CH 14 น้ำตาจากฟ้า
*บทนี้มีเพลงเป็นส่วนประกอบ ขอให้ผู้อ่านฟังเพลงหรืออ่านเนื้อเพลงด้วยเพราะมีผลกับเนื้อเรื่องค่ะ*“ขยะแขยง!!” เสียงของผู้เป็นบิดาดังลั่นพร้อมแรงกระทบที่ใบหน้า รสคาวของเลือดซึมกระจายทั่วปาก อินทัชมองบิดาด้วยหัวใจที่โดนกรีดซ้ำๆ จนยับเยิน “อิน!” เสียงพี่กรณ์ตะโกนลั่น เขาเหลือบมองแล้วก็ได้เห็นร่างของคนรักโดนรั้งไว้ด้วยคนตัวโตๆสองคน “อย่ามาเข้าใกล้ลูกฉัน ไอ้ลูกมาเฟีย!!” พ่อกระชากเขาจนตัวปลิว ก่อนจะกระชากคอเสื้อจนแทบหายใจไม่ออก “เคยบอกแล้วใช่ไหมว่าอย่าไปยุ่งกับมัน บ้านมันทำอะไรไม่รู้รึไง! สักวันตำรวจจะมาลากคอ มึงอยากไปด้วยรึไง!จะให้ซวยทั้งบ้านรึไง!”เสียงฝนดังสนั่นพร้อมเสียงครืนของฟ้าคำราม ร่างกายของทุกคนตอนนี้เปียกปอนและหนาวเย็น อินมองหน้าคนรักที่ตอนนี้ดวงตาเต็มไปด้วยความเศร้าโศก เพราะพวกเขาไม่รู้จักห้ามใจ ไม่รอให้ทุกอย่างพร้อมกว่านี้แต่กลับแอบลอบมาพบกันโดยไม่รู้เลยว่ามันอยู่ในสายตาผู้ใหญ่ตลอด พวกเขานัดเจอกันที่ร้านอาหารชานเมือง เพียงแค่ลงจากรถแล้วได้เจอหน้ากันไม่ทันไรก็มีคนกรูเข้ามาจับตัวเอาไว้ สิ่งแรกที่คิดขึ้นมาในหัวนั้นคือ..พลาดแล้ว ชายวัยกลางคนที่นั่งอยู่ในรถดีดบุหรี่ทิ้งออกทางหน้าต่าง เขามองลูกชายคนโตที่เปียกโชกด้วยสายตาผิดหวัง “ไม่คิดว่าแกจะโง่ได้ขนาดนี้นะกรณ์” เสียงแหบพร่าเยือกเย็น เชือดเฉือน พี่กรณ์กัดปากจนเลือดซึม ดวงตาแมนอิดโรยเต็มไปด้วยน้ำอุ่นที่กำลังเอ่อท้นต่างคนต่างได้แต่มองคนรักโดนดุด่าโดยที่ตัวเองทำอะไรไม่ได้ ตอนนี้ลานจอดรถของร้านอาหารไม่มีใครกล้าเข้ามายุ่งนอกจากกลุ่มของพวกเขา เมื่อสายตาของพี่กรณ์หวนกลับมาสบตา อินก็รับรู้ด้วยสัญชาตญาณ เขาอ้าปากค้างเมื่อคนรักสะบัดแขนหันไปต่อยคนที่จับตัวเอาไว้ ต้องหนี!! ....
“พี่กรณ์!!!”
