มาแล้ววววววววววววววว
----------------------------------------------------------------------------------------
ตอนที่ 3ฝ่ามืออุ่นสะกิดต้นแขนเบาๆ ผมค่อยๆ หรี่ตาขึ้นมามอง แสงไฟสีขาวสว่างแสบตา ผมใช้เวลาปรับสายตาเพียงครู่ก็สามารถมองบรรยากาศรอบตัวได้เต็มที่.. ..ที่นี่...คงเป็นโรงพยาบาลสินะ.เตียงคนไข้ค่อนข้างจะหรูหรา บรรยากาศในห้องก็บ่งบอกถึงราคาที่แสนแพง ห้องพิเศษแบบนี้ราคาคืนละเท่าไหร่กัน...ผม..จะมีปัญญาจ่ายไหวไหมเนี่ย
“ขอวัดไข้หน่อยนะคะ”เสียงพยาบาลที่ปลุกผมบอก ผมขยับแขนให้ปรอทวัดไข้สอดเข้ามาได้สะดวก มือข้างที่ไม่มีสายน้ำเกลือกำลังถูกวัดความดัน
“....ที่นี่โรงพยาบาลอะไรครับ”
“ไม่ใช่โรงพยาบาลหรอกค่ะ แค่คลีนิคน่ะ”พี่พยาบาลเก็บอุปกรณ์ทั้งหมดเสร็จก็เดินไปเปิดม่านให้เห็นบรรยากาศด้านนอก....ผม...
อยู่ที่ไหนกันทุ่งดอกทานตะวันด้านนอกบานสะพรั่งรับไอแดด ท้องฟ้าใสตัดกับสีเขียวเข้มของทิวเขา บรรยากาศด้านนอกสวยงามอย่างที่ไม่เคยเห็น แต่นอกเหนือจากนั้น...ที่ไหนกัน...จะมีป่าเขารายล้อมแบบนี้
“เอ่อ...พี่ครับ...ที่นี่ที่ไหน..คือ จังหวัดอะไรครับ”
“สระบุรีไงจ๊ะ อืม...อาการน้องไม่มีอะไรแล้ว มีไข้เล็กน้อย ความดันปกติ รายอะเอียดที่เหลือรอคุณหมอมาบอกเองแล้วกันนะ”พี่พยาบาลเดินไปปิดไฟก่อนจะออกจากห้อง หากยังปิดม่านไว้ผมคงคิดว่าที่นี่เป็นโรงพยาบาลเอกชนในกรุงเทพฯ แน่ๆ
บรรยากาศเงียบสงบทำให้รู้สึกปลอดโปร่งขึ้น แต่อาการเจ็บปวดทางร่างกายยังคงหลงเหลือไว้....ผม...ยังไม่ตาย....นี่คงเป็นโชคดีอย่างเดียวที่ผมเหลืออยู่ ต่อให้พบเจอเรื่องเลวร้ายขนาดไหน แต่ผมก็ยังมีชีวิตอยู่....ยังคงจดจำเรื่องราวต่างๆ ได้ดี.....จะรู้สึกดีกว่านี้มั้ยถ้าเหตุการณ์ที่ผ่านมาเป็นเพราะการจับผิดตัว....แต่ก็นั่นล่ะ....จะผิดได้อย่างไร ในเมื่อมันเรียกชื่อผมเสียเต็มสองหู....แต่ก็...ช่างมันเถอะ....ยังไงมันก็ผ่านมาแล้ว....ต่อให้รู้เหตุผลแล้วยังไง....แก้ไขอะไรได้เหรอ
ผมนอนดูทีวีสักพักก็มีคุณป้านำอาหารเที่ยงมาให้ ผมกินไปจนหมด รอจนบ่ายสองโมงกว่าๆ หมอถึงมาตรวจ ดูจากหน้าตาแล้วคงอายุประมาณสามสิบ
“อาการแพ้ไม่มีแล้วนะครับ เหลืออาการไข้อยู่นิดหน่อย พรุ่งนี้ก็คงหาย บาดแผล...อื่นๆ ก็ดีขึ้นแล้ว เวลาขยับตัวน้องอาจเจ็บอยู่บ้าง ช่วงนี้ก็ทานอะไรที่ย่อยง่ายๆ ไปก่อนนะครับ”คำอธิบายอาการของหมอหนุ่มทำเอาผมหน้าชา ถึงจะไม่ระบุว่าบาดแผลส่วนไหน แต่...ก็รู้ดีอยู่แก่ใจ
“ผม...มาอยู่ที่นี่ได้ไงครับ”
