ตอนที่ 27 แหลกสลาย
*ตอนนี้ดราม่า มีความอึนจะเก็บไว้อ่านทีหลังก็ได้นะคะ**ตั้งสติให้ดีค่อยๆอ่าน เพราะจะมีการตัดฉากสลับไปมาเยอะมาก*“ลุง?”
ทั้งภามทั้งศิลป์เอ่ยถามขึ้นพร้อมกัน พวกเขาทั้งคู่ไม่รู้ว่ามีลุงโดยเฉพาะศิลป์ที่คิดว่าพ่อเป็นลูกคนโตมาตลอด
“พ่อมีพี่ด้วยเหรอ” ศิลป์ขมวดคิ้วเกิดมาจนยี่สิบกว่าปีเพิ่งเคยได้ยิน จะบอกว่าลูกพี่ลูกน้องของพ่อก็คงไม่ใช่
กฤตหยิบกาแฟขึ้นจิบท่าทางดูครุ่นคิดเหมือนลังเลว่าจะบอกดีไหม เขาเสยผมที่มีสีขาวแซมเล็กน้อยหากนั่นทำให้ภามใจกระตุก สองมือที่กุมแก้วน้ำเอาไว้สั่นขึ้นมาอย่างไม่มีสาเหตุ
ดวงตาของลุงกฤตคล้ายใครสักคนที่เขาไม่ได้เจอมานานแสนนาน ไม่ใช่พ่อแต่เป็นใคร...ใครสักคนหนึ่ง
“มีสิ ฉันมีพี่ชายอยู่คนนึง” ในที่สุดคนปากหนักก็เอ่ยขึ้นมา
“เอ้า แล้วทำไมไม่เคยเห็นพูดถึง” ศิลป์ถามด้วยความสงสัย ก็พ่อเขารักพี่น้องจะตายไปโดยเฉพาะน้ากาจน์นี่โดนพ่อเผาสารพัดตั้งแต่เขาจำความได้ “อย่างน้อยพามาเจอกันบ้าง”
กฤตโบกมือเรียกพนักงานมาเก็บเงินแล้วลุกขึ้นเป็นสัญญาณให้ทั้งคู่ลุกตาม ดวงตาคมคายฉายแววเศร้าปนเหนื่อยล้า
“ตายไปแล้ว”
คำตอบทำให้คนฟังทั้งคู่ชะงักอึ้ง “ตายไปตั้งแต่อายุยังน้อย” น้ำเสียงแหบพร่า เขาหันกลับมามองเด็กๆแล้วขยับรอยยิ้มที่จืดชืดสิ้นดี “พี่น้องฉันไม่เหลือใครอีกแล้ว”
คนตายหมดทุกข์หากคนที่เหลืออยู่ไม่ต่างจากตายทั้งเป็นรถอัลพาร์ทสีดำเคลื่อนตัวออกจากร้านอาหารโดยมีคนขับรถที่อยู่ในเครื่องแบบพาเจ้านายและลูกหลานกลับบ้าน รถของศิลป์มีคนอื่นขับไปเก็บให้เพราะเจ้าของรถพ่ายแพ้ต่อสายตาวอนขอของภามให้นั่งไปด้วยกัน
เรื่องในร้านอาหารไม่มีการต่อความให้ยาวไปกว่านั้น ยิ่งเห็นลุงกฤตนั่งเงียบจมดิ่งในความคิดภามยิ่งนั่งตัวเกร็ง หัวใจเต้นแรงและเต็มไปด้วยความกังวล สองมือของเด็กหนุ่มประสานเข้าหากันบีบแน่นไม่มั่นใจ ระหว่างที่ความหวาดหวั่นกำลังพุ่งสูงพลันก็นึกถึงคนที่เพิ่งจากกันมา
ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น จำไว้ว่าพี่อยู่นี่ นึกถึงพี่พี่ดีน..
