Miracle of WISH ผมเรียกมันว่าปาฏิหาริย์แห่งคำอธิษฐาน
-6-
คุณหนูไอมาตรงตามเวลานัด 9 โมงเช้า รถตู้คันหรูสีขาวสะอาดตาจอดรอให้ผมและไอ้โซ่เดินขึ้นไปนั่งเบาะหลังสุด ตอนแรกคุณหนูเธอก็บอกให้นั่งเบาะหลังต่อจากเธอ แต่คุณเปี๊ยกสุนัขเลี้ยงของคุณหนูไอนอนหลับแผ่หราอย่างสบาย ผมกับไอ้โซ่รู้สึกเจียมตัวจึงขออันเชิญตัวเองไปอยู่เบาะท้าย
จริงอย่างที่ว่า
‘สิ่งที่คิดและความเป็นจริงมักจะต่างกันเสมอ’ ผมคิดว่าวันนี้ผมหล่อและดูดีที่สุดเพื่อที่จะได้เดินเคียงคู่คุณหนูอิเคดะไอ แต่ความเป็นจริงก็คือความหล่อของผมอยู่แค่ระดับพื้นๆ แถมยังดูเหมือนเด็กบ้านนอกอย่างสมบูรณ์แบบเมื่อเทียบกับนายแพทย์เปรมนทีป์ อัศววิรุณฉาย.. ถูกต้องแล้วล่ะครับ คนที่เดินเคียงข้างคุณหนูอิเคดะไอคือสามีของเธอครับ.. ไม่ใช่ผม T^T
“กินอะไรกันมารึยัง?”
คนที่กำลังอยู่ในความคิดหันมาถามด้วยรอยยิ้มเจิดจ้าแจ่มจรัสทำเอาหัวใจของผมแทบกระเด็นหลุดออกมาจากอก
“อ อ อ่อ.. ก กินข้าวไข่เจียวกันมาแล้วครับ”
“ข้าวไข่เจียว?”
เอียงคอถามอย่างน่ารัก ผมกับไอ้โซ่ก็รีบพยักหน้าหงึกๆ คนถามยิ้มจนดวงตาคู่เล็กหยักโค้ง
“พี่เปรม ไออยากกินข้าวไข่เจียว พรุ่งนี้เช้าพี่เปรมทำให้ไอกินหน่อยนะ”
“ทำกินเองก็ได้ไม่ใช่รึไง?”
“แต่ไออยากกินฝีมือพี่เปรมนี่นา.. นะ.. น๊า..”
แค่ได้ยินน้ำเสียงออดอ้อนยังทำให้ใจอ่อนยวบแต่นี่คนอ้อนเป็นสาวน้อยหน้าใสกริ๊ก ผมสีดำขลับแล้วดัดลอนใหญ่รับกับใบหน้าอย่างพอเหมาะพอเจาะดังนั้นต่อให้ใจแข็งเป็นหินผมว่าก็ต้อยยอมศิโรราบ
“พี่ก็อยากกินฝีมือไอ”
อ้าว... เสียงคุณหมอนิ่งยิ่งกว่าน้ำ ณ จุดเยือกแข็งอีกครับ แต่ๆๆ ทำไมคุณหนูไอถึงได้ยิ้มกริ่มแบบนั้นล่ะ??
“ถ้างั้น.. เราผลัดกัน.... ทำ”
เจ้าของเรือนผมดัดลอนสีดำดุจเส้นไหมเคลื่อนริมฝีปากสีชมพูแนบชิดใบหูของอีกฝ่าย ถ้าหากตาของผมไม่ฝาดผมคิดว่าผมเห็นลิ้นเล็กๆ แล่บเลียและขบเบาๆ ตรงติ่งหูด้วย และถ้าหากหูของผมไม่เพี้ยน ผมคิดว่าได้ยินประโยคแผ่วเบาของคุณหนูไอที่กระซิบด้วยเสียงแหบซ่านว่า
‘ผลัดกัน.. กิน’ แม่จ้าวเว้ยยย แค่ตกลงจะทำและจะกินข้าวไข่เจียวทำไมถึงได้ให้ทำผมขนลุกและใจสั่นระริกขนาดเนี้ยเนี่ยยยย ผู้หญิงอะไรสวย น่ารัก และยังจะเซ็กซี่ขยี้ใจชายเหลือเกิ๊นนนนน ไม่ไหวแล้วล่ะครับ ถ้าขืนยังมองภาพตรงหน้าอยู่แบบนี้ผมอาจจะมีใจผิดศีล 5 ข้อ 3 ก็เป็นได้ ผมจึงต้องหาอะไรทำอย่างเช่นชวนไอ้โซ่คุย แต่...
