
ย่องๆมาลง
---------------------------------------------------------------------------------------------------
ตอนที่ 55ผมก็ไม่ได้คิดเอาไว้หรอกนะว่า...ผมจะสามารถไปอยู่ที่อื่นได้ ต่อให้ผมอยู่ที่รีสอร์ทอย่างมีอิสระมากแค่ไหน แต่มันก็เป็นอิสระที่มีขอบเขต และเมื่อกลับมาอยู่ที่นี่ ขอบเขตนั้นมันก็ยิ่งเล็กลงเหลือเพียงขนาดเท่าคอนโดหนึ่งห้อง
"พี่จะลงไปห้องข้างล่างนะ เดี๋ยวเย็นๆ ค่อยออกไปหาซื้อของใช้ข้างนอกกัน"เสียงพูดจากคนที่เพิ่งขับรถออกจากรีสอร์ทเมื่อเช้าและยังเหลือแรงลงไปทำงานต่อ
"ไว้พรุ่งนี้ตอนเย็นค่อยออกไปทีเดียวก็ได้ จะได้มีเวลาซื้อของนานหน่อย ผมว่าจะเก็บกวาดห้องก่อน"ผมรีบพูดก่อนที่มันจะเดินพ้นประตูห้อง ได้ยินเสียงตอบตกลงก่อนประตูจะปิดลง
ผมเดินหิ้วกระเป๋าสองใบทั้งของผมและมันเข้าห้องนอน แยกเสื้อผ้าออกมาเก็บใส่ตู้ ของใช้ส่วนตัวก็เก็บประจำที่ เริ่มลงมือทำความสะอาด ทั้งกวาดห้อง ถูห้อง เช็ดกระจก ตรวจดูของในตู้เย็น อันไหนที่หมดอายุก็เก็บทิ้ง ส่วนมากเป็นนมกล่องของผมกับพวกผักสดที่เหี่ยวหมดแล้ว ในตู้เย็นมีอาหารสำเร็จรูปและเบียร์หลายกระป๋อง ผมเคยได้ยินมันพูดให้ฟังว่าพี่อั๋นกับพี่นัทมาอาศัยนอนค้างเวลาที่ต้องทำงานดึกๆ
"ครับ"เสียงโทรศัพท์ในห้องรับแขกดังลั่น ผมวางมือผ้าขนหนูผืนเล็กที่นำมาเช็ดตามชั้นวางของลงแล้วเดินไปรับโทรศัพท์
"พี่เอง พายหยิบชุดสูทสีดำที่แขวนไว้ในห้องน้ำไปแขวนไว้หน้าห้องหน่อย เดี๋ยวร้านซักรีดเขาจะขึ้นไปเอา แล้วจะส่งอะไรซักรีดก็เอาใส่ถุงส่งไปพร้อมกันเลย"
"ได้"
"ในตู้เย็นเหลืออะไรให้กินบ้าง"คำถามที่ค่อนข้างเรื่อยเปื่อยในความคิด ผมคิดว่าเขาไม่ได้อยากโทรมาเพื่อถามหรือบอกเรื่องไร้สาระพวกนี้หรอก คงแค่อยากโทรมาเช็คว่าผมยังอยู่รึเปล่า
"ก็มีพวกอาหารกล่องกับมาม่า"
"งั้นเดี๋ยวพี่ซื้อเข้ามาให้แล้วกัน พี่จะออกไปธุระข้างนอกกับไอ้นัทมัน"
"ไม่ต้องก็ได้ เดี๋ยวผมเวฟอาหารกล่องกินดีกว่า เก็บไว้นานมันไม่ดี"