เขาหยิบมือถือขึ้นมาแล้วรีบกดเข้าแอพพลิเคชั่นสีเขียว ขมวดคิ้วงุนงงเล็กน้อยเมื่อมีข้อความจากพี่ดีนแต่มันกลับไม่เด้งเตือน แถมมีมิสคอลอีกหลายสายด้วย
Dean: ภามอยู่ไหน
ข้อความเพิ่งส่งมาเมื่อสักครู่ เขารีบพิมพ์ตอบอย่างงงๆ
#Pham#: กำลังไปบ้านพี่ศิลป์ครับ
“ถึงแล้ว” ศิลป์สะกิดน้องที่นั่งก้มหน้า ภามรีบเงยหน้าขึ้นจากมือถือทันเห็นประตูเหล็กดัดสีทองกำลังเปิดอัตโนมัติให้รถเคลื่อนตัวเข้าไป
บ้านขนาดใหญ่สองชั้นค่อนข้างทันสมัยสวยงาม ด้านขวามือเป็นโรงจอดรถที่มีรถเรียงรายเต็มไปหมด ซึ่งน่าจะเป็นของพี่น้องคนอื่นๆด้วย เด็กหนุ่มรีบเก็บมือถือเข้ากระเป๋ากางเกงเมื่อประตูรถเปิดออกให้เดินลงไปไม่ทันได้อ่านคำตอบจากคนรัก
Dean: รออยู่นั่น พี่จะไปหา
ภายในบ้านจัดแบบโมเดิร์นสวยงามสมกับมีลูกชายคนโตเป็นสถาปนิก พี่ศิลป์อธิบายให้ฟังว่าเมื่อสองสามปีก่อนบ้านหลังเก่าค่อนข้างโทรมแล้ว เลยจัดการทุบทิ้งทำใหม่ทั้งหลังจนออกมาเป็นอย่างที่เห็น ภามเดินตามลูกพี่ลูกน้องไปจนถึงห้องรับแขก น่าเสียดายที่วันนี้น้องๆพี่ศิลป์ไม่อยู่สักคนเลยไม่ได้พบกัน
“คุณปู่ส่วนมากจะพักอยู่ด้านหลัง” ชายหนุ่มพยักพเยิดไปที่ทางเดินทอดยาวหายไปหลังบ้าน “เมื่อกี่พยาบาลบอกว่าแกหลับอยู่อีกสักพักคงตื่น ภามเดินเล่นรอบบ้านดูก่อนก็ได้ ห้องนั้นเป็นห้องหนังสือกับห้องทำงานของปู่ เข้าไปหาอะไรอ่านก็ได้” ชี้ไปที่อีกห้องฝั่งตรงข้าม เด็กหนุ่มยอมรับเลยว่าบ้านหลังนี้มีหลายห้องจริงๆ
ศิลป์นั่งคุยกับน้องสักพักก็มีโทรศัพท์งานเข้ามา เขาโบกมือขอตัวไปชั้นสองปล่อยน้องนั่งจ๋องกระสับกระส่ายอยู่คนเดียวในห้องรับแขก
กว่าคุณปู่จะตื่นเขาจะทำอะไรดีละเนี่ย เด็กตื่นสถานที่มองไปรอบๆอย่างกังวลใจ ครั้นจะนั่งเฉยๆอยู่แบบนี้คงไม่ไหวแถมข้างนอกฟ้าก็ครึ้มเหมือนฝนจะตกไม่น่าออกไปเดินเล่น สุดท้ายภามก็ตัดสินใจลุกขึ้นเดินไปห้องหนังสือเพื่อหาอะไรอ่าน
ห้องหนังสือที่ว่าเป็นห้องขนาดไม่ใหญ่มากมีชั้นหนังสือเรียงตามเต็มผนังทุกด้าน และมีทางเดินต่อไปยังห้องทำงานที่อยู่ข้างกัน เด็กหนุ่มแหงนหน้ามองหนังสือเรียงราย นึกแปลกใจที่มีหนังสือมากมายเต็มไปหมดโดยเฉพาะหนังสือภาษาอังกฤษ บางเล่มกระดาษเป็นสีเหลืองแต่ยังสภาพดี บนชั้นไม่มีฝุ่นแม้แต่น้อยแสดงว่าเจ้าของดูแลด้วยความตั้งใจ
ภามแตะปลายนิ้วบนสันหนังสืออ่านยาก อมยิ้มเมื่อเห็นหนังสือบางเล่มที่ตัวเองก็เคยอ่านสมัยเรียนอยู่นานาชาติ ไม่รู้ว่าใครในบ้านนี้เป็นนักอ่านตัวยงถึงได้มีพวกวรรณกรรมดังๆอยู่เต็มไปหมด สงสัยถ้ามีโอกาสเขาคงต้องขอยืมกลับไปอ่านบ้างเสียแล้ว
