มาอ่านต่อกันเลยดีกว่า

---------------------------------------------------------------------------------------------
ตอนที่ 4การเรียนช่วงบ่ายคงยากที่จะอดทนเข้าไปนั่งได้อีก ผมส่งข้อความไปบอกทิวให้เช็คชื่อแทนแล้วปิดโทรศัพท์ทันที ภายในห้องที่มีแสงแดดสว่างสาดส่องเข้ามาจนแทบร้อนระบุ แต่ผมยังคงเปิดไฟให้สว่างเพิ่มขึ้นอีก...บางที...ผมคงกลัวความมืดไปแล้ว
“.....หมอครับ...ผม...พายนะครับ จำผมได้มั้ย”
“จำได้สิ มีอะไรหรือเปล่าครับ”
“คือ....ผม....เอ่อ..หมอพอจะมีเพื่อนที่เป็น....จิตแพทย์บ้างมั้ย...ผมคิดว่า...ผมกำลังเป็นบ้า”
“.....พาย”เสียงหมอนพครางเครือด้วยความห่วงใย ภายนอกผมดูเป็นคนเข้มแข็ง ผมเองก็คิดว่าตัวเองเข้มแข็ง แต่....ตอนนี้ไม่ใช่แล้ว....จิตใจมันได้รับการกระทบกระเทือนกว่าที่ผมคิดไว้
“หมอ.....ผมกลัว....ผมอยากคุยกับจิตแพทย์ ขอเป็นผู้หญิงนะครับหมอ”
“พายใจเย็นๆ นะ เล่าอาการให้หมอฟังได้มั้ย”หมอพยายามพูดปลอบใจ ผมเริ่มเล่าอาการที่ผิดปกติของตัวเองให้หมอฟัง หมอให้เบอร์ติดต่อเพื่อนที่เป็นจิตแพทย์มา เขาบอกว่าจะโทรไปเล่าเรื่องคราวๆ ให้ฟังก่อน และจะขอเวลาเป็นการส่วนตัวให้
ผมนั่งกอดตัวเองอยู่บนเตียง บางทีผมคงทำกรรมอะไรไว้ถึงได้โชคร้ายแบบนี้...แต่จะดีกว่านี้มั้ย ถ้าผม...ตายไป....หรือเป็นบ้าไร้สติ....คงดีกว่านี้ถ้าผมไม่สามารถรับรู้อะไรได้ แต่นี่...สติผมยังอยู่ดี รับรู้ถึงความกลัวคนรอบข้าง หวาดระแวง และรังเกียจ...ความรู้สึกต่างๆ ที่เกิดขึ้นจะทำให้ผมเป็นบ้า
รุ่งขึ้นเป็นวันเสาร์พอดี ผมตรงไปคอนโดของหมอหน่อย เพื่อนที่หมอนพแนะนำ ทันทีที่แจ้งกับเจ้าหน้าที่ด้านล่างและแลกบัตรก็สามารถเข้ามาด้านในได้ ผมยืนอยู่ในลิฟต์ตัวใหญ่เพียงลำพังได้ไม่กี่ชั้น ประตูลิฟต์ก็เปิดออก มีคนเข้ามาในลิฟต์กลุ่มใหญ่ การแต่งกายเหมือนเพิ่งขึ้นมาจากสระน้ำ ผมกลั้นหายใจ กำมือแน่นเมื่อต้องเบียดตัวเองชิดกับผนังลิฟต์ จำนวนคนที่เพิ่มขึ้นทำให้ต้องสัมผัสผู้อื่นอย่างเลี่ยงไม่ได้ เหงื่อในมือชุ่มชื้น ความรู้สึกอยากอาเจียนกลับมาอีกครั้ง ผมภาวนาให้ลิฟต์ไปถึงชั้นที่ต้องการโดยเร็ว....เป็นครั้งแรกที่คำภาวนาเป็นผล
อ๊อดดด อ๊อดดดด อ๊อดดดดผมกระหน่ำกดกริ่งหน้าห้องอย่างไม่ปราณี มือที่ปิดปากตัวเองไว้เพื่อยับยั้งความรู้สึกข้างในที่กำลังจะพุ่งออกมา ประตูเปิดออกให้เห็นผู้หญิงรูปร่างสูงโปร่งในชุดลำลอง ทันทีที่เธอเห็นหน้าผมก็รีบเปิดประตูออกกว้างและชี้ไปที่ประตูห้องน้ำใกล้ๆ
น้ำผลไม้กับขนมปังที่กินไปเมื่อเช้าถูกขย้อนออกมาจนหมด ผมล้างมือล้างแขนของตัวเองจนแดงเป็นปื้น กว่าจะทำใจเปิดประตูออกมาด้านนอกก็ใช้เวลาไปเกือบครึ่งชั่วโมง
