“ผมเอากุญแจห้องมาคืน”ผมหยิบกุญแจสำรองของห้องที่ติดไปคราวก่อนออกมาวางไว้บนโต๊ะรับแขก เขานั่งนิ่งบนโซฟาฝั่งตรงข้าม ไม่ได้เหลือบมองของที่ผมหยิบยื่นคืนเลยสักนิด
“…พี่ไม่เข้าใจ”
“เรื่องอะไรครับ”
“พายไง…ตัวพาย พายคิดอะไร พี่ไม่เชื่อว่าที่ผ่านมาพายไม่รู้สึกอะไรกับพี่อย่างที่พูดจริงๆ พี่ไม่ได้ต้องการการอภัยจากพาย แต่พี่ขอให้พายอยู่กับพี่ก่อน พายจะทำอะไรพี่จะไม่ห้ามเลย จะไปไหนกับใครก็ตามใจ”
“คุณไม่เข้าใจจริงๆ ด้วย…คุณหวังอะไรจากการอยู่ด้วยกันเหรอ หวังให้ความใกล้ชิดทำให้ผมรักคุณตอบสักวันหรือไง ผมเคยบอกคุณแล้วว่าคุณกับทิวเหมือนกัน ความคิด การกระทำ ต้องการผลลัพธ์ที่เป็นไปไม่ได้เหมือนกัน เรารู้จักกันด้วยความผิดพลาด มันผิดตั้งแต่ต้น ความรู้สึกมันก็ผิดด้วยเหมือนกัน”
“อะไรผิด พี่รักพาย…หรือพายรักพี่”ช่างเป็นคำพูดที่เปี่ยมด้วยความมั่นใจในตัวเองเหมือนเดิมไม่ผิด
“….ทั้งสองอย่าง…คุณอยากได้ยินอย่างนี้ใช่มั้ย ผมไม่เถียงว่าผมรู้สึก แต่…มันก็แค่นั้น ผมบอกคุณแล้วว่ามันไม่มีค่าอะไรเลย คำๆ นั้นมันไม่ยิ่งใหญ่พอให้ผมลืมเรื่องต่างๆ ได้หรอก และที่สำคัญผมไม่ได้รู้สึกกับคุณเพียงแค่อย่างเดียว…คุณว่ารักกับเกลียดจะอยู่ร่วมกันได้มั้ย ไม่ได้!”
“…พี่ไม่ได้จะแก้ตัว แต่พายน่าจะรู้ว่าทำไมพี่ถึงบังคับให้พายเลิกติดต่อกับคนอื่น ทำไมพี่ต้องบังคับให้พายมาอยู่กับพี่ คอยตามเวลาไปไหนมาไหน ไม่ใช่เพราะว่าเพื่อนพายไม่น่าไว้ใจเหรอ ขนาดพี่กันทุกทางมันก็ยังมอมยาพายได้ถึงสองครั้ง นิสัยอย่างพายถ้าพี่พูดดีๆ จะฟังงั้นเหรอ จะฟังคนที่ข่มขืนตัวเองงั้นเหรอ พี่อาจใช้วิธีที่ผิด แต่พี่ไม่แน่ใจว่าถ้าไม่ทำแบบนี้จะมีทางอื่นเข้าใกล้พายได้”
“คุณไม่เคยถามว่าผมต้องการอะไร คุณยัดเยียดตัวเองเข้ามาในชีวิตผม ทำทุกอย่างเพื่อผม ไม่ว่าจะเพื่อชดใช้หรือรับผิดชอบ หรือกันท่าคนอื่น…มันไม่สำคัญเลย ผมยังไม่สามารถลืมสิ่งที่คุณทำในครั้งแรกได้ ยิ่งอยู่กับคุณผมก็ยิ่งเหมือนคนบ้า หรือไม่ก็ตุ๊กตา บางครั้งผมอยากจะทำลายทุกอย่างของคุณ แต่บางครั้งผมก็ไม่อยากทำอะไรเลย อยากอยู่เฉยๆ รอให้ทุกอย่างผ่านพ้นไป ในหัวผมมันมีแต่ภาพเก่าๆ ที่ถูกคุณทำร้ายซ้ำแล้วซ้ำเล่า และเพราะอย่างนี้คุณถึงเข้ามาอยู่ในความคิดผมตลอดเวลา…มันบ้าดีมั้ยล่ะที่ผมคิดถึงคุณตลอดเวลา แม้กระทั่งเวลาที่ผมกำลังต้องการความช่วยเหลือ…คุณกลายเป็นคนแรกที่ผมนึกถึง ผมรับรู้ถึงสิ่งที่คุณชอบ ไม่ชอบ สิ่งที่คุณจะทำ ที่ๆ คุณจะอยู่ มันไม่ยากเลยที่จะรู้เรื่องพวกนี้ในเมื่อคุณเอาผมเป็นศูนย์กลาง แต่มันยากมาก…ในการอยู่กับคุณ”ผมไม่ปฏิเสธตัวเองอีกแล้วว่ารู้สึกอะไรกับเขา ไม่พยายามคิดว่ามีเพียงเกลียดอย่างเดียว แต่มันไม่ง่ายเลย…ที่จะยอมรับ
“….ฮึ…พายเข้าใจยากกว่าที่พี่คิด…ทั้งๆ ที่พูดออกมามากมาย…กลับฟังไม่รู้เรื่องเลยสักคำ”เขายิ้มให้ผมเห็นเป็นครั้งแรก ถึงแม้จะเป็นยิ้มเยาะก็เถอะ
“คุณเองก็เด็กกว่าที่ผมคิดนะ”ผมไม่รู้ว่าจะเรียกว่าทะเลาะกัน หรือ…แค่พูดคุย เราไม่ได้เสียงดังใส่กัน ไม่ได้ใช้กำลัง ไม่มีคำพูดประชดประชัน มีเพียงคำบอกเล่าเหตุผลและความรู้สึกของตนเอง บางที…มันน่าจะเป็นแบบนี้ตั้งนานแล้ว
“….กลับมาเถอะนะพาย…พี่ขอร้อง”ผมไม่คิดว่าเขาเป็นคนหยิ่งในศักดิ์ศรี แต่ก็คิดไม่ถึงว่าเขาจะวอนขอผมแบบนี้…ไม่รู้สึกดีเลยสักนิดที่เขาก้มหัวขอร้อง…ไม่ดีเลย
“…ดื้อกว่าที่คิดด้วย”
“ใช่…แล้วจะกลับมามั้ย”เขาถามผม แต่ผมทำได้เพียงแค่ส่ายหน้า การจากลาของเราไม่ทำให้ผมร้องไห้ได้ เพราะมันจะกลายเป็นการเริ่มต้นชีวิตใหม่…กับคนที่เริ่มต้นด้วยติดลบ…ตอนนี้ผมทำให้ความรู้สึกกลายเป็นศูนย์ได้แล้ว
“…อย่าให้พี่ต้องบังคับเลยนะ”
“คุณบังคับผมไม่ได้หรอก…ไม่ใช่เพราะสัญญากับพี่นพ…แต่เพราะคุณรักผมมากเกินกว่าจะทำร้ายผมได้อีกแล้ว…ใช่มั้ย”ผมเชื่อในคำว่ารักของเขา ถึงการกระทำหลายอย่างจะเลวร้าย แต่เขาก็ไม่เคยโกหกสักครั้ง
“…ฉลาดกว่าที่คิด”
“งั้น…ผมกลับก่อนนะครับ”
“ไม่ส่งนะ”
“…ขอบคุณครับ”ผมยิ้มกับความแล้งน้ำใจที่เขามอบให้ผม นี่เป็นครั้งแรก…ที่เขาปล่อยให้ผมจากไป
“รีบๆ กลับมาล่ะ”
