
ย่องมาลงตอนดึกๆ
-----------------------------------------------------------------------------------------------------
ตอนที่ 32ยิ่งดิ้นรนขัดขืนก็ยิ่งรู้สึกว่าคิดผิด เพราะเป้าหมายจากห้องนอนกลับกลายเป็นโซฟาที่อยู่ใกล้กว่า หมอนอิงใบเล็กที่วางไว้ทำให้ร่างกายที่ไม่ราบลงไปตามเบาะของโซฟาบดเบียดอย่างช่วยไม่ได้ ริมฝีปากร้อนพรมจูบตามซอกคอและใบหน้าขณะที่มือปลดกระดุมหลุดออกจนหมด
“มะ..ไม่....หยุด.....”ผมพยายามรั้งฝ่ามือที่พยายามปลดเข็มขัด น้ำเสียงขาดห้วงเพราะริมฝีปากที่เวียนจูบตามยอดอก ไม่รู้ว่าเพราะอะไรมันถึงเกิดบ้าแบบนี้ขึ้นมาอีก
“อ๊ะ!...โทษที...”เสียงร้องที่ดังจากหน้าประตูทำให้มือที่กำลังจะถอดกางเกงผมชะงักลง ส่วนผมไม่กล้าแม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมองว่าใครคือเจ้าของเสียง ทำได้เพียงดึงกางเกงให้อยู่ในระดับเดิมและรวมสาบเสื้อไว้ด้วยกัน ทั้งๆ ที่ผมรู้สึกอายจนมุดหน้าลงกับโซฟา แต่คนที่ทับตัวผมกลับไม่มีความกระตือรือร้นที่จะปรับเปลี่ยนท่าทาง
“มีอะไรอั๋น”
“ก็....มึงทิ้งงานมา.....”เสียงประตูห้องปิดเบาๆ แต่ไม่ได้ยินเสียงเดินเข้ามา สงสัยพี่อั๋นยังยืนอยู่หน้าประตูแน่ๆ
“แล้วจัดการกันเองไม่เป็นรึไงวะ”ทั้งๆ ที่มันเงยหน้าพูดกับพี่อั๋น แต่กลับไม่ยอมปล่อยให้ผมลุกจากโซฟา ถึงจะพยายามลอดผ่านใต้วงแขนแต่ก็ทำไม่สำเร็จ สุดท้ายเลยเลือกที่จะหันหน้าซุกอยู่กับเบาะนุ่มๆ
“.....ก็....มึงเก่งสุด...แล้วงานก็ต้องเสนอพรุ่งนี้ด้วย...”ท่าทางงานคงสำคัญ ไม่งั้นพี่อั๋นคงไม่เสี่ยงพูดต่อแบบนี้ แต่นับว่าเป็นเรื่องดี รีบๆ ลากมันกลับไปทำงานหรือไปไหนก็ไปเถอะ
“เดี๋ยวกูลงไปทำต่อให้เสร็จเอง”
“แต่....คนอื่นรอประชุมอยู่ด้วย มึงบอกเองว่าไปรับพายแล้วจะรีบกลับมาประชุมต่อ”
“......มึงลงไปก่อน เดี๋ยวกูตามไป”
“....ทำเวลาหน่อยนะมึง”
“ลงไปก่อน”มันพูดเน้นเสียงให้รู้ว่าใกล้หมดความอดทนเต็มที
“เออๆ”พี่อั๋นตอบรับแบบหงุดหงิดแต่ก็ยอมออกไปแต่โดยดี เสียงประตูห้องปิดลงทำให้บรรยากาศน่าอึดอัดกลับคืนมา
“.....ซุกหน้าแน่นขนาดนั้นเดี๋ยวก็ขาดอากาศตายหรอก”
“ก็ถอยไปสักทีสิ”ผมยังพูดในขณะที่หันหน้าหนีมันอยู่เช่นเดิม
“หันหน้ามาดีๆ”
“บอกให้...!!”พลาดอีกแล้วที่คิดว่าจะหันมาตวาดใส่ ปากหนาฉกวูบลงมากดจูบหนักๆ หลายครั้งติดกันก่อนจะถอนหน้าออกไปแล้วพูดในสิ่งที่....ขัดกับเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้น
