
ฟิืตๆ
------------------------------------------------------------------------------------------------------
ตอนที่ 50ขนมหวานทำให้เราอารมณ์ดีขึ้นหรือเปล่าผมไม่แน่ใจ แต่ตอนนี้ผมกำลังรู้สึกดี แตงไทยน้ำกะทิสดหมดไปในมื้อดึกเมื่อวานพร้อมๆ กับมะม่วงกวนหนึ่งถุง วันนี้ผมก็ใช้ข้ออ้างง่ายๆ หลังเลิกงานไปกินข้าวด้วย กับข้าวจากโรงแรมที่แพ็คใส่ถุงเรียบร้อยดูน้อยค่าถ้าเทียบกับข้าวแกงเมื่อ วานที่น้าพิมพ์ให้กิน น้าพิมพ์ค่อนข้างเกรงใจเมื่อเห็นผมหอบของกินและผลไม้ไปฝาก แต่ก็ทนแรงตื้อไม่ไหวจนต้องรับไปหมด แล้วตอบแทนกลับมาด้วยมะม่วงน้ำปลาหวานหลังอาหาร
ไม่รู้ว่าทำไมของฝาก ของผมมันถึงดูไร้ค่าเสมอเมื่อส่งมอบให้น้าพิมพ์ กับข้าวหลากหลายที่น้าทำให้กินดูจะสูงค่าจนหาราคาไม่ได้ ผลไม้ราคาแพง อาหารหรือขนมเลิศรสไม่ได้รับความสนใจเหมือนเวลามอบให้คนอื่น ผมไม่คิดว่าจะได้รับน้ำใจจากคนอื่นที่ไม่ใช่ครอบครัวแบบนี้ ส่วนใหญ่ที่ได้รับมักมาจากการแลกเปลี่ยนด้วยเงินตราเสมอ เกือบครบหนึ่งสัปดาห์แล้วที่แวะเวียนไปนั่งกินข้าวที่บ้านนั้น ไปนั่งเล่นนอนเล่นอย่างคนคุ้นเคย ทั้งๆ ที่ตัวเองทำเรื่องเลวร้ายกับลูกชายสุดที่รักของเจ้าของบ้าน
ความ รู้สึกที่เกิดขึ้นตอนนี้คงไม่มีใครเข้าใจ ผมไม่รู้ว่าตัวเองทำอะไรอยู่ เหมือนห้ามตัวเองไม่ได้ อยากเข้าใกล้ อยากได้ยินได้ฟังเรื่องราวต่างๆ ที่คุณน้าใจดีเล่าให้ฟัง เพียงไม่กี่ชั่วโมงต่อวันผมก็แทบจะรู้จักพายเหมือนอยู่ด้วยกันมาตั้งแต่เกิด อีกสองวันก็ต้องกลับแล้ว แต่...ผมไม่อยากกลับไปในสภาพนี้ หากอีกใจหนึ่ง ก็อยากหายไปเงียบๆ ไม่ร่ำลาเหมือนกัน ถ้าคุณน้าไม่รู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นกับลูกชายตัวเอง และพายไม่รู้ว่าผมเป็นคนที่ทำร้ายเขา อะไรมันคงจะดี......ได้เพียงแค่คิด....ถ้าพบกับพายอีกครั้ง และปิดบังเรื่องทุกอย่าง เริ่มต้นอย่างคนไม่รู้จักกัน ทำความรู้จักและสร้างความสนิทสนม....เพียงแค่ฝัน...ไม่รู้ต้องพยายามนานสัก เท่าไหร่ หรือบางทีอาจตลอดชีวิต....ถึงได้มาอยู่ข้างกาย....บางที...จะได้เพียงแค่รอ
"วันนี้มีแกงสายบัว กินเป็นมั้ยตั้ม ไปตลาดแล้วมีขายเลยซื้อมาทำ ไม่ค่อยได้ทำบ่อยๆ หรอกนะ"