“ค่อยยังชั่วแล้วใช่มั้ย ไปนั่งด้านในกัน”หมอหน่อยยืนรออยู่หน้าห้องน้ำและเดินนำผมเข้าไปด้านใน
“ดื่มซะหน่อยจะได้รู้สึกสดชื่นขึ้น”หมอเลื่อนจานเค้กผลไม้กับโกโก้ร้อนมาตรงหน้า ผมทิ้งตัวลงบนเบาะนุ่มฝั่งตรงข้าม
“....ขอโทษนะครับ..”มันค่อนข้างเสียมารยาท ที่อยู่ๆ ใครก็ไม่รู้มาอาเจียนในห้องตัวเอง ผมรู้สึกแย่มากที่เป็นแบบนี้
“ไม่เป็นไรจ๊ะ กินเถอะ”หมอเลื่อนแก้วมาใกล้ผมอีกครั้ง ขณะเดียวกันก็หยิบแก้วกาแฟขึ้นดื่มเป็นการชี้นำให้ผมทำตาม รสชาดหอมหวานปนขมให้ความรู้สึกสดชื่นขึ้น เค้กผลไม้รวมรสเปรี้ยวอมหวานทำให้กระปรี้กระเปร่า
“ขอบคุณนะครับ”
“ไม่เป็นไรจ๊ะ น้องชื่อพายใช่มั้ย”
“ครับ เอ่อ หมอนพได้เล่าเรื่องผมให้ฟังแล้วใช่มั้ย คือ...เรื่องค่ารักษา... หมอ..จะว่าอะไรมั้ยครับถ้าผมจะขอผ่อน...ตอนนี้กำลังหางานใหม่อยู่น่ะครับ”
“เรียกว่าพี่หน่อยก็ได้จ๊ะ ค่ารักษาไม่ต้องหรอก ถือว่าช่วยเหลือกัน เรื่องเงินพี่ไม่ได้ลำบากอะไร”
“แต่ผมเกรงใจ”
“งั้น...ตอนนี้พายเรียนอะไรอยู่”
“เศรษฐศาสตร์ครับ”
“อืม...พอจะทำบัญชีได้มั้ย”
“ก็ได้บ้างครับ พี่หน่อยจะให้ผมทำอะไรเหรอ”
“เอาอย่างนี้ พายทำบัญชีให้พี่แล้วกัน จะได้ไม่ต้องจ่ายค่ารักษา”
“ก็ได้ครับ พี่จะให้เริ่มทำเมื่อไหร่บอกผมได้เลยนะครับ”
“จ้า อืม...อาการพายน่ะ เท่าที่ฟังๆ มา พายจะเกิดอาการก็ต่อเมื่อคนนั้นเป็นผู้ชายใช่มั้ย หรือว่าผู้หญิงก็ด้วย”
“เฉพาะผู้ชายครับ แต่ถ้าเป็นคนสนิท ก็ไม่มากเท่าไหร่ ถ้าจะจับตัวผมแบบที่ผมเห็นหรือบอกก่อน ก็ไม่เป็นไร”เท่าที่ผมสังเกตตัวเอง ตลอดเวลาที่อยู่คลีนิคหมอนพ ถ้าหมอจะตรวจร่างกายผม ผมรู้ตัวก่อนก็ไม่เป็นไร แต่พอกลับมานี่...มันเลี่ยงคนเยอะๆ และการถูกเนื้อต้องตัวไม่ได้
“ผมค่อนข้างตกใจกลัวง่ายๆ กับคนรอบข้าง เสียงคนพูดเวลาไม่เห็นหน้า หรือสัมผัสจากคนไม่รู้จักน่ะครับ....มันทำให้อยากอ้วกตลอดเลย”
“งั้น...พี่ขอจับมือพายนะ”พี่หน่อยแบมือตรงหน้าผม ผมก็มองอย่างชั่งใจ ไม่ค่อยมั่นใจเหมือนกันว่าจะไม่เกิดอะไร แต่ก็ลองวางมือตัวเองลงเบาๆ ทันทีที่มือสัมผัสกัน พี่หน่อยบีบมือผมเบาๆ ทำให้รู้สึกคลายกังวล
ตลอดวันผมนั่งคุยกับพี่หน่อยเรื่องชีวิตผม ครอบครัว วัยเด็ก เรื่องเพื่อน เรื่องเรียน การคุยเรื่องทั่วไปกับคนไม่คุ้นเคยเป็นเรื่องยาก แต่...ผมรู้สึกวางใจคนๆ นี้
หลังจากคุยกับพี่หน่อยทำให้ผมสบายใจมากขึ้น อย่างน้อยก็ยังมีคนเข้าใจผม รับฟังปัญหาผมและบอกว่าผมไม่ได้บ้า พี่หน่อยบอกว่าเป็นอาการตอบสนองจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น อาจจะไม่เป็นตลอดไป ต้องค่อยๆ แก้ไข อย่างแรกเลยต้องปรับจิตใจตัวเอง ตั้งสติไว้ ต้องระลึกไว้เสมอว่าเหตุการณ์เหล่านั้นผ่านมาแล้ว และตอนนี้...
