มาแล้ว!! ตื่นปุ๊บมาลงปั๊บ

--------------------------------------------------------------------------------------------------
ตอนที่ 2ร่างกายที่หนักอึ้งทำให้ขยับตัวได้ไม่สะดวก ไอแดดจากด้านนอกส่องเข้ามากระทบผิวหน้า ทำให้รู้ว่าตอนนี้เป็นเวลาเช้า ผ้าทึบยังคงถูกคาดปิดตา มือข้างขวาถูกล็อคด้วยกุญแจมืออยู่กับหัวเตียง ส่วนมืออีกข้าง....เป็นอิสระ ผ้าผืนใหญ่คลุมร่างกายเปลือยเปล่าถึงหน้าอก ลำคอแห้งผาก รู้สึกถึงไอร้อนจากตัว แต่ก็ยังสัมผัสได้ถึงไอเย็นจากเครื่องปรับอากาศ มันจะดีกว่านี้...ถ้าไม่มีกลิ่นคาวเลือดและหยาดรักที่เปรอะเปื้อนบนตัวผม
“หึหึหึ”ผมส่งเสียงหัวเราะเยาะโชคชะตาตัวเองเบาๆ ทำอะไรเอาไว้ถึงได้มาเจอไอ้พวกนี้.....มันทำอย่างนี้เพื่อความสนุกงั้นเหรอ...หรือเงิน....แล้วเมื่อไหร่ผมจะเป็นอิสระ....เมื่อไหร่จะหลุดไปจากที่นี่ได้
“หัวเราะอะไรวะ....บ้าไปแล้วเหรอมึง”เสียงทุ้มดังจากมุมห้อง ผมลืมไปเสียสนิทว่ามือข้างหนึ่งเป็นอิสระแล้ว ผมรีบยกขึ้นมาเพื่อแก้ปมผ้าด้านหลังออก
“โอ้ย!!”เพียงแค่แตะถูกปมผ้า มือก็โดนกระชากแรงจนเจ็บ รอยแผลรอบๆ ข้อมือจากเชือกที่มัดเมื่อวานยังคงความแสบอยู่มาก และยังอีกข้างที่เสียดสีกับโลหะเย็นๆ ตลอดยิ่งรู้สึกเจ็บจนชา
“อย่าแกะผ้าออก ถ้ามึงยังอยากออกไปจากที่นี่ ไม่งั้น....มึงได้อยู่จนตายแน่ แต่กว่าจะตาย...คงทรมานกว่าเมื่อวานหลายเท่า”คนพูดต้องการอะไร ในเมื่อไม่อยากให้ผมใช้มือนี้ทำสิ่งที่ผมต้องการ แล้วจะให้อิสระกับมันทำไม จะล็อคผมทั้งสองมือเลยก็ได้นี่ พวกมันต้องการเล่นสนุกอะไรอีก
“กินข้าวซะ”มือหนาดึงผมให้ลุกขึ้นนั่ง เพียงแค่ขยับก็เจ็บร้าวไปทั่วทั้งตัว โดยเฉพาะด้านหลังที่เจ็บแสบจนต้องกลั้นใจเวลาขยับตัว กล่องโฟมถูกยื่นมาวางไว้บนตัก พร้อมกับช้อนที่ยัดใส่มือผม...นี่สินะ...ที่ทำให้มือผมเป็นอิสระ....เพื่อไว้ช่วยเหลือตัวเองแบบนี้นี่เอง
ตุบ!!