“เฮ้ย! เป็นไร?”
ต่อให้ตกใจกับใบหน้าที่แดงจัดของไอ้โซ่แค่ไหนแต่ด้วยความเกรงใจเจ้าของรถผมก็ทำได้แค่เปล่งเสียงในระดับความดังกระซิบเท่านั้น
“ไม่สบายเหรอ?”
แก้มไอ้โซ่แดงก่ำอย่างน่ากลัว ผมรีบใช้มืออังหน้าผากวัดอุณหภูมิด้วยความเป็นห่วง
“ผ ผมไม่เป็นอะไรครับ”
ตอบเสียงตะกุกตะกักแถมมีกลืนน้ำลายหลายอึกด้วย มันเป็นอะไรของมันเนี่ย? หรือจะเมารถ???
“เมารถ?”
ไอ้โซ่ส่ายหน้าพร้อมกับฉีกยิ้มแหยๆ ยังกับไปทำอะไรผิดมา
“บ๊อกๆ”
เหยดดดด ตกใจแทบช็อคเมื่อจู่ๆ มีเสียงทักทายพร้อมลูกกะตาโตๆ โผล่มาจากเบาะหน้า
“เอ๋--- ใครไม่สบายเหรอน้องเปี๊ยก?”
“บ๊อกๆ บ๊อก”
เอ่อ... นี่คุณหนูไอกำลังพูดกับน้องหมา???? พอพูดจบก็เบนสายตามาที่ไอ้โซ่
“น้องโซ่เมารถงั้นเหรอ?”
คนถามเอียงคอมองไอ้โซ่ด้วยใบหน้าเต็มไปด้วยความสงสัยปนห่วงใย ในขณะที่น้องเปี๊ยกก็เอียงคอทำหน้าย่นมองไอ้โซ่ด้วยลูกกะตากลมกิ๊ก เอาสิครับโดนกดดันทั้งจากคนและจากน้องหมาขนาดนี้ไอ้โซ่จะตอบว่ายังไง
“ป เปล่าครับ ผมไม่เป็นอะไรครับ ผมแค่.. เอ่อ.. เป็นโรคภูมิแพ้กรุงเทพน่ะครับ”
หน้าตา ท่าทาง น้ำเสียง และคำตอบจับพิรุธได้ซะขนาดนี้ ถ้าใครเชื่อก็บ้าแล้วล่ะครับ ผมหันไปมองคุณหนูไอที่หลังจากได้ฟังคำตอบไอ้โซ่แล้วเธอก็เอาแต่ยิ้มหวาน แถมด้วยยักคิ้วข้างเดียวสองครั้งก่อนจะ...
