
----------------------------------------------------------------------------------------------------------
ตอนที่ 52นุเดินออกไปจากห้องหลังจากที่ผมพูดไปว่านุไม่เข้าใจเพราะไม่ได้เจอแบบผม ผมนอนขดตัวอยู่บนเตียงกว้าง มองออกไปนอกหน้าต่างไกลๆ ท้องฟ้าเริ่มมีแสงแดดแรงจ้าตามเวลาที่เริ่มใกล้เที่ยงไปทุกที ผมไม่เข้าใจแม่ ไม่เข้าใจนุ ไม่เข้าใจทุกๆ คน เหมือนกับที่ทุกคนไม่เข้าใจผม
ผม เผลอหลับไปแล้วตื่นอีกครั้งก็บ่ายกว่าเข้าไปแล้ว รีบล้างหน้าแล้วออกมาข้างนอกแต่ก็ไม่พบใครสักคน แม่บ้านที่อยู่ในครัวบอกผมว่าคนอื่นๆ เข้าไปเด็ดองุ่นกินในไร่ บอกว่าถ้าผมอยากไปก็ให้ตามเข้าไป เพราะเย็นๆ พวกนั้นถึงจะกลับเข้ามา แต่ผมเลือกที่จะอยู่คนเดียว รถกอล์ฟที่เหลือทิ้งไว้ให้หนึ่งคันคือสิ่งที่ช่วยให้ผมสนุกเมื่ออยู่ว่างๆ ผมขับรถไปรอบๆ อย่างไม่รู้เบื่อ มีสวนหย่อมไหนสวยๆ ก็จอดแวะพักลงมานั่งเล่นเดินเล่น พอแดดเริ่มแรงผมก็กลับมาที่บ้านใหญ่แล้วก็กินอาหารที่แม่บ้านเตรียมเอาไว้ ผมชวนคุยดูแล้วถึงรู้ว่าป้าศรีเป็นแม่บ้านมานานเป็นสิบปีแล้ว เรียกว่าตั้งแต่พี่นพเพิ่งเกิดเลย แล้วทริปไปเหนือป้าศรีก็ไปด้วยพร้อมกับลุงคนขับที่เป็นสามีแกอีกคน ไปจังหวัดไหนก็จะเช่ารถแล้วให้ลุงขับ ฟังๆ แล้วเหมือนเพื่อนเที่ยวกันเสียมากกว่า
หลังจากทานอาหารแล้วนั่งพัก ให้ย่อยผมก็ขับไปที่สระว่ายน้ำ พี่นพได้บอกพนักงานไว้แล้วผมเลยสามารถใช้บริการได้ฟรี เลือกกางเกงว่ายน้ำเสร็จก็ลงว่ายในสระที่กว้างและค่อนข้างโล่ง แต่สระเล็กสำหรับเด็กมีคนใช้บริการให้ได้ยินเสียงหัวเราะดังเรื่อยๆ ผมว่ายไปกลับจนเริ่มเหนื่อยก็นั่งพักขอบสระ ลงว่ายอีกสองรอบก็ขึ้นจากน้ำเปลี่ยนชุดแล้วขับเล่นรอบๆ รีสอร์ทก่อนขับกลับบ้าน
ทางลาดชันทำให้ต้องเหยียบคันเร่งแรงเพื่อให้ รถขับขึ้นไปได้ แต่ผมก็เริ่มขับจนชินและกะน้ำหนักเท้าได้ถูก หากแต่ครั้งนี้ต่างออกไป รถยนต์สองคันจอดเต็มพื้นที่ในลานจอดรถให้ทำให้ต้องรีบหักหลบ แต่ระยะมันประชิดเกินไป เสียงรถชนเข้ากับเสาปูนต้นใหญ่จนรถกอล์ฟกระเด้งกลับ หน้าอกผมกระแทกเข้ากับพวงมาลัยเต็มแรงจนทรุดลงมากองอยู่นอกรถ
" พาย!!"เสียงเอะอะจากประตูบ้างดังก่อนที่จะมาถึงตัว ผมนอนขดอยู่บนพื้นพร้อมกุมหน้าอกตัวเองไว้แน่น ร่างทั้งร่างปลิวหวือขึ้นจากพื้นเพราะคนที่วิ่งมาถึงตัวอุ้มเข้าไปในบ้าน
