทั้งสี่
“ไม้ ไฟ ดิน โลหะ และน้ำ มีอากาศธาตุเป็นธาตุพิเศษ” กรินพูดพลางลากมือยาวผ่านวงกลมเชื่อมโยง “เวทมนตร์เป็นการผสมหรือสลายธาตุทั้งห้า โดยกล่าวคาถาซึ่งเป็นคำเสกเวทมนตร์ ขณะที่กล่าวคาถาด้วยจิตที่ตั้งมั่น จิตนั้นจะควบคุมจักระให้ปรับแต่งธาตุตามระเบียนเวท”

“คำเสกเวทมนตร์?” สุดฟ้าเอ่ยทวน เขาเข้าใจหลักการในการสร้างเวทแล้ว แต่ประเด็นที่ยังไม่กระจ่างคงจะเป็นคาถาหรือคำเสกเวทมนตร์ คำบัญญัติคำใหม่ที่ทำให้เขางุนงงกว่าเดิม

“อา... ปกติข้าก็ไม่ค่อยได้กล่าวคาถาเสียด้วย” กรินบ่นพลางทำท่านึก “เอาเป็นว่าคาถาน่ะไม่จำเป็นเท่าการปรับแต่งธาตุให้ถูกต้องหรอก”
 
“อ่ะ” พอได้ยินคำยืนยันเช่นนั้น สุดฟ้าจึงทำหน้าเหมือนเข้าใจทุกอย่างขึ้นมาทันที

“แล้วที่คุณบอกว่า ‘เงื่อนไขคือความเข้มแข็งของพลังเวท’ มันหมายความว่าอย่างไรหรือ”

“พลังเวทประกอบด้วยสองสิ่ง คือจักระและธาตุ จักระคือพลังชีวิตที่มนุษย์ทุกคนล้วนมีอยู่ในร่างกาย แต่ว่าแต่ละคนล้วนมีระดับความเข้มแข็งของจักระไม่เท่ากันขึ้นอยู่กับความสมบูรณ์ของร่างกาย ความเข้มแข็งของจิตใจ พลังสมาธิ สภาวะแวดล้อม ส่วนธาตุทั้งห้าเป็นสิ่งที่กำหนดว่าผู้นั้นจะใช้มนตราได้หรือไม่ ธาตุทั้งห้าล้วนผสานอยู่ในจักระ ระดับความเข้มข้นและจำนวนธาตุในร่างของแต่ละผู้คนจะไม่เท่ากัน เหล่านี่ล้วนส่งผมต่อความเข้มแข็งของพลังเวททั้งสิ้น”

สุดฟ้าครางอือออในลำคอรับรู้

อย่างไรก็ตาม การสนทนาระหว่างพวกเขาต้องระงับไว้แค่นั้น เมื่อสเตบาสเตียนอุ้มห่อผ้าวิ่งตรงมาหา

สุดฟ้ารับร่างของหญิงสาวเป้าหมายซึ่งอยู่ในถุงผ้าใบใหญ่วางลงกับพื้น หลังเปิดถุงผ้ากลับกลายเป็นว่าเธอคนนั้นหลับตานิ่งสนิท และไม่มีแม้กระทั่งลมหายใจเมื่อลองตรวจดู

“เธอตายไปแล้ว”

“ฆ่าตัวตายเหรอ” โยธินถามพลางทรุดตัวลงนั่งและตรวจดูสัณฐานโดยรวมหาร่องรอยที่ทำให้เธอเสียชีวิต แต่กระนั้นเขาก็ไม่ได้แกะเทปที่ปิดปากหรือมัดมือของเธอออก

“ถ้าถูกเวทหุ่นเชิดควบคุมไปนานๆ เข้า เจ้าของร่างก็อาจจะไร้ลมหายใจได้”
 
คนฟังทั้งสองต่างขมวดคิ้ว พวกเขามองหน้ากันด้วยความกังวลโดยไม่จำเป็นต้องเอ่ยสิ่งใดออกมา

“แล้วยังสามารถหาที่อยู่ของซีจากเธอได้อยู่หรือเปล่า” โยธินถามถึงสิ่งที่พวกเขากังวลอีกครั้ง

“ในเมื่อเธอตายไปแล้ว แล้วเวทมนตร์ทั้งหลายแหล่ที่เธอใช้มันเกิดขึ้นได้ยังไง” สุดฟ้าถามแทรกไปอีกคำถามถึงสิ่งที่เขาสงสัย

“มันช่างน่ามหัศจรรย์ใช่ไหมล่ะ” กรินหัวเราะพร้อมนัยน์ตาเป็นประกาย“มันเป็นความพิเศษของมนตรานี้ ผู้ใช้มนตราจะจับกระแสจักระในร่างกายของผู้อื่นและควบคุมมันไว้เพื่อใช้งาน ข้าคิดว่าดวงจิตของเจ้าของร่างนี้คงถูกกักขังไว้ นานวันเข้าสายใยเชื่อมโยงระหว่างดวงจิตและกายเนื้อจึงถูกตัดขาดจากกัน เจ้าของมนตราจึงยึดกายเนื้อและพลังเวททั้งปวงของหญิงสาวโชคร้ายไว้เป็นของตัวเอง”

“คนคิดเวทมนตร์แบบนี้ขึ้นมาช่างโหดร้ายจริงๆ” สุดฟ้าออกความคิดเห็น

“ข้าก็ไม่ได้ตั้งใจให้เป็นแบบนี้”
 
สุดฟ้าและโยธินเงยหน้ามองคนพูดพร้อมโดยไม่ต้องนัดหมาย

“ข้าก็คิดเหมือนเจ้าว่าคนที่นำไปใช้โหดเหี้ยมไม่ใช่เล่น” กรินพูดต่ออีกประโยค

“คุณเป็นคิดเวทมนตร์บทนี้เหรอ”

“ใช่ แต่ก็ไม่ใช่ทั้งหมด มนตราที่ข้าคิดค้นมีเพียงการควบคุมจักระของผู้อื่น และใช้จักระนั้นควบคุมเวทของคนผู้นั้นอีกทอด”
 
“ผมจะไม่ถามเหตุผลของคุณล่ะนะ แต่ขอคำยืนยันว่าคุณสามารถคลายเวทที่ชวิศาโดนได้”

“แน่นอน อ่ะ... ไม่ใช่ซิ ข้าต้องใช้จักระของเจ้าถึงจะคลายเวทได้”
 
“ผมก็จะถามอยู่เหมือนกันว่าทำไมต้องเป็นสุดฟ้าคนเดียวด้วย” คำถามนั้นมาจากธัชนันท์ สองพี่น้องเพิ่งตามมาสมทบและทันได้ยินคำพูดประโยคสุดท้ายของกรินพอดี ที่ตามมาพร้อมกันคือมาริเอะและเดย์

“ก็เพราะว่าควบคุมง่าย ตัวข้ามีเพียงแค่ดวงจิตที่ใช้พลังได้เพียงน้อยนิด”
 
“คุณจะไม่มีทางยึดร่างของสุดฟ้าได้ใช่ไหม” ฝาแฝดคนพี่ถามย้ำอีกรอบ

“ฮ่า ฮ่า ฮ่า ไม่ต้องกังวลไป หลังจากที่ดวงจิตของข้าถูกปลดปล่อยออกมาจากผลึกศิลา เวลาของข้าสำหรับการดำรงอยู่บนโลกใบนี้ก็ได้เริ่มนับถอยหลังแล้ว”
 
“โอเค ทุกอย่างเคลียร์ เริ่มปฏิบัติการช่วยเหลือซี ชวิศาได้” ธัชนันท์ร้องบอกออกมา

“วางมือไว้บนหน้าผากของเธอ” กรินบอกสุดฟ้า จากนั้นเขาจึงวางมือไว้บนไหล่ของชายหนุ่มอีกที วินาทีต่อมาอักขระเวทอย่างที่พวกเขาเคยเห็นตอนที่สุมุนตราเคยใช้กับชวิศาก็ปรากฏให้เห็น

“ไอ้ที่มันเป็นแบบนี้ มันเรียกว่าอะไร” สุดฟ้าอดที่จะออกปากถามไม่ได้

“ระเบียนมนตรา อยู่เฉยก่อนแล้วข้าจะอธิบายให้ฟัง” ประโยคหลังกรินเอ่ยเสียงดุ สุดฟ้าจึงต้องพยายามทำให้จิตใจสงบนิ่ง นับลมหายใจเข้าออกเพื่อให้ไม่เป็นการรบกวนอีกฝ่าย ราวๆ หนึ่งนาทีต่อจากนั้น อักขระอักษรต่างๆ ที่เคยลอยอยู่เหนือร่างของหญิงสาวก็หายไป

“ระเบียนมนตราคือบันทึกธาตุในร่างและรายละเอียดเวทมนตราคาถาที่ผูกพันทั้งหลาย”
 
“อย่างนี้ไม่ว่าใครก็รู้หมดน่ะสิว่าเราใช้เวทมนตร์อะไรได้บ้าง”

“เจ้าคิดว่า ไม่ว่าใครก็สามารถดึงระเบียนมนตราออกจากร่างผู้อื่นก็ได้อย่างนั้นหรือ แค่อ่านคาถาจากไอเวทยังต้องใช้เวลาตั้งหลายสิบปีกว่าคนผู้หนึ่งจะทำสำเร็จ มนตราบทนี้มีแต่ผู้ที่อยู่เหนือนักเวททั้งปวงนั่นล่ะถึงจะทำได้”
 
“อ้าว ก็ผมเห็นเจ้าชายฟาลิฮ์อ่านข้อมูลที่อยู่บนระเบียนมนตราได้” สุดฟ้าแย้ง

“การอ่านอักขระคาถาธาตุมันเป็นเรื่องพื้นฐานที่ผู้ฝึกเวทมนตร์ทุกคนพึงปฏิบัติให้ช่ำชอง”
 
เมื่อเห็นสุดฟ้าพยักหน้ารับรู้ กรินจึงกล่าวต่อ “ข้าจะใช้มนตราเพื่อตามหาซีซึ่งมันอาจจะใช้แรงและพลังมากสำหรับเจ้า หากเหนื่อยให้บอก ข้าจะถอนมนต์ให้เจ้าพัก อย่าฝืนเพราะมันอันตรายต่อชีวิตเจ้าเข้าใจหรือไม่”
 
คนที่ต้องเป็นแหล่งแบตเตอรี่ให้กรินพยักหน้ารับ

“ส่วนสำหรับพวกเจ้า พยายามอย่าให้มีสิ่งใดรบกวนพวกข้าระหว่างนี้”
 
“ถ้าเกิดมีอะไรผิดพลาดไป จะเกิดอะไรขึ้น” ธัชนนท์ถาม
“ไม่แน่ใจนัก มีแต่คำพูดปากต่อปากว่ามิติเวทเป็นสถานที่ที่สับสนยุ่งเหยิง ข้าภาวนาว่ามันคงไม่เกิดผลกระทบใด”
 
สองพี่น้องสุวราลักษณ์และสุดฟ้าหันมองหน้ากัน

“ถ้าอย่างนั้น ผมขอย้ายที่” สุดฟ้าหยิบดิจิตอลไลท์มอนิเตอร์ขึ้นมากดเปิด เขียนคำสั่งข้อมูลและกดตกลง จากนั้นจึงเดินไปเปิดประตูมอเตอร์สเปซ หุ่นยนต์พ่อบ้านอัจฉริยะรู้ใจเจ้านายทันทีโดยไม่ต้องสั่ง สเตบาสเตียนเดินไปอุ้มร่างหญิงสาวขึ้น พาไปยังยานยนต์ที่ภายในถูกปรับเปลี่ยนจนเบาะที่นั่งหายไปกลายเป็นพื้นที่ราบเรียบเสียแทน

สุดฟ้ามั่นใจว่ายานพาหนะของตนสามารถป้องกันอันตรายจากภายนอกได้ในระดับหนึ่ง

“ถ้าไม่อยากให้อะไรรบกวนเชิญในนี้ดีกว่าครับ”



“ถ้าคิดอีกทีมันก็ฟังดูลามกหน่อยๆ” ธัชนันท์พูดขึ้นกับพี่ชายระหว่างยืนมองคนสามคนซึ่งอยู่ภายในรถยนต์ที่สามารถกลายร่างเป็นอากาศยานได้

“ชวนเข้าไปทำในรถ”

ฝาแฝดคนพี่หัวเราะ

เวทมนตร์ในคราวนี้ของกรินไม่มีแสงสว่างเรืองรองหรือตัวอักษรยึกยือที่เหล่าผู้คนซึ่งใช้เวทมนตร์เรียกว่าอักขระเวท จากตำแหน่งที่พวกเขายืนอยู่ เห็นเพียงสุดฟ้าที่นั่งหลับตานิ่งๆ กับกรินที่วางมือไว้บนบ่าเพื่อนสนิทสมัยเด็กของพวกเขาเท่านั้น เมื่อการมองบุคคลที่อยู่ภายในยานยนต์ไม่มีมีอะไรน่าสนใจ ธัชนันท์จึงหันหลังพิงสะโพกกับยานพาหนะ

“หาอะไรกินกันดีไหม”

“หิว?” ธัชนนท์ถามอย่างสงสัย เพราะพวกเขาได้รับแจกแคปซูลอาหารมาจากสุดฟ้า ถ้าถามถึงความหิวโหยของกระเพาะอาหารคงต้องปล่อยให้เวลาผ่านไปอีกเป็นวัน

“ปากว่างอ่ะ”

พี่ชายจึงมือแขนตัวเองมาให้ “ให้กัด ปากจะได้ไม่ว่าง”

“ตลกว่ะ พี่ไอซ์”

“พวกนายสองคนหยอกกันจนน่าขนลุกเลย” โยธินบอกออกมา

“อืม แล้วพี่โยล่ะครับ ถ้าช่วยชวิศาได้แล้วจะเอายังไงต่อ กลับเลยหรือเปล่า”

โยธินมองสีหน้าคนถาม ก่อนจะเสตามองไปทางอื่นแล้วนิ่งคิด อันที่จริงความสัมพันธ์ระหว่างภูสิทธิวรโชติกับราชวงศ์อัสมานร์ก็เกี่ยวข้องกันด้วยธุรกิจ เขาให้เกียรติอีกฝ่ายเพราะฐานะที่สูงส่งกว่าตน แต่ถ้าราชวงศ์ล่มสลายเจ้าชายรัชทายาทคงไม่มีความสำคัญอีก

“แล้วทำไมพวกนายถึงไม่ช่วยเจ้าชายเลยล่ะ”

“ก็พวกเราเป็นพ่อค้า ถ้ามีไม่คนสั่งของ เราจะเสนอของให้จนตัวเองขาดทุนทำไม” ฝาแฝดคนพี่ตอบพร้อมรอยยิ้ม

“แล้วเจ้าชายรัชทายาทจ้างให้สุดฟ้าทำอะไรให้”

“พี่โยคงเคยได้ยินเรื่องระเบิดสลายโมเลกุล”

โยธินพยักหน้ารับ เขาเคยได้ยินเรื่องอาวุธทำลายล้างชิ้นดังกล่าวมาบ้างเหมือนกัน ว่ากันว่าในตลาดมืดให้ราคาแบบแปลนการสร้างสูงลิ่ว ชนิดที่ว่าทำให้คนที่ของอยู่ในมือสามารถกลายเป็นอภิมหาเศรษฐีได้ในพริบตา

“เจ้าชายฟาลิฮ์จ้างทำของที่ว่า... นั่นแหละครับ”

“น่าแปลก ทำไมต้องมาถึงฮัชดาลลาร์ด้วย ทำที่บ้านไม่ได้เหรอ”

“มันโดนหลอกมา” พูดถึงประเด็นนี้แล้วธัชนันท์ออกอาการอย่างหมั่นไส้ “สุดฟ้ามันโดนสั่งห้ามทำของจำพวกระเบิดอีก แต่เผอิญเจ้าชายฟาลิฮ์เอาเรื่องเวทมนตร์มาล่อ มันก็เลยตามเขามาต้อยๆ แถมจะทำให้เขาฟรีแลกกับแค่เล่าเรื่องเวทมนตร์ให้ฟัง”

“มิน่า ถึงถามกรินยิกๆ เรื่องหลักการทำงานของเวทมนตร์”

“คิดเหมือนกันไหมบีสอง”

“รู้สึกตงิดๆ เหมือนกันแหละบีหนึ่ง”

สองพี่น้องหันหน้ามาคุยกันเอง

“อะไรของพวกนาย” โยธินถาม

“พี่โยสนใจจะทำธุรกิจกับพวกเราไหมล่ะครับ” ธัชนันท์เป็นคนเอ่ยปากถามกลับไปแทนที่จะตอบคำถามของอีกฝ่าย

“หือ” โยธินเลิกคิ้วไม่คิดจะตอบตกลงในทันที เพราะรู้ว่าโยธินก็เขี้ยวลากดินไม่ต่างจากพวกตน ธัชนนท์จึงยอมเฉลยให้ฝ่ายตรงข้ามได้ฟังก่อน

“ผมคิดว่า สุดฟ้ามันน่าจะสร้างอุปกรณ์ที่สามารถจำลองการใช้เวทมนตร์ ไม่ใช่สิ... อุปกรณ์ที่ทำให้แม้แต่คนธรรมดาก็ใช้เวทมนตร์ได้”

“หมายถึง ไม่จำเป็นต้องเรียน ไม่จำเป็นต้องฝึก”

“ครับ”

“แบบนั้นมันจะไม่ยุ่งวุ่นวายกันไปใหญ่เหรอ”

ทว่ายังไม่ทันที่จะได้ถกเถียงกันเรื่องความยุ่งวุ่นวายที่ว่า ความยุ่งวุ่นวายกลับมาเยือนให้พวกเขาได้เผชิญกันเสียก่อน



ออฟไลน์ ตีสี่

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 412
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-5
    • 61'
สเตบาสเตียนส่งเสียงเตือนมาก่อนแล้วว่ากลุ่มคนไม่ทราบฝ่ายกำลังมุ่งหน้ามาทิศทางที่พวกเขารวมกลุ่มกันอยู่ เพื่อไม่ให้สุดฟ้าและกรินที่อยู่ในมอเตอร์สเปซถูกโจมตีง่ายๆ พวกเขาจำต้องออกจากพื้นที่พรางตา แต่คราวนี้ แต่ละคนได้ถืออาวุธ ถึงความสามารถมากที่สุดของมันคือทำให้คนที่เป็นเป้าหมายสลบ แต่ในหนึ่งแมกาซีนก็สามารถจัดการได้ห้าสิบคนแม้ว่าจำนวนของมันจะจำกัดอยู่ที่ห้าสิบนัดตามจำนวนบรรจุในแมกาซีนก็ตาม

พวกเขาแยกย้ายซ่อนตัวอยู่หลังต้นไม้ใหญ่ ในขณะที่สเตบาสเตียนและมาริเอะเลือกปีนขึ้นไปซุ่มอยู่บนต้นไม้สูง

ตูม!!!

สเตบาสเตียนส่งระเบิดไปเตือนกลุ่มไม่ทราบฝ่ายก่อนเป็นอันดับแรก ระเบิดที่ว่าก็เป็นบอร์บพินาศฉบับปรับปรุงที่สุดฟ้าตั้งโปรแกรมไว้ให้คุณพ่อบ้านได้ใช้งาน สิทธิพิเศษนี้ก็ได้รับเฉพาะสเตบาสเตียนอีกเช่นเคย เพราะแม้สรรถภาพของสเตบาสเตียนและมาริเอะจะใกล้เคียงกัน แต่เพราะโปรแกรมเรียนรู้กับบอร์ดควบคุมในระบบสมองกลของมาริเอะทำให้ข้อมูลบุคลิกภาพของเจ้าตัวผิดเพี้ยนไปจากที่สุดฟ้าคาดการณ์ไว้มากโข มาริเอะจึงชอบโกงคำสั่งอยู่บ่อยๆ ชายหนุ่มไม่อยากให้เหตุการณ์บานปลายจนแก้ไขลำบาก เขาจึงต้องจำกัดความสามารถของหุ่นยนต์ตัวโปรดของตนไว้

“ประกาศ!!! ประกาศ!!!” มาริเอะให้กำลังไฟฟ้าขยายความดังของเสียงและพูดออกไปด้วยภาษาฮัชดาลลาร์ “พื้นที่บริเวณนี้ถูกยึดเป็นฐานที่มั่น...”

“รบกวนแจ้งชื่อสังกัดด้วยครับ พวกคุณเป็นกลุ่มทหารของฝ่ายไหน” สเตบาสเตียนพูดแทรกก่อนที่มาริเอะจะพูดจบ มาริเอะจึงโวยวายผ่านการเชื่อมต่อของระบบไร้สายกลับมา

“ทำไมต้องพูดขัดด้วยล่ะ ต่อให้เป็นคนของเจ้าชายฟาลิฮ์หรือกลุ่มทหารของจันทร์พยัคฆ์ก็ไม่ควรให้ใครเข้ามาใกล้ทั้งนั้นแหละ”
 
“ผมทราบครับ แต่ถ้าเป็นคนของเจ้าชายพวกเราคงไม่จำเป็นต้องปะทะกัน” สเตบาสเตียนตอบขณะกวาดสายตามองหาสัญลักษณ์ใดๆ ที่ระบุที่มาของฝ่ายตรงข้าม

อย่างไรก็ตาม การรอดูท่าทีกลับไม่มีความจำเป็นอีกต่อไป เมื่อฝ่ายตรงข้ามเริ่มลงมือ โยธินจึงเป็นคนเปิดฉากตอบโต้

“สเตบาสเตียน มีจำนวนคนเท่าไหร่” ธัชนนท์เอ่ยถามผ่านไมโครโฟนซึ่งติดอยู่ที่หมวก อันเป็นช่องสัญญาณติดต่อสื่อสารรวมของพวกเขา

“ยี่สิบครับ”

“แค่ยี่สิบ จิ๊บๆ แบ่งกันคนละเจ็ดคนเลย” น้องชายฝาแฝดของธัชนนท์ส่งเสียงตามมา เพียงแต่สิ่งที่เกิดขึ้นไม่ใช่เรื่องจิ๊บๆ อย่างที่ธัชนันท์เข้าใจ การที่โยธินสามารถยิงหนึ่งในยี่สิบจนร่วงสลบลงไปนอนกับพื้นเพราะอีกฝ่ายยังไม่ทันตั้งตัว ดังนั้นนัดที่สองจากปืนของธัชนันท์จึงกระทบถูกม่านพลังและนัดที่สามถูกดาบปัดทิ้งอย่างง่ายดาย ซ้ำเขายังถูกพุ่งเข้าประชิดตัว ยังดีว่าถูกเดย์ซึ่งเป็นหน่วยระวังหลังมาช่วยเหลือไว้ทัน

“เป็นอะไรหรือเปล่า” เสียงของพี่ชายดังมาตามสายให้ได้ยิน

“ตอนนี้ยังปลอดภัยครับ”

“พวกเราสามคนแยกกันไปคนละทาง หาทางล่อไปที่อื่น ได้โอกาสก็ลงมือกำจัด ส่วนทางนี้ปล่อยให้พวกหุ่นยนต์ดูแลอย่าให้พวกนั้นลอดผ่านไปได้” โยธินออกคำสั่ง ซึ่งทุกคนต่างก็ขานรับพร้อมเพรียง

แผนของโยธินไม่เรียกว่าดีเลิศและไม่เรียกว่าแย่มาก สิ่งที่พวกเขาต้องการคือการถ่วงเวลา แต่ถ้าจัดการไม่ให้มีคนรุกล้ำเข้าไปใกล้มอเตอร์สเปซได้ก็นับว่าเป็นเรื่องดี การหลอกล่อของพวกเขาช่วยดึงความสนใจจากคนกลุ่มนั้นได้ก็จริง แต่ยังเหลืออีกสามคนที่มุ่งหน้าสำรวจพื้นที่ที่มอเตอร์สเปซถูกซ่อนอยู่ราวกับได้รับคำสั่งเจาะจงให้มาตรวจสอบพื้นที่แถบนี้

ทั้งสเตบาสเตียน มาริเอะ และเดย์ต่างหลบซ่อนอยู่บนต้นไม้อย่างเงียบเชียบ พวกเขาไม่มีจักระหรือพลังชีวิตให้ฝ่ายตรงข้ามตรวจสอบค้นหา มาริเอะนิ่งรอจนกระทั่งฝ่ายศัตรูเข้ามาใกล้ในระยะหวังผล ใช้แรงกระโดดเหนือมนุษย์พุ่งเข้าหาคนที่รั้งท้ายของกลุ่ม ใช้วงแขนเกี่ยวรัดคอของอีกฝ่ายพร้อมกับถีบเท้าเข้าหาที่ซ่อนตัว และจัดการหักคอชายหนุ่มร่างใหญ่ในวงแขนอย่างไม่นึกลังเล เขาจัดการไปได้อีกหนึ่งแต่แลกมาด้วยการระแวดระวังตัวที่เพิ่มมากขึ้นของฝ่ายศัตรู

ฝ่ายตรงข้ามรับรู้ทันทีที่พวกพ้องหายไป

ทั้งหนึ่งในนั้นยังดูคล้ายหัวหน้ากลุ่ม เขายืนกวาดสายตาไปโดยรอบเหมือนตรวจจับหาภัยอันตราย จากนั้นจึงผิวปากส่งสัญญาณ ครู่หนึ่งต่อมาพวกพ้องซึ่งแยกย้ายกันไปก็กลับมารวมตัวอีกครั้ง เท่ากับว่าแผนของโยธินล้มเหลว

“เอายังไง” ฝาแฝดคนน้องส่งเสียงไปตามสาย ปล่อยหน้าที่ตัดสินใจให้กับพี่ชายและผู้ที่มีวัยวุฒิสูงกว่า

“ถ้าปะทะคิดว่าจะมีโอกาสชนะเท่าไหร่” โยธินถามในฐานะที่สองพี่น้องสุวราลักษณ์เคยประมือกับผู้ใช้เวทมาก่อน

“ผมคิดว่าคงอยู่ราวๆ ยี่สิบเปอร์เซ็นต์อย่างที่สุดฟ้าเคยบอกไว้ แถมคงถ่วงเวลาได้แค่ประมาณสิบนาที”
“แล้วแผนที่คิดจะทำให้พวกเราเป็นยี่สิบเปอร์เซ็นต์ที่ว่า”
“ผมคิดว่า คงต้องใช้อาวุธหนัก สเตบาสเตียน ระดับที่รุนแรงที่สุดของบอมบ์พินาศล่ะ”
“แค่พายุหมุนครับ”
“แฮ็กระบบไม่ได้เลยเหรอ”


ปัง!!!

ทันทีที่สิ้นสุดเสียงพูดของธัชนนท์เสียงของปืนได้ดังขึ้น คนที่ตกเป็นเป้ากระสุนตวัดดาบอย่างรวดเร็วจนสายตาคนปกติมองตามไม่ทัน พร้อมกันนั้นชายหนุ่มร่างยักษ์อีกคนที่พุ่งเข้าหาที่มาของลูกกระสุน ทว่าเหมือนโยธินก็คาดเดาไว้อยู่แล้ว เขาจับจ้องเฝ้ารอการเคลื่อนไหวอันรวดเร็วของชายคนนั้นอย่างสงบนิ่ง เบี่ยงตัวหลบวิถีดาบของฝ่ายตรงข้ามเล็กน้อยเมื่อโดนจู่โจมในระยะประชิด ก่อนจะเหนี่ยวไกซ้ำอีกครั้งโดยเล็งตำแหน่งกลางหน้าผาก ชายคนนั้นสิ้นใจทันที เสียงปืนนัดที่สองและเสียงของหนักร่วงสู่พื้นที่ให้ชายชุดดำที่รวมกลุ่มกันอยู่ชะงักเท้าไม่ผลีผลาม

“พี่โยพกปืนด้วย?” สองพี่น้องส่งเสียงถามแทบจะพร้อมกัน

“เรื่องปกติ ก็เอาไว้ป้องกันตัว หรือพวกนายสองคนไม่มี”

มีแต่ความเงียบตอบกลับมา

ธัชนนท์และธัชนันท์คิดเพียงว่า มากับสุดฟ้า ต่อให้เกิดเรื่องก็คงไม่ร้ายแรงถึงชีวิต อีกอย่างคือพวกเขามาดูลู่ทางธุรกิจไม่ได้ตั้งใจมาตีกับใคร

ในระหว่างความเงียบที่พวกเขาเฝ้ารอดูท่าทีของฝ่ายตรงข้าม กลุ่มผู้ใช้เวทซึ่งพวกเขาตัดสินใจแน่ชัดแล้วว่าอีกฝ่ายคงเป็นปรปักษ์ หนึ่งในนั้นได้ยกมือขึ้นสูงเหนือศีรษะ จากนั้นจึงปรากฏวงแหวนประกายสีฟ้าขนาดเล็กกว่าฝ่ามือ ครู่หนึ่งมันจึงเริ่มขยายขนาดเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ จนวงกลมด้านในใหญ่กว่าระยะพื้นที่ที่อีกฝ่ายยืนอยู่ ชายเจ้าของวงแหวนสีฟ้าจึงลดมือลงมาอยู่ในระดับอก

พวกเขาเห็นชัดว่ามันดูคล้ายรูปทรงกระบอกเรืองแสงสีฟ้า ธัชนนท์และธัชนันท์เพ่งมองด้วยความตื่นตะลึงเพราะแสงสว่างอันสวยงาม แต่กระนั้น ยามที่มันขยายขอบเขตอย่างรวดเร็วกลับมีเสียงเตือนของโยธินดังมาตามสายสัญญาณให้รีบถอยออกมาให้ห่างที่สุด

ไม่จำเป็นต้องให้บอกเตือนซ้ำสอง สองพี่น้องและพวกหุ่นยนต์ก็ขยับหนีถอยห่างอย่างรวดเร็วด้วยความเร่งรีบ เนื่องจากเมื่อวงแหวนทรงกระบอกสีฟ้าครามน้ำทะเลเคลื่อนผ่าน ต้นไม้ ใบไม้ สัตว์น้อยใหญ่ทุกสิ่งอย่างล้วนถูกเผาไหม้เป็นจุณจนเหลือแต่เถ้าถ่าน ทั้งป่าจึงมีแต่ความแตกตื่น พวกนกพวกแมลงต่างบินหนี สัตว์ใหญ่ต่างล้วนวิ่งหนีตายกันอลหม่าน กระทั่งเวทมนตร์แห่งการทำลายล้างหยุดลง

ธัชนันท์มองแสงสีครามสวยงามตรงหน้าด้วยอาการตระหนกหัวใจเต้นรัว กลืนน้ำลายลงคอด้วยความหวาดเสียว แผ่นหลังของเขาพิงอยู่กับด้านท้ายของมอเตอร์สเปซ เขาตั้งใจหนีมาทางด้านนี้ด้วยต้องการเตือนเพื่อนสมัยเด็กถึงอันตรายที่รุกรานเข้ามาใกล้ แต่การเคลื่อนที่ของลำแสงเวทรวดเร็วมาก ขนาดที่แม้ว่าเขาจะสวมชุดสูทที่ช่วยเสริมสมรรถภาพทางกาย ยังถูกไล่หลังตามอย่างที่เรียกว่าหายใจรดต้นคอ

ชายหนุ่มกลืนน้ำลายด้วยความหวาดกลัวอีกครั้ง เมื่อแสงสีฟ้าค่อยสลายหายไป พื้นที่ตรงหน้าที่เคยเป็นป่าซึ่งเต็มไปด้วยต้นไม้ใหญ่ถูกทำลายจนราบเป็นหน้ากลอง เขามองกลุ่มคนราวสิบกว่าคนกลางพื้นราบนั่นได้อย่างชัดเจน ธัชนันท์ยันขาที่สั่นเทาลุกขึ้นยืน

“ฮัลโล ทุกคนปลอดภัยดีไหม” เสียงของโยธินดังทักออกมาจากลำโพงในหมวก จากนั้นเสียงของพี่ชายและหุ่นยนต์อย่างสเตบาสเตียนและมาริเอะก็ดังตามมาติดๆ

“ครับ ผมปลอดภัยดี” น้ำเสียงของเขาสั่นระรัว ก่อนที่หัวใจภายใต้แผ่นอกจะร่วงไปอยู่ที่ตาตุ่ม เมื่อสายตาหันไปเห็นว่าภายในมอเตอร์สเปซมีแต่ความว่างเปล่า

“พ... พี่ แย่แล้ว!!! สุดฟ้า... มันหายไป”



ในที่สุดพวกเขาก็เจอชวิศา

สุดฟ้านอนแผ่อยู่กับพื้นพลางอ้าปากกอบโกยลมหายใจเข้าปอด อาการเหนื่อยแบบนี้คล้ายกับที่เขาฝืนออกกำลังกายเป็นชั่วโมงในวันแรกที่อยากจะฟิตกล้ามเนื้อให้ร่างกายดูดี ทุกครั้งที่หายใจราวกับมีมือที่มองไม่เห็นในอากาศกำลังจากดึงเอาเครื่องในออกมาด้วย คอแห้งเป็นผงกระหายน้ำ แต่ที่นี่ไม่มีน้ำให้เขาดื่ม เขาจำต้องกลืนน้ำลายที่แห้งผากไม่แพ้กัน หายใจจนปวดทั้งปอดและหัวใจ