วรรณกรรมพูลิตเซอร์ To Kill a Mockingbird นิยายดิสโทเปีย 1984 หรือแม้แต่วรรณกรรมคลาสสิกอย่าง Romeo and Juliet แต่ละเล่มเป็นปกหนังแข็งแบบหนังสือยุคเก่า บางเล่มพิมพ์ตั้งแต่ครั้งแรกๆด้วยซ้ำ เล่มแล้วเล่มเล่าที่ภามหยิบออกมาเปิดผ่านๆด้วยความสนใจ
“อ้ะ”
กระดาษใบน้อยซึ่งน่าจะใช้แทนที่คั่นหนังสือปลิวหลุดออกมา เขาก้มลงมองแล้วพบว่ามันคือดอกไม้แห้งทับกับกระดาษแล้วเคลือบพลาสติกเอาไว้ ภามอมยิ้มก้มลงหยิบในขณะที่กำลังเงยหน้าขึ้นก็พบว่าชั้นหนังสือล่างสุดมีกล่องเหล็กสอดเอาไว้แทนที่
ลวดลายกล่องสวยงามวางรวมกับอัลบั้มภาพถ่ายที่ซ้อนกันเอาไว้ เขาเปลี่ยนเป็นนั่งขัดสมาธิหยิบกล่องและอัลบั้มภาพออกมาเปิดดูด้วยความสนใจ ภาพถ่ายในเล่มมีพี่ศิลป์สมัยยังตัวจิ๋วเดียวน่ารักเหมือนตุ๊กตา มีคุณลุงกฤตที่อุ้มลูกสาวตัวน้อย มีภาพเด็กๆมากมายอยู่ในนั้น ยิ่งเปิดดูภาพก็ยิ่งถอยวันเวลากลับไป สีภาพเริ่มซีดจางเป็นสีส้มและเป็นขาวดำ บางภาพเป็นโพลาลอยด์เลือนราง เล่นเอาภามจมดิ่งไปกับความทรงจำแห่งกาลเวลา
“พ่อ..” ดวงตาของเด็กหนุ่มเป็นประกายเมื่อเห็นคนคุ้นตา
ผู้ชายท่าทางใจดีผมสีดำสนิทตัดสั้นในชุดเสื้อเชิ้ตยืนล้วงกระเป๋าคุยกับลุงกฤต ดวงตาสดใสเป็นประกายและเต็มไปด้วยรอยยิ้ม ภาพของพ่อที่ไม่เคยเห็นมีเต็มไปหมด มีทั้งตอนตีกับลุงกฤต กอดคอกัน หัวเราะกัน ดื่มด้วยกัน มีแม้แต่ตอนที่พ่ออุ้มพี่ศิลป์ตัวน้อยๆไว้ด้วย
แหมะ
น้ำตาหยดลงบนอัลบั้มจนภามต้องรีบเช็ดออก เกือบสะอื้นเมื่อเห็นภาพถ่ายแม่กับพ่อกำลังโอบกอดทารกน้อยเอาไว้ ดูก็รู้ว่าเป็นตัวเองสมัยเพิ่งเกิด ข้างเตียงมีพี่ศิลป์กำลังพยายามเขย่งดูน้องคนใหม่ ภามไล้มือบนรูปถ่ายช้าๆ ความคิดถึงจู่โจมเข้าหัวใจ เขาขยับรอยยิ้มเมื่อเห็นใบหน้าบานแฉ่งของบิดา ความปลาบปลื้มแสดงออกมาอย่างชัดเจน
แม่กับภูมิต้องอยากเห็นแน่ๆ เอาไว้ขอลุงกฤตเอาภาพไปอัดเพิ่มดีกว่า
เขาเก็บอัลบั้มเข้าที่ก่อนจะมองกล่องเหล็กอย่างลังเล ถ้าให้เดาก็น่าจะเก็บพวกรูปถ่ายไม่ก็ฟิล์มแยกเอาไว้แต่ครั้นจะเปิดดูก็คงเสียมารยาทเกินไป เด็กหนุ่มตั้งใจหยิบกล่องเหล็กกลับคืนที่ แต่ขากลับไปปัดโดนหนังสือที่วางเอาไว้ข้างตัวจนปกแข็งด้านหน้าเปิดอ้า
พลันทุกสิ่งทุกอย่างก็เย็นเยียบไปทั้งสรรพางค์กาย
ที่มุมปกมีลายเซ็นเล็กๆเขียนเอาไว้พร้อมวันที่ ถ้าเดาไม่ผิดคือชื่อเจ้าของและวันเวลาที่ซื้อมา ลายเซ็นที่ดูไม่เหมือนลายเซ็นสักครั้ง
“พี่นี่เซ็นชื่อไม่เป็นจริงๆ”“นี่ไงลายเซ็น”“นี่มันเขียนชื่อตัวใหญ่ต่างหากเล่า”กรณ์ 18/2/1984“พี่กรณ์...”