“กูนึกแล้ว...ดีนะไม่เอาใส่จานมา”น้ำเสียงหงุดหงิดเมื่อผมโยนกล่องข้าวในมือออกไปด้านข้าง ไม่สนใจว่ามันจะตกตรงไหน แต่...ผมไม่ยอมกินเด็ดขาด
“ทำไม”เพียงสิ่งเดียวที่อยากรู้ และอยากได้คำตอบ
“หือ...ทำไมถึงจับมึงมาน่ะเหรอ”เสียงคนถูกถาม ถามย้อนกลับอย่างสบายอารมณ์
“ทำไม”
“ก็แล้วมึงไปก่อเรื่องอะไรไว้ล่ะ หรือว่าเที่ยวหลอกลวงเขาไปทั่ว เลยจำไม่ได้ว่ามีโจทก์กี่คน หน้าอ่อนๆ อย่างนี้ไม่น่าแส่หาตีนเลยว่ะ”
“ผม..ไม่เคยมีเรื่องกับใคร ถ้าทำอะไรใครไว้ก็เคลียร์กันดีๆ สิ ไม่ใช่ใช้วิธีหมาลอบกัด!!”คำพูดแต่ละคำที่ออกมาแทบจะต้องเค้นเสียงทั้งหมด ไม่ใช่ว่าไม่กลัว แต่เพราะความรู้สึกที่อัดอั้นอยู่ทำให้กล้าพูดออกมา ผมจะรอดหรือเปล่าก็ไม่รู้ จะเจ็บมากกว่าเดิมก็ไม่สนแล้ว เพราะผมคงไม่เจ็บไปมากกว่านี้ได้อีก
“เก็บปากเก็บคำไว้หน่อยเถอะมึง อยากตายเร็วหรือไงวะ”
“ดักตีหัวคนอื่นข้างหลัง แถมยังรังแกคนไม่มีทางสู้ ไม่ให้เรียกหมาลอบกัดจะให้เรียกว่าอะไร ทั้งลอบกัด ทั้งหมาหมู่....ขี้ขลาด”
เพี๊ยะ!!!“หึ....พวกป่าเถื่อน ดีแต่ใช้กำลัง ฟังสิ่งที่ตัวเองทำกับคนอื่นไม่ได้หรือไง....
วิปริต”ผมจำเสียงคนพูดได้ดี คนที่รุกล้ำเข้ามาในร่างกายผม คนที่สร้างบาดแผลให้ผมมากกว่าคนอื่น
“อึ๊...อื้อออออ”ท้ายทอยถูกล็อคแน่นพร้อมริมฝีปากที่บดจูบ และขบกัดปากล่างแรงจนได้เลือด บาดแผลจากเมื่อวานยังไม่หาย เจ็บเพิ่มขึ้นอีกสักหน่อยจะเป็นไรไป
“อย่ายั่วให้กูโมโหนักเลยน่า มึงจำเรื่องเมื่อคืนไม่ได้รึไง....ว่าคนอื่นวิปริต...แล้วคนที่นอนอ้าขาร้องครวญครางจนเสร็จน่ะ....เขาเรียกว่าอะไร”คำพูดตอกย้ำความอับอายของตัวเอง ถึงจะเจ็บและทรมาน แต่ร่างกายกลับตอบสนองการกระทำที่อีกฝ่ายมอบให้ ฝ่ามือที่ปรนเปรอจนถึงขีดสุดแห่งอารมณ์....ความทรงจำเรื่องนั้นยังชัดเจน...และเป็นเรื่องเดียวที่ทำให้นึกรังเกียจตัวเองที่เผลอไผลกับแรงอารมณ์
“เถียงไม่ออกเลยหรือไง....มึงก็ชอบแท้ๆ ถ้ายอมดีๆ ก็ไม่เจ็บแล้ว”
“...ยอมดีๆ...ไม่ได้วิปริตแบบนายนี่...จะได้ยอมอ้าขาให้ผู้ชายน่ะ”
“ปากดีอีกแล้วนะมึง หน้าสวยๆ ช้ำหมด หน้าอย่างนี้คงผ่านมาเยอะล่ะสิไม่ว่า แต่หวังว่ามึงจะไม่เป็นโรคอะไรนะ เมื่อคืนกูลืมใส่ถุงด้วย ไม่คิดว่าจะฟิตแบบนี้ ดูแลตัวเองดีเหมือนกันนี่หว่า”
