ตอนพิเศษ...ห่วงนิดหน่อยผมเคยคิดว่าชีวิตการทำงานคงจะลำบาก เรื่องปรับตัวจากความเคยชินของการเป็นนักศึกษา มาเป็นคนทำงานเฉพาะช่วงแรกๆ หลังเรียนจบใหม่ๆ แต่นี่ผมผ่านชีวิตคนทำงานมาแล้วสามปี ตอนนี้ก็ยังต้องพยายามปรับตัวอยู่ ปัญหาหลักๆ ที่ทำให้ต้องปรับตัวกับทำหน้าที่ใหม่ครั้งนี้ไม่ใช่เพราะไม่คุ้นเคยกับงาน ที่ต้องรับผิดชอบ แต่เป็นเพราะ....
“พี่พายคะ คุณตั้มฝากบอกว่าคืนนี้ต้องเข้ากรุงเทพฯ ค่ะ ให้พี่พายรีบกลับบ้านตอนนี้เลย”
“อะไร ฝากบอกเมื่อไหร่ แล้วทำไมไม่โทรมาบอกพี่เองล่ะ”ผมละสายตากจากแฟ้มเอกสารเพื่อเงยหน้ามองหญิง สาวที่ยืนชะโงกหน้าข้ามพาทิชั่นกั้นโต๊ะทำงาน
“ฝากน้าชมมาบอกค่ะ น้าชมเอาไวน์จากไร่มาส่งโรงครัวเมื่อกี้”
“อืมๆ งั้นเดี๋ยวแอนเอาใบสั่งซื้อไปเช็คพี่อีกรอบแล้วกัน พี่เช็คคราวๆ แล้ว ถ้าไม่มีปัญหาอะไรก็เอาไปให้ป้าภาเซ็นต์ได้เลย พี่กลับก่อนแล้วกันนะ”ผมยื่นเอกสารให้แอนไปทำต่อ แล้วถอนหายใจหนักๆ ก่อนเดินออกจากโต๊ะทำงานที่แยกออกมาจากพนักงานคนอื่น และคนอื่นที่ว่ายังคงนั่งทำงานกันอยู่ บางคนตะโกนบอกลาพร้อมสั่งของฝากกัน แต่ส่วนมากจะตะโกนแซวแล้วตามด้วยเสียงหัวเราะเมื่อเห็นหน้าบอกบุญไม่รับของ ผม
หลังจากที่เถียงกันครั้งใหญ่เรื่องที่ผมจะทำงานช่วยป้าภา แทนที่จะคอยนั่งๆ นอนๆ และตามเขาไปตามที่ต่างๆ อย่างที่เจ้าตัวเสนอ ผลสรุปคือเขาอนุญาติให้ผมทดลองทำงานประจำในตำแหน่งกิตติมศักดิ์...เลขา ประธาน หรือก็คือตัวแทนป้าภา แต่หลักๆ แล้วผมมักจะคอยตรวจสอบเรื่องรายรับ รายจ่าย การสั่งซื้อ ซึ่งมีน้าสายใจ ผู้ช่วยคนเก่งของป้าภาคอยสอนงานให้ การเรียนงานของผมเป็นไปอย่างช้าๆ เพราะลูกชายเจ้าของรีสอร์ตคอยแต่จะลากผมไปโน่นมานี่โดยมีคนสนับสนุนคือป้าภา และแม่ของผม
“นี่คุณ!”หลังจากเปิดประตูบ้านเข้ามาเห็นเงาตะคุ่มๆ นั่งอยู่บนโซฟา ผมก็เตรียมโวยเรื่องที่บังคับให้ผมตามเขาไปกรุงเทพฯ โดยไม่ให้เตรียมตัวล่วงหน้าอีกแล้ว แต่พอเห็นสีหน้าแปลกๆ ของคนที่นั่งกอดอกแหงนหน้าพาดลำคอกับเบาะโซฟาก็ต้องเปลี่ยนคำพูดใหม่
“นี่...เป็นอะไร”ผมเดินไปยืนเบื้องหน้าคนที่นั่งหลับตาอยู่
“....ปวดหัว”เสียงแหบพร่าที่ได้ยินเป็นการยืนยันได้ว่า...เขาป่วย และยืนยันได้อีกอย่างว่า...คนบ้าก็ป่วยเป็น
“เป็น ไข้เหรอ ตัวก็ไม่ร้อนนะ”ผมยื่นมือไปสัมผัสหน้าผากเบาๆ แล้วรีบชักมือกลับ ถึงเราจะอยู่ด้วยกันมาเดือนกว่า แต่การสัมผัสกันบางครั้งผมก็ยังไม่ชิน และถึงจะบอกว่าไม่ชิน ใครอีกคนก็ยังคงหาโอกาสสร้างความเคยชินให้ผมบ่อยๆ เท่าที่จะทำได้ แต่มันก็แค่จับมือ โอบ นอนกอดบ้างบางครั้ง และก็...จูบนิดๆ หน่อยๆ...แค่..นั้น
“ปวดหัวเฉยๆ พายไปจัดกระเป๋าไป จัดให้พี่ด้วย เอาสูทด้วย”
“ไปกี่วันล่ะ แล้วทำไมไม่บอกล่วงหน้า พายยังเคลียร์บัญชีให้ป้าภาไม่เสร็จเลย”
“ขี้บ่นว่ะ ไปจัดกระเป๋าก่อน ค้างสักสามวัน พี่ให้ไอ้ชายมาขับรถให้ มันนั่งรอข้างนอกนานแล้ว”
“อืมๆ” ผมเดินเข้าห้องนอนใหญ่แล้วหยิบเสื้อผ้า ของใช้ส่วนตัวจัดใส่กระเป๋าเดินทางใบใหญ่ เดินออกมานอกห้องคนตัวโตยังนั่งแหงนคออยู่ท่าเดิม
“เก็บของเสร็จแล้ว จะไปเลยรึเปล่า”พอผมพูดจบเขาก็ลืมตาขึ้นก่อนจะลุกขึ้นยืนสะบัดแขนสองสามที แล้วเดินหิ้วกระเป๋าออกไป ส่วนผมก็ปิดไฟในบ้านปิดประตูก่อนจะขึ้นรถไปนั่งที่เบาะด้านหลังคนขับ ส่วนเจ้าของรถเอนเบาะหน้านอนลงเรียบร้อยแล้ว
“ป้าภารู้หรือยังว่าจะเขาจะเข้ากรุงเทพฯ คืนนี้”
“รู้แล้วครับ นายไปบอกแล้วเมื่อตอนบ่าย”
“แล้วเจ้านายเราไปทำอะไรมาเมื่อคืน อยู่ๆ วันนี้ก็ป่วย”เมื่อคืนเขาไม่ได้กลับมานอนบ้านครับ แล้วผมก็ไม่ได้ถามใครด้วยว่าเขาหายไปไหน
“วิ่ง วุ่นตั้งแต่เมื่อวานแล้วครับ ไม่รู้ใครแอบยาไปราดไร่ข้าวโพด ไอ้ป้อมมันเห็นมอเตอร์ไซต์จอดอยู่หน้าไร่ตอนหัวค่ำ มันก็สงสัยว่าใครมาทำอะไร พอจะจอดรถลงไปดูไอ้พวกนั้นก็วิ่งออกมาขี่หนีไปพอดี ราดยาไม่เท่าไหร่นะครับคุณ จุดไฟเผาด้วย ดีนะที่ต้นมันชื้นฝนเลยไม่ค่อยติดไฟ ไม่งั้นล่ะยุ่งบรรลัยเลย”
“แล้วป้อม มันไม่เห็นหน้าเหรอว่าเป็นพวกไหน คนแถวนี้รึเปล่า”แรกๆ ผมก็แปลกใจนะครับกับเหตุการณ์แบบนี้ คิดว่ามีแต่ในละคร ถึงจะไม่ร้ายแรงอะไรมากแต่ก็ทำให้วุ่นวายพอสมควร แล้วคนที่ทำส่วนมากจะไม่ใช่คนของไร่อื่นหรอกนะครับ แต่เป็นศัตรูคนในไร่นี่ล่ะ บางทีไปมีเรื่องกันข้างนอก อีกฝ่ายนึงแค้นเลยตามมาหาเรื่อง หรือบางทีก็พวกชอบเล่นแผลงๆ แค่นั้นเอง