“....ทำกับข้าวสักตอนสองทุ่ม เสร็จแล้วลงไปเรียกที่ห้องเก่าด้วย”
“......อะ..อืม”ผมไม่แน่ใจว่าตกใจและหวาดกลัวเกินไปจนทำให้สมองทำงานผิดเพี้ยนไปหรือเปล่า คำขานรับเบาๆ ในลำคอสร้างความพอใจให้กับคนสั่งอยู่บ้าง อย่างน้อยมันก็ยอมลุกออกจากร่างผม
“ห้ามออกไปไหน ถ้าจำเป็นให้ลงไปบอกก่อน”
“อืม”ผมลุกขึ้นนั่งติดกระดุมเสื้อตัวเองให้เรียบร้อย ขานรับในลำคอโดยไม่ได้หันไปมอง เสียงเปิดและปิดประตูห้องเบาๆ ช่วยปลุกให้ตื่นจากความคิด แต่ก็ยังไม่มั่นใจว่า....น้ำหนักที่ลูบศีรษะเบาๆ เมื่อครู่....เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจริง ถึงมั่นใจว่าเริ่มปรับตัวให้เข้ากับมันได้บ้างแล้ว หากสิ่งที่เกิดขึ้นวันนี้กลับทำให้ไม่มั่นใจได้อีก....สัมผัสเมื่อครู่....พอจะ...ตีความเข้าข้างตัวเองได้บ้างมั้ย...ว่ามัน...เป็นความอ่อนโยน...ครั้งแรก
หลังจากหายงงและหายตกใจ ผมก็อาบน้ำเปลี่ยนชุดใหม่แล้วรีบทำกับข้าวตามที่มันสั่ง แต่ก็ไม่ได้ถามว่าให้ทำสำหรับกี่คน พี่อั๋นอยู่ด้วยน่าจะมากินพร้อมกัน แต่ของสดในตู้เย็นเหลือไม่กี่อย่าง ทำอย่างมากก็ได้แค่สองอย่าง ผมเลยเปลี่ยนเป็นทำข้าวผัดกับแกงจืดวุ้นเส้น เผื่อพี่อั๋นไม่กินด้วยก็ยังสามารถเก็บไว้กินพรุ่งนี้เช้า เวลาอุ่นก็ง่ายกว่าอุ่นกับข้าว ทำทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยผมก็ยืนทำใจอยู่กลางห้องก่อนจะรวมรวบสติลงไปข้างล่าง ไม่รู้ว่าตอนนี้มันอยู่ในอารมณ์ไหน เหมือนจะโมโหผมมากที่ขัดคำสั่ง แต่....ทำไมมันถึงลูบหัวผมเล่นแบบนั้น
“เอ่อ...มาหาใครคะ”หลังจากกดออดก็มีผู้หญิงเดินมาเปิดประตูให้ ผมมองเลขห้องที่ประตูก็แน่ใจว่ามาถูกห้องแล้ว
“มาหา...คุณตั้มน่ะครับ”
“ติดต่อเรื่องอะไรคะ ได้นัดไว้หรือเปล่า”ผู้หญิงคนนี้น่าจะอายุมากกว่าผมสองสามปี หน้าตาสวยหวาน ใส่กระโปรงยีนส์เสื้อยืด หรือว่าจะเป็นแฟนพี่อั๋นคนที่เคยพูดให้ได้ยิน
“คือ..ไม่ได้มีธุระอะไรครับ ฝากถามเขาหน่อยว่าจะกินข้าวที่ไหน ถ้ากินที่นี่เดี๋ยวผมจะได้เอามาส่ง”สงสัยจะทำงานยังไม่เสร็จ ข้างในยังมีคนอื่นนั่งทำงานกันอีกสามสี่คน
“อ้อ ร้านข้าวเหรอน้อง เดี๋ยวพี่ถามให้ แล้วฝากสั่งเพิ่มเลยแล้วกันนะ เฮ้ย! พวกแกจะกินอะไรจดใส่กระดาษไว้นะ จะได้สั่งทีเดียว”พี่เขาตะโกนบอกเพื่อนก่อนจะปิดประตู ผมจะแก้ไขเรื่องที่เข้าใจผิดก็ไม่ทัน รอไม่นานพี่คนเดิมก็กลับมาเปิดประตูใหม่อีกครั้ง