เสียงตะโกนเรียกชื่อดังลั่นห้องนอน ภามสะดุ้งเฮือกลุกขึ้นนั่งหายใจหอบถี่ เขาเสยผมเปียกชื้นเรียบเรียงสติ ทั้งๆที่เปิดแอร์ไว้จนเย็นฉ่ำแต่กลับเหงื่อออกทั้งตัว
“ฝนตก?” เด็กหนุ่มมองออกไปนอนหน้าต่าง ท้องฟ้าค่อนข้างมืดมัว พอหยิบมือถือขึ้นมาดูถึงรู้ว่าสิบโมงเข้าไปแล้ว
“ฝันร้ายอีกแล้ว” เช็ดน้ำตาป้อยๆ หมอนเหมินเปียกไปหมด แต่ยิ่งเช็ดมันก็ยิ่งไหลออกมาจนสะอื้น
คิดถึง คิดถึงใครบางคน
“บ้าเอ้ย แม่ง” ใช้หลังมือเช็ดลวกๆ เขาไม่ชอบบรรยากาศแบบนี้เอาเสียเลย ฝนก็ไม่ชอบด้วย
ภามทิ้งตัวลงนอนแผ่กลางเตียงจ้องมองเพดานว่างเปล่าปล่อยให้น้ำตาไหลครุ่นคิดถึงฝันเมื่อกี้ ชื่อของใครบางคนติดอยู่ที่ริมฝีปาก รู้ว่าสำคัญแต่จำไม่ได้
“ฮื่ออออ ชื่ออะไรนะ” พลิกตัวนอนคว่ำหยิบมือถือมาเปิดเรื่อยเปื่อย
...อยากโทรหาพี่ดีนจัง...
ตึงงงภามสะดุ้งโหยงทั้งตัวแทบจะตัวฟูเป็นแมว
“ไอ้เชี่ย อย่าเหยียบโมลกู คัตเตอร์ล่ะคัตเตอร์”
“เกะกะว่ะที่ไม่พอ”
“มายืมห้องแล้วยังปากหมาเหรอ”
“โอ้ย อย่าถีบสิเฮีย!!”
เสียงทะเลาะกันดังผ่านกำแพงห้องทำเอาคนขี้ตกใจต้องแนบหูฟัง ท่าทางวันนี้ห้อง 802 จะมีแขกมาเยี่ยมและคงเป็นกลุ่มเดิมที่ชอบเสียงดังซะด้วย เด็กหนุ่มถอนใจ ลุกจากเตียงไปจัดการตัวเองในห้องน้ำเพื่อเรียกความสดชื่นกลับมา ไหนๆเดี๋ยวก็จะเที่ยงแล้วขอทำมื้อเที่ยงที่มันปลุกสมองให้ตื่นจากความรู้สึกบ้าๆ นี่หน่อยแล้วกัน
เสียงกุกกักดังแผ่วในห้องครัวเล็กๆ พร้อมเสียงเพลงจากแผ่นซีดีของเจ้าทีมที่เขายืมมา น้ำซุปสต็อกหมูเดือดปุดพร้อมกลิ่นของหัวหอม ข่า ตะไคร้ รากผักชี ภามหย่อนกุ้งตัวโตที่เพิ่งซื้อมาเมื่อวานจัดการทำความสะอาดจนเหลือแต่หางกุ้งติดไว้ลงไปลวกพอสุกแล้วเอาออก จากนั้นก็ส่งเห็ดฟางตามลงไปต้มต่อ
ครืน..น เสียงฟ้าคำรามดังขึ้น ภามเร่งเสียงเพลงแล้วเอาน้ำพริกเผาผสมครีมสดละลายลงไปผสมน้ำซุปในหม้อพร้อมปรุงรสเพิ่ม เขาฮัมเพลงเพื่อกลบเสียงฟ้าแล้วชิมรสต้มยำ คิ้วเรียวขมวดเล็กน้อยเมื่อรู้สึกไม่พอใจก่อนจะจัดการหั่นมะนาวเติมลงไปสักหน่อย
คราวนี้พ่อครัวก็ยิ้มออกมาสมใจ
“อร่อยแล้ว”
“พี่ศิลป์อยู่ไหมครับ” ภามตะโกนเรียกเพราะตอนนี้มือเขาถือหม้อต้มยำหนักอึ้งสำหรับหลายคน
เสียงกึงกังโครมครามดังจากข้างในประตูห้องเปิดพรวดออกมาพร้อมใบหน้าคุ้นเคยของพีศิลป์ที่ทำท่าแปลกใจเมื่ออยู่ๆ น้องข้างห้องก็มาเรียก