“เห็น มันเล่าว่าใส่หมวกกันน็อคปิดหน้าปิดตา ทะเบียนรถก็ไม่ใช่คนจังหวัดเราด้วย ไอ้ป้อมมันเห็นควันไฟเลยไม่ได้ขับตาม เมื่อคืนก็พากันไปเฝ้าที่ไร่ ต้องรื้อข้าวโพดทิ้งไปเป็นแถบ นายบอกว่าต้องปรับหน้าดินด้วย”
“ต้องทำขนาดนั้นเลยเหรอ”
“ครับ มันเล่นราดเสียชุ่มดินเลย นายบอกถึงลงต้นใหม่ก็อาจเจอสารตกค้าง เดี๋ยวเกษตรมาตรวจจะมีปัญหา”ตอนนี้ผลผลิตอะไรที่ขึ้นชื่อว่าปลอดสารพิษกำลัง ขายได้ราคาดี แต่การตรวจสอบก็เข้มงวดมากเช่นกัน
“อืม แล้วนี่นายเราจะไปกรุงเทพฯ ทำไมล่ะ”ชายมันค่อนข้างสนิทกับเขาครับ เป็นลูกน้องคนสนิท ลูกป้าแม่บ้านที่บ้านใหญ่ นอนที่บ้านใหญ่ เวลามีอะไรมันก็จะคอยวิ่งช่วยคนโน้นคนนี้ ตอนนี้ปิดเทอมเลยว่าง ถ้าเปิดเทอมมันก็ไปเรียน อีกปีก็คงเรียนจบแล้ว
“ไม่รู้ครับ เห็นพวกที่ไซต์งานโทรมาเมื่อเช้า แล้วคุณนัทก็โทรมาด้วย”ไซต์งานที่ป้อมพูดหมายถึงงานรับเหมาก่อสร้าง อีกหนึ่งในธุรกิจของครอบครัวนี้ แต่เขาเป็นคนดูแลตรงนี้แทบจะทั้งหมด เพราะว่าพี่นพคอยดูแลรีสอร์ตให้อยู่แล้ว และอีกไม่นานคงเข้ามาดูแลแทนป้าภาได้ทั้งหมด ส่วนป้าภาก็คงปลดละวางตัวเองไปนั่งเลี้ยงหลานแน่ๆ
กว่าที่เราทั้งหมด จะมาถึงบ้านพักก็เกือบสองทุ่ม บ้านที่เรามาพักอยู่ในหมู่บ้านจัดสรรที่เขาเคยรับผิดชอบเรื่องการก่อสร้าง เมื่อหลายปีก่อน และที่สำคัญบ้านหลังนี้คือบ้านที่เขาเคยจับผมมานอนที่นี่ ถึงจะแค่ไม่กี่ชั่วโมงและยังตกแต่งไม่เสร็จ แต่ไม่เคยลืม บ้านนี้เขาซื้อไว้สำหรับให้คนในครอบครัวมาพักเวลาต้องเข้ามาในกรุงเทพฯ แต่ส่วนใหญ่ก็มีแค่ผมกับเขาที่มาพักประจำ ล่าสุดก็เมื่อสองสัปดาห์ก่อนเอง
“นี่คุณ จะกินอะไร จะให้ชายออกไปซื้อ”ผมตะโกนถามคนที่เดินเข้าบ้านแล้วตรงดิ่งขึ้นห้องนอน
“ไม่ กิน จะนอนแล้ว”เขาหันมาตอบแล้วก็เดินต่อไป เป็นอย่างนี้ประจำแหละครับ ให้ผมมาด้วยแต่มาถึงก็นอนๆๆ ทำงานๆๆ แล้วจะให้ผมมาทำไมก็ไม่รู้ งานการผมก็ค้างเต็มไปหมด
ผมเดินไปบอกชายให้ไปซื้อกับข้าวมาสักสามสี่ อย่าง ส่วนตัวผมก็เดินเข้าไปเช็คของในครัว มีปลากระป๋องสามกระป๋อง มาม่า โจ้กซอง ข้าวสารยังเหลืออีกนิดหน่อยพรุ่งนี้เช้าก็กินโจ้กซองก็แล้วกัน จัดแจงตั้งหม้อหุงข้าว ปัดกวาดครัวเล็กน้อยแล้วเอาน้ำเปล่าแช่ตู้เย็นแล้วเสียบปลั๊กใหม่ ตั้งเตาทำข้าวต้ม แล้วก็แกะปลากระป๋องใสชามเล็ก...อาหารสำหรับคนป่วย