"เอางั้นก็ได้ ไม่ต้องทำอะไรเผื่อนะ พี่คงกลับค่ำๆ"มันพูดจบผมก็รับคำก่อนจะวางสายไป ผมใช้เวลาทำความสะอาดอีกเกือบชั่วโมง เสร็จแล้วก็อาบน้ำก่อนจะหาอะไรกิน ตลอดเวลาที่อยู่ที่นั่นมีคำถามมากมายอยู่ในหัวผม แม้จะไม่มีใครเอ่ยถาม แต่ผมรู้ดีว่าใครบางคนกำลังรอคำตอบอยู่ การที่ผมนิ่งเฉยหมายความว่าผมยอมรับกับเรื่องที่เกิดขึ้นได้แล้วอย่างงั้นเหรอ...เปล่าเลย
ผมยังคงนั่งจ้องโทรศัทพ์มือถือเครื่องเล็กที่ได้รับคืนมา เบอร์โทรและคนที่ต้องการโทรหามีเพียงคนเดียวตลอดหลายวันมานี้ หากแต่ผมยังคงนิ่งเฉยมองโทรศัพท์ของตัวเองที่หน้าจอมืดสนิทเพราะไม่ได้เปิดเครื่อง พรุ่งนี้ผมก็จะได้เจอกับทิวแล้ว หรือผมควรเลือกที่จะได้ยินเสียงก่อนพบตัวจริงดี มีเพียงคำถามที่ลงท้ายซ้ำๆ...ทำอย่างไร...ถึงจะดี
"นุฝากซาลาเปามาให้กิน เห็นบอกว่าชอบกินไส้ครีม"มันกลับมาถึงห้องเกือบสองทุ่มพร้อมถุงซาลาเปาร้อนๆ
"ไปเจอนุมาเหรอ เป็นไงมั่ง สบายดีใช่มั้ย"
"ไม่โทรไปหาล่ะ โทรศัพท์ก็คืนให้แล้วนี่ ทำไมยังไม่เปิดเครื่อง"มันพูดถูก ผมนั่งจ้องโทรศัพท์ตัวเองร่วมชั่วโมงก็เอาไปเก็บไว้บนหัวเตียงในสภาพปิดการใช้งาน
"ก็ยังไม่อยากเปิด"
"นัทมันหย่ากับเมียแล้วนะ ตอนนี้เพื่อนเราก็ย้ายไปอยู่กับมันที่คอนโดฯ เดียวกับพี่หน่อยนั่นล่ะ เคยไปมาแล้วนี่"
"ก็ดี หวังว่าเพื่อนคุณจะไม่หลอกเพื่อนผมนะ"
"อันนี้ก็ไม่รู้เหมือนกัน ไม่ใช่ความรับผิดชอบของพี่"ที่มันพูดก็จริง แต่คงจะดีกว่านี้ถ้ามันแกล้งยืนยันมาสักหน่อย อย่างน้อยผมจะได้วางใจ
"พรุ่งนี้คุณจะไปส่งผมใช่มั้ย"
"ใช่"
"ผมมีเรียนเก้าโมงนะ"
"อืม รู้แล้ว....เรียนเสร็จก็โทรมาล่ะ"
"อืม"ผมคงไม่ได้รู้สึกไปเองว่ามันกำลังอึดอัดกับอะไรบางอย่าง หรือ...เพราะท่าทีของผม บทสนทนาราบเรียบไม่ชินหูเท่าไหร่ นับวันเรายิ่งจะเถียงกันน้อยลง แต่ไม่ได้หมายความว่าเราคุยกันได้มากขึ้น ตรงกันข้าม...เราพูดกันน้อยลง ผมคิดว่าส่วนดีของมันที่ผมเห็นตลอดเวลาที่อยู่ด้วยกันช่วงปิดเทอมก็คือความขยัน มันทำงานทุกวัน และทำหลายๆ อย่างพร้อมกัน ทำงานเจ็ดวันโดยไม่มีวันหยุด งานที่นี่มันก็ไม่ได้ทิ้ง อะไรที่ช่วยได้มันก็จะทำอยู่ที่บ้านแล้วส่งงานทางอีเมลล์ ส่วนงานในส่วนก่อสร้างมันก็โทรเช็คความคืบหน้ากับวิศวะกรหรือหัวหน้าที่ควบคุมอยู่ตลอด นอกจากรักเพื่อนก็คงบ้างานนี่ล่ะที่เป็นข้อดี ที่ผมบอกว่าดีก็เพราะมันมักจะยุ่งจนไม่มีเวลามายุ่งอะไรกับผม แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้นตลอดเวลาที่ผ่านมา...ผมก็รู้เสมอว่ามันอยู่ไม่ไกล