กรินทำอะไรไม่ได้นอกจากยืนดูเขาเฉยๆ แต่สุดฟ้าไม่แน่ใจว่า อาการเหนื่อยทำให้เขาตาพร่าหรือเปล่า ถึงได้มองเห็นว่าร่างของกรินโปร่งใสมากขึ้นกว่าเดิม

ที่นอนอยู่ข้างกันเป็นร่างของชวิศาที่ยังคงหลับสนิท เสื้อผ้าที่สวมใส่เป็นชุดนอนขายาวของเจ้าตัวซึ่งแม้ไม่สังเกตแต่เขายังเห็นคราบดินและความสกปรกที่ติดอยู่ทั่ว

สิ่งที่ทำให้เบาใจคงจะเป็นลมหายใจทอดยาวของชายหนุ่มร่างเพรียว

“เอ้า พร้อมแล้ว” สุดฟ้าฮึดลุกขึ้นนั่ง กรินบอกกับเขาว่า ต้องการใช้จักระของเขาจนถึงแค่คลายเวทผนึกของสุมุนตรา ส่วนการแก้เวทหุ่นเชิดและพาพวกเขาออกจากมิติเวทจะใช้จักระของชวิศา

ก่อนอื่น สุดฟ้าต้องวางมือลงบนหน้าผากของชวิศาเพื่อให้กรินดึงระเบียนมนตราออกมาตรวจสอบ เขายังวางมือนิ่งอยู่อย่างนั้น ทว่าอักขระและสัญลักษณ์ต่างกลับมีการเคลื่อนที่เปลี่ยนตำแหน่ง

“ไม่ต้องตกใจไป” กรินพูดดักทางออกมาพอดี สุดฟ้าจึงยังวางมือนิ่งอยู่อย่างนั้น มองแสงเรืองรองสีทองหมุนเวียนเปลี่ยนตำแหน่ง เขามองดูและพยายามทำความเข้าใจ จดจำสัญลักษณ์ต่างๆ พลางมองหาความเชื่อมโยง แม้ไม่เข้าใจทั้งหมดแต่รูปแบบของเวทมนตร์ยังเหมือนที่เขาคาดคิดไว้ มันมีโครงสร้างลำดับการผสมธาตุที่คอยทำงานเชื่อมโยงกันอยู่ สุดฟ้าเห็นกรินแก้คลายเวทผนึกไปเรื่อยๆ ทีละชั้นๆ อย่างใจเย็น

เขาเหมือนจะสลบทันทีที่กรินผละจากตัวเขาเข้าไปหาชวิศา หมดแรงพยุงตัวจนต้องยอมไถลลงไปนอนกับพื้นอีกครั้ง แต่เขายังพยายามฝืนเปลือกตามองดูทั้งสองคนตรงหน้า

สุดฟ้าเห็นกรินขมวดคิ้วคล้ายมีเรื่องยุ่งยากใจ นึกอยากจะเอ่ยปากถาม เพียงแต่เรี่ยวแรงไม่ยอมกลับมาเสียที ทั้งยังเหนื่อยมากจนอยากจะหลับเสียให้ได้ กระนั้นเขาพยายามฝืนอยู่ได้ชั่วครู่เท่านั้น หนังตาอันหนักอึ้งก็ปิดลงอย่างที่เขาไม่ยินยอม

กระแสพลังเวทในร่างของชวิศาเชี่ยวกรากเหมือนสายน้ำบ่าจากเขาสูง หากเป็นยามที่เขายังมีพลังชีวิต กรินจะไม่รู้สึกหนักใจเท่านี้ พลังงานที่เหลือในการคงดวงจิตถูกชักพาให้ไหลไปกับความบ้าคลั่งของพลัง ซ้ำพลังเวทที่เล็ดลอดออกมายังยังฉุดกระชากให้มิตินี้ปั่นป่วน กรินต้องยอมชักมือกลับออกมาเมื่อเห็นความบิดเบี้ยวของห้องมิติ หันมองชายหนุ่มอีกคนที่นอนสลบไสลไม่ได้สติ มองเหตุการณ์รอบตัวอย่างไม่อาจคาดเดาอนาคต ก่อนตัดสินใจก้าวเข้าหาชายหนุ่มผู้ซึ่งไร้มนตราคุ้มครองกาย ใช้พลังที่มีอยู่ชักนำธาตุในกายของสุดฟ้าสร้างเกาะคุ้มกันร่างกายของชายหนุ่ม ก่อเกิดเป็นม่านพลังบางๆ ห่อหุ้มคลุมร่างกายของสุดฟ้าไว้

มิติเวทค่อยๆ ล่มสลายลงเรื่อยๆ พร้อมกับประกายแสงสว่างจ้าที่มาจากร่างของชวิศา ก่อนที่ทุกอย่างจะหายวับไปทิ้งร่างของสุดฟ้าไว้ในที่ซึ่งรายล้อมด้วยความมืดดำ


อันที่จริงชวิศาลืมตาตื่นขึ้นมาเห็นสุดฟ้าและกำลังเอื้อมมือไปหาอยู่แล้ว เพียงแต่ในเวลานั้นมันมีพลังมหาศาลบางอย่างฉุดกระชากเขาออกมา เขารู้สึกเหมือนตัวเองลอยสูงขึ้นเพราะเห็นภาพร่างของสุดฟ้าห่างไปเรื่อยๆ และค่อยๆ เล็กลง จากนั้นภาพเหตุการณ์ต่างๆ ที่เขาได้เห็นพลันเคลื่อนผ่านอย่างรวดเร็วคล้ายถูกชักรอก เหมือนกำลังนั่งรถไฟเหาะหรือขับรถด้วยความเร็วสูงที่ภาพข้างทางผ่านสายตาไปในชั่วเสี้ยววินาที แต่มันต่างกันตรงที่ไม่ว่าจะเป็นที่เห็นตรงหน้าหรือภาพที่มาจากมุมกว้างของสายตา ภาพเหล่านั้นล้วนเคลื่อนไหวด้วยความรวดเร็วทั้งนั้น และมันทำให้เขามึนงงจนหัวหมุน ดังนั้นตอนที่ร่างกายได้มีโอกาสสัมผัสพื้นดินอีกครั้ง ชวิศาจึงทรุดตัวลงและอาเจียนออกมาแทบในทันที





+++++โปรดติดตามตอนต่อไป+++++



ออฟไลน์ ตีสี่

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 412
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-5
    • 61'
ตอนที่ยี่สิบห้า



ยังไม่ทันได้ลืมตา กลิ่นควันไฟและความหอมหวนจากอาการประเภทย่างได้ลอยผ่านเข้าจมูกก่อนสิ่งอื่นใด ชวิศารู้สึกเหมือนว่าตัวเองไม่ได้กินข้าวมานานมาก เพราะกระเพาะส่งเสียงประท้วงก่อนที่ความพยายามในการฝืนเปิดเปลือกจะสำเร็จเสียอีก

ภาพเลือนรางที่เห็นอยู่ตรงหน้าทำให้เขาต้องปิดเปลือกตาลง จากนั้นจึงลืมตามองอีกครั้ง ยันตัวลุกขึ้นนั่งด้วยอาการมึนงงสะลึมสะลือ เปลวไฟที่กำลังลุกไหม้อยู่ไม่ไกลดึงดูดสายตาของชวิศาเป็นอันดับแรก ถัดมาเป็นชายหนุ่มหน้าตาดีที่นั่งอยู่อีกฝั่ง และความมืดรอบตัวก็ทำให้เขากวาดสายตามองทุกสิ่งรอบกาย

ชวิศารู้สึกตื่นเต็มตาขึ้นมาในฉับพลัน สายตาหวั่นระแวงหันมองรอบด้านอีกครั้ง สลับกับมองคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม

“คุณเป็นใคร ต้องการอะไรกันแน่” เขาถามออกไป ตามด้วยเสียงท้องร้องดังโครกครากเหมือนฟ้าลั่นของตน ชวิศารู้สึกอับอายขายหน้า กระนั้นยังคงตีสีหน้านิ่งเฉยไว้ มองอีกฝ่ายที่มีสีหน้าเหมือนจะหัวเราะ ก่อนที่ฝ่ายนั้นจะขยับตัวพร้อมมีดในมือ ชวิศาบอกตัวเอง ถึงจะไม่มีใครคอยดูแลช่วยเหลือ แต่คราวนี้เขาจะยอมสู้จนตายกันไปข้างหนึ่งเลย

ทว่าฝ่ายนั้นแค่ตัดเนื้อสัตว์ที่อยู่บนราวไม้เหนือไฟส่งมาให้เขา ชวิศาลังเลแต่เหมือนว่ากระเพาะของเขาจะร้องครวญครางหนักยิ่งกว่าเดิม

“$%#%%## () *&@#” ฝ่ายนั้นพูดด้วยภาษาที่เขาฟังไม่เข้าใจพลางยื่นเนื้อสัตว์ให้ซ้ำ

ทั้งที่คิดว่าตัวเองหลับไปไม่นานแต่ชวิศารู้สึกเหมือนว่าตัวเองไม่ได้กินข้าวมาหลายวัน และระหว่างที่หลับ เขากลับรู้สึกว่าตัวเองฝันแปลกประหลาด ทั้งยังเหมือนหลับๆ ตื่นๆ อยู่ตลอดเวลา ดังนั้น พอเห็นของกินถูกยื่นมาล่อลวงอยู่ตรงหน้า เขาจึงตัดสินใจคว้ามันไว้ก่อน

“ขอบคุณนะ” ชวิศาบอกออกไปแม้จะไม่รู้ว่าฝ่ายตรงข้ามจะเข้าใจคำพูดของตนหรือไม่

เนื้อสัตว์ส่วนที่ถูกยื่นมาให้คล้ายเนื้อส่วนน่องไก่ที่เขารู้จัก มันอุ่นร้อนกำลังพอดีซ้ำยังมีกลิ่นหอมของเนื้อและเครื่องเทศโชยมาเรียกน้ำย่อยให้ปั่นป่วนยิ่งกว่าเดิม ชวิศากัดชิมอย่างไม่รอช้า มันหวานนุ่มและเค็มนิดๆ กลิ่นเผ็ดฉุนของเครื่องเทศทำหน้าที่สร้างความอยากอาหารได้เป็นอย่างดี กลมกล่อมชนิดที่พ่อครัวทำอาหารอย่างเขายังต้องยกนิ้วให้

ชายหนุ่มกินอาหารด้วยความหิวโหย และเมื่อหมดชิ้นที่อยู่ในมือ ก็มีเนื้อย่างชิ้นต่อไปวางเสิร์ฟอยู่บนใบไม้ใบใหญ่ ท่าทางการกินของเขาอาจจะตะกละตะกลามไปบ้าง แต่มันอร่อยมากทั้งเขาก็หิวมากจริงๆ จนใกล้ๆที่จะเริ่มอิ่ม ชวิศาถึงมีสติกลับมานั่งพิจารณาว่าเครื่องเทศที่ใช้หมักควรจะมีอะไรบ้าง

อ๊ะ... ไม่ใช่สิ ชวิศาฉุกคิดอย่างตระหนก มันใช่เวลาที่จะมาสนใจเครื่องเทศที่ใช้หมักตรงไหน เขาขมวดคิ้ว พลางบ่นตัวเองในใจ หลังหมดเนื้อย่างชิ้นที่อยู่ในมือ เขาจึงได้ยกมือขึ้นเช็ดปากและเช็ดมือกับกางเกงด้วยความเหนียมอาย ชายหนุ่มแปลกหน้าส่งกระบอกไม้ไผ่มาให้

ถึงชวิศาไม่เคยใช้ชีวิตในป่ากระนั้นเขาเคยดูหนังมาบ้าง กระบอกไม้ไผ่แบบนี้คงเป็นน้ำดื่ม และไหนๆ เขาก็กินอาหารของอีกฝ่ายเสียเต็มคราบแล้ว จึงไม่รู้ว่าจะปฏิเสธของที่อีกฝ่ายยื่นให้ทำไม อย่างไรก็ตาม ชวิศาก็รับกระบอกไม้ไผ่มาด้วยอาการเหมือนเกรงใจ

และเมื่อยกน้ำขึ้นดื่ม เขาต้องตาโตขึ้นมาอีกรอบ เนื่องจากภายในนั้นไม่ใช่น้ำเปล่า แต่เป็นน้ำผลไม้ที่ทั้งหวานและหอมจนเขาต้องหักห้ามใจไม่ให้ยกมันขึ้นดื่มเสียหมด ก่อนจะส่งน้ำนั้นกลับคืนเจ้าของด้วยอาการเก้อกระดากไม่น้อย

“ขอบคุณนะ คุณชื่ออะไรเหรอ” ครั้งนี้ชวิศาพูดบอกอีกฝ่ายเป็นภาษาอังกฤษ เพียงแต่คำตอบที่ได้รับกลับมายังคงเป็นภาษาที่เขาฟังไม่เข้าใจอยู่เช่นเดิม ชายหนุ่มจึงลองพูดอีกหนึ่งภาษาที่ตนพอจะสื่อสารได้ ทว่าผลลัพธ์ยังคงไม่ต่างไม่จากเดิม

“แย่แล้ว คิดถึงคุณมาริขึ้นมาเลย”

อีกฝ่ายขยับเข้ามาใกล้ และตั้งมืออยู่ตรงหน้า ชวิศามองมือข้างนั้นของอีกฝ่ายด้วยความแปลกใจสลับกับแววตาของชายหนุ่มตรงหน้าที่ยังคงมองนิ่งตรงมา

เขายกมือขึ้นประกบด้วยความลังเล

ฝ่ามือของเขาและอีกฝ่ายสัมผัสกันอย่างนั้นอยู่ครู่หนึ่ง ร่างกายพลันรู้สึกแปลกประหลาดร้องเตือนให้ชักมือออก แต่เพราะได้ยินเสียงร้องดังห้ามขึ้นมาเสียก่อน เขาจึงยังนิ่งเฉยอยู่เช่นนั้น

“ข้าไม่ได้คิดจะทำอันตราย”

ชวิศามีสีหน้าแปลกใจอย่างชัดเจน เมื่อคู่สนทนาไม่แม้แต่ขยับปากแต่เขากลับรับรู้ได้ว่าอีกฝ่ายกำลังพูดคุยกับเขาอยู่ ริมฝีปากได้รูปกำลังยกยิ้มยิ่งทำให้ใบหน้านั้นน่ามองยิ่งขึ้น

“คุณทำได้ยังไง” คำถามนี้ชวิศาก็เพียงแค่คิดขึ้นมาเท่านั้น ทว่าเหมือนกับว่าอีกฝ่ายก็รับรู้ว่าสงสัยของเขาเช่นกัน

“เจ้าไม่รู้?”

“เอ๋!!! ผมต้องรู้อะไรเหรอ” ชวิศามีสีหน้าแปลกใจ ชายหนุ่มอีกคนขมวดคิ้วและผละออกไป

“เดี๋ยวซิ” เขาร้องเรียกด้วยเสียงพลางคว้ามือของฝ่ายนั้นมาประกบกับมือของตน พร้อมกับตั้งทำถามภายในใจ แต่ครั้งนี้ชายหนุ่มตรงหน้ากลับไม่มีทีท่าเข้าใจสิ่งที่เขาต้องการสื่อ

“ทำไมล่ะ” เขาพึมพำออกมาเสียงเบา ชายคนนั้นทำเพียงสะบัดมือและกลับไปยังที่ของตน ชวิศารู้ตัวในนาทีนั้นว่าอีกฝ่ายกำลังไม่พอใจตน เพียงแต่เขาไม่รู้ว่าตนเองทำสิ่งใดผิด เขาชันสองขาขึ้นมากอดเข่า คิดวนเวียนหาทางกลับไปหาสุดฟ้าและฝาแฝด เขาน่าจะยังอยู่ในฮัชดาลลาร์ สถานที่ที่มีแต่ป่าก็มีแต่ที่นั่นเท่านั้น รอบด้านมีแต่ทะเลทราย คงไม่มีใครสามารถพาเขาข้ามทะเลทรายแล้วพามาทิ้งในป่าประเทศอื่นหรอก แต่คืนนี้มืดแล้วไม่มีทางที่เขาจะหาสถานีรถไฟเจอ

นั่งคิดไปสักพัก ชวิศาก็รู้สึกง่วงนอนอีกครั้ง จึงล้มตัวลงนอนอย่างไม่คิดอะไรให้มากความ

ตอนเช้าชวิศาตื่นมาเพราะแสงแดดที่ส่องกระทบเปลือกตา เมื่อรู้สึกตัวมีสติครบถ้วนเขาจึงกระเด้งตัวลุกขึ้นนั่ง กวาดสายตาโดยรอบจึงพบว่าที่แห่งนั้นเหลือเพียงตนเองและกองไม้ซึ่งเหลือแต่เถ้าถ่าน ความหวาดกลัวจู่โจมถามหาโดยฉับพลัน

ชายหนุ่มไม่เคยเจอสัตว์ป่าในฮัชดาลลาร์ แต่ก็ไม่มีใครเคยบอกว่าไม่มี นอกจากนี้เขายังไม่รู้ทางกลับไปยังสถานีรถไฟ เพราะทุกครั้งเขาจะมากับมาริเอะ หุ่นยนต์ของสุดฟ้า จึงไม่ต้องกลัวกับคำว่าหลงทาง ในเวลานี้ เขาจึงอยากร้องไห้ออกมาครามครัน

ยังไม่ทันที่ชวิศาจะร้องไห้ออกมาจริงๆ ชายหนุ่มคนนั้นที่อยู่กับเขาเมื่อคืนได้ปรากฏตัวออกมาเสียก่อน เขารีบวิ่งเข้าไปหาคลายอาการตระหนกไปหลายส่วน

“คุณหายไปไหนมาน่ะ ผมนึกว่าจะโดนทิ้งเสียแล้ว” แม้จะรู้ว่าต่อให้พูดออกไปอีกฝ่ายก็ไม่มีทางเข้าใจสิ่งที่ตนพูด แต่เมื่อได้พูดออกมา มันทำให้รู้สึกว่าได้ระบายความอัดอั้นออกไปบ้าง คู่สนทนาของเขาไม่ได้พูดตอบอะไรกลับมาเพียงแต่ยื่นลูกไม้ซึ่งถูกเก็บรวมอยู่บนใบไม้ใบใหญ่มาให้ พร้อมกับยกมือขึ้น ชวิศารู้ได้ทันทีว่าอีกฝ่ายต้องการสื่อสารกับตน

“กินซะ”

ทว่าพอสั่งเสร็จอีกฝ่ายก็ละมือออกไปทันที

ชายหนุ่มได้แต่เพียงทรุดตัวลงนั่งและทำตาม เพราะเขายังต้องพึ่งพาอีกฝ่ายเพื่อออกจากป่า อย่างน้อยถ้าเจอหมู่บ้านหรือชุมชน เขาจะสามารถหาทางกลับได้

ชวิศาก้มมองดูสภาพของตัวเอง ตัวเขามีแต่เสื้อผ้าชุดนอนแม้แต่รองเท้าก็ไม่ได้สวม เพราะฉะนั้นไม่ต้องถามถึงอุปกรณ์สื่อสารอย่างโทรศัพท์มือถือ เขาไม่สามารถติดต่อหาใครได้ ป่านนี้คุณสุดฟ้ากับฝาแฝดคงตามหาตัวเขากันวุ่น นี่ยังไม่นับรวมพี่โยกับคุณย่าอีก กลับไปคราวนี้เขาคงโดนดุจนหูชา ชวิศาถอนหายใจ มองชายหนุ่มอีกคนที่กำลังเขี่ยกลบพื้นดินที่เคยเป็นที่ตั้งค้างแรม

หลังเสร็จเรียบร้อยชายคนนั้นเดินกลับมาทรุดตัวลงนั่งใกล้ๆ และตั้งฝ่ามือขึ้นตรงหน้า ชวิศาจึงละมือจากลูกไม้ที่กำลังถือและวางมือประกบทันที ความรู้สึกแปลกๆ ที่ว่าจู่โจมเขาอีกครั้งเหมือนมีตัวอะไรสักอย่างชอนไชเข้ามาในร่างกาย แต่เพราะไม่มีวิธีอื่นที่จะทำให้เขาคุยกับคนตรงหน้าได้ ชวิศาจึงได้แต่ข่มใจเอาไว้

“เจ้ามาจากไหน”

“ผมตามเพื่อนมาทำงานที่ฮัชดาลลาร์ คุณพาผมไปส่งที่พระราชวังราซาห์ได้หรือเปล่า”

“พระราชวังราซาห์? ที่นั่นมันที่ใดกัน”

“ที่ประทับของเจ้าชายฟาลิฮ์ อัสมานร์ไง”

“เจ้าชายพระองค์นั้นข้าก็ไม่รู้จัก”

“ถ้าอย่างนั้น คุณรู้จักมหาวิทยาลัยอินดราจาร์หรือเปล่า”


อีกฝ่ายแค่ส่ายศีรษะ

“อย่างนั้น ไปส่งผมที่สถานีรถไฟก็ได้”

“แล้วสถานที่ที่เจ้าว่ามันอยู่ที่ใด”

“มีทั่วไปเลย ใกล้ๆ หมู่บ้านก็มี”


คู่สนทนาจึงพยักหน้ารับรู้ ทำท่าจะผละมือออก ชวิศาจึงรีบคว้าจับมือข้างนั้นไว้ “ผมชื่อซี คุณชื่ออะไรเหรอ”

“กริน”

“คุณกริน ขอบคุณนะทั้งเรื่องอาหารเมื่อวานแล้วก็ที่จะพาผมไปส่ง ถ้าผมกลับไปหาเพื่อนได้ผมจะตอบแทนให้”

“ไม่จำเป็น มีอะไรอีกหรือไม่”

 
เพราะกรินมีสีหน้าเหมือนขุ่นเคืองอีกแล้ว ชวิศาจึงสั่นศีรษะปฏิเสธ ลุกขึ้นยืนพร้อมกับชายหนุ่มอีกคน และเมื่อฝ่ายนั้นออกเดิน เขาจึงก้าวเท้าเดินตามพร้อมหอบพวกลูกไม้ที่กรินหามาให้ตามไปด้วย

เส้นทางเดินที่กรินนำทางไม่ได้รกชัฏมากนัก แต่กระนั้นก็สร้างความลำบากให้ชวิศาอยู่ดี เพราะเขาเดินด้วยเท้าเปล่า บางครั้งจึงเหยียบคมหนามหรือคมหินจนเท้าระบม

“กริน” เขาส่งเสียงเรียก เมื่อเจ้าของชื่อหันมาจึงพูดบอกพร้อมกับทำมือว่าเขาอยากจะขอพัก ถึงจะเห็นว่ากรินทำท่าเบื่อหน่าย ชวิศาก็เพียงเสหลบสายตามองเท้าตัวเอง เขาใช้ชายกางเกงปัดฝุ่นผงที่ติดเท้าออก นอกจากเท้าจะระบมเขายังรู้สึกเจ็บจนชาไม่อยากลุกเดินอีก

นับตั้งแต่เด็กจนโต ถึงจะโดนบังคับให้เรียนให้ฝึกอะไรตั้งมากมายแต่เขาไม่เคยลำบากถึงขนาดนี้ จะไปโรงเรียนก็มีรถยนต์ไปรับไปส่ง จะไปซื้อของก็มีคนเดินตามหิ้วของให้ ไม่ว่าจะไปที่ไหนล้วนมีคนตามดูแล กิจกรรมของโรงเรียนที่เขาต้องเข้าร่วมก็ไม่เคยต้องลำบากลำบน แม้กระทั่งกิจกรรมรับน้องของมหาวิทยาลัย พี่โยยังไปกดดันคณะจนเหลือเพียงกิจกรรมสันทนาการการตบมือร้องเพลงธรรมดา

ชวิศาไม่เข้าใจว่านี่มันเคราะห์กรรมอะไรที่เขาต้องเผชิญ คิดถึงพี่โย คิดถึงคุณสุดฟ้า คิดถึงคุณมาริ คุณสเตบาสเตียน อยากให้คนอื่นมาหาตนให้เจอเร็วๆ คิดไปพลางก้มหน้ายกมือขึ้นปาดน้ำตาป้อยๆ

กรินปรายมองชายหนุ่มร่างเล็กซึ่งนั่งอยู่บนพื้นด้วยหางตา เขาหันมองไปทางอื่นจนกระทั่งได้ยินเสียงสูดน้ำมูกเบาๆ จึงหันไปดูอีกครั้ง นึกแปลกใจทั้งที่อีกฝ่ายเติบโตพ้นวัยเยาว์แล้ว ไฉนจึงทำตัวคล้ายเด็กน้อยไม่ประสาความเช่นนี้ อย่างไรก็ตามท่าทางเช่นนั้นกลับทำให้เขารู้สึกเวทนาได้ไม่ยาก

กรินเจอชวิศาระหว่างกำลังเดินทาง ฝ่ายนั้นนอนสลบไสลไม่ได้สติอยู่บนพื้น เมื่อพิจารณาจากเสื้อผ้าเนื้อดีแต่ดูสกปรกมอมแมมที่สวมใส่ เขาจึงคาดเดาว่า ชวิศาอาจจะเป็นกลุ่มคนชนชั้นมีฐานะที่โดนลักพาตัวมาและมาสามารถหนีออกมาจากรังของพวกโจรได้ ทว่าพลังเวทมากมายที่เขาตรวจพบและการที่เจ้าตัวบอกไม่รู้จักมตรากลับทำให้เขาหงุดหงิด แม้กรินจะรู้ว่ามันคือความอิจฉาแต่ยากจะระงับ จึงพาลพาโลทำที่ขุ่นเคืองใส่

ชายหนุ่มทรุดตัวลงนั่งและประสานมือเข้ากับมือซ้ายของชวิศา การกระทำแบบฉับพลันนั้นคงสร้างความตระหนกให้อีกฝ่าย พลังเวทในร่างกายของชวิศาจึงต่อต้านเขา ต่อให้เขาใช้ความสามารถในการควบคุมพลังชีวิตของตนเองเข้าข่ม นั่นยังไม่สามารถทำให้เขาควบคุมพลังเวทของชวิศาได้

เขาจึงต้องหยุดและถอนจักระกลับมาเพื่อไม่เกิดอันตรายแก่ตนเอง

“ข้าจะรักษาบาดแผลที่เท้าให้เจ้า” เขาพูดพลางวางมืออีกข้างทาบทับลงไป ชวิศาเหมือนจะเข้าใจคำพูดของเขา กระแสพลังอันรุนแรงจึงค่อยๆ สงบลง

กรินใช้จักระของตนแทรกแซงเข้าไปดึงพลังเวทในร่างกายของชวิศาออกมา หน่วงมันไว้ในอีกมือพร้อมกับวางทาบลงบนฝ่าเท้าของเจ้าตัว ชั่วพริบตาเดียวฝ่าเท้าบวมแดงก็กลับกลายเป็นปกติ

นัยน์ตาของชวิศาเป็นประกายอย่างยินดี “ขอบคุณนะ” เขากล่าวคำนั้นเป็นภาษาไทยออกไป

กรินวางมือบนอัญมณีสีนิลที่ประดับอยู่บนปลอกแขน เสี้ยววินาทีต่อมาพลันปรากฏรองเท้าคู่หนึ่งบนฝ่ามือของเขาทันใด

ชวิศาขมวดคิ้วไม่ได้ตื่นเต้นกับความสามารถของกริน หากรู้สึกข้องใจที่กรินมีรองเท้าอีกคู่แต่ไม่ยอมนำมาให้เขาแต่แรก เขาจึงตั้งมือขึ้นเพื่อส่งสัญญาณบอกว่าอยากจะคุยกับอีกฝ่าย

กรินยอมประกบมือด้วยแต่โดยดี

“ทำไมไม่เอามาให้แต่แรก” ชวิศาถาม กระนั้นกลับโดนถามกลับมาว่า “จะสวมหรือไม่สวม”
 
ชวิศารีบคว้าหมับ ถ้าจะให้เดินเท้าเปล่าอีก เขายอมนั่งรออยู่ตรงนี้ดีกว่า

รองเท้าของกรินทำจากหนังสัตว์ เป็นรองเท้าบูตยาวที่มีดีไซน์แปลกตา แต่เพราะมีเชือกให้ผูกรัดตั้งแต่ช่วงหน้าแข้ง เพราะฉะนั้นถึงมันจะมีไซส์ใหญ่กว่าจึงไม่ค่อยมีปัญหากับชวิศาเสียเท่าไหร่

“พร้อมแล้ว” ชวิศาร้องบอกพร้อมชี้มือไปด้านหน้าเป็นเชิงบอกว่าไปต่อได้

พวกเขายังต้องเดินเท้าต่อกันอีกไกล ระหว่างทางถึงชวิศาจะเหนื่อยก็ไม่ได้ร้องขอให้กรินหยุดพัก เขาอยากถึงเมืองเร็วๆ อยากกลับบ้านใจจะขาด อยากอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า เหนื่อยมากๆ เขาก็กินลูกไม้ที่หอบหิ้วมาด้วย มันช่วยลดอาการเหนื่อยได้มากโข ซ้ำยังทำให้รู้สึกเพลินกับการเดินเท้า ตอนที่หอบลูกไม้เหล่านี้มาด้วยเขาไม่ได้คิดอะไรมาก แค่เห็นว่ากรินไม่คิดสนใจมันเลย เขาจึงถือมาด้วยความเสียดายลูกไม้หลายอย่างที่มันหวานอร่อยดี

ดังนั้นตอนที่ลูกไม้ในมือลูกสุดท้ายหมด พวกเขาก็มาถึงเมืองพอดี

กรินสัมผัสที่อัญมณีเรียกห่อผ้าขึ้นมาคาดสะพายหลังและหันมาหาเขา ยกมือขึ้นมาอันเป็นสัญลักษณ์ว่าต้องการคุยกับเขา

“แยกกันตรงนี้”

“ไม่เอา ไปด้วยกันก่อน อย่างน้อยให้เจอสถานีรถไฟก่อน คุณกรินช่วยผมอีกนิด ช่วยถามให้หน่อยว่าสถานีอยู่ไหน ผมพูดภาษาของพวกคุณไม่ได้คุณก็รู้”
ชวิศาร้องขอ ที่เมืองนี้เขายังไม่เคยมาจึงไม่รู้ว่าสถานีรถไฟอยู่ที่ไหน ถ้าให้เดินหาเองอาจจะต้องเดินหลงวนเวียนอยู่ในเมืองนี้อีกเป็นวัน ไม่เอาหรอก เขาอยากกลับบ้านแล้ว ชายหนุ่มบ่นกับตัวเองในใจ เพียงแต่สิ่งที่ชวิศาบ่น กรินที่กำลังใช้มนตราในการสื่อสารอยู่รับรู้ด้วยทั้งหมด

“ตู้โทรศัพท์ก็ได้ เดี๋ยวผมโทรให้คุณสุดฟ้ามารับ”
 
กรินเลิกคิ้วแปลกใจกับสิ่งที่ชวิศาพูดถึง แต่เขาก็ไม่ได้ถามอะไรเพิ่มเติม ทำแค่เพียงเดินไปถามถึงสองสิ่งที่ชวิศาพูดถึงกับชาวเมือง โดยมีคนขอความช่วยเหลือเดินตามต้อยๆ

ผ่านไปหลายชั่วโมงจนตะวันคล้อย พวกเขายังไม่มีทีท่าว่าจะเจอสิ่งที่ชวิศาตามหา ถามชาวเมืองคนใดก็ไม่มีใครรู้

“แปลกจัง” ชวิศาพึมพำกับตัวเอง เจ้าชายฟาลิฮ์เคยตรัสว่าระบบคมนาคมขนส่งทางรางถูกวางเครือข่ายไว้ทั่วประเทศนี่นา เขายังจำได้เลยว่า ฮัชดาลลาร์เป็นประเทศเล็กๆ ที่มีพื้นที่ประมาณจังหวัดหนึ่งในประเทศไทย การวางระบบขนส่งสาธารณะจึงทำได้ง่ายและทั่วถึง อย่างน้อยที่สุดทุกแหล่งชุมชนจะมีสถานีรถไฟอย่างน้อยหนึ่งสถานี แล้วทำไมเมืองนี้ไม่มี ทั้งที่ดูเหมือนว่าไม่ใช่เมืองเล็กๆ ด้วยซ้ำ

ชวิศาเงยหน้าขึ้นเมื่อโดนสะกิด ยกมือขึ้นประกบมือของกริน

“หาที่พักก่อน ตอนนี้ใกล้ค่ำแล้ว”

ชายหนุ่มร่างเล็กไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากพยักหน้ารับ

เขาไม่เคยได้เข้าพักในโรงแรมของฮัชดาลลาร์มาก่อน ตอนที่เดินเข้ามาในอาคารจึงให้ความสนใจเป็นอย่างมากจนลืมเรื่องที่ทำให้หงอยเหงาอยู่เมื่อสักครู่ไปหมด ภายในนั้นจัดตกแต่งเหมือนที่อยู่อาศัยทั่วไป เพียงแต่มีโต๊ะทานอาหารหลายตัวจนคล้ายร้านอาหารมากกว่าโรงแรมที่พัก

ชวิศาหันซ้ายหันขวามองทุกอย่างเพราะความแปลกตา หันมาอีกทีจึงเห็นว่ากรินก้าวเท้าขึ้นบันไดเดินนำไปไกลแล้ว เขาจึงต้องรีบสาวเท้าตามไป