ผมปลอดภัยแล้วตลอดทั้งสัปดาห์ การดำเนินชีวิตผมเปลี่ยนไปนิดหน่อย ผมหลีกเลี่ยงการใช้ลิฟต์ และหากจำเป็นผมก็จะพยายามไม่อยู่ร่วมกับคนจำนวนมาก ถ้าเห็นว่ามีคนเข้ามาเยอะ ผมก็จะเดินออก เสียงพูดคุยด้านหลังไม่ทำให้ผมหวาดระแวงอีก เพราะทุกครั้งหากมีเสียงอยู่รอบๆ ตัวผมจะต้องหันไปมองเพื่อให้รู้ว่าเป็นใคร บางครั้งก็ร่วมวงสนทนาด้วย
“พาย...ทิวถามจริงๆ นะ พายดูแปลกๆ ตั้งแต่กลับมาจากต่างจังหวัด....เกิดเรื่องอะไรขึ้นกับพาย บอกทิวได้มั้ย”ทิวถามระหว่างนั่งกินข้าวในโรงอาหาร
“ไม่มีอะไรหรอก”
“ไม่จริง ช่วงนี้พายดูเครียดๆ ดูกังวลอะไรสักอย่าง”
“อืม...ตอนนี้ตกงาน เครียดเรื่องงานนี่แหล่ะ”
“อ้าวเหรอ ทำไมไม่บอกทิวล่ะ เดี๋ยวทิวช่วยหา พายอยากได้งานแบบไหน”
“งานอะไรก็ได้ แต่อยากได้เงินเยอะหน่อยน่ะ จะเอาไปซื้อโทรศัพท์ด้วย”โทรศัพท์ผมหายตั้งแต่วันนั้นแหล่ะครับ บัตรต่างๆ ก็หาย จะไปทำใหม่ก็ต้องใช้เงิน ตอนนี้เลยอายัดไว้อย่างเดียว จะถอนเงินทีก็ต้องไปที่ธนาคาร
“ซื้อใหม่ก็ดี ช่วงนี้ติดต่อลำบาก เอาอย่างนี้มั้ย พายไปเป็นแคชเชียร์ที่ร้านเดียวกับเราก็ได้ เห็นพี่เขาหาคนช่วยอยู่ เลิกดึกๆ จะได้กลับพร้อมกัน”ทิวเป็นนักร้องที่ร้านอาหารเล็กๆ มันกับเพื่อนร่วมหุ้นกันเปิดร้าน แล้วก็เอาวงตัวเองมาเล่น ให้พี่สาวมาเป็นผู้จัดการและทำบัญชีของร้าน กำไรคงได้เยอะพอควร หน้าตาก็ดี เรียนเก่ง บ้านรวย ทำงานเก่งอีกต่างหาก ผมล่ะอิจฉามันจริงๆ
ผมตกลงทำงานที่ร้านทิว ต้องทำงานสัปดาห์ละห้าวัน จะหยุดวันไหนก็ได้ยกเว้นศุกร์ เสาร์ อาทิตย์ เพราะลูกค้าเยอะ พี่สาวมันทำคนเดียวไม่ไหวแล้ว ผมต้องเริ่มงานพรุ่งนี้ เลิกเรียนแล้วก็ไปพร้อมทิวเลย
“อย่างนี้นุก็ไม่ได้เจอพายบ่อยๆ แล้วสิ”นุนั่งบ่นอยู่บนเตียง ในขณะที่ผมนั่งเปิดคอมพิวเตอร์พิมพ์รายงานที่ต้องส่ง งานเก่าที่ทำคือพนักงานร้านเช่าวีซีดี ร้านที่ผมเคยทำอยู่ใกล้ๆ กับร้านอาหารที่นุทำอยู่ เมื่อก่อนเลยไปกลับพร้อมกัน แต่ตอนนี้คงเจอกันได้น้อยกว่าเดิม นุอายุเท่าผม แต่ไม่ได้เรียนมหาลัยเดียวกัน นุเป็นคนต่างจังหวัด อัธยาศัยดี พูดเพราะ ยิ้มเก่ง เวลากลับบ้านต่างจังหวัดทีไรก็มักจะมีของฝากมาให้เสมอ
“ห้องอยู่ติดกันแค่นี้ ไม่เจอกันก็บ้าแล้ว”