“…อย่าบอกนะว่าจะรอผม เชื่อมั่นตัวเองเหลือเกินนะคุณ”ผมอดที่จะแขว่ะคนที่ยังนั่งบนโซฟาไม่ได้ ท่าทางถือดีและวางอำนาจยังคงเหมือนเมื่อครั้งแรกที่ได้เจอ
“แล้วไงล่ะ”
“คุณรู้มั้ย ผมเกลียดคุณ แต่ยังเกลียดไม่เท่าคำนี้เลย”
“ถือว่าเป็นคำชมแล้วกัน”
“…ตามใจ”บางทีคำถามคำตอบอาจสลับที่กันนิดหน่อย เขายิ้มกับคำพูดผม แล้วปล่อยให้ผมเดินจากมา ผมไม่ได้เหลียวกลับไปมองว่าเขามีสีหน้ายังไง มองแผ่นหลังผมอยู่หรือเปล่า กำลังจะเปล่งเสียงเรียกผมไว้มั้ย….ผมทำเพียงแค่ก้าวเดินอย่างมั่นคงแล้วทิ้งทุกอย่างไว้เบื้องหลัง ผมไม่สามารถลืมเรื่องราวต่างๆ ได้ง่ายๆ อย่างที่อยากให้เป็น หรือคนอื่นอยากให้เป็น ที่ทำได้คือปล่อยให้มันผ่านไป ก่อนหน้านี้ผมไม่สามารถทำได้เพราะยังมีเขาทั้งสองคนที่เป็นสิ่งคอยกระตุ้นเตือนความทรงจำอยู่เสมอ แต่ตอนนี้ทำได้แล้ว ผมจะปล่อยวาง ปล่อยให้ทุกอย่างผ่านพ้นไปตามกาลเวลา
ก่อนหน้านี้ผมยึดติดกับอดีต ส่วนพวกเขาหลงอยู่ในอนาคต ไม่มีใครสักคนอยู่บนความเป็นจริง อดีตที่ผ่านมาไม่สามารถทำให้อนาคตที่คาดหวังเกิดขึ้น ต่อให้พยายามทำปัจจุบันให้ดียังไง ก็ไม่มีใครฉุกคิดเลยว่า…อนาคตของเราเปลี่ยนแปลงทุกเสี้ยววินาที คำว่า ‘รัก’ จากผู้ชายสองคนทำให้ผมได้เรียนรู้หลายอย่าง แต่เป็นการเรียนรู้ในแง่ลบเสียส่วนมาก แม้แต่ตัวผมเองก็ใช้เหตุผลนี้ทำร้ายพวกเขากลับไป คนเราทำร้ายกันโดยเอาคำนี้มาอ้างได้อย่างง่ายดาย และก็ให้อภัยกันได้ง่ายยิ่งกว่า แต่…ไม่สามารถลืมได้ในเวลาอันรวดเร็ว ผมต้องการเวลาลบล้างความเจ็บปวดในอดีต ไม่ใช่เพื่อจะได้รักใครสักคน แต่เป็นเพราะ…ผมเริ่มจำไม่ได้แล้วว่าเมื่อก่อนผมเป็นคนยังไง
สองสัปดาห์ต่อมาทิวเดินทางโดยไม่โทรหาผมอย่างที่สัญญาเอาไว้ มีเพียงข้อความที่ส่งเข้าโทรศัพท์มือถือก่อนขึ้นเครื่องว่า…
’ตอนนี้ทิวอยู่บนเครื่อง หวังว่าสักวันเราจะได้กลับมายิ้มให้กันอีก ทิวจะรักพายตลอดไป ขอโทษที่ไม่โทรหา…นี่จะเป็นคำขอโทษครั้งสุดท้ายของทิว และคำบอกรักครั้งสุดท้ายเช่นกัน…รักพายมาก’