“อ้าว น้องล่ะ” กฤตเดินออกมาจากห้องทำงานส่วนตัวบนชั้นสอง เขาเลิกคิ้วแปลกใจเมื่อเห็นลูกชายเพิ่งเดินออกมาจากห้องเหมือนกัน
“อยู่ข้างล่างครับ” พูดพลางเก็บมือถือเข้ากระเป๋ากางเกง “ พี่ชายพ่อชื่ออะไรเหรอ”
“ถามทำไม” กฤตเลิกคิ้ว แปลกใจที่อยู่ๆลูกชายก็ถามขึ้นมา
“อ้าว อยากรู้ไง เห็นตั้งชื่อลูก ศ.ศาลาหมด บ้านภามก็ ภ.สำเภา น้ากาจน์เองก็ ก.ไก่เลยสงสัยลุงชื่ออะไร”
คนเป็นพ่อถอนใจ เขาไม่เคยพูดชื่อพี่ออกมาหลายปีแล้วเพราะมันกลายเป็นคำต้องห้ามของบ้านอริยะสกุล ดวงตาคมเหลือบมองลูกชายคนโตด้วยความเหนื่อยใจ
“แกนี่กัดไม่ปล่อยจริงๆ ไม่คิดจะเลิกหาเหรอเนี่ย”
ศิลป์ทำหน้างง ไม่เข้าใจว่าพ่อพูดถึงอะไร สักพักบิดาของเขาก็พูดขึ้นมาท่ามกลางความเงียบงัน
“กรณ์ ลุงแกชื่อกรณ์”
พี่ศิลป์ช่วยหาคนให้ผมหน่อยใครวะชื่อกรณ์กับอิน คุณศิลป์ครับ ผมหาได้แค่คนชื่ออินทัช ส่วนอีกคนหาไม่ได้จริงๆทำไมล่ะผู้ใหญ่ห้ามเอาไว้ เพราะเป็นคนมีอิทธิพลครับหา? ใครห้ามบอกชื่อได้ไหมผมบอกไม่ได้จริงๆเฮ้ย นี่เส้นพ่อยังเอาชื่อมาไม่ได้เหรอเนี่ย??ศิลป์หลุบตาลงมองพื้นลังเล ก่อนจะตวัดขึ้นมองบิดาอีกครั้ง “พ่อ..ลุงกรณ์ตายเพราะอะไร”
“อยากรู้ไปทำไม” หากคำตอบของพ่อกลับดูขึงเครียดขึ้นมา
“ฆ่าตัวตายใช่ไหม” ศิลป์แค่นยิ้ม รู้สึกโง่ โคตรโง่ เขาลืมไปได้ยังไงว่าปู่เคยเป็นผู้อิทธิพลมาก่อน เขาลืมไปได้ยังไงว่าคนที่ใช้ให้หาข้อมูลเป็นลูกน้องของพ่อ
“แล้วพ่อปิดข้อมูลทำไม?” จุดไต้ตำตอที่แสนใกล้ พ่อนี่แหละที่สั่งห้ามไม่ให้ปล่อยข้อมูลนี้ออกไป
“แล้วแกจะหาข้อมูลไปทำไม” น้ำเสียงกลายเป็นดุดัน “ฉันก็อยากรู้เหมือนกันว่าแกไปเอาชื่อสองคนนี้มาจากไหน!”
ชายหนุ่มผงะอึ้ง จะให้อธิบายว่าอย่างไงล่ะ จะให้บอกว่ารุ่นน้องมันระลึกชาติได้งั้นเหรอ จะให้บอกว่าลุงกรณ์กลับมาเกิดใหม่งั้นเหรอ บ้าไปแล้ว!!
“ผม..”
