Miracle of WISH ผมเรียกมันว่าปาฏิหาริย์แห่งคำอธิษฐาน
-9-
“คืนนี้เป็นคืนเดือนแรม มองนภาไม่แจ่ม แลแอร่มแค่แสงดารา
ดาวสุกใสอยู่ปลายฟากฟ้า แสงแจ่มเหนือมวลดารา เป็นทั้งดาวฟ้า ดาวใจ
ฮื้อ ฮือ ฮือ ฮือ หื่อฮือฮื้อฮือฮือหื่อ ....”
ไอ้โซ่เกากีตาร์ขับขานเพลงกล่อมผมนอน แต่ภาพพี่ภาคกับดาวพระศุกร์ยุคศรรามและกบสุวนันท์ลอยชัดกลางท้องฟ้าสีทะมึนไร้แสงดาวและเดือนของเมืองหลวงสะท้อนอารมณ์ของผมในตอนนี้ได้อย่างดีเยี่ยม เพราะมันทั้งหม่นหมอง คิดถึงบ้าน คิดถึงคนที่อยู่ฝั่งตรงข้ามห้อง แต่ผมก็ไม่สามารถไปหาใครได้เลยเพราะร่างกายมันแทบแหลกกับกิจกรรมสานสัมพันธ์รุ่นพี่รุ่นน้องนี่แหละครับ ถ้าจะพูดไปทำไร่ทำสวนมันดูเหนื่อยกว่าก็จริง แต่อากาศที่แสนบริสุทธิ์ของบ้านสวนก็ทำให้สดชื่นลืมเหนื่อยได้เหมือนกัน ผิดกับเมืองกรุงลิบลับครับไม่รู้ว่าเป็นเพราะอากาศหรืออะไรที่ทำให้ผมรู้สึกเพลียง่ายเหลือเกิน นี่แค่ผ่านมาสองสามวันผมยังหมดสภาพขนาดนี้ ถ้าอยู่จนกว่าจะเรียนจบร่างกายของผมไม่มีแต่สารพิษสะสมอยู่รึไงเนี่ย??
“เปลี่ยนเพลงได้ปะ?”
“คุณจันทร์อยากฟังเพลงอะไรครับ?”
นั่นสิ ผมอยากฟังเพลงอะไร? หรือไม่ฟังเลยจะดีกว่า??? คิดไปคิดมาผมก็เพิ่งนึกออกว่ามัวแต่ยุ่งเรื่องของตัวเอง ลืมถามไอ้โซ่มันเลยครับว่ามันลงทะเบียนออนไลน์ด้วยระบบแล้วรึยัง
“นายลงทะเบียนรึยัง?”
“เรียบร้อยแล้วครับ”
“หืม?”
คิ้วของผมขมวดแบบอัตโนมัติ ไม่ใช่อะไรหรอกครับ เราไม่มีคอมพิวเตอร์ดังนั้นถ้าจะลงทะเบียนไอ้โซ่ก็ต้องไปหาร้านอินเตอร์เน็ตซึ่งผมควรที่จะต้องไปเป็นเพื่อนมันไม่ใช่รึไง และความฉงนที่ฉายอยู่บนหนังหน้าหล่อๆ ของผมคงจะทำให้ไอ้โซ่เข้าใจความสงสัยของผม
“น้องสมายล์เอาโน๊ตบุ๊คมาช่วยจัดการให้แล้วล่ะครับ”
“น้องสมายล์?”
ยังจำสาวน้อยบ้านนาลูกสาวกำนันหวานใจไอ้โซ่ได้มั๊ยครับ? แล้วน้องสมายล์มาทำอะไรที่นี่???