กลาง เตียงขนาดใหญ่ในห้องนอนมีร่างสูงใหญ่นอนหงายเต็มพื้นที่ เสื้อผ้าที่ใส่มาถูกถอดแล้วเปลี่ยนเป็นชุดนอนเรียบร้อย ผมเดินไปวางถาดข้าวต้มไว้บนโต๊ะเล็กข้างหัวเตียง จากเดิมที่ไม่มีไข้ ตอนนี้ไข้ขึ้นสูงเสียแล้ว
“นี่คุณ ลุกมากินข้าวกินยาก่อน”ผมสะกิดไหล่เบาๆ แต่เขาเบี่ยงตัวหนีไปอีกทางพร้อมครางฮึมฮัมในลำคอ
“อือ”
“อือก็ลืมตาสิ”
“ฮื้ออ”
“มา ฮื้ออะไรเล่า กินข้าวกินยาจะได้นอน พรุ่งนี้ต้องไปไหนกี่โมงเนี่ย จะไปไหวเหรอ”ผมพูดไปก็กลั้นหัวเราะไป เป็นครั้งแรกที่ต้องดูแลเวลาเขาป่วยแบบนี้ ปกติถ้าเขาไม่สบายเขาจะนิ่งๆ หรือไม่ก็นอนทั้งวัน ตื่นมาก็หาย คราวนี้คงหนักกว่าทุกที
“ขี้บ่นจังวะ ไปไหนก็ไป”เขาลุกขึ้นนั่งแล้วโบกมือไล่ผม ทำเหมือนผมอยากอยู่ใกล้งั้นนี่ อุตส่าห์ทำข้าวต้มให้กินยังมาทำอย่างนี้ใส่ นิสัยเสียจริงๆ
“ทำเหมือน อยากอยู่ใกล้งั้นนี่ ทีหลังไม่ต้องพามาอีกเลยนะ”ผมพูดจบก็เดินออกจากห้องลงมาข้างล่าง ชายตั้งสำรับรอไว้หน้าทีวีเรียบร้อยแล้ว
“นายล่ะครับ”
“กินข้าวต้ม อยู่ข้างบน คืนนี้ชายไปนอนห้องใหญ่นะ เอาที่นอนปิกนิกไปปูนอน เผื่อช็อคตายดึกๆ จะได้ไปส่งโรงพยาบาลทัน”ผมนั่งบนพื้นฝั่งตรงข้ามชายเตรียมลงมือกิน ถ้าชายมันไม่พูดอะไรออกมาซะก่อนน่ะนะ
“ทะเลาะกันอีกล่ะสิ คุณพายทำไมไม่พูดกับนายดีๆ บ้างน้า นายออกจะรักคุณพาย ถึงผมจะไม่ได้ชอบผู้ชายพวกคุณ แต่ก็เห็นนายรักคุณไม่ต่างจากหญิงชายคู่อื่นเลยนะครับ คุณพายน่าจะเอาใจนายหน่อย นายไม่สบาย คุณน่าจะนอนเฝ้านายสิ”ชายพูดจบ ผมแทบจะตะโกนใส่หน้ามันว่าผมก็ไม่ได้ชอบผู้ชาย ส่วนที่สถานภาพเป็นอยู่ตอนนี้มันไม่เกี่ยวกับรสนิยมทางเพศซะหน่อย
“ให้มันน้อยๆ หน่อยชาย พูดเหมือนนายตัวเองวิเศษนักนี่ นายเราน่ะไล่ฉันออกจากห้องมาเมื่อกี้รู้เอาไว้ด้วย”
“อ้าว...งั้น...นายคงไม่อยากให้คุณติดไข้ล่ะมั้ง ใช่แน่ๆ เหตุผลนี้ชัวร์”
“เข้าข้างกันเข้าไป รีบกินแล้วรีบไปเฝ้าเจ้านายผู้แสนดีของนายเลย รักกันนักก็ไปดูแลกันเองเลย”