“เมืองหลวงควันและฝุ่นมากมาย.. พี่สูดดมเข้าไปร่างกายก็เป็นภูมิแพ้
ผู้หญิงที่กรุงเทพก็อันตราย.. เพราะพวกเธอหลายใจหัวใจพี่เองก็แพ้”
อื้อหือออออ ถ้าคนน่ารักเป็นโรคภูมิแพ้กรุงเทพขนาดนี้ นอกจากผมจะยอมยกใจให้คุณหนูไอไปครอบครองแล้ว ผมยังจะขอมอบตัวถวายให้อีกด้วย ผู้หญิงอะไรโดนใจผมไปซะทุกช็อตจริงๆ
“อื้มมม”
กำลังจะถลำตัวผิดศีลอยู่แล้วละครับ โชคดีที่คุณหมอเปรมนทีป์ส่งเสียงขึ้นมาขัดจังหวะซะก่อน และก็ทำให้บรรยากาศของผมและไอ้โซ่เข้าสู่โหมดเงียบกริบกันทั้งคู่ จะมีก็แต่คุณหนูไอที่คุยกับน้องชายที่ชื่อเขื่อนสลับกับสนทนากับน้องเปี๊ยกจนถึงจุดหมายนั่นคือมหาวิทยาลัยของผมเองครับ
“พี่เขื่อนเขาเป็นศิษย์เก่าที่นี่ ยังไงเดี๋ยวให้พี่เขื่อนเขาแนะนำดีกว่านะ”
ลงมาจากรถปุ๊ปคุณหนูไอก็ยกหน้าที่ให้พี่เขื่อนทันที ผมก็ได้แต่พยักหน้ารับแล้วเดินตามพี่เขื่อนไป
ตอนอยู่ในรถคุณหนูไอแนะนำว่าพี่เขื่อนเป็นน้องชายของคุณหมอเปรมนทีป์และคุณปลื้มชลล์ซึ่งก็เหมือนน้องชายของเธอด้วย จริงๆ แล้วพี่เขื่อนหน้าตาดีนะครับ โดยเฉพาะดวงตาเรียวสวยเหมือนกวางเลย แต่ติดตรงที่พี่เขาไม่ยิ้มแย้ม ยิ่งพี่คนขับรถที่เป็นหนุ่มร่างใหญ่ล่ำบึ๊กชาวอาทิตย์อุทัยเนี่ยยิ่งแล้วใหญ่ เอาแต่ทำหน้านิ่งเรียบเหมือนไม่แคร์สรรพสิ่งบนโลกนี้เลยสักนิด พอหันไปทางคุณหนูไอเจอคุณหมอเปรมนทีป์เข้าไปผมพูดได้คำเดียวว่านี่แหละคือนิยามของคำว่าหล่อวัวตายควายล้ม หล่อล่มบ้านล่มเมือง หล่อละลายจนผู้ชายยอมกลับใจเป็นหญิง! หล่อขนาดนี้แล้วยังมีเมียน่ารักมากอีกด้วย ผมยังแอบหลงรักเมียเค้าเลย เหอๆๆ ออกนอกประเด็นไปนิดนึง
คุณปลื้มชลล์และคุณเปรมนทีป์เป็นฝาแฝดที่พ่อแม่ช่างปั้นเสียจริง คนนึงหล่อดี๊ดีดูเป็นผู้ชายที่เป๊ะทุกระเบียบนิ้วแถมยังดูเพลย์บอยนิดๆ ส่วนอีกคนหล่อเหี๊ยเหี้ย นิ่ง เงียบ ขรึม น่าลึกลับ น่าค้นหา น่าไขว่คว้ามาแอบอิง เอาจริงๆ คือความหล่อของทั้งคู่ทำให้ผมเป็นผู้ชายแมนๆ ปีนต้นมะพร้าวแข่งกับลิงเล่นอย่างผมยังระทวยได้เลยครับ
กลับมาที่เรื่องของผมกันต่อ มหาวิทยาลัยของผมมีชื่อเสียงเรื่องวิชาการด้านการเกษตร และระหว่างที่พี่เขื่อนพาเดินดูตึกเรียนและแนะนำข้อมูลที่เป็นประโยชน์มากมาย ดูท่าทางว่าเมื่อก่อนพี่เขื่อนจะป๊อปอยู่พอสมควรเพราะแม้จะจบไปนานหลายปีแต่อาจารย์หลายท่านก็ยังจำพี่เขื่อนได้ เราใช้เวลากันพอสมควรในการเดินดูรอบๆ คณะเรียน จนพี่เขื่อนหยุดถามว่ามีอะไรสงสัยอีกมั๊ย? ซึ่งแน่นอนว่ามีครับ..