“เอ่อ....มีคนเอาน้องมาส่งไว้ที่หน้าคลีนิคน่ะ แต่ไม่มีคนเห็น พาน้อง....ทิ้งไว้หน้าคลีนิคแล้วก็ออกรถไป มีเรื่องอะไรกันเหรอ อยากแจ้งความมั้ย เดี๋ยวหมอเรียกตำรวจมาที่นี่ให้”ยังดีที่พวกมันไม่เอาผมไปทิ้งในป่า อย่างน้อยก็ยังมีความเป็นคนอยู่สินะ
“....ผมจำหน้า...ไม่สิ ผมไม่เห็นหน้าพวกมันสักคนเลย แล้ว....ผมก็ไม่กล้าแจ้งความด้วยครับ”
“อืม...หมอเข้าใจ ถ้ามีอะไรให้หมอช่วยก็บอกได้นะ”
“หมอ...ตรวจเลือดให้ผมหน่อยได้มั้ยครับ....ตรวจโรคน่ะ”คำขอร้องของผมทำให้ดวงตาหมอเบิกกว้างอย่างตกใจ ก่อนจะปรับสีหน้าที่บ่งบอกว่าเห็นใจและสงสารผมแทน ถ้าผมติดโรคจากพวกมันล่ะ ผมจะโชคร้ายถึงขั้นนั้นมั้ย ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกสะอิดสะเอียน
หมอจะให้พยาบาลมาเจาะเลือดและน้ำลายผมไปตรวจตอนเย็น ผมถามหมอถึงที่ๆ ผมอยู่ ที่นี่เป็นคลีนิคที่ติดกับรีสอร์ท คนป่วยบางส่วนจะเป็นนักท่องเที่ยวที่มาที่นี่ การตกแต่งจึงค่อนข้างหรูหราตามรีสอร์ทไปด้วย
“ทิวเหรอ นี่พายนะ”ผมใช้โทรศัพท์ในห้องพักโทรไปหาเพื่อนสนิท ไม่ได้ไปเรียนสามวัน มันคงเป็นห่วง ปกติถึงผมจะไม่ใช่เด็กรักเรียนอะไรมาก แต่ก็ไม่เคยขาดโดยไม่บอกมันก่อน
“พายหายไปไหนมาวะ ทำไมไม่มาเรียน วันนี้มีเทสต์ย่อยด้วยนะ”เสียงบ่นแกมห่วงดังจากปลายสาย ผมอมยิ้มน้อยๆ ให้ความโชคดีเล็กๆ ที่ได้มีเพื่อนแบบทิว
“โทษที พอดีไม่สบายนิดหน่อยน่ะ กลัวจะตกใจเลยโทรมาบอก ไปบอกอาจารย์ให้หน่อยสิว่ากลับไปแล้วจะขอสอบทีหลัง”
“เดี๋ยวจะลองไปคุยให้ ไม่รู้แกจะยอมหรือเปล่านะ แล้วนี่ไม่สบายหนักมั้ย เสียงแปลกๆ”
“อืม ก็ดีขึ้นมากแล้ว ไม่ต้องห่วงนะ ตอนนี้อยู่ต่างจังหวัดด้วย อีกสองสามวันจะกลับ ฝากลาด้วยนะ”
“เฮ้ย ไปตั้งแต่เมื่อไหร่ มีอะไรหรือเปล่า บอกมาตรงๆ ดีกว่า”
“ไม่เป็นไรจริงๆ มันกระทันหันน่ะ ไว้เจอกันที่มหาลัยแล้วกัน แค่นี้ก่อนนะ”ผมรีบวางสายไป กลัวทิวจะจับพิรุธผมได้ มันรู้ดีว่าผมไม่ค่อยมีญาติที่ไหนให้ไปมาหาสู่ พ่อผมเคยรับราชการแต่ก็เสียชีวิตไปหลายปีด้วยโรคที่เกิดจากความไร้สติ ไร้ความรับผิดชอบ พ่อดื่มจัดและสูบจัดในปริมาณที่เท่าๆ กัน ไม่แปลกใจเลยที่จะเป็นโรคตับและถุงลมโป่งพอง แม่ผมก็เป็นแค่ช่างตัดเสื้อในร้านเล็กๆ และทำขนมส่งตามร้านขายของชำในหมู่บ้าน หนี้สินจากค่ารักษาพยาบาลของพ่อทำให้ครอบครัวผมขัดสนมากกว่าเดิมอีกเท่าตัว โชคดีที่ผมไม่มีน้อง...ไม่งั้นแม่คงลำบากมากกว่านี้