" เป็นครับน้า แต่ไม่ได้กินนานแล้ว ที่กรุงเทพฯ หายาก"ผมมองแกงในชามตรงหน้าแล้วตักกินด้วยความเอร็ดอร่อย แกงสายบัว น้ำพริกปลาทูกับผักต้ม บวกกับทอดมันปลากราย ปลาหมึกผัดไข่เค็มที่ผมซื้อมาก็ทำให้เราสองคนอิ่มจนจุกไปอีกหนึ่งมื้อ ผมอาสาล้างจานให้เหมือนทุกวัน แต่น้าพิมพ์ก็ห้ามเหมือนทุกวันเช่นกัน
หลัง มื้ออาหารผมนั่งพิงโซฟามองน้าพิมพ์เย็บปะเสื้อผ้าที่ลูกค้าเอามาให้ซ่อม องุ่นแดงลูกโตที่ผมซื้อมาฝากก็กลายเป็นผลไม้ล้างปากหลังอาหารสำหรับผม อันที่จริงผมคิดเสมอทุกวันที่ขับรถมาบ้านหลังนี้....ผมมาทำไม....ถึงจะคิด แบบนี้แต่ก็ไม่เคยผ่อนคันเร่งหรือเหยียบเบรคเลย ตรงข้ามกับเวลาขับกลับที่คิดอยากจะนั่งนิ่งๆ ในรถมองดูหลังคาบ้านนานเสียจนบางทีน้าพิมพ์ต้องออกมาถามไถ่ด้วยความเป็นห่วง คงเป็น...ความเป็นแม่คนในตัวผู้หญิงใจดีคนนี้ที่ทำให้ผมรู้สึกผิดในใจจนนอน ไม่หลับทุกคืน ส่วนมากคนเราจะดีจะเลวอยู่ที่การเลี้ยงดูปลูกฝัง เพราะอย่างนี้พายถึงได้เป็นเด็กแบบนั้น
"น้าพิมพ์ครับ...ผม...มี เรื่องอยากบอก...."ผมพูดเหมือนคนไม่รู้สึกตัว แต่ก็พูดออกไปแล้ว น้าพิมพ์ละสายตาและวางมือจากอุปกรณ์เย็บปักแล้วมองหน้าผมอย่างตั้งใจรอ... และเตรียมใจฟัง
"พูดมาเถอะ...น้าคิดว่าตั้มคงมีเหตุผลอะไรสักอย่าง ที่มาหาน้า...น้ารออยู่"น้าพิมพ์ไม่ใช่ผู้หญิงซื่อๆ ใจดีอย่างที่ผมคิดไว้เสียทีเดียว น้ามองออกว่าผมมีจุดประสงค์ในการมา และคงเดาได้ว่าเป็นเรื่องเกี่ยวกับลูกชายเธอ....เพราะอย่างนี้สินะ...ถึงได้ ถ่ายทอดเรื่องราวมากมายให้ผมฟัง
"...ผม....ขอโทษ..........ผม....ขอ โทษ"เป็นครั้งแรกที่พูดไม่ออก ไม่กล้าเงยหน้ามอง ผู้ร้ายเวลาทำผิดแล้วเขาเอาความกล้าที่ไหนมาสารภาพกัน ผมอยากได้ความกล้าแบบนั้นบ้าง
"พูดมาเถอะ น้ารอฟังอยู่ น้ารับได้ น้าไม่ได้เป็นโรคหัวใจ คงไม่ช็อคง่ายๆ"
"....... ผม.......ข่มขืนพาย......."เสียงที่พูดออกไปแทบจะกรีดลงไปบนเนื้อผมด้วย การยอมรับความผิดของตัวเองไม่ใช่เรื่องน่าอายหรือเจ็บปวด แต่การยอมรับว่าทำร้ายคนสำคัญ...ของคนที่แสนดีกับเรา คนที่เราเองก็รู้สึกดี...นี่สิที่เจ็บ
"................"น้าพิมพ์ เงียบ ไม่พูดอะไรกลับมา เงียบจนน่าใจหาย ผมแทบอยากจะก้มกราบแทบเท้า แต่รู้ว่ามันเทียบอะไรกับสิ่งที่ทำลงไปไม่ได้เลย แก้วตาดวงใจที่ผู้หญิงคนนี้ฟูมฟักเลี้ยงดูด้วยความรักทั้งชีวิต ผมทำลายลงไปด้วยความคึกคะนองชั่วครู่ ทำลายเสียย่อยยับไม่มีชิ้นดี