“ฉันไม่อยากให้แกรู้เลย” คนเป็นพ่อลดเสียงลง “ฉันอยากให้แกกับศรณ์อยู่กันอย่างมีความสุข ไม่ต้องรู้เรื่องพรรค์นี้”
“มันเกี่ยวอะไรกับผมละ” ศิลป์ไม่เห็นเข้าใจเลยว่าทำไมต้องปิดเขาด้วย แล้วมันเกี่ยวอะไรกับเขาและศรณ์
กฤตสบถอุบ เขามองใบหน้าจริงจังของลูกและก็รู้ว่ามันถึงเวลาแล้วที่เขาต้องบอกสักที
“พี่กรณ์กับอินทัชเป็นคนรักกัน เหมือนแกกับศรณ์” พูดเสียงหนักแน่น
ถึงจะพอรู้มาบ้างแต่ศิลป์ก็ตกใจไม่ได้ สองมือกำแน่นด้วยหัวใจเต้นระรัว ภาพของเจ้าดีนในวันที่หยิบรูปถ่ายขึ้นดูยังคงชัดในความทรงจำ มันรวดร้าวและเจ็บปวด
“คนรักเพศเดียวกันที่ถูกปู่แกขัดขวางจนต้องฆ่าตัวตาย” มือใหญ่ของพ่อลูบหัวลูกชายด้วยแววตาเศร้าสร้อย “พ่อไม่อยากให้แกเกลียดปู่...”
ลูกชายคนโตฆ่าตัวตายต่อหน้า ลูกชายคนเล็กเกลียดจนไม่ยอมคุยด้วยอีกต่อไปแม้กระทั่งวันตาย มันทรมานผู้ชายคนนี้มาเยอะมากพอแล้ว
มือที่สั่นเทาเปิดฝากล่องเหล็กออกวางไว้ข้างๆ ดวงตากลมโตตอนนี้เต็มไปด้วยน้ำตา ข้าวของชิ้นเล็กชิ้นน้อยในกล่องนั้นช่างล้ำค่าและมีความหมาย พวงกุญแจ เอกสาร รูปถ่ายเก่าๆ แม้แต่สมุดโน้ตสีเหลืองกรอบ
ภามหยิบภาพถ่ายสีซีดขึ้นมาดู ชายในภาพทำหน้าเซ็งใส่กล้องแต่ดวงตากลับสดใส ผมสีดำสนิทเสยไปด้านหลัง โครงหน้าชัดเจนแต่โดยรวมดูก็รู้ว่าเชื้อสายจีนผิวขาว คนที่อยู่ในความฝันเขามาตลอดทั้งชีวิต
คนที่ตายซ้ำแล้วซ้ำเล่าในความฝันอันทรมาน
“ฮึก..” เด็กหนุ่มปิดปากกลั้นเสียงสะอื้น ยิ่งเขาพบว่าภาพถ่ายนั้นโดนพับครึ่งเอาไว้พอคลี่ออกมาถึงเห็นผู้ชายอีกคนที่ตัวเล็กกว่ามีผมรากไทรระต้นคอกำลังกอดแขนอีกฝ่ายไว้ยิ่งร้องไห้หนัก
ความสุขอันเลือนรางหากเขาจำได้ชัดเจน
…….
“พี่กรณ์ถ่ายรูปกัน” “ไม่เอา ไม่ชอบ” “นิดนึงน่า มานี่”“ก็ได้ๆ”..........