“โห ดูพูดเข้า ผมน่ะเคารพนายเหมือนพี่ชายแท้ๆ คุณพายไม่ต้องหึงผมหรอก”
“อะ... ไอ้ชาย! ไม่ได้หึงโว้ย! ไอ้นี่ พูดด้วยแล้วลามปาม”ไม่มีอารมณ์จะกินแล้วครับ เจ้านายลูกน้องเหมือนกันหมด เหนื่อยกับงานก็เหนื่อย ยังต้องมาเหนื่อยกับคนเอาแต่ใจแบบเขาอีก ทุกครั้งที่มาด้วยกันมักจะต้องทะเลาะกันเสมอเลย
รุ่งเช้าผมตื่นมา ทำโจ๊กใส่หม้อไว้แล้วค่อยไปเคาะปลุกเจ้านายลูกน้องที่ห้องนอนใหญ่ ได้ยินเสียงชายขานรับก็เดินกลับห้องตัวเอง เขียนรายการอาหารสดให้ชายแวะซื้อก่อนกลับเข้ามา
“ไม่ออกไปด้วยรึไง”
“ไม่”
“ตาม ใจ”นี่คือบทสนทนาทั้งหมดในช่วงเช้า หลังจากพวกเขาออกไป ผมใช้เวลาครึ่งเช้าทำความสะอาดบ้าน ตอนเที่ยงชายโทรมาบอกว่าจะกลับเข้ามาเย็นๆ ผมก็ต้มมาม่ากิน แล้วค่อยจัดการล้างบ่อเลี้ยงปลา และสนามหญ้า กว่าจะเสร็จก็เกือบเย็น จะทำอาหารเย็นตอนนี้ก็ไม่ได้เพราะไม่มีของสดให้ทำ เปิดทีวีนอนดูในห้องนั่งเล่นจนเผลอเคลิ้มหลับไป รู้สึกตัวอีกทีก็ตอนที่ได้ยินเสียงกุกกักรอบๆ ตัว
“พายแม่งน่ารักไม่เปลี่ยนเลยว่ะ”
“ไอ้ห่านัทเอาหน้าออกห่างๆ เมียกู”
“นิดๆ หน่อยๆ ก็ไม่ได้ แล้วเลี้ยงเมียยังไงวะ ผอมจะเท่าไอ้นุเลย”
“ไอ้นัท! จะแดกมั้ยเหล้าน่ะ ไม่แดกก็กลับไปหาเมียมึงไป”
“เมีย ไม่อยู่เว้ย! หนีกลับบ้านไปสองวันแล้ว แค่กูบอกว่ามันตัวหนักขึ้นแม่งหาว่ากูว่ามันอ้วน งอนใส่กูอีก แม่งไม่รู้เป็นอะไรกับเรื่องน้ำหนัก ชอบเอาหุ่นตัวเองไปเทียบกะผู้หญิง ถ้ากูชอบผู้หญิงจะมาเอามันทำไมวะ ไร้สาระว่ะ”
“ทำเป็นพูดดี ทำอย่างกับไม่เอาผู้หญิง เมียก็เคยมีมาแล้ว”
“อันนั้นไม่นับเว้ย”
“งั้นโคโยตี้ที่พัทยาเมื่อเดือนก่อนล่ะ”
“นั่นแค่ขำๆ เว้ย”
“งั้นเด็กสาธิตที่มึงพาไปออฟฟิศล่ะ”
“นั่นน้องมาฝึกงานเฉยๆ”
“ฝึกงานแล้วทำไมต้องนั่งตักวะ ไอ้หมวยมันเล่าให้กูฟัง”
“เก้าอี้ไม่พอ”
“เลยนั่งบี้กันเพลินเลยสิ”
“ก็เพลินดี ฮ่าๆๆ มึงนี่แม่งสู่รู้จริงๆ ทำอย่างกับตัวเองไม่เคย”
“เออ เคย แต่ตอนนี้ไม่”
“ถุย! ไม่ทำหรือทำแต่ไม่มีใครจับได้วะ”
“เรื่อง ของกู”โอเค!! ผมว่าฟังมาถึงตรงนี้ผมควรจะลุกขึ้นนั่งให้พวกเขารู้ว่าผมตื่นแล้วดีกว่า ก่อนที่จะได้ยินความลับของใครไปมากกว่านี้ ผมค่อยๆ ทำเป็นขยับตัวก่อนจะลุกขึ้นนั่งบิดขี้เกียจ แถมท้ายด้วยการอ้าปากหาวโชว์บนโซฟาตัวยาว