“เอ่อ.. ขอโทษนะครับ ผมอยากจะรู้วิธีการเดินทางจากที่พักมามหาวิทยาลัยโดยรถเมล์ หรือรถไฟฟ้าน่ะครับ”
ตามที่คุณปลื้มชลล์บอกไว้ผมนึกว่าคุณหนูไอจะแนะนำเรื่องการเดินทางซะอีก แต่นี่นั่งรถอย่างหรู แอร์เย็นฉ่ำมายังกับคุณชายแน่ะ แล้วถ้าถึงวันจริงผมจะมายังไงล่ะเนี่ย
“ไม่ต้องห่วงหรอก เดี๋ยววันจริงจะมีคนพาคุณจันทร์มาด้วยวิธีที่ว่าอีกรอบ”
“ห๊ะ?”
“คุณจันทร์คือคนของตระกูลอิเคดะ ดังนั้นทุกอย่างจะถูกจัดการไว้อย่างดีและปลอดภัย”
“ห๋า!?”
พี่เขื่อนก้มหัวให้ผมเล็กน้อยก่อนจะหมุนตัวหันหลังเดินนำกลับไปทางลานจอดรถ ทิ้งให้ผมยืนงงทบทวนคำพูดที่พี่เขื่อนทิ้งไว้
‘คุณจันทร์คือคนของตระกูลอิเคดะ’ เฮ้ยย!! ตั้งแต่เมื่อไหร่??? เข้าใจอะไรผิดกันรึเปล่าเนี่ย???? รีบวิ่งไปแก้ตัวให้ตัวเองสิครับรออะไร ยกเว้นซะว่าพอเจอหน้าคุณหมอเปรมนทีป์เท่านั้นแหละ ขากรรไกรของผมหุบฉับและห่อตัวให้ลีบเล็กที่สุด ไม่ทราบว่าช่วงที่ผมไม่อยู่มีใครไปเหยียบตาปลาของคุณหมอรึเปล่าครับถึงได้หน้าตาบึ้งตึงเหมือนยักษ์โมโหขนาดนี้
“เที่ยงแล้วไปกินข้าวกันเถอะ”
ขอบคุณที่ความสดใสของคุณหนูไอยังช่วยผ่อนคลายให้ผมกล้าหายใจหายคอ และผมตั้งใจว่าจะแอบกระซิบถามไอ้โซ่บนรถสักหน่อย แต่คุณหนูไอกับคุณหมอเธอย้ายตัวเองไปนั่งเบาะหลังสุดแล้วให้ผมกับไอ้โซ่นั่งเบาะหน้าแทน ส่วนตรงกลางยังคงโดนยึดพื้นที่โดยน้องเปี๊ยกเช่นเดิม และระหว่างทางไปร้านอาหารนั้นผมกับไอ้โซ่ก็นั่งตัวเกร็งไม่กล้าแม้จะมองตากันด้วยซ้ำเพราะเสียงเบาหวิวที่ดังมาจากเบาะหลังมันชวนสยิวกิ้วเหลือเกินครับ
ผมกับไอ้โซ่ถูกพามาทิ้งไว้ที่ร้านอาหารญี่ปุ่นครับ แถมยังยึดโทรศัพท์มือถือของผมไปด้วย และอย่าถามเลยว่าอาหารที่คุณหนูสั่งไว้ให้อร่อยมั๊ย? แต่ช่วยเปลี่ยนคำถามว่าเด็กบ้านนอกอย่างผมกับไอ้โซ่กินวาซาบิเป็นกันรึเปล่าจะดีกว่า และอย่าพูดถึงเรื่องบนรถเมื่อครู่นะครับ เราทั้งคู่ไม่รู้ไม่เห็นอะไรทั้งนั้นจริงๆ
“คุณจันทร์กินผัดบะหมี่นี่สิครับ รสชาติโอเคอยู่นะ”
จานผัดบะหมี่ใส่ไก่ กะหล่ำปลี และแครอท ถูกเลื่อนมาตรงหน้า และนี่คงจะเป็นเมนูเดียวที่ผมคิดว่าอร่อย
“พวกเขาจะทิ้งเราไว้รึเปล่าครับคุณจันทร์?”
“ไม่หรอก”
ตอบเพื่อให้เพื่อนสบายใจแต่ในใจคือผมเองก็แอบกลัวเหมือนกัน
“แล้วเดี๋ยวเขาจะพาไปไหนกันต่อเหรอครับ?”
