
------------------------------------------------------------------------------------------------------
ตอนที่ 20.2“พายหายไปไหนมา ทิวตามหาซะทั่วเลย โทรไปก็ไม่รับ ที่ห้องก็ไม่กลับ ถามนุเขาก็ไม่รู้ ทิวเป็นห่วงขนาดไหนพายรู้มั้ย”ทิวดันผมออกห่างจากตัวแล้วก็พูดรัวจนเกือบฟัง ไม่ทัน แต่...ไม่ต้องฟังก็รู้ว่า....ห่วงผมมากขนาดไหน
“ขอโทษนะ วันนี้พายมีธุระด่วน....เรื่องที่บ้านน่ะ เลยรีบกลับ”ผมไม่กล้ามองหน้าทิวเลย ยิ่งเห็นสภาพที่เหมือนคนอดนอนยิ่งรู้สึกผิดที่ทำให้เป็นห่วง
“เหรอ แม่พายเป็นอะไร มีอะไรให้ทิวช่วยก็บอกนะ แล้วนี่เพิ่งกลับมาจากบ้านใช่มั้ย มาทำงานสายแบบนี้พี่ธารเขาว่าอะไรพายหรือเปล่า เดี๋ยวทิวไปคุยกับพี่ธารให้ พายไม่ต้องกลัวนะ”น้ำเสียงร้อนรนกับถ้อยคำแสดงความห่วงใยทำให้ผมรู้สึก อ่อนแออีกครั้ง.....ทำไมผมไม่ได้อยู่กับคนดีๆ แบบทิว ทำไมผมต้องไปอยู่กับคนเลวๆ แบบมันด้วย
“.....ทิว......เอ่อ....พายยังต้องไปทำธุระต่ออีกน่ะ วันนี้ไม่ได้เข้ามาทำงานหรอก มาเอาของที่ลืมไว้เฉยๆ”
“ไปที่ไหนล่ะ ทิวไปส่งนะ”
“จะไปส่งได้ไงกันล่ะ ทิวยังต้องร้องเพลงอีกนะ”
“ไม่เห็นเป็นไร ให้ไอ้ต่อหรือจิ๋วร้องแทนก็ได้”
“ได้ไงกันล่ะ ลูกค้าที่นี่เขาอาจจะมาเพราะติดใจเสียงทิวก็ได้ อย่าทำตัวเป็นเด็กสิ”
“งั้น พายรอทิวเลิกงานได้มั้ยล่ะ เดี๋ยวทิวไปส่ง นะ”ทิวยังคงออดอ้อนผมเหมือนเดิม น้ำเสียงสีหน้าที่ทำให้ผมหวั่นไหว....โดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลาที่ตัวเองอ่อนแอ แบบนี้
“ทิว....พายไปเองได้ นะ แล้วเราค่อยโทรหากัน”
“งั้นคืนนี้ทิวไปหาที่ห้องพายได้มั้ย”
“คือ... พายจะกลับบ้านน่ะ นี่แวะมาทำธุระให้แม่เฉยๆ ติดรถคนอื่นเขามาแล้วเดี๋ยวก็กลับพร้อมเขาเลย”ผมออกจะแปลกใจกับการโกหกที่ แสนจะแนบเนียนของตัวเอง เพิ่งรู้ก็วันนี้เองว่าตัวเองโกหกเก่งใช้ได้
“รถใคร ไว้ใจได้หรือเปล่า”
“.....เอาอย่างนี้แล้วกัน เดี๋ยวพายถึงบ้านแล้วจะโทรหาทิวทันทีเลย ดีมั้ย”
“แต่ทิวอยากไปส่งพายนี่ นะ”
“ทิว....ขอร้องล่ะนะ แล้วเดี๋ยวพายโทรหา”ไม่ใช่ว่าผมไม่อยากคุยกับทิวนานๆ
“........ก็ได้ แต่พายต้องโทรมานะ ไม่งั้นทิวไปหาถึงบ้านจริงๆ ด้วย”ทิวหยุดคิดก่อนจะยอมตามใจผม
“อืม งั้นพายไปก่อนนะ ทิวก็กลับไปร้องเพลงได้แล้ว หนีลงมาจากเวทีล่ะสิเนี่ย”
“ก็.... มันดีใจนี่ เมื่อกี้ก็ร้องผิดร้องถูก ดีว่าไอ้จิ๋วมันช่วยร้อง ไม่งั้นโดนโห่แหงๆ”ทิวเหลียวไปมองด้านหลัง ผมเลยชะโงกหน้าไปมองพร้อมโบกมือให้จิ๋วด้วย....วันนี้คงเป็นวันสุดท้ายแล้ว ที่ผมจะได้พบกับพวกนี้ แต่ทิวยังดีหน่อย อย่างน้อยก็ยังเรียนด้วยกัน
“หึหึ....เดี๋ยวก็โดนแย่งหน้าที่หรอก”
“แย่งไปก็ดีสิ ทิวจะได้ว่าง เบื่อร้องเพลงแล้วด้วย”
“ไอ้ บ้า ไปแล้ว ทิวก็ไปร้องเพลงได้แล้วไป เพื่อนยืนคอยแล้ว”ผมมองต่อกับจิ๋วยืมส่งยิ้มมาให้ ทิวก็มองตาม ผมยิ้มตอบสองคนนั้น แต่ทิวทำหน้าบึ้งใส่พวกมันแทน กว่าทิวจะยอมปล่อยให้ผมเดินออกมาคนเดียวก็ต้องหว่านล้อมเป็นนานสองนาน ถึงอยากจะอยู่ในร้าน อยากคุยกับทิวนานขนาดไหน แต่ก็รู้ว่าทำไม่ได้ ไอ้คนที่รออยู่ข้างนอกมันยิ่งโรคจิตอยู่ เกิดมันบุกเข้ามาลากผมออกไปต่อหน้าทิว คราวนี้ล่ะกลายเป็นเรื่องใหญ่แน่
“นึกว่าจะไม่ออกมาแล้ว”
“จะ พาไปไหนก็รีบๆ เถอะ ขี้เกียจเถียงด้วย”ผมเลือกที่จะไม่ต่อปากต่อคำกับมันในเวลานี้ เพราะผมไม่แน่ใจว่าจะควบคุมตัวเองอยู่ เพราะมันคนเดียว...ทำให้ผมต้องโกหกเพื่อนสนิทเพียงคนเดียว เพราะมันทำให้ชีวิตผมวุ่นวายไปหมด
“ทำไม กลัวชู้ออกมาเห็นรึไง”ท่าทางมันจะไม่รู้นะว่าผมอยู่ในอารมณ์ไหน หรือว่ารู้...แต่ไม่สนใจ
“ปากเสีย”
“มึงว่าใคร”
“ก็ พูดอยู่กับใครล่ะ ในรถก็นั่งกันแค่สองคน พูดกับผีล่ะมั้ง เรื่องง่ายๆ แค่นี้ก็ต้องถามด้วย ฟังภาษาคนไม่ออกรึไง หรือว่าจะให้พูดภาษาอื่นผมก็พูดไม่เป็นหรอกนะ”ผมพูดจบก็สะบัดหน้าหนีไปมอง นอกกระจกเพื่อระงับอารมณ์ แต่มันกลับกระชากแขนผมให้หันกลับมามองหน้ามัน
“มึงนี่นะ....ยั่วโมโหกูได้ตลอดเวลาสิน่า”แรงบีบที่แขนทำให้รู้ว่ามันโกรธ....แต่ถึงไม่ได้โกรธ มันก็ทำผมเจ็บตลอดเวลาอยู่แล้ว
“ก็ใครมันปากเสียใส่ก่อนล่ะ”ผมคงบ้าไปแล้วถึงได้เถียงมันแบบไม่กลัวอย่างนี้ พอผมพูดจบมันก็ผลักตัวผมจนเกือบกระแทกกับประตูรถ
“นั่งเงียบๆ ไปเลยนะมึง ยิ่งพูดยิ่งกวนประสาทกู เดี๋ยวก็ได้เจ็บตัวอีกหรอก”
“ชินแล้ว”
“แม่ง เอ้ย!”มันสบถพร้อมทุบพวงมาลัยรถระบายอารมณ์ ผมแอบสะดุ้งเล็กๆ แต่ก็ทำเป็นไม่สนใจ หันหน้าออกไปมองนอกรถ ใจจริงก็กลัวมันหันมาต่อยเหมือนกัน แต่กำลังหงุดหงิดเลยไม่คิดจะยั้งปาก ก็เพราะมันไม่ใช่หรือไงที่ทำให้ผมต้องเป็นแบบนี้
กลับมาถึงห้องผมก็ นั่งอยู่บนที่นอนชั่วคราวของผม ส่วนมันเดินเข้าห้องเล็กไปทำงานอะไรก็ไม่รู้ หนังสือเรียนในกระเป๋าเป็นสิ่งแรกที่ผมเลือกจะหยิบมาอ่านฆ่าเวลา ผมมองโทรศัพท์บนโต๊ะสลับกับประตูห้องที่ปิดสนิทอย่างชั่งใจ สุดท้ายผมก็เอื้อมมือไปหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดหมายเลขของทิวลงไป
“ฮัลโหล”
“ทิว นี่พายนะ”ผมกรอกเสียงเบาๆ ลงไป กลัวคนในห้องจะได้ยิน
“อ้าว พาย ใช้เบอร์ที่ไหนโทรมาเนี่ย”น้ำเสียงทิวยังคงปกติ แสดงว่าพี่ธารไม่ได้บอกเรื่องผมลาออก งั้นก็โชคดีไป ไว้เจอกันผมค่อยบอกกับตัวจะดีกว่า
“เบอร์ตู้น่ะ กำลังจะกลับบ้านแล้วเลยโทรมาบอกทิวก่อน”
“เพิ่ง เสร็จธุระเหรอ ดึกแล้วนะ รอทิวไปส่งดีมั้ย”เสียงดนตรีในร้านไม่มีแล้ว ดูจากเวลาตอนนี้พวกมันคงกำลังนั่งกินข้าวหรือไม่ก็กินเหล้ากันเหมือนเดิม
“ไม่เป็นไร ตอนนี้เขาแวะปั๊มอยู่น่ะ เลยโทรมาหา”
“แล้ว ไม่ใช้มือถือล่ะครับ โทรไปหาก็ไม่รับสาย”ทิวจะรู้มั้ยว่าเบอร์ที่โทรหาน่ะ มันกองรวมกับซากโทรศัพท์อยู่ที่บ้านหลังนั้น นึกแล้วก็เสียดาย ผมน่าจะเก็บซิมโทรศัพท์มาด้วย
“เอ่อ...พายลืมไว้ที่บ้านน่ะ”
“ขี้ลืมจัง แล้วกลับวันไหนเนี่ย เดี๋ยวทิวไปรับที่หมอชิตนะ”
“ไม่เป็นไร ว่าจะกลับวันจันทร์แล้วเลยไปเรียนเลย”
“เอางั้นก็ได้ ถ้าที่บ้านมีปัญหาอะไรก็โทรบอกนะ ไม่ต้องเกรงใจ”
“อืม.....เอ่อทิว...แค่นี้ก่อนนะ เดี๋ยวไว้พายโทรไปหาใหม่”
“ครับ ผม กลับมาเร็วๆ นะ”ทิวพูดจบผมก็รีบวางสาย หยิบหนังสือขึ้นมาอ่านต่อทั้งๆ ที่สมาธิหายไปตั้งแต่เงยหน้าขึ้นมาเห็นมันยืนกอดอกพิงประตูมองผมคุยโทรศัพท์ อยู่ ไม่รู้ว่ามายืนตั้งแต่เมื่อไหร่ ไม่รู้ว่าได้ยินอะไรบ้าง แต่ที่รู้ๆ...มันไม่มีมารยาท
“รีบวางทำไมล่ะ ไม่คุยกันให้ชื่นใจต่ออีกสักชั่วโมงสองชั่วโมงล่ะ”
“ไม่ล่ะ เดี๋ยวมะรืนก็ได้เจอกันอยู่แล้ว”
“.....ลาออกซะเลยดีมั้ย”
“ตาม ใจคุณสิ อยากให้ทำอะไรผมก็ขัดไม่ได้อยู่แล้วนี่”ไม่ได้ตั้งใจกวน แต่เพราะสถานการณ์มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ ถ้ามันบังคับ ผมก็ต้องทำตาม
“ต่อไปนี้ห้ามคุยกับมันอีก”
“ทำไม่ได้”ยกเว้นเรื่องนี้ที่ผมทำไม่ได้ รองจากแม่ ผมก็มีแค่ทิวคนเดียวที่เป็นเพื่อน
“ไม่ได้ก็ต้องทำ”
“........”
“คำตอบล่ะ”
“.......... ผมจะลาออก....แต่จะยังคุยกับเพื่อนอยู่ ”ผมกัดฟันตอบออกไป ผมยอมลาออกก็ได้ แต่ให้เลิกคบทิวผมทำไม่ได้จริงๆ คนเราควรจะมีใครสักคนที่คอยอยู่เคียงข้างเวลาอ่อนแอ...สำหรับผม...คิดว่า เป็นทิว ไม่จำเป็นต้องเจ็บร่วมกัน..ขอแค่ยังอยู่ข้างๆ ขอแค่กำลังใจก็พอ
“พรุ่งนี้จะพาไปดูที่ทำงานใหม่”คำพูดที่ไม่ต่อเนื่องกับคำพูดผม ไม่รู้ว่าตกลงมันจะให้ผมลาออกมั้ย แต่ที่สำคัญกว่าคือ...จะให้ผมทำอะไร
“ที่ไหน งานอะไร”
“....ขายน้ำ”---------------------------------------------------------------------------------------------------

พี่ตั้มหวังดีกับพายจริงๆ คงให้พายไปขายน้ำ ดื่มแน่ๆ