"ไม่ง่วงรึไง"ผมถามคนที่นั่งอ่านพิงหัวเตียงอ่านหนังสืออยู่ข้างๆ
"ยัง"
"....หึ...เพิ่งรู้ว่าคุณก็ขี้กลัวเหมือนกันนะ"
"พูดอะไรน่ะ"
"มีลางสังหรณ์ว่าผมจะหนีไปรึไง.........พรุ่งนี้ผมไม่หนีไปไหนหรอก"
"ถึงคิดจะหนีก็ไม่มีทางไปไหนได้ อย่าคิดให้ยุ่งยากเลย"
"หึหึ...คุณนี่มันจริงๆ เลยนะ"ผมอมยิ้มพูดไปทั้งที่หลับตาอยู่ ผมว่าคนๆ นี้อ่านง่ายเหมือนกันนะ ทำไมเมื่อก่อนผมถึงไม่เข้าใจการกระทำและคำพูดมัน ถ้าเป็นตอนนี้...ตอนที่รู้จุดอ่อนมัน อะไรๆ ก็อ่านง่ายมากขึ้น ทุกๆ อย่างมีคำตอบเพียงคำตอบเดียว....เป็นคนที่อ่านง่ายเสียจริง
เช้านี้เป็นเช้าที่ใครอีกคนตื่นเร็วกว่าผม หรือบางทีอาจเป็นเพราะไม่ได้หลับ ผมตื่นมาแล้วก็เพิ่งนึกขึ้นได้ว่านี่เป็นคืนแรกที่เรานอนด้วยกันหลังจากคืนก่อนนุกลับ ถ้าถามว่าเมื่อคืนผมรู้สึกอะไรไหม ก็เหมือนเดิม...รู้สึกเหมือนถูกกอด
"เปิดโทรศัพท์ไว้ด้วยนะ เมื่อคืนเอามาชาร์จให้เต็มแล้ว"มันพูดขึ้นตอนที่ผมกำลังนั่งกินข้าวต้มปลาที่มันไปซื้อมาก่อนผมตื่น
"อืม"
"....เลิกเรียนแล้วรีบโทรมาแล้วกัน จะรออยู่แถวนั้น"มันพูดจบผมก็เหลือบมองหน้ามันก่อนจะหยิบชามไปล้าง ผมเดินเข้าห้องนอนหยิบกระเป๋าเป้ใบเล็กมาสะพายแล้วออกมายืนสมทบกับมันที่กำลังล้างมืออยู่ที่อ่างล้างจาน
บรรยากาศในรถที่มีพื้นที่น้อยกว่าในห้องยิ่งน่าอึดอัด ผมมองตรงไปข้างหน้าตลอดเวลา ขณะที่อีกคนเหลียวมองหน้าผมตลอดเวลาเช่นเดียวกัน
"ผมเพิ่งรู้นะว่าคุณรักผมมากจริงๆ ถ้าวันนั้นคุณไม่พูดผมก็คงยังไม่เชื่อที่คนอื่นพยายามบอก ผมไม่เคยคิดเลยนะว่าคุณจะรักผม แล้วไม่คิดด้วยว่าจะกล้ายอมรับออกมาตรงๆ"
"ถามก็ตอบ มันก็แค่นั้น"
"ก็จริง"
"นึกยังไงถึงพูดเรื่องนี้"
"ก็...เห็นคุณกำลังกลัวอยู่ไง เลย...คิดว่ามันตลกดีที่ผมเพิ่งรู้ตัว"ผมพูดจบมันก็ไม่พูดอะไรต่ออีก ผมเองก็นิ่งอยู่ในห้วงความคิดและความรู้สึกของตัวเอง
รถขับผ่านประตูมหาฯลัยเข้ามาเรื่อยๆ จนจอดหน้าตึกคณะที่เคยมาส่ง ผมยังคงนั่งนิ่งอยู่เงียบๆ ก่อนจะหันมามองใบหน้าคนขับที่แสดงความวิตกกังวลให้เห็นชัดเจนกว่าทุกครั้ง
