Miracle of WISH ผมเรียกมันว่าปาฏิหาริย์แห่งคำอธิษฐาน
-10-
พาดหัวข่าวใหญ่ทุกหน้าหนังสือพิมพ์ในฉบับเช้าวันนี้
‘หนุ่มไทยสเน่ห์แรงคว้าหัวใจมหาเศรษฐีพ่อม่ายแดนปลาดิบ’ เอากับพี่เขาสิครับ จู่โจมแรงเปิดประเด็นในที่แจ้งแบบนี้แล้วผมจะทำอะไรได้นอกจากจะต้องแหกขี้ตาตื่นขึ้นมารับโทรศัพท์จากแม่มลและคุณยายที่โทรมาหาผมตั้งแต่ไก่ยังไม่ทันจะโห่ แม้ท่านจะไม่ได้เอ่ยถามตรงๆ เพราะคงยังทำใจยอมรับเรื่องที่ผมจะหาลูกสะใภ้ตัวสูงแต่เหนือกว่าการยอมรับในเรื่องเพศก็คือความรักที่มีให้ผมนี่แหละครับ
เนื้อหาในข่าวใช้ชื่อผมเป็นนามสมมติว่านายเอและบอกแค่ว่าเป็นคนจังหวัดอะไรเท่านั้น รายละเอียดอย่างอื่นไม่มีกล่าวถึงแม้แต่น้อย ถ้าคนที่ไม่รู้จักผมจริงๆ ก็ไม่มีทางจะเดาถูกหรอกครับ ตรงกันข้ามกับมหาเศรษฐีพ่อม่ายแดนปลาดิบที่เอ่ยตั้งแต่ชื่อสกุล ชาติตระกูล การศึกษา ตลอดจนมีการอ้างถึงน้องสาวคนสวยอย่างคุณหนูไอและสามีของเธอด้วย แค่นี้ก็รู้แล้วใช่มั๊ยครับว่าคนให้ข่าวเลือกที่จะปกป้องใคร? แต่ถ้ามองข้ามเกี่ยวกับเรื่องธุรกิจไป ผมก็ควรจะทำใจเตรียมรับมือกับคุณแม่และคุณเดือนแบบเต็มๆ ไว้ได้เลยป่านนี้คงจะเดือดดิ้นพล่านเตรียมเอาน้ำกรดมาราดรดหัวผมแล้วล่ะครับ
มีเรื่องให้ปวดหัวแต่เช้า อีกทั้งคนก่อเรื่องก็ยังทำเป็นทองไม่รู้ร้อนมานั่งทานมื้อเช้าอย่างอารมณ์ดีกับผมและไอ้โซ่ จากนั้นก็สั่งให้ลูกน้อง 2 คนให้คอยมาดูแลผม เสร็จแล้วก็ไปทำงาน ให้มันได้แบบนี้สิครับวันนี้ผมเลยต้องอ้อนไอ้โซ่ให้มามหาลัยเป็นเพื่อนและอยู่รอจนถึงบ่ายเพื่อกลับห้องพักพร้อมกัน ที่ทำแบบนี้ไม่ใช่เพราะกลัวเรื่องข่าวหรืออะไรหรอกนะครับ เพียงแต่มันรู้สึกกดดันแปลกๆ ที่มีคนคอยแม้พี่ตัวยักษ์หน้าโหดยังกับยากุซ่าจะเฝ้าดูแลตลอดเวลา ยังไงซะผมขอพกเพื่อนสนิทมาอยู่ใกล้ๆ ด้วยกันจะอุ่นใจมากกว่า