".... น้าครับ..."ผมร้องเรียกอีกครั้งเพราะไม่แน่ใจว่าน้าพิมพ์ยังปกติอยู่หรือ เปล่า ผมกลัวน้ารับไม่ได้แล้วเป็นอะไรลงไป แต่ไม่ใช่อย่างที่คิด น้าพิมพ์ลุกขึ้นยืนแล้วเดินเข้าไปในห้องนอนปิดประตูลงกลอนโดยไม่มองผมที่ลุก ยืนค้างอยู่กลางบ้าน....รู้สึกเหมือนตัวเองสกปรกจนไม่กล้ายืนอยู่ในนี้หลัง นี้
ผ่านไปหลายชั่วโมงแล้วน้าพิมพ์ก็ยังไม่ออกมาจากห้อง ผมนั่งอยู่บนเก้าอี้เก่าๆ หน้าบ้าน ไม่รู้ว่าจะทำอะไร ถ้าเขาแจ้งตำรวจมาจับก็ยอมแล้วล่ะ ติดคุกเสียยังดีกว่าต้องรู้สึกแบบนี้ ความรู้สึกแบบนี้ล่ะมั้งที่ทำให้ผู้ร้ายเข้ามอบตัวด้วยตัวเอง โง่ชะมัด ทำอะไรไม่คิด สมแล้วที่พี่นพด่า
"ยังไม่กลับอีกเหรอคุณ ไปนั่งทำอะไรมืดๆ"เสียงจากหน้าประตูบ้านทำให้ต้องเงยหน้าขึ้นมอง ถึงจะอยู่ในไฟสลัวๆ แต่ดวงตาที่บอบช้ำจากการร้องไห้ยังเด่นชัด
"......ไม่เป็นอะไรนะครับ"
"....เข้ามาก่อนสิ"น้าพิมพ์พูดแล้วเดินกลับเข้าไปด้านใน ผมเดินตามเข้ามานั่งอยู่ห่างๆ ไม่อยากสบสายตาที่ยังแสดงความปวดร้าวให้เห็นเลย
" แล้วตอนนี้ลูกฉันเป็นยังไงบ้าง"คำพูดห่างเหินยิ่งกว่าครั้งแรกที่ได้พบกัน ที่คิดว่าอยากขอโทษเฉยๆ ไม่ได้หวังให้อภัยนั้นไม่จริงเลย....ถ้าอภัยให้ผม....คงดี
"ดีขึ้นแล้วครับ ผมกับพี่ชายพี่สาวคอยดูแล"ข้อมูลที่บิดเบือนเล็กน้อยคงไม่เป็นไร ผม...แค่อยากให้รู้สึกดี
"ดึกแล้วก็ค้างซะที่นี่เลยแล้วกัน ไปอาบน้ำอาบท่าแล้วค่อยมาคุยกัน"
".......ครับ"ผมพยักหน้ารับช้าๆ ไม่เข้าใจในคำเชิญชวนนี้เท่าไหร่ แต่คำว่า...ค่อยมาคุยกัน...แสดงว่าผมต้องเล่าเรื่องทั้งหมดสินะ
หลัง จากอาบน้ำเปลี่ยนชุดที่มีสำรองไว้ในรถก็มานั่งที่เดิม น้าพิมพ์นั่งฟังเรื่องราวที่ผมเล่าทั้งหมดอย่างเงียบๆ ผมพยายามใช้คำพูดที่ฟังดูนุ่มนวลกว่าเหตุการณ์จริง แต่แค่คำว่าข่มขืนมันก็แรงพอแล้ว ผมไม่รู้ว่าจิตใจของคนเป็นแม่ทำด้วยอะไร...ไม่สิ...แม่บางคนก็ไม่เป็นอย่าง นี้ แต่แม่พิมพ์ของพายเป็นอะไรที่ผมยอมนับถือหมดใจ ไม่ด่าผมสักคำ ไม่โวยวายหรือทำร้ายผมเลยสักนิด นั่งรับฟังเงียบๆ อย่างที่บอกเอาไว้ว่ารออยู่ หรือ...