ห้องพักของพวกเขาอยู่บนชั้นสอง กรินไขกุญแจประตูห้องหนึ่งและเปิดเข้าไป พยักพเยิดให้เขาเดินเข้าไปข้างใน ทว่าตัวเองกลับผละไปเปิดประตูอีกห้อง ชวิศาจึงเดินตามกรินเข้าไปในห้องนั้นอย่างไม่คิดลังเล ต้องแยกห้องนอนคนเดียวในที่ที่ไม่คุ้นเคย ชวิศายอมนอนรวมกับคนแปลกหน้าที่เพิ่งรู้จักเสียดีกว่า

“เจ้าตามข้ามาทำไม ไม่อยู่ในห้องของเจ้า”

“ให้นอนคนเดียว ไม่เอาหรอกนะ”

“เจ้าไม่ใช่เด็กแล้วนะ”

“แต่มันอาจจะมีอะไรโผล่มาก็ได้ใครจะไปรู้”

“ไม่มีอะไรหรอกน่า”

“กริน ให้ผมนอนห้องเดียวกับคุณเถอะ ผมนอนพื้นก็ได้”
ให้ตายอย่างไรเขาก็ไม่แยกไปนอนคนเดียวเด็ดขาด

แน่นอนว่ากรินรับรู้ความมุ่งมั่นในประโยคที่ชวิศาไม่ได้ตั้งใจพูดออกไปด้วย กรินจึงยอมยุติเรื่องนี้และเรียกเสื้อผ้าออกมาจากอัญมณี ส่งให้ชวิศารับไปถือและเดินนำออกไป

ที่อาบน้ำเป็นสระธรรมชาติด้านหลังโรงแรม น้ำใสสะอาดแต่มองไม่เห็นก้นสระ ตอนที่พวกเขาไปถึงมีคนอื่นกำลังอาบน้ำอยู่บ้างแล้ว แต่ทั้งหมดล้วนมีแต่ผู้ชาย

กรินถอดเสื้อตัวนอกและปลอกแขนออกจนเหลือแค่กางเกง เขาวางของไว้ริมตลิ่งขณะที่ก้าวเท้าตามบันไดหินลงไปในน้ำ ชวิศาเห็นสระกว้างและน้ำใสขนาดนี้จึงรู้สึกอยากว่ายน้ำขึ้นมาติดหมัด แต่เพราะมองไปรอบตัวเห็นมีแต่คนที่แช่น้ำล้างหน้าล้างตาอยู่ครู่เดียวก็รีบขึ้น เขาจึงไม่กล้าทำอย่างที่ใจนึก กรินเองถูเนื้อถูตัวแค่ครู่เดียวก็ขึ้นไปผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้ว ชวิศาจึงไม่กล้าโอ้เอ้เพราะกลัวโดนทิ้ง

มื้อเย็นพวกเขาทานอาหารกันที่โรงแรมที่พัก อาหารที่ว่ามีเพียงซุป ขนมปังและเนื้อย่าง รสชาติปานกลางไปค่อนข้างแย่ แต่กรินยังทานได้หน้าตาเฉย เขาจึงไม่กล้าบ่นอีกเช่นเคย

กลับเข้าห้องมาแล้ว กรินเดินเข้าไปทรุดตัวลงนั่งกลางห้อง และตบพื้นที่ตรงหน้าเป็นเชิงเรียกเขาให้ไปนั่ง

“เจ้าช่วยอธิบายให้ชัดเจนหน่อยว่าบ้านของเจ้าอยู่ที่แห่งใด”

“ผมเกิดและโตที่เมืองไทย แต่ตอนนี้ผมย้ายไปอยู่กับคุณย่าที่ฝรั่งเศส แต่ตั้งใจว่าหลังจากที่คุณสุดฟ้าเสร็จงานจะกลับไปอยู่ที่เมืองไทยกับคุณสุดฟ้า”


ทั้งสองเมืองที่ชวิศาพูดมาก็ยังไม่คุ้นหูกรินอยู่ดี

“เจ้าตามเพื่อนมาทำงานที่ฮัชดาลลาร์”

“ใช่ครับ”

“แล้วเจ้ารู้หรือไม่ ว่าที่นี่คือที่ใด”

“ฮัชดาลลาร์ครับ”


ใช่ ที่นี่คือฮัชดาลลาร์ เมืองที่พวกเขาอยู่ ณ ขณะนี้เป็นเมืองหนึ่งในเขตการปกครองของอาณาจักรฮัชดาลลาร์ แต่ทุกสถานที่ที่ชวิศาพูดถึงกรินไม่รู้จักเลย ทั้งชื่อพระราชวัง ทั้งพระนามองค์ชาย ทั้งที่เขาเองก็ใช้ชีวิตอยู่ในเมืองหลวงมาตั้งแต่เกิด

“พระราชวังที่เจ้าว่าตั้งอยู่ที่เมืองใด”

“ซาราลา”


กรินขมวดคิ้ว

“มันทำไม... หรือเปล่าครับ” ชวิศาถามอย่างไม่แน่ใจ

“ข้ารู้จักเมืองนี้แต่ไม่รู้จักพระราชวังที่เจ้าว่า”
 
เมื่อได้ยินคำตอบกลับมา ท่าทางของชวิศาจึงห่อเหี่ยวลงทันควัน พลางคิดบ่นอยู่ในใจว่า นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน ทำไมคนในเมืองถึงไม่รู้จักที่อยู่ของราชวงศ์ไปได้ และถึงกรินจะรับรู้ความคิดนั้นแต่เขาไม่นึกอยากจะต่อความออกไป

“ถ้าอย่างนั้นพรุ่งนี้เช้าเราไปซาราลากัน”
 
ชวิศาเงยหน้าขึ้นมองคู่สนทนา แต่สีหน้ายังซึมเซาเช่นเดิม วันนี้เขาเดินทั้งวันจนล้า ซาราลาคงห่างจากที่นี่อีกหลายสิบกิโลเมตร ตอนที่ไปเที่ยวกับคุณมาริ เขานั่งรถไฟแค่สิบนาทียี่สิบนาทีก็ถึงอีกเขตแล้ว ซ้ำจำได้ว่าแต่ละสถานีห่างกันแค่ไม่กี่กิโลเมตรเท่านั้น แต่ทำไมคราวนี้เดินมาทั้งวันถึงไม่เจอสักสถานีเลยนะ

“เจ้าคงเหนื่อย วันนี้พักก่อนเถอะ”
 
ชวิศาพยักหน้ารับ ล้มตัวลงนอนหันหลังให้กรินทั้งอย่างนั้น พื้นห้องทำมาจากไม้แข็งกระด้างซ้ำยังไม่มีพรมปู ชายหนุ่มรู้ว่าพรุ่งนี้เช้ายามตื่นมาเขาอาจจะปวดเมื่อย แต่เพราะเมื่อคืนเขาก็นอนกลางพื้นดินจึงไม่ยากทำตัววุ่นวายเรื่องมาก ประกอบกับเขาหดหู่เกินจะคิดถึงความสะดวกสบายของตนเอง

ถึงอย่างนั้น กรินยังอุตส่าห์หาเครื่องนอนมาให้

“ขอบคุณนะ” ชวิศาพูดออกไป แล้วพลันนึกขึ้นได้ เขายกมือขึ้นเพื่อขอสื่อสารกับกริน

“ขอบคุณในภาษาของคุณพูดว่าอย่างไร”

“Paldies” กรินออกเสียงให้ฟัง

“พาละเดียส”

กรินขมวดคิ้วเล็กน้อยก่อนจะพยักหน้าพร้อมรอยยิ้ม ชวิศาจึงยกยิ้มตาม บอกตัวเองให้ฮึดสู้เข้าไว้ ป่านนี้ทุกคนก็คงตามหาเขาเหมือนกัน

เช้าวันถัดมาหลังทานอาหารเช้าซึ่งเป็นซุปข้นๆ จนอิ่มแล้ว กรินพาเขาเดินออกนอกเมือง พอลับตาผู้คนจึงแบมือมาตรงหน้า ถึงเขาจะมองมือข้างนั้นด้วยความงุนงงสงสัยกระนั้นเขายังคงวางมือของตนลงบนฝ่ามือหยาบกร้านอย่างว่าง่าย

ที่นี่เขาไม่รู้จักใคร พูดภาษาที่ชาวฮัชดาลลาร์ใช้กันสื่อสารกันก็ไม่ได้ จึงมีแต่คอยพึ่งพากรินเรื่อยไป

ชวิศาสะดุ้งในคราแรกเพราะไม่ทันตั้งตัวกับความรู้สึกน่าขยะแขยงที่ลามมาจากฝ่ามือ ก่อนพยายามรีบสงบใจ ความรู้สึกแขยงสะอิดสะเอียนจึงทุเลาลง

กรินกระชับมือเขาไว้แน่น และใช้วงแขนอีกข้างโอบรัดตัวเขาดึงเข้าไปชิด ชวิศาผงะออกเล็กน้อยด้วยความตระหนก แต่ชายหนุ่มยังกอดกระชับช่วงเอวเขาไว้แน่น

“ไม่ต้องกลัวไป ข้าจะใช้มนตราพาเจ้าไปซาราลา”
 
“ทำได้ด้วยเหรอ” เขาถามด้วยความแปลกใจ นึกกังขาขึ้นมาอีกครั้ง ถ้าทำได้ทำไมต้องปล่อยให้เขาเดินจนเมื่อย

กรินก้าวเท้าครั้งหนึ่งพวกเขาก็ลอยสูงขึ้นมาเหนือยอดไม้ สายลมโบกพัดแรงจนชวิศาเบิกตากว้างด้วยความตื่นตะลึง

“เพราะข้าต้องใช้พลังเวทของเจ้า และข้ารู้ว่าเจ้าคงรู้สึกไม่ดีนักยามที่ถูกดึงพลังเวทออกมาใช้โดยผู้อื่น”
 
ทว่าความตื่นตะลึงของชวิศาไม่ใช่เพราะกรินพาเขาลอยสูงมาอยู่กลางอากาศ แต่เพราะทิวทัศน์รอบด้านนั่นต่างหากที่ทำให้เขาตกอยู่ในอาการงงงัน

“ที่นี่ไม่ใช่ฮัชดาลลาร์” ชวิศาส่งเสียงร้องออกมา แต่เพราะกรินคงมนตราที่ใช้ในการสื่อสารไว้เสมอ เขาจึงรับรู้คำพูดนั้นของชวิศาจากความคิดโดยตรง

กรินขมวดคิ้ว กวาดสายตามองทิวทัศน์รอบด้านด้วยความกังขา พลางคิดในใจ ฮัชดาลลาร์ที่ซีหมายถึงคือที่ใดกัน



         +++++โปรดติดตามตอนต่อไป+++++



ออฟไลน์ ตีสี่

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 412
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-5
    • 61'
บทที่ยี่สิบหก



เพราะชวิศาเอาแต่ย้ำว่าที่นี่ไม่ใช่ฮัชดาลลาร์ กรินจึงเปลี่ยนแผนที่จะพาอีกฝ่ายไปซาราลาแต่พาชวิศากลับไปที่บ้านของเขาในเมืองหลวงเสียแทน เพราะรู้อยู่แก่ใจว่าที่ซาราลาคงไม่มีพระราชวังราซาร์ที่ชวิศากล่าวถึง

กรินไม่ได้กลับเข้าบ้านทางประตูหน้าแต่พาชวิศากระโดดเข้าทางหน้าต่างห้องทำงานของตน

บ้านของเขาเป็นคฤหาสน์หลังใหญ่เพราะบิดามีตำแหน่งเป็นปราชญ์อันดับหนึ่งของอาณาจักร พี่น้องทั้งหลายล้วนมีห้องทำงานหนึ่งใหญ่ ห้องนอน และห้องอาบน้ำ โดยห้องส่วนตัวแต่ละคนตั้งอยู่ในตำแหน่งแต่ละปีกของตึก ไม่เว้นแต่เขาซึ่งเป็นทายาทที่ไม่ได้ความที่สุดของบ้าน

ชวิศายังคงบ่นพึมพำยามที่เขาเดินกลับมาหลังจากปล่อยอีกฝ่ายทิ้งไว้ในห้องทำงานอยู่ครู่หนึ่ง เมื่อเขายื่นอัญมณีไปให้ อีกฝ่ายถึงได้หยุดพูดลงบ้าง

“อะไร”ชวิศามองอัญมณีสีนิลในมือตนพลางเอ่ยออกไปด้วยความสงสัยตามความเคยชิน กรินกุมมือทั้งสองของเขาไว้ นิ่งอยู่เช่นนั้นครู่หนึ่งราวกับต้องการให้เขาเตรียมตัว ชวิศายังไม่ค่อยเข้าใจนัก ทุกครั้งที่กรินสัมผัสมือนั่นจะตามมาด้วยความรู้สึกขยะแขยงแปลกประหลาด แต่ในยามที่เขาต้องการประกบมือกับกรินเพื่อสื่อสารพูดคุยกัน ความรู้สึกเหล่านั้นมันเบาบางลงจนบางครั้งกลับไม่รู้สึกอะไร ชวิศาสูดลมหายใจยาวเข้าเตรียมตัว พยักหน้าให้เมื่อคิดว่าพร้อมแล้ว

แสงสว่างเรืองรองออกมาจากมือของพวกเขาทั้งสองแล้วหายเข้าไปในอัญมณีขนาดเล็กในฝ่ามือ ครู่หนึ่งกรินก็ผละมือออก ขณะที่ชวิศายังมีสีหน้างุนงง เขาจึงยกฝ่ามือตั้งขึ้นแสดงออกว่าอยากจะคุยกับอีกฝ่าย

“เจ้าสงสัยอะไร”

ชวิศาอยู่ในอาการตกใจ “ผมฟังคุณพูดรู้เรื่อง”

“ใช่ เมื่อครู่เจ้าเพิ่งประจุมนตราถ้อยวจีไว้ในผลึกเวท เพราะฉะนั้นยามที่เจ้าสัมผัสมัน เจ้าย่อมเข้าใจในสิ่งที่ข้าพูด และข้าย่อมเข้าใจในสิ่งที่เจ้าพูด”

“ถ้างั้นผมขอทดลองหน่อย เดี๋ยวคุณพูดประโยคนั้นซ้ำอีกครั้งได้ไหม”พูดจบชวิศาก็วางอัญมณีสีนิลลงไว้บนโต๊ะ

“$%)(&^@%%$###”

แล้วหยิบมันขึ้นมาอีกครั้ง

“เจ้าดูสนุกกับมันนะ”

“ก็มันเจ๋งมาก”

“เจ๋ง?”

“เยี่ยม ดีเลิศ สุดยอด”

กรินพยักหน้ารับรู้ “เจ้าคงไม่เศร้ากับเรื่องกลับบ้านแล้วสิ”

อารมณ์รื่นเริงที่ชวิศาเพิ่งสัมผัสดิ่งวูบลงทันที “มันต้องมีอะไรผิดพลาดแน่ๆ”เขาพูดออกไป “ฮัชดาลลาร์น่ะเป็นประเทศที่ถูกล้อมรอบด้วยทะเลทราย ตอนมาถึงที่นี่ครั้งแรก พวกผมลงที่สนามบินนอกเมือง คุณบาซิมขับรถพาพวกผมผ่านทะเลทรายตั้งไกลกว่าจะถึงตัวเมือง นอกภูเขาหินต้องมีแต่ทะเลทรายสิไม่ใช่ป่าเขียวชอุ่มสุดลูกหูลูกตา”

“มีความเป็นไปได้ว่า ฮัชดาลลาร์ที่เจ้าพูดถึงอาจจะเป็นคนละยุคสมัยกับที่เจ้ายืนอยู่ในขณะนี้”กรินพูดหลังจากนิ่งคิดตามคำบอกเล่าของชวิศาอยู่ชั่วครู่ “เพราะข้าก็ไม่รู้จักทั้งสถานีรถไฟ โทรศัพท์ หรือแม้แต่สนามบินที่เจ้าพูดถึง”

“มันเป็นไปได้ไง”ชวิศาพึมพำเสียงเบา

“มีมนตราบทหนึ่งที่ทำให้ผู้ใช้สามารถเดินทางท่องเวลาได้ เจ้าอาจจะเผลอใช้โดยไม่รู้ตัว”

“เป็นไปไม่ได้ ผมไม่เคยใช้เวทมนตร์ ไม่รู้จักด้วยว่าต้องใช้ยังไง ไม่เคยมีเหตุการณ์แปลกๆแบบเผลอใช้เวทมนตร์โดยไม่รู้ตัวด้วย”

“แต่เจ้ามีพลังเวท”เพราะชวิศาแสดงสีหน้าแปลกใจ กรินจึงต้องอธิบายต่อ “ทั้งมนตราถ้อยวจีและมนตราเวหาเหิน ข้าใช้พลังเวทของเจ้าทุกครั้ง”

“แต่คุณเสกรองเท้ากับเสื้อผ้าได้”

“เปล่าเลย ข้าดึงของพวกนั้นมาจากช่องว่างมิติตามมนตราที่ถูกประจุในผลึกเวทนี้ต่างหาก”กรินยกปลอกแขนซึ่งประดับด้วยอัญมณีสีนิลให้เขาดู

“คุณกริน คุณส่งผมกลับบ้านได้หรือเปล่า”

กรินมองหน้าชวิศาที่ส่งสายตาออดอ้อนมาให้อย่างเต็มที่ “เจ้าเป็นพวกโง่เง่างั้นรึ” ประโยคนั้นของกรินทำให้ชวิศาเปลี่ยนสีหน้าฉับพลัน เขาไม่ได้โกรธเคืองแต่งุนงงประหลาดใจที่เพิ่งเจอกันได้ไม่กี่วัน กรินก็รู้ได้ทันทีว่าเขาเป็นพวกสมองน้อย

“รู้ได้ยังไงอ่ะ กว่าที่ผมจะสอบผ่านแต่ละระดับชั้นนะ เลือดตาแทบกระเด็นแน่ะ”

กรินถอนหายใจกับท่าทางเหมือนกระหยิ่มใจที่จะโอ้อวดข้อด้อยของตน ก่อนจะกล่าวย้ำทำลายความหวังของชวิศาไปว่า “ข้าคงส่งเจ้ากลับบ้านไม่ได้หรอก ข้าใช้มนตราไม่ได้”

ชวิศาชะงักไปหลายวินาที จากนั้นจึงเบะปากทำท่าเหมือนจะร้องไห้ออกมา “แล้วจะทำยังไง ผมต้องอยู่ที่นี่ตลอดไปเลยเหรอ ไม่เอานะ ผมอยากเจอคุณสุดฟ้า ต้องคิดถึงมากแน่ๆ พี่โยอีก คุณย่ากับคุณแม่ด้วย ไหนจะคุณมาริกับคุณสเตบาสเตียน แล้วยังมีไอซ์กับอาท ไม่เอานะ ถ้าไม่ได้เจอทุกคนอีกแบบนี้น่ะ”

กรินรู้สึกเหมือนเสียงร้องของชวิศากำลังทำให้เขาปวดศีรษะและขมับของเขากำลังเต้นตุบๆ

“หุบปากก่อน!!!”

ชวิศาสะดุ้งพลันเงียบสนิทด้วยอาการตกใจ

“ข้าไม่เคยบอกว่าเจ้าจะกลับบ้านไม่ได้เลยสักครั้ง เจ้ามีพลังเวท ก็ใช้พลังของเจ้าร่ายมนตราพาตัวเองกลับไปสิ”

“แต่ผมใช้พลังเวทไม่เป็น มนตราอะไรนั่นที่คุณพูดถึงก็ไม่รู้จัก”ชวิศาบอกเสียงอ่อย

“ข้าจะสอนเจ้าเอง ข้าจะบอกเจ้าเอง”

“จริงเหรอ”ชวิศาทำท่าดีใจมาชั่วแว็บหนึ่ง ก่อนจะกลายเป็นหดหู่เศร้าสลดเช่นเดิม “แต่กว่าใช้ได้คงต้องหลายปีแน่ ป่านนั้นทุกคนไม่คิดว่าผมตายไปหมดแล้วเหรอ”

“เจ้าก็กลับไป ณ ช่วงเวลาที่เจ้าจากมา”

“แล้วผมจะรู้ได้ยังไง ว่าผมย้อนเวลามาตอนไหน เนี่ยผมจำได้ว่าก่อนหน้านี้ผมนอนหลับอยู่ ตื่นขึ้นมารู้ตัวอีกทีก็มาอยู่ที่นี่แล้ว”

“เรื่องเหล่านั้นเจ้าไม่ต้องเป็นห่วง ขอแค่เจ้าสามารถใช้มนตราท่องเวลาได้ก็เพียงพอแล้ว”

“อ๊ะ ท่านกริน”การสนทนาของพวกเขาทั้งสองคนถูกขัดจังหวะด้วยหญิงสาวที่เพิ่งเปิดประตูเข้ามา “ขออภัยค่ะ ข้ากำลังเข้ามาทำความสะอาด ท่านกรินเดินทางกลับมาเมื่อไหร่คะ ให้ข้าเตรียมน้ำและสำรับให้ไหมคะ”

“ขอแค่ปิ่นโตสำหรับกลางวันก็พอ เดี๋ยวพวกข้าจะออกไปกันแล้ว”

“เจ้าค่ะ”เธอรับคำก่อนจะหมุนตัวออกไป

“น้องสาวคุณเหรอ”

“สาวใช้”กรินตอบพลางขยับเข้ามาใกล้ ชวิศาพยักหน้ารับกับคำตอบของอีกฝ่าย และมองมือของกรินที่มากุมมือของตนไว้อีกครั้ง

“จะทำอะไรเหรอ”

“จะทำให้ผลึกเวทเปลี่ยนเป็นเครื่องประดับอื่น ให้เจ้าเดินถือมันไปมาเช่นนี้ ข้ากลัวว่าเจ้าจะทำมันหายไปเสียก่อน”

คนโดนว่าไม่ตอบกระไรนอกจากหัวเราะแหะแหะ ครู่หนึ่งต่อมา ผลึกเวทถูกแปรเปลี่ยนเป็นแหวนสีนิลสวมอยู่ที่นิ้วกลางของชวิศา เขายกมือขึ้นดูด้วยความตื่นเต้นสนใจ และรออีกพักหนึ่งสาวใช้คนเดินก็กลับมาพร้อมห่อผ้าห่อใหญ่ กรินรับมาพร้อมส่งมันให้ชวิศาถือ คนรับภาระต่อถึงกับเบ้หน้าทันที

คราวนี้กรินเดินนำเขาออกไปทางประตู

“อ้าว ทำไม...”

“เจ้าเป็นตัวปุจฉาหรือไร”กรินเอ่ยเสียงดุแฝงด้วยความรำคาญ ทำให้ชวิศาหน้างอ ไม่เฉพาะน้ำเสียงที่อีกฝ่ายใช้ แต่เพราะคำพูดที่ซับซ้อนนั้นอีก คนถูกว่าขมวดคิ้วครุ่นคิด ตัวปุจฉาหมายถึงตัวคำถามหรือ ก็เขาสงสัยจะห้ามไม่ให้เขาถามได้อย่างไร

“ก็ผมสงสัย คุณก็รู้ว่าผมโง่ คิดเองไม่ได้หรอก”

คนฟังหัวเราะขึ้นจมูกกับคำพูดที่ฟังคล้ายภาคภูมิใจของอีกฝ่าย และเขาบอกออกไปตามที่คิด

“พี่ชายผมบอกว่า คนโง่ไม่ใช่คนไม่ดี ไม่มีใครโง่ทุกเรื่องและไม่มีใครฉลาดทุกอย่าง ถึงผมโง่ แต่ผมหน้าตาดี ตระกูลผมรวยมาก ถึงไม่ใช่ทายาทสายตรงแต่ทุกคนในตระกูลต้องเกรงใจ”ชวิศาท่องคำพูดทุกคำที่โยธินเคยย้ำให้เขาฟังจนจำขึ้นใจ

“อ่อ และตอนนี้ผมทำอาหารเก่งมาก”ประโยคนี้เขาพูดด้วยความภูมิใจจริงๆ รางวัลจากการแข่งทำอาหารเป็นตัวการันตีความสามารถของเขาโดยไม่ต้องให้มีใครมาย้ำเตือน

“คิดได้เช่นนั้นก็ดี”น้ำเสียงของกรินฟังคล้ายประชด แต่ชวิศาไม่แน่ใจและไม่คิดจะใส่ใจด้วย ที่สำคัญเขาลืมเรื่องที่สงสัยไปแล้วจึงไม่ได้เอ่ยถามอะไรอีก รับรู้เพียงแต่เหมือนลืมอะไรสักอย่าง

กรินพาเขามายังสนามหญ้าห่างจากตัวคฤหาสน์ไม่ไกล หญ้าสูงนุ่มเท้าจนน่าล้มตัวลงนอนแต่เพราะเป็นยามกลางวันแสงแดดร้อนเปรี้ยงจนชวิศาคิดว่าคงจะหลับไม่ลงถึงกระนั้นใช่ว่าอากาศจะร้อนอบอ้าว สายลมพัดโชยเอื่อยทำให้อากาศเย็นสบาย ชายหนุ่มผู้เป็นเจ้าของบ้านเดินนำพาเขามาหยุดใต้ต้นไม้ใหญ่ หันกลับมาและยื่นลูกแก้วใหญ่กว่าฝ่ามือมาให้

“นี่ผลึกนำธาตุ ใช้สำหรับการฝึกดึงพลังเวทออกมาใช้”อันที่จริงมีความรู้ขั้นต้นของผู้เริ่มฝึกเวทอีกหลายอย่าง แต่กรินตัดตอนมันทิ้งเพราะคิดว่าต่อให้อธิบายไปยืดยาวชวิศาคงไม่มีทางเข้าใจ ให้เริ่มจากฝึกปฏิบัติแล้วค่อยแทรกความรู้เพิ่มเติมน่าจะง่ายกว่า

ชวิศารับมาถือไว้แล้วพยักหน้าหงึกๆ

“นั่งลง”

ชายหนุ่มร่างเพรียวบางทำตามคำสั่งอย่างว่าง่าย กรินนั่งขัดสมาธิอยู่ตรงหน้า

“ผลึกนำธาตุค่อนข้างไวต่อพลังเวท ให้เจ้าหลับตาตั้งสมาธิรับรู้ถึงพลังที่หมุนเวียนในร่างกาย”ปากของกรินคอยพูดแนะนำบอกกล่าว ขณะที่สายตาคอยจดจ้องความเปลี่ยนแปลงภายในผลึก แล้วก็เป็นจริงอย่างที่เขาคาดเดา เพียงแค่ชั่วพริบตาเดียว จุดแสงซึ่งแสดงถึงพลังเวทในร่างกายของชวิศาได้ล่องลอยวนเวียนอยู่ทั่วภายในผลึก

“ลองลืมตาขึ้นสิ”

ชวิศาร้องอุทานขึ้นมาทันที จุดแสงที่ล่องลอยอยู่ภายในนั้นมีหลากหลายสี ความสวยงามของมันนั้นทำให้ชายหนุ่มมองด้วยความชอบใจ

“สีแต่ละสีบ่งบอกถึงพลังธาตุที่มีในตัวเจ้า สีเขียวคือธาตุไม้ สีแดงคือธาตุไฟ สีเหลืองคือธาตุดิน สีขาวคือธาตุโลหะ สีน้ำเงินคือธาตุน้ำ ปกติแล้วทุกคนจะมีธาตุทั้งห้าอยู่ภายในตัว แต่จะมีบางธาตุที่มีมากกว่าธาตุอื่นจึงถูกกำหนดเป็นธาตุหลัก หากใช้มนตราตามธาตุหลักก็จะสามารถเรียกใช้ออกมาได้ง่ายกว่าการดึงพลังธาตุอื่นออกมาใช้ ส่วนอากาศธาตุจะไม่มีสีใดที่ชัดเจนและน้อยคนนักที่จะมี ”

“แล้วอย่างผมมีธาตุไหนเยอะที่สุดล่ะ”

“ตามที่ข้าดูก็พอๆกันทุกธาตุ”

ชวิศาเงยหน้ามองกรินเลิกคิ้วด้วยความแปลกใจสงสัย

“หมายความว่า เจ้าสามารถใช้พลังเวทได้ทุกธาตุ”

คนฟังพยักหน้ารับ “แล้วกรินล่ะ ใช้พลังของธาตุอะไร”

คราวนี้คนถูกถามถอนหายใจเฮือกใหญ่ “ข้าเคยพูดว่า ข้าไม่สามารถใช้มนตราได้ นั่นหมายความว่า ข้าไม่มีพลังธาตุใดๆในร่างกาย”

“แต่เมื่อกี้คุณบอกว่า ทุกคนต้องมี”

“ข้าเป็นข้อยกเว้นที่ว่านั่น”

“แต่คุณยังใช้มนตราได้”

“นั่นเพราะพลังเวทของเจ้า”

สีหน้าของชวิศามีแต่ความไม่เข้าใจ และเมื่อความสนใจของเขามาอยู่ที่ความสงสัยตรงหน้า พลังธาตุซึ่งลอยวนเวียนอยู่ในผลึกจึงหายไป กรินจึงจำใจต้องอธิบายให้อีกคนฟัง

“ข้าศึกษามนตรามาตั้งแต่เด็ก รู้จักระเบียนเวท วิธีใช้ ข้อบังคับและข้อห้ามทุกอย่าง”

“เท่ากับว่าคุณใช้พลังเวทของใครก็ได้ในการสร้างมนตรา”

กรินเสสายตามองไปทางอื่นคล้ายครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงหันกลับมามองชายหนุ่มร่างเล็กตรงหน้าอีกครั้ง “ตอนที่ข้าสัมผัสร่างกายของเจ้า เจ้ารู้สึกเช่นไร”

“รู้สึกเหรอ... อ๊ะ”ชวิศาฉุกคิดขึ้นมาได้ ความรู้สึกน่าสะอิดสะเอียนนั่นหรือ

“ข้าไม่มีทางใช้พลังเวทของผู้อื่นได้ เพราะไม่มีใครยินยอมให้ข้าควบคุมเขาผู้นั้น หากฝืนบังคับผู้มีพลังเวทอ่อนแอกว่าย่อมพ่ายแพ้ให้แก่ผู้มีพลังเวทเข้มแข็งกว่า”

“ถ้าอย่างนั้นใช้พลังเวทของผมก็ได้ ผมไม่ว่าอะไร”ชวิศาร้องบอกออกมาอย่างรวดเร็ว

กรินฟังคำปลอบใจนั้นแล้วได้แต่ยกยิ้ม

“เจ้าไม่กลับบ้านแล้วหรือ”

“ถ้าอย่างนั้น กรินกลับไปกับผมไหม ที่ที่ผมอยู่ไม่ต้องจำเป็นต้องใช้เวทมนตร์หรอก ยุคสมัยนั้นมีเทคโนโลยีอำนวยความสะดวกมากมาย เก่งๆอย่างกรินมีอาชีพอื่นให้ทำอีกเยอะแยะ”

“ขอบใจที่ชวน แต่แผ่นดินนี้เป็นแผ่นดินที่ข้าเกิด”

ชวิศาอยากจะตะล่อมโน้มน้าวต่ออีกสักหน่อย เพราะมองดูเหมือนกรินเองก็ไม่มีความสุขกับที่นี่ เพียงแต่กรินกลับเป็นฝ่ายกล่าวตัดบทให้เขาสนใจการฝึกต่อ

“เจ้าสนใจฝึกเวทของเจ้าเถอะ บทเรียนที่เจ้าต้องเรียนรู้ยังมีอีกเยอะ”

จากนั้นกรินจึงให้ชวิศาควบคุมจุดแสงที่เป็นตัวแทนของธาตุให้กลายเป็นรูปลักษณ์ต่างๆ ซึ่งชวิศาสามารถควบคุมมันได้อย่างง่ายดาย ผู้สอนจึงคิดว่าชวิศาอาจจะไม่ได้โง่งมมากมายตามที่เจ้าตัวกล่าวอ้าง  และเพราะมีนกซึ่งทั้งลำตัวเป็นสีแดงบินมาหากริน ก่อนจะสลายไปเหลือเพียงกระดาษหนึ่งใบ หลังจากที่กรินอ่านข้อความในกระดาษใบนั้นจบ เขาได้บอกให้ชวิศาฝึกต่อไปและจะมารับกลับในตอนเย็น ชวิศาจึงนั่งเล่นลูกแก้วอยู่ตลอดทั้งวัน



ในค่ำวันนั้น กรินได้เอ่ยปากบอกชวิศาว่า “พรุ่งนี้ข้าต้องไปทำงาน ดังนั้นเจ้าคงต้องฝึกคนเดียวตลอดทั้งวันอีกเช่นเคย” ซึ่งชวิศาก็พยักหน้ารับ เขาเติบโตจนผ่านพ้นวัยเบญจเพสแล้วจึงไม่จำเป็นต้องให้ใครมาดูแลอีก ที่สำคัญสิ่งที่กรินสอนจะทำให้เขาได้กลับบ้านเร็วขึ้น เขาจึงไม่คิดโอดครวญ