“โหย พายน่ะ ไปทำงานกับเพื่อน ส่วนนุต้องทำคนเดียว เวลากลับก็กลับคนเดียว อย่างนี้เขาเรียกทิ้งเพื่อนนะ”นุบ่นออกมาพร้อมย่นจมูกใส่ผมด้วย กริยาของนุน่ารักกว่าผู้ชายทั่วไป บางครั้งผมก็ชอบแหย่ให้นุเขินอาย นุก็ตอบโต้อะไรไม่ค่อยได้ ทำได้แค่สะบัดหน้าหนีหรือโยนหมอนใส่
“ทำไม เหงาเหรอ คิดถึงพายก็มาหาที่ห้องสิครับ”เวลาผมพูดทำนองนี้ทีไร นุมักจะหน้าแดงทุกที
“..บะ..บ้า...ไม่ต้องมาแซวเลย ไม่รู้ล่ะ ถึงทำงานคนละที่กันก็ต้องไปกินข้าวด้วยกันบ่อยๆ ชดเชย ไม่งั้นจะไม่เอาของฝากมาให้กินอีกเลย”นั่นไง ขู่อะไรก็ไม่รู้ เห็นผมเป็นคนเห็นแก่กินไปได้
“ครับๆ จะพาไปดินเนอร์ด้วยบ่อยๆ เลย พอใจยังครับ”ผมแกล้งพูดหวานพร้อมขยิบตาให้ แค่นี้นุก็ทำหน้าไม่ถูกแล้ว ถึงผมจะรู้ว่านุเป็นแบบไหน แต่ผมก็ไม่รังเกียจ
“ไอ้บ้าพาย ไม่ต้องมาส่งสายตาแบบนี้เลยนะ ทำงานไปเลย นุจะกลับห้องแล้ว”นุเดินกระฟัดกระเฟียดออกจากห้อง ปล่อยให้ผมนั่งหัวเราะอยู่คนเดียว เวลาคุยกับนุทำให้สบายใจดีครับ รู้สึกว่าเขาไม่มีพิษมีภัย ไม่มีวันจะทำร้ายใครได้แน่ๆ
วันรุ่งขึ้นผมโทรไปเล่าเรื่องงานใหม่ให้พี่หน่อยฟัง พี่เขาก็บอกว่าให้ตั้งสติให้ดี อยู่ในที่คนพลุกพล่านก็อย่าคิดมาก คนเยอะๆ สิปลอดภัยกว่า และยังมีคนรู้จักอยู่ใกล้ๆ ผมได้ยินพี่เขาให้กำลังใจก็รู้สึกดีขึ้น ทำงานเป็นแคชเชียร์ก็ได้อยู่แต่เคาน์เตอร์คิดเงิน ไม่ต้องเดินไปสัมผัสตัวกลับใคร ผมคงไม่เป็นอะไรมาก
ทิวขับรถพาผมมาที่ร้าน ครั้งแรกที่เห็นผมแทบจะหันไปด่ามัน ไหนมันบอกว่าร้านเล็กๆ แต่นี่ไม่เล็กเลย มีทั้งที่นั่งด้านในและด้านนอก แถมมีชั้นสองอีก มิน่าพี่สาวมันถึงบ่นว่าทำคนเดียวไม่ไหว
“พี่ธาร นี่พายเพื่อนทิว ฝากดูแลด้วยล่ะ”ทิวพาผมเดินเข้ามาด้านใน พี่สาวทิวสวยมาก บ้านนี้คงหน้าตาดีทั้งบ้าน
“สวัสดีครับ”ผมยกมือไหว้พี่ธาร จำไม่ได้ว่าอายุมากกว่าทิวเท่าไหร่ แต่คิดว่าไม่เกินสี่ปีแน่ๆ
“สวัสดีจ๊ะน้องพาย มารยาทเพื่อนแกนี่ดีเนอะ ไม่เหมือนแก เจอหน้าฉันเหมือนเป็นหัวหลักหัวตอ มือไม้นี่ไม่เคยจะยกขึ้นมาไหว้พี่มันน่ะ”เขาว่าคนสวยใจดีนี่คงไม่จริง พี่ธารค่อนข้างดุใช้ได้เลยครับ