ทำใจรออยู่ ตรงข้ามกับผมที่ปิดไฟล้มตัวนอนในห้องเล็กๆ ของพายแต่ก็ยังนอนไม่หลับ กระวนกระวายจนหงุดหงิดตัวเอง ผมเคยเข้าห้องพายมาสองสามครั้ง ห้องนี้ไม่มีอะไรเลย วิทยุหรือของเล่นอะไรไม่มีสักอย่าง มีแต่หนังสือเรียนเก่าๆ เต็มไปหมด การ์ตูนเล่มละไม่กี่บาทที่คงอ่านมาตั้งแต่เด็ก ห้องสะอาดเพราะคนเป็นแม่ทำความสะอาดเสมอ นอนอยู่ในห้องของคนที่ตัวเองทำร้าย...ยิ่งกว่านอนในคุก แต่นอนอยู่ในบ้านของคนที่แสนดีกับเรา และเราทำร้ายแก้วตาของเขา...ยิ่งกว่าตกนรกเสียอีก
รุ่งเช้ามีข้าวต้ม ยำไข่เค็ม ผัดผักบุ้งเป็นอาหารเช้า คงเป็นมื้อแรกที่ผมกินไม่ลงจริงๆ ผมขับรถออกจากบ้านไม้หลังเล็กอย่างเลื่อนลอย โทรไปสั่งงานลูกน้องให้จัดการแทนแล้วก็ขับข้ามจังหวัด...ทำทุกอย่างตาม สัญชาติญาณมากกว่าเหตุผล แต่ครั้งนี้มันคงเป็นเรื่องดี กว่าจะจัดการทุกอย่างเรียบร้อยแล้วขับกลับมาอีกครั้งก็เป็นเที่ยงของอีกวัน หนึ่ง
"นี่มันอะไรกัน"น้าพิมพ์มองของตรงหน้าอย่างสงสัย ผมเองก็สงสัย ว่าทำลงไปได้ยังไง
" ผมไม่ได้จะเอามาชดใช้นะครับ อย่าเข้าใจผมผิด ผมแค่...อยากให้รับไว้ พวกนี้เป็นของผมเอง น้ำพักน้ำแรงตั้งแต่สมัยเรียนจนทำงาน มันอาจไม่มากอะไร ยังมีบางส่วนที่จัดการไม่เรียบร้อย แต่น้ารับไว้เถอะนะครับ "
"เอ่อ...ไม่ต้องหรอกตั้ม น้าไม่ติดใจอะไร ถือว่าฟาดเคราะห์ แล้วกันไปดีกว่า"
"รับไปเถอะนะครับ ผมไหว้ล่ะ ผม...ไม่อยากไม่แล้วกันไป"
"หมายความว่าไง"
" ของพวกนี้ผมทุ่มเททั้งชีวิตหามา ทั้งชีวิตผมก็มีแค่นี้....และให้ได้แค่นี้.......ผม....ไม่เหลืออะไรแล้ว ....เหลือไว้อย่างเดียวเท่านั้น.....ได้มั้ยครับ"คำขอร้องบ้าๆ กับคนบ้าๆ อย่างผม ไม่ทันไม่ไตร่ตรองให้คำพูดสวยหรู แต่ก็พูดออกไปแล้ว คนฟังก็คงอึ้งไม่ต่างจากผม ขับรถทั้งคืนเหมือนคนบ้า หรือบางทีคงบ้าไปแล้วจริงๆ แต่ไม่น่าเชื่อว่าคำขอร้องของผม จะได้รับการตอบรับ
การเข้าไปอย่างคนไม่รู้จักกัน สุดท้ายอาจเป็นได้แค่คนคุ้นเคยเท่านั้น ผมคงไม่ทนรออย่างไม่มีหวังแบบนั้นหรอก ไม่ได้มีความอดทนสูงขนาดนั้น ของที่อยากได้ ถ้าไม่ไขว่คว้ามาด้วยตัวเองจะให้ทำยังไง บางสิ่งแค่เอื้อมมือคว้าก็ได้มา แต่บางสิ่งก็ต้องช่วงชิง แล้วชีวิตผมก็รู้จักแต่การช่วงชิงเสียด้วย ถ้าผมรู้จักวิธีอื่น...อะไรมันจะดีกว่านี้ไหม.....จะ.....
เจ็บปวดน้อยกว่า นี้ไหม
-------------------------------------------------------------------------------------------------------
อ่าวมิใช่ซองผ้าป่าหรอกหรือนี่
