
-------------------------------------------------------------------------------------------------
ตอนที่ 19
ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ ไม่รู้ว่านอนไปนานแค่ไหน ผมลืมตามองแผ่นหลังของผู้ชายที่จับผมมา เสียงพูดคุยโทรศัพท์เบาๆ แต่มันเพียงพอสำหรับการปลุกให้ผมตื่นขึ้น....ตื่นจากการหลับไหล...และตื่นจากความสับสน การขยับตัวลุกขึ้นนั่งของผมทำให้เขาหันมา เสียงพูดเบาๆ ตอบกลับปลายสายก่อนจะเก็บโทรศัพท์ไว้ในกระเป๋ากางเกง เขาเดินขึ้นมานั่งบนเตียงพร้อมกับหยิบโน้ตบุ๊คเครื่องเล็ก ซองเอกสารสีน้ำตาลที่ยังไม่ได้ปิดผนึกที่พื้นขึ้นมาวางตรงหน้า ผมจ้องเขาอย่างค้นหาคำตอบ แต่ก่อนที่เขาจะพูดอะไร สายตาของผมหันกลับมามองตัวอักษรคุ้นตาที่จ่าหน้าซอง...ที่อยู่พร้อมชื่อคนรับ....คนสำคัญเพียงคนเดียวที่เหลืออยู่ คนที่เป็นแรงใจ ผมหยิบกระดาษในซองออกมาทีละใบ....รูปถ่าย....รูปเหตุการณ์ที่สะท้อนถึงความอัปยศของตัวเอง และ...รูปคนสำคัญของผม เสียงเบาๆ จากคอมพิวเตอร์ขนาดพกพาลอดออกมาให้ได้ยิน....เสียงครวญครางที่ดังระงม เสียงหัวเราะพร้อมถ้อยคำเย้ยหยันที่ยังดังก้องอยู่ในหู
“.........ลาออกจากร้านอาหาร แล้วก็ย้ายออกจากหอนั่นด้วย”
“........”ผมมองรูปใบเล็กในมือ ลูบโครงหน้าที่เหมือนกันเบาๆ ภาพของแม่ที่กำลังนั่งซักผ้าอยู่หลังบ้านไม้เล็กๆ....ผม...อยากกลับบ้านจัง
“ได้ยินที่พูดหรือเปล่า”เสียงถามย้ำเพื่อเร่งเอาคำตอบ....ที่มีตัวเลือกที่ข้อเดียว
“เพื่ออะไร....คุณทำกับผมแบบนี้เพื่ออะไร ต้องการอะไร”น้ำเสียงราบเรียบจนนึกว่าไม่ได้เปร่งออกจากปากผม
“ก็แค่ว่าง....แก้เซ็งน่ะ เข้าใจเปล่า”คนอย่างมัน....ไม่ว่าการกระทำหรือคำพูด..ก็ทำให้คนฟังรู้สึกแย่ได้ทั้งนั้น เพิ่งรู้ก็ตอนนี้แหล่ะว่ามีคนที่ทำร้ายคนอื่นเพราะว่างอยู่ในโลกด้วย
“หึ....ฮ่าๆๆๆ”
“หัวเราะอะไร”
“อย่าบอกนะว่าที่ทำทั้งหมดเพราะเกิดรักผมขึ้นมาน่ะ”ไม่รู้สินะ อยู่ดีๆ ก็เกิดนึกถึงเหตุผลนี้ขึ้นมา....ซึ่งเป็นอะไรที่..บ้ามากๆ
“......คาดหวังให้เป็นอย่างนั้นหรอกเหรอ”มันถามกลับด้วยน้ำเสียงที่ค่อนข้างแปลกใจ
“หึ...ผมยังไม่โง่พอจะคิดอะไรบ้าๆ แบบนั้นหรอก ก็แค่ถามเล่นๆ”