“ผมทำต้มยำมาเผื่อเป็นมื้อเที่ยง กินอะไรกันหรือยังครับ” ฉีกยิ้มสดใสให้
ศิลป์มองหน้าต่างที่ตอนนี้ฝนตกหนัก จะว่าไปเขาก็ส่งไลน์ไปบอกให้ใครบางคนเอาเสบียงมาให้พักนึงแล้วแต่ท่าทางจะรถติดอีกนานแน่ๆ
“เฮีย กลิ่นอะไรอ่ะ โคตรหอมเลย”
“ท้อง..ท้องร้อง”
เสียงโหยหวนดังแว่วมาจากในห้อง ศิลป์รีบยกหม้อที่น้องถืออยู่แล้วเชิญชวนเข้ามาข้างใน
“ภามกินหรือยัง กินพร้อมกันไหม” เขาต้อนน้องเข้ามาในห้องจนได้ แล้วจัดการวางหม้อต้มยำไว้ที่โต๊ะกินข้าว โชคดีที่ข้าวเพิ่งสุกเมื่อกี้เพราะกะจะทอดไข่กินกันแก้หิวแล้ว
“จะดีเหรอครับ” ภามทำท่าเกรงใจแต่ก็โดนผู้ใหญ่เอ็ดเบาๆ
“พี่สิต้องเกรงใจ มาเลยมากินด้วยกัน เฮ้ย มากินข้าว!! นี่น้องห้อง 801 ทำมาให้” ตะโกนเรียกพวกลิงขี้โวยวายที่นั่งอยู่ด้านในของห้อง สักพักก็ได้ยินเสียงแย่งกันพุ่งเข้าครัว
“หอมกลิ่นต้มยำ อ๊ะ” คนแรกที่เข้ามาชะงักเท้าทำเอาเพื่อนๆ เบรกกันระนาว
“น้องภามนี่หว่า น้องภามเศรษฐศาสตร์ปีหนึ่งไงมึง” เขาหันไปหาเพื่อนที่อยู่ด้านหลังอีกสองคน
“เออว่ะ ตัวจริงดูดีกว่าในรูปอีก สวัสดีครับน้องภาม”
“พวกแกรู้จักน้องเขาด้วยเรอะ” ศิลป์เดินไปตักข้าว โดยมีภามที่รีบตามไปช่วย เด็กหนุ่มทำตัวไม่ถูกเมื่อโดน
สายตามากมายจ้องด้วยความสนใจ
“โห พี่ศิลป์ นี่เป็นที่เลื่องลือครับ หน้าตาดี ทำอาหารอร่อย ยิ้มก็สวย นิสัยก็ดี มีภาพขึ้นบอร์ดมหาวิทยาลัย แล้ว
อะไรอีกนะ”
“คิ้วท์บอยไงมึง ที่เขาลงกันอยู่อ่ะ”
“เฮ้ยๆ มีนี่ด้วย..คู่จิ้น”
ภามสะดุ้งโหยง รีบหันควับอ้าปากพะงาบๆให้พี่ๆ หยุดพูด แต่ดูจะไม่มีใครสนใจ
“คู่จิ้น?” ศิลป์วางจานข้าวหกจานเรียงไว้บนโต๊ะ ห้องคับแคบไปเสียสนิท
“ช่ายย เดี๋ยวๆ เรียกมันก่อน” คนพูดเดินไปที่ประตูห้องน้ำแล้วทุบเสียงดัง “ขี้นานไปแล้วไอ้สัด!!ออกมามึง มีคน
อยากเจอ”
ภามทำหน้างุนงง เขาโดนพี่ศิลป์ดันร่างนั่งแหมะที่เก้าอี้แล้วโดนยัดช้อนส้อมใส่มืออีกต่างหาก
“ห่า ขี้หดตดหายหมด ใครอยากเจอกู” เสียงไม่คุ้นหูด่าเพื่อนลั่นพร้อมประตูที่เปิดออกมาอย่างไม่เบาแรงนัก
ร่างสูงผิวเข้ม จมูกโด่งเป็นสัน แต่ที่คุ้นที่สุดคงเป็น...ดวงตาสีเทาอมเขียวคู่นั้น
เด็กหนุ่มอ้าปากค้าง ..อย่าบอกนะว่า
“นี่ไงไอ้ดอนคู่จิ้นพี่มึงอ่ะ น้องภาม”
น้องชายพี่ดีนจริงๆด้วย!!??