ชวิศาขอมานอนห้องเดียวกับกรินเช่นเดิมแม้เจ้าของบ้านจะให้สาวใช้จัดห้องไว้ให้แต่ในโลกที่ไม่รู้จักใคร การได้อยู่ใกล้คนคุ้นเคยทำให้เขาสบายใจได้มากกว่า ถึงจะต้องนอนบนพื้นชวิศาก็จะไม่บ่นสักแอะ เพียงแต่เจ้าของบ้านใจดีกว่านั้น เขาจึงได้นอนบนฟูกหนานุ่มและมีผ้าห่มกลิ่นหอมกรุ่น ชายหนุ่มล้มตัวลงนอนและหลับอย่างรวดเร็วเมื่อเจ้าของห้องไม่มีเรื่องสำคัญที่ต้องคุยกับเขาอีก

และเช้าต่อมา ชวิศาจึงได้พบหน้าครอบครัวของกรินเป็นครั้งแรก

กรินพาเขามาทานอาหารที่ห้องอาหารใหญ่ซึ่งใหญ่สมชื่อราวกับโรงยิมในร่มที่มีสนามบาสเกตบอลหนึ่งสนามภายใน ที่ตั้งเด่นเป็นสง่าอยู่กลางห้องคือโต๊ะทานอาหารตัวยาวสำหรับหลายสิบที่นั่ง ตัวโต๊ะทำมากระจกขุ่นพ่นทรายเป็นลายเถากุหลาบ เก้าอี้พนักสูงทำจากไม้ที่นั่งบุนวม จานชามทำจากกระเบื้องเนื้อดี

สมาชิกในครอบครัวของกรินนั่งอยู่หัวโต๊ะฝั่งหนึ่ง มีชายหญิงสูงวัยคู่หนึ่งที่ชวิศาคิดว่าน่าจะเป็นบิดาและมารดาของกริน ส่วนอีกสี่คนน่าจะพี่น้อง

กรินทรุดตัวลงนั่งโดยไม่คิดจะเอ่ยแนะนำเขาให้ใครรู้จัก ชวิศาจึงดึงเก้าอี้และทรุดตัวลงนั่งโดยไม่คิดทักทายใครเหมือนกัน จากนั้นสาวใช้จึงวางผ้ารองจานและเสิร์ฟอาหารให้เขาทันที ด้วยเหตุนี้เขาจึงไม่คิดจะสนใจเรื่องอื่นอีก

“กลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่”

“เมื่อวานครับ”

หูของชวิศาเงี่ยฟังคำสนทนาแต่สองมือตักอาหารทานด้วยกิริยามารยาทสงบเรียบร้อย

“ได้ยินว่าเมดินจะให้เจ้าไปเห็นผู้สั่งสอนในสำนักศึกษา”

“ครับ เห็นแจ้งว่าเช่นนั้น และให้ไปเริ่มงานที่สำนักศึกษาวันนี้”

“ผู้ใช้มนตราไม่ได้จะให้ไปสั่งสอนผู้ฝึกใช้มนตราเนี่ยนะ เมดินมันคิดอะไรอยู่”

ชวิศาอดที่จะเหลือบมองคนพูดไม่ได้ ชายหนุ่มที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามยกยิ้มเยาะเย้ยมองกรินด้วยสายตาเหยียดหยามอย่างไม่วางตา ก่อนจะต้องรีบหลุบตาลงต่ำเพราะฝ่ายตรงข้ามเหลือบสายตามาจดจ้องเขา ชายหนุ่มเริ่มหายใจไม่ทั่วท้องเพราะความกดดันประหม่า

ใช่ว่าชวิศาจะไม่เคยออกงานที่มีแต่พวกคุณหญิงคุณชายคุณนายและเหล่าเจ้าของบริษัทที่ล้วนแต่ใส่หน้ากากเข้าหากัน ต่อหน้าประจ๋อประแจ๋ลับหลังนินทากันหูดับตับไหม้ เพียงแต่เขาไม่คาดคิดว่าจะได้เจอประเภทครอบครัวเดียวกันยังจ้องจะแทงข้างหลังพี่น้องกันเองอย่างที่พี่โยเคยบอก

“เช่นเจ้าสมควรพูดหรืออัสตรา”ครานี้เป็นชายหนุ่มอีกคน ซึ่งนั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับมารดาของกริน ถ้าครอบครัวนี้เคร่งครัดเรื่องตำแหน่งที่นั่ง ชวิศาคิดว่าชายหนุ่มคนนั้นน่าจะเป็นพี่ชายคนโต

“ตัวเจ้าที่ไม่สัมฤทธิผลแม้กระทั่งมนตราเวทขั้นกลาง”

“พี่ใหญ่ก็ระวังตัวไว้เถอะ ตำแหน่งปราชญ์ลำดับหนึ่งต้องเป็นของข้า”คนพูดกระแทกเสียงอย่างฉุนเฉียว

“หยุดนะ โต๊ะอาหารเป็นที่ที่พวกเจ้าสองคนมาทะเลาะกันรึ”ผู้เป็นประมุขส่งเสียงห้ามปรามกำราบ จากนั้นจึงกล่าวสั่งสอนลูกชายทั้งสอง

“อัสตรา เจ้าเองแทนที่จะยุ่งวุ่นวายกับผู้อื่นจงตั้งใจเรียนให้สัมฤทธิผลมนตราเวทขั้นสูงเสียที สำนักศึกษาใช่แต่สอนมนตราเพียงอย่างเดียว เจ้าควรเป็นห่วงน้องชายเจ้าที่เป็นผู้เชี่ยวชาญทั้งโอสถทั้งเพลงดาบรึ เจ้าเองก็เช่นกันไซริ ถึงจะเป็นสหายร่วมรุ่นกับเจ้าชายทานันศิระ ก็มิควรออกตัวสนับสนุนพระองค์อย่างโจ่งแจ้ง ถึงอย่างไรเจ้าก็เป็นถึงบุตรชายคนโตของปราชญ์ลำดับที่หนึ่ง ผู้ดำรงตำแหน่งปราชญ์มิควรเอนเอียงเข้าข้างผู้ใดแม้แต่องค์กษัตริย์ เจ้าควรจำหลักการนี้ไว้หากเจ้ายังมุ่งหวังตำแหน่งปราชญ์ประจำราชวงศ์อยู่”

“ทั้งที่ดิวากำลังจะเสกสมรสกับเจ้าชายน่ะหรือ ท่านบิดา”บุตรชายคนโตถามกลับ

“ความรักของหญิงชายผู้ใดห้ามได้หรือ ความซื่อสัตย์เป็นกลางต่างหากที่บังคับได้”

ชวิศานั่งฟังคำสนทนาเหล่านั้นด้วยความงุนงง หนักเข้าจึงสนใจรสชาติอาหารตรงหน้ามากกว่าสิ่งใด

เขาคิดว่าครอบครัวนี้จะไม่สนใจ ‘ใครก็ไม่รู้’ ที่กล้ามานั่งเสนอหน้าทานอาหารร่วมโต๊ะกับครอบครัวเช่นเขาเสียอีก เพียงแต่การแนะนำตัวในฐานะแขกของบุตรชายมีขึ้นหลังจากที่พวกเขาทานอาหารมื้อเช้าเสร็จเรียบร้อยและย้ายขบวนกันไปนั่งที่อีกห้องหนึ่งซึ่งเล็กกว่าห้องอาหาร

ห้องนี้มีเก้าอี้ยาวมีพนักพิงสำหรับสองคนนั่งตั้งเป็นประธาน ที่นั่งสำหรับบิดาและมารดาของกริน เก้าอี้เดี่ยวตั้งเรียงกันสองแถวหันหน้าเข้าหากัน ที่นั่งสำหรับบุตรชายบุตรสาวและแขกของบุตรชายอย่างชวิศา

สาวใช้เสิร์ฟน้ำให้เขาดื่ม เขาก็ยกน้ำผลไม้หวานหอมขึ้นดื่มอย่างไม่เกรงใจ

“เขาเป็นคนที่ลูกเจอระหว่างทางกลับ”กรินบิดเบือนและละเว้นข้อมูลของชวิศาเล็กน้อย ในความเป็นจริงเขาเจอชวิศาระหว่างที่กำลังตามหาพยัคฆ์เจ้าป่า แต่เพราะเจอชวิศาเสียก่อนจึงต้องเดินทางกลับอย่างเลี่ยงไม่ได้

“อยากฝึกมนตราเวทแต่ไม่มีอัฐสำหรับศึกษาเล่าเรียน ลูกจึงคิดช่วยแนะนำสั่งสอน”

“คนจร?”เสียงถามมาจากพี่ชายคนที่สี่ของกรินอีกเช่นเคย

ความหมายของคนจรชวิศาก็รู้จัก เมื่อได้ยินคำเรียกขานแบบนั้นจึงรู้สึกไม่ค่อยพอใจนิดหน่อย ซ้ำน้ำเสียงคนพูดยังคล้ายดูถูก

“คนจรแล้วเช่นไร พวกเรานับถือผู้คนกันที่พลังความสามารถไม่ใช่รึ”คนเป็นน้องชายถามกลับ

“เจ้าจะบอกว่าคนจรเช่นมันมีพลังเวทกล้าแข็งเช่นนั้นรึ”อัสตราส่งเสียงหัวเราะขึ้นจมูก ในฮัชดาลลาร์แม้คนทั่วไปจะสามารถใช้พลังเวทได้ แต่บุคคลที่มีพลังเวทกล้าแข็งล้วนแต่เป็นบุคคลที่กำเนิดในสกุลเก่าแก่

“คงต้องขอให้พี่อัสตรารอชม”กรินยกยิ้มด้วยความมั่นใจ สองพี่น้องเขม่นขี้หน้าไม่ชอบพอกันมาตั้งแต่เด็ก ด้วยความที่อายุไล่เลี่ยกันห่างกันแค่ห้าขวบปี บุตรชายคนสุดท้ายเกิดมาพร้อมพรสวรรค์รอบตัวขาดแต่เพียงความสามารถในการใช้มนตราทั้งที่เกิดในตระกูลเวทอันดับหนึ่ง ส่วนคนเป็นพี่ชายไม่เอาอ่าวหัวทึบแต่ถือครองอำนาจถึงสามธาตุซึ่งน้อยคนนักจะมีได้ เจ้าตัวจึงหยิ่งผยองไม่เห็นหัวผู้อื่น

วิโยมันยกมือขึ้นกุมศีรษะด้วยความอ่อนใจ การแข่งขันในสกุลมีเรื่อยมาทุกรุ่นเพียงแต่หลักธรรมเนียมที่ยึดมั่นความซื่อสัตย์และซื่อตรง รู้จักเคารพอาวุโสจึงทำให้สกุลสงบเรื่อยมา ที่สำคัญอีกประการหนึ่ง แต่ละรุ่นล้วนมีคนโดดเด่นเพียงหนึ่ง นอกจะได้รับเลือกเป็นปราชญ์แห่งเวทยังได้รับเลือกเป็นผู้นำตระกูลคนต่อไป

“เจ้าสองคนไม่ต้องมาทุ่มเถียงกัน ข้าตัดสินใจแล้วไม่ว่าคนในตระกูลสาขาผู้ใดได้รับเลือกเป็นปราชย์แห่งเวท จ้าวสกุลคนต่อไปคือคนผู้นั้นด้วย”

“ท่านบิดา!!!”บรรดาบุตรชายบุตรหญิงเอ่ยขานเรียกบิดาโดยตระหนกพร้อมกัน

การที่บิดากล่าวเช่นนั้น มีนัยความหมายกลายๆว่า บุตรในตระกูลหลักอย่างพวกเขาทั้งห้าคนคงจะไม่มีโอกาสได้รับการคัดเลือก

กรินไม่แปลกใจในการตัดสินใจของบิดา สกุลของเขาได้รับเลือกเป็นปราชญ์แห่งเวทมาหลายยุคสมัยทั้งยังมีแต่คนตระกูลหลักที่ได้รับเลือก แต่พอมาถึงรุ่นของพวกเขา บุตรทั้งห้าล้วนมีตำหนิในสายตาบิดาทั้งสิ้น พี่ชายคนโต ‘ไซริ’ เอนเอียงเข้ากับขั้วอำนาจฝ่ายหนึ่งของราชวงศ์ ส่วนพี่สาวทั้งสอง ‘ดิวาและดราวัน’ เพราะเห็นว่าตนเป็นหญิงจึงฝึกฝนมนตราแค่พ้นไปวันๆ ไม่คิดพัฒนาก้าวหน้า พี่คนที่สี่ ‘อัสตรา’ กรินคิดว่าคงอีกหลายปีกว่าจะสัมฤทธิผลมนตราขั้นสูง ส่วนเขาต่อให้เฉลียวฉลาดเท่าใด ใช้มนตราไม่ได้ก็คือใช้ไม่ได้

“เจ้าไปเถอะกริน นี่ยามสายแล้ว เมดินคงมีเรื่องพูดคุยกับเจ้าอีกมาก ดูแลแขกของเจ้าให้สะดวกสบายด้วย”

กรินตอบรับ ลุกขึ้นก้มศีรษะเคารพ ชวิศาจึงต้องรีบลุกขึ้นทำตามและก้าวเท้าตามออกไป


+++++โปรดติดตามตอนต่อไป+++++

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ suikajang

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 813
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +23/-0
นี้ย้อนกลับไปก่อนเกิดสงครามใหญ่หรือเปล่า
ส่งให้ชวิศาไปเรียนรู้การใช้เวทมนต์ไรงี้ใช่ป่ะค่ะ
อัสรานิยังไง ตัวต้นเรื่องเลยหรือเปล่า
โอ๊ย...อยากรู้ๆ รอจ้า  :mew1:
 :3123:  :pig4:  :3123:

ออฟไลน์ A_bookworm

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 127
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +22/-0
เอาแล้วเอาหลาว  อย่าบอกนะศิลามนตราที่มีมายาวนานกรินสร้างจากพลังของซี ค้างงะมาต่อไวๆนะ รอๆๆๆ  :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:

ออฟไลน์ ตีสี่

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 412
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-5
    • 61'
ตอนที่ยี่สิบเจ็ด


ชวิศาเพิ่งเคยได้มาเดินในเมืองจริงๆจังๆเป็นครั้งแรก ตอนที่เพิ่งมาถึงเมื่อวาน กรินใช้เวทที่ก้าวข้ามผ่านเมืองไปหมด ส่วนตอนบ่ายเขาได้แต่หมกตัวฝึกดึงพลังเวทออกมาใช้

อาณาจักรฮัชดาลลาร์ของกรินคึกคักด้วยผู้คน พื้นถนนปูด้วยหินก้อนซึ่งใหญ่กว่าฝ่ามือเล็กน้อย บ้านเรือนทำจากไม้และอิฐคล้ายเมืองเก่าในแถบทวีปยุโรปบางแห่ง ตัวบ้านล้วนเป็นชั้นเดียวหรือสองชั้นคล้ายเมืองในฮัชดาลลาร์ที่เขาจากมา ซึ่งบ้านของคนทั่วไปจะปลูกติดกันเป็นแถว ต่างจากบ้านหรือคฤหาสน์ของตระกูลใหญ่ๆของเมืองที่จะมีรั้วรอบขอบชิดและเป็นอาคารสูงมีปราสาทยอดแหลม

ห่างจากบ้านของกรินด้วยระยะเวลาเดินเท้าไม่ไกลเป็นสำนักศึกษาที่กรินต้องมาทำงาน อาคารที่ถูกเรียกว่าสำนักศึกษาเป็นคฤหาสน์หลังใหญ่คล้ายเรือนพักของคหบดีทั่วไป เพียงแต่ด้านหน้ามีป้ายชื่อบ่งบอกเป็นสำนักศึกษาและประตูใหญ่เปิดไว้ตลอดเวลาต้อนรับผู้มาเล่าเรียน

ผ่านซุ้มประตูเข้ามาเป็นลานกว้างสำหรับใช้ในกิจกรรมต่างๆ เช้าวันนั้นที่กรินและชวิศามาเยือนสำนักศึกษา มีผู้คนมากมายยืนรวมตัวกันอยู่บนลานกว้างแห่งนั้นเช่นกัน

“เขามาทำอะไรกันเหรอ”ชวิศาด้วยความสงสัย

“วันนี้มีคัดเลือกบุคคลภายนอกเป็นผู้เล่าเรียน”กรินจึงอธิบายต่อไปว่า การคัดเลือกผู้เล่าเรียนจะมีจัดขึ้นทุกวันที่หนึ่งของเดือน และมีทดสอบวัดผลทุกสิ้นเดือน

“เดือนเดียวก็สอบผ่านได้เลยเหรอ”ชวิศาร้องถามตาโต

“ความสามารถของผู้คนล้วนแตกต่างกัน”

กรินพาชวิศาผ่านกลุ่มคนเหล่านั้นเข้าไปในอาคารและบังเอิญได้เจอกับเมดินที่เดินสวนออกมาพอดี

“ดีใจที่ได้พบเจ้า ญาติข้า ข้ากำลังต้องการตัวเจ้าไปคัดเลือกผู้เล่าเรียนอยู่พอดี”

“ผู้สั่งสอนท่านอื่นเล่า”

“ไม่จำเป็นต้องมีผู้สั่งสอนท่านเดียวในการคัดเลือกผู้เล่าเรียนนี่”เมดินกล่าวพูดคุยกับกริน ก่อนจะชะงักเมื่อเหลือบมาเห็นชวิศา เขารีบสาวเท้าเข้าไปหาชายหนุ่มร่างเล็กซึ่งยืนเยื้องอยู่ทางด้านหลังของกรินในทันใด

เมดินมีสายตาที่แหลมคม เพียงแค่มองดู เขาก็รับรู้ถึงระดับของพลังเวทในคนผู้นั้นได้ทันที

“ท่านที่เคารพ ท่านเป็นบุตรชายของสกุลใด ข้าพร้อมจะดูแลท่านเป็นอย่างดี”

“ไม่ต้องตกใจไป สำนักศึกษาใดมีผู้สัมฤทธิผลมนตราเวทขั้นสูงจำนวนมากหรือผู้สัมฤทธิผลมีพลังเวทมาก สำนักศึกษานั้นย่อมมีชื่อเสียงมากตามไปด้วย”กรินกล่าวอธิบายกับชวิศา จากนั้นจึงหันมาพูดกับเมดิน

“คนผู้นี้ไม่ได้มาศึกษาที่นี่ แต่ข้าจะเป็นผู้สอนให้โดยเฉพาะ”

“ได้อย่างไร”เมดินพูดเสียงแข็งไม่ยอมปล่อยชวิศาให้หลุดมือไปง่ายๆ“เจ้ารับปากเป็นผู้สั่งสอนให้กับสำนักของข้าแล้ว ผู้เล่าเรียนของเจ้าย่อมเป็นผู้เล่าเรียนของที่นี่ด้วย”

กรินหัวเราะในลำคอ “เอาไว้หลังจากจบการคัดเลือกผู้เล่าเรียน เราทั้งสองค่อยมาพูดคุยตกลงกันอีกครั้ง”

เนื่องด้วยเมดินเป็นผู้เชี่ยวชาญในการตรวจจับพลังเวท จึงมีกลุ่มคนจำนวนหนึ่งที่ถูกคัดเลือกโดยการกวาดสายตามองเพียงครั้งเดียว ส่วนคนที่เหลือจะถูกแยกทดสอบตามความสามารถ กรินเองได้ถูกจัดสรรให้ประจำห้องทดสอบหนึ่ง แน่นอนว่าชวิศาก็ตามติดชายหนุ่มไม่ห่าง

สำนักศึกษาไม่ได้มีการสอนเฉพาะมนตราเวทอย่างที่วิโยมันกล่าวไว้ที่โต๊ะอาหาร เริ่มแรกผู้ที่มาคัดเลือกต้องระบุสิ่งที่ต้องการศึกษา และแสดงความสามารถพื้นฐานของความรู้นั้นๆ ระดับความรู้ที่มีติดตัวจะเป็นตัวชี้วัดระดับขั้นของผู้เล่าเรียน ถึงกระนั้น แม้คนผู้หนึ่งจะมีระดับความรู้พื้นฐานด้อยกว่ามาตรฐาน แต่ใช่ว่าจะไม่สามารถเล่าเรียนได้ เมดินได้ตัวอย่างจากญาติผู้น้องเช่นกริน ที่ไม่สามารถใช้มนตราได้แต่กลับเป็นผู้เชี่ยวชาญมนตราผู้หนึ่ง เขาจึงมีแนวคิดสร้างชั้นเรียนเริ่มต้นสำหรับทุกคนที่ต้องการมาเล่าเรียนในสำนักของตน

เพราะเหตุที่การคัดเลือกผู้เล่าเรียนมีจัดขึ้นทุกเดือน ผู้รับการคัดเลือกจึงมีจำนวนไม่มาก การคัดเลือกจึงสิ้นสุดลงอย่างรวดเร็ว

“ข้าจะให้เจ้าดูความสามารถของเขาก่อน”กรินบอกเมดินพร้อมดึงเอาคทาเวทออกมาช่องว่างมิติและส่งต่อให้ชวิศา

ผลึกเวทที่ประจุมนตราก็เป็นความคิดสร้างสรรค์ของกริน

ในฮัชดาลลาร์มีผลึกธาตุกระจายอยู่ทั่วไป และนักเวทเพียงใช้ผลึกธาตุในการเสริมพลังของตน แต่แล้ววันหนึ่งกรินกลับนำผลึกเวทคล้ายอัญมณีสีดำมาให้เขาประจุเวท นับแต่นั้นผู้คนจึงตามล่าหาผลึกเช่นนี้แทบพลิกแผ่นดิน ทว่าแหล่งที่มาหรือวิธีการทำผลึกเวทยังเป็นความลับที่กรินครอบครองแต่เพียงผู้เดียว

“หลับตา ตั้งจิตให้มั่นพร้อมนึกถึงความรู้สึกยามที่เจ้าสัมผัสผลึกนำธาตุเมื่อวาน และกล่าวคาถาตามข้า”กรินพูดและกล่าวคาถาให้ชวิศาฟัง แม้เมื่อวานกรินมีความคิดเห็นว่า ชวิศาหัวไวมากพอในการดึงพลังเวทออกมาใช้ แต่การใช้มนตราในครั้งนี้จะเป็นตัวยืนยันความคิดนั้นว่าเป็นจริงหรือไม่

“ด้วยพลังแห่งข้า ผู้ถือครองอำนาจแห่งธาตุไฟ ขอดลบันดาลสร้างสรรค์ วีร่า”

ทว่าทุกอย่างยังว่างเปล่าเงียบกริบ ชวิศาไม่ย่อท้อ เขากล่าวคาถาอีกรอบ และทุกอย่างยังเงียบกริบเช่นเดิม ชวิศาจึงกล่าวคาถาครั้งที่สาม ครั้งที่สี่ และครั้งต่อไปเรื่อยๆตามมาติดๆ พลางเหวี่ยงไม้จนเหนื่อยหอบ กระนั้นทุกอย่างยังคงเงียบสนิทเช่นเดิม

“คทาของเจ้ามันใช้ไม่ได้หรือเปล่า”

คทาที่ชวิศาใช้เป็นคทาฝึกฝนสำหรับนักเวทฝึกหัด ตัวคทาทำจากไม้ธรรมดาปลายด้านบนติดผลึกธาตุไฟ ผลึกนั้นเป็นตัวเหนี่ยวนำที่ทำให้ผู้ฝึกเวทดึงพลังธาตุออกมาใช้ได้ง่ายมากขึ้น

เมดินยื่นมือไปรับคทามาจากชวิศา เหวี่ยงควงด้วยมือข้างเดียวพลางกล่าวคาถาไปพร้อมกัน “วีร่า” ไฟเวทสีแดงลุกพรึบเป็นทางตามทิศที่คทาถูกเหวี่ยงไป

คาถาที่กรินสอนเองเป็นคาถาไฟง่ายๆ สำหรับฝึกดึงพลังเวทขั้นต้น ความแรงของไฟเวทนั้นขึ้นอยู่กับความแข็งแกร่งของผู้ใช้ แต่ผู้สัมฤทธิผลมนตราชั้นสูงมักจะควบคุมความรุนแรงของไฟเวทได้ตามต้องการอยู่แล้ว เมดินเองก็ไม่ต่างกัน

“ปกติดีนี่”เมดินพึมพำออกมา

ไฟเวทไม่อาจดับด้วยน้ำธรรมดา ไฟที่เกิดจากมนตราย่อมต้องดับด้วยมนตรา เมดินจึงกล่าวคาถาอีกบทเพื่อดับไฟเวทที่ตนสร้างขึ้น

“เจ้าว่าเช่นไร”กรินพูดถามเมดิน เขาเดินมาหยุดตรงหน้าชวิศา ชายหนุ่มผู้มีสัมพันธ์ฉันเครือญาติจึงมองหน้าคนที่ถูกถามถึงอย่างตั้งใจอีกครั้ง

“พลังเวทหมุนเวียนเป็นระเบียบ สม่ำเสมอดี เป็นพลังที่เข้มแข็งมั่นคงจนน่าอิจฉาเชียวล่ะ”

“ข้าก็ว่าเช่นนั้น เจ้าเคยเจอใครที่มีพลังเวทแข็งแกร่งเทียบเท่าเขาไหม”

“ไม่ ถ้าในฮัชดาลลาร์ข้ายังไม่เคยเจอ แต่แผ่นดินนี้กว้างใหญ่อาจจะมีสักคนที่เป็นเช่นเขา”เมดินพูดก่อนส่งคทาในมือกลับคืนให้ชวิศา

“ช่วงบ่ายเจ้ามีสอน”

“อ้อ”กรินรับคำ จากนั้นจึงหันหน้าไปสั่งความกับชวิศา ให้ชายหนุ่มพยายามฝึกฝนต่อไปจนกว่าจะใช้เวทบทนี้ได้

“ปกติ คนอื่นใช้เวลานานเท่าไหร่กว่าจะใช้มนตราบทนี้ได้”

“ความสามารถของผู้คนไม่เท่ากัน แต่พี่ชายคนที่สี่ของช้าใช้เวลาหนึ่งเดือน”

ชวิศาโล่งอก!!! เพราะกังวลว่าจะมีแต่เขาที่ทำไม่ได้กับการดึงพลังเวทออกมาใช้จริงในครั้งแรก เมื่อได้ยินเช่นนั้นจึงมีแรงฮึดสู้ขึ้นอีกมากโข ทว่ากระทั่งเวลาผ่านไปหนึ่งเดือน ชวิศาก็ยังไม่สามารถสร้างไฟเวทได้

ชายหนุ่มนั่งกอดเข่าบนลานฝึกในสำนักศึกษาของเมดิน มีกรินนั่งขัดสมาธิอยู่ตรงหน้าใช้มือเท้าคางสายตาเหม่อลอยครุ่นคิด

ตลอดระยะเวลาหนึ่งเดือน ชวิศาตื่นขึ้นมาฝึกตั้งแต่เช้าจรดเย็นทุกวัน ถือคทาท่องคาถาจนคอแห้ง อดทนทำเรื่องเดิมซ้ำๆโดยไม่เคยปริปากบ่น แล้วทำไมเขาจึงทำไม่ได้ ยิ่งคิดยิ่งท้อใจและยิ่งคิดถึงบ้านยิ่งขึ้นไปกว่าเดิม เขาคิดถึงคุณสุดฟ้า อยากเห็นหน้า อยากกอดใจจะขาดแล้ว พวกเขาเพิ่งใจตรงกันไปนานเท่านั้นเอง ยิ่งคิดยิ่งหดหู่ ความรู้สึกอยากกลับบ้านยิ่งเอ่อล้มท่วมท้นหัวใจ  ความปรารถนาอันแรงกล้าเช่นนั้นส่งผลต่อพลังเวทในร่างกายของชวิศา มันแผ่รังสีเข้มข้นพุ่งขึ้นสู่ฟ้าเพื่อทำให้ความปรารถนาของผู้เป็นเจ้าของให้เป็นจริง เหตุการณ์เช่นนี้ไม่เคยเกิดเพราะพลังเวทของชวิศาถูกกักขังอยู่ในผนึกของสุมุนตรามาอย่างยาวนาน

และแม้พลังเวทอันเข้มข้นของชวิศาจะแผ่พุ่งออกมามากกว่าปกติ กระนั้นชายหนุ่มที่นั่งอยู่ตรงหน้ากลับไม่อาจรับรู้ได้ เพราะกรินรับรู้พลังเวทด้วยจักระของตน เขาต้องใช้จักระของตนจับสัมผัสจึงจะรับรู้ถึงการมีอยู่ของพลังเวทได้

ต่างจากเมดิน เขาเห็นพลังสีดำเป็นสายพุ่งขึ้นสู่ฟ้า พลันรับรู้ได้ทันทีว่านั่นคือพลังของชายหนุ่มผู้ที่ญาติผู้น้องของตนหิ้วเก็บมาจากในป่า เขาจึงใช้พลังทั้งหมดที่มีพุ่งทะยานไปตามทิศทางนั้น

การมาอย่างกะทันหันของเมดินทำให้ชวิศาหลุดจากภวังค์ความคิด เขาเงยหน้าขึ้นมองผู้มาใหม่ก่อนจะเบะปากร้องไห้ออกมาอย่างไม่นึกอับอาย พร้อมๆกับที่พลังเวทอันเข้มข้นสลายหายไป กลายเป็นเมดินที่อยู่ในอาการตื่นตะลึง

“หายไปแล้ว”เมดินพึมพำออกมา จากนั้นจึงพรวดเข้าไปหากรินและชวิศาพร้อมเอ่ยปากถามญาติผู้น้อง

“เมื่อครู่เจ้าสอนให้ซีใช้เวทอะไร”

“หือ? สอนสิ่งใด ซียังไม่สามารถใช้เวทไฟได้เลยด้วยซ้ำ”

“เฮอะ อย่ามาล้อข้าเล่น”เมดินแค่นแคะด้วยสีหน้าไม่เชื่อถือ “ข้าเห็นลำแสงเวทอันเข้มข้นพุ่งขึ้นสู่ฟ้า”

จบประโยคนั้น กรินมีทีท่าสนใจขึ้นมาทันใด เขาหันไปหาชวิศาทันที “เมื่อครู่เจ้าทำสิ่งใด”

“ไม่ได้ทำอะไร นั่งเฉยๆ”ชวิศาทำหน้าเหลอหลาน้ำตาเหือดแห้งลง

“เจ้าไม่เชื่อข้ารึ”เมดินเอ่ยกลับไปทันทีที่เห็นว่ากรินหันมามองทางตน “พอข้ามาถึงพลังนั้นพลันหายไป”

ไม่มีใครอธิบายสาเหตุและผลของเหตุการณ์ที่ว่าออกมาได้ ชวิศายืนยันว่าตนไม่ได้ทำสิ่งใด ในขณะที่เมดินกล่าวว่าตนเห็นพลังเวทนั้นจริง กรินเชื่อเมดินเพราะความสามารถของดวงตาเช่นนั้นถูกทดสอบมาแล้วหลายต่อหลายครั้ง ส่วนชวิศา เขานึกสาเหตุที่อีกฝ่ายต้องโป้ปดไม่ออก กรินจึงได้แต่จ้องมองชายหนุ่มตรงหน้าเขม็ง ฝ่ายคนถูกมองได้แต่ก้มหน้าหลบสายตาด้วยความหวั่นกลัวถึงจะไม่ได้ทำสิ่งใดผิดก็ตาม

กรินจ้องมองอาการหงอกลัวของชวิศาพร้อมใช้สมองครุ่นคิด

หลักการฝึกสอนการใช้มนตราถูกสืบทอดมาอย่างยาวนานหลายชั่วอายุคน ผู้ที่ถือครองอำนาจพลังธาตุล้วนใช้เวทพื้นธาตุทั้งห้าได้ทั้งนั้น แตกต่างกันเพียงความเข้มแข็งของผลลัพธ์แต่ตัวเขาต่างจากผู้อื่น เหตุเพราะตนไม่มีพลังธาตุและไม่อาจยอมรับความจริงนั้นได้ จึงใช้เวลามากมายในการศึกษาตำราโบราณ ศึกษากระทั่งเข้าใจทะลุปรุโปร่ง

กรินเชื่อว่าความสามารถของผู้คนแตกต่างกัน แม้จะไม่อาจลบความรู้สึกด้อยค่าของการไร้มนตราได้ก็ตาม กรินฉุกใจคิด ความสามารถที่แตกต่างย่อมต้องการการเรียนรู้ที่แตกต่างกันหรือไม่

“ซี เมื่อครู่เจ้าคิดถึงสิ่งใด”

ชวิศาเหลือบสายตาขึ้นมองกริน จากนั้นจึงหลุบสายตาลงมองพื้นเช่นเดิมพร้อมกับเอ่ยคำพูดเสียงแผ่ว “อยากกลับบ้าน”

“แล้วตอนที่เจ้าเอ่ยคาถาเวทไฟเจ้านึกถึงสิ่งใด”

“นึกถึงคาถาที่ท่อง”

“แล้วเจ้าล่ะ เมดิน”

คนโดนถามยักไหล่โคลงศีรษะ “ไม่รู้สิ ข้านึกไปเรื่อยเปื่อย”

ไม่แปลกที่เมดินจะตอบเช่นนั้น เพราะผู้สัมฤทธิผลมนตราขั้นสูงย่อมเคยชินกับคาถาและพลังเวทที่ต้องใช้ แต่กรินต่างออกไป เขาต้องใช้พลังเวทของผู้อื่นจึงต้องใส่ใจต่อกระแสพลังเวทของคนผู้นั้น ดึงแยกธาตุ รวบรวมและสร้างขึ้นใหม่ บางครั้งก็ไม่ใช้หลักการเช่นเดิมขึ้นอยู่กับผู้เป็นเจ้าของพลังเวท