"เลิกเรียนแล้วจะโทรหา"ผมพูดก่อนจะเปิดประตูรถแล้วเดินออกมา เสียงพูดเบาๆ ที่ลอดผ่านประตูให้ได้ยินทำให้ยิ้มได้ เป็นครั้งแรกที่ยิ้มเพราะมัน ยิ้มเพราะคำว่า'ขอบใจ'
ผมเดินขึ้นห้องเรียนที่มีเพื่อนๆ บางกลุ่มเข้ามานั่งจับจองพื้นที่ เสียงทักทายดังระงมด้วยความยินดีที่ได้พบกันอีกครั้ง ผมเองก็มีเพื่อนหลายคนร้องทักและเข้ามาพูดคุยด้วย หลายเสียงบอกว่าผมดูสดใสขึ้น ผมยิ้มรับเพราะคิดว่าเป็นเช่นนั้นจริงๆ การได้อยู่กับสิ่งแวดล้อมดีๆ แบบนั้นคงทำให้ร่างกายและผิวพรรณดูดีขึ้น อีกอย่างการที่ผมไม่ต้องทำงานหามรุ่งหามค่ำก็ทำให้หน้าตาแจ่มใสขึ้นด้วย
ผมนั่งแถวเกือบสุดท้ายชิดกับกระจกใสกั้นทางเดิน ตลอดเวลายอมรับว่าตื่นเต้นกับการรอคอยใครอีกคน เวลาผ่านไปจนอาจารย์ประจำวิชาปล่อยก็ยังไม่พบแม้แต่เงา วันแรกก็เหมือนทุกครั้ง ไม่มีการเรียนการสอนเท่าไหร่ ผมเดินลงมาจากตึกเรียนแล้วหยิบโทรศัพท์ออกมาเพื่อโทรให้อีกคนมารับ
"พาย!"เสียงร้องดังลั่นจากคนที่วิ่งตรงมา
"จิ๋ว! ต่อ!"ผมร้องกลับด้วยความแปลกใจที่พบสองคนนี้ แต่เมื่อนึกอีกทีก็คงไม่แปลก จิ๋วอาจมาหาต่อก็ได้ เพราะต่อเองก็เรียนที่นี่
"พายรีบไปกับจิ๋วเดี๋ยวนี้เลยนะ ทิวไม่สบายมาก"จิ๋ววิ่งมาจับข้อมือผมแล้วฉุดให้วิ่งตาม ผมฟังคำพูดรัวของจิ๋วอย่างพยายามทำความเข้าใจ
"เดี๋ยวๆ อะไรกันจิ๋วต่อ ทิวเป็นอะไร ทำไมไม่มาเรียน"
"พายนั่นแหล่ะทำไมไม่เปิดมือถือ ทำไมไม่ติดต่อมา"
"ทิวตายไปพายคงดีใจสินะ มันทำร้ายพายไว้เยอะนี่ กรรมคงสนองมันแล้วมั้ง แม่งโง่ชะมัด เสือกมารักคนไร้หัวใจอย่างมึงน่ะ"ต่อตะคอกใส่หน้าผมเสียงดัง อะไร....ทำไมต้องตาย...ทิว...ป่วยเป็นอะไร
"ไอ้ต่อ!!...พายไม่ต้องไปฟังมัน ทิวไม่ได้ป่วยร้ายแรงอะไรมากหรอก แต่...พายไปดูเองดีกว่า"ผมเดินตามจิ๋วไปทั้งๆ ที่ตัวเองยังไม่เข้าใจสิ่งที่สองคนนี้พูด มือที่ว่างจากการกุมไว้ก็กำโทรศัพท์แน่น บางที...ลางสังหรณ์ของใครอีกคนก็แม่นน่าดู
-------------------------------------------------------------------------------------------------

ถ้าพายไปหาทิว แล้วใครจะงานเข้าหว่า??
พาย!! ตั้ม!! ทิว!!
แอร้ยยยยยยย