“แล้วตกลงว่าไง จะทำตามที่บอกมั้ย”
“ผมยังเหลือทางเลือกอยู่อีกเหรอ”
“ไม่โง่จริงๆ ด้วย”นานๆ จะได้ยินคำชมจากมันสักที ผมควรจะดีใจมั้ยเนี่ย
ระยะทางจากบ้านร้างกลับเข้าสู่ตัวเมืองไม่ได้ไกลอย่างที่ผมคิดเอาไว้ ผมเริ่มเข้าใจแล้วว่าทำไมคนรวยๆ ถึงนิยมใช้ของแพง....ก็เพราะมันมีคุณภาพสินะ เบาะรถราคาหลายล้านให้ความนุ่มสบาย เสียงเครื่องก็เบา ทุกอย่างดูดีไปหมด...จนผมต้องนั่งคิดว่า......นี่มันชีวิตใครกัน
“ต้องกลับไปเอาอะไรที่ห้องหรือเปล่า”
“.....หมายถึงอะไรล่ะ”
“จะไปรู้เหรอ ไม่มีรายงานหรือหนังสือต้องอ่านรึไง”น้ำเสียงไม่พอใจ ทั้งๆ ที่ผมก็แค่ถามด้วยคำถามธรรมดา
“ถ้าไม่มีแล้วผมกลับไม่ได้รึไง”คำถามแบบนี้ต่างหากที่น่าจะเริ่มทำให้มันไม่พอใจ....แล้วผมก็เดาถูก
“อย่ามารวนกันน่า นึกว่าคุยรู้เรื่องแล้วซะอีก”น้ำเสียงหงุดหงิดพอๆ กับสีหน้า มันคงเป็นประเภทที่ถูกยั่วโมโหได้ด้วยคำพูดง่ายๆ หรือการกระทำง่ายๆ ขอเพียงแค่...ขัดใจมัน...แค่นี้ก็ทำให้มันโมโหได้แล้ว
“ก็แค่ถามดู”
“เดี๋ยวจะพาไปเก็บหนังสือเรียนแล้วกัน ส่วนที่ร้านอาหารน่ะ โทรไปลาออกซะ”
“โทรไม่ได้ ผมไม่รู้เบอร์ อีกอย่างโทรศัพท์มันก็กระจายไปหมด คงต้องไปบอกด้วยตัวเอง”ผมก็แกล้งโกหกไปอย่างนั้นเอง...ผมก็แค่....อยากเจอ...คนที่ไว้ใจได้.....คนที่พูดคุยได้อย่างสบายใจ........แค่อยากเจอทิว
“......งั้นก็ฝากเพื่อนไปบอก”
“ผมยังไม่ไร้ความรับผิดชอบขนาดนั้นหรอกนะ ตอนทำงานก็ไปขอเขา พอจะออกดันฝากคนอื่นไป เป็นคุณจะรับได้มั้ย ไม่สิ อย่างคุณมันไม่มีสามัญสำนึกอยู่แล้ว จะทำเรื่องเลวๆ แค่ไหนก็คงไม่สนหรอกว่าคนอื่นจะรู้สึกยังไง เรื่องเล็กน้อยอย่างคำว่า
‘มารยาท’ ก็คงไม่เข้าใจใช่มั้ย”
“งั้นก็หัด
‘ไร้มารยาท’ ได้แล้ว”มันตอบราบเรียบเหมือนเป็นเรื่องง่ายๆ ส่วนผมนั่งหอบเพราะเผลอระเบิดอารมณ์ตัวเองออกไป
“จะให้ลาออกจากมหาลัยด้วยมั้ยล่ะ”
“อย่ากวนโมโหน่า”คำพูดมันทำให้ผมแปลกใจนะเนี่ย ผมคิดว่ามันจะให้ผมเลิกเรียนเสียอีก
“ผมถามจริงๆ เถอะ ที่ทำกับผมอย่างนี้ไม่รู้สึกอะไรบ้างรึไง ผมน่ะเพื่อนแฟนคุณนะ แถมยังอยู่ข้างห้องด้วย ไม่กลัวผมไปบอกนุรึไง”เกือบลืมนุไปเลย ผมเห็นว่ามันเองก็ดีกับนุเหมือนกัน บางทีนุอาจช่วยผมได้....ไม่สิ...บางทีมันอาจจะกลัวนุรู้ถึงได้ให้ผมออกจากหอ....ใช่แน่ๆ