บรรยากาศโต๊ะอาหารตอนนี้ร่าเริงผิดกับน้องเล็กสุดของห้องที่เขี่ยกุ้งในจานตัวเอง พี่ๆ แต่ละคนกินไปหยอกไปชื่นชมรสชาติอาหารพร้อมเติมข้าวอย่างเอร็ดอร่อย
“ปกติภามกินช้าเหรอ” ศิลป์ที่เพิ่งเติมข้าวอีกจานเอ่ยถามเมื่อเห็นว่าข้าวในจานน้องยังพร่องไม่ถึงครึ่ง
“เปล่าครับ แต่สงสัยพี่ๆกินเร็วมาก ผมเลยกินไม่ทัน” หัวเราะแห้งๆ แล้วรีบตักต้มยำรสเปรี้ยวสะใจซดเรียกสติ
ภามเหลือบตามองคนที่นั่งเยื้องอยู่ฝั่งตรงข้ามแล้วก็สะดุ้งโหยง เพราะเจ้าของดวงตาสีเทาอมเขียวนั่นกำลังจ้องเขาไม่วางตาเล่นเอากินไม่ลงด้วยความกังวลและเหมือนศิลป์จะรู้ เขามองตามสายตาน้องเลยหันไปแจกมะเหงกให้รุ่นน้องตัวปัญหา
“มึงจะจ้องอะไรขนาดนั้น น้องกินข้าวไม่ลงแล้วมีปัญหาอะไรวะไอ้ดอน”
ดอนทำหน้าย่นลูบหน้าผากที่ตอนนี้แดงเป็นปื้น เขากำลังจะอ้าปากพูดแต่โดนเพื่อนแย่งบทไปเสียก่อน
“น้องภาม พี่อยากรู้มากว่ะ”
ภามซดน้ำซุปพร้อมหันไปมองคนถาม
“ตกลงที่โดนถ่ายรูปลงเนตคู่กับพี่ชายไอ้ดอนเนี่ย แค่คู่จิ้นหรือคู่จริงหือ?”