“น้องสมายล์มาเรียนมอปลายที่กรุงเทพน่ะครับ น้องเขาพักอยู่บ้านญาติเห็นบอกว่าอยู่ไม่ไกลจากที่นี่เท่าไหร่”
ไอ้โซ่อธิบายด้วยรอยยิ้ม ผมเข้าใจครับ ไอ้โซ่มันตามจีบน้องสมายล์มาตั้งหลายปีน้องเค้าก็ไม่เคยเหลียวแลแต่อยู่ดีๆ มาหาถึงที่พักเลยนี่สิครับผมว่ามันแปลกๆ อยู่นะ
“ไม่ต้องห่วงหรอก ผมไม่ได้ให้น้องสมายล์ขึ้นมาบนห้องหรอกครับ แค่นั่งคุยกันตรงล็อบบี้ข้างล่างเท่านั้นเอง”
พยักหน้ารับ ไม่ได้หวงห้องหรอกครับ และผมก็ไว้ใจไอ้โซ่ด้วยว่ามันไม่มีวันทำอะไรเกินเลยเด็ดขาด แต่ผมไม่ไว้ใจน้องสมายล์ต่างหาก
“ก็ไม่ได้ว่าอะไรสักหน่อย”
ส่งยิ้มหวานเพื่อความสบายใจครับ จากนั้นก็ขยับตัวนอนตะแคงมองหน้าไอ้โซ่
“คุณจันทร์มีอะไรไม่สบายใจรึเปล่าครับ?”
นี่แหละครับที่เค้าเรียกว่ามองหน้าก็รู้ใจ
“ฉันชอบผู้ชาย”
เอาจริงๆ ผมยังไม่แน่ใจเลยครับว่าผมเป็นเกย์รึเปล่า ผมมั่นใจนะว่าตัวเองโคตรแมนและหล่อบรรลัยกระชากใจสาว แต่ทำไมกับพี่ยูผมถึงได้ใจสั่นระทวยทุกครั้ง แค่คนเดียวเท่านั้นนะครับที่ไม่ว่าจะทำอะไรก็รู้สึกสนิทใจเหมือนว่าเรารู้จักกันมานานแสนนาน
“แล้วยังไงเหรอครับ?”
ผิดคาดนิดหน่อยครับ เพราะผมคิดว่าถ้าผมพูดออกไปว่าชอบผู้ชาย ไอ้โซ่จะต้องมีปฏิกิริยาบางอย่างกลับมาอย่างแน่นอนแต่นี่มันทำหน้านิ่งๆ ไม่ทุกข์ไม่ร้อน ไม่มีท่าทีแปลกใจหรืออะไรเลยสักนิด
“ก็ฉันชอบผู้ชายไง แบบที่มันคิดว่าเรียกว่าเกย์.... รึเปล่า?”
ท้ายประโยคผมไม่กล้าแม้แต่จะสบตาเพื่อนสนิท เพราะผมยังสับสนในตัวเองอยู่เลยครับ
“ก็แล้วยังไงล่ะครับ คุณจันทร์จะไปแปลกเพศเหรอ?”
“บ้ารึไง!?”
“อ้าวไม่แปลงเพศ ก็แล้วยังไงล่ะครับ?”
คู่สนทนาของผมยกมือขึ้นเกาหัวแกรกๆ ผมเองก็เกาหัวตัวเองจนยุ่งเหยิงแล้วเหมือนกัน ตกลงนี่ผมพูดไม่รู้เรื่องหรือไอ้โซ่มันโง่ไม่เข้าใจกันแน่ครับเนี่ย
“ปัญหาของฉันก็คือฉันกำลังสับสนว่าฉันชอบผู้ชายแบบที่เกินกว่าเพื่อนพี่น้อง แบบอยากเอาเค้ามาทำเมีย แบบนี้ชาวโลกเค้าเรียกว่าเกย์ใช่มั๊ย?”
“ก็... ครับ”
“แล้วถ้าฉันเป็นเกย์ ที่บ้านจะว่ายังไง ดันบอกให้เขาไปสู่ขอแล้วซะด้วย ถ้าที่บ้านรับไม่ได้ฉันควรจะทำยังไง?”