“พี่ตั้มบอกให้ใส่จานมาให้ ส่วนอันนี้พี่สั่งเพิ่มนะ”
“คือ...ของไม่มีแล้วครับ เอาเป็นข้าวผัดเหมือนกันได้หรือเปล่าครับ”ผมมองดูรายการอาหารที่จดมาให้แล้วคิดว่าไม่สามารถทำได้ ในเมื่อพี่ๆ เขาไม่มีปัญหาอะไรผมก็กลับขึ้นมาบนห้อง หยิบกล่องถนอมอาหารมาตักข้าวผัดในกะทะใส่ลงไปจนหมด คิดว่าน่าจะพอสำหรับสามคน หยิบมาม่ามาหกห่อแล้วลงมือผัดมาม่าเพิ่ม เน้นหมูเน้นไข่ให้เยอะๆ จะได้อิ่มๆ พอผัดเสร็จก็หยิบกล่องพลาสติกใบใหม่มาใส่ ค้นถุงพลาสติกหูหิ้วมาจัดกล่องจัดจานชามใส่ลงไปโดยคะเนจำนวนคนคร่าวๆ ส่วนแกงจืดก็ถือลงไปทั้งหม้อเพราะไม่มีกล่องให้ใส่อีกแล้ว กว่าจะลงมาถึงหวิดทำแกงจืดหกใส่ตัวเองหลายรอบเพราะความร้อนของหม้อและน้ำหนักของถุงอาหารที่หิ้วเพียงนิ้วแค่สามนิ้ว แถมอีกสองนิ้วก็ต้องช่วยประคองหม้อแกงจืดมาตลอดทาง มาถึงหน้าห้องได้ก็ต้องเสี่ยงโดนแกงลวกอีกรอบเพราะต้องยื่นนิ้วก้อยมือที่ว่างไปกดกริ่ง
“เสร็จแล้วเหรอ เร็วดีจริง แล้วนี่หม้ออะไรล่ะน้อง”พี่สาวคนเดิมออกมาเปิดประตู พอเห็นข้าวของเต็มมือก็รีบแบ่งถุงไปถือไว้
“แกงจืดวุ้นเส้นครับ”ผมตอบพร้อมเดินตามเข้าไปด้านใน ห้องที่เคยเป็นห้องนอนกลายเป็นห้องประชุมไปแล้ว และตอนนี้โต๊ะประชุมก็กลายเป็นโต๊ะกินข้าวอีกด้วย
“ว้าว ผัดมาม่านี่นา เฮ้ยพวกแกน่ะข้าวมาแล้ว ไปตามเฮียมากินด้วย”พี่สาวตะโกนบอกเพื่อนด้านนอกพร้อมลงมือหยิบจานชามออกมา ผมค่อยๆ ใช้ทัพพีแบ่งแกงจืดเป็นสองชาม
“ทั้งหมดเท่าไหร่จ๊ะน้อง”
“เอ่อ....ไม่เป็นไรครับ”ผมจะบอกว่าไม่ใช่ร้านอาหารก็กลัวพี่เขาจะหน้าแตก พอบอกว่าไม่ต้องก็ดูเหมือนจะทำหน้างงๆ ดีกว่ามีคนเข้ามาช่วยแก้สถานการณ์ได้พอ
“พายกินหรือยัง กินด้วยกันเลยมั้ย”พี่อั๋นเดินเข้ามาถึงก็ใช้ช้อนตักน้ำแกงจืดขึ้นมาซดทันที ท่าทางจะหิวจัด
“ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวพายไปกินบนห้อง”
“อ้าวเฮีย นี่ไม่ใช่เด็กร้านข้าวเหรอ”
“ห๊ะ! ไม่ใช่ซะหน่อย ไหงแกคิดแบบนั้นล่ะหมวย”
“อ้าว...หมวยไม่รู้นี่ เผลอสั่งอาหารเรียบร้อย นี่กำลังจะจ่ายตังค์อยู่พอดี แล้วน้องเขาก็ไม่บอกว่าไม่ใช่ด้วย”พี่หมวยยิ้มเขินๆ ส่วนพี่อั๋นหัวเราะก๊ากกับความเข้าใจผิดที่เกิดขึ้น
“หัวเราะอะไรกัน”
“ก็ไอ้หมวยน่ะดิ ดันคิดว่าพายเป็นเด็กร้านข้าว จะจ่ายตังค์ค่าอาหารด้วยนะ”