“นี่ไม่รู้จริงๆ เหรอว่านุเขาเป็นแบบไหน คบกันในฐานะอะไร”
“...ก็...แฟนไง”ไม่ใช่ว่าผมไม่รู้นะว่านุเป็นเกย์ และนุเองก็บอกผมเองว่ามันเป็นแฟน แล้วมันจะมาถามผมแบบนี้ทำไม
“ตลกน่า ถ้าอย่างนั้นเรียกแฟน ป่านนี้กูไม่มีเป็นสิบแล้วเหรอ”
“นั่นสิ จะมีใครหลงมาคบกับคนเลวๆ แบบคุณได้อีก ผมล่ะสงสารนุจริงๆ”แค่นุชอบมันได้นี่ผมก็แปลกใจพอแล้ว แล้วยังพี่นัทอีก ไม่น่าคบเพื่อนเลวๆ แบบนี้ได้เลย
“มึงนี่น้า....ปากไม่เคยสงบได้เกินห้านาทีเลย เรื่องเพื่อนมึงน่ะไม่ต้องห่วงหรอก เขาไม่วุ่นวายอะไรกับเรื่องส่วนตัวกูอยู่แล้ว แล้วกูก็ไม่ได้ทำอะไรผิดกับเขาด้วย ผู้ชายที่นอนด้วยกันน่ะไม่จำเป็นต้องเป็นแฟนกันเสมอไปหรอกนะ ความสัมพันธ์แบบนั้นน่ะมัน.....ไร้สาระ”
“เหอะ...มักง่าย”ผมคงปากเร็วไปอีกแล้ว ความจริงผมด่ามันว่าสำส่อนน่าจะเหมาะกว่า
“เข้าใจคำว่า
‘เด็กขายน้ำ’ มั้ย”
“.......”ผมไม่แน่ใจว่าเข้าใจถูกมั้ย คำถามผมเกี่ยวอะไรกับเด็กขายน้ำเหรอ แต่ถ้ามันพูดแสดงว่าความหมายที่ผมเข้าใจกับที่มันหมายถึงคงไม่ใช่อย่างเดียวกันแน่
“งั้น...คู่ขา
sexfriend เพื่อนนอน เมียเก็บ”
“พอๆๆ ต้องการจะพูดอะไรกันแน่”
“เข้าใจคำไหน...ก็เป็นอย่างนั้นแหล่ะ นอนกัน ให้เงินให้ของ เพียงแต่ช่วงหลังนอนด้วยบ่อยกว่าคนอื่นก็แค่นั้น”
“ไม่จริง คุณโกหก นุไม่ได้เป็นแบบนั้นแน่ๆ นุเขารักคุณ ผมดูออก”นุเป็นคนแนะนำผมเองว่าเขาเป็นแฟน แล้วเขาก็ไม่ได้ปฏิเสธ พอลับหลังกลับมาว่านุเสียๆ หายๆ แบบนี้นี่นะ
“แล้วไง....จำเป็นด้วยเหรอที่ต้องรักตอบน่ะ มันไม่ได้อยู่ในข้อตกลงที่ทำไว้นี่”มันพูดคำนี้อีกแล้ว ผมล่ะเกลียดไอ้คำว่าแล้วไงของมันจริงๆ
“ข้อตกลงอะไร คุณบังคับอะไรนุเหมือนที่ทำกับผมใช่มั้ย”คนอย่างนี้คนจะข่มเหงคนอื่นไปทั่ว นุไม่น่ามาเจอคนแบบมันเลย
“ท่าทางพูดอ้อมๆ มึงคงจะไม่เข้าใจใช่มั้ย......นุ...เพื่อนรักมึงน่ะ...
ขายตัว...แค่นี้เข้าใจรึยัง”
“โกหก!!!”“ทำไม เพราะเป็นคำพูดจากคนที่เกลียดก็เลยไม่เชื่องั้นเหรอ กูเจอเพื่อนมึงตอนไปกินเหล้า แค่วันแรกก็หิ้วกลับห้องได้แล้ว ครั้งที่สองที่สามก็เริ่มจ่ายเงิน ต่อมา.....”