ปัญหาใหญ่สำหรับชีวิตของผมเลยนะครับเนี่ย
“อ่อ.. คุณจันทร์กังวลเรื่องนี้นี่เอง”
ใบหน้าคมคายตามแบบฉบับลูกทุ่งของไอ้โซ่ระบายรอยยิ้มอ่อนโยน มันทำให้ผมใจชื้นขึ้นมาได้หลายระดับเพราะอย่างน้อยผมก็ได้รู้ว่าไอ้โซ่ไม่ได้รังเกียจถ้าผมจะเป็นเกย์
“ครูเอี่ยมกับลุงต้อมแกไม่ว่าอะไรคุณจันทร์หรอกครับ แกให้คุณจันทร์เป็นคนตัดสินใจเอง ส่วนยายกับน้ามลก็ตามประสาผู้หญิงแหละครับ จะให้มายอมรับเรื่องแบบนี้แบบปุบปับมันก็ไม่ได้หรอก คุณจันทร์ต้องให้เวลาพวกท่านบ้าง”
ผมเองก็เดาทางไว้แล้วแหละครับว่ามันต้องเป็นแบบนี้ คุณยายกับแม่มลคือกุลสตรีไทยทุกระเบียบนิ้ว ขนบธรรมเนียมประเพณีต้องถูกต้องทุกอย่าง ยิ่งพวกท่านรักผมมากแค่ไหนก็เท่ากับว่าพวกท่านตั้งความหวังไว้กับตัวผมมากเท่านั้น มันจึงเป็นเรื่องธรรมดาหากคุณยายกับแม่มลจะยอมรับเรื่องแบบนี้ได้ในทันที ดังนั้นผมไม่โกรธพวกท่านหรอกครับ เป็นผมเองต่างหากที่ผิดและทำให้ท่านผิดหวัง
“ส่วนเรื่องสินสอดคุณจันทร์ไม่ต้องห่วงหรอกครับ ครูเอี่ยมแกไม่ให้น้อยหน้าใครหรอก ยิ่งหลานเขยรวยขนาดนั้นก็ต้องสมน้ำสมเนื้อหน่อย”
พูดจบแล้วมีการยักคิ้วให้ผมด้วยนะครับ สำหรับเรื่องนี้อยากจะบอกว่ามันแน่นอนอยู่แล้วครับ ก็ผมเป็นหลานรักนี่นา แต่เดี๋ยวนะ..
“เมื่อกี้ว่าไงนะ???”
“เรื่องอะไรครับ???”
“ก็เมื่อกี้พูดเหมือนทุกคนรู้เรื่องของฉันกับ....”
มาถึงตรงนี้ดันรู้สึกกระดากปากกระดากใจขึ้นมาซะงั้น
“กับ... คุณพี่ยูน่ะเหรอครับ?”
เฮ้ยย! นั่นไง รู้เรื่องจริงๆ ด้วยตกใจนะครับเนี่ย รู้ได้ยังไงทั้งที่ผมเพิ่งจะตกลงปลงใจยอมเป็นสามีพี่ยู เฮ้ยย ไม่ใช่สิแค่ยอมให้เขาจีบเมื่อไม่กี่วันนี่เอง
“รู้กันทั้งบ้านสวนตั้งแต่คุณพี่เขามาพร้อมคุณแม่ของคุณจันทร์และคุณเดือนโน่นแหละครับ”
“หมายความว่ายังไง???”
“ก็คุณพี่เขามาทาบทามสู่ขอคุณจันทร์ไม่ใช่คุณเดือน”
“ห๊า!???”
“เรื่องเป็นมายังไงผมไม่รู้ ผมรู้แค่ว่าคนที่คุณพี่เขาขอหมั้นหมายไว้ก่อนคือคุณจันทร์ ผมได้ยินเต็มสองหูเพราะคุณพี่เขาพูดเป็นภาษาไทยชัดถ้อยชัดคำต่อหน้าครูเอี่ยมกับลุงต้อม”
ไอ้โซ่อธิบายด้วยน้ำเสียงเนิบนาบเหมือนไม่มีเรื่องอะไรให้ตื่นเต้น ตรงกันข้ามกับผมที่หัวใจแทบจะวายอยู่รอมร่อ
“อีกเรื่องที่ผมแน่ใจคือคุณแม่ของคุณจันทร์และคุณเดือน แต่ผมเดาว่าพวกท่านยังไม่รู้เรื่องนี้ หรือรู้แล้วแต่แกล้งทำเป็นไม่รู้”
ไม่ไหวแล้วครับ ก่อนที่อกจะแตกตายผมขอไปถามต้นเหตุให้รู้เรื่องไปเลยดีกว่า
“อ้าว! คุณจันทร์จะไปไหนครับ?”