“คนมันต่ำก็คิดแต่เรื่องต่ำๆ เท่านั้นแหล่ะ หรือเกลือกกลั้วกับเรื่องพวกนี้มากจนแยกแยะไม่ออก”คำประนามที่มีให้ยังไม่เท่าความเจ็บที่ผมได้รับ นอกจากการกระทำที่โหดร้าย ผมยังต้องถูกกล่าวหาว่ามั่วผู้ชายอีกเหรอ มันแยกไม่ออกหรือไง ว่าผ่านมาแล้ว...กับครั้งแรกน่ะ...ต่างกันยังไง
“......หมายความว่าไง....ก็ไหน......เหี้ยแล้ว”มันพูดเหมือนไม่มั่นใจ ก่อนจะถอยห่างจากผมและได้ยินเสียงเปิดปิดประตู เสียงโหวกเหวกด้านนอกดังขึ้นทันที คำพูดมันทำให้ผมพอจะเดาออกว่า...ถ้าไม่จับตัวมาผิด..ก็เข้าใจผิด....บอกแล้ว...ผมมันตัวซวยจริงๆ...นำความซวยมาให้ตัวเองตลอด
ผมยกมือแตะที่ปมผ้าด้านหลัง หากผมแกะผ้านี้ออก...ผมอาจหาทางหนีไปจากที่นี่ได้ หรือไม่ก็จำหน้าพวกมันเพื่อไปแจ้งความทีหลัง...แจ้งความ....อา...นี่สิปัญหา จะให้ผมเล่ารายละเอียดความอัปยศที่เกิดขึ้นงั้นเหรอ แล้วยังเรื่องที่มันถ่ายวีดีโอเอาไว้อีก ผมเริ่มเข้าใจแล้วว่าทำไมผู้หญิงที่โดนข่มขืนถึงไม่กล้าไปแจ้งความ
“ข้าวกล่องใหม่ กินดีๆ นะมึง ไม่งั้นได้เจ็บหนักกว่าเมื่อวานแน่”เสียงเปิดประตูพร้อมกล่องข้าวที่โยนมาไว้ใกล้มือ น้ำเสียงที่ต่างออกไปทำให้รู้ว่าคนที่เข้ามาไม่ใช่คนเดิม
“เดี๋ยวก่อน”
“มีอะไร”
“......อยากเข้าห้องน้ำ”ผมกลั้นใจบอกไป ไม่แน่ใจว่าคำขอเพียงอย่างเดียวจะได้รับการตอบสนองหรือเปล่า แต่...ก็ลองเสี่ยงดู เขาเดินมาใกล้ๆ ผมแล้วไขกุญแจมือที่ล็อคหัวเตียง มาล็อคมือผมไว้ด้วยกัน แขนแกร่งดึงผมให้ลุกจากที่นอน การขยับตัวเพียงนิดเดียวก็ปวดร้าวไปหมด ผ้าห่มที่คลุมกายเลื่อนหลุดไปทำให้รู้สึกเย็นวาบเพราะร่างกายที่เปลือยเปล่า
“ขอกางเกงได้มั้ย”การร้องขอครั้งแรกได้รับการตอบรับ ทำให้ผมกล้าที่จะเรียกร้องมากขึ้น
“.....อ่ะนี่ ผ้าเช็ดตัว เอาพันไว้ก่อน”ผ้าผืนนุ่มถูกยัดใส่มือ ผมกำผ้าไว้นิ่ง มือที่ถูกล็อคไว้สามารถช่วยเหลือตัวเองได้อย่างที่ต้องการ
“......รอนี่ก่อน”ท่าทางเขาจะรู้ว่าผมไม่สามารถพันผ้าด้วยตัวเองได้ เขาผละห่างจากผมไปเพียงครู่ก็กลับมายืนใกล้ผมใหม่
“นี่กางเกง”กางเกงขาสั้นถูกยัดใส่มือ ผมทิ้งผ้าเช็ดตัวลงบนพื้น ค่อยๆ ก้าวขาสอดเข้าไปในกางเกงอย่างยากลำบาก ความปวดร้าวมีมากกว่าจะทรงตัวไหว ยังดีที่คนตรงหน้าจับแขนผมเอาไว้