"พายเป็นอะไรตั้ม"พี่นพร้องถามเมื่อผมถูกอุ้มผ่านหน้า
"รถชนเสา สงสัยจะกระแทก เห็นนอนกองอยู่บนพื้น"มันพูดรัวขณะเดินกึ่งวิ่งผ่านห้องนั่งเล่น
" พาไปนอนให้ห้องก่อนเดี๋ยวพี่ดูให้"พี่นพแล้วเดินตามเข้ามาพร้อมกับคนอื่นๆ เสื้อยืดถูกถลกขึ้นมาไว้ใต้คอ พี่นพจับๆ บริเวณหน้าอกและซี่โครงถามอาการเจ็บ ก่อนจะสรุปว่าไม่มีกระดูกหัก แต่คงกระแทกแรงเพราะแค่กดๆ ที่หน้าอกผมยังรู้สึกเจ็บๆ เลย
"เดี๋ยวไปหายามาทาให้ คิดว่าคงไม่กระเทือนถึงข้างในหรอก ส่วนข้อเท้านี่คงบิดตอนหล่นจากรถ ทายาแล้วพันผ้าไว้สักสองสามวันก็หาย"
" ขับอีท่าไหนกันลูก เสียงโครมครามจนแม่ตกใจหมด"แม่นั่งลงข้างๆ ผมดึงฝ่ามือออกจากการกุมมือของคนที่อุ้มมาส่งและโอบกอดเข้าที่เอวแม่แล้ว ร้องไห้เบาๆ เพื่อบรรเทาอาการเจ็บ พี่นพกลับเข้ามาอีกครั้งเพื่อนวดยาและพันข้อเท้ากับหน้าอกผมเอาไว้ อาการเจ็บปนจุกยังคงเหลืออยู่บ้าง ผมทำได้เพียงแค่นอนนิ่งๆ ไม่อยากขยับตัว ผมนอนให้แม่นั่งลูบหน้าลูบผมเล่นจนหลับไป
ผมหลับไปสักพักก็ตื่นขึ้น มาเพราะรู้สึกว่าเริ่มปวดข้อเท้าและอึดอัดบริเวณหน้าอก สิ่งแรกที่เห็นเมื่อลืมตาขึ้นมาคือท่อนแขนแกร่งที่ทิ้งลงข้างตัว บนตักมีแฟ้มเอกสารเปิดกางอยู่โดยไม่ได้รับความสนใจจากคนที่นั่งหลับ ผมพลิกตัวนอนหงายแล้วแกะผ้าที่พันรอบหน้าอกให้คลายออก ยอมรับอยู่ในใจว่าไม่รู้สึกแปลกใจเท่าไหร่ที่ตื่นมาเห็นมันนอนอยู่ข้างๆ ไม่ใช่ครั้งแรกที่เกิดเหตุการณ์แบบนี้ คำพูดของนุยังคงก้องอยู่ในหัว นุเคยพูดกับผมเรื่องนี้แล้ว แต่ก็ไม่ได้ตรงประเด็นถึงขนาดนี้ แล้วผมก็ไม่ใส่ใจฟังเท่าไหร่ แต่ตอนนี้มีบางอย่างต่างไป ผมเย็นลงกว่าครั้งก่อน ไม่ใช่ว่าจะคิดตามคำพูดนุ เพียงแต่คิดถึงเรื่องราวต่างๆ ให้ลึกซึ้งขึ้น
ผมเจ็บจนเกินกว่าจะ เจ็บไปได้มากกว่านี้ เจ็บจนชินชาและเพิกเฉยต่อความเจ็บปวดของตัวเอง รวมทั้งคนอื่น ความคิดที่อยากแก้แค้นหรือเอาชนะมันหายไปนานแล้ว ถึงปากจะพูดอย่างนั้นแต่ตัวผมเองรู้ดีว่าไม่ใช่...ผมแค่โกรธ ส่วนความเกลียด...มันก็ยังคงอยู่ในความรู้สึก นุบอกว่าผมไม่คิดหาคำตอบของการกระทำของมัน...นั่นก็จริง แต่มีความจำเป็นด้วยหรือที่ต้องคิดหาเหตุผลให้คนที่ทำร้ายเรา...เพื่ออะไร ...การให้อภัยอย่างนั้นเหรอ ไม่ใช่แค่คนที่นอนอยู่ข้างๆ ผมหรอกที่ต้องการ....ยังมีอีกคนที่รอให้ผมให้อภัยอยู่เช่นกัน คนอื่นไม่มาเป็นผมไม่มีทางรู้หรอกว่าผมคิดอะไร และรู้สึกอย่างไร สุดท้ายแล้วก็ย้อนกลับมาที่คำถามเดิมๆ ที่เคยถามตัวเองในใจนับครั้งไม่ถ้วน...เมื่อไหร่จะสิ้นสุดสักที