ภามเอาภาพนั้นแนบหัวใจที่กำลังแตกสลาย เขาสะอื้นฮั่กจนสั่นไปทั้งตัว ความทรงจำมากมายผุดขึ้นมา เสียงบอกรักซ้ำๆ สัมผัสอบอุ่น ความรักมากมายท้วมท้นจากความทรงจำที่แสนเจ็บปวด
“พี่กรณ์..” เขารื้อของในกล่อง หยิบเอากุญแจที่มีพวงกุญแจหนังห้อยเอาไว้ ด้านหลังของหนังประทับตราไหม้เป็นชื่อย่อของคนในรูปถ่าย K&I
“อึก” ลมหายใจของเขาติดขัด ดวงตาพร่าเลือน รอยเปื้อนสีน้ำตาลยังคงเกาะติดกับพวงกุญแจ
วันนั้นพี่กรณ์เอากุญแจใส่ไว้ในกระเป๋าเสื้อ
เลือดสาดกระจายเลอะเทอะไปทั้งบริเวณ ส่วนที่เหลือก็ไหลอาบจนเสื้อเชิ้ตที่ใส่อยู่ชุ่มโชกด้วยสีแดงฉาน อินทัชกรีดร้องกอดร่างไร้วิญญาณ โหยไห้ราวกับจะขาดใจ กุญแจห้องพักที่ตั้งใจซื้อไว้อยู่ด้วยกันตกลงมาจากกระเป๋าเสื้อเลอะรอยเลือดเป็นหย่อม มัน ไม่มีประโยชน์อีกต่อแล้ว
“..พี่...ดีน” เด็กหนุ่มทิ้งตัวลงนอนกับพื้นห้อง มือขยุ้มเสื้อหายใจไม่ออกด้วยความทรมาน น้ำตาไหลออกมามากมาย พี่ดีน พี่ดีน พี่ดีน เขาคิดถึงคนรักซ้ำๆ เพื่อเตือนสติตัวเอง สองมือเริ่มจิกเกร็งจนข้อนิ้วซีดขาว ทั้งร่างสั่นไปหมดควบคุมอะไรไม่ได้
นอกหน้าต่างตอนนี้ฝนเริ่มตกหนักขึ้นจนเกิดเสียงดังก้อง ยิ่งกระตุ้นให้คนเกลียดฝนสั่นกลัว
“พี่คิดอะไรอยู่”“อินถามว่าพี่คิดอะไรอยู่!!!”“พี่สัญญาแล้วว่าเราจะอยู่ด้วยกัน พี่สัญญาแล้ว!!”“อย่าทิ้งอินไปนะ ได้โปรด”“อย่า..ทำแบบนี้... พี่สัญญาแล้ว...” เด็กหนุ่มปรือตามองออกไปนอกหน้าต่างเหม่อลอยพึมพำออกมาโดยไม่รู้ตัว
“แม่งเอ้ย!!” ท่ามกลางสายฝนที่ตกหนักขึ้น ชายหนุ่มผิวสีแทนพยายามตบแก้มตัวเองเรียกสติ ไมล์หน้าปัดรถพุ่งเกือบสูงสุดเท่าที่ทำได้
ดีนกัดฟันข่มความเจ็บปวดที่ขึ้นเป็นริ้วจนตาพร่า พอถึงโรงพยาบาลเขาก็อาละวาดไม่ยอมให้หมอตรวจ ไม่อยากเสียเวลาแม้แต่นิดเดียว หลังจากโวยวายจนยึดเอากุญแจรถของพี่ศรณ์มาได้ก็ขับออกมาไม่ฟังเสียงทัดทานของใคร เสื้อผ้าเปียกชุ่มด้วยน้ำฝน หนาวเย็นจนสั่นจากแอร์ในรถ เขาไลน์ไปหาน้องตั้งแต่หนีออกมาได้แต่ภามก็ไม่ติดต่อกลับมา ไม่รับโทรศัพท์ไม่สักอย่าง ชายหนุ่มพยายามเค้นความทรงจำนึกถึงบ้านของกรณ์ที่เลือนราง ทุกอย่างเป็นไปตามสัญชาตญาณ
เสียงมือถือดังขึ้นจนคนขับที่กำลังเคร่งเครียดสะดุ้ง หน้าจอแสดงชื่อพี่ศิลป์ยิ่งทำให้ใจหาย เขาลืมไปได้ยังไงว่าภามอยู่กับพี่ศิลป์
“ฮัลโหลพี่”
“ไอ้ดีนมึงอยู่ไหน” เสียงอีกฝ่ายราวกับตะโกน มันดูลุกลนผิดนิสัยพี่ชายที่เขารู้จักมาตลอด
“กำลังไปบ้านพี่นั่นแหละ” พูดพลางหมุนพวงมาลัยไปตามทาง หยุดชะงักเมื่อเจอรถติดยิ่งทำให้หงุดหงิดงุ่นง่าน
“ภามหายไป” ศิลป์รีบเข้าเรื่องอย่างไม่รอช้า
“อะไรนะ!!”