“.....ขอบใจ”
“อืม”มือที่จับแขนผมไว้บีบแรงมากขึ้นเพื่อรับน้ำหนักตัวผม การเดินจากเตียงไปห้องน้ำใช้เวลาไม่นาน แต่เจ็บแทบตาย พอเข้ามาด้านใน คนที่จับผมไว้ก็ปล่อยให้ผมทำธุระเพียงลำพัง เขาถอยออกไปยืนด้านนอก แต่ไม่ปิดประตูให้ ผมพยายามคลำหาผ้าสักผืนในนี้ แล้วก็มีผ้าผืนเล็กๆ ว่างใกล้ๆ อ่างล้างหน้า เอาผ้ามาชุบน้ำแล้วเช็ดตามเนื้อตัวจนรู้สึกว่าสะอาดขึ้น ช่องทางด้านหลังแสบและรู้สึกเหมือนมีเลือดซึมอยู่ตลอด ผมกัดฟันอดทนต่อเจ็บและแสบเพื่อทำความสะอาดเท่าที่ทำได้ พอแต่งตัวเรียบร้อยก็คลำหาประตูและเดินออกมาด้านนอก ขาผมสั่นแทบยืนไม่ไหว มือแกร่งคว้าเอวผมไว้ก่อนที่จะทรุดลงไปกองบนพื้น
ระยะทางจากห้องน้ำกลับมาถึงเตียงดูเหมือนจะไกลกว่าเดิม แต่ละย่างก้าวเป็นการเพิ่มความทรมานที่ช่องทางด้านหลัง ผมทรุดตัวนอนลงบนเตียงอย่างเหนื่อยหอบ มือข้างหนึ่งเป็นอิสระในขณะที่อีกข้างถูกล็อกไว้ตามเดิม
“อ่ะ นี่กล่องข้าว”กล่องข้าวถูกจับยัดใส่มือผมที่นอนแผ่อยู่กลางเตียง ผมปัดกล่องออกไปให้ห่างจากตัว ไอร้อนจากร่างกายที่มีอยู่เหมือนจะเพิ่มมากขึ้น สมองเริ่มเบลอแต่ก็ยังรับรู้เรื่องราวรอบตัวได้ดี
“ไม่หิว....อยากนอน”ผมดึงผ้าห่มมาคลุมกายไว้ อาการหนาวๆ ร้อนๆ เพราะพิษไข้เริ่มเล่นงานหนัก
“กินซะหน่อย เดี๋ยวเอายามาให้”มือคู่เดิมดึงตัวผมให้ลุกขึ้นนั่งพิงหัวเตียง ข้าวกล่องถูกหยิบอื่นให้อีกครั้ง ผมคลำๆ แล้วก็เปิดกล่องข้าวออกมา ด้านในมีช้อนอยู่ ผมไม่แน่ใจว่าอาหารที่กำลังจะกินคืออะไร ปกติผมทานรสจัดไม่ได้ แต่...ยังไงก็คงต้องกินสินะ
ข้าวคำแรกถูกกลืนลงไป รสชาดข้าวผัดเป็นที่ถูกปาก ผมลงมือกินต่อเนื่องจนลืมอีกคนเสียสนิท พอกินข้าวจนเกือบหมดกล่อง คนที่ผมลืมไปก็กลับมาใหม่
“นี่น้ำ แล้วก็ยา”น้ำหนักที่กดลงทำให้รู้ว่าคนพูดนั่งลงข้างๆ กล่องข้าวถูกหยิบออกไป ผมรับยามากลืนลงไปก่อนจะดื่มน้ำในแก้วตามจนหมด
“นอนไปซะ ตื่นมาอะไรมันคงดีขึ้น”เสียงคนพูดดังห่างออกไป คำพูดคล้ายปลอบโยนทำให้เบาใจ อย่างน้อยในสถาณการณ์เลวร้าย หากมีใครสักคนที่เห็นใจเราบ้าง...มันก็เหมือนกับมีพวก…คำพูดปลอบใจที่ไม่รู้ว่าจะเป็นจริงหรือเปล่าทำให้ใจชื้นขึ้น....มันคงไม่เลวร้ายไปกว่านี้แล้วล่ะ