“ตื่นแล้วเหรอ”เสียงทักทายจากด้านข้างทำให้ผมหันไปมอง บนโต๊ะอาหารมีอุปกรณ์สำหรับทำลายตับวางเรียงไว้เต็มโต๊ะ
“อืม”
“มานอนทำไมตรงนี้ ประตูบ้านก็ไม่ปิด”
“.....พี่นัทหวัดดี คืนนี้ค้างนี่เหรอ”ไม่อยากคุยด้วยครับ ขี้เกียจทะเลาะ
“ครับ มาฉลองได้งานใหม่กัน พายดื่มด้วยกันสิ”อ้อ แสดงว่าที่เข้ามากรุงเทพฯ เรื่องงานบริษัทออแกไนซ์ที่ทำร่วมกับเพื่อนเขา สงสัยงานนี้จะใหญ่ เขาถึงได้ต้องมาคุยงานเอง ผมเหลือบมองเจ้าของบ้านนิดหน่อย หน้าตายังดูอิดโรย เสียงก็ยังแห้งๆ แต่ริจะดื่มเหล้า ไม่ดูสังขารตัวเองบ้าง
“ตาม สบายเถอะครับ จะเอากับแกล้มอะไรมั้ยครับ มีพวกขนมขบเคี้ยวอยู่นิดหน่อย เดี๋ยวพายไปเทใส่จานมาให้แล้วกัน”ผมลุกขึ้นเดินเข้าครัวผ่านหน้าเจ้าของบ้าน แบบไม่สนใจ ได้ยินเสียงฝีเท้าเดินตามจากด้านหลัง ชายที่ยืนเทถุงกับข้าวใส่ชามเหมือนได้รับสัญญาณบางอย่างถึงได้ปลีกตัวออกไป จากครัวอย่างรวดเร็ว
“เป็นอะไร”คำถามมาพร้อมฝ่ามือที่รั้งเอวผมไว้
“ปล่อย”เขาปล่อยมือจากเอวมาจับข้อมือผมไว้แทน
“เป็นอะไรอีกล่ะ”
“เปล่า”
“พูดดีๆ”
“ก็บอกว่าเปล่า”
“พาย...พี่พูดด้วยดีๆ ทำไมต้องชักสีหน้าใส่”ผมเนี่ยนะชักสีหน้าใส่ พูดไม่ดูหน้าตัวเองเลย
“ใครชักสีหน้า พายยังไม่ได้ทำอะไรเลยนะ อย่ามาหาเรื่อง”
“ทำไม แค่ให้มาด้วยนี่มันจะตายรึไง จะอยู่เฝ้าบ้านให้มันได้อะไร”
“ไม่ ได้อยู่เฝ้าบ้านเฉยๆ นี่ พายก็มีงานต้องทำเหมือนกันนะ แล้วก็บอกหลายครั้งแล้วด้วยว่าไม่ได้อยากมา เห็นพายเป็นอะไร นึกจะลากไปไหนมาไหนก็ลากเอาๆ”
“ก็ตกลงกันแล้วไงว่าถ้าพี่ต้องไปค้างต่างจังหวัดพายต้องมาด้วย”
“ที่ ตกลงกันคือ ถ้าคุณต้องค้างที่อื่นหลายวันและพายว่าง พายจะตามมาด้วย ไม่ใช่ว่าคุณนึกอยากไปไหนก็บังคับให้ทิ้งงานตามคุณมา คนอื่นเขาจะพูดว่าไง เป็นเด็กเส้นไม่พอ ยังไม่รู้จักรับผิดชอบงานอีก”
“ไหน คนไหนมันกล้าพูด บอกมาสิ”
“จะทำไม จะไปไล่ออกรึไง ชอบบังคับคนอื่นไม่เคยเปลี่ยน เอะอะอะไรก็ดีแต่ใช้กำลัง”
“....นี่เห็นพี่เป็นคนอย่างนั้นตลอดเลยใช่มั้ย”
“.......”