"ตื่นแล้วเหรอ"เสียงเรียกเบาๆ จากคนที่เพิ่งตื่นจากการนั่งหลับถามขึ้น ผมเหลือบมองก่อนพยักหน้าตอบเบาๆ
"เป็นอะไร หรือว่าเจ็บ"
"อืม นิดหน่อย"
"เย็นแล้วจะกินข้าวหรือยัง น้าพิมพ์ทำโจ้กไว้ให้ จะได้ไม่ต้องออกแรงเคี้ยวมาก"
"ยังไม่หิว....เมื่อไหร่แพรจะมาเหรอ"
"....... เร็วๆ นี้ล่ะ ทางนั้นก็ไม่ได้บอกวันแน่นอนอะไร"มันคงแปลกใจเหมือนกันที่ผมพูดดีด้วย ความจริงก็แค่เหนื่อยแล้ว เบื่อแล้ว อย่างหยุดนิ่งๆ สักพัก
ผมค่อยๆ ลุกเดินไปเข้าห้องน้ำล้างหน้าล้างตา หยิบยานวดเข้าไปนวดหน้าอกตัวเองในห้องน้ำ ไม่พันผ้าไว้แล้วครับ อึดอัดแล้วก็รู้สึกคันๆ ด้วย พอออกมาจากห้องน้ำก็ไม่มีใครอยู่ในห้องแล้ว นุเดินเข้ามาพร้อมชามโจ้กกับแก้วน้ำ เหมือนบริการคนป่วยเลย ความจริงผมเดินออกไปกินข้างนอกก็ได้นะ
"ไม่พันผ้าไว้ล่ะพาย อึดอัดเหรอ"
" อืม คันๆ ด้วย"ผมเปิดเสื้อให้นุดูรอยที่ผมเกาจนแดงเป็นริ้วๆ นุทำหน้ากลัวๆ เมื่อเห็นรอยแดงที่เกิดจากการกระแทก ถึงผมจะไม่ได้เป็นคนขาวอะไรมากมาย แต่เพราะไม่ค่อยได้เล่นกีฬาที่ต้องถอดเสื้อนัก ตัวเลยเหมือนจะขาวกว่าส่วนอื่น พอมีรอยอะไรนิดหน่อยก็เห็นชัดจนดูน่ากลัว
ผม นั่งกินโจ้กแล้วก็ฟังนุเล่าเรื่องที่เข้าไปในไร่วันนี้ให้ฟัง นุบอกว่าตอนแรกจะรอไปพร้อมผม แต่แม่บอกว่าไม่ต้องรอหรอก เพราะยังเข้ามาเก็บกินได้อีกหลายวัน ไว้มากับผมวันหลังก็ได้ แม่คงเดาออกว่าผมไม่ค่อยอยากไปด้วยเท่าไหร่ ผมถามเรื่องรถที่ชนว่าเสียหายมากหรือเปล่า นุบอกว่าด้านหน้ามีกันชนเป็นยางที่แข็งแล้วหนามาก พอชนเสาเลยกระเด้งกลับ ผมเลยเจ็บแทน แต่รถมีรอยยางถลอกเปื้อนเสานิดหน่อย
ผมนอนอยู่ในห้อง ทั้งวัน พี่นพพี่หน่อยแล้วก็แม่ผลัดกันเข้ามาดูอาการผมบ้าง ผมคงไม่ช้ำใน แต่พี่นพอยากให้ไปตรวจอีกทีในวันพรุ่งนี้ ผมไม่ค่อยอยากขยับตัวเพราะมันเจ็บๆ ทุกครั้ง ข้อเท้าก็เจ็บเลยยิ่งไม่อยากเดินออกไปไหนมาก จะเดินเข้าห้องน้ำก็ลงน้ำหนักเท้ามากไม่ได้