“ก็จะไปรู้เหรอ น้องเขาไม่พูดสักคำ แถมตอนสั่งอาหารยังไม่เห็นแก้ตัวเลย พี่ไม่รู้น่ะน้อง ขอโทษทีนะ นี่คงไปทำมาเพิ่มให้ล่ะสิ แล้ว....ตกลง....เป็นใครล่ะ”พี่หมวยนี่ท่าทางจะทำงานคล่อง เป็นพูดรวดเดียวทั้งอธิบายเรื่องที่เข้าใจผิด ทั้งขอโทษผม แล้วสุดท้ายยังจบด้วยคำถามอีก ไม่รู้ว่าจะตอบอะไรไปก่อนดี
“หุหุ...นั่นสิ...เป็นใครกันน้ออออ”พี่อั๋นหัวเราะแบบแปลกๆ พร้อมหันไปเหล่มองคนที่ยืนอยู่ข้างๆ ผม
“กินกันพอนะครับ ถ้าไม่พอเดี๋ยวพายไปทำมาให้เพิ่ม พอดีไม่อยากหุงข้าวใหม่ ผัดมาม่ามันเร็วกว่า”ผมปล่อยให้สองคนนั้นเหล่กันไป คุยกับพี่หมวยดีกว่าอีก
“พอแล้วจ้า เกรงใจน้องเปล่าๆ”พี่หมวยเริ่มตักผัดมาม่าใส่จานตัวเอง พี่คนอื่นก็เริ่มทยอยเดินเข้ามานั่งจนเก้าอี้เกือบเต็ม
“งั้น...ผมกลับห้องก่อนนะ”ผมหันหน้าไปพูดกับคนข้างๆ แต่ไม่อยากสบตา เรื่องที่เกิดไม่ได้ทำให้รู้สึกเขินอาย....อาจรู้สึกบ้างนิดหน่อย...แต่เป็นเพราะไม่เข้าใจเสียมากกว่า แล้วสีหน้ากับความรู้สึกของฝ่ามือนั้นมันก็ยังชัดเจนเกินกว่าจะให้พูดคุยกันเหมือนปกติได้
“ไม่กินข้าวรึไง”แค่ประโยคคำถามเดียวแต่กลับทำให้เสียงพูดคุยของคนอื่นเงียบลง....เหมือนตั้งใจฟัง
“จะไปกินบนห้อง”
“อืม....พรุ่งนี้มีเรียนกี่โมง”
“เก้าโมง”
“จะไปตอนไหนลงมาเรียกข้างล่างแล้วกัน กุญแจสำรองหัวเตียง คืนนี้คงไม่กลับไปนอน...นอนไปก่อนได้เลยไม่ต้องรอ”มันพูดจบผมรู้สึกว่าบรรยากาศรอบๆ มันเงียบลงกว่าเดิม แต่...สายตาทุกคู่พุ่งตรงมาที่ผม เสียงหัวเราะในลำคอของพี่อั๋นทำให้ผมรู้สึกตัวแล้วรีบเดินออกจากห้องทันที มันจงใจ.....จงใจทำให้ผมขายหน้าแน่ๆ....ไม่ต้องรองั้นเหรอ...ผมเคยรอมันหรือไง....บ้าจริงๆ ไม่น่าปล่อยให้มันพูดอะไรแบบนั้นเลย น่าจะสวนอะไรกลับไปสักหน่อย ยิ่งคิดยิ่งเจ็บใจ
สรุปแล้วพอกลับมาถึงห้องก็กินอะไรไม่ลง อารมณ์โมโหปนอับอายยังคุกรุ่นอยู่ พออาบน้ำสระผมก็ค่อยเย็นลงบ้าง ผมเดินเข้าห้องนอนหยิบหนังสือมาอ่านแล้วก็เปิดโทรทัศน์ในห้องไปควบคู่ อ่านไปได้พักใหญ่ก็ล้มตัวลงนอนอย่างสบายใจ ดีเหมือนกันที่มันงานยุ่ง ไม่งั้นคืนนี้ไม่รู้ว่าจะรอดหรือเปล่า ถ้าเกิดเหตุการณ์แบบเมื่อเย็นอีก ผมยอมเจ็บตัวดีกว่าให้มันทำอะไรแบบนั้น
รุ่งเช้าผมตื่นขึ้นมาด้วยอารมณ์สุนทรีที่สุดหลังจากไม่มีมานาน ผมได้นอนเต็มอิ่มเต็มเตียงโดยไม่ต้องพะวงว่าตื่นมาจะเจอใคร ไม่ต้องฟังคำพูดกวนอารมณ์ของใคร ถึงจะเป็นแค่สองชั่วโมงแต่ก็พอแล้ว ข้าวต้มหมูสับง่ายๆ สำหรับมื้อเช้า หลังจากทุกอย่างเรียบร้อยผมก็หยิบกุญแจสำรองแล้วก็ลงไปห้องเก่า ไขกุญแจไปแล้วก็พบห้องโล่งๆ ไร้สิ่งมีชีวิต ได้ยินเสียงเบาๆ รอดจากห้องทำงานเลยไปเคาะเรียก คนที่มาเปิดก็คือคนที่ตั้งใจมาหาอย่างจำใจ ท่าทางจะยังไม่ได้นอนเพราะยังอยู่ในชุดเดียวกับเมื่อวาน ด้านในพี่อั๋นยังทำงานอยู่ด้วยเหมือนกัน