ต่อให้ไม่ได้หันไปตอบ แต่ไอ้โซ่ก็คงจะรู้ว่าผมกำลังจะไปไหนซึ่งแน่นอนว่าผมไม่ได้ไปไหนไกลนอกจากห้องที่อยู่ฝั่งตรงข้าม
คนที่เปิดประตูให้ผมคือคุณมาซารุ เราเคยเจอกันหลายครั้งแต่ด้วยรูปร่างสูงใหญ่บึกบึน ใบหน้านิ่งเรียบ ดวงตาเรียวชี้ขึ้น ให้บรรยากาศของนักรบโบราณทำให้ผมต้องห่อตัวลีบโดยอัตโนมัติทุกครั้ง คุณมาซารุพูดไทยไม่ได้หรอกครับ ดังนั้นถ้าผมจะคุยด้วยก็ต้องใช้ภาษามือนี่แหละ
“โดโซะ โอะไฮริ คุดะไซ”
ยังไม่ทันจะได้เริ่มยกมือยกไม้คุณมาซารุก็ผายมือเชิญผมเข้าไปในห้องซะก่อน แล้วหลังจากที่ผมเข้ามายืนเก้ๆ กังๆ อยู่กลางห้องเพ้นเฮ้าท์ อันหรูหราอลังการยังกับบ้านหนึ่งหลัง คุณมาซารุก็พูดอะไรบางอย่างเป็นภาษาญี่ปุ่นอีกหนึ่งประโยคซึ่งผมใช้การเดาจากการผายมืออีกเช่นเคยว่าเชิญขึ้นไปด้านบน พี่ยูคงจะอยู่ชั้นบนสินะ ก้มศีรษะเล็กน้อยเพื่อเป็นการขอบคุณคุณมาซารุ จากนั้นก็เดินขึ้นบันไดไปชั้นสองครับ
ชั้นสองไม่ได้มีแค่ห้องโล่งๆ มันมีห้องอีกทั้งฝั่งซ้ายและขวา แถมยังมีห้องเล็กๆ อยู่ตรงปีกขวาอีกหนึ่งห้องที่อยู่ติดระเบียง มันจะลึกลับซับซ้อนทำไมมากมาย ผมสอดส่ายสายตามองหาคนที่ต้องการจะเจอและใช้ความคิดครู่หนึ่งก่อนจะตัดสินใจเดินไปทางห้องเล็กตรงปีกขวา แน่นอนว่าสันชาตญาณของผมถูกต้องครับนั่นคือในห้องนี้มีคนอยู่ ผู้ชายสวมชุดแบบญี่ปุ่น เขากำลังยืนอยู่ตรงระเบียง ใบหน้าที่ผมเห็นเพียงครึ่งเสี้ยวแหงนเงยมองท้องฟ้าอันมืดมิด เส้นผมยาวถูกรวบไว้ ปลายผมพริ้วไหวไปตามแรงลม แม้จะไม่เห็นใบหน้าและดวงตาแต่ผมก็สัมผัสได้ถึงความรู้สึกเหงา เศร้า และโดดเดี่ยว มันทำให้ผมหดหู่ใจอย่างประหลาดอย่างกับว่าต้นเหตุที่ทำให้อีกฝ่ายติดอยู่ในความโศกตรมคือตัวผมเอง
“ขอบคุณที่ตามหาผม”
ผู้ชายในชุดแบบญี่ปุ่นหายไป ตรงหน้าผมในตอนนี้มีเพียงชายหนุ่มในชุดนอนผ้าแพรเนื้อดี ใบหน้าคมคายหันมามองผม ดวงตาสีเข้มหรี่ลงเล็กน้อย ผมจึงได้รู้สึกตัวว่าที่ผมเห็นเมื่อครู่คงเป็นภาพซ้อนทับจากในอดีต
“ขอบคุณที่ตามหาผมจนเจอ”
พูดซ้ำประโยคเดิมเมื่อครู่ ผมไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมถึงได้พูดออกไปแบบนี้ รู้แต่เพียงว่าเหมือนมันมีบางอย่างค้างคาอยู่ในจิตใจ และถ้าหากว่าผมไม่แสดงออกหรือพูดมันออกมามันจะทำให้อะไรต่อมิอะไรย่ำแย่ลงกว่าเดิม
สองเท้าก้าวเข้าไปหาอีกฝ่ายโดยไม่รู้สึกกลัว ผมหยุดยืนนิ่งๆ เมื่อระยะห่างลดลงในระดับที่สามารถมองเห็นเงาสะท้อนของตัวเองในดวงตาคมเข้ม
“ผมไม่รู้ว่าในอดีต ทซึกิ.. เคยทำร้ายคุณยังไงบ้าง แต่เพียงแค่คำอธิษฐานของทซึกิในตอนนั้นแค่ประโยคเดียวก็ทำให้คุณมาตามหาผมในตอนนี้”
จ้องมองลึกไปในดวงตาสีเดียวกับท้องฟ้าในค่ำคืนที่ไร้แสงจันทร์และแสงดาว
“ผมในตอนนี้ไม่ใช่ทซึกิ.. และคุณในตอนนี้ก็คืออิเคดะยู..”