“ไปดูมหาวิทยาลัยโซ่ไง”
ตอบไปตามที่คุณปลื้มชลล์บอกไว้เมื่อวาน คนฟังพยักหน้ารับแต่สีหน้ายังเต็มไปด้วยความกังวล
“พวกเขาไม่มีวันทิ้งเราหรอก และก็ไม่มีใครทำอะไรที่ไม่ดีกับเราด้วย เพราะนั้นอย่ากังวลไปเลย”
“คุณจันทร์จะมั่นใจ?”
“ไม่รู้สิ.. แต่สัญชาตญาณมันบอกว่าพวกเขาเป็นคนดี”
ไอ้โซ่พยักหน้าอีกรอบ แล้วเราก็เปลี่ยนหัวข้อมาเป็นเรื่องอาหารที่วางอยู่เต็มพื้นที่บนโต๊ะ คุยไปกินไปเรื่อยๆ มันก็กินได้และกินกันเกือบหมดนะครับ ยกเว้นพวกปลาดิบของดิบทั้งหลาย ไม่รู้ว่าที่ร้านมีบริการใส่กล่องกลับบ้านรึเปล่า ผมอยากจะห่อกลับไปให้ไอ้โซ่ทำผัดเผ็ดกินกับข้าวร้อนๆ ซะเหลือเกิน
“เป็นไงอิ่มกันรึยัง?”
หายไปเป็นชั่วโมงคุณหนูไอก็กลับมาด้วยใบหน้าแดงระเรื่อและมีเหงื่อซึมตามไรผมเหมือนไปแอบวิ่งรอบสนามฟุตบอลมาสักสิบรอบ แต่ก็มิอาจบั่นทอนความน่ารักลงไปได้
“อิ่มแล้วครับ” อิ่มนานแล้วด้วย
คุณหนูโปรยรอยยิ้มให้พวกผมก่อนจะหันไปพยักหน้าให้พี่เขื่อน ฝ่ายนั้นก็ก้มศีรษะให้คุณหนูเล็กน้อยแล้วก็เดินตรงไปที่เคาเตอร์ ส่วนผมและไอ้โซ่ได้แต่เดินตามคุณหนูออกจากร้านมาจนถึงรถที่มีสารถีร่างใหญ่ยืนรออยู่ข้างรถ และมีคุณหมอเปรมนั่งรออยู่ด้านใน แล้วสถานการณ์ก็กลับมาเป็นปกตินั่นคือผมกับไอ้โซ่ประจำที่เบาะหลังเหมือนเดิมครับ
ไม่ผิดตามที่คิดไว้เพราะเป้าหมายต่อไปคือมหาวิทยาลัยของไอ้โซ่ แม้จะเป็นมหาวิทยาลัยเปิดแต่ก็มีห้องเรียนแบบทางไกลและมีห้องสมุดใหญ่โตไว้ให้บริการแก่นักศึกษา แต่ดูจากระยะทางจากที่พักมาแล้วไอ้โซ่แอบกระซิบบอกผมว่าขอใช้บริการห้องสมุดที่มหาวิทยาลัยของผมแทนน่าจะสะดวกกว่า
วันนี้เดินทางไปแค่ 2 ที่แต่เหนื่อยเหมือนเดินทางไกลข้ามจังหวัด มิหนำซ้ำยังใช้เวลาเกือบทั้งวัน มื้อเย็นคุณหนูเธอจะพาเราทั้งคู่ไปเลี้ยงอีกนะครับ แต่ผมกับไอ้โซ่แกล้งบอกว่าเหนื่อยมากๆ อยากจะพักผ่อน เพราะเข็ดกับอาหารญี่ปุ่นเมื่อเที่ยงถึงจะกินหมดแต่มันไม่ถูกปากเอาซะเลย
“ขอบคุณมากๆ นะครับ”
ยกมือไหว้ขอบคุณคุณหนูอิเคดะไอและสามี ตลอดจนพี่สารถีกล้ามใหญ่และพี่เขื่อน
“ไม่ต้องเกรงใจนะ ยังไงต่อไปเราต้องเจอกันตลอดอยู่แล้ว”
ฝ่ามือนุ่มตบลงเบาๆ บนหัวไหล่ของผม
“นี่โทรศัพท์เครื่องใหม่ เบอร์เก่ายังอยู่ครบ และพี่ก็เมมเบอร์ของทุกคนที่สำคัญไว้ให้หมดแล้ว”
ผมกับไอ้โซ่มองหน้ากันเลิ่กลั่กกับโทรศัพท์มือถือเครื่องใหญ่กว่าฝ่ามือ 2 เครื่องที่ถูกยื่นมาตรงหน้า และคุณหนูคงจะขัดใจกับเราทั้งคู่เธอจึงจัดการจับสิ่งของใส่มือผมกับไอ้โซ่ซะเอง
“ขึ้นไปพักผ่อนได้แล้ว”
คุณหนูไอผลักผมกับไอ้โซ่เข้าไปในลิฟท์พร้อมโบกมือลา เมื่อประตูลิฟท์ปิดลงผมกับไอ้โซ่ก็ยืนมองหน้ากันโดยไร้คำพูดจนถึงห้องพัก
“คุณจันทร์”
“ว่า?”