วันรุ่งขึ้นผมเดินออกมา จากห้องเพื่อร่วมโต๊ะทานอาหารเช้ากับทุกคนโดยมีนุคอยประคองเวลาเดิน พอทานอาหารเสร็จพี่นพกับน้องชายเขาก็พาผมไปโรงพยาบาลในตัวเมืองเพื่อ เอ็กซเรย์ให้ละเอียด แต่ผลที่ออกมาก็เหมือนที่คาดไว้ แค่ฟกช้ำและระบมจากการกระแทกเฉยๆ เรากลับมาถึงรีสอร์ทในตอนบ่าย และก็ได้พบกับแขกที่ไม่คาดฝัน
เสียงหัวเราะพูดคุยในห้องนั่งเล่น เงียบลงไปเมื่อพวกเราสามคนเข้ายืนอยู่หน้าประตูจนคนข้างในหันมามอง พี่อั๋นส่งยิ้มให้ แต่ยังไม่เท่ากับผู้หญิงร่างเล็กที่มองตรงมาที่ผม ใบหน้าที่เหมือนตกใจชั่วครู่ปรับเป็นส่งยิ้มละไมมาให้ ผมส่งยิ้มตอบกลับไปในแบบเดียวกัน ยิ้มแบบที่เคยยิ้มให้กันเมื่อในอดีต ยิ้มด้วยความรู้สึกดีๆ ที่มอบให้เท่านั้น
"....แพร"
"ไม่พบ กันนานนะคะพี่พาย....นานมากจริงๆ"คำพูดที่ถ่ายทอดออกมาหยั่งลึกไปในความ รู้สึกผม...เช่นเดียวกัน ผมเองก็รู้สึกว่าเราไม่ได้พบกันนานเหลือเกิน ทั้งที่ความเป็นจริงมันไม่ได้นานขนาดนั้น
"จ้องกันไปจ้องกันมาแบบนี้ พี่หึงนะน้องแพร"พี่อั๋นพูดแทรกเลยทำให้ทุกคนหัวเราะขึ้นมา นุเดินเข้ามาช่วยพยุงให้ผมไปนั่งข้างๆ พี่อั๋นพูดเรื่องงานหมั้นกับป้าภาอย่างมีความสุข เสียงหัวเราะหยอกล้อกันไม่ค่อยได้เข้ามาให้สมองผมเท่าไหร่ ผมไม่ได้รู้สึกแย่ที่รู้แน่ชัดว่าจะหมั้นกันจริงๆ ผมรู้สึกดีใจด้วยซ้ำที่เห็นน้องแพรยิ้มแย้มแจ่มใสอย่างมีความสุข ผมลุกกลับเข้าห้องนอนในตอนที่ไม่มีใครสนใจ การนั่งนานๆ ทำให้ต้องเกร็งๆ ตัวเลยทำให้รู้สึกปวด ผมนวดๆ ยาที่หน้าอกอีกครั้งแล้วก็นอนอ่านหนังสือพิมพ์รอให้ยาซึมลงผิว เสียงเคาะประตูดังจากหน้าห้องก่อนจะเปิดเข้ามาเมื่อผมขานรับ
"ขอแพรคุยด้วยได้ไหมคะ"
" คุยข้างนอกดีกว่ามั้ย ในนี้ไม่ค่อยเหมาะ"ผมลุกจากเตียงแล้วเดินไปหาแพร เราเดินข้างกันออกมานั่งที่เก้าอี้หน้าบ้าน แพรดูน่ารักสดใสเหมือนเมื่อก่อนไม่มีผิด ร่างเล็กบางในชุดแส็คสีขาวน่าทะนุถนอม ผมแทบลืมไปเลยว่าแพรก็พบเจอเหตุการณ์เลวร้ายมาเหมือนกัน แต่แพรเป็นผู้หญิง ทั้งๆ ที่เป็นผู้หญิงตัวเล็กๆ ทำไมตอนนี้ถึงได้ดูเข้มแข็งนัก
"พี่พายเปลี่ยนไปนะคะ"คำพูดแรกหลังจากที่เราจ้องกันไปมา
"เหรอ เปลี่ยนยังไงล่ะ พี่ว่าพี่ก็เหมือนเดิมนะ แต่อาจโทรมๆ ไปหน่อยเพราะเจ็บแผลอยู่"ผมยิ้มแบบเขินๆ กับสายตาที่จ้องสำรวจของน้องแพร
"ไม่โทรมนะคะ แต่ก็ไม่รู้จะเรียกว่าสดใสได้รึเปล่า ดู...จริงใจดีน่ะค่ะ"
"ห๊ะ"