“จะไปเรียนแล้วเหรอ”สีหน้าของคนอดนอนดูน่ากลัวกว่าปกติ
“อืม”ผมพูดพร้อมพยักหน้า ไม่อยากขอไปเองเพราะคงไปไม่ทัน
“ขับรถเป็นมั้ย”
“ไม่เป็น”
“อืม....งั้นเดี๋ยวให้อั๋นมันไปส่ง เลิกเรียนแล้วโทรมา อย่าไปไหนแบบเมื่อวานอีก”ถึงสีหน้าเหมือนจะเบลอๆ แต่กลับไม่ลืมที่จะสั่งผมเหมือนเคย ผมถอยจากประตูมายืนรอสักพักพี่อั๋นก็เดินออกมาแล้วขอล้างหน้าล้างตาก่อนจะขับไปส่งผม ระหว่างทางก็เห็นอ้าปากหาวตลอดจนผมกลัวว่าจะไปไม่ถึงมหาฯลัยเพราะคนขับหลับในแล้วใช้ท้ายรถคันอื่นเป็นเบรก
“งานด่วนเหรอครับ”อย่างน้อยก็ควรชวนคุยเพื่อความปลอดภัยของตัวเอง
“อืม...ช่วงก่อนยุ่งๆ เรื่องย้ายออฟฟิศน่ะ ลูกค้ารายนี้ก็เรื่องมากด้วย ถ้าไม่เนี้ยบตั้งแต่ครั้งแรกแล้วจะยิ่งยืดเยื้อ หาเวลาเข้าไปเสนองานยาก ถ้าเป็นลูกค้าทั่วๆ ไปก็ไม่ต้องให้ตั้มมันลงแรงเองหรอก นี่พี่ก็ต้องรีบกลับไปเปลี่ยนชุดแล้วกลับมาเอางานไปพรีเซนต์ด้วย ให้ไอ้ตั้มไปก็ไม่ได้ ยิ่งอดนอนมันยิ่งขี้หงุดหงิด เกิดเจอลูกค้างี่เง่าใส่มากๆ มีหวังงานได้ล่มเพราะปากมัน”พี่อั๋นคงอยากพูดแก้ง่วงบ้าง แต่...พี่เขาเป็นคนเปิดเผยดีนะครับ ด่าเพื่อนไม่เลี้ยงเลย
พี่อั๋นพูดเรื่องงานให้ฟังตลอดทาง ทำให้ผมรู้อะไรมากมาย รู้ว่าสามคนนี้เป็นเพื่อนสนิทกันตั้งแต่สมัยเรียนมัธยมต้น พอจบมาก็แยกย้ายไปทำงาน พี่อั๋นจบปริญญาโทที่มหาฯลัยของผม ประสบการณ์การทำงานเลยน้อยกว่าคนอื่นเพราะเรียนอย่างเดียว แต่อีกสองคนเรียนด้วยทำงานด้วย สุดท้ายพอเบื่องานประจำก็เลยร่วมทุนกันเปิดบริษัทฯออแกไนซ์เล็กๆ แต่ว่าแต่ละคนก็มีกิจการอื่นด้วย อย่างพี่นัทมีสำนักงานบัญชี ส่วนอีกคนก็อย่างที่รู้ว่ามีร้านไวน์หลายสาขา แล้วยังมีรับเหมาก่อสร้างอีก ก็สร้างอะไรเสร็จการประชาสัมพันธ์เปิดตึกเปิดหมู่บ้านก็จะโยนมาให้ที่ออฟฟิศรับงาน เงินทองไม่รั่วไหลดีจริงๆ
“ขอบคุณครับพี่อั๋น”ผมเดินลงจากรถที่หน้าตึกเรียน คราวนี้ไม่ต้องหลอกให้ไปส่งที่อื่นอีกแล้ว พี่อั๋นพยักหน้ารับหรือสัปหงกผมก็ไม่แน่ใจ ผมปิดประตูรถแล้วหันหลังเตรียมขึ้นตึก....ถ้าไม่ได้ยินเสียงเปิดประตูรถอีกฝั่ง
“น้องแพร!!!”เสียงตะโกนเรียกดังก้องจนทำให้สายตาหลายคู่บริเวณนั้นหันมาสนใจ ผม&