สองแขนของผมโอบกอดรอบเอวสอบไว้ แนบแก้มไปกับแผ่นอกกว้างอันแสนอบอุ่นเพื่อบดบังหยดน้ำตาที่รินไหลออกมาด้วยความรู้สึกเจ็บปวดที่ฝังลึกอยู่ในหัวใจอย่างไร้สาเหตุ
“เธอเห็นอะไร?”
เสียงทุ้มเอ่ยขึ้นเป็นคำถามที่ผมไม่อยากจะตอบ จึงทำได้แค่พูดประโยคเดิมซ้ำๆ
“ผมไม่ใช่ทซึกิ”
“ฉันรู้”
ฝ่ามือใหญ่ประคองใบหน้าที่เปื้อนน้ำตาของผมไว้ ดวงตาของเราสอดประสานกัน
“ทุกครั้งที่เธอมองมาที่ฉันแล้วร้องไห้ เธอเห็นอะไร?”
ถ้าจะโกหกคงโดนจับได้แน่ๆ
“ผมไม่รู้..”
คนที่ผมเห็นซ้อนทับกับพี่ยูนั้นคือใครและมีความสำคัญมากน้อยแค่ไหนสำหรับผมกันนะ
“เธอเห็นฉัน?”
ผมส่ายหน้า ถึงคนๆ นั้นจะหน้าเหมือนคนตรงหน้ายังกับฝาแฝด แต่ก็ไม่ใช่คนเดียวกันสักหน่อย
“พี่ยูก็อยู่ตรงหน้าจันทร์นี่ไง”
คิ้วเข้มขมวดเล็กน้อย ดวงตาคู่คมจ้องตาผมไม่กระพริบ ผมเองก็ไม่คิดจะหลบสายตาเช่นกัน
“จันทร์เป็นทซึกิให้พี่ยูไม่ได้หรอกนะ”
“ฉันไม่ได้ต้องการแบบนั้นอยู่แล้ว”
สองแขนแกร่งโอบกอดผมไว้แนบอก
“อย่างที่เธอบอกว่าอดีตก็คืออดีต แม้โชคชะตาหรือปาฏิหาริย์จะทำให้เราในอดีตกลับมาเจอกัน แต่ใช่ว่าเรื่องราวเหล่านั้นจะกลับไปซ้ำรอยเดิมเสียทุกอย่าง”
พยักหน้าเห็นด้วย ทำให้ใบหน้าที่นิ่งเรียบมาตลอดจุดรอยยิ้มบางเบา
“พี่ยูเคยเห็นตัวเองในอดีตมั๊ย?”
คนตอบส่ายหน้า
“ฉันเองไม่ได้มีความสามารถพิเศษในการรำลึกอดีต ฉันรู้แค่ว่าฉันต้องตามหาใครคนหนึ่งจากเสียงอธิษฐานที่ดังก้องอยู่ในความฝัน ซึ่งใครคนนั้นในอดีตเป็นคนที่ฉันรักและอาจจะเป็นคนเดียวกับที่นำพาความเจ็บปวดมาให้”
ภาพอันแสนโดดเดี่ยวของชายหนุ่มนักรบในชุดแบบญี่ปุ่นโบราณซ้อนทับคนตรงหน้าเพียงแค่เสี้ยววินาทีก็กลับกลายเป็นอิเคดะยูเหมือนเดิม แต่ทว่าหัวใจของผมกลับเจ็บปวดบาดลึกราวกับโดนใครเอามีดมากรีดลงกลางใจและชั่วพริบตาความรู้สึกนั้นมันก็หายไปด้วยจุมพิตแสนอบอุ่นที่ฝังลงตรงหน้าผาก
“อดีตเรากลับไปแก้ไขไม่ได้ แต่ปัจจุบันที่ฉันได้รับรู้มันตรงกับความรู้สึกและสัมผัสได้ถึงสิ่งที่ต้องการจากภายในหัวใจนั่นคือยังคง.. รัก.. ไม่เปลี่ยนแปลง”
ยังคงมั่นคงในรัก.. ทั้งๆ ที่โดนทำร้ายให้เจ็บปวดอย่างนั้นเหรอ?