" อย่าเพิ่งเข้าใจผิดนะคะ แพรไม่ได้หมายความว่าเมื่อก่อนพี่ไม่จริงใจนะ คือ...จะว่าไงดีล่ะ เมื่อก่อนเวลาแพรอยู่กับพี่แล้วแพรเดาอารมณ์พี่ไม่ค่อยออกน่ะ สังเกตุทางสีหน้าก็ได้ผลเท่าเดิม เพราะพี่มักจะยิ้มเสมอเลย บางครั้งแพรทำผิดพี่ก็ไม่ว่าอะไร แพรเลยเดาพี่ไม่ออกว่าจริงๆ พี่รู้สึกยังไง"
"งั้นเหรอ พี่ก็ไม่รู้ตัวเหมือนกัน แต่...ก็มีคนพูดว่าพี่เปลี่ยนไปเหมือนกับแพรนะ"ผมนึกถึงทิว ครั้งหนึ่งทิวก็บอกว่าผมเปลี่ยนไป คงหมายถึงแบบที่แพรกำลังอธิบายอยู่นี่ล่ะมั้ง
"แพรก็ดูสดใสกว่าเมื่อก่อนนะ...มีความสุขดีใช่มั้ยครับ"
" ค่ะ ตอนนี้แพรมีความสุขมาก เรา...ผ่านเรื่องร้ายๆ มาอย่างไม่คาดฝันเลยไม่มั้ยคะ เหมือนฝันร้าย แต่มันก็คือความจริง โชคดีนะคะที่เราผ่านมันมาได้"
"โชคดีที่ผ่านมาแล้วลงเอยกับพี่อั๋นแบบนี้ใช่มั้ยล่ะ"ผมแกล้งแซวเรียกอาการเขินอายจนแก้มใสๆ แต้มเลือดฝาดให้เห็น
"ต้องขอบคุณพี่อั๋นที่ยอมรับแพรได้ พี่อั๋นคอยให้กำลังใจแล้วก็ตามแพรตลอดตั้งแต่เมื่อก่อน จนแพรใจอ่อน และก็รักพี่อั๋นจริงๆ"
"เห็นแพรยิ้มได้แบบนี้พี่ก็ดีใจ ไม่คิดว่าเราจะได้คุยกันแบบนี้อีก"
" ค่ะ เมื่อก่อน...แพรรักพี่พายจริงๆ นะคะ พี่พายเป็นพี่ที่แสนดีและอบอุ่นสำหรับแพรเสมอ ตอนนี้ก็ยังเหมือนเดิม น้องคนนี้ก็ยังหวังให้พี่มีความสุขอยู่เหมือนเดิมนะคะ"
"ขอบคุณครับ และก็....ขอโทษด้วย"ผมไม่สามารถเอ่ยให้ชัดเจนได้ว่า...ขอโทษ...อะไร แต่คิดว่าแพรคงรู้
" ไม่เป็นไรค่ะ แพรไม่คิดโทษใครหรอก จะว่าไปแพรเองกีมีส่วนผิดในเหตุการณ์วันนั้น พี่พาย....คงไม่เคยรู้เลยสินะคะว่า...เขารักพี่มากขนาดไหน"คำว่า..เขา..ของ แพรหมายถึงทิว ผมแน่ใจว่าเป็นอย่างนั้น
แพรเล่าเหตุการณ์ที่วันที่ เกิดเรื่องให้ฟัง เธอตั้งใจไปเที่ยวกับเพื่อนๆ ที่ผับ แต่ไม่คิดว่าจะไปพบกับกลุ่มของทิวที่กำลังเดินออกมาที่ลานจอดรถ แพรเข้าไปถามหาผม เพราะคิดว่าผมอาจจะไปด้วย แต่ทิวคงกำลังเมาหนักถึงได้โต้กลับด้วยถ้อยคำรุนแรง แพรเองถึงจะดูอ่อนหวานแต่ก็ไม่ใช่หญิงสาวใสซื่อ เธอเองก็ตอบโต้กลับไปด้วยเช่นกัน ทิวออกปากไล่ไม่ให้มายุ่งกับผมอีก เพราะว่าผมเป็น...