“แค่ก!!!!!!” น้ำต้มยำเปลี่ยนทิศไปลงหลอดลมแทน ภามสำลักกระอักไอจนแสบขึ้นจมูกน้ำตาไหลรีบรับทิชชู่จาก
พี่ศิลป์มาเช็ด
“ปฏิกิริยานี่ถือว่าแทนคำตอบไหมวะ” พี่คนถามหันไปหาเพื่อนข้างๆ ตอนนี้ทุกคนวางช้อนเปลี่ยนเป็นรุมซักน้องให้ขาวสะอาด
“แต่ภาพในเนตมันชัดมากนะ จริงป่ะดอน” สะกิดเรียกเพื่อนที่เพิ่งวางช้อนบ้าง
ภามชักใจไม่ดี เขาไม่รู้เลยว่าพี่ดอนนิสัยแบบไหน จะเหมือนเดลหรือเหมือนพี่ดีน เท่าที่พอรู้มาจากเดลเห็นว่าเป็นคนง่ายๆ ขี้แกล้ง บ้ากีฬา
“พวกมึงอยากรู้ใช่ไหม” ดอนเช็ดปากแล้วลุกจากเก้าอี้เสียงดังครืด “เดี๋ยวกูจัดให้” ยักคิ้วให้เพื่อนๆ แล้วเดินอ้อมมาหาภามที่นั่งตัวเกร็งอย่างไม่เข้าใจ
“เอ๋!?” เด็กหนุ่มร้องเสียงหลงเมื่อโดนโอบไหล่แล้วรั้งจนแนบชิด ดอนเอาแก้มแนบแก้มจัดการยกมือถือขึ้นถ่ายเซลฟี่ทั้งๆที่ภามยังหน้าตาเหรอหรา
“ดะ เดี๋ยว เหวอ” ภามหลับตาปี๋เพราะพี่ดอนสกินชิพแก้มเขาแบบไม่เกรงใจ
ดอนถ่ายรูปไปหลายแชะจนพอใจ ก่อนจะนั่งเลือกรูปแล้วกดส่งเข้าไลน์พี่น้อง ทุกคนมองอย่างไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่แต่ก็รอดูว่าจะเกิดอะไรขึ้น
ชายหนุ่มวางมือถือลงกลางโต๊ะกินข้าว ไปถึงสิบวินาทีมันก็สั่นรัวเพราะมีโทรศัพท์เข้ามา เจ้าของมือถือมองชื่อคนโทรเบะปากเล็กน้อยแล้วกดสปีกเกอร์
“ว่าไง” เขารับสายด้วยเสียงติดจะขำ
[“กรี๊ดดดดดดดดดดดด พี่ดอน!! ไปเจอภามตอนไหน ทำไมไม่พาหนูไปด้วยแย่ที่สุด แล้วนี้แอบไปกินข้าวฝีมือภามใช่ไหม ส่งมารัวๆเลยนะหม้อต้มยำเนี่ย นิสัยไม่ดี!!”] เสียงน้องสาวดังลั่นทะลุสปีกเกอร์จนคนฟังหัวเราะกันลั่น พอรู้ว่ามีคนอื่นได้ยินด้วยเดลก็ยิ่งโวยวายใส่พี่ชายคนรอง
“เดี๋ยวๆ พี่ดีนไม่อยู่บ้านเหรอ” ดอนรีบเบรกก่อนที่น้องสาวจะเหวี่ยงใส่มากไปกว่านี้
[“พี่ดีนออกไปข้างนอกแต่เช้าแล้วค่ะ ดูสิแต่ละคนทิ้งน้องอยู่บ้านคนเดียว”] น้ำเสียงฟึดฟัดงอนๆ
[“ภามจ๋า สงสารเราหน่อยน้า เราอยากกินขนมจังเลย”] ส่งเสียงออดอ้อนไม่เกรงใจพี่ชาย
ภามอมยิ้ม เขาตอบกลับไปอย่างร่าเริง “โอเค ไว้ทำไปให้กินนะ”
หญิงสาวส่งเสียงพอใจ หล่อนโวยพี่ชายอีกเล็กน้อยแล้วตัดสายไป
“โห พายุน้องสาวมึงรุนแรงมาก ไม่รู้เรื่องพี่มึงเลยว่ะ”
“จริงๆมึงควรห่วงน้องสาวมึงกับภามมากกว่าไหม”
ดอนยักไหล่ “แต่ในไลน์ขึ้นอ่านสองคนแล้วนะเว้ย”
ภามยิ้มแห้งรู้สึกเสียวสันหลังแปลกๆ เขาเห็นภาพเซลฟี่เมื่อกี้แค่นิดเดียวเลยไม่รู้ว่ามันเป็นยังไง คิดไปคิดมาชักกินข้าวไม่ลงหนักกว่าเดิมเสียอย่างงั้น
เสียงก๊อกแก๊กหน้าห้องทำให้ศิลป์ละสายตาจากเรื่องสนุกตรงหน้า เขาลุกขึ้นพลางหันมายิ้มให้ภาม
“สงสัยคนส่งเสบียงมาแล้ว น่าจะมีของกินเพิ่มอยู่กินด้วยกันก่อนนะ” พูดจบประตูก็เปิดออกแต่จากมุมที่พวกเขานั่งอยู่จะมองไม่เห็นว่าใครเข้ามา
“ศิลป์ชิ่งกินก่อนเหรอวะ” คนมาใหม่บ่นนำแต่ไกล เสียงคุ้นเคยทำให้ภามต้องชะเง้อหน้ามองด้วยความสงสัย
ร่างสูงล่ำสันพร้อมรอยยิ้มการค้าเดินเข้ามาในครัว สองมือเต็มไปด้วยถุงอาหาร
“พี่ศรณ์?” ภามเบิกตากว้างงุนงง มาได้ไง?