“เช่นนั้นให้เจ้าลองจินตนาการถึงไฟที่กำลังลุกไหม้ และกล่าวคาถาออกไป”

ชวิศาไม่มีความคิดที่จะโต้แย้ง เขาลุกขึ้นหลับตาแล้วตั้งสมาธิ จับคทาไว้ทั้งสองมือ จินตนาการถึงไฟที่ลุกไหม้โชติช่วง พลางกล่าวคาถาที่จำได้ขึ้นใจ

“ด้วยพลังแห่งข้า ผู้ถือครองอำนาจแห่งธาตุไฟ ขอดลบันดาลสร้างสรรค์ วีร่า”

ไฟเวทลุกไหม้ขึ้นบนความว่างเปล่าเบื้องหน้าอย่างที่เขาต้องการทันที ชวิศาลืมตามองและร้องตะโกน กระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจ

“ทำได้แล้ว ทำได้แล้ว คุณกรินสอนคาถาที่ทำให้ผมกลับบ้านได้หรือยัง”ชวิศาถลาเข้ามาหาพร้อมถามด้วยนัยน์ตาเป็นประกาย

ชายหนุ่มผู้ถูกตั้งคำถามและอีกคนที่นั่งอยู่ไม่ห่างกันต่างอยู่ในอาการชะงักงันเพราะคำถามดังกล่าว

กรินรู้จักเวทท่องกาลเวลาจากตำรา เขาไม่เคยได้ใช้และไม่เคยเห็นใครใช้ มันเป็นเพียงตำนานปรัมปรา หากไม่พบเจอชวิศาเขาคงยังคิดว่ามนตราบทนี้คงเป็นเพียงตำนานเท่านั้น

ส่วนเมดิน เนื่องจากกรินไม่เคยเล่ารายละเอียดปลีกย่อยของชวิศาให้ฟัง เขาจึงไม่รู้เรื่องราวทั้งหมด แต่กระนั้นเขาไม่ได้คิดเอ่ยถามขัดการสนทนาของคนทั้งคู่ การที่กรินไม่ห้ามปรามชวิศาในยามนี้คงเพราะไม่คิดจะปิดบังความจริงต่อเขา ชายหนุ่มจึงเพียงคอยจับฟังเรื่องราวและปะติดปะต่อเอาเอง

“ข้าอยากให้เจ้าลองดับไฟเวทนั่นดู”

“ให้ว่าคาถาอย่างไร”ชวิศาถาม

“ไม่จำเป็น ให้เจ้าลองจินตนาการเพียงแค่ไฟนั้นดับลงไปเฉยๆ”

ชวิศาขมวดคิ้ว ถึงอย่างนั้นเขาก็หันหลังกลับไป จ้องมองเปลวไฟที่กำลังลุกไหม้ สองมือยังถือคทาไว้มั่นเช่นเดิม จากนั้นจึงหลับตาลงจินตนาการว่าไฟนั้นค่อยๆดับลง

ดับซะ!!! ดับไปซะ!!! ดับไปให้สนิท! ชวิศาคิดเช่นนั้นอยู่ภายในใจ และเมื่อลืมตาขึ้นมา เปลวไฟจากมนตราได้ดับมอดลงไปจริงๆ

“พวกคุณสองคนทำอะไรหรือเปล่า”เขาถามย้ำเพื่อความแน่ใจว่านี่เป็นฝีมือของตนจริงๆ

“ไม่ พวกข้าไม่ได้ทำสิ่งใด”กรินกล่าวยืนยัน เขามองเห็นว่าชวิศาสามารถดับไฟได้จริงโดยไม่ต้องกล่าวคาถา คนถามได้ฟังคำตอบจึงแย้มยิ้มด้วยความดีใจ

“ถ้าอย่างนั้นคุณก็บอกคาถาที่ทำให้ผมเดินทางกลับบ้านได้ มาได้แล้ว”

“ห๊ะ!!!”เมดินหลุดอุทานออกมา เขามองหน้าญาติผู้น้องที่สนิทสนมกัน กรินยกยิ้มให้คล้ายปลงตก

“เจ้าจะถามหาคำคาถาอีกเพื่อเหตุใด แค่เจ้าตั้งจิตให้มั่นจินตนาการถึงสถานที่ที่เจ้าต้องการ พลังเวทของเจ้าก็จะนำพาเจ้าไปเอง”

“แค่นั้น?”ชวิศาถามย้ำ ถึงจะมีความคลางแคลงไม่แน่ใจ สุดท้ายแล้วเขาย่อมอยากลองพิสูจน์ดู ชวิศาหลับตานึกถึงคนที่ตนคิดถึงเป็นอันดับแรก ภายในใจคิดว่าอยากกลับไปหา อยากไปปรากฏตัวต่อหน้าอีกฝ่าย แต่ว่าคราวนี้ ความต้องการนั้นกับไม่สัมฤทธิผล ชายหนุ่มลืมตาขึ้นมา คนตรงหน้ายังเป็นกรินและเมดินเช่นเดิม

“เจ้าเพิ่งหัดดึงพลังเวทมาใช้ มนตราขนาดใหญ่เช่นนี้คงจะทำสำเร็จได้ยากกระมัง”เมดินกล่าวปลอบใจ ชวิศาหน้าหงอยเศร้าลง

“ความเชี่ยวชาญในมนตราเวทล้วนขึ้นอยู่กับการฝึกฝน เจ้าไม่จำเป็นต้องห่วงกังวลมากนัก ขอเพียงเจ้าตั้งใจ พลังเวทที่เจ้ามีล้วนบันดาลให้เจ้าสมหวัง”กรินกล่าวเสริมอีกประโยค ชวิศาถึงได้สดชื่นขึ้นมาบ้าง จากนั้นจึงบอกชวิศาให้ลองไปเข้าเรียนพร้อมกับคนอื่นๆ

“เพราะเจ้าบอกว่าตนหัวทึบ ข้าจึงให้เจ้าลองปฏิบัติเพื่อให้จดจำความรู้สึกในการดึงพลังเวทออกมาใช้เสียก่อน เพราะกังวลว่าความรู้ที่เจ้าได้เรียนจะยิ่งทำให้เจ้าไม่สามารถใช้มนตราได้”กรินพูดพลางลุกขึ้นเดินนำหน้าเข้าไปในตัวอาคาร

“แปลกจัง เขามีแต่ต้องเรียนทฤษฎีเพื่อมาฝึกปฏิบัติ”ชวิศาพึมพำแต่เสียงดังมากพอที่กรินจะได้ยิน

“มนตราเวทไม่มีกฎตายตัว แม้จะมีหลักการสอนที่สืบทอดกันมาแต่ใช่ว่าผู้ใช้เวททุกคนต้องเอ่ยคาถาจึงจะใช้มนตราได้ เจ้าเองยามที่ไม่ต้องกล่าวคาถายังสามารถใช้มนตราได้”

“ผู้ที่มีพลังเวทกล้าแข็งมักจะใช้มนตราเวทได้ตั้งแต่วัยเยาว์ การเรียนรู้คาถาเพิ่มเติมก็เพื่อต่อยอดและพัฒนาการใช้มนต์คาถา”เมดินช่วยกล่าวเสริม “ข้าเอง หากเป็นมนตราง่ายๆเพียงแค่นึกก็สัมฤทธิผล”

ชวิศาพยักหน้ารับ พลางคิดในใจว่า ไม่ว่าอย่างไรตอนนี้เขาก็ทำอะไรไม่ได้ คงได้แต่พยายามตั้งใจเรียนอย่างที่กรินบอก

เมดินเหลือบสายตามองคนที่เดินตามอยู่ด้านหลังแล้วจึงหันมาพูดคุยกับญาติผู้น้องซึ่งสนิทสนมกันคล้ายเพื่อนว่า “ข้านึกว่าเจ้าจะให้เขาอยู่ในส่วนหนึ่งของแผน”

“เขาไม่อาจใช้มนตราได้ตามใจนึก แม้จะมีพลังเวทที่ยิ่งใหญ่”กรินเอ่ยย้ำสิ่งที่พวกเขารู้กันดี

“แต่ถ้าเขาใช้พลังเวทพาตัวเองกลับบ้านได้ เจ้าอาจจะสูญเสียตัวหมากสำคัญ”

“ต่อให้มีเขาหรือไม่ ข้ายังต้องพิสูจน์ตัวเองให้เป็นที่ประจักษ์อยู่ดี”

“หมายความว่า เจ้ายังจะออกไปตามหาพยัคฆ์เจ้าป่าต่อไป”

กรินไม่ได้ตอบคำถามเป็นคำพูด เขาเพียงพยักหน้าตอบรับคำพูดของญาติผู้พี่ เมดินจึงได้แต่ถอนหายใจ



การเรียนรู้มนตราเวทเป็นเรื่องที่หนักหนาสาหัสไม่ต่างกับการเรียนในมหาวิทยาลัยเลย ชวิศาเป็นนักเรียนที่อายุมากที่สุดในชั้นเรียนที่มีแต่เด็กอายุไม่เกินสิบห้าปี แต่อายุมากกว่าไม่ได้หมายความว่าจะทำให้เข้าใจได้มากกว่าคนอื่น ทุกวันที่ได้รับความรู้เพิ่มเติมมีแต่ทำให้เขางงงวยกับคุณสมบัติของธาตุทั้งห้า

“ไม่เข้าใจอะ อธิบายให้ฟังใหม่อีกรอบไม่ได้เหรอ”

กรินวางตำราเวทในมือ มองชวิศาที่ในมือถืออุปกรณ์การเขียนหน้าตาประหลาดๆ ทั้งยังมีกระดาษซึ่งมีตัวอักษรที่เขาไม่รู้จักอยู่เต็มหน้า ในฮัชดาลลาร์สิ่งที่ใช้สำหรับเขียนถูกเรียกว่าปากกาขนนกที่ต้องจุ่มน้ำหมึกก่อนนำมาเขียนตัวอักษร

“ในมือเจ้าคือสิ่งใด”

ชวิศาทำหน้าสงสัยมองของที่อยู่ในมืออีกครั้งและตอบออกไปว่า “ดินสอไง”

“เจ้าได้มันมาจากที่ใด”

“จากในห้องของคุณกรินแหละมั้ง เอ๊ะ... ตอนนั้นหยิบมาใช้ในห้องเรียนนี่นาอาจจะเป็นของใครสักคน จำไม่ได้แล้วอะ แต่ยึดแล้วยึดเลย”คนพูดยกยิ้ม

“แล้วในยุคสมัยของเจ้าใช้สิ่งใดสำหรับการเขียนหนังสือ”

“ก็มีดินสอนี่แหละ แล้วก็ปากกาแต่มีก็มีหลายแบบมากให้เลือก”ชวิศายังคงตอบแต่โดยดีแม้จะไม่รู้ว่าเรื่องพวกนี้เกี่ยวข้องกับที่เขาขอให้กรินช่วยติวสำหรับการสอบในวันพรุ่งนี้อย่างไร

ผ่านไปอีกหนึ่งเดือนแล้วสำหรับชีวิตของชวิศาที่หลุดมาอยู่อาณาจักรฮัชดาลลาร์ที่เขาไม่รู้จัก ชายหนุ่มยังคิดถึงบ้านทุกวัน ก่อนนอนในทุกคืนเขาหลับตานึกถึงสถานที่ที่ตนจากมาและภาวนาให้ตนเองได้กลับไป เพียงแต่ยังไม่มีวันไหนที่เขาจะสมปรารถนา พักหลังๆมานี่เขาจึงเริ่มปล่อยวางและหันมามุ่งมั่นเรียนรู้การใช้มนตราเวทเสียแทน

“ปากกาที่เจ้าว่ามันหน้าตาเป็นเช่นไรรึ”

“มันก็หน้าตาคล้ายดินสอแท่งนี้แหละ แต่ว่าหมึกมันจะลบไม่ได้”

“งั้นรึ ข้านึกไม่ออกเลย เจ้าช่วยอธิบายอย่างละเอียดได้หรือไม่”

“ก็เนี่ยหน้าตามันจะเป็นอย่างนี้”พริบตาเดียวปากกาหมึกน้ำเงินปลอกสีฟ้าใสพลันปรากฏอยู่ในมือของชวิศา กรินไม่แน่ใจว่าคนตรงหน้าเนรมิตสิ่งที่เรียกว่าปากกามาจากความว่างเปล่าหรือหยิบยืมมาจากที่อื่นอันเป็นศาสตร์หนึ่งของการใช้พลังเวทที่ง่ายกว่าและใช้พลังน้อยกว่าการเนรมิตขึ้นมาใหม่

“อ๊ะ!!!”เหมือนว่าชวิศาจะรู้ตัวเสียที กระนั้นเจ้าตัวยังอุตส่าห์เงยหน้ามาถามย้ำ“ปากกาของคุณกรินหรือเปล่า”

“เหตุใดต้องเฉไฉว่ามันไม่ได้เกิดจากพลังของเจ้า”

คนถูกถามคอตก “ก็ไม่เข้าใจ ที่อย่างนี้ทำไมทำได้ ทำไมบางอย่างถึงทำไม่ได้ ทดสอบการใช้เวทในชั้นเรียนก็ได้บ้างไม่ได้บ้าง เรื่องวัฏจักรกับองค์ประกอบธาตุก็ไม่เข้าใจ ยากเหมือนสมัยตอนเรียนมหา’ลัยไม่มีผิด พรุ่งนี้ก็สอบวัดผลแล้ว สอบตกแน่”

“ข้าไม่เห็นความจำเป็นที่เจ้าจะต้องสนใจเรื่องผลสอบนั่น”

อีกทั้ง ผู้เล่าเรียนในสำนักศึกษาไม่จำเป็นต้องสอบวัดผลทุกคนเสมอไป การสอบประเมินทุกสิ้นเดือนล้วนเป็นไปตามความสมัครใจ เพียงแต่มีผู้เล่าเรียนหลายคนสมัครใจเข้าร่วมทดสอบเพื่อวัดระดับความก้าวหน้าของตน

“สอบตกก็ได้เหรอ”

“การรับรองจากสำนักศึกษาว่าเจ้าเป็นผู้สัมฤทธิผลมนตราขั้นสูงเป็นเพียงเกียรติจอมปลอมที่แต่ละสกุลนำมาอวดอ้างกันเท่านั้น หากเจ้าต้องการทำงานเป็นองครักษ์เวทขั้นหนึ่งเพียงแค่ทดสอบผ่านข้อกำหนดของราชวังก็เป็นอันใช้ได้แล้ว”

กรินหันไปมองคนที่นั่งฟังเพียงเล็กน้อยก่อนกล่าวต่อไปว่า “ข้าให้เจ้าไปเล่าเรียนเพื่อให้เจ้าเคยชินกับการควบคุมพลังเวทและใช้มนตรา ให้สามารถใช้มนตราขนาดใหญ่ได้ตามใจนึก ไม่ใช่เสี่ยงดวงว่าจะสำเร็จหรือไม่ ข้าเบื่อเสียงร้องไห้ยามค่ำคืนของเจ้าเต็มทน”

ชวิศาหน้าแดงด้วยความอับอาย “ด...เดี๋ยวนี้ไม่ค่อยร้องแล้วเหอะ” ยามที่คิดถึงบ้านมากๆ ชายหนุ่มไม่อาจกลั้นน้ำตาได้ เขาจึงแอบร้องไห้เบาๆ ด้วยเพราะชวิศายังอาศัยนอนในห้องของกรินอยู่เช่นเคย นึกไม่ถึงว่า ขนาดที่เขาพยายามกลั้นสะอื้นไว้อย่างเต็มที่ กรินยังรับรู้อีก

“แต่สิ่งที่สอนในสำนักศึกษาเป็นสิ่งที่จำเป็นต่อการใช้เวทมนตร์ไม่ใช่เหรอ”

“สำหรับข้าคือใช่”

ชวิศาเงียบไปอีกพักแล้ว ทำท่าอึกอักเหมือนจะพูดอะไรสักอย่าง เขามีอาการลังเลอยู่นานก่อนจะกล่าวว่า “คุณกริน คุณรู้ใช่ไหมว่าการใช้มนตราท่องเวลาต้องทำยังไง”

กรินพยักหน้า

“ถ้าอย่างนั้นคุณลองทำให้ดูหน่อย ใช้พลังเวทของผมได้เต็มที่เลย”ชวิศายิ้มบอก

“ข้าไม่มีทางทางหลงกลแผนตื้นๆของเจ้า”

“แผนอะไร ไม่มี๊”ชวิศารีบปฏิเสธ “ถ้าคุณกลัวผมหลอกคุณ ไม่ต้องพาผมกลับบ้านก็ได้ เราลองไปเที่ยวที่อื่นกันดูก่อน”

“ข้าไม่เคยคิดขัดขวางหากเจ้าจะกลับไปยังสถานที่ที่เจ้าจากมา แต่เจ้าคิดว่าข้าไม่รู้หรือ ว่าในยามนี้เจ้าใช้มนตราได้เท่าใดแล้ว มนตราพื้นฐานที่เจ้าฝึกหัดนั้น แรกๆอาจจะผิดพลาดอยู่บ้าง แต่เมื่อใดที่เจ้าทำสำเร็จแล้ว ครั้งต่อๆไปจะไม่มีความผิดพลาดเกิดขึ้นอีก เจ้าแค่ต้องการจดจำความรู้สึกในการใช้มนตราท่องเวลาเท่านั้น แล้วคิดหรือว่าข้าจะเอาตัวเองไปเสี่ยงหากเจ้าพยศไม่ให้ข้าควบคุมพลังเวทของเจ้า”

“ผมสาบานเลย ว่าจะให้คุณใช้พลังเวทของผมพาเราสองคนกลับมาที่นี่ก่อน แล้วค่อยไปทดลองเองทีหลัง”ชวิศายกมือขึ้นสามนิ้วพลางกล่าวอย่างจริงจัง

กรินส่งเสียงหึขึ้นจมูกอย่างไม่คิดเชื่อถือ

“ข้าจะเขียนระเบียนเวทให้เจ้าไปฝึกใช้เอาเอง”

“โธ่ ถ้าผมอ่านระเบียนเวทได้คล่อง ผมคงไม่ขอให้คุณติวให้หรอก”ชวิศากระแทกเสียงใส่อย่างไม่พอใจ นิ่งเงียบขมวดคิ้วชักสีหน้าอยู่ครู่หนึ่ง จึงเริ่มโน้มน้าวกรินอีกครั้ง

“คุณไม่คิดอยากไปดูฮัชดาลลาร์ในอีกหลายปีข้างหน้าเหรอ มันไม่เหมือนตอนนี้หรอกนะ”ถึงอีกฝ่ายจะไม่ตั้งใจฟัง มัวแต่ก้มหน้าก้มตาเขียนข้อความบนกระดาษ ชวิศายังยินดีที่จะพูดต่อไป “พื้นที่แถวนี้มีแต่ทะเลทรายรอบด้าน แถมยังมีสงครามอีกบ่อยครั้ง ฮัชดาลลาร์เหลือแค่เมืองเล็กๆอยู่ภายในหุบเขา”

“เหตุใดข้าต้องใส่ใจ นั่นอาจจะไม่ใช่อาณาจักรฮัชดาลลาร์ที่ข้าอยู่ หรือถึงจะใช่ ข้าคงจะไม่มีชีวิตยืนยาวถึงป่านนั้น”

ชวิศามองหน้าคนพูด อีกฝ่ายมีสีหน้านิ่งเฉยอย่างไม่นึกเดือดร้อน เขาจึงก้มหน้าลงพร้อมกับอาการเซ็ง กรินเห็นเช่นนั้นจึงหันมาใส่ใจเขียนเอกสารตรงหน้าให้เสร็จพลางพูดว่า “ข้าเคยบอกเจ้าไปแล้ว มนตราท่องกาลเวลาสามารถพาเจ้ากลับไปยังช่วงเวลาที่เจ้าจากมาได้ จะไม่มีผู้ใดรับรู้ว่าเจ้าหายไป”

“แต่ตัวผมรู้ ผมคิดถึงพวกเขา อยากเจอ อยากเห็นหน้า”ชวิศาพูดเสียงดัง ก่อนจะลดเสียงลงงึมงำ “อยากกอดด้วย”

กรินยื่นกระดาษแผ่นหนึ่งมาให้ แผ่นกระดาษแผ่นนี้เขาเพิ่งเขียนข้อความเสร็จเมื่อสักครู่

“นี่เป็นมนตราท่องกาล”

แค่เห็นชวิศาก็มึนศีรษะ บนกระดาษมีอักขระเวทยาวเหยียดเต็มแผ่น ถึงเขาจะเรียนการอ่านระเบียนเวทเบื้องต้นมาแล้ว แต่สัญลักษณ์ธาตุมากมายขนาดนี้เขาไม่มีทางใช้มนตราบทนี้ได้อยู่แล้ว เขาจึงช้อนดวงตาคลอน้ำขึ้นมองชายหนุ่มตรงหน้า โดยหวังว่าอีกฝ่ายจะสงสารเขาบ้าง

“และตั้งแต่พรุ่งนี้ ข้าจะสอนเจ้าเพิ่มเติมช่วงเย็น ถ้าเจ้าขยันตั้งใจ ข้าจะให้เจ้าได้เห็นภาพบุคคลที่เจ้าคิดถึง”



+++++โปรดติดตามตอนต่อไป+++++

สวัสดีค่ะ ต้องขอขอบคุณ คุณsuikajang  และคุณ A_bookworm สำหรับคอมเมนต์ค่ะ กำลังคิดอยู่ว่าพล็อตเรื่องมันเดาได้อย่างนี้มันจะน่าเบื่อหรือเปล่า ต้องขอบคุณคุณทั้งสองค่ะที่ทำให้รู้ว่าเรื่องที่เราเขียนมันยังน่าติดตามอยู่
และต้องขอขอบคุณนักอ่านทุกท่านที่เปิดเข้ามาอ่านนิยายของเราด้วยค่ะ ขอบคุณทุกท่านที่ยังติดตามนิยายเรื่องนี้ค่ะ

ออฟไลน์ suikajang

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 813
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +23/-0
เข้ามาเห็นชื่อเรื่องกะว่าขำๆ ฮาๆ เบาๆ อ่านไปชักยังไง  o22  ไม่มีคำบรรยาย พาออกทะเลทรายซะงั้น
แต่ก็นับถือผู้แต่งนะคะ มาแต่ละตอนนิเมื่อยตา ยอมรับเลยว่าเลิกอ่านไม่ได้ ถึงจะพาเครียดบ้างก็เถอะ  :katai3:
เป็นกำลังใจให้ค่ะ สู้ๆ  :L2:  รอดูความพยายามของชวิศาว่าจะกลับไปหาสุด(ฟ้า)ที่รักได้หรือเปล่า
 :L1:  :pig4:  :L1:

ออฟไลน์ ตีสี่

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 412
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-5
    • 61'
ตอนที่ยี่สิบแปด


รางวัลที่กรินนำมาล่อลวงทำให้ชวิศากระตือรือร้นตั้งใจมากขึ้นกว่าเดิม

วันที่มีการสอบประเมินในสำนักศึกษาไม่มีการเรียนการสอน คนที่ไม่ประสงค์จะสอบสามารถหยุดเรียนได้ แต่หลายคนมักจะมาดูการสอบของคนอื่น ต่างกับชวิศา ในเมื่อกรินบอกว่าเขาไม่จำเป็นต้องสอบก็ได้ ชวิศาจึงไม่คิดจะสนใจการประเมินผลนั่นอีก ซ้ำยังไม่ไปดูการสอบเช่นผู้เล่าเรียนคนอื่นๆ เขาอ่านไอเวทไม่ได้ ดูไปก็เท่านั้น ชายหนุ่มจึงใช้ช่วงเวลาว่างในการคัดลอกระเบียนเวทที่กรินให้มา

การคัดลอกที่ว่าใช่เพียงลอกเลียนอักขระเวทลงในกระดาษอีกแผ่น แต่เป็นการถอดความพลังธาตุที่ใช้ในมนตราแต่ละบท

การศึกษามนตราถูกแบ่งเป็นสามระดับ อันได้แก่ขั้นพื้นฐาน ขั้นกลางและขั้นสูง การศึกษามนตราขั้นพื้นฐานก็แบ่งย่อยไปอีกห้าระดับ โดยมนตราเวทขั้นพื้นฐานระดับหนึ่งเป็นการสร้างเวทจากพลังธาตุเพียงธาตุเดียว ระดับสองคือการใช้สองธาตุ ไล่ไปเรื่อยๆจนถึงระดับห้าคือการสร้างเวทโดยใช้ธาตุทั้งห้า

การเรียนมนตราเวทขั้นกลางมีแค่สองระดับคือวัฏสร้างสรรค์และวัฏสูญสิ้น เรียนรู้การสร้างเวทซ้อนทับโดยไม่ให้พลังธาตุหักล้างกันจนเวทสูญสลาย เนื่องจากในธาตุทั้งห้ามีธาตุที่มีพลังส่งเสริมกัน และพลังธาตุที่พิฆาตกันเองซึ่งส่วนนี้จะคล้ายกับการเรียนมนตราเวทขั้นพื้นฐาน แต่แตกต่างกันที่ความซับซ้อนของมนตรา

แต่การเรียนมนตราเวทขั้นสูงไม่มีการกำหนดระดับ เพราะเป็นการนำความรู้ที่ได้เรียนมาผนวกรวมเข้าด้วยกันและสร้างเวทขนาดใหญ่สำหรับประเมินผลจำนวนยี่สิบบท

ในระหว่างนั้นต้องเรียนรู้การอ่านระเบียนเวทและไอเวทไปพร้อมกัน ระเบียนเวทในความคิดของชวิศาคือสูตรการใช้เพราะมันถูกเขียนอยู่บนกระดาษและเหมือนขั้นตอนการทำอาหาร ที่บางครั้งเราต้องนำวัตถุดิบไปต้มแล้วจึงนำไปทอด จากนั้นจึงนำไปคลุกเคล้ากับเครื่องปรุง แต่ที่ลำบากสำหรับชายหนุ่มคืออักขระสัญลักษณ์พลังธาตุ เนื่องจากเขายังจำรูปแบบอักขระทั้งหมดยังไม่ได้ การคัดลอกถอดความจะทำให้เขารู้ว่ามนตราบทนี้ใช้พลังธาตุใดบ้าง

สำหรับการอ่านไอเวทจะยากกว่าการอ่านระเบียนเวท ไอเวทนั้นเป็นผลตกค้างหลังการใช้เวทและมันมีลักษณะตามชื่อ คือเป็นไอที่มองด้วยตาเปล่าแทบไม่เห็น นับตั้งแต่ชวิศาเข้าเรียนวิชาเกี่ยวกับการอ่านไอเวทมา เขายังไม่เคยมองเห็นสิ่งที่ถูกเรียกว่าไอเวทเลยสักครั้ง

หลังจากที่ถอดความมนตราบทนั้นเสร็จ ชายหนุ่มถึงออกไปนอกตัวอาคารเพื่อทดลองใช้มนตรา

ข้อกำหนดที่ทำให้มนตราบทหนึ่งถูกเรียกว่ามนตราขนาดใหญ่นั้นมาจากลำดับความซับซ้อนการใช้พลังธาตุตั้งแต่สองธาตุจำนวนห้าลำดับขึ้นไป และถึงแม้จะมีลำดับขั้นการใช้พลังธาตุมากมาย แต่การจะทำให้มนตราสัมฤทธิผล จะต้องดึงพลังธาตุทุกลำดับขั้นตอนออกมาใช้อย่างต่อเนื่อง นั่นจึงเป็นปัญหาอีกอย่างของชวิศา เนื่องจากเขาจำระเบียนเวทไม่ได้เพราะฉะนั้นจึงแทบไม่ต้องพูดถึงผลสำเร็จ

ชายหนุ่มเอนหลังนอนแผ่ไปกับพื้นด้วยอาการเหนื่อยหอบ แม้จะมีพลังเวทมากแต่ชวิศาก็ใช้มันอย่างไม่บันยะบันยังด้วยเช่นกัน ด้วยความที่ไม่สามารถจำลำดับการใช้พลังธาตุได้ ชวิศาจึงใช้วิธีหน่วงพลังธาตุลำดับแรกแล้วจึงเรียกใช้ลำดับที่สองมาซ้อนทับ แต่ว่าลำดับธาตุแต่ละขั้นใช่ว่าจะใช้เพียงธาตุเดียว บางลำดับใช้สองถึงสามธาตุ พอเขาร่ายเวทถึงลำดับขั้นที่สามหรือสี่ เวทในลำดับแรกก็สลาย พูดง่ายๆว่าสิ่งที่เขาพยายามทำค่อนข้างจะเปล่าประโยชน์

“ทำไมมันยากอย่างนี้”เขาร้องโวยวายด้วยความอึดอัดใจ จากนั้นจึงพลิกตัวนอนตะแคง

ชวิศานอนกลิ้งอยู่บนลานฝึกในสำนักศึกษา ลานฝึกนี้เป็นพื้นที่หวงห้ามของเมดินซึ่งอนุญาตให้เฉพาะบางคนเท่านั้นที่เข้ามาใช้ได้ และตอนนี้ชวิศาก็เป็นหนึ่งในนั้น

ลานฝึกของเมดินเป็นพื้นดินเรียบปลูกต้นไม้ไว้ล้อมรอบ ชวิศาจับจองที่นั่งใต้เงาไม้ นอนกลิ้งไปกลิ้งมาอย่างไม่กลัวฝุ่นและความสกปรก ลมเย็นพัดโชยผ่านเป็นระยะ นานเข้าชายหนุ่มร่างเพรียวจึงเคลิ้มผล็อยหลับไป



ยามที่ลืมตาขึ้นมากลับพบว่ากรินมานั่งอยู่ใกล้ๆ ชวิศายันตัวลุกขึ้นยกมือขึ้นปิดปากกลั้นหาว นัยน์ตาปรือปรอยคล้ายยังนอนไม่เต็มอิ่ม

“คุณกริน”ชวิศาเอ่ยเรียกราวกับจะถามว่ามีอะไรหรือเปล่า แม้ชวิศาจะรู้ว่ากรินทำงานเป็นอาจารย์ในสำนักศึกษา แต่เขาสังเกตเห็นว่า กรินมักจะมีงานยุ่งอยู่เสมอ เขาไม่รู้ทั้งหมดแต่เหมือนว่ากรินก็มีกิจการค้าขายของตัวเอง พูดให้ถูกคือช่วงเวลากลางวันชวิศาแทบจะไม่ได้เจอกรินเลย

“ฝึกการใช้มนตราไปถึงไหนแล้ว”

“ยังไม่ได้เรื่องเลย”ชายหนุ่มร่างเพรียวหัวเราะแห้งๆ

“ข้าจะลองให้เจ้าฝึกใช้มนตราขั้นกลางดูก่อน”กรินหยิบหินก้อนเล็กจากแถวนั้นขึ้นมา แล้วเขียนอักขระลำดับเวทลงบนพื้นดิน “นี่เป็นมนตราเวหาเหิน”

ชวิศาพยักหน้ารับรู้ แต่แววตาว่างเปล่าเหมือนว่าพยักหน้าไปอย่างนั้นในความคิดของกริน

“จำได้ใช่ไหม”

“เอ๋!!!!!”คนถูกถามตีสีหน้างุนงงด้วยความไม่เข้าใจ

“ข้าเคยใช้มนตรานี้พาเจ้ากลับเข้าเมืองหลวง”

“อ๋อ”ชายหนุ่มครางรับเสียงยาว “นึกออกแล้ว”

“เจ้าเรียนการกล่าวคาถามาแล้วใช่ไหม”

“ใช่ แต่ถอดความระเบียนเวทไม่ได้นะ”คนพูดยิ้มเผล่ “แต่ไม่ต้องใช้คาถาก็ได้ไม่ใช่เหรอ ไม่กล่าวคาถายังใช้มนตราได้มากกว่าอีก”

“ใช้ได้เพราะความบังเอิญมากกว่า เจ้ายังใช้พลังเวทไม่คล่องก็ให้กล่าวคาถาไปก่อน ไว้ข้าจะเลือกคาถาที่จำเป็นมาให้เจ้าจดจำ”

จากนั้นกรินจึงสอนการถอดอักขระ เนื่องด้วยคาถานั้นถอดเสียงมาจากอักขระพลังธาตุ ระเบียนเวทเองก็เขียนตามอักขระพลังธาตุเช่นกัน

“วันนี้คุณกรินไม่ไปไหนเหรอ”ชวิศาถาม เมื่อคนสอนปล่อยให้เขาพักหลังจากที่พูดย้ำทวนสิ่งที่สอนมาสามสี่รอบ

“ไม่”กรินพูดตอบแล้วเบนสายตาเหม่อมองท้องฟ้ากว้างสว่างสีฟ้าใส จวบจนเวลาผ่านไปครู่หนึ่ง กรินจึงกล่าวขึ้นมาว่า “อีกสี่เดือน ข้าจะออกจากเมือง”

ชวิศารับฟังและพยักหน้ารับ “คุณจะไปทำอะไรเหรอ”

“หาพยัคฆ์เจ้าป่า”

“พยัคฆ์คือตัวอะไร”