เมียของทิว แพรไม่คิดว่าทิวที่เป็นเพื่อนรักของผมจะคิดแบบนั้นกับผม และไม่เชื่อว่าผมจะรักกับทิวแบบคู่รัก แพรบอกว่าจะมาถามผมให้รู้เรื่อง และเชื่อว่าผมไม่มีทางเป็นอย่างที่ทิวพูด ทิวจะต้องถูกผมรังเกียจแน่ๆ ถ้าผมรู้ว่าทิวคิดอะไร ทิวคงกลัวว่าแพรจะมาพูดกับผมจริงๆ ถึงได้ห้ามกึ่งขู่ หากแพรไม่กลัวเลยสักนิด แถมยังขู่ให้ทิวไปจากผม ไม่อย่างงั้นจะมาบอกผมว่าทิวคิดกับผมแบบคนรัก ผมเดาได้ว่าทิวโมโหแค่ไหน รู้มานานแล้วว่าทิวเป็นคนอารมณ์รุนแรง ใจร้อน เรื่องราวเลยลงเอยอย่างที่ผมรู้
"แพรไม่โทษเขาหรอกนะคะที่ทำกับแพร แบบนั้น ถือว่าแพรเองก็มีส่วนผิดที่ยั่วยุให้ขาดสติ อย่างน้อยก็ไม่ใช่การรุมโทรม ยังดีที่เพื่อนๆ ในกลุ่มเขาไม่ได้ชอบผู้หญิงแพรเลยรอด หรือบางทีเขาอาจไม่เลวร้ายจนคิดจะรุมแพรก็ได้ แพรไม่ติดใจอะไรอีกแล้ว ตอนนี้เขาเองก็คงกำลังรับกรรมที่ทำกับแพรเหมือนกัน...เพราะ...ข้างตัวเขาก็ ไม่มีพี่เหมือนเมื่อก่อน"
"ขอโทษที่พี่เป็นต้นเหตุให้เกิดเรื่องแบบนี้ พี่ไม่เคยรู้เลยจริงๆ"
" ไม่แปลกหรอกค่ะที่พี่จะไม่รู้ วันๆ พี่พายก็มีแต่เรียนแล้วก็ทำงานแค่นั้นนี่คะ บางทีถ้าพี่สังเกตุดีๆ พี่อาจจะรู้ก็ได้ว่า...ทำไมพี่ถึงไม่มีเพื่อนคนอื่นเลย....เว้นเสียแต่เขาคน เดียว"
"............"ผมค่อนข้างงงกับคำถามนี้ ผมไม่เคยถามตัวเองเพราะรู้ดีว่าไม่ค่อยมีเวลาให้คนอื่นเท่าไหร่ เรียนเสร็จก็ทำงาน ไม่ได้ไปสังสรรค์กับใคร แต่มันมีเหตุผลนอกจากนี้ด้วเหรอ
" พี่พายอย่าคิดมากเลยนะ แพรแค่อยากเล่าเรื่องวันนั้นให้ฟัง อย่างน้อยๆ เขาก็ดีกับพี่มาตลอด และรักพี่มากจริงๆ เพียงแต่มันผิดวิธีไปสักหน่อย มันเป็นเรื่องที่พี่สมควรจะรู้นะคะ แพรรู้จากพี่อั๋นว่าพี่ยังไม่รู้เรื่องทั้งหมดของแพร และคิดว่าพี่คงไม่ถามจากเขาแน่ๆ พี่พาย...เป็นอย่างนั้นเสมอ ไม่เคยทำให้ใครรู้สึกลำบากใจ แพรถึงได้ชอบอยู่ใกล้ๆ พี่ แต่ลึกๆ แพรเองก็เหงา เหมือนกับพี่พยายามเอาใจแพร เหมือนแพรไม่สามารถแตะต้องตัวตนพี่ได้เลย"แพรพูดในสิ่งที่ผมไม่รู้ ไม่เคยรู้เลยว่าทำให้เธอรู้สึกอึดอัด ไม่เคยรู้เลยว่าตัวเองเป็นแบบนั้น
"พี่คงทำให้แพรคิดมากมาตลอดเลยสินะ"
"ก็...นิดหน่อยค่ะ แต่ถึงอย่างนั้นแพรก็รักพี่"แพรพูดพร้อมรอยยิ้มเหมือนวันวานที่เรายังมีกันอยู่
" พี่ก็รักแพรนะ แพรเป็นคนเดียวที่พี่อยากจะดูแลไปตลอดชีวิต แต่พี่คงทำได้ไม่ดีเท่าพี่อั๋นแน่ๆ ตอนนี้คงได้แค่คอยเฝ้าดูอยู่ห่างๆ พี่จะคอยเป็นห่วงแพรเสมอนะ"ผมส่งยิ้มตอบกลับ คำบอกรักที่ไม่เคยพูดออกไปให้ชัดเจนก็ได้บอกไป ความในใจที่เคยคิด แม้จะสายไป แต่มันก็ไม่สูญเปล่า แค่อยากให้รับรู้ แพรเองก็คงต้องการแบบนี้เหมือนกันถึงได้มาหาผม มาถ่ายทอดเรื่องราวให้ฟัง