“ขอบคุณหมอมากนะครับ ไว้ผมกลับไปถึงบ้านแล้วจะส่งเงินค่ารักษามาคืนให้ รวมทั้งเงินที่ยืมนี่ด้วย”ผมพักอีกแค่คืนเดียวก็ได้กลับบ้าน ทั้งเนื้อทั้งตัวไม่มีอะไรที่เป็นของผมเลย เสื้อผ้าที่ใส่อยู่ก็ได้หมอนพ คนที่รักษาผมเป็นคนแบ่งปันเสื้อผ้าตัวเองมาให้ รวมทั้งเงินอีกหนึ่งพันบาทเพื่อเป็นค่าเดินทาง หมอขับรถมาส่งผมที่ท่ารถ
“ไม่เป็นไรหรอกพาย ช่วยได้ก็ช่วยๆ กันไป ส่วนเรื่องผลตรวจน่ะ...จะส่งไปให้ทีหลังนะ”
“ครับ ขอบคุณนะครับ”ผมยกมือไหว้อีกครั้ง รถบัสสีน้ำเงินเข้ามาจอดที่ท่ารถ ผมไหว้หมออีกครั้งก่อนจะหันหลังแล้วเดินขึ้นรถ ภายในสามวันที่ผ่านมา...ผม...ได้พบทั้งคนที่เลวร้ายจนไม่คิดว่าจะมีคนเลวได้ถึงเพียงนี้...และได้พบ...คนที่ดี...ดีกว่าใครหลายคนที่เคยเจอ.....ถ้าผมหัวเราะเยาะให้กับความโชคร้ายของตัวเอง...ผมก็คงต้องร้องไห้กับความโชคดีนี้เช่นกัน
ตั้งแต่ขึ้นรถมา ผมนั่งหลับตาตลอดทาง ต่อให้ทัศนียภาพรอบด้านจะสวยงามเพียงใด....ผมก็ไม่อยากจดจำ ระยะทางจากสระบุรีถึงกรุงเทพใช้เวลาไม่นาน ผมลงจากรถได้ก็นั่งรถเมล์กลับหอพัก ห้องผมอยู่ชั้นหก สุดทางเดิน ราคาห้องไม่ได้เพิ่มจากห้องอื่น เพราะห้องผมติดกับช่องทิ้งขยะ ถึงแม้จะกว้างกว่าห้องอื่นนิดหน่อย แต่...น้อยคนที่จะอยากอยู่ตรงนี้
“อ้าวพาย หายไปไหนมาตั้งหลายวัน”เสียงร้องทักจากเพื่อนข้างห้องที่เปิดประตูออกมาพอดี
“ไปต่างจังหวัดน่ะ แล้วนุไม่ไปทำงานเหรอวันนี้”
“ไปสิ กำลังจะออกไปนี่แหล่ะ พายรอแป๊ปนะ”นุเดินกลับเข้าไปในห้องก่อนจะเดินออกมาพร้อมถุงองุ่นในมือ
“เพื่อนมันเอามาฝากเต็มเลย กินไม่หมดน่ะ แบ่งไปนะ”นุยื่นถุงองุ่นแดงมาตรงหน้า ผมรับมาพร้อมส่งร้อยยิ้มให้เพื่อนผู้ใจดี
“โอ๊ะ สายแล้ว ไปก่อนนะ ไว้ค่อยคุยกัน”นุรีบวิ่งไปที่ลิฟต์ ผมยิ้มพลางส่ายหัวก่อนเดินเข้ามาด้านใน แสงไฟที่เปิดขึ้นทำให้เห็นบรรยากาศในห้องชัดขึ้น ทั้งห้องมีเพียงเตียงนอน คอมพิวเตอร์ พัดลมและตู้เสื้อผ้า ทรัพย์สินเพียงอย่างเดียวที่ผมเป็นเจ้าของคือคอมพิวเตอร์ที่ทำงานเก็บเงินซื้อตั้งแต่เรียนปีหนึ่ง....ทำงาน.....อา....ให้ตายเถอะ ผมขาดงานเกินสามวันโดยไม่ได้แจ้งล่วงหน้า....ผมคงถูกไล่ออกแล้วแน่ๆ ริมฝีปากแย้มยิ้มเยาะตัวเองอีกครั้ง ไม่ว่าจะพบเจอเหตุการณ์เลวร้ายเพียงใด....ก็คงทำได้แค่ยิ้มเยาะตัวเองเงียบๆ
ผมจัดการเก็บกวาดห้องที่ไม่ได้อยู่มาสามวัน เก็บเสื้อผ้าไปซัก จากนั้นก็นั่งอ่านหนังสืออยู่บนโต๊ะ หากพรุ่งนี้อาจารย์ใจดีให้ผมสอบก็คงดี หวังว่าใบรับรองจากหมอนพคงจะช่วยให้อาจารย์ใจอ่อน
“ทิวอาจารย์ว่าไงบ้าง”รุ่งเช้าผมรีบเดินมาหาทิวที่โต๊ะประจำ
“ก็ถ้าป่วยจริง มีใบลามายืนยันเขาก็จะให้สอบ ความประพฤติดีก็อย่างนี้แหล่ะ เป็นคนอื่นอย่าหวัง”