คนถูกถามขมวดคิ้วมองหน้าเจ้าของคำถามด้วยความสงสัย ชวิศาเหมือนรู้ตัวว่าคำถามของตนเองคงจะฟังดูงี่เง่า “ผมไม่รู้จริงๆอะ”

“เสือ”

“อ๋อ... ก็เรียกว่าเสือดิ จะต้องใช้คำแปลกๆทำไม”เขาบ่น พาให้กรินส่งเสียงหัวเราะ

“ไปนานไหม”

“ไม่มีกำหนด แต่อย่างไรข้าต้องกลับมาก่อนปีใหม่มาเยือน”

คำพูดของกรินทำให้ชวิศาฉุกคิดได้อีกอย่าง เขาไม่รู้ว่าตอนนี้เป็นเดือนปีที่เท่าไหร่

“วันพระจันทร์ดับที่สิบ เดือนที่ห้า ปีที่หนึ่งพันห้าร้อยสิบหก”

“พวกคุณนับปีกันอย่างไร”

“นับปีที่หนึ่งตามปีที่ก่อตั้งอาณาจักร”

ชายหนุ่มผู้ที่มาจากตำแหน่งเวลาอื่นอย่างชวิศาจึงได้ฤกษ์ถามข้อมูลของอาณาจักรที่ตนอาศัยอยู่มากว่าสองเดือน ก่อนหน้านี้เพราะมัวแต่คิดว่าอยากจะกลับบ้าน เขาจึงแทบไม่สนใจสิ่งอื่น เวลาที่ผ่านไปช่วยบรรเทาอาการแปลกถิ่นลงไปได้บ้าง ทั้งยังทำใจว่าคงมีแต่ใช้มนตราท่องกาลที่กรินเคยบอกเล่าไว้ให้ได้จึงจะกลับบ้านได้อย่างที่หวัง แม้กรินจะไม่เคยพบคนที่สามารถใช้มนตราบทนี้ได้จริงๆเลยก็ตาม เพราะมีแค่ตัวเขาหลุดมาอยู่ในช่วงต่างยุคทั้งที่ตนเองยังไม่รู้ตัวว่ามาได้อย่างไร

พลเมืองในฮัชดาลลาร์นั้นโยกย้ายมาจากถิ่นอื่น ตามประวัติที่ได้บันทึกไว้คืออพยพย้ายมาจากทางเหนือ เพื่อหนีความโหดร้ายทารุณของสภาพอากาศและการขาดแคลนแหล่งอาหาร ผู้คนที่มาตั้งรกรากที่นี่มีไม่กี่ร้อยคนเท่านั้น ก่อนที่เมืองจะเจริญเท่าปัจจุบัน

“พวกคุณใช้เวทมนตร์ได้ตั้งแต่แรกเลยเหรอ”

“ก็ไม่เชิงว่าทุกคน ในบันทึกเขียนไว้ว่า พลังวิเศษนี้มีเฉพาะในบางผู้คนเท่านั้น แต่เดิมจะมีแค่เวทพื้นฐานอย่างเรียกไฟหรือน้ำ แต่บางคนก็สามารถใช้เวทขั้นกลางได้ ต่อมาเมื่อก่อตั้งอาณาจักรแล้วเวทมนตร์ถึงพัฒนาขึ้น เพื่อต่อกรกับสัตว์ร้ายบ้างหรือปราบปรามผู้รุกราน”

“อืม”ชวิศาพยักหน้ารับรู้ “เออ... เมืองฮัชดาลลาร์ที่ผมจากมามีคนใช้มนตราแบบ... สร้างประตูไม้บานใหญ่ๆที่เมื่อเปิดประตูก็สามารถไปไหนก็ได้ด้วย แล้วผมก็เคยถูกจับไปขังอยู่ในห้องที่ไม่มีหน้าต่างไม่มีประตู ไม่มีอะไรเลยแต่สามารถหายใจได้แล้วก็ไม่ร้อนด้วย สมัยนี้มีคนใช้มนตราแบบนั้นได้ไหม”

กรินนิ่งคิด “ไม่น่าจะมี ไม่รู้สิ แต่เจ้าก็เห็นข้ามีอัญมณีที่ผนึกมนตรามิติว่างเปล่า มนตรานี้ คนรู้จักของข้าและเป็นผู้ถือครองอำนาจแห่งอากาศธาตุเป็นผู้ผนึกให้”

“แล้วคนที่คุณรู้จักคนนั้นใช้มนตราแบบที่ผมเล่าให้ฟังได้หรือเปล่า”

“ข้าไม่แน่ใจ”กรินโคลงศีรษะ

“คุณพาผมไปหาคนคนนั้นได้ไหม”

“เจ้าอยากจะพบเจอคนผู้นั้นทำไม เจ้าอยากเรียนเวทคาถาอื่นแทนคาถาที่เจ้ากลับบ้านแล้วรึ”

“ก็ไม่เชิง”ชวิศาตอบ “ระยะเวลาสองเดือนตั้งแต่ที่ผมมาอยู่ที่นี่ ผมพยายามเค้นสมองคิดมาตลอดว่าทำไมผมถึงมาอยู่ที่นี่ได้ คุณบอกว่าผมมีพลังเวทและอาจจะใช้มนตราโดยไม่รู้ตัว แต่ผมคิดว่ามันไม่น่าจะเป็นไปได้”เขานิ่งคิดพลางนึกย้อนทบทวนความทรงจำให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้

“ตอนเด็กๆ ช่วงที่ใกล้ถึงวันเกิดผมทีไรมันมักจะมีเรื่องแปลกเกิดขึ้นทุกที แบบผมอยากได้ของชิ้นหนึ่ง ของนั้นก็จะมาปรากฏอยู่ในมือ แล้วคุณย่า คุณแม่ พี่ชายหรือคนในบ้านก็ค่อนข้างจะตามใจผมเป็นพิเศษ ขนาดที่ไม่อยากทำอะไรก็ไม่บังคับ ไม่ดุไม่ว่าอะไรด้วย แต่พอผมโตขึ้นเหตุการณ์แปลกช่วงวันเกิดก็ไม่มีอีกผมเลยไม่ได้ใส่ใจจำ

แล้วก่อนที่ผมจะมาที่นี่ ผมโดนจับตัวไปแต่โดนจับตัวไปพร้อมกับคุณมาริ เอ่อ... คุณมาริเป็นหุ่นยนต์ที่คุณสุดฟ้าสร้างขึ้น หน้าตาเหมือนผมมากๆ ช่วงที่ออกไปเดินเที่ยวในฮัชดาลลาร์ผมก็ไปกับคุณมาริ ไม่ต้องจำทาง พูดภาษาฮัชดาลลาร์ไม่ได้ก็ไม่เป็นไร คุณมาริฟังออกทุกภาษาเหมือนมนตราที่คุณกรินบรรจุไว้ในแหวนเลย”ชวิศายิ้มกว้างขณะเอ่ยเล่าไปด้วย

“วันที่โดนจับตัวไป คุณมาริก็ไปด้วย แต่เพราะผมชะล่าใจเอง ผมคิดว่าพลเมืองในฮัชดาลลาร์เป็นคนดีคงไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้น คุณมาริก็บอกให้รีบหนี ที่ไหนได้คุณมาริโดนพลังเวทซัดใส่ร่างเสียลุกไม่ขึ้นเลย ผมเลยต้องยอมให้พวกนั้นจับตัว แต่สุดท้ายคุณสุดฟ้าก็มาช่วยไว้ ผมถามคุณสเตบาสเตียนทีหลังว่าทำไมถึงไปช่วยพวกเราได้ คุณสเตบาสเตียนก็บอกว่าตามสัญญาณตำแหน่งที่อยู่จากคุณมาริ แล้วคืนนั้นผมก็เข้านอนตามปกติ แต่พอตื่นมากลับเป็นที่ไหนไม่รู้ จริงๆตอนที่ผมตื่น ผมเห็นคุณสุดฟ้านอนอยู่ข้างๆกันนะ แต่เหมือนว่ามีใครดึงร่างของผมให้ห่างออกมาจากคุณสุดฟ้า แล้วแบบ...มันก็ยุ่งวุ่นวายไปหมด แบบ...ปนกันมั่วซั่วไม่รู้เรื่อง จนผมต้องอาเจียนออกมาเลยล่ะ แล้วก็หมดสติไป พอตื่นมาอีกครั้งก็เจอคุณ”ชวิศาผายทั้งสองมือไปทางกริน

“ตอนที่หลับตอนนั้น ผมรู้สึกเหมือนตัวเองฝันแปลกประหลาด แต่บางครั้งก็เหมือนดึงพลังเวทออกมาใช้เหมือนกัน ถ้าระหว่างที่ผมหลับอยู่มีคนมาทำอะไรสักอย่าง อย่างเช่นเอาพลังเวทมาใส่ไว้ในร่างกายของผม มันก็เป็นไปได้ว่า ตอนที่ผมลืมตามาเจอคุณสุดฟ้า มันอาจจะมีวิกฤตอะไรสักอย่างทำให้พลังเวทในร่างกายผมถูกดึงมาใช้และทำให้ผมใช้มนตราท่องกาลโดยไม่รู้ตัว”

“เจ้า!!!”กรินทำหน้าตื่นตกใจ จนชวิศาเหมือนจะตื่นเต้นตามไปด้วย บางทีกรินอาจจะรู้อะไรบางอย่างจากเรื่องที่เขาเล่าออกไปให้ฟัง

“ดูท่าว่าเจ้าจะฉลาดขึ้นแล้ว”

“อ๊ะ”ชายหนุ่มชะงัก ก่อนจะต้องโวยวายออกไปด้วยใบหน้าแดงเรื่อซึ่งเกิดจากความเขินอายปนความขุ่นเคืองที่โดนล้อเลียน ทั้งที่อุตส่าห์ตั้งใจเล่าให้ฟังด้วยความจริงจัง

“อะไรเล่า มันใช่เรื่องไหมเนี่ย อุตส่าห์พยายามนึกรื้อฟื้นเหตุการณ์แทบตาย ยังมาสนใจกับเรื่องความโง่ของผมอีก”

“ฮ่าฮ่าฮ่า”กรินหัวเราะเสียงดัง ซึ่งนานๆทีชวิศาถึงจะได้เห็นสักครั้ง หรืออันที่จริงนี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นกรินหัวเราะเช่นนี้ โดยเฉพาะช่วงหลังๆ ที่ดูเหมือนว่ากรินจะเคร่งเครียดขึ้นเรื่อยๆ ต่างจากวันแรกๆที่พวกเขาได้เจอกัน อย่างไรก็ตาม หน้าของชวิศาก็งอหงิกไปจนกว่ากรินจะหยุดหัวเราะ

“ตกลงคุณกรินคิดว่ายังไงล่ะครับ”

“อืม เจ้าคิดว่าถ้าข้ามีพลังเวทที่ยิ่งใหญ่และแข็งแกร่ง ข้าควรจะเอาพลังเวทนั้นไปใส่ในร่างกายของผู้อื่นไหม”

เออ... แหะ เก็บไว้เองน่าจะดีกว่า ชวิศาคิดในใจ “ไม่”

“นั่นสิ พลังนี่เป็นของเจ้า คงมีผู้อื่นอยากได้พลังที่เจ้าถือครองเสียมากกว่า คงเป็นวิธีการเดียวแบบที่ข้าทำ”ประโยคหลังกริมพึมพำเสียงเบา

“เอาเถอะ เรื่องนั้นน่ะเอาไว้ก่อน หากเจ้าอยากรู้ที่มาที่ไปที่ทำให้เจ้าเป็นเช่นนี้ เมื่อใดที่เจ้าใช้มนตราได้คล่องแคล่วจงใช้มนตราตรวจดูเถอะ”กรินพูดพลางลุกขึ้นยืน

“แล้วที่คุณบอกจะให้ผมเห็นคนที่ผมคิดถึง”ชวิศารีบลุกขึ้นยืนตามพร้อมทวงถามสัญญาที่อีกฝ่ายเคยให้ไว้

“เรื่องนี้จำได้แม่นนัก”กรินเอ่ยแซว จากนั้นจึงแตะอัญมณีที่ปลอกแขนเรียกเอากระดาษแผ่นหนึ่งออกมา ทันทีที่มันสัมผัสอากาศ พลันเกิดการระเบิดเล็กๆแล้วกระดาษแผ่นนั้นกลับกลายเป็นนกที่มีชีวิต ชายหนุ่มปล่อยนกตัวนั้นให้บินออกไป

“นี่ก็เป็นเวทมนตร์หรือเปล่า”ชวิศาถามด้วยความใคร่รู้

“ใช่”กรินตอบคำถามสั้นๆ จนชวิศาต้องเอ่ยขอให้อีกฝ่ายอธิบาย “นี่เป็นเวทคาถาเก่าๆที่ไม่ค่อยมีใครนิยมใช้ โดยใช้เลือดเขียนคาถาบนกระดาษ”

ได้ฟังคำอธิบายของกรินแล้วชวิศาเกิดจุดประกายความคิดขึ้นมา “ถ้าอย่างนั้นคุณกรินใช้วิธีนี้ส่งผมกลับบ้านไม่ได้เหรอ”

“ข้าไม่มั่นใจว่าจะสามารถส่งเจ้ากลับบ้านได้ บางทีเจ้าอาจจะหลุดไปอยู่ช่วงเวลาอื่น”กรินแบมือขอกระดาษจดระเบียนเวทมาจากชวิศา เขาชี้มือลงบนอักขระเวทช่วงหนึ่งซึ่งถูกเขียนไว้ “มนตราท่องกาลจะมีลำดับขั้นในการเส้นทางและจุดหมายปลายทาง ข้าคิดว่าคงมีผู้คนน้อยนักที่จะใช้มนตราบทนี้ได้ เพราะยิ่งต้องแทรกผ่านห้วงเวลาไกลเท่าใดยิ่งต้องใช้พลังมากขึ้นเท่านั้น แต่กระดาษคาถาเป็นการดึงพลังเวทจากธรรมชาติโดยรอบมาใช้ มันมีปัจจัยหลายอย่างที่ทำให้การใช้มนตราขนาดใหญ่ด้วยกระดาษคาถาเป็นไปได้ยาก”

ชวิศามีแต่ความงุนงง แต่เขาจับใจความได้ว่า ไม่ว่าอย่างไรมีแต่ต้องฝึกมนตราท่องกาลให้ได้เท่านั้น

ครู่ใหญ่ๆต่อมา นกที่เกิดจากเวทของกรินได้บินกลับมา เขายื่นมือไปรับทว่ามันกลับกลายร่างเป็นหญิงสาวเสียแทน เธออยู่ในชุดกระโปรงยาวกรมเท้าสีเขียวอ่อน แม้แต่กรินก็ผงะถอยหลังกับการปรากฏตัวของเธอ

“สวัสดี”เธอเอ่ยทักทายพร้อมรอยยิ้ม

“ท่านใช้มนตรานี้ได้แล้ว?”กรินพูดแต่เหมือนจะเป็นการถามย้ำด้วยเช่นกัน

“ท่านคิดว่าข้าคือผู้ใด”หญิงสาวพูดหยอกกลับมา เธอเชิดหน้ายกยิ้มด้วยความภาคภูมิ

“ขอรับท่านผู้มากความสามารถ”กรินก้มศีรษะพร้อมโค้งตัวด้วยความนอบน้อม หญิงสาวจึงส่งเสียงหัวเราะด้วยความชอบใจ จากนั้นจึงกล่าวว่า

“ท่านมีธุระอันใดหรือ”

ชายหนุ่มผู้ถูกถามจึงผายมือไปทางชวิศาพร้อมทั้งเอ่ยแนะนำ จากนั้นจึงเอ่ยแนะนำหญิงสาว ทว่าเจ้าตัวกลับเอ่ยนามของตัวเองแทรกขึ้นมาเสียก่อน

“เรียกข้าว่า กิรานา”

ชวิศาพยักหน้ารับรู้ มองดูกรินที่มุ่นคิ้วคล้ายไม่ชอบใจแต่เขากลับไม่โต้แย้งอันใดนอกจากกล่าวกิจธุระที่ต้องการพบเธอ

“ข้าอยากขอร้องให้ท่านช่วยใช้พลังเวทอันแข็งแกร่งทำให้เขาเห็นนิมิต”

“เจ้าอยากเห็นนิมิตใด”กิรานาหันมาถามชวิศา

“ผมอยากเห็น... คุณสุดฟ้า”ชวิศากล่าวบอกด้วยท่าทางเขินอาย กิรานายกยิ้มด้วยคาดเดาได้ว่าบุคคลที่อีกฝ่ายอยากเห็นภาพนิมิตคงไม่พ้นคนที่มีความสำคัญในหัวใจของอีกฝ่าย

“ได้ ยื่นมือมา”กิรานายื่นมือออกไปให้ชวิศาวางมือทับ เธอสูดลมหายใจเข้าพร้อมกับบอกเขาให้ทำใจให้สบาย จากนั้นจึงหลับตาลง

ความสามารถของกิรานาถูกบอกเล่าสั่งสอนให้สืบทอดต่อกันมาตั้งแต่บรรพบุรุษ เธอใช้พลังเวทเพื่อการทำนายและสร้างนิมิตที่มีความแม่นยำ แต่กระนั้นอนาคตล้วนเป็นสิ่งที่ไม่แน่นอน ภาพนิมิตในอนาคตจึงขาดๆหายๆไม่ใช่เรื่องราวที่ปะติดปะต่อกัน ต่างจากการดูเรื่องราวในอดีต เพียงแต่พลังที่กิรานาถือครองไว้ไม่อาจเลือกเพียงอย่างใดอย่างหนึ่ง

พลังเวทของกิรานาจะแผ่กระจายออกไปจากจุดที่พวกเขาอยู่คล้ายวงคลื่นของน้ำ ตรวจจับความเป็นไปของชายหนุ่มผู้ที่สัมผัสอยู่กับมือของเธอแล้วสร้างเป็นภาพนิมิตให้เขาเห็น ชวิศามองภาพขาดๆหายๆที่ดูคล้ายโทรทัศน์สัญญาณไม่ดีตรงหน้า

“นั่นคุณสุดฟ้า”เขาร้องออกมาเมื่อเห็นภาพชายหนุ่มนอนหลับอยู่ในสถานที่แห่งหนึ่ง ทว่ากิรานากลับเป็นฝ่ายผงะถอยห่างออกไป ใบหน้าของเธอมีแต่ความแตกตื่นเพราะนอกจากเห็นภาพชายหนุ่มที่ชวิศาต้องการเห็น เธอยังเห็นนิมิตที่เป็นลางร้ายอีกด้วย

“กริน”เธอร้องพลางโผเข้าหาชายหนุ่มร่างสูงซึ่งยืนอยู่ข้างกันทันที “ข้าเห็นนิมิตความตายของข้าและท่าน”กิรานาพูดก่อนจะหันมองชวิศาด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความเกลียดชัง

“เขาคือหายนะที่จะทำให้ข้าและท่านถึงแก่ความตาย”

ชวิศาก็ยืนชะงักนิ่งด้วยงงงัน จากนั้นจึงร้องบอกไปว่า“ผมจะฆ่าคุณกรินได้อย่างไร คุณกรินมีบุญคุณกับผม”

“กริน ท่านต้องเชื่อข้า”เธอย้ำ ดวงตาปริ่มน้ำสะอื้นไห้คล้ายแทบขาดใจ

“ใจเย็นๆก่อนกิรานา เรื่องราวเป็นเช่นใดจงบอกข้า”กรินเอ่ยปลอบ โอบกอดเธอไว้พลางลูบหลังด้วยความอ่อนโยน พานให้ชวิศาหงุดหงิดอิจฉาขึ้นมาทันที มองดูแล้วเขาคงจะกลายเป็นหมาหัวเน่าในไม่ช้า ถึงจะรู้ตัวว่าตนไม่มีความสำคัญต่อกริน แต่แบบนี้ไม่ใช่ว่าเขาจะโดนกำจัดก่อนได้กลับบ้านหรอกหรือ ถ้ากรินเชื่อกิรานาจริงๆ

กิรานาเอ่ยเล่าว่า ในนิมิตนั้นเห็นชวิศายืนมองทั้งเธอและกรินจมกองเลือด

“แต่คุณไม่ได้เห็นผมฆ่าคุณกรินนี่ ผมสาบานได้ ผมจะไม่มีวันฆ่าคุณกรินเด็ดขาด และจะไม่มีวันทรยศหักหลังเขาด้วย”ชายหนุ่มพูดพร้อมชูสามนิ้ว เขาแค่อยากจะหาทางกลับบ้าน กรินเป็นความหวังเดียวของเขา และต่อให้เขาสามารถใช้มนตราได้ก็ไม่มีเหตุจำเป็นให้เขาต้องทำแบบนั้น

“กิรานา ข้ามิได้เข้าข้างผู้ใด แต่ซีไม่ได้มีใจหยาบช้าถึงเพียงนั้นทั้งเขาเองคือบุคคลที่ข้าต้องการให้ช่วยเหลือ”

หญิงสาวผละตัวห่างจากแผงอกกำยำของเขาทันที เธอมองหน้ากรินสลับกับชวิศา และเอ่ยถามกรินว่า “เขาคือผู้มีพลังเวทอันแข็งแกร่งที่ท่านพูดถึง”

“ใช่ และซีเองเคยเอ่ยปากยินยอมให้ข้าใช้พลังของเขาได้”

คราวนี้แววตาของหญิงสาวกลับแปรเปลี่ยนเป็นดุร้ายโหดเหี้ยมขึ้นมาในทันควัน เธอย่างสามขุมเข้าไปหาชวิศาอย่างไม่กลัวเกรง “เจ้าคิดจะแย่งชิงคนรักของข้าหรือไร”

“หา!!!”ชวิศาร้องอุทานด้วยความไม่เข้าใจ

“คนรักของเจ้านี่เป็นชาย กริน ท่านอาจจะโดนมันล่อลวงอยู่ ท่านรู้ตัวหรือไม่”กิรานาหันไปพูดกับชายหนุ่มคนรัก

“คุณก็รู้ว่าผมมีคนรักแล้ว ผมจะไปอยากได้คุณกรินอีกทำไม”

“เพราะคนรักของเจ้าไม่ได้มีแค่เจ้านะสิ”เธอหันกลับมาต่อคำกับชายหนุ่มร่างเล็ก

“ผมกับคุณมาริ เราเข้ากันได้ดีอย่างมายุแยงเสียให้ยากเลย”ชวิศาตอบกลับด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าวไม่แพ้กัน

“เอาล่ะ เอาล่ะ ทั้งสองคนไม่ต้องเถียงอะไรกันอีกแล้ว กิรานาวันนี้ท่านกลับไปก่อนเถอะ ท่านหายมานานขนาดนี้ เดี๋ยววุ่นวายกันไปใหญ่ และอย่าลืมที่ข้าบอก อย่าให้ใครรู้ว่าท่านใช้มนตรานี้ได้”

“ข้าเข้าใจแล้ว”เธอรับคำและกระโดดกอดกรินอีกรอบก่อนร่างของเธอจะหายวับไปในพริบตา

“ที่เจ้าเห็น นั่นคือมนตราเคลื่อนย้ายพริบตาของนาง น่าจะคล้ายกับมนตราของหญิงสาวที่เจ้าเล่าให้ข้าฟัง”กรินพูดพลางเดินนำเข้าไปในอาคาร ที่นั่นเขาพบเมดินกำลังยืนนิ่งคล้ายรออยู่

“เหมือนว่าข้าจะได้ยินเสียงขององค์หญิงกิรานา”

“ถ้าเจ้าเห็น จงบอกว่าเจ้าเห็น”กรินพูดตอบกลับไป เมดินจึงไม่เยิ่นเย้อที่จะถามต่อ

“เกิดอะไรขึ้น”

“นางเห็นนิมิตที่ไม่ดีนัก นางเห็นว่าข้าและนางต้องตาย”กรินพูดต่อเมื่อเห็นว่าญาติผู้พี่ยังนิ่งฟังอย่างรอคอย

“เหตุการณ์เป็นเช่นไร นางได้บอกหรือเปล่า”

“แค่นี้นางก็แตกตื่นพอแล้ว จะให้ข้าคาดคั้นนางอีกหรือ อีกอย่าง นั่นคืออนาคต ข้าจะไม่ปล่อยให้เหตุการณ์นั้นเกิดขึ้น”กรินพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น ชวิศายืนฟังอยู่ไม่ห่างเขาจึงเข้าไปคว้าจับชายแขนเสื้อของกรินไว้ กระตุกดึงให้ทั้งสองคนหันมามองตน

“ถ้าอยากให้ผมช่วยอะไร บอกได้เลยไม่ต้องเกรงใจ”คำพูดนั้นหมายถึง เขายินยอมให้กรินใช้พลังเวทของเขาได้อย่างเต็มที่


+++++โปรดติดตามตอนต่อไป+++++

เข้ามาเห็นชื่อเรื่องกะว่าขำๆ ฮาๆ เบาๆ อ่านไปชักยังไง  o22  ไม่มีคำบรรยาย พาออกทะเลทรายซะงั้น
แต่ก็นับถือผู้แต่งนะคะ มาแต่ละตอนนิเมื่อยตา ยอมรับเลยว่าเลิกอ่านไม่ได้ ถึงจะพาเครียดบ้างก็เถอะ  :katai3:
เป็นกำลังใจให้ค่ะ สู้ๆ  :L2:  รอดูความพยายามของชวิศาว่าจะกลับไปหาสุด(ฟ้า)ที่รักได้หรือเปล่า
 :L1:  :pig4:  :L1:

ขอบคุณคุณ suikajang สำหรับคอมเมนต์และการบอกว่าเลิกอ่านไม่ได้ค่ะ รู้สึกค่อยยังชั่วถ้านิยายเรื่องนี้จะไม่จบลงง่ายๆ
ส่วนเรื่องเครียดคิดเสียว่ามันเป็นสีสันของชีวิตละกันนะ เพราะตอนแรกเราก็จะเขียนขำๆฮาๆเหมือนกัน แต่คิดง่ายไปไง มันเลยไถล
สุดท้ายนี้ ถึงมีบางช่วงที่มันน่าเบื่อ (เราคิดว่ามีแน่ๆ ขนาดตอนเราเขียนยังอยากหลับเลย แต่เอาออกไม่ได้เพราะตัน คิดเหตุการณ์ย่อยไม่ค่อยออก) ก็ขอความกรุณานักอ่านทุกท่านช่วยติดตามนิยายเรื่องนี้ต่อไปด้วยนะคะ เปิดมาดูผ่านๆก็ได้ไม่ว่าอะไร รอไว้ให้ทีมฮากลับมารวมตัวกันอีกครั้ง รับรองว่า เรื่องจะกลับมาขำๆฮาๆอย่างเดิม แต่ฮาเท่าความสามารถของเราก็ยังไม่เท่าคนอื่นอยู่ดีละนะ อย่างไรก็แล้วแต่ จะพยายามจนสุดความสามารถค่ะ ไฟโตะ โอ้!!!!!!!!!!!!

ออฟไลน์ suikajang

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 813
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +23/-0
โห...ต้องลุ้นกันอีกนานเลยกว่าจะได้กลับ แต่จะเกิดอะไรขึ้นน่อ
แล้วทำไมกรินกะองค์หญิงต้องตายอ่ะ หรือมีคนหักหลัง จะเป็นยังไงต่อน๊า
 :L2:  :pig4:  :L2:

ออฟไลน์ A_bookworm

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 127
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +22/-0
กำลังสนุกเลย เป็นกำลังใจให้ไรเตอร์คะ  :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:

ออฟไลน์ ตีสี่

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 412
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-5
    • 61'
ตอนที่ยี่สิบเก้า


เมื่อชวิศามองกระดาษหลายแผ่นที่ถูกส่งมาให้แล้ว สีหน้าเหน็ดเหนื่อยของเขากลับปรากฏขึ้นมาโดยไม่ตั้งใจ

“เจ้าบอกว่าจะช่วยข้า แต่เจ้ายังไม่สามารถดูและปกป้องตัวเองได้ คงมีแต่เป็นตัวถ่วงให้ข้าเสียมากกว่า”กรินนั่งอยู่หลังโต๊ะทำงานของตน มีตะเกียงให้แสงสว่างสำหรับเขียนหนังสือตั้งอยู่ทางซ้ายมือ ท้องฟ้าด้านนอกที่มองผ่านหน้าต่างซึ่งเปิดกว้างเพื่อรับลมเป็นสีดำสนิท

“คุณกรินก็ใช้พลังของผมอย่างที่เคย”ชายหนุ่มร่างเล็กตอบเสียงอ่อย

“เฮ้อ”กรินถอนหายใจไม่คิดจะอธิบายอะไรเพิ่มเติม เขากับชวิศาไม่มีทางที่จะตัวติดกันได้ตลอด แต่ถ้าพูดไปเขากลัวจะโดนตอบกลับมาว่า ‘ผมจะเกาะคุณแน่นๆ’ เสียมากกว่าถึงได้เลี่ยงไปพูดเรื่องอื่น

“อย่างนั้นให้ไปท่องจำคาถาทีละบท”กรินดึงกระดาษกลับมา เลือกมนตราที่ชวิศาควรเรียนรู้ที่สุดก่อนเป็นอันดับแรก มนตราบทนั้นเป็นการใช้เวทเพื่อสร้างม่านพลังป้องกันตัว

“ท่องจำคาถาให้ขึ้นใจ”

ชวิศาพยักหน้ารับเดินไปนั่งที่ชุดเก้าอี้อีกตัวในห้องซึ่งเขายึดไปเป็นโต๊ะเขียนหนังสือของตัวเอง ก้มหน้าก้มตาอยู่กับแผ่นกระดาษและท่องคาถาหกคำซ้ำๆ กรินมองตามก่อนเหลียวมองนกสีขาวซึ่งเกาะอยู่บนขอบหน้าต่าง

“ซีไปนอนได้แล้ว”เขาเอ่ยปากไล่

“แต่ผมยังไม่ง่วง จะท่องคาถาให้จำได้ก่อนด้วย”

“เถอะน่า วันนี้เจ้าเหนื่อยมาทั้งวันแล้ว ท่องให้ตายก็จำไม่ได้หรอก”

ชวิศาหันมาเบะปากหน้างอง้ำ

“ถ้าเจ้าเชื่อข้าไปนอนแต่โดยดี พรุ่งนี้ข้าจะช่วยเจ้าฝึกให้สามารถใช้คาถานั้นก่อนอาทิตย์ตกดิน”

“จริงเหรอ”คนฟังออกอาการตื่นเต้นยินดีขึ้นมาทันที เขาลุกขึ้นรีบวิ่งไปอีกห้องโดยไม่ต้องให้เอ่ยซ้ำ คล้อยหลังชวิศา นกน้อยตัวสีขาวได้บินเข้ามาในห้อง จากนั้นร่างของมันก็แปรเปลี่ยนเป็นหญิงสาวในชุดนอนซึ่งเป็นชุดกระโปรงผ้าโปร่งบาง

“ทำไมเขามาอยู่ในห้องของท่าน”

“หลายเหตุผล ว่าแต่ท่านเถอะมีธุระอะไรหรือเปล่า”

“ข้าคิดถึงท่าน”กิรานากล่าวอย่างไม่ลังเลพลางเดินมาทรุดตัวลงนั่งบนตักของชายหนุ่ม เธอกอดเขาไว้เพื่อบ่งบอกว่าคิดถึงอย่างที่ปากว่า

“ท่านออกมาเช่นนี้ไม่กลัวนางข้าหลวงจะตามหาหรือ”

“ข้าแสร้งว่าเข้านอนแล้ว”เธอตอบ “เหมือนท่านจะไม่ดีใจที่ข้ามาหา ที่ท่านให้มนตราบทนี้แก่ข้าก็เพื่อการนี้ไม่ใช่หรือ”

“ข้าต้องการให้ท่านใช้มนตราบทนี้เพื่อหลบหนีหากเกิดอันตรายต่อตัวท่าน”

“ข้าไม่ควรมา”เธอกล่าวด้วยท่าทางซึมเซา และแม้ว่ากรินจะรู้ว่าหญิงสาวแกล้งแสดงออกเช่นนั้นเพื่อให้เขาพูดเอาใจ ชายหนุ่มก็ยังทำอย่างที่เธอปรารถนาอยู่ดี

“ไม่เลยที่รัก ข้าดีใจที่เห็นท่าน แต่ข้าไม่อยากให้ใครรู้ว่าท่านใช้เวทคาถานี้ได้”เขาโอบประคองเธอไว้ ยกหลังมือเกลี่ยผิวแก้มเนียนนุ่มของหญิงสาวด้วยกิริยาอ่อนโยน

“ข้าจะระวัง”กิรานารับปาก ก่อนจะแนบศีรษะกับลาดไหล่ ฝ่ามือบอบบางของเธอไม่อยู่สุขด้วยพยายามระรานแผ่นอกตึงแน่นของเขาหวังปลุกปั่นอารมณ์ของชายหนุ่ม เธอปรารถนาในตัวเขาด้วยความรักอันเปี่ยมล้น ยิ่งได้เห็นนิมิตอันเป็นลางร้าย เธอยิ่งอยากสานสัมพันธ์กับหนุ่มคนรักด้วยกลัวว่าทั้งเขาและเธออาจจะไม่มีชีวิตอยู่ถึงวันที่ได้ครองคู่