“ไอ้โซ่ใช้ไอ้นี่ไม่เป็นหรอกนะ”
มองตามนิ้วที่ชี้ ‘ไอ้นี่’ ของไอ้โซ่จึงได้รู้ว่ามันคืออะไร
“ฉันก็ใช้ไม่เป็น”
นี่ผมพูดจริงนะครับ ไอ้วัตถุที่มีแต่หน้าจอแบนๆ ขนาดใหญ่กว่าฝ่ามือเล็กน้อยเนี่ยผมเคยเห็นแค่ในทีวีและมันไม่เคยอยู่ในความคิดที่จะซื้อมาใช้ในชีวิตประจำวันของผมเลยด้วยซ้ำ
“เรื่องนี้ช่างมันก่อนเถอะ ตอนนี้หิวแล้ว”
เรื่องปากท้องต่างหากล่ะครับที่สำคัญสำหรับชีวิตผม
“อยากกินน้ำพริกอะ”
“น้ำพริกกะปินะครับคุณจันทร์ ง่ายดี เดี๋ยวไอ้โซ่จัดให้”
พูดจบไอ้โซ่ก็ลุกขึ้นเข้าครัวทันทีครับ น้ำพริกกะปิกับหมูหวานฝอยกินกับข้าวสวยร้อนๆ ชวนให้คิดถึงบ้าน และแบบนี้ล่ะครับที่เรียกว่าอร่อยสุดๆ สำหรับผมและไอ้โซ่
.
.
.
.
.
.
.
หลังจากกินอิ่มและใช้โทรศัพท์ของคอนโดโทรกลับไปรายงานตัวที่บ้านกันเรียบร้อยแล้ว ผมกับไอ้โซ่ก็ออกไปนอนกางพุงหาแสงดาวบนท้องฟ้าทะมึนกันที่ระเบียงอยู่พักใหญ่จนหนังตาเริ่มจะหย่อน จึงแยกย้ายกันกลับเข้าห้องนอนของตัวเอง วันนี้เราตกลงกันว่าเพื่อให้คุ้นชินกับสถานที่ดังนั้นเราจะลองแยกนอนกันคนละห้องตามที่เลือกกันไว้ครับ
อาบน้ำจนสบายตัวก็ได้เวลานอน ไม่รู้ว่าพรุ่งนี้จะต้องเจออะไรบ้าง ขอนอนเอาแรงไว้ก่อนละกัน และช่วงจังหวะที่กำลังเคลิ้มๆ อยู่นั้นเสียงสั่นสะเทือนเบาๆ ก็ดังรบกวนโสตประสาทให้ต้องลืมตาขึ้นมาอีกครั้งอย่างหงุดหงิด
“อะไรวะเนี่ย?”
ผมหยิบวัตถุที่เรียกว่าโทรศัพท์มือถือขึ้นมาดู หน้าจอส่องสว่างวาบเป็นสีเขียวและมีตัวอักษรเป็นภาษาอังกฤษเขียนว่า
‘Your Someone’ “คืออะไรวะ?”