“พอแล้ว!!!....พอ.......ผม...ไม่เชื่อที่คุณพูดหรอก”ผมไม่เชื่อ...ไม่มีวันเชื่อเด็ดขาด นุเป็นคนเรียบร้อย ผมรู้จักนุมานานพอจะรู้ว่าเขาเป็นคนยังไง คนมันเลว...นึกจะโกหกใส่ร้ายใครยังไงก็ได้......ผมไม่เชื่อ....ไม่เชื่อ
ตลอดทางกลับมาที่หอ ผมไม่หันหน้าไปมองมัน สายตาเหม่อมองออกไปด้านนอกจนรถจอดสนิทผมก็รีบเดินไปห้องตัวเอง เสียงฝีเท้าที่เดินตามหลังไม่ทำให้หวาดระแวงได้อีก เพราะรู้ดีว่ายังไงก็หนีไม่พ้น ห้องพักข้างๆ ถูกล็อกกุญแจจากด้านนอก จากที่อยากพบทิว...ตอนนี้...ผมกลับคิดถึงนุมากมาย
“เสื้อผ้าไม่ต้องเอาไปหรอก เดี๋ยวจะซื้อให้ใหม่ หยิบพวกหนังสือเรียนไปก็พอ”คนพูดนั่งบนเตียงนอนด้วยท่าทางสบายอกสบายใจเหมือนเดิม
“ผมไม่ต้องการเงินของคุณ”เสื้อผ้าและข้าวของทุกชิ้นได้มาจากน้ำพักน้ำแรงของผมและแม่ ถึงแม้จะไม่ได้ราคาแพงยี่ห้อหรูหรา แต่มันก็มีคุณค่าทางจิตใจ
“ไม่ได้ถาม”
“ผมไม่ต้องการเงินของคุณ”
“.......ให้เวลาเก็บของอีกสิบนาที”มันนั่งกอดอกมองผมเก็บของ ไม่แน่ใจว่าคำพูดนั้นหมายความว่าไง จะให้เอาเสื้อผ้าผมไปหรือไม่ให้เอาไป แต่ที่รู้ๆ.....ผมไม่พอใจ
“.......”คำพูดเขาแทบไม่เข้ามาในสมอง ผมยังคงนั่งเลือกเสื้อผ้าอย่างอ้อยอิ่ง นั่งพับผ้าจัดใส่กระเป๋าด้วยความปราณีต นับหนึ่งเมื่อหายใจเข้าและสองเมื่อหายใจออก....เลขยังคงไม่เกินหนึ่งหลักร่างผมก็รอยหวือขึ้นจากพื้น แรงบีบที่ข้อศอกแสดงถึงอารมณ์คนตรงหน้าได้ชัดเจน
“ต้องการหาเรื่องกันใช่มั้ย
ห๊า!!”ความอดทนมันต่ำจริงๆ ยังไม่ถึงสิบวินาทีก็เริ่มบ้าอีกแล้ว
“.....”
“งั้นก็ไม่ต้องเอาไปหรอก ของพวกนี้น่ะ”คำพูดที่มาพร้อมแรงฉุดกระชากออกจากห้อง ไม่กี่นาทีต่อมาผมก็นั่งสงบอยู่บนรถ ส่วนมันหายกลับไปบนห้องก่อนจะเดินลงมาพร้อมกระเป๋าเป้ที่ยัดเสื้อผ้าและหนังสือที่ไม่แน่ใจว่าจำเป็นต้องใช้หรือเปล่า เป้ใบเล็กแต่ก็เจ็บเอาการเมื่อกระแทกที่หัวไหล่ มีวันไหนที่ผมจะไม่เจ็บตัวเพราะมันบ้างมั้ยเนี่ย
ห้องหรูบนคอนโดฯ ใจกลางเมืองที่ไม่คิดว่าจะต้องกลับมาอีก ผมยืนกอดอกหลังตรงหน้าเชิดเพื่อแสดงความแน่วแน่ต่อสิ่งที่ได้พูดออกไป
“จะไปนอนได้ยังไงที่โซฟา บ้ารึไง”
“ให้เข้าไปนอนให้ห้องเดียวกับคุณน่ะสิบ้า ดูไม่ออกรึไงว่าผมรังเกียจคุณขนาดไหน”
“คิดว่าตัวเองมีสิทธิเลือกรึไง”
“ใช่! ผมบอกว่าจะยอมมาอยู่ที่นี่ แต่ไม่ได้หมายความว่าผมจะต้องนอนห้องเดียวกับคุณ หรือว่าคำพูดง่ายๆ แค่นี้ก็ฟังไม่เข้าใจ”
“คิดจะมาเล่นลิ้นอะไรอีก ความอดทนของคนน่ะมันมีขีดจำกัดไม่เท่ากันหรอกนะ”
“ผมคิดว่าตัวเองคงมีมากกว่าคนอื่นหลายเท่าตัว ไม่งั้นคงไม่ทนพูดกับคุณได้นานแบบนี้หรอก”
“มึงนี่มัน!!”