“ตอบ!”
“เออ! ก็ดีแต่บังคับจะให้เห็นว่าเป็นยังไงเล่า!”
“พี่ บังคับอะไรพาย พายอยากไปจากพี่เป็นปีๆ พี่ก็ปล่อยไป พายหนีไปทำงานต่างจังหวัดพี่ก็แค่ตามไปเฝ้าห่างๆ เคยมีสักครั้งมั้ยที่จะเข้าไปคุยด้วย พายอยากทำงานรีสอร์ตพี่ก็ยอมให้ทำ แต่เราตกลงกันแล้ว พายนั่นล่ะที่เอาแต่ตั้งแง่ใส่พี่ กลับมาบ้านก็เข้าห้องล็อคประตู วันหยุดตรงกันก็ขลุกอยู่แต่บ้านใหญ่ เคยคิดจะใช้เวลาร่วมกับพี่จริงๆ บ้างมั้ย ทำอย่างนี้จะต่างอะไรกับแยกกันอยู่”
“..........”ก็ผมเพิ่งกลับมาอยู่กับเขาไม่นานนี่ จะให้เปลี่ยนแปลงอะไรได้รวดเร็วทันใจเขานักหนา
“เออ! ดีจริงๆ พูดอะไรเข้าหน่อยก็เอาแต่เงียบใส่ คงคุยกันรู้เรื่องหรอก แม่งเอ้ย!!”เสียงตะคอกคำสุดท้ายพร้อมกับสะบัดแขนผมจนเซไปด้านหลัง เขามองผมนิ่งๆ ก่อนจะเสยผมด้วยความหงุดหงิดแล้วเดินออกจากครัวไป ไม่นานก็ได้ยินเสียงรถขับออกไปจากบ้าน ผมยืนนิ่งอยู่กลางห้องครัวพักใหญ่ก่อนจะค่อยๆ เดินขึ้นห้องนอนเล็ก นั่งบนเตียงนิ่งๆ วางมือไว้บนตัก และรับรู้ว่ามือตัวเองกำลังสั่น แม้จะกำแน่นแค่ไหนก็ยังคงสั่นไม่หยุด....ผมยอมรับว่าที่เขาพูดมามันก็มีส่วน ถูก ผมไม่ได้เปิดโอกาสให้เราได้ใช้เวลาร่วมกันเท่าไหร่นัก แต่นั่นก็เป็นเพราะผมยังไม่ชิน ผมไม่รู้ว่าระหว่างเราจะมีเรื่องไหนที่สามารถนำมาเป็นหัวข้อสนทนาได้ ไม่รู้ว่าควรวางตัวยังไง นั่งห่างกันแค่ไหน ต่อหน้าคนอื่นควรทำอย่างไร ถึงคนรอบๆ ตัวส่วนใหญ่จะรู้ดีว่าเขากับผมมีความสัมพันธ์อะไรกัน ถึงผมจะยอมกลับมาด้วยเหตุผลที่ว่าพร้อมจะเริ่มต้นใหม่กับเขา แต่...ความคิดกับการกระทำใช่ว่าจะแสดงออกมาได้ทั้งหมด ผมมีส่วนผิดที่ใส่ใจความรู้สึกเขาน้อยกว่าความพอใจของตัวเอง แต่....ใช่!....แต่!......เขา....ตะคอกใส่ผม!!! .