ต้องทำอะไร? ต้องทำยังไง? ไอ้โซ่หลับรึยังเนี่ยช่วยกูด้วยยย? มันจะระเบิดมั๊ย?! ด้วยความกลัวและเท่าที่จำได้จากในโฆษณาผมจึงแตะๆ จิ้มๆ หน้าจอแบบมั่วๆ ไปเอาให้มันหยุดสั่นก็พอ และมันก็สำเร็จครับ อาการสั่นสะเทือนจากตัวเครื่องหยุดลง แต่มีเสียงดังขึ้นแทน
‘ทซึกิ?’เสียงนี้...
หัวใจของผมกระตุก ร่างกายชาวาบราวกับเป็นอัมพาตไปชั่วขณะ
‘ฮัลโหล ทซึกิ.. ได้ยินฉันมั๊ย?’อ่านชื่อหน้าจอซ้ำๆ
‘Your Someone’ ทำไมต้องใส่ชื่อแบบนี้ไว้ในโทรศัพท์ของผมด้วย และทำไมต้องเป็นชื่อของคนๆ นี้ด้วย
‘ทซึกิ?’สูดลมหายใจลึกแล้วผ่อนออกก่อนจะพูดกรอกสายกลับไป
“คุณ?”
นั่นคุณจริงๆ เหรอ?
‘ได้ยินแล้วสินะ’“คุณ?”
‘อืม’“คุณ.. คุณอยู่ไหนน่ะ?”
‘บ้าน’บ้านที่ไหน? ด้วยความสงสัยทำให้ผมเงียบไปครู่หนึ่ง และอีกฝ่ายคงจะรู้จึงได้ตอบคำถามใหม่อีกครั้ง
‘ญี่ปุ่น’“ห๊า!?”
นี่ตกใจจริงนะครับ อยู่ตั้งไกลแล้วโทรหาผมทำไม??
‘ฉันอยากเห็นหน้าเธอ.. ทซึกิ’คำตอบที่ได้รับทำให้ผมเงียบไปเพื่อใช้ความคิด ผมเพ่งมองหน้าจอสีเขียวนิ่งๆ ก่อนจะตอบออกไปแบบเต็มเสียง
“ไม่!”
‘ทำไม?’“ผ ผมกำลังจะนอน ไม่ใช่สิผมนอนหลับไปแล้วต่างหาก”
‘แสดงว่าถ้ายังไม่นอนก็เห็นหน้าได้’“ไม่ได้ทั้งนั้น!”
เสียงหัวเราะเบาๆ จากปลายสายทำให้ผมเผลอกัดริมฝีปากตัวเอง
‘วันนี้เหนื่อยใช่มั๊ย?’“อืม”
‘ไม่ชอบอาหารญี่ปุ่นเหรอ?’“ก็.. พอกินได้” โดยเฉพาะผัดบะหมี่อะนะ
‘ไม่ชอบสินะ’“ก็บอกว่าพอกินได้ไง”
ใครจะโง่บอกว่าไม่ชอบกันเล่า เดี๋ยวเอาไปบอกคุณหนูไอจะทำให้เธอเสียน้ำใจเปล่าๆ แต่ไม่รู้ว่าคำตอบของผมจะทำให้คนฟังรู้สึกแย่ด้วยรึเปล่าเพราะเงียบไปเลย..
“ไม่ชอบอาหารญี่ปุ่น ก็ไม่ได้หมายความว่าไม่ชอบคนญี่ปุ่นสักหน่อย”
คนญี่ปุ่นในที่นี้ผมหมายถึงคุณหนูอิเคดะไอนะครับ ได้โปรดอย่าเข้าใจผิด
‘ฉันรู้’รู้อะไร?? ทำเป็นรู้ดี แล้วทำไมผมถึงต้องยิ้มด้วยเนี่ย
“คุณโทรหาผมได้ยังไง?”
‘ใช้โทรศัพท์อยู่นี่ไง’“กวนตีน”
หัวเราะอีกแระ คนเค้าด่าให้อยู่เนี่ยยังมาหัวเราะ อิตานี่ท่าจะบ้า
“คุณโทรหาผมทำไม?”