“.......”
“ตามใจ! อยากจะไปสิงอยู่มุมไหนของห้องก็ตามใจมึงเถอะ”มันพูดจบก็เดินเข้าห้องปิดประตูห้องนอนเสียงดัง ส่วนผมยืนอมยิ้มในชัยชนะเล็กๆ ที่เกิดขึ้น ผมเดินไปทิ้งตัวนั่งลงบนโซฟา รู้สึกเหนื่อยเหมือนไปวิ่งรอบสนามสักสิบรอบ....ขนาดเพิ่งอยู่ด้วยกันแค่วันเดียว ผมยังเหนื่อยเหมือนจะขาดใจ แล้วต่อจากนี้...ผมไม่ต้องตายไปจริงๆ เหรอ
ไม่รู้ว่าเผลอหลับไปได้ยังไง สงสัยผมจะเหนื่อยมากไป ตื่นมาอีกทีด้านนอกก็มืดแล้ว ผมไม่แน่ใจว่าตอนนี้ตัวเองอยู่คนเดียวหรือเปล่า มันยังไม่ออกจากห้องนอน...หรือว่าออกไปข้างนอกแล้ว....ถึงจะเหนื่อยกับการต้องรับมือกับมัน แต่...ผมก็หิวเป็น แล้ว...ผมจะกินอะไรดีเนี่ย ไม่อยากกินอาหารในห้องมันเลย
“.....คิดอะไรอยู่”คนที่คิดว่าไม่อยู่ดันโผล่มายืนส่งเสียงด้านหลัง ผมสะดุ้งจนแทบจะตกจากโซฟา
“มาเงียบๆ ตกใจหมด”มือขวายกขึ้นมาลูบอกตัวเองเพื่อเรียกขวัญเบาๆ เหมือนจะได้ยินเสียงหัวเราะจากมันด้วย
“ไปอาบน้ำไป เดี๋ยวจะพาออกไปกินข้าว”มันพูดจบ ผมก็คว้ากระเป๋าเป้เดินไปห้องน้ำ
“เดี๋ยว....จะไปไหน”เดินพ้นจากมันได้สองสามก้าวก็ต้องหยุด เพราะมันคว้ากระเป๋าผมเอาไว้
“ไปอาบน้ำไง”
“เข้าไปอาบในห้องนอน แล้วจัดเสื้อผ้าใส่ตู้ให้เรียบร้อย”
“อาบข้างนอกก็ได้”
“....อยากอาบด้วยกันก็ไม่บอก มาสิ”
“เฮ้ย! ไม่เอา อาบข้างในก็ได้”ผมรีบวิ่งหนีมือที่กำลังจะเอื้อมมาถึง พอเข้าห้องนอนได้ก็ถือวิสาสะล็อคประตูซะเลย เริ่มไม่แน่ใจแล้วว่าจะประสาทแข็งพอรับมือกับมันได้ คนอะไรผีเข้าผีออกได้ทั้งวัน เดี๋ยวก็ผีนักมวย เดี๋ยวก็ผีบ้ากาม แต่ที่รู้ๆ........มันโรคจิตแน่ๆ
-------------------------------------------------------------------------------------