“ว่าแต่ผม ทีเวลาพี่เจอพี่ธรไม่เห็นเคยไหว้เลย”ทิวหมายถึงพี่ชายคนโตของมัน มันเป็นลูกคนเล็กครับ พี่คนโตรู้สึกว่าจะแต่งงานมีครอบครัวไปแล้ว
“ไม่ต้องมาย้อนเลย ไปๆ เพื่อนแกเขาอยู่ในห้องโน่น”
“ไปก็ได้ พายอยู่กับพี่ธารนะ มีอะไรไปเรียกเราก็ได้ เราอยู่ห้องด้านหลังเวทีน่ะ เข้าไปได้ตลอดเลย”ทิวชี้ไปที่เวทีเล็กๆ ด้านหน้า
หลังจากทิวไปพี่ธารก็สอนการใช้โปรแกรมคิดเงินให้ผม โปรแกรมใช้ค่อนข้างง่าย ไม่ซับซ้อน ผมลองคิดเองสักสี่ห้าโต๊ะพี่ธารก็ปล่อยให้ทำคนเดียว ส่วนเขาขอไปดูแลลูกค้า การทำงานไม่ยุ่งยากเลย เด็กเสิร์ฟที่จดรายการอาหารจะเป็นคนนำใบก็อปปี้ที่เขียนไปยื่นให้ห้องครัว และอีกก๊อปปี้ก็จะนำมาให้ผมคำนวณเงินไว้ ถ้าลูกค้าเช็คบิลก็สามารถปริ๊นท์ใบเสร็จออกมาได้เลย
ร้านนี้ปิดตอนเที่ยงคืน หลังจากลูกค้าออกไปจนหมด พนักงานส่วนใหญ่ก็จะกลับ บางคนที่ค้างที่นี่ก็ทำหน้าที่ทำความสะอาดร้าน ส่วนกลุ่มนักดนตรีของทิวก็นั่งกินข้าวก่อนกลับครับ ผมเองก็เป็นส่วนหนึ่งในนี้ด้วย
“พาย นี่ต่อ โบ้ ศักดิ์ จิ๋ว เพื่อนตั้งแต่เรียนมัธยมน่ะ”ทิวแนะนำเพื่อนๆ มันให้รู้จัก
“ดีครับ”ผมส่งยิ้มทักทายรอบๆ คงรุ่นเดียวกันหมด
“เชี่ยทิว กูชื่อแจ็ค ไม่ได้ชื่อจิ๋วซะหน่อย พายอย่าไปเรียกตามพวกมันนะ”จิ๋วร้องบอกชื่อจริงเป็นพัลวัน ผมอมยิ้มขำๆ ก็ชื่อแจ็คมันไม่สมตัวเลยนี่ครับ ตัวเล็กกว่าผมตั้งเยอะ น่าจะสูงประมาณร้อยหกสิบด้วยซ้ำ
“เพื่อนมึงหน้าตาดีนี่หว่า ไม่เห็นเคยพามาแนะนำให้รู้จัก”ต่อมองหน้าผมยิ้มๆ คำพูดแปลกๆ ทำให้ผมขนลุกและเกิดอาการหวาดกลัวขึ้นมานิดหน่อย
“เพื่อนกูเขาเด็กเรียนเว้ย ไม่ใช่พวกขี้เมาแบบมึง พามาได้เสียคนหมด”
“เชี่ย มีของดีแล้วซุ่ม”
“ไอ้ต่อหุบปากไปเลย ข้าวมีให้แดกก็แดกไป พายไม่ต้องสนใจปากมันนะ มันปากหมาเป็นปกติอยู่แล้ว”คำพูดทิวทำให้ผมใจชื้นขึ้น อย่างน้อยก็แค่แซวเล่น ไม่ได้เป็น....เหมือนพวกนั้น
“ทั้งเรียนทั้งทำงานแบบนี้จะมีเวลาให้แฟนเหรอพาย”จิ๋วพยายามชวนผมคุยให้บรรยากาศดีขึ้น
“เรายังไม่มีแฟนหรอก”
“จริงดิ หน้าแบบนี้นี่นะไม่มีแฟน โกหกหรือเปล่า”ศักดิ์มองผมแบบไม่เชื่อ
“จริงๆ พายน่ะไม่มีแฟนตั้งแต่เรียนปีหนึ่งแล้ว มัวแต่เรียนกับทำงาน ผู้หญิงเข้ามาจีบยังไม่ค่อยสนใจเลย แต่ละคนสวยๆ ทั้งนั้น