“ชักจะอิจฉาคุณทซึกิแล้วล่ะสิ”
นี่ผมพูดจริงนะครับ คนบ้าอะไรทำให้ผู้ชายตามมารักข้ามภพข้ามชาติได้
“ทซึกิควรจะอิจฉาเธอต่างหาก”
“อิจฉาจันทร์เนี่ยนะ?”
ใบหน้าคมโน้มเข้ามาใกล้ จนสัมผัสได้ถึงลมหายใจของกันและกัน
“เพราะฉัน.. จะรักและปกป้องเธอให้มากกว่า.. ทซึกิ”
แม่จ้าวโว้ยยย ตอนนี้ขอช่างแมร่มอดีตมันไปก่อนเถอะครับ เพราะผมเพิ่งเข้าใจคำว่าเขินจนตัวจะแตกก็วันนี้แหละครับ เห็นผมยืนนิ่งตัวแข็งเป็นหินแบบนี้แต่จะมีใครรู้ว่าภายในอกด้านซ้ายมันเต้นโครมครามยิ่งกว่าจังหวะซุมบ้าซะอีก แล้วปากเนี่ยจะฉีกยิ้มอะไรนักหนาแบบนี้เขาก็รู้หมดสิว่าผมดีใจจนออกนอกหน้าแค่ไหน
“ถ้าตัดอดีตออกไป พี่ยูก็ตกหลุมรักจันทร์ตั้งแต่ครั้งแรกเลยใช่มั๊ย?”
นี่ไม่ได้เข้าข้างตัวเองนะครับ ยิ่งริมฝีปากบางระบายรอยยิ้มก็ทำเอาตัวของผมแทบจะลอย ให้ตายเถอะ! ความรักมันทำให้เลือดลมสูบฉีดดีขนาดนี้เลยเหรอ???
“แล้วพี่ยูตั้งใจจะมาสู่ขอจันทร์ตั้งแต่แรกเลยเหรอ?”
ยิ้มแล้วส่ายหน้า เอ๋? หมายความว่าไงครับเนี่ย?
“ที่ตั้งใจมาตลอดหลายสิบปีคือเจอเมื่อไหร่จะปล้ำทันทีต่างหาก”
“ห๊ะ!?”
พูดจริงหรือพูดเล่นเนี่ย?!!
“ถ้าวันนั้นไม่เป็นลมไปซะก่อนก็คงจะดี”
น้ำเสียงและสีหน้าแววตาไม่มีแววล้อเล่นเลยสักนิด ผมแทบอยากจะร้องออกไปว่า
‘ดีกับผีละสิ!!’ นับเป็นความโชคดีของผมที่เป็นลมล้มตึงลงไปซะก่อน เพราะถ้าให้พูดกันตามตรง ผมเองก็ยังไม่พร้อม นี่สะสมความแมนมาสิบแปดปี จู่ๆ จะให้เจอปุ๊ปก็จับเป็นผัวปั๊ปผมยังรับม่ายด้ายยย
“อีกอย่างฉันต้องทำให้มันถูกต้องตามประเพณี”
ณ จุดนี้ผมขอขอบคุณขนบธรรมเนียมประเพณีไทยที่ทำให้ผมยังคงยืดเวลาในการรักษาความเป็นชายไว้ได้อีกสักหน่อย และค่อยหายใจได้ทั่วท้องขึ้นมานิดนึงครับ
“คุณแม่กับคุณเดือนรู้เรื่องนี้รึเปล่า?”