“ไงน้องภาม ทำต้มยำเหรอ วันนี้ได้โอกาสเดี๋ยวพี่ขอชิมฝีมือเราสักหน่อย” ศรณ์วางถุงลงบนโต๊ะกินข้าว “ได้ยินคนโม้มานานแล้วว่าน้องทำอะไรก็อร่อย”
“พูดมากน่า” เสียงที่สองดูไม่ค่อยสบอารมณ์ คนตามมาทีหลังอยู่ในชุดเสื้อเชิ้ตสีเข้มกับกางเกงยีนส์ ผิวสีแทนโดดเด่นขับเน้นให้ใบหน้าคมเข้มน่ามองขึ้นเท่าตัว
“....พี่ดีน”
“พี่มาได้ไง” ดอนเป็นฝ่ายถามขึ้นมา บอกตรงๆว่าแว้บแรกใจหายเพราะนึกว่าพี่ชายจะมาจัดการข้อหาแตะต้องคนในสังกัด
“มันมาหาพี่เมื่อเช้า” ศรณ์พูดพลางเอากับข้าวใส่จาน “ตอนแรกที่บอกว่าจะมาหาศิลป์พี่ยังเห็นมันเฉยๆนะ แต่สักพักเห็นหยิบมือถือมาจ้องแล้วบอกว่าจะมาด้วยซะงั้น”
ดอนเหลือบมองพี่ชายแล้วยิ้มแหยเมื่อเจอสายตาดุๆ มองกลับมา เขารีบลุกแล้วหนีไปนั่งข้างกลุ่มเพื่อนพลางส่งเสียงกระซิบกระซาบ
“ฟันธงว่ะ คู่จริงแหง พี่โคตรหวง”
“หูยยยยยยยย”
“ก็น่าจะอย่างงั้น ตั้งแต่เข้ามาเห็นจ้องแต่น้องภาม ไอ้ดอนแม่งหมาหัวเน่ามาก”
“ถ่ายรูปลงเฟซได้ป่ะวะ”
“ไม่กลัวพี่กูหักคอ ก็เอาเลยมึง”
ถึงจะกระซิบแต่ภามก็ได้ยินชัด แก้มขาวๆตอนนี้แดงเรื่อขึ้นมาทันที ไม่กล้ามองหน้าใคร เขาอยากจะพุ่งตัวกลับห้องแต่ติดว่าโดนล็อคทางเข้าออกไปไหนไม่ได้
“’งั้นแสดงว่าบางวันที่เห็นรถของดีนตอนเช้าก็ไม่ผิดคัน” ศิลป์เลื่อนจานข้าวให้คนมาใหม่แล้วพยักให้ดีนนั่งลงข้างๆน้อง
ดีนยักไหล่ “ผมก็เพิ่งรู้ว่าพี่ย้ายมาอยู่ที่นี่” เขาไม่คิดว่าพี่ศิลป์จะอยู่คอนโดนี้และไม่คิดว่าอยู่ข้างห้องภามด้วยซ้ำ
ภามมองคนโน้นทีคนนี้ทีก่อนจะค่อยๆเขยิบหาคนที่ตัวเองสนิทใจด้วยที่สุด เขากระตุกเสื้อพี่ดีนเบาๆจ้องหน้าด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยคำถาม
ชายหนุ่มกระตุกยิ้มวางช้อนส้อมลง
“โทษที ภามคงรู้จักแล้วแต่แนะนำอีกทีแล้วกัน” ดีนชี้ไปที่น้องชายที่นั่งมองอยู่ “นั่นเจ้าดอนน้องชายพี่”
ภามพยักหน้าหงึกๆ แล้วมองตามนิ้วพี่ดีนต่อ
“ส่วนนั่นพี่ศิลป์..” เว้นวรรคนิดนึงรอดูปฏิกิริยาอีกฝ่าย “แฟนพี่ศรณ์”
“อ๋อ...ห๊ะ?” เด็กน้อยทำหน้าเหวอจนน่าขัน
“พี่ศรณ์เป็นเพื่อนพี่ดีนเป็นแฟนกับพี่ศิลป์ ส่วนพี่ศิลป์ก็เป็นสายรหัสของพี่” ดอนอธิบายรวบรัดแล้วชี้นิ้วเข้าหาตัวเอง
บางทีโลกก็กลมเกินไป..
ภามกรอกตา หลังจากแนะนำตัวกันเสร็จก็เกิดสงครามย่อมๆในห้อง การที่มีผู้ชายวัยกำลังโตแปดคนอัดอยู่ในห้องทำให้สถานที่ไม่เพียงพอ แถมกลางห้องนั่งเล่นตอนนี้กระจัดกระจายไปด้วยอุปกรณ์ของเหล่าว่าที่สถาปนิกทั้งหลาย
ศรณ์เองพอกินข้าวเสร็จอยู่คุยได้แค่ชั่วโมงเดียวก็ขอตัวกลับก่อนเพื่อไปดูร้าน ภามเองก็เกรงใจเลยขอตัวกลับห้อง แต่คราวนี้เขาไม่ได้กลับคนเดียว
ศิลป์ยืนพิงขอบประตูโบกมือให้ดีนกับภามที่ขอปลีกตัวกลับห้อง ข้างๆเป็นดอนที่ยิ้มร้ายดวงตาแวววาวจนภามแทบจะมุดหลบหลังพี่ดีน
“ตามสบายเดี๋ยวที่ห้องจะเปิดเพลง รับรองว่าเสียงดังยังไงก็ไม่ได้ยิน” ศิลป์ยักคิ้วให้รุ่นน้องหน้าตายที่ตอนนี้กำลังผูกเงื่อนที่คิ้ว
“น้องมีพ่อมีแม่นะพี่..ใจเย็นๆ” ดอนสบโอกาสถือว่ามีพี่ศิลป์เป็นกองกำลังหนุนหลังแซวพี่ชาย แต่พอเจอสายตาดุๆ ตวัดขวับกลับมาเขาก็สะดุ้งโหยง
“ไว้เจอกันที่มอนะน้องภาม” โบกมือหยอยๆแล้วรีบมุดหลบเข้าห้องไปทันที
ดีนจิ๊ปากคาดโทษน้องชาย ยอมรับว่าเถียงอะไรไม่เคยสู้พี่ศิลป์ได้สักหน คนแบบนี้รับมือด้วยไม่ได้ค่อยได้
ภามยิ่งเขินหนักรีบรูดการ์ดเข้าห้องตัวเองมือไม้สั่น
จะให้เสียงดังอะไรกันเล่า!!!!!!!(ต่อรีพลายถัดไปค่ะ)