“น้องหายไป พี่ปล่อยให้น้องอยู่ในบ้านกลับมาอีกทีภามก็ไม่อยู่แล้ว ไอ้ดีนฟังนะ พี่เจออัลบั้มภาพกับกล่องใส่ของหล่นเกลื่อนอยู่ ภามน่าจะเห็นมัน” พยายามอธิบายให้รุ่นน้องเข้าใจ “....มึงจำได้ไหม ที่มึงเคยให้หาคน”
ดีนกลืนน้ำลายแทบไม่ลงคอ มือบีบพวงมาลัยแน่น “จำได้..ผมให้พี่หากรณ์กับอินทัช” ได้โปรดขอให้ทุกอย่างมันผิดพลาด ได้โปรดขอให้เป็นแค่เรื่องเข้าใจผิด ได้โปรด...
“กรณ์คือลุงของพี่” ศิลป์พูดเสียงดังฟังชัดเพื่อไม่ให้ผิดพลาด “และเป็นลุงของภาม คนที่มึงหามาตลอดคือญาติพี่เอง”
คำตอบกลับทำลายความหวังครั้งสุดท้ายจนแหลกสลาย ดีนทุบพวงมาลัยดังโครมขบกรามแน่นจนสั่นทั้งตัว ทำไมเขาถึงปล่อยน้องไปคนเดียว เขาทำลงไปได้ยังไง!?
รอยยิ้มของน้องกำลังจะหายไป ความสุขของน้องกำลังแหลกสลาย ไม่อยากให้รับรู้ อยากปกป้องเอาไว้ในอ้อมแขนไม่อยากให้รู้อะไรเลย
เสียงสายซ้อนทำให้ดีนผละโทรศัพท์ออกดู และชื่อนั้นสร้างความโล่งใจให้เขาถึงที่สุด
ภาม..
“แค่นี้ก่อนนะพี่” ดีนตัดสายทิ้งเปลี่ยนมารับสายน้องทันที
“พี่ดีน...อึก” เสียงสะอื้นผ่านสัญญาณโทรศัพท์ฟังดูปวดร้าว ดีนรู้สึกร้อนผ่าวที่หัวตา
“คนดี อยู่ที่ไหนครับพี่จะไปรับ” ชายหนุ่มพยายามข่มเสียงที่สั่นไปหมด “ภาม..น้องภาม” เขาเรียกย้ำๆหากอ่อนโยนราวกับกลัวน้องจะแตกสลาย
“พี่รู้.....” เด็กน้อยตอบกลับเสียงแผ่ว “
ผมอยู่ที่บ้าน..ของเรา..”
“ภาม!!!” สายตัดไปอีกครั้ง คราวนี้ไม่ว่าโทรเท่าไหร่ก็ไม่ติดราวกับเจ้าของเครื่องอยู่ในที่อับสัญญาณไม่ก็ปิดเครื่องไปแล้ว
บ้านของเรา บ้านของเรา ดีนกัดฟันกรอด ไม่ใช่คอนโดน้องแน่ๆ ภามอยู่ที่ไหน จะไปหลบอยู่ที่ไหน
----
“พี่กรณ์จะซื้อห้องในตึกนี้จริงเหรอ”“อืม เพิ่งสร้างเสร็จใหม่ๆเลย มีลิฟต์ด้วยนะ” คอนโดถือว่าเป็นของใหม่แปลกตาในสมัยนี้ ถึงจะแค่8ชั้นแต่ก็มีลิฟต์เรียกได้ว่าหรูหราพอตัว“พ่ออินไม่ชอบคอนโดเลย บอกว่าซื้อที่ในอากาศไม่มีที่ดินของตัวเอง”ชายหนุ่มหัวเราะ “พ่อพี่ก็เหมือนกัน..” เขาบีบมือน้องแน่น “แต่ซื้อที่ในอากาศก็ถูกแล้วล่ะ เพราะเราวิวาห์เหาะไง” อินทัชยักคิ้วหัวเราะชอบใจคำพูดตัวเอง กรณ์ก็พลอยขำไปด้วย ความรักที่เลือนรางเหมือนสร้างวิมานในอากาศ----
ชายหนุ่มกลับรถแทบจะในทันที เสียงรถเบรกกันลั่นถนนตามด้วยเสียงบีบแตรด่าให้ลั่น หากเขาไม่สนใจอะไรเลย คอนโดที่พวกเขาสองคนซื้อเอาไว้อยู่ด้วยกัน คอนโดที่อยู่ห่างออกไปอีกฝั่งของเมือง
ภามรอพี่ก่อน รอพี่ก่อนนะ
(ต่อรีพลายถัดไป)