ผมนึกดีใจที่ทิวไม่โทรหา เพราะไม่งั้นเราคงต้องร้องไห้ไปคุยไปแน่ๆ ผมได้แต่ภาวนาอย่างเห็นแก่ตัวว่าขอให้ทิวกลับมาเร็วๆ…บางทีลึกๆ แล้วผมก็อยากให้ทิวยังคงรักผมอยู่ คงปฏิเสธไม่ได้ว่าการเป็นที่หนึ่งของคนๆ หนึ่งมานานมันทำให้เรารู้สึกอย่างอื่นได้มากกว่าคำว่ารู้สึกดีใจ….แต่ก็นั่นล่ะ…เราจะเป็นแค่เพื่อนกันตลอดไป
ผมเรียนจบคว้าใบปริญญาได้อย่างที่แม่หวัง ได้งานที่มั่นคงทำ ผมย้ายออกจากหอเก่าที่มีราคาย่อมเยามาสู่หอพักใหม่ที่ใกล้บริษัท และมีราคาค่อนข้างสูงเพราะอยู่ใจกลางเมือง
“กล่องนี้ให้เอาออกมาจัดเลยมั้ยพาย”เสียงเพื่อนสนิทคนใหม่ที่มาช่วยผมย้ายห้องถามขึ้น
“อันนั้นมันพวกของจุกจิกน่ะ จิ๋วเอาใส่ลิ้นชักโต๊ะคอมฯ ไว้หมดนั่นล่ะ”ผมยื่นหน้าออกมาจากห้องนอนที่กำลังจัดเสื้อผ้าเข้าตู้อยู่
“เฮ้ยอะไรวะนี่ หนังสือเรียนสมัยปีหนึ่งก็ยังเก็บไว้หรือวะ”ต่อส่งเสียงโวยวายเพราะมันรื้อหนังสือในลังมาจัดใส่ชั้นวางให้
“เออสิ มีปัญหารึไงต่อ”
“ไม่ต้องมาทำเสียงดุเลย กลัวตายล่ะ”
“อ้อ ไม่กลัวเหรอ งั้นจิ๋วนอนค้างกับพายสักสองสามอาทิตย์ดีมั้ย พายไม่กล้านอนคนเดียว”
“อ้าวเวร จะทำให้ครอบครัวเขาแตกแยกรึไง เดี๋ยวจะโดน”
“พายๆ นี่ลูกกุญแจอะไรน่ะ จะเอาใส่ลิ้นชักหรือเอาไปรวมกับพวงกุญแจห้อง”
“ไหนๆ”ผมเดินออกจากห้องนอนมาดูลูกกุญแจที่จิ๋วถืออยู่
“อืมม…กุญแจบ้านน่ะ เก็บใส่ลิ้นชักไปเหอะ พายยังไม่รีบใช้”ผมวางกุญแจลงในลิ้นชักแล้วเลื่อนปิดก่อนจะเดินกลับมาจัดเสื้อผ้าต่อ กุญแจดอกนั้นไม่ได้สำคัญขนาดที่จะเก็บรักษาให้อยู่ในสายตา ผมก็แค่…ปล่อยให้อยู่ที่เดิมของมัน
เวลาล่วงเลยมาหลายเดือน ผมเติบโตขึ้น แต่ก็ยังตอบไม่ได้ว่าผมกลับมาเป็นคนเก่าหรือยัง…เพราะคงเป็นไปไม่ได้ ผมเป็นคนใหม่…เรียนรู้อะไรใหม่ๆ คนเดียว โดยมีคนให้ปรึกษา แม้จะไม่มีทิวคอยช่วยเหลือเหมือนเมื่อก่อน แต่ผมก็อยู่ได้ แม้จะพบผู้คนเห็นแก่ตัวและโหดร้ายเมื่อก้าวสู่สังคมคนทำงาน แต่ผมก็ไม่โทษใคร…และไม่โทษว่าตัวเองเป็นตัวซวยอีกแล้ว
จบบริบูรณ์
=====>>>> คนแต่ง talk