ธรรมเนียมของอาณาจักรฮัชดาลลาร์อนุญาตให้ชายหญิงแต่งงานได้เพียงครั้งเดียว ห้ามมิให้มีการเลิกราดังนั้นกว่าคู่รักหญิงชายบางคู่จะแต่งงานกันก็ต่อเมื่ออายุร่วมสี่สิบถึงห้าสิบปี เหตุเพราะผู้คนในเมืองล้วนอายุยืนยาว หากเลือกคู่ครองผิดชีวิตจะต้องทนทุกข์ไปตราบสิ้นลมหายใจ

เธอประคองใบหน้าของเขาไว้และแนบจุมพิตด้วยความสิเน่หา เรียกร้องให้เขาตอบสนอง

“เราไม่ควรทำเช่นนี้”ชายหนุ่มรั้งร่างเธอออกห่างพลางเอ่ยห้ามปรามเธอไว้

“เช่นนั้นแต่งกับข้า ไม่ต้องรอสิ่งใดอีกแล้ว”

“ท่านก็รู้ เหตุที่ข้าทำดังเช่นท่านต้องการไม่ได้เพราะสิ่งใด”กรินอ้างเหตุผลที่เขาเคยบอกแก่เธอไปก่อนหน้า

“ข้ากลัว หากความตายมาเยือนจริงๆ เราทั้งสองต้องพลัดพรากชั่วนิรันดร์”อีกความเชื่อหนึ่งของชาวเมืองคือ หากชีวิตสูญสลายร่างกายจะกลับสู่ดิน ดวงจิตจะแตกสลายเพื่อกลายเป็นส่วนหนึ่งของอากาศธาตุ

“ท่านไม่ต้องกังวล ข้าจะไม่ให้เรื่องแบบนั้นเกิดขึ้น”เขาย้ำคำพูดที่เคยสัญญาไว้ ทว่าเธอยังรบเร้าเรื่องการสมรสอีกรอบ ที่กิรานากังวลเพราะทุกนิมิตที่เธอเคยทำนายล้วนเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริงไม่อาจแปรเปลี่ยนราวกับเหตุการณ์นั้นๆได้ถูกกำหนดไว้แล้ว

กรินโอบกอดหญิงสาวไว้ ลูบหลังปลอบโยนพลางใช้ข้อนิ้วเช็ดน้ำตาให้เธอ

ความจริงเขาอยากรู้เหตุการณ์ให้ละเอียดมากขึ้น ติดเพียงภาพนิมิตของอนาคตที่หญิงสาวเห็นในการทำนายไม่อาจเรียงร้อยให้ปะติดปะต่อ มันเป็นเพียงเหตุการณ์สำคัญในชีวิตคนผู้หนึ่งแต่เขาเชื่อว่าอนาคตย่อมเปลี่ยนแปลงได้

กิรานาไม่ยอมกลับที่พัก เธอเอาแต่เกาะกอดเขาไว้แน่นจนเขาต้องพาเธอมานอนเตียงเดียวกัน และกอดก่ายปลุกปลอบหญิงไปตลอดคืน



กรินตัดสินใจออกเดินทางตามหาพยัคฆ์เจ้าป่าเร็วกว่ากำหนดการเดิม เขาขอระงับการเป็นผู้สั่งสอนกับเมดินเมื่อสิ้นสุดเดือนและออกเดินทางทันทีเมื่อการสอบประเมินผลจบลง เหตุที่เขาต้องการตามหาพยัคฆ์เจ้าป่าเพราะมีเวทผนึกบทหนึ่งที่สามารถผนึกพลังของสิ่งมีชีวิตและดึงออกมาใช้ยามที่ผู้ถือครองต้องการได้ เขาต้องการให้ตนสามารถใช้เวทมนตร์ได้ เพื่อลบข้อด้อยหนึ่งเดียวที่ตนมี

เขาแจ้งบิดาก่อนออกจากบ้านเพราะเหตุนั้นยามบ่ายที่เดินทางออกจากเมืองจึงมีชวิศาเดินตามมาด้วย

“ถ้าเจ้าอยู่ในเมืองจะปลอดภัยมากกว่า”เขาหยุดยืนหันไปเผชิญหน้ากับชายหนุ่มร่างเล็ก กอดอกมองด้วยความไม่พอใจ

“ผมรู้ แต่อยู่ในเมืองผมไม่รู้จักใคร”

“เจ้ารู้จักเมดิน เจ้ารู้จักครอบครัวข้า และข้าก็เห็นว่าเจ้าดูสนิทสนมกับสิตาเป็นอย่างดี”

สิตาเป็นหญิงรับใช้ที่คอยดูแลทำความสะอาดห้องของกรินซึ่งชวิศาเคยเจอเมื่อวันแรกที่มาถึงคฤหาสน์ ด้วยความที่เธอถูกมอบหมายให้ดูแลความเป็นอยู่คุณชายลำดับที่ห้าของบ้าน ชายหนุ่มจึงได้คุยกับเธอบ่อยๆไปโดยปริยาย นอกจากนี้เขายังรู้จักเด็กๆในชั้นเรียนขั้นต้นอีกหลายคน เพียงแต่

“มันไม่เหมือนกัน”

ชายหนุ่มเหมือนเพิ่งรู้สึกว่าตนเองไม่ถนัดการเข้าสังคมใหม่ๆ แต่เขาคิดว่าเพราะนี้คือฮัชดาลลาร์ที่เขาไม่รู้จักซึ่งเป็นอีกหนึ่งเหตุผล พอสำนึกได้ว่าที่นี่ไม่มีพี่โยเขาจึงหวั่นประหม่าไปหมด

“ผมจะดูแลตัวเอง ไม่ต้องให้คุณมาลำบาก”ชวิศาบอกอย่างกระตือรือร้น ทว่าทันทีที่คำพูดของตนจบประโยคกลับต้องร้องโอยและยกมือลูบหน้าผากป้อยๆ

“ดูแลตัวเองอะไร แค่ข้าดีดก้อนหินใส่เจ้า เจ้ายังไม่สามารถหลบหลีกหรือป้องกันได้”

“ก็ผมยังไม่ทันระวังตัว”

“ก่อนที่อันตรายจะถึงตัวเจ้า จะให้มันร้องบอกให้เจ้าระวังตัวหรือ”กรินตอกกลับทันควัน “หรือเจ้าไม่อยากกลับบ้านแล้ว ถึงได้คิดจะเอาชีวิตไปทิ้งไว้นอกเมือง”

ชวิศาหน้างอ ก้มหน้าเบะปากเตรียมจะร้องไห้อีกแล้ว กระนั้นกรินกลับไม่ใจอ่อนง่ายๆ

“กลับไปซะ”กรินพูด จากนั้นจึงหันหลังให้กระโจนขึ้นต้นไม้ กระโดดอีกไม่กี่ทีร่างของเขาก็พลันหายลับไปจากสายตาของชวิศาแล้ว

กรินไม่ได้ใช้มนตราแต่เพราะเขามีกำลังกายแข็งแกร่ง ซึ่งเมื่อเทียบกับผู้ใช้เวทเสริมพลังแล้วอาจจะอ่อนด้อยกว่าเล็กน้อย กระนั้นผู้คนในเมืองหลวงต่างยกย่องให้เขาเป็นนักดาบที่เก่งกาจที่สุด

“คุณกริน”คนที่ถูกทิ้งตะโกนร้องเรียก ไม่รู้ว่าในเหตุการณ์เช่นนี้คนอื่นจะคิดตัดสินใจเช่นไร แต่ชวิศาออกวิ่งติดตามไปยังทิศทางที่กรินหายไปอย่างไม่ลังเล ถึงกระนั้นร่องรอยของกรินกลับหายไปอย่างรวดเร็ว พื้นที่รอบด้านมีแต่ต้นไม้สูงใหญ่ ชายป่าติดเขตเมืองเป็นป่าโปร่งซึ่งมีผู้คนเข้ามาหาของป่า หรือฝึกการใช้มนตราอยู่เป็นนิจ บนพื้นดินบางจุดจึงเห็นเป็นรอยทางเดินที่มีการย่ำซ้ำอยู่เป็นประจำ แต่ทิศทางที่กรินผลุบหายไปกลับไม่ใช่เส้นทางที่ผู้คนต่างใช้กัน

ชวิศานั่งลงกับพื้นรื้อเอากระดาษซึ่งกรินจดระเบียนเวทให้ไว้ตนฝึกออกมาดู

นับตั้งแต่ได้ยินกรินพูดเรื่องจะเดินทางเข้าป่าบนโต๊ะอาหาร ชวิศาก็แน่ใจว่าคงจะถูกทิ้งไว้ที่นี่คนเดียวแน่ ไม่อย่างนั้นกรินคงบอกให้เขาเก็บข้าวของแล้ว เขาจึงแอบกลับคฤหาสน์ในตอนที่กรินต้องควบคุมดูแลการประเมินผล เก็บของใช้ที่จำเป็นใส่ห่อผ้าที่ขอร้องให้สิตาช่วยจัดเตรียม และมายืนดักรอกรินอยู่ที่สำนักศึกษา ตอนนั้นชายหนุ่มยังคิดในใจว่าตนช่างฉลาดหลักแหลม เพราะถ้าไปรอที่อื่นกรินอาจจะใช้มนตราเดียวกับที่พาเขาเข้าเมือง เหาะออกนอกเมืองไปก็ได้ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าสงสารเสียจริงที่ชวิศาลืมไปว่า กรินไม่สามารถใช้มนตรานั้นด้วยตัวเองได้

ชายหนุ่มอ่านชื่อมนตราในกระดาษอย่างตั้งใจ

“อันนี้”เขาวางกระดาษแผ่นนั้นไว้ต่างหาก ก่อนจะหันมาเก็บของอื่นที่รื้อออกมาจากห่อผ้าใส่เข้าไป แม้จะเสียเวลาไปไม่น้อยแต่เขาก็สามารถผูกห่อผ้ากลับมาเหมือนเดิมอย่างที่สิตาทำให้ได้สำเร็จ ชวิศาอยากได้กระเป๋าเป้แต่กระเป๋าที่เขาอยากได้กลับไม่ยอมปรากฏขึ้นในมือเหมือนปากกาที่เขาบังเอิญเรียกออกมาได้ ซึ่งถ้ากรินรู้ความต้องการที่ไม่ประสบผลสำเร็จของชวิศา ข้อสงสัยที่เคยมีเกี่ยวกับพลังเวทในการสร้างปากกาจะกระจ่าง ชวิศาไม่ได้สร้างสิ่งของขึ้นใหม่ เขาเพียงหยิบยืมเคลื่อนย้ายมันมาจากที่อื่นและตอนนี้เขาทำได้เฉพาะของชิ้นเล็กๆเท่านั้น

มนตราบทนั้นเป็นหนึ่งในคาถาสอดแนมที่กรินต้องการให้ชวิศาฝึก ถูกเรียกว่ามนตราดวงเนตรโยฮาน่า รายละเอียดบนกระดาษเขียนว่า จะทำให้ผู้ใช้สามารถมองเห็นพื้นที่รอบตัวได้หนึ่งโยฮาน่าหรือเท่ากับระยะทางประมาณเจ็ดจุดสองกิโลเมตร แต่ขณะนั้นชวิศายังไม่รู้ว่าหนึ่งโยฮาน่ามีระยะทางเท่าใด

“ดาทูวานาคารา ดาทูราซาวานิ”เนื่องจากโดนเคี่ยวเข็ญซ้ำๆ ในช่วงสี่ห้าวันที่ผ่านมา ชวิศาจึงอ่านระเบียนเวทคล่องขึ้นอีกนิดกระนั้นการที่จะให้เขาเรียกใช้เวทสำเร็จในครั้งแรกที่ร่ายคาถาเลยก็ยังเป็นไปได้ยากอยู่ดี

ชวิศาพ่นลมหายใจด้วยความหงุดหงิดก่อนจะเริ่มกล่าวคาถาใหม่อีกครั้ง ทว่ายิ่งหงุดหงิดเขาก็ยิ่งไม่สามารถดึงพลังออกมาใช้ได้อย่างที่ต้องการ จังหวะเดียวกันนั้น นกน้อยซึ่งเป็นกระดาษคาถาของกรินได้บินมาถึง มันพุ่งเข้าชนร่างของชวิศา

“กลับไปได้แล้ว”นกตัวนั้นสลายไปพร้อมกับเสียงของกริน แต่สิ่งที่กรินไม่รู้คือบางครั้งชวิศาก็ดื้อดึงและรั้นจะทำให้ได้จนคนเป็นพี่ชายอย่างโยธินยังต้องกุมขมับ

ชายหนุ่มขมวดคิ้วหน้างอหงิกอย่างไม่สบอารมณ์ เขาแกะห่อผ้าอีกครั้งเพื่อเก็บกระดาษในมือแล้วลุกขึ้นยืน เดินตรงไปข้างหน้าทั้งที่ไม่รู้จุดหมายปลายทาง กล่าวคาถาสร้างอาวุธจากพลังเวทซึ่งมีลักษณะเป็นดาบยาว มนตราดังกล่าวเป็นผลการจากเคี่ยวกรำอย่างหนักของกรินด้วยเช่นกัน ชวิศาใช้ดาบในมือฟันต้นไม้ใบหญ้าที่ขึ้นรกครึ้มขวางทาง ทันทีที่ต้นหญ้าเหล่านั้นโดนปลายดาบของชวิศา มันได้ขาดแยกออกจากลำต้นพร้อมกับรอยไหม้ตรงส่วนที่สัมผัสดาบหายไปอีกหลายเซนติเมตร เพราะดาบนั้นสร้างขึ้นด้วยพลังธาตุไฟเสริมคุณสมบัติความแข็งแรงคมกริบด้วยพลังธาตุโลหะ เป็นการใช้พลังที่เสียเปล่าอย่างที่กรินต้องส่ายศีรษะด้วยความอ่อนใจ

ใช่แล้ว! กรินไม่ได้หายไปไหน เขาไม่ได้เดินทางล่วงหน้าแล้วทิ้งชวิศาไว้ เขาเพียงแค่ทำเหมือนทิ้งชายหนุ่มร่างเล็กเพื่อให้เจ้าตัวใจเสียจนต้องเดินทางกลับเข้าเมือง แต่ที่ไหนได้ เจ้าตัวกับดันทุรังยิ่งกว่าเดิมถึงกระนั้นกรินก็ยังคงตามดูเงียบๆไม่คิดจะออกไปปรากฏตัวให้เห็น

ระหว่างทาง ชวิศาได้กล่าวคาถาดวงตาโยฮาน่าไปพร้อมกันด้วย จนกระทั่งการร่ายคาถาผ่านไปหลายชั่วโมงมันก็สัมฤทธิผล กรินถึงขั้นต้องผงะถอยหลังอย่างเร่งรีบ เมื่อขอบข่ายรัศมีการใช้เวทแผ่พุ่งเข้ามาใกล้ เพียงแต่ผลสำเร็จของคาถายังไม่เสถียรพอ ความสามารถของมนตราจึงจางลงอย่างรวดเร็วทั้งยังทิ้งไอเวทให้มองเห็น

“คุณกริน”ชวิศาตะโกนร้องเรียกออกมาอีกครั้ง ความดังของเสียงทำให้สัตว์ตัวเล็กๆที่อาศัยอยู่แถบนั้นแตกตื่น

“คุณกริน”คนเรียกยังร้องตะโกนต่อไปอย่างไม่ยอมแพ้ แต่ยอมแพ้เรื่องการใช้มนตราไปเสียแล้ว

“หิวแล้วนะออกมาเดี๋ยวนี้”เสียงตะโกนนั้นดังก้องไปทั่ว เสียงนั้นไม่เพียงรบกวนสำเนียงแห่งป่าแต่มันได้ดึงดูดสัตว์ร้ายล่าเนื้อแถวนั้นออกมาด้วย

เสียงสวบสาบของฝีเท้าสัตว์ก้าวเข้ามาใกล้อย่างที่ชายหนุ่มไม่รู้ตัว เขายังส่งเสียงตะโกนสลับกับการร่ายคาถามั่วไปหมด ชวิศาหันหลังกลับเพราะเสียงขู่กรรโชกโฮกฮากที่ดังขึ้น จึงได้เห็นเสือลายพาดกลอนตัวใหญ่กระโจนเข้าหากางกรงเล็บหมายจะขย้ำเหยื่อ ด้วยความตกใจเขาจึงวาดดาบขึ้นป้องกัน พลังเวทของดาบรุนแรงถึงขนาดที่ทำให้เสือตัวนั้นทรุดล้มนอนแน่นิ่ง ชวิศาไม่รั้งรอดูสภาพของสัตว์ร้าย เขายกเท้าวิ่งหนีอย่างไม่คิดชีวิต ทิศทางเดินที่เคยสะเปะสะปะอยู่แล้วยิ่งมั่วซั่วมากขึ้นไปกว่าเดิม กรินกลัวว่าพวกเขาจะหลงทางลึกเข้าไปจนหาทางออกไม่ได้ เขาจึงรีบไปดักหน้าชวิศาไว้

การปรากฏตัวอย่างกะทันหันของกรินทำให้ชวิศาตกใจ เขาหลับตาปี๋ ใช้มือที่กระชับดาบไว้แน่จึงฟาดฟันออกไปไม่ยั้ง กรินเอียงตัวหลบหลีกก่อนจะเห็นช่วงจังหวะช่องโหว่จึงเตะปลายเท้าเข้าที่ข้อมือของชวิศา เมื่อดาบหลุดมือ เจ้าของดาบเวทถึงได้ลืมตาและเหมือนมีสติรู้ตัวขึ้นมาบ้าง

“คุณกริน”ชวิศาร้องเรียกพร้อมวิ่งเข้าไปกอดอย่างดีใจ จากนั้นจึงพร่ำฟ้องเรื่องเสือเป็นการใหญ่

“เจ้าใช้ดาบฟันมันจนตายแล้วยังจะวิ่งหนีอีก”

“ตาย? จริงเหรอ”พอได้ยินเช่นนั้นเขากลับรู้สึกสงสารขึ้นมา

“ไม่รู้สิ อาจจะ... แต่ข้าเห็นมันล้มลง”เขาพูดพลางเดินนำกลับไปยังจุดที่มีร่างเสือโคร่งตัวใหญ่ล้มอยู่ “ถ้าเจ้ามีสติ ใช้มนตรากำแพงเวทก็ไม่เห็นจำเป็นต้องวิ่งให้เหนื่อยแรง”

“ตอนนั้นผมลืม”ชายหนุ่มสารภาพเสียงอ่อย

“แล้วจะให้ข้าพาเจ้าไปด้วย หากเกิดเหตุร้ายเช่นนี้ข้าไม่ต้องตามหาเจ้าจนเหนื่อยหรือ อีกอย่างข้าไม่มีพลังมนตราไว้คอยตามหายามที่เจ้าหลงทางหรอกนะ”

“ผมขอโทษครับ ครั้งหน้าผมจะปรับปรุงตัว”

ได้ยินคำพูดของชวิศาแล้ว คิ้วของกรินถึงขั้นขมวดเป็นปม เพราะคำพูดนั้นตีความได้ว่า ไม่ว่าอย่างไรชวิศาก็จะตามเขาไปอยู่ดี

“เจ้ามันช่างดื้อรั้น”

“ขอบคุณที่ชมครับ”

“ข้าไม่ได้ชม!!!”

“อ้าวเหรอ”สีหน้าของชวิศาเหลอหลาจนเหมือนไม่ได้แกล้งจริงๆ

เดินกลับมาเป็นระยะทางไม่นาน พวกเขาสองคนพบว่าเสือตัวนั้นยังคงนอนอยู่ที่เดิมเพราะบาดแผลบนตัวยาวเป็นทางกว้างอย่างน่ากลัว

“คุณกริน รักษามันได้ไหม”ชวิศาถามหน้าเสีย

เจ้าเสือร้ายตัวนั้นมันยังไม่ตายแต่ลมหายใจรวยริน กรินไม่ตอบเพียงแต่ทรุดตัวลงนั่งพร้อมทั้งแบมือให้ชายหนุ่มร่างเล็ก ชวิศาวางฝ่ามือของตนลงไปทันที ชั่วพริบตาหนึ่งแสงเรืองรองสีสันสดใสก็ปรากฏที่มืออีกข้างของกริน เขาอังมือกับรอยดาบเป็นทางยาว ใช้เวลาอีกชั่วอึดใจแผลนั้นก็หายสนิท กรินใช้อีกคาถาหนึ่งเพื่อสะกดให้เสือตัวนั้นสิ้นสติก่อนจะสลายเวทที่ใช้

ชายหนุ่มร่างสูงลุกขึ้นยืน ดึงอัญมณีสีนิลออกมาจากช่องว่างมิติ นำอัญมณีทั้งห้าวางรอบตัวเสือตัวนั้น จากนั้นทรุดตัวลงนั่งเพื่อเขียนอักขระคาถา

“นี่ใช่พยัคฆ์เจ้าป่าหรือเปล่า”ชวิศาเอ่ยถาม เพราะเขาสังเกตเห็นว่าตัวของมันใหญ่มากถ้ามันยืนคงสูงเท่าอกของเขา ชวิศาขยับถอยหลังเมื่อตำแหน่งที่ตนยืนอยู่กำลังขวางทางกริน หลังจากขยับเท้าห่างออกไปอีกนิดเขาจึงทรุดตัวนั่งยองๆและเท้าคางมองกรินซึ่งกำลังเขียนอักษรเวทมากมายบนพื้น

“ไม่ใช่หรอก ผู้คนเล่าว่าพยัคฆ์เจ้าป่าสูงถึงสองมานา  มีขนสีขาวปลอดไม่แต้มสีอื่นใด”

ถึงชวิศาจะไม่เข้าใจว่า เสือตัวนั้นมีขนาดใหญ่แค่ไหนแต่พอได้ยินว่ามีสีขาว เขาจึงอยากเห็นสักครั้ง

“แล้วคุณตามหามันทำไม คุณจะฆ่ามันหรือเปล่า”ชวิศาออกปากถามอีกครั้ง กระนั้นกลับไม่มีคำตอบส่งกลับมาจากกริน ในเมื่อเจ้าตัวเขียนอักขระเสร็จแล้ว เขาหยิบกระดาษเปล่าสำหรับเขียนคาถาขึ้นมาอีกใบวางบนพื้นทับเส้นวงแหวนเวท พลางดึงมีดสั้นที่แนบอยู่เอวนำมาปาดปลายนิ้วให้เลือดรินไหลและใช้เลือดนั้นเขียนอักขระบนกระดาษ ทันทีที่เขียนจบ สายลมรุนแรงได้พัดหมุนวนอยู่ในขอบเขตของวงแหวนอักขระเวทนั้น มองคล้ายภายในเครื่องปั่นผักผลไม้ในความคิดของชวิศา ใช้เวลาอยู่พักใหญ่กว่าพายุหมุนขนาดย่อมจะหายไป ทั้งร่างใหญ่ของเจ้าเสือโคร่งตัวนั้นก็หายไปด้วย เหลือเพียงอัญมณีสีแดงลอยนิ่งอยู่กลางอากาศ แต่เมื่อพิจารณาดูให้ดีอัญมณีชิ้นนั้นภายนอกมีลักษณะเป็นแก้วใสหากแต่ภายในมีไอควันสีแดงลอยวนเวียนอ้อยอิ่ง

กรินมีสีหน้ายินดี

ชายหนุ่มยื่นมือออกไปหยิบอัญมณีชิ้นดังกล่าว เมื่อกำมันไว้ในมือกลับปรากฏเป็นดาบด้ามยาวภายในพริบตา จากนั้นจึงทดลองเหวี่ยงครั้งหนึ่ง ผลออกมาว่าต้นไม้ใหญ่ถูกความคมของดาบฟันขาดโค่นล้มไปหลายต้น

ชวิศามองดูด้วยความตื่นตาเพราะเริ่มฉุกคิดได้ว่า แต่ก่อนกรินใช้เวทมนตร์ไม่ได้ ทว่าวินาทีต่อมาร่างของกรินกลับหายไปจากครรลองสายตาอีกแล้ว ชายหนุ่มจึงลุกขึ้นยืนด้วยความตระหนกเพราะกลัวว่าจะโดนทิ้งอีกรอบ

“คุณกริน”

สิ้นสุดเสียงเรียก เจ้าของชื่อกลับปรากฏตัวให้เห็นในตำแหน่งที่ไกลออกไป ชวิศาจึงพยายามวิ่งไปหาแต่ชายหนุ่มได้เคลื่อนย้ายร่างกายมาอยู่ตรงหน้าอย่างรวดเร็วจนเขาต้องชะงักด้วยความตกใจ

“จะส่งเสียงโวยวายเพื่อสิ่งใด”กรินพูดพร้อมกับเก็บอัญมณีไว้ในช่องว่างมิติ

“เดี๋ยวคุณทิ้งผมอีก และผมไม่กลับด้วย”ชายหนุ่มยืนยันเสียงหนักแน่น

“อืม”กรินพยักหน้ารับ เขาหมุนตัวและก้าวเท้าเดินนำให้ชวิศาต้องรีบสาวเท้า วิ่งมาล้อมหน้าล้อมหลังพลางเอ่ยถามด้วยความแปลกใจระคนยินดี

“คุณยอมให้ผมไปด้วยแล้วเหรอ”

“ใช่ พลังของเจ้ามีประโยชน์”คนตอบบอกเช่นนั้นแต่สีหน้าคล้ายจำใจเต็มทน “และข้าจะเคี่ยวเข็ญให้เจ้าใช้มนตราเวทให้คล่องก่อนที่พวกเราจะกลับเข้าเมืองไปครั้งหน้า”

“เย้! ได้เลยผมจะตั้งใจเต็มที่”ชวิศาร้องบอกชูสองแขนด้วยความดีใจพร้อมกับรับปากเป็นมั่นเป็นเหมาะ ก่อนจะต้องร้องโอดโอยออกมาและเอ่ยปากถามด้วยอารมณ์ขุ่นเคือง

“คุณกรินทำอะไรน่ะ ผมเจ็บนะ”

“ข้าพอใจก็ดีดหินใส่เจ้า นึกเบื่อก็จะดีดหินใส่เจ้า เจ้าไม่มีปัญญาจะหลบเองมันก็เรื่องของเจ้า”

“มันใช่เรื่องไหมที่ต้องมาแกล้งกันอย่างนี้”

“ถ้าเจ้าอยากไปกับข้า เจ้าก็ต้องทน ถ้าไม่อยากเจ็บตัวเจ้าก็ต้องจัดการปัญหานี้เอาเอง”

คนอะไรมีนิสัยแบบนี้ ชวิศาฮึ่มๆอยู่ในใจ ให้จัดการปัญหานี้เอาเองเหรอ เขาไม่อยากใช้ความรุนแรงสยบปัญหาเท่าไหร่หรอกนะ แต่บางครั้งมันคงต้องสั่งสอนกันบ้าง ตัดสินใจได้เช่นนั้น ชวิศาจึงพุ่งเข้ากรินพร้อมวาดขาสูงโดยมีเป้าหมายอยู่ที่ก้านคอของชายหนุ่ม กะไว้ว่าทีเดียวให้สลบแล้วค่อยสั่งสอนด้วยคำพูดให้รู้สำนึกเมื่ออีกฝ่ายรู้สึกตัวขึ้นหลังจากนี้ แต่ที่ไหนได้ กรินโยกตัวทั้งที่ยังเดินหันหลังให้ หลังจากตั้งท่าได้ชวิศาจึงซัดทั้งมือทั้งลูกเตะไม่ยั้ง ทว่าคนถูกจู่โจมกลับไม่มีทีท่าสะทกสะท้าน เขาเพียงแค่เอนตัวหลบหมุนตัวกลับมาตั้งรับ ก่อนจะฉวยจังหวะจับข้อเท้าของชวิศาบิดพลิกพร้อมทั้งใช้อีกมือกดไหล่อีกฝ่ายลงกับพื้น และใช้น้ำหนักของทั้งร่างกดคู่ต่อสู้ไม่ให้ดิ้นหนี

“โอ๊ย ๆ ยอมแล้ว ๆ”ชวิศารีบร้องออกมาก่อนเข่าของกรินจะกดจนหลังของเขาทะลุ อีกฝ่ายจึงยอมลุกขึ้น

“ถ้าเจ้าอยากฝึกฝีมือข้าก็ไม่ว่า”กรินยิ้มอย่างเหนือกว่า ให้ชวิศาฉุนเฉียวและเคืองแค้น เขาไม่เคยรู้สึกว่าอยากเข้าคลาสออกกำลังกายของพี่โยมากเท่านี้มาก่อน

“โอ๊ย”เขาร้องพร้อมยกมือขึ้นกุมศีรษะ ลุกขึ้นยืนมาก็โดยกรินดีดอะไรสักอย่างใส่อีกแล้ว สงสัยต้องหาวัตถุปริศนาและแอบเอามันไปทิ้งก่อนล่ะมั้ง


+++++โปรดติดตามตอนต่อไป+++++


*// 2 มานา เท่ากับประมาณ 2 เมตรนะจ๊ะ ไม่ใช่หน่วยวัดพลังเวท
ส่วนอาทิตย์หน้าขออนุญาตงดลงนิยายเนื่องจากอยู่ในช่วงงานพิธีถวายพระเพลิงค่ะ
(แต่ก่อนหน้าที่เราหายไปแบบไม่แจ้งคือเราตันอะค่ะ เขียนไม่ออกกับขี้เกียจเขียน อิอิ อันนี้ต้องขออภัยจริงๆ)//*

ออฟไลน์ A_bookworm

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 127
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +22/-0
ปูเสื่อรอตอนต่อไป   :katai5: :katai5: :katai5: :katai5:

ออฟไลน์ ตีสี่

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 412
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-5
    • 61'
ตอนที่สามสิบ


กรินพาเขาเดินลึกเข้าไปในป่ามุ่งหน้าไปในทิศทางที่ห่างจากเส้นทางปกติของคนทั่วไป ระหว่างทางก็ให้เขาฝึกมนตราไปด้วยซึ่งกว่าชวิศาจะรู้ว่าต้องใช้คาถาบทไหน เขาต้องเจ็บตัวไปอีกหลายสิบหน

“วีราวานาโลฮา”

เกาะป้องกันปรากฏขึ้นก่อนที่ชวิศาจะกล่าวคาถาจบ ลูกหินที่กรินดีดใส่จึงแตกละเอียดเมื่อกระทบม่านพลังนั้น เขาพยักหน้ารับพร้อมกับปรบมือให้

“เยี่ยมมาก ในที่สุดเจ้าก็ทำได้”

คนที่ได้รับคำชมถึงกับทรุดตัวลงไปนอนแผ่ หน้าผากของเขาเจ็บจนชาแทบจะไม่มีความรู้สึกแต่เมื่อยกมือขึ้นไปแตะกลับรู้สึกเหมือนว่ามันจะนูนขึ้นมาเล็กน้อย ไม่ต้องพูดถึงความเจ็บปวดที่ได้รับยามที่เอามือไปโดน ที่สำคัญกรินไม่ยอมรักษาให้ ถ้าพรุ่งนี้เป็นรอยเขียวจ้ำขึ้นมาเขาจะโกรธ!!!