ให้ตายเหอะ นี่เป็นครั้งแรกตั้งแต่ผมกลับมาอยู่กับเขาแล้วถูกตะคอกใส่ เป็นครั้งแรกที่ถูกเขาผลัก โอเค ไม่ใช่ผลัก แค่สะบัดแขนผมแรงไปหน่อย แต่มันก็เป็นการใช้กำลังเหมือนกัน ทำเหมือนกับว่าผมขอตามมาอย่างงั้นนี่ ถ้าผมจะหน้าบึ้ง อารมณ์เสียไปบ้าง มันก็เป็นเพราะผมไม่พอใจที่ถูกบังคับแบบปัจจุบันทันด่วน ผมไม่ผิดไม่ใช่เหรอที่จะแสดงนิสัยตัวเองออกมาแบบนี้ นี่สรุปคือเขารับไม่ได้ใช่มั้ย!!
ผมคิดอะไรต่อมิอะไรเพลินจนเริ่มหิว นั่นล่ะถึงได้ลุกจากเตียงลงมาหาข้าวกินข้างล่าง ได้ยินเสียงทีวีเปิดอยู่ พอลงมาถึงชั้นล่างถึงเห็นชายนอนดูทีวี
“อ้าว ไม่ได้ไปกับนายเรารึไง”
“เปล่า ครับ นายขับรถคุณนัทออกไปครับ ผมวิ่งออกมาจากห้องน้ำนายก็ไปแล้ว”ชายพูดจบ ผมก็ชะโงกดูหน้าบ้าน รถเขายังคงจอดอยู่ สงสัยคืนนี้คงไม่กลับ
“...อืม ”อวดเก่ง นี่คือคำที่ผุดขึ้นมาในหัว เป็นไข้แล้วยังจะออกไปข้างนอก ถ้าเดาไม่ผิดคงไปนั่งดื่มกันที่ไหนสักแห่งแน่ๆ ไม่เจียมสังขารจริงๆ
หลัง จากนั่งทานข้าวในครัวคนเดียวเสร็จผมก็ขึ้นห้องอาบน้ำนอน ส่วนชายอาสานอนหน้าทีวีรอเปิดประตูให้เจ้านายของมัน ถ้าถามว่าผมนอนหลับไหม ขอบอกเลยว่าหลับสนิทมากๆ จะว่าใจดำก็อาจใช่ แต่ผมทำโน่นทำนี่ทั้งวัน หัวถึงหมอนก็หลับคงไม่แปลก และมันก็น่าหงุดหงิดมากเมื่อได้ยินเสียงเคาะประตูห้องรัวกลางดึกแบบนี้ ผมเปิดไฟหัวเตียงเพื่อดูเวลา ตีสี่! ให้ตายเหอะ จะมาปลุกอะไรตอนตีสี่
“ใคร!”ผมตะโกนถามก่อนจะลุกขึ้นนั่งบนเตียง ไม่ใช่ว่าเมาแล้วกลับมาหาเรื่องทะเลาะกับผมต่อนะ
“คุณพาย! ผมชายเองครับ เปิดประตูหน่อย นายรถชน! ได้ยินมั้ยครับ!!”

กรี๊ดดดดดด เพ่ตั้มรถชน
เพ่ตั้มจักเป็นเยี่ยงไร ติดตามตอนพิเศษตอนต่อไปได้....ในวันที่ 31 (คึคึ การกลั่นแกล้งคนอ่านคืองานของเรา

)
แฮปปี้(ปี้ๆๆๆๆ) สุขีสุโข นะคนอ่านทุกท่าน