“ฉันบอกคุณรวินท์นิภากับคุณศศิไปว่าต้องการจะมาประเทศไทยเพราะฉันรู้ว่าจะต้องได้เจอเธอ”
“แต่คุณแม่กับคุณเดือนบอกทุกคนว่าพี่ยูจะมาพูดคุยเรื่องการหมั้นหมายระหว่างพี่ยูกับคุณเดือน”
“คุณแม่และพี่สาวของเธอเป็นคนพูด.. ไม่ใช่ฉัน”
เพราะแบบนี้ไงล่ะครับมันถึงได้กลายเป็นเรื่องใหญ่เนี่ย
“ฉันได้พูดความจริงกับญาติผู้ใหญ่ของเธอไปทั้งหมดแล้ว”
“ทุกคนที่บ้านสวน?”
พยักหน้าตอบแบบไม่มีความลังเลเลยสักนิด แต่ผมนี่ใจแป้วไปแล้วครับ เพราะนั่นหมายความว่ามีผมแค่คนเดียวที่เพิ่งรู้เรื่องนี้
“ลางสังหรณ์ว่าคุณแม่กับคุณเดือนคงเดือดพล่าน”
ประโยคนี้ผมพูดกับตัวเองแบบว่าภาพคุณแม่กับคุณเดือนจ้องมองผมอย่างอาฆาตแค้นลอยอยู่เต็มในหัวเลยล่ะครับ แล้วดูคนก่อเรื่องสิครับยังมาหัวเราะ
‘หึหึ’ ใส่ผมอีก
“ถ้าจะแก้แค้นทซึกิที่เคยทำคุณเจ็บปวดก็อย่าดึงผมเข้าไปยุ่ง ..เพราะผมไม่ใช่
‘ทซึกิ’”
ขอเหวี่ยงนิดนึงครับ แอบเคืองที่มาหัวเราะใส่กัน แน่ะ! ดูสิครับนี่ผมกำลังเคืองอยู่นะยังจะมียิ้มอีก
“เธอคือคนของตระกูลอิเคดะ”
“จันทร์ยังไม่ได้ตกลงจะรับหมั้นพี่ยูสักหน่อย”
แค่เพิ่งเริ่มคบได้ไม่กี่วันจะมายัดเยียดให้เป็นคนตระกูลเดียวกันซะแล้ว คนอย่างไอ้จันทร์หลานครูเอี่ยมไม่ได้ใจง่ายนะครับ
“ขอโทษ.. ฉันพูดผิด”
ก็ดีครับ ทำผิดแล้วขอโทษแบบนี้ผมก็ยอมอภัยให้ได้
“ทซึกิต่างหากที่เป็นคนของตระกูลอิเคดะ”
คิ้วของผมขมวดฉับเลยครับ ทซึกิ.. อีกแล้ว
“จันทร์คือหลานชายของคุณครูเอี่ยม และเป็นว่าที่คู่หมั้นของฉัน.. อิเคดะยู”
โอเคครับ พูดแบบนี้ค่อยน่าฟังขึ้นมาหน่อย
“แล้วยังไงต่อครับ?”
“พรุ่งนี้หลังจากข่าวถูกปล่อยไปในช่วงเช้าตลาดหุ้นของบริษัทอาจจะตกลงนิดหน่อย แต่หลังจากนั้นช่วงเย็นเราจะปิดตลาดด้วยผลกำไรจากข่าวการร่วมทุนกับบริษัทในเครืออัศววิรุณฉาย”
เอ่อ.. เดี๋ยวนะครับคุณนักธุรกิจ พอดีผมอยู่กับท้องไร่ท้องสวนมาตั้งแต่เด็ก ผมจึงไม่เข้าใจในเรื่องที่คุณพูดครับ
“ไว้พรุ่งนี้เธอจะรู้เอง”
นั่นคือผมต้องกลับไปนอนแล้วตื่นขึ้นมาจะรู้คำตอบเองแบบนั้นนะเหรอ?
“ส่วนคืนนี้จะให้สอนการเป็นภรรยาที่ดีก่อนมั๊ย?”