กรินทรุดตัวลงนั่งข้างๆ ก่อนจะแบมือออกมา “ข้าจะบอกคาถาสำหรับรักษา” ชวิศารีบวางมือของตนบนมือข้างนั้นของกรินทันที

“ข้าบอกครั้งเดียว ตั้งใจจำให้ดีล่ะ”

“เดี๋ยวๆ บอกครั้งเดียว! คุณก็รู้ว่าผมจำไม่ได้”คนพูดรีบเด้งตัวลุกขึ้นนั่ง ปลดห่อผ้าที่สะพายหลังออกมา ดึงเอาทั้งปากกาและกระดาษซึ่งด้านหนึ่งเป็นมนตราที่กรินเขียนไว้ออกมา พลิกด้านหลังที่เป็นหน้าว่างและส่งมันให้กริน

“เชิญเขียนเลยครับ”

ทว่าสิ่งที่ได้รับกลับมาเป็นอักขระระเบียนมนตรา

“ไหนบอกจะให้คาถา”ชวิศาโอดครวญ ถึงเขาจะถอดความระเบียนมนตราได้คล่องกว่าเดิมแต่ก็ไม่ใช่ว่ามองปุ๊บจะเข้าใจปั๊บเสียหน่อย ชวิศาตวัดสายตามองกรินด้วยอารมณ์คุกรุ่น

“เพราะเจ้ามัวแต่สนใจแค่คำคาถาน่ะสิ การใช้มนตราของเจ้าถึงได้ย่ำแย่นัก”

“อ้าว ก็คุณกรินเป็นคนบอกให้กล่าวคาถาเองนะ”ชวิศาเถียงอย่างไม่ยอมแพ้ ชายหนุ่มผู้พร่ำสอนเวทถึงถอนหายใจนิ่งเงียบไปชั่วครู่จึงกล่าวขึ้นมาอีกว่า “เจ้าว่าตัวเจ้ามีฝีมือด้านการทำอาหาร”

ชวิศาพยักหน้ารับแม้จะงุนงงที่กรินพูดนอกเรื่องอีกแล้ว

“หากข้าให้เจ้าทำอาหารตามสูตรที่มารดาข้าเขียนให้ เจ้าจะทำอาหารนั้นได้อร่อยหรือไม่”

“ถ้าสูตรของคุณแม่คุณอร่อย ผมก็ทำได้อร่อย”

“และถ้าเจ้าเติมเครื่องปรุงผิดไปจากที่ในสูตรบอกไว้ เจ้าคิดว่าอาหารที่เจ้าทำจะยังอร่อยหรือไม่”

“เอ... มันขึ้นอยู่กับปริมาณเครื่องปรุงที่ใส่ลงไป บอกไม่ได้หรอก”

“มนตราก็เช่นเดียวกัน อักขระบนระเบียนมนตราแสดงถึงการผสานธาตุ หากเจ้าไม่เข้าใจไม่จดจำ มนตรานั้นจะสัมฤทธิผลได้เช่นไร”

“อ้อ...”เออใช่ ชวิศาบอกกับตัวเอง ครั้งหนึ่งเขาก็เคยคิดว่าระเบียนมนตราก็เหมือนกับสูตรการทำอาหาร ที่บ่งบอกสัดส่วนการใช้พลังเวทแต่ละธาตุ แต่เพราะกรินมัวแต่ให้เขาจำคาถานั่นล่ะ เขาถึงลืมเรื่องนี้

“ก็คุณบอกให้จำคาถา”ชวิศายังย้ำคำนี้ให้กรินฟังอีกครั้ง

“ข้าไม่อยากโต้แย้งกับเจ้าเรื่องนี้”ชายหนุ่มตอบ “แต่ข้าเคยบอกเหตุผลไปแล้วว่าเหตุใดการท่องจำและกล่าวคาถาถึงมีประโยชน์ต่อการใช้มนตรา”

กรินเคยบอกว่าอะไรนะ ชวิศาพยายามนึก จะทำให้ใช้มนตราได้สัมฤทธิผลแน่นอนกว่าการไม่กล่าวคาถาหรือเปล่านะ

เห็นชวิศาหน้านิ่วคิ้วขมวดแล้ว กรินจึงอธิบายเกี่ยวกับคาถาให้ฟังอีกที

“คำคาถาจะทำให้สมาธิของเจ้าจดจ่ออยู่กับการนำพลังเวทออกมาใช้ คำคาถาทำให้เจ้ารู้ลำดับการใช้พลังธาตุ เจ้าเรียนมนตราขั้นพื้นฐาน ต้องฝึกการกล่าวคาถาพร้อมกับการดึงอำนาจพลังของธาตุนั้นๆออกมาใช้ซ้ำๆ ย่อมต้องสร้างความเคยชินให้ร่างกายของเจ้า คำคาถาในมนตราอื่นก็สร้างมาจากคำคาถาที่เจ้าได้เรียนในมนตราขั้นพื้นฐาน เพียงแต่การใช้อำนาจของพลังธาตุซับซ้อนขึ้นเท่านั้น”

ชวิศากะพริบตาปริบๆ ข้อความคำพูดของกรินผ่านหูไปราวกับมันเป็นภาษาต่างดาว และดูเหมือนว่ากรินก็จะรู้เช่นกัน

“เอาล่ะ”เขาจับมือของชวิศามาแบออก ให้ปากกาของเจ้าตัวมาเขียนวงกลมลงไป “ก่อนอื่น มนตราดวงเนตรโยฮาน่าใช้อำนาจพลังของธาตุใดบ้าง”

“ดาทูวานาคาลา ดาทูราซะวานิ เอ...”ชวิศาทวนคาถาแล้วยกมือขึ้นมานับพลังธาตุที่ใช้ “ดาทู... โลหะ วานา ไม้ คาลา ดิน โลหะ ราซะ ดิน วานิ ไม้ ใช้สามธาตุ โลหะ ไม้และดิน”

“อืม แล้วคุณสมบัติหลังของทั้งสามธาตุล่ะ”

“โลหะคือซ่อนเร้น ไม้ มุ่งสู่ด้านบน ดิน มุ่งสู่ศูนย์กลาง”

“ใช่ มนตรานี้เจ้าจะต้องส่งพลังเวทออกไปเพื่อตรวจตราพื้นที่โดยรอบ แต่เพื่อไม่ให้นักเวทคนอื่นที่สัมผัสพลังของเจ้ารู้ตัวว่ากำลังโดนจับตา ถึงต้องซ่อนพลังเวทด้วยอำนาจพลังธาตุโลหะ จุดสำคัญคือพลังธาตุโลหะ หากดึงอำนาจพลังออกมาใช้น้อยมนตราสอดแนมก็จะไม่ใช่มนตราสอดแนมอีกต่อไป”

“อืม”ชวิศาพยักหน้า

“เข้าใจจริงหรือเปล่า”

“เข้าใจ”ชายหนุ่มย้ำคำ

“เช่นนั้นลองทวนสิ”

“เอ่อ มนตรานี้เป็นมนตราสอดแนม แล้ว...ต้องไม่ให้คนอื่นรู้ แล้วก็...”ชวิศาจ้องหน้ากริน “ก็...”จ้องเขม็งจนกรินลุ้นตามไปด้วย

“ได้แค่นี้”คนพูดยิ้มแห้งๆด้วยอาการขวยเขิน กรินจึงพยักหน้าด้วยนึกปลง ผ่านการสอนมนตราอย่างคร่ำเคร่งให้ชวิศาไปสองบท เขาถึงทำใจเพิ่มได้มากขึ้น

“เช่นนั้นให้เจ้าสร้างมนตราขนาดเท่าวงกลมบนฝ่ามือ”

“ฮะ!!!”ชวิศาร้องอุทานพลางก้มลงมองมือตัวเอง รู้สึกเหมือนว่ากำลังเหงื่อตก

“เจ้าแตกตื่นไปไย เอ้า... ก่อนอื่นดึงพลังวัฏสูญสิ้นของพลังธาตุดิน”

ชวิศาทำตามที่กรินเอ่ยบอกพลางพึมพำคาถาตามไปด้วยความเคยชิน จากนั้นเป็นวัฏสร้างสรรค์ของพลังธาตุไม้

“ที่นี้ก็ผสานอำนาจพลังธาตุโลหะ”ผู้ที่เป็นอาจารย์เอ่ยบอก สายตามองดูผลลัพธ์เวทคาถาซึ่งกำลังปรากฏอยู่บนฝ่ามือของคนตรงหน้า

“ดึงพลังธาตุโลหะออกมาผสานเพิ่มขึ้นอีก เพิ่มอีก”เขาย้ำคำสุดท้ายจนไอเวทนั้นจางลงเรื่อยๆกระทั่งเป็นที่พอใจแล้วถึงได้บอกชวิศาให้ขยายอำนาจพลังของธาตุดินและธาตุไม้ออกไป และให้คงสัดส่วนอำนาจพลังของธาตุโลหะตามเวทที่ค่อยๆขยายขึ้น กระนั้นชวิศาขยายขอบเขตได้เพียงแค่พื้นที่รอบตัวเท่านั้น มนตราที่ใช้ก็จางหายไปดื้อๆพร้อมกับร่างของเขาที่ทรุดลงไปนอนแผ่อีกครั้ง

“หมดแรงแล้ว”

“น่าแปลก ทั้งที่พลังเวทของเจ้าแข็งแกร่งมาก เหตุใดจึงเหน็ดเหนื่อยหมดแรงง่ายนัก”กรินเอ่ยด้วยความสงสัย

“ไม่รู้อะ”ชวิศาได้แต่สั่นศีรษะให้กลับมาเป็นคำตอบ ก่อนจะยันตัวลุกขึ้นนั่งแล้วเอ่ยถามว่า “เออ ทำไมมนตราเมื่อกี้ที่คุณกรินบอกถึงได้ให้ใช้พลังธาตุดินก่อนล่ะ ในคาถาต้องใช้พลังธาตุโลหะก่อนนี่”

“เจ้าจะได้รู้ว่าต้องผสานพลังธาตุด้วยสัดส่วนเท่าใดมนตราบทนี้ถึงจะสัมฤทธิผล อีกอย่างการดึงพลังธาตุตามลำดับในคาถาจะทำให้มนตรามีประสิทธิภาพมากขึ้น”กรินพูดจากนั้นจึงลุกขึ้นยืน

“ไปกันเถอะ เราต้องหาที่นอนสำหรับคืนนี้กันแล้ว”



พวกเขาใช้เวลาเพียงสามสี่วันในการเดินทางตามรอยพยัคฆ์เจ้าป่า เพราะกรินใช้มนตราดวงเนตรโยฮาน่าในการตรวจสอบพื้นที่และทิศทาง และใช้มนตราเสริมพลังให้เดินทางเร็วขึ้น ชวิศาที่ยังไม่เคยใช้มนตราบทนี้ได้จึงใช้ได้คล่องไปโดยปริยาย

เมื่อมาถึงถิ่นอาศัยของพยัคฆ์ที่กำลังตามหา ผนึกดวงจิตที่ถูกสร้างจากเสือโคร่งซึ่งหวังจะขย้ำชวิศาก็เริ่มมีรอยแตกร้าวพร้อมกับแสงของพลังเวทเริ่มริบหรี่ลง กรินเก็บผนึกนั้นไว้ในช่องว่างมิติเช่นเดิมก่อนเริ่มลงมือตามรอยเจ้าป่าที่ทำให้เขาดั้นด้นมาไกลถึงเพียงนี้ และไม่จำเป็นต้องดิ้นรนมากมาย เมื่อพยัคฆ์ร้ายมาต้อนรับผู้มาเยือนถึงที่

“ดีเลยจะได้ไม่ต้องตามหา”กรินกล่าวขึ้นด้วยท่าทางมั่นอกมั่นใจ แต่ชวิศาเริ่มออกอาการขาสั่นเสียแล้ว พยัคฆ์เจ้าป่าของกรินมีขนาดใหญ่โตสูงท่วมหัว ลำตัวคล้ายเป็นสีขาวทั้งตัวแต่ยังมองเห็นลายคาดสีเทาจางๆ คำรามครั้งหนึ่งทำให้สัตว์อื่นแตกตื่นหลบหนีไปหลายกิโลเมตร

“ผมไม่ช่วยหรอกนะ”ชวิศาร้องตะโกนบอกออกไป แค่ก้าวเท้าหนียังทำได้ยากไม่ว่าอย่างไรเขาคงต้องขอผ่าน

กรินดึงเอาพลองยาวออกมาจากอัญมณีซึ่งบรรจุมนตราช่องว่างมิติ ก่อนจะตอบชวิศากลับไปว่า “เจ้าแค่ร่ายมนตรากำแพงคุ้มกายให้ดี หากท่านพยัคฆ์มุ่งหน้าไปเล่นงานเจ้า ข้าไม่มีปัญญาเข้าไปช่วยหรอกนะ” ไม่ต้องรอให้อีกฝ่ายพูดจบประโยค ชวิศาก็ร่ายมนตราที่ถูกกล่าวถึงอย่างรวดเร็ว

ชายหนุ่มผู้ริอ่านล่าจับพยัคฆ์ตัวใหญ่ยักษ์เป็นฝ่ายเริ่มเปิดศึกในครั้งนี้ก่อน เขาวิ่งและกระโดดขึ้นสูงอาศัยความเร็ววาดไม้พลองฟาดกลางกระหม่อมของสัตว์ร้ายเข้าจังๆ พลองนั้นเป็นเหล็กกล้าผลิตด้วยกรรมวิธีพิเศษเสริมด้วยอำนาจเวทน้ำหนักรวมหนึ่งตัน แม้ไม่อาจจะทำให้เสือยักษ์บาดเจ็บหนักแต่มันก็สะดุ้งสะเทือนไม่น้อย มันใช้อุ้งเท้าตะปบศัตรูแต่กรินกระโดดหนีได้โดยไม่มีอาการเพลี่ยงพล้ำ อุ้งเท้าใหญ่โตนั่นไม่ว่าจะฟาดเหวี่ยงไปทางไหนย่อมสร้างความเสียหายขึ้นทั้งนั้น ชวิศาจึงก้าวเท้าถอยหลัง หาที่หลบที่แข็งแรงทนทานมากกว่าม่านพลังเวทของตน ขณะมองดูกรินเหวี่ยงไม้พลองฟาดเจ้าเสือยักษ์ทางขวาทีทางซ้ายที บางครั้งก็เตะอัดจนร่างพยัคฆ์เจ้าป่าลอยลิ่วไปไกล

ชวิศารู้ว่ากรินเก่งแม้ไม่เคยเห็นฝีมือของอีกฝ่ายจะจะคาตา แต่เมื่อเห็นขนาดของเสือยักษ์ เขายังคิดอยู่ว่าท่าทางมั่นอกมั่นใจของกรินดูจะถือดีเกินไปสักหน่อย แต่มาถึงตอนนี้เริ่มรู้สึกว่าไม่ใช่เรื่องแปลกกับท่าทางที่ว่าเพราะกรินมีดีให้ถือมากมาย ขนาดไม่ได้ใช้เวทสักบทยังซัดพยัคฆ์เจ้าป่าให้นอนหมอบกับพื้นได้

แต่พยัคฆ์ร้ายใช่จะถูกโค่นลงง่ายๆ เมื่อมันรู้ว่ามนุษย์ตัวจ้อยมีฝีมือ มันจึงงัดอิทธิฤทธิ์ในตัวออกมาถล่มศัตรู เริ่มด้วยการพ่นลูกบอลเวทออกมาจากปาก ทว่ากรินกลับกระโดดหลบลูกไฟใหญ่ยักษ์อย่างง่ายดาย ชวิศาชมดูด้วยความตื่นตะลึง นึกเสียใจที่ไปหาเรื่องกรินเมื่อคราวก่อน

อุ้งเท้าใหญ่โตของพยัคฆ์เจ้าป่ามีความอันตรายมากกว่าเดิม เนื่องจากมันคลุมด้วยพลังเวทรางๆ มันยิ่งกว่ามีดที่คมกริบเพราะรัศมีการทำลายล้างกว้างขึ้น กรินหลบหลีกอุ้งเท้าของมันไปมาอย่างฉิวเฉียด ก่อนพยายามหาจังหวะวาดซัดข้างลำตัวของเจ้าสัตว์ร้าย กระนั้นไม้พลองอันทรงพลังของกรินกลับปะทะเข้ากับม่านพลังป้องกัน

“เทพเกินไปแล้ว”ชวิศาร้องอุทานออกมาเป็นภาษาไทย แม้แต่สัตว์ยังสร้างเกาะป้องกันจากพลังเวทได้ ถ้ากรินไม่พยายามเคี่ยวเข็ญให้เขาใช้มนตรากำแพงคุ้มกาย เขาคงห่วยกว่าเสือ

กรินกระโดดถอยออกมาตั้งหลัก จดจ้องเจ้าพยัคฆ์ร้ายราวกับพยายามประเมินท่าทีหาจังหวะ ก่อนที่มันจะเป็นฝ่ายบุกโจมตีก่อนบ้าง มันพ่นลูกไฟเวทใส่เขา แม้จะมีขนาดใหญ่แต่มันเชื่องช้าและเห็นชัดขนาดนี้ กรินจึงรู้สึกเหมือนเป็นของเด็กเล่นเสียมากกว่า

“เหวอ!!!”ชวิศาร้องเสียงหลง เมื่อไฟเวทของเจ้าพยัคฆ์พุ่งมายังทิศทางที่เขาหลบอยู่ เขายกมือขึ้นกันตามสัญชาตญาณ และแม้ว่ากรินจะได้ยินเสียงร้องแต่ไม่คิดจะเข้าไปช่วยเหลือ อย่างไรก็ตามพลังเวททำลายนั้นได้กระทบกับม่านพลังของชวิศาก่อนที่มันจะสลายหายไป เป็นอันว่าม่านพลังมนตราของเขาแข็งแรงกว่าก้อนหินด้านหน้าซึ่งกลายเป็นผุยผงไปแล้ว

กรินกระโดดเข้าหาเสือยักษ์อีกครั้ง มันอ้าปากพ่นลูกไฟใส่ กรินควงเหวี่ยงไม้พลองในมือฟาดลูกพลังกลับไปที่มันอีกครั้งทั้งที่ยังลอยตัวอยู่กลางอากาศ ที่อาวุธของเขาต้องลงอำนาจเวทไว้ก็เพื่อการนี้ หากต้องปะทะกับพลังเวท อาวุธในมือไม่ควรถูกทำลายลงง่ายๆ

บอลเวทถูกดีดคืนกลับไปหาผู้เป็นเจ้าของ พยัคฆ์เจ้าป่าสร้างเกราะป้องกันขึ้นมาเช่นกัน แต่ดูเหมือนว่าพลังป้องกันจะน้อยกว่าพลังทำลาย เกราะป้องกันจึงแตกสลายและมันถูกพลังของตัวเองเข้าอย่างจัง แม้พลังเวทนั้นจะถูกลดทอนลงแล้วก็ตาม สัตว์ยักษ์ยังคงล้มลงดูคล้ายเจ็บหนักอยู่ดี

กรินทั้งขำทั้งฉิว เพราะคิดว่าต้องฉะปะทะกันนานกว่านี้

เจ้าเสือตัวนั้นมันนอนหอบลมหายใจแผ่วอยู่กับพื้นทั้งยังส่งเสียงขู่ในลำคอไม่สร่างซา ชวิศาเห็นนัยน์ตามันพาให้นึกสงสารอีกแล้ว “คุณจะผนึกมันเหมือนที่ทำกับเสือตัวนั้นเหรอ”

กรินมองอีกฝ่ายด้วยความเฉื่อยชาราวกับรู้อยู่แล้วว่าบอลเวทจากพยัคฆ์เจ้าป่าไม่มีทางทำอะไรชวิศาได้

“อืม ข้ามาด้วยเหตุนั้น”

“น่าสงสาร”แต่ชวิศาไม่กล้าเดินเข้าไปใกล้เพราะกลัวว่ามันจะมีแรงยกอุ้งเท้าขึ้นมาตะปบศีรษะของตน

“ข้าไม่ได้ฆ่ามันเสียหน่อย”กรินดึงเอาผนึกดวงจิตชิ้นก่อนหน้าออกมา เขาหาพื้นเรียบเขียนวงแหวนเวทและวางผนึกจิตชิ้นนั้นลงไป จากนั้นจึงกวักมือเรียกชวิศา

“เจ้าเห็นสัญลักษณ์อักขระพลังธาตุไม้นั่นไหม”

ชวิศาพยักหน้ารับ

“ให้วางสองมือลงกับพื้นโดยมีอักขระธาตุไม้อยู่ระหว่างกลางของทั้งสองมือ”

ชวิศาทำตามอย่างว่าง่าย

“ทีนี้ตั้งสมาธิถ่ายเทพลังเวทให้ไหลวนย้อนวัฏจักรไปตามวงแหวนเวทบนพื้น”

วนย้อน... ชายหนุ่มพึมพำ

ชวิศายังไม่เคยเขียนวงแหวนเวท แต่เขาเรียนพื้นฐานเกี่ยวกับวัฏจักรในวงแหวนมาแล้ว การถ่ายเทพลังเวทให้วนย้อนก็เหมือนการลบล้างมนตราที่เคยใช้ นั่นคือ กรินกำลังจะชุบชีวิตเจ้าเสือตัวนั้นขึ้นมาใหม่ แต่ที่ชวิศาไม่รู้ เสือตัวนั้นถูกกรินดึงพลังเวทออกมาใช้จวนเจียนร่อแร่แล้ว ถ้าฟื้นขึ้นมาได้จริงๆ ก็คงอาการเพียบหนัก ทว่าเหตุการณ์กลับไม่เป็นดังที่กรินคาด ทันทีที่เสือตัวนั้นกลับมามีลมหายใจอีกครั้ง มันกลับมาแข็งแรงดุจเดิมด้วยเช่นกัน ด้วยเหตุนั้นมันจึงกระโจนเข้าหาพวกเขาทั้งคู่ดั่งเสืออาฆาต

ชวิศาผงะหงายหลังเรียกใช้มนตรากำแพงคุ้มกายด้วยความตกใจ ฝ่ายกรินเข้าถลาเข้าขวาง โบกฝ่ามือเข้ากกหูของเจ้าเสือโคร่งจนมันกระเด็นไปไกล เมื่อมันยันตัวลุกขึ้นได้จึงรีบหันหลังวิ่งหนีจนหางจุกตูด

พยัคฆ์ร่างใหญ่ยักษ์เห็นท่าไม่ดีที่จะอยู่ต่อกรกับมนุษย์ทั้งสอง เมื่อเรี่ยวแรงของมันกลับคืนมา มันจึงพยายามยันตัวลุกขึ้นด้วยเช่นกัน

“มันจะหนีแล้ว”ชวิศาร้องด้วยอารามตกใจทั้งที่ก่อนหน้ายังนึกสงสารมันอยู่หยกๆ

กรินประมาทที่ไม่ใช้เวททำให้มันสิ้นสติ เขาคว้ามือชวิศาก่อนจะกล่าวบอกขอใช้พลังพร้อมกางมือออกไปเบื้องหน้า ครู่หนึ่งต่อมา ดาบยาวซึ่งมีลักษณะเป็นแสงสีแดงจำนวนสามด้ามได้พุ่งปักลงตรงหน้าพยัคฆ์เจ้าป่า สัตว์ยักษ์ชะงักงันทันที จากนั้น เขาจึงสร้างดาบแบบเดียวกันนั้นปักกั้นการเคลื่อนที่ของพยัคฆ์รอบทิศทาง

“เจ้า... ไม่รู้สึกเหนื่อยล้าหมดแรงบ้างหรือ”กรินถามเพราะตนใช้พลังเวทของชวิศาสร้างของชิ้นใหญ่จำนวนมาก แถมดาบที่ใช้ทำกรงขังยังแฝงด้วยมนตราซับซ้อนที่ป้องกันไม่ใช้พยัคฆ์เจ้าป่าหนีไปง่ายๆ

“ไม่อะ เฉย ๆ ”

“น่าแปลกยิ่งนัก”เขาบ่นพึมพำด้วยความสงสัย เหตุใดยามที่ชวิศาใช้เวทระดับกลางกลับเหน็ดเหนื่อยง่ายดาย แต่เมื่อถึงคราวเขาดึงพลังออกมาใช้กลับไม่รู้สึกรู้สา

“เช่นนั้นเจ้าใช้มนตราโยฮาน่าหาพื้นที่โล่งว่างกว้าง ๆ ให้ข้าที”

“ได้เลย”ชายหนุ่มบอกอย่างแข็งขัน เขาแบมือออกมาเบื้องหน้า จ้องมองฝ่ามือตัวเองและค่อยๆเรียกพลังธาตุแต่ละชนิดออกมาอย่างที่กรินเคยสอน เขาขมวดคิ้วกัดฟันพยายามเบ่งพลังให้ขยายขอบเขตออกไป ออกไป ออกไปอีกเรื่อย ๆ ทว่าสุดความสามารถแล้วยังไม่พ้นระยะตำแหน่งที่กักขังพยัคฆ์เจ้าป่าเลยด้วยซ้ำ

“เจ้าปวดถ่ายหนักหรือเปล่า”กรินเอ่ยปากถามชวิศาที่หอบแฮก ๆ

“เปล่าครับ”ชวิศาสั่นศีรษะปฏิเสธพลางยกมือขึ้นปาดเหงื่อ

“แต่หน้าเจ้าเหมือนคนปวดหนัก”

ชวิศามองกรินด้วยความไม่เข้าใจ เขาไม่ได้ปวดท้องยังจะให้เขาปวดอยู่ได้ หรือกรินกำลังคิดอะไรเกินเลยกับเขา

“ไม่ได้นะ ผมมีคุณสุดฟ้าอยู่แล้ว ผมตอบรับความรู้สึกของคุณไม่ได้หรอก”ชายหนุ่มโบกมือปฏิเสธพัลวัน กรินถึงขั้นหัวเราะขึ้นจมูก

“เพ้อเจ้ออะไรของเจ้า”

“อ้าว!!!”

“ข้าว่าเจ้าเคร่งเครียดเกินไปยามที่ใช้มนตราโยฮาน่า”

“ง่ะ”ชวิศานิ่วหน้า ไม่ว่าเขาใช้มนตราบทไหนเขาก็เคร่งเครียดทั้งนั้นแหละ และเริ่มรู้สึกปวดท้องขึ้นมาจริงๆซะแล้ว “หิวข้าวแล้วง่ะ”

กรินส่งเสียงหัวเราะเบาๆ เขาเดินนำไปยังกรงขังชั่วคราวของเจ้าพยัคฆ์พร้อมกับแบมือมาตรงหน้าชวิศาซึ่งเจ้าตัวก็วางมือลงไปพลางเริ่มคิดว่าจะกินอะไรดี ตั้งแต่มาอยู่ที่นี่เขาแทบไม่ได้เข้าครัวเลยเพราะวันๆมัวแต่ฝึกเวทมนตร์ และเท่าที่เขารู้เครื่องปรุงบางอย่างก็ไม่มี จะมีแต่ของพื้นฐานอย่างเกลือกับน้ำผึ้งสำหรับปรุงรสหวานเค็ม

หลังสิ้นสุดการยืมใช้พลังของชวิศา กรินได้นำขนมปังออกมาให้รองท้องประทังความหิว

“ไม่มีให้เลือกหรือครับ”ชวิศาโอดครวญ

“ให้เลือกอะไร ถ้าเจ้ารีบหาพื้นที่กว้างๆให้เจอเร็วๆ ก็จะได้กลับบ้านกันเสียที ยามนั้นเจ้าจะเลือกกินสิ่งใดก็ตามใจเจ้า”

“คุณก็ใช้พลังของผมหาไปเลยดิ จะมารีรออะไร”

“แล้วที่ข้าคอยพร่ำสอนจะมีประโยชน์อันใด”

ชวิศาหน้างอ พูดบ่นขึ้นมาอีกว่า “ก็มันทำไม่ได้”

“เช่นนั้นหมายความว่า เจ้าจะไม่กลับบ้านเจ้าแล้ว”

ครั้งนี้คนฟังหน้าหงิกยิ่งไปกว่าเดิม ก่อนจะระบายลมหายใจที่แสนหงุดหงิดของตนออกมา จากนั้นจึงปรับท่าทางให้ขึงขังยกมือขึ้นตะเบ๊ะ “ผมพร้อมแล้วครับท่านอาจารย์” กรินถึงตะลึงงันกับท่าทางแสนแปลกของอีกฝ่าย แต่เพราะเห็นถึงนัยน์ตามุ่งมั่นอันแสนจริงจัง (มั้ง กรินก็ไม่ค่อยแน่ใจเหมือนกัน) เขาจึงทำเป็นมองไม่เห็นและแนะนำเรื่องการใช้มนตราเวทต่อไป

แต่เพราะกรินกลัวว่าจะมืดค่ำไปเสียก่อนกว่าจะได้ผนึกพยัคฆ์เจ้าป่า เขาจึงได้ตัดสินใจใช้พลังเวทของชวิศาตรวจหาพื้นที่ว่างสำหรับเขียนวงแหวนเวท จากนั้นจึงทำการย้ายร่างพยัคฆ์ด้วยพลังของชวิศาอีกเช่นกันแม้กระทั่งตอนผนึกเขาก็ตั้งใจจะใช้พลังของชวิศาอีกเช่นเดิม

“เลือดเจ้าด้วย”

ตอนที่ขอยืมใช้พลัง ชายหนุ่มร่างเล็กไม่เคยหลุดปากบ่นสักแอะ นอกจากขอให้ช่วยอีกเงื่อนไขซึ่งก็คือต้องใช้เลือดของเจ้าตัว

“ตอนผมถอนเวทยังไม่เห็นต้องใช้เลือดเลย”

“การถอนย่อมต้องง่ายกว่าการผูกผนึกอยู่แล้ว”

“ได้ไง เขามีแต่สร้างผนึกง่ายๆให้หาวิธีแก้ยากๆ”

“เช่นนั้นก็มี แต่การสร้างผนึกง่ายๆอย่างที่เจ้าว่า ผู้คนเรียกขานกันว่าคำสาป ใช้เพียงเส้นผม เสื้อผ้าหรือของใช้ของผู้อื่น จะเขียนวงแหวนหรือไม่เขียนก็ได้แล้วร่ายคาถากลับหลัง”

“ฮะ?”ชวิศาไม่คิดว่ามันจะมีของแบบนั้นด้วย

“เพียงแค่มนตราคำสาปจะสะท้อนเข้าตัวผู้ใช้ หากไม่แค้นเคืองจริงๆ ไม่มีใครอยากใช้นักหรอก”

ชายหนุ่มอยากจะร้องออกมาดังๆ ตกลงว่าไอ้ที่เขาได้เรียนไปไม่กี่เดือนนั่น มันแค่เศษเสี้ยวเล็กๆเองหรอกเหรอ ชวิศาคอตก สงสัยเขาคงจะไม่ได้กลับบ้านง่ายๆเสียแล้ว

“เอาเถอะน่า หากเจ้าช่วยข้า ข้าย่อมตอบแทนเจ้า”

ชวิศาเมินหน้าหนีไปทางอื่น เขาไม่ได้อยากได้ของตอบแทนพรรค์นั้นซะหน่อย

“ข้าจะหาทางส่งเจ้ากลับบ้าน โดนที่ตัวเจ้าไม่ได้ใช้มนตราท่องกาลด้วยตัวเอง”

“คุณรับปากแล้วนะ”ชวิศาถามกลับด้วยความกระตือรือร้นทันควัน

“ข้าสัญญา”

เมื่ออารมณ์ดีแล้ว เขาจึงยื่นข้อมือส่งไปให้กรินเชือดได้เต็มที่ ด้วยเพราะรู้อยู่แล้วว่าต่อให้เขาบาดเจ็บหนักกรินก็สามารถรักษาเขาได้ อย่างไรก็ตาม กรินต้องการเลือดเพียงไม่กี่หยดเท่านั้นเพื่อสร้างเขตแดนและเป็นตัวเชื่อมประสานผนึกอันก่อเกิดจากพลังเวท

ก่อนหน้านั้น กรินใช้อัญมณีจึงประจุพลังเวทของกิรานารวมกับกระดาษคาถาเพื่อกระตุ้นให้วงเวททำงาน โดยเขาตั้งใจว่าจะใช้วิธีดังกล่าวผนึกพยัคฆ์เจ้าป่า แต่เห็นได้ว่าแค่ผนึกเสือโคร่งธรรมดา อำนาจพลังเวทของผนึกดวงจิตชิ้นนั้นก็เสื่อมถอยลงอย่างรวดเร็ว เขาคิดว่าที่เป็นเช่นนั้นเพราะผนึกดวงจิตนั้นไม่สามารถฟื้นฟูพลังเวทได้ด้วยตัวเองมันเอง การผนึกดวงจิตเป็นกระบวนการกัดกร่อนกายเนื้อให้เหลือเพียงพลังเวท แต่การฟื้นฟูพลังเวทนั้นสัมพันธ์กับการฟื้นฟูความแข็งแรงของร่างกาย เขาจึงริลองสร้างขอบเขตพื้นที่เพื่อให้พลังเวทของพยัคฆ์เจ้าป่าสามารถฟื้นตัวดุจเดิม

หลังจากเขียนอักขระบนพื้นเรียบร้อย กรินใช้มีดสั้นกรีดปลายนิ้วของชวิศาและหยดลงบนตำแหน่งธาตุทั้งห้า จากนั้นจึงกล่าวคาถารักษาบาดแผลนั้น

“คราวนี้ถ่ายเทพลังเวทให้ไหลไปตามวัฏจักรและห้ามหยุดจนกว่าผนึกจะสำเร็จ”กรินกล่าวย้ำก่อนจะปล่อยให้ชวิศาทำหน้าที่ของตน

แสงสว่างเรืองรองอันก่อเกิดจากพลังเวทของชวิศาไหลไปตามลายเส้นและอักษรที่กรินเขียนไว้กระทั่งไปชนบรรจบกัน เมื่อมันเคลื่อนที่วนครบวัฏจักร แสงนั้นจึงลอยขึ้นสูงครอบคลุมร่างของพยัคฆ์เจ้าป่าที่สลบด้วยฤทธิ์มนตรา ก่อนพลังนั้นจะหมุนวนรุนแรงจนคล้ายพายุใหญ่

กรินเดินเข้ามากดไหล่ชวิศาไว้ไม่ให้อีกฝ่ายลุกหนี

สายลมกรรโชกพัดพาให้ฝุ่นผงปลิวว่อนและแรงลมนั้นราวกับจะพัดพาร่างให้ปลิวไป เวลาผ่านไปเนิ่นนานคล้ายชั่วกัปชั่วกัลป์กว่าที่ลมพายุนั้นจะสงบลงและเหลือเพียงอัญมณีใสที่ภายในดูเหมือนบรรจุด้วยลูกไฟสีเขียว

กรินก้าวเข้าไปหยิบอัญมณีนั้นมาไว้ในมือจากนั้นตรวจสอบด้วยจักระ ผนึกภายนอกนั้นแข็งแกร่งสมกับสร้างด้วยพลังเวทของชวิศา ที่เหลือคือต้องทดสอบว่าการผนึกด้วยวิธีนี้ พลังเวทจะสามารถฟื้นตัวได้หรือเปล่า

“เป็นอย่างไรบ้างครับ”ชวิศาเดินเข้ามาหาและเอ่ยถาม กรินมองหน้าชายหนุ่มร่างเล็กและตอบไปว่า

“ก็ดี”หากในสมองกลับคิดอีกเรื่อง ถ้าเขาสร้างผนึกดวงจิตของชายหนุ่มตรงหน้า มันจะมีพลังมากมายเท่าใดกัน


+++++โปรดติดตามตอนต่อไป+++++


 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด