
อ่านเข้าไปๆๆ อ่านแล้ว รักหลงๆๆ พี่ตั้ม

-------------------------------------------------------------------------------------------------
ตอนที่ 25ผมค่อยๆ หันไปมองคนที่ส่งเสียงทัก สีหน้าที่ตกใจจนแยกไม่ออกว่าระหว่างคนทักกับคนถูกทัก ใครจะตกใจมากกว่ากัน เขาคงทักผมโดยไม่สังเกตุสินะว่าผมไม่ได้ยืนอยู่ลำพัง
“…..ผมขอร้องล่ะ...จะทำอะไรก็ยอมแล้ว อย่า...ทำร้ายผมด้วยวิธีนี้เลย”ผมหันกลับมาพูดเบาๆ ให้ได้ยินกันเพียงสองคน ข้อศอกยังคงถูกจับไว้แน่น
“พาย!”เสียงทิวดังขึ้นพร้อมฝีเท้าที่เร่งเดินเข้ามาจนเกือบถึงตัวผม ผมแทบไม่อยากหันไปมอง อยากวิ่งหนีเสียให้รู้แล้วรู้รอด แต่คงไม่ทัน ทิวมาถึงตัวผมพร้อมแรงกระชากที่ข้อศอกอีกข้างจนตัวผมปลิวไปปะทะอกทิวทั้งตัวโดยไม่มีแรงยื้อยุดจากมือที่จับผมไว้ก่อนหน้า
“...ทิว..ปล่อยพายก่อน คนมองเต็มแล้ว”ผมยกมือยันหน้าอกทิวเบาๆ จากตอนแรกที่ยังไม่ค่อยมีคนมอง ตอนนี้ใครผ่านไปผ่านมาก็มองกันหมดเลย เพื่อนร่วมห้องบางคนที่ยังไม่ขึ้นเรียนก็จ้องเหมือนอยากมีส่วนร่วมเสียอย่างนั้น
“ก็พายทำอะไรอยู่ล่ะ ทำไมถึงมากับเขาได้ เขาเป็นแฟนนุไม่ใช่เหรอ”ทิวนี่ก็จำแม่นและตรงเหลือเกิน จะถามผมอ้อมๆ ไม่ได้เลยใช่มั้ย
“เอ่อ...คือ...”บอกตรงๆ ว่าคิดอะไรไม่ออก ไม่รู้ว่าควรจะพูดว่าไง จะโกหกหรือพูดความจริง อะไรจะเลวร้ายกว่า
“เมื่อเช้าเห็นนุบอกว่าเขาไม่สบาย ผมเลยให้ติดรถมา”เสียงทุ้มๆ ด้านหลังพูดแทรกก่อนที่ผมจะได้พูดอะไรออกไป ผมหันกลับไปมองคนที่พูดจบแล้วเดินขึ้นรถขับออกไป คำอธิบายสั้นๆ ที่ช่วยเหลือผมมากในเวลานี้
“พายยังไม่ดีขึ้นอีกเหรอ หน้าซีดจริงๆ ด้วย”
“อะ..อืม เวียนหัวนิดหน่อยน่ะ”
“เฮ้อ....ทิวก็ตกใจหมด เห็นยืนใกล้จนแทบจะกอดกันอยู่แล้ว ดีนะไม่ต่อยก่อนแล้วค่อยถาม”ทิวปัดผมชื้นเหงื่อด้านหน้าออกให้ สีหน้ายิ้มแย้มอย่างโล่งอก แต่ผม...ทั้งงง ทั้งหนักใจ มันโกหกทำไม....หรือว่าเพราะผมพูดว่า...จะยอมทุกอย่าง
เดินเข้ามาในห้องเรียน เพื่อนๆ บางคนก็ถามว่าผมหายไปไหนมาหลายวัน ผมยิ้มแห้งๆ แทนคำตอบ ไม่อยากโกหกบ่อยๆ รู้สึกว่ากรรมจะตามทันเร็วเหลือเกิน ทิวบอกว่าถึงไม่มาเรียนแต่ก็ฝากให้คนอื่นเช็คชื่อให้อยู่แล้ว ไม่ต้องห่วงว่าเวลาเรียนจะไม่พอ หลังจากเรียนเสร็จทิวก็พาผมออกไปกินข้าวแถวๆ หน้ามหาฯลัย
“เออใช่ พายยังไม่บอกเบอร์ใหม่กับทิวเลยนะ”ทิวหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเตรียมกด อย่าว่าแต่ทิวไม่รู้เลย ตัวผมเองยังไม่รู้เบอร์ที่ถูกยัดเยียดให้เลย
“อืม...เดี๋ยวพายยิงไปแล้วกัน”ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดเบอร์ทิวแล้วโทรออก หลังจากนั้นเราก็นั่งคุยกันเรื่องทั่วๆ ไป ส่วนมากจะเป็นทิวพูดและเป็นฝ่ายถามผมมากกว่า ไม่ว่าจะเรื่องงานใหม่ เรื่องที่บ้าน เรื่องสุขภาพผม เรียกว่า...โกหกจนจำไม่ได้แล้วว่าโกหกอะไรไปบ้าง เพิ่งรู้ซึ้งนี่แหล่ะว่าการโกหก....มันยากกว่าพูดความจริง
การเรียนช่วงบ่ายผ่านไปด้วยดี ผมไม่ต้องตอบหรือพูดอะไรกับทิว เพราะทิวนั่งฟุบหลับไปกับโต๊ะ โดยมีผมนั่งฟังอาจารย์สอนอย่างตั้งใจ เลิกเรียนทิวอาสาจะไปส่งผมที่หอ แต่ผมค้านโดยอ้างว่าจะไปซื้อของใช้ที่ห้างก่อนกลับ ทิวเองก็มีธุระเลยไม่ขอตามไปด้วย แต่จอดส่งผมที่ป้ายรถเมล์หน้ามหาฯลัยแทน
ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูรายชื่อที่บันทึกไว้ ไม่รู้ว่าจะโทรไปเบอร์ไหนดี สุดท้ายผมเลยกดเบอร์ที่เคยใช้โทรเข้ามา รออยู่นานจนคิดจะกดวางก็มีเสียงคนพูดแทรกขึ้นมา
“สวัสดีครับ”
“เอ่อ....ใครครับ”ผมคุ้นๆ เสียง แต่คิดว่าไม่น่าจะใช่คนที่ผมกำลังโทรหา
“ผมอั๋นครับ ว่าแต่ต้องการพูดกับล่ะใครครับ”ชื่อเขาคุ้นๆ เหมือนเป็นเพื่อนในกลุ่มมัน แล้วเบอร์ที่ผมกดโทรออกมันก็เขียนว่า Office T. แสดงว่าเขาก็ทำงานที่เดียวกันเหรอ
“เอ่อ....ขอสาย..คุณตั้มครับ”นับว่านี่เป็นครั้งแรกที่ผมเรียกชื่อมัน...ครั้งแรกจริงๆ แม้แต่ความคิดผมยังไม่อยากจะคิดถึงชื่อมันเลย
“จะให้บอกว่าใครโทรมาครับ”
“....พายครับ”
“อ้อ...เด็กไอ้ตั้มนี่เอง ว่าไงครับ โทรหามันทำไม คิดถึงมันเหรอ”พอได้ยินชื่อผม น้ำเสียงสุภาพก็เริ่มเปลี่ยนไปพร้อมๆ กับคำพูดที่ส่อถึงนิสัย
“บอกเขาด้วยว่าผมเลิกเรียนแล้ว กำลังจะกลับ แค่นี้แหล่ะครับ”ผมรีบพูดธุระแล้ววางสาย ไม่อยากฟังคำพูดทำนองนั้นอีก ผมเริ่มจำทางไปคอนโดมันได้เลยพอจะนั่งรถเมล์ไปถูก แต่ความคิดที่ขึ้นรถเมล์ต้องยกเลิกไปเมื่อมันโทรกลับมาบอกให้ผมนั่งรออยู่ป้ายรถเมล์ เพราะมันกำลังออกมา
รถยนต์คันหรูที่ไม่ใช่คันเดิมที่ผมเคยถูกบังคับให้นั่งบ่อยๆ จอดเทียบฟุตบาท เบาะข้างคนขับถูกจับจองด้วยผู้ชายคนที่รับสาย ผมเปิดประตูหลังก้าวขึ้นไปนั่งเงียบ ไม่คิดจะถามว่าจะไปไหน หรือทักทายใคร
“นี่เพื่อนพี่ ชื่ออั๋น”มันพูดพร้อมมองผมผ่านกระจก ส่วนผม...ก็แค่มองมันกลับไป โดยไม่คิดจะเอ่ยทักทาย
“น้องพายเรียนคณะอะไรเหรอครับ”คนที่เพิ่งได้รับการแนะนำตัว เอี้ยวตัวมาถามผมที่เบาะหลัง
“.............”
“ผู้ใหญ่ถามก็หัดตอบบ้างนะ”นึกแล้วว่าถ้าผมเงียบ มันจะต้องพูดว่าอะไรผมสักอย่าง แต่...เอาเถอะ อย่างน้อยเมื่อเช้ามันก็โกหกแทนผม จะยอมฝืนใจตัวเองพูดคุยกับพวกมันหน่อยแล้วกัน
“เรียนเศรษฐศาสตร์”
“น่าปวดหัวตาย วันๆ คงมีแต่ตัวเลข เรียนไปได้ไงวะ”เขาฟังคำตอบผมแล้วหันไปพูดกับคนขับ
“ไม่ใช่มึงนี่จะได้โง่เลขจนเกือบเรียนไม่จบน่ะ”
“เออว่ะ แล้วนี่ตกลงจะไปกินอะไร ที่ไหน ขอร้านฟังเพลงสบายๆ นะ ไม่อยากแด๊นซ์ แต่อยากกินเหล้า”
“ไปร้านเดิมที่เคยไปอาทิตย์ที่แล้วน่ะ จำได้มั้ย”
“ร้านที่กูบอกว่าสาวๆ สวยใช่มั้ยวะ ดีๆ”
“อืม”
ผมนั่งฟังคำสนทนาของมันสองคนโดยไม่มีส่วนร่วม ใจจริงอยากค้านว่าให้ผมกลับไปต้มมาม่ากินที่หอจะดีกว่า ใส่ชุดนักศึกษาแบบนี้มันไม่ค่อยเหมาะเลย
ร้านที่มันพามาทำให้ความกังวลเรื่องชุดลดลง เพราะลูกค้าเกินครึ่งใส่ชุดนักศึกษาทั้งนั้น ผมก้าวลงมายืนข้างรถพร้อมกระเป๋าเป้เพื่อเตรียมตัวกลับ ไม่อยากเข้าไปนั่งในร้านจริงๆ
“ผมกลับก่อนนะ”
“มาถึงแล้วจะกลับทำไม”มันชะงักเท้าที่กำลังจะเดินเข้าไป แล้วหันมาถามผม
“ก็เห็นอยู่ว่าผมยังใส่ชุดนักศึกษาอยู่ จะให้เข้าไปนั่งในร้านเหล้าได้ไง”ผมบอกถึงเหตุผล แต่เพื่อนมันคงไม่สนใจ
“ไม่เห็นเป็นไรเลยนี่น้อง ในร้านเขาก็ใส่กันเยอะแยะ”
“ก็ไม่เห็นว่าผมจะต้องทำตามในเรื่องไม่ดีเลยนี่”
“มีเสื้ออยู่หลังรถ เดี๋ยวเอาไปเปลี่ยนในห้องน้ำแล้วกัน หรือจะเปลี่ยนในรถ”มันพูดพร้อมเดินไปเปิดท้ายรถแล้วหยิบถุงเสื้อออกมาใส่มือผมสามสี่ถุง เสื้อใหม่ๆ ทั้งนั้น ยังไม่ได้แกะป้ายราคาออกเลย
“.....เปลี่ยนในรถ”ผมเลือกที่จะกลับเข้าไปนั่งเปลี่ยนเสื้อในรถ เพราะไม่อยากเดินเข้าร้านในชุดนี้จริงๆ เสื้อยืดสีฟ้าอ่อนสกรีนลายถูกสวมแทนเสื้อนักศึกษา กางเกงไม่มีปัญหาเพราะผมใส่ยีนส์อยู่แล้ว เปิดประตูออกมานอกรถแล้วก็เดินรั้งท้ายเข้าร้านพร้อมๆ สองคนนั้น พอเลือกโต๊ะที่จะนั่งได้ ผมก็ถูกบังคับให้นั่งข้างมัน อาหารมากมายถูกยกมาเสิร์ฟหลังจากสั่งไม่นาน บรรยากาศของร้านนี้คล้ายๆ ร้านของทิว แต่ร้านนี้เน้นการดื่มมากกว่าทานอาหาร
“เด็กมึงใส่เสื้อแบบนี้แล้วน่ารักดีว่ะ ถ้ากูชอบผู้ชายคงแย่งมึงจีบแล้ว”คำพูดของเพื่อนมันทำให้ผมต้องก้มมองตัวเอง ว่าผมแต่งแปลกกว่าเดิมตรงไหน ความจริงมันก็แค่เสื้อยืดคอวีธรรมดา
“อืม...เดี๋ยวขอไปโทรถามพวกนั้นก่อนนะว่ามันถึงไหนแล้ว”
“เอาดิ”พอได้รับคำตอบ มันก็ลุกออกไปโทรด้านนอกที่เสียงเงียบกว่า ผมได้แต่นั่งกินอาหารตรงหน้า สลับกับมองบรรยากาศรอบๆ แล้วก็ต้องไปสะดุดตากับ...คนที่ไม่ควรจะเห็น....จะเรียกว่าบังเอิญหรือโชคชะตา หรืออะไรก็ตาม....ผม...อยากหายตัวไปจากตรงนี้จัง แต่..คงไม่ทันแล้ว เพราะอีกฝ่ายก็หันมาเห็นพอดี รอยยิ้มบนใบหน้าที่แสดงความแปลกใจมาพร้อมกับการก้าวเดินที่เข้ามาใกล้เรื่อยๆ
“เพื่อนน้องเหรอ”เขาคงมองตามสายตาผม แล้วเห็นคนที่กำลังเดินตรงมาพร้อมแก้วน้ำในมือ มันเดินเพื่อทักทายผมแน่ๆ
“อืม....เดี๋ยวผมไปเข้าห้องน้ำก่อนนะ”ผมรีบลุกไปหาก่อนที่มันจะเดินมาถึงโต๊ะ กึ่งลากกึ่งจูงไปทางห้องน้ำด้านหลัง
“เฮ้ยๆๆ อะไรๆ ลากมาทำไมเนี่ย”เสียงโวยวายดังขึ้นตลอดทาง แต่ก็ขัดขืนการกระทำของผม
“เอ้อ...เปล่า จะให้มาเป็นเพื่อนเข้าห้องน้ำหน่อย แล้วมาอยู่นี่ได้ไง ไม่ทำงานเหรอ”พอเดินเข้ามาในห้องน้ำ ผมก็หยุดแล้วหันไปทักทาย
“โหไรวะ ไม่เจอกันไม่เท่าไหร่ ลืมแล้วเหรอว่าวันนี้วันหยุด”
“เออจริงด้วย ลืมไปเลย แล้วมากินอะไรไกลถึงนี่ล่ะต่อ”
“มากินเหล้าเฉยๆ เปลี่ยนบรรยากาศนิดหน่อย แล้วพายล่ะมาได้ไง ทิวไม่มาด้วยเหรอ”
“อืม....เพิ่งแยกกันเมื่อเย็น เห็นทิวบอกว่ามีธุระ นึกว่าไปทำงานซะอีก”เรียกว่าลืมวันจริงๆ ครับ ดีนะว่าทิวบังเอิญไม่ว่างจริงๆ ไม่งั้นเมื่อเย็นผมคงต้องหาข้ออ้างเยอะกว่านั้นแน่ๆ
“แล้วนั่งอยู่กับใครน่ะ”ต่อกับทิวนี่พอกันเลย ถามแต่คำถามที่ผมไม่อยากตอบทั้งนั้น
“.......เจ้านายใหม่กับเพื่อนๆ เขาน่ะ”เอาเข้าไปผม โกหกได้โกหกดี เริ่มคล่องจนคิดไม่ออกแล้วด้วยว่าวันนี้ผมพูดความจริงสักกี่ประโยคกัน
“เออ จะเข้าห้องน้ำก็เข้าไปเหอะ ให้ถือแก้วมายืนให้ห้องน้ำแล้วแปลกๆ ว่ะ ไปก่อนนะ แล้วเจอกัน”ต่อตบบ่าผมเบาๆ ก่อนจะเดินออกไป ผมก็...ล้างหน้าเรียกความสดชื่นให้ตัวเองนิดหน่อย วันนี้เจอแต่เรื่องให้ตื่นเต้นตกใจตลอดเลยสิน่า ผมเดินกลับออกมา มองผ่านไปทางต่อที่ส่งยิ้มมา ผมก็เลยยิ้มกลับไป ก่อนจะสูดลมหายใจหนักๆ เข้าปอดแล้วเดินไปทางโต๊ะตัวเอง
สงสัยว่า....เรื่องตื่นเต้นในวันนี้ยังคงหนักไม่พอ สมาชิกที่เพิ่มขึ้นบนโต๊ะทำให้ผมต้องหยุดยืนอยู่กับที่ พอๆ กับหยุดหายใจไปชั่วขณะ รอยยิ้ม แววตาที่เปี่ยมสุขขณะพูดคุยกับคนอื่นๆ หายไป แล้วแทนด้วยใบหน้าแห่งความสงสัยก่อนเผยรอยยิ้มส่งมาให้ผมอีกรอบ
“พาย! ไม่คิดเลยนะว่านุจะเจอพายที่นี่”
-------------------------------------------------------------------------------------------------

คนที่ทายถูก
ส่วนรางวัลนั้นอย่าแย่งกันๆๆ ใจเย็นๆได้ทุกคน

อีหนูพายงานเข้าอีกแล้ว
สำหรับ รีข้างล่าง แทงคนโพสกะคนแต่งแล้ว สาธุๆๆ ขอให้ไม่ได้แทง กูลิโกะ ไป 10 วัน อดๆๆๆ

v
v