ผมหลับไปไม่นาน อาการอึดอัดจนแทบหายใจไม่ออกทำให้รู้สึกตัวตื่น ร่างกายหนักอึ้ง อาการปวดระบมเหมือนจะมากกว่าเดิม ยิ่งนานยิ่งรู้สึกเหมือนขาดอากาศหายใจ
“...ชะ...ช่วยด้วย.....”เสียงแหบพร่าที่พูดออกมาเบาจนตัวเองยังแทบไม่ได้ยิน ผมควานหาสิ่งของใกล้มือจนพบแก้วน้ำที่หัวเตียง หยิบมาได้ก็ขว้างไปด้านหน้าสุดแรง ขอให้มันกระทบกับอะไรก็ได้...ขอให้เกิดเสียงดังมากพอที่พวกมันจะได้ยิน
เพล้ง!!!เสียงมันดังกว่าที่ผมคิดเอาไว้ เหมือนกับกระทบกระจกบานใหญ่จนแตกกระจาย เสียงมันดังจนทำให้คนข้างนอกเปิดประตูเข้ามาอย่างรวดเร็ว
“
เฮ้ย!! ทำเหี้ยไรวะ ตู้เสื้อผ้ากูพังหมด”คนที่เข้ามาไม่ใช่คนที่ผมอยากให้เป็น ผมไม่แน่ใจว่าคนแบบมันจะมีความสงสารให้ผมหรือเปล่า
“.....เป็นไร.....หายใจไม่ออกเหรอวะ”เสียงฝีเท้าเดินเข้ามาใกล้ ผมพยักหน้ารับ อาการอึดอัดแบบนี้ไม่ได้เป็นนานแล้ว หากผมไม่ได้กินอาหารบางอย่างเข้าไปคงไม่แพ้หนักขนาดนี้…ผมคงหิวและรีบกินมากจนไม่รู้ตัวว่าเคี้ยวอะไรไป...ข้าวผัด...อา....ผมแพ้พืชจำพวกถั่วนี่นา....ข้าวผัดที่กินไปคงจะมีมันผสมอยู่ด้วย.....หึหึ....นึกว่าจะไม่มีอะไรเลวร้ายลงแล้วซะอีก.....ที่ผมยังซวยไม่พอหรือไง
“เฮ้ย ทำไมผื่นขึ้นขนาดนี้วะ ซวยแล้วมั้ยล่ะ”เสียงมันโวยวายดังจนได้ยินฝีเท้าหลายคนวิ่งมาด้านใน ผมควานมือสะเปะสะปะเพื่อระบายอาการอึดอัดที่เกิดขึ้น
“ไปสตาร์ทรถสิวะ จะปล่อยให้มันตายหรือไง”เสียงคนที่ผมอยากได้ยินดังใกล้ๆ ตัว อ้อมแขนแกร่งอุ้มผมขึ้นมา อย่างน้อย...คนๆ นี้ก็คงจะดีกว่าคนอื่น...เขาคง..ไม่ปล่อยให้ผมตายแน่ๆ
เสียงคนวิ่งตะโกนอย่างตกใจ ผมถูกอุ้มลงบันไดหลายขั้น ฝ่ามือชื้นเหงื่อกำเสื้อตัวเองไว้แน่น ไอแดดและแรงลมด้านนอกกระทบผิวทำให้ต้องห่อตัว พิษไข้กับอาการหายใจไม่ออกตีกันจนไม่รู้ว่าอาการไหนหนักกว่า ครู่เดียวผมก็นอนนิ่งอยู่หลังรถ เสียงล้อบดถนนเมื่อออกตัวทำให้ใจชื้น ถ้าผมถูกนำตัวไปรักษา...ผมก็จะรอดสินะ...ผม......
รอดแล้ว-------------------------------------------------------------------------------
ชอบหรือไม่ชอบติชมได้นะจ้ะ

ย้ำๆๆ คนเขียนบอกว่า นี่เป็นนิยาย
รัก ไปดีกว่า