‘คิดถึง’น้ำเสียงที่ตอบกลับมาฟังดูมั่นคงและไม่มีความลังเลแม้แต่น้อย พาลให้หัวใจของผมเต้นระส่ำและพองโต
“ผมไม่ใช่แฟนคุณ”
‘เธอเป็นน้องชายของมิกิ’หัวใจดวงที่เบ่งบานเมื่อครู่โดนบีบอัดให้แฟ่บลงจนเจ็บแบบไม่ทันได้ตั้งตัว
“คุณไปโทรหาแฟนคุณเถอะ”
‘ทซึกิ..’“ผมไม่ได้เป็นอะไรกับคุณเพราะฉะนั้นไม่ต้องโทรหาผมอีก”
‘เธอรู้.. ว่าเธอเป็นใครสำหรับชั้น’“ผมจะวางสาย”
‘ทซึกิ.. เธอรู้.. ฉันรู้ว่าเธอรู้’“ใช่ผมรู้! ผมรู้ว่าผมเป็นน้องชายของคนที่คุณรักยังไงเล่า!”
ฮึก.. ผมเกลียดตัวเอง ผมเกลียดความสับสนทั้งหมดทั้งมวลนี้ ผู้ชายที่เคยเจอหน้าแค่ไม่กี่ครั้ง พูดคุยแค่ไม่กี่หน และที่สำคัญคือเป็นคนรักของคุณเดือน เขาทั้งคู่กำลังจะหมั้นกันในเร็ววันนี้ แล้วทำไมหัวใจของผมถึงได้สุขและทุกข์เพราะผู้ชายคนนี้ด้วย
‘เธอรู้.. ว่าเธอเป็นใครสำหรับชั้น’“ผมไม่รู้! ผมไม่รู้อะไรทั้งนั้น!”
‘หลับตา.. และเปิดใจสิ.. ทซึกิ’ฮึก..
‘เธอรอฉัน.. และฉันตามหาเธอเพื่ออะไร?’แม้ว่าผมจะมั่นใจว่าคุณคือผู้ชายที่อยู่ในความฝันคนนั้นที่ทำให้ผมเจ็บปวดกับการเฝ้ารอ แต่ผมไม่รู้ว่าคำอธิษฐานที่แสนเจ็บปวดของผมนั้นคืออะไร? คุณเป็นใครสำหรับผมและผมสำคัญแค่ไหนสำหรับคุณ? ผมไม่รู้จริงๆ
“ผมง่วงแล้ว”
ขอตัดบทด้วยคำโกหกที่ปลายสายก็คงจะรู้ว่ามันไม่จริง
‘เธอจะฝันดี’น้ำเสียงที่อบอุ่น เต็มไปด้วยความจริงใจและอ่อนโยนทำให้ก้อนเนื้อในอกด้านซ้ายของผมอุ่นซ่านขึ้นมาอย่างประหลาด และมันก็เหมือนกับทุกครั้ง คนที่ทำให้หัวใจของผมเจ็บปวดเจียนตายก็คือคนเดียวกับที่ทำให้หัวใจของผมกลับมาฟื้นขึ้นได้ใหม่อีกครั้งเช่นกัน
แสงสว่างจากหน้าจอโทรศัพท์ดับไปนานแล้ว แต่ผมก็ยังมองมันอยู่อย่างนั้น ความง่วงหายไปตั้งแต่ได้ยินเสียงของอีกฝ่าย แล้วผมจะนอนหลับฝันดีได้ยังไงทั้งที่สมองยังคิดอะไรฟุ้งซ่านอยู่แบบนี้
อิเคดะ ยู...
คุณเป็นใครกันแน่? ทำไมคุณถึงมีอิทธิพลกับความรู้สึกของผมขนาดนี้....
.
.
.
.
.
.
TBC..

สวัสดีปีใหม่คนอ่านทุกท่านนะคะ
ขอให้มีความสุขมากมายตลอดปีและตลอดไปนะคะ

อยู่กับน้องจันทร์จนจบด้วยนะคะ