ฝ่ามือใหญ่นวดคลึงอยู่ตรงบั้นเอว ทำไมผมถึงสัมผัสได้ถึงความรู้สึกเหมือนใกล้จะเสียตัวแบบนี้ล่ะครับ
“ผ ผิดแล้ว ผมเป็นผัวคุณต่างหาก”
อย่ามามั่วนะเฟ้ยยย ลูกผู้ชายอย่างผมต้องเป็นฝ่ายรุกเท่านั้น! แล้วหยุดเลยนะไอ้หัวเราะ ‘หึหึ’ เนี่ย! ถ้าไม่ติดจะโดนมองว่าใจง่าย ผมคว้าคอมาจูบปากไปนานแล้ว
“โอเค.. เธออยู่บน”
ต้องแบบนั้นสิถึงจะถูก ผมนี่แหละคือผู้นำ!
“จะกลับไปนะ...”
ยังไม่ทันจะได้พูดจบว่าจะกลับไปนอน ริมฝีปากของผมก็โดนประกบด้วยริมฝีปากบาง มันรวดเร็วหนักหน่วง ลิ้นอันคล่องแคล่วเข้ายึดครองภายในโพรงปากของผมโดยสมบูรณ์แบบ ฝ่ามือใหญ่ข้างหนึ่งจับปลายคางของผมไว้ และอีกข้างก็นวดคลึงอยู่บนสะโพก มันทำให้ร่างกายผมระทวยเคลิ้มไหวจนแทบหายใจไม่ออก
“อืมม”
ทุบแผ่นอกกว้างเพื่อขออากาศหายใจ และในขณะที่ผมกำลังหอบเอาอากาศเข้าปอด เสียงทุ้มแหบพร่าก็กระซิบแผ่วชิดริมหูของผม
“เพราะพรุ่งนี้เธอมีเรียน..”
หยุดประโยคไว้แค่นั้นแล้วก็ไม่พูดอะไรต่อ สองแขนแกร่งโอบรัดจนตัวผมจมลงไปในอ้อมกอด และผมก็สัมผัสได้ถึงความผิดปกติที่ร้อนผ่าวอยู่ตรงหน้าท้องของผม
“ฉันจะให้มาซารุไปส่งเธอถึงหน้าห้อง”
จู่ๆ ก็ปล่อยผมออกจากอ้อมกอดแล้วหันหลังเดินหายออกไปจากห้อง ผมยืนงงอยู่ตรงนั้นครู่ใหญ่กว่าจะรู้สึกตัวก็ตอนที่เห็นคุณมาซารุมายืนอยู่ไม่ไกลนัก
“คุณอิเคดะเขาไม่ออกมาส่งผมเหรอ?”
ผมถามคุณมาซารุด้วยความสับสน เขาเป็นอะไรของเขานะ??
ไม่มีคำตอบใดๆ ก็แน่นอนล่ะครับคุณมาซารุฟังภาษาไทยเข้าใจซะที่ไหน ผมจึงทำได้แค่เดินกลับไปห้องตัวเองโดยมีคุณมาซารุมาส่งถึงหน้าประตูจริงๆ
กลับเข้าห้องมาไอ้โซ่หลับไปแล้วครับ ผมเองก็ล้มตัวลงนอนบนเตียงแอบลูบริมฝีปากของตัวเองนิดหน่อย คนบ้าอะไรจูบเก่งชะมัด และจังหวะที่กำลังเขินอายม้วนต้วนอยู่นั้นผมก็เพิ่งสังเกตเห็นว่าหน้าจอโทรศัพท์มือถือมีข้อความแสดงสายที่ไม่ได้รับ 1 สาย และชื่อที่โชว์อยู่นั้นก็คือ
‘คุณเดือน’ น่าแปลกนะครับที่ผมไม่ได้รู้สึกกลัว แปลกใจ หรือกังวลอะไรทั้งนั้น ผมทำเพียงแค่ยกยิ้มตรงมุมปากกับชื่อบนหน้าจอโทรศัพท์ กดปุ่มปิดเครื่อง แล้วก็นอนหลับยาวจนถึงเช้าเลยครับ
.
.
.
.
.
TBC...

อ่านความคิดเห็น เจอว่าน้องจันทร์ทำไร่อ้อย ฮ่าาาาาาาาาาาาาาาาาาา

รินเองก็ไม่แน่ใจเดี๋ยวขอโทรถามครูเอี่ยมแป๊ปนะคะว่าน้องจันทร์มีไร่อ้อยส่วนตัวรึเปล่า