“เฮ้อ...นึกว่าจะอดสอบซะแล้ว”ผมนั่งลงข้างๆ พร้อมถอนหายใจอย่างโล่งอก ผมว่าไม่ใช่เพราะตัวผมหลอกที่ทำให้อาจารย์ใจอ่อน แต่เป็นเพราะหน้าและคารมย์มันต่างหากที่ทำให้ทุกคนใจอ่อนกับมัน หน้าตาดี การเรียนเด่น แถมยังรวยอีก
“ไปทำอะไรมา ทำไมหน้าเป็นแบบนี้”ทิวเอื้อมมือมาใกล้หน้าผม แต่ผมปัดออกด้วยความตกใจ อาการตื่นกลัวจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นยังหลอกหลอนผมอยู่ลึกๆ ใครก็ตามที่สัมผัสตัวผมโดยไม่บอกล่วงหน้าจะได้รับการผลักไสแบบนี้ตลอด ผมเริ่มกลัวการสัมผัสจากผู้ชายคนอื่น
“เอ่อ...ขอโทษ...พอดีเกิดอุบัติเหตุนิดหน่อยน่ะ..เราเอาใบรับรองแพทย์ไปส่งอาจารย์ก่อนนะ เจอกันบนห้อง”ผมรีบเก็บหนังสือแล้วเดินจากมา พยายามข่มอารมณ์ตัวเอง มือจับกระเป๋าไว้แน่น ถึงรู้ว่านั่นคือมือของเพื่อนรัก แต่เพราะไม่ทันได้ตั้งตัว มองเห็นอีกทีก็มีมือมาอยู่ตรงหน้า มัน....ไม่ไว้ใจ....บางทีผมอาจจะต้องไปพบจิตแพทย์
ผมรีบไปหาอาจารย์ที่ห้องพัก ความบอบช้ำบนใบหน้ายังเหลือร่องรอยให้เห็น อาจารย์แทบไม่มองใบรับรองแพทย์ก็อนุญาติให้ผมสอบได้ทันที ผมใช้เวลาสอบร่วมชั่วโมงก็เสร็จ เดินไปห้องเรียนเมื่อเห็นว่าสายแล้ว ทิวจองที่นั่งข้างๆ ไว้ให้ผมเหมือนทุกวัน เพื่อนๆ ในห้องมองหน้าผมด้วยความตกใจ ตลอดคาบที่นั่งเรียนผมอึดอัดมาก ความกลัวและหวาดระแวงรอบข้างมีมากกว่าที่คิดไว้ ผมนั่งก้มหน้ามองหนังสือบนโต๊ะ มือกำปากกาไว้แน่นจนแทบหัก น้ำตาปริ่มขอบตาด้วยความรู้สึกที่ยากจะบรรยาย.....ผมกลัว....เสียงผู้ชายที่คุยซุบซิบกัน....กลัว...ฝ่ามือของคนอื่นที่สัมผัสโดนตัวผมแบบไม่ตั้งใจ...หากว่า...วีดีโอที่พวกมันถ่ายไว้มีคนอื่นได้ดูล่ะ พวกนี้ทำลังคุยกันเรื่องผมหรือเปล่า เสียงซุบซุบรอบข้างเหมือนจะดังขึ้นจนจับใจความไม่ได้.....ความอดทนสิ้นสุดลงเมื่ออาจารย์สอนเสร็จ ผมรีบเก็บของทุกอย่างยัดลงในกระเป๋าแล้ววิ่งออกไปนอกห้อง ห้องน้ำที่ใกล้ที่สุดคือสิ่งเดียวที่อยากไป ผมรีบเปิดก๊อกน้ำล้างมือและแขนตัวเองที่สัมผัสโดนตัวคนอื่น ความรู้สึกรังเกียจและขยะแขยงแล่นขึ้นมาจุกอก...ที่ขยะแขยงที่สุดก็คือร่างกายตัวเอง ผมโก่งคออาเจียนเอาทุกอย่างลงในโถ เสียงผู้คนเดินเข้ามาในห้องน้ำทำให้ต้องรีบปิดประตูแล้วยืนพิงอย่างเหนื่อยหอบ น้ำตาไหลอาบร่องแก้ม เสื้อเปียกปอนไปหมด...
ผม...กำลังเป็นบ้า--------------------------------------------------------------------------------------------------
นี่คือ นิยาย
รัก (รัดทด)

ม่ายใช่ๆๆ
นิยายรัก จริงๆๆ ย้ำๆๆๆๆ