" ค่ะ แพรก็เป็นห่วงพี่เสมอนะคะ"เรายิ้มให้กันอีกครั้ง ยิ้มแทนคำลาในความรักของเราสองคน แพรมาเพื่อทำให้เรื่องทุกอย่างมันจบลง ความรู้สึกของผมที่ยังติดค้างคำขอโทษเธออยู่ก็ผ่อนคลาย เราพบกันครั้งนี้เพื่อกล่าวลาอย่างเป็นทางการ ผมคิดไม่ผิดจริงๆ ที่เคยรักเธอ
"แพรเข้าบ้านไปดีกว่านะ เดี๋ยวพี่อั๋นจะคอเคล็ดซะก่อน เห็นชะเง้อมาทางนี้นานแล้ว"ผมมองไปทางหน้าประตูบ้านที่เห็นเงาคนเดินเข้าออก หลายรอบ จนสุดท้ายก็ยืนมองมาได้สักพัก
"พี่พายน่ะ มาแซวแพรอยู่ได้ อืมจริงสิ งานหมั้นแพรคงไม่ได้เชิญนะคะ แพรแค่จัดหมั้นกันเฉพาะในหมู่ญาติสนิทแล้วก็จะบินกลับไปทำเรื่องเรียนต่อเลย ขอโทษด้วยนะคะ"
"ไม่เป็นไรครับ พี่แสดงความยินดีอีกครั้งนะ งานหมั้นไม่เท่าไหร่ แต่งานแต่งอย่าลืมชวนล่ะ"ผมแกล้งหยอกอีกครั้งก่อนจะมองดูเธอเดินกลับไปหา ผู้ชายที่สามารถดูแลเธอได้ตลอดชีวิต เป็นครั้งแรกที่รู้สึกโล่งใจและปลอดโปร่ง ความรู้สึกและคำพูดที่ติดค้างก็ได้พูดออกไปแล้ว....ส่วนหนึ่ง คำพูดของแพรไม่ได้ทำให้ผมปรับเปลี่ยนความรู้สึกของตัวเองกับทิวเท่าไหร่ มันไม่ต่างจากที่คิดมากนัก แต่ก็ยังมีเรื่องที่ทำให้ตกใจอยู่บ้างนิดหน่อย
" เสียใจหรือไงที่เขาเอาคู่หมั้นมาเปิดตัวน่ะ"เสียงเดินทางด้านหลังพร้อมคำพูด เสียดสีที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว ยังคงทำให้ผมหงุดหงิดได้เหมือนเดิม
"..... พูดดีๆ บ้างไม่เป็นรึไง คนกำลังอารมณ์ดีอยู่"ตอนแรกผมว่าจะไม่พูดอะไรแล้ว แต่เพราะแพรบอกว่าผมเป็นคนไม่ค่อยพูดให้คนอื่นลำบากใจ ผมก็เลยพูดดีกว่า พูดอย่างที่คิด ไม่ได้ประชดประชันกันเหมือนเมื่อก่อน ผมแค่อยากให้อะไรมันชัดเจนขึ้น อยากหาคำตอบให้ตัวเองเร็วๆ
"ก็แค่ถาม "มันพูดด้วยน้ำเสียงปกติที่ผมเดาไม่ออกว่ารู้สึกยังไง แต่สีหน้าและแววตาที่นิ่งเฉยทำให้เดาว่าหมายความตามนั้นจริงๆ คงไม่ได้ประชดอะไรกลับมา
"ถามทำไม เป็นห่วงหรือประชด แล้วจะประชดทำไม จะห่วงผมทำไม....รักผมรึไง"
--------------------------------------------------------------------------------------------------
ถามได้เข้าประเด็นดีนะหนูพาย