แต่จะว่าไปข่าวก็ไม่ได้มีผลกระทบใดๆ กับผม ทุกคนในคณะก็ไม่มีใครสนใจผมสักคน ยิ่งตอนนี้ทุกคนมุ่งมั่นเรื่องคัดเลือกดาวเดือนคณะ แม้ว่าผมจะหน้าตาดีสักแค่ไหนแต่ความสูงไม่ผ่านก็ไม่อยู่ในสายตากรรมการอยู่ดีเพราะฉะนั้นรอดตัวไป จะมีก็แค่เรื่องกิจกรรมออกค่ายสานสัมพันธ์นี่แหละที่ผมเริ่มจะเบื่อเอามากๆ ไม่ใช่ว่าผมไม่ชอบทำกิจกรรมหรือไม่อยากรู้จักเพื่อนใหม่หรอกนะครับ แต่ผมคิดว่ามันเยอะเกินไป หลังเลิกเรียนสัปดาห์ละ 3 วัน แล้วไหนจะวันหยุดเสาร์อาทิตย์แทนที่ผมจะได้กลับไปช่วยงานที่บ้านสวนก็ต้องมาจมอยู่กับกิจกรรมโน่นนี่นั่นที่รุ่นพี่สรรหามาให้ทำกันไม่หยุดหย่อน แล้วนี่มาอีกแล้วครับออกค่าย เพิ่งเรียนได้ไม่เท่าไหร่จะนัดแนะกันออกค่ายอีกแระ แม่เจ้าโว้ยยยย นี่พ่อแม่และตายายส่งผมมาเรียนนะครับไม่ได้ให้มาทำกิจกรรมสานสัมพันธ์กันมากมายขนาดนี้ ป่านนี้น้องเห็ดที่ผมเพาะเชื้อไว้จะเป็นยังไงบ้างก็ไม่รู้ คิดถึงจังเลยยยย T^T
“คุณจันทร์เป็นอะไร? ไม่สบายรึเปล่าครับ?”
หย่อนก้นลงนั่งฝั่งตรงข้ามไอ้โซ่แล้วฟุบหน้าลงบนโต๊ะอย่างหมดแรง ทำเอาไอ้โซ่ที่นั่งอ่านหนังสือฆ่าเวลารอผมอยู่ในห้องสมุดตกอกตกใจรีบเอามือแตะแก้มอังหน้าผากผมพัลวัน
“เหนื่อย”
“เรียนไม่สนุกเหรอครับ?”
ผมส่ายหน้า
“เรียนอะสนุกจะตาย แต่กิจกรรมเยอะชิบหาย”
“อ่อ..”
ถึงบางอ้อ ไอ้โซ่ก็หัวเราะ จนผมต้องเหวี่ยงสายตาใส่ นี่ผมกำลังจริงจังนะเนี่ยไม่เห็นจะน่าขำสักหน่อย
“คิดถึงบ้านใช่มั๊ยล่ะครับ?”
“อืม”
ไม่ได้คิดถึงธรรมดา แต่คิดถึงมากที่สุด
“ไม่งอแงสิครับ”
รอยยิ้มของไอ้โซ่เติมกำลังใจให้ผมได้เสมอ แต่ผมลืมอะไรไปรึเปล่าว่าไอ้โซ่เองก็คงจะคิดถึงบ้านไม่น้อยไปกว่าผมหรอก เมื่อคิดได้ก็รีบส่งยิ้มกลับไปแล้วกลับมาร่าเริงสดใสเหมือนเดิม
“วันนี้คุณจันทร์ไม่ต้องทำกิจกรรมตอนเย็นไม่ใช่เหรอครับ งั้นเราไปเดินตลาดนัดจตุจักรกันมั๊ย?”
นั่นสินะ นี่ก็เพิ่งจะบ่ายสองโมงเองนี่นา ตั้งแต่เป็นเด็ก กทม. ผมกับไอ้โซ่ก็ยังไม่เคยได้ไปเที่ยวที่ไหนกันเลยครับ ยังไงซะจตุจักรก็เป็นทางผ่านกลับที่พัก แวะเดินเที่ยวสักหน่อยจะเป็นไรไป
“เป็นความคิดที่ดี เราไปกันเถอะ”
เรื่องแบบนี้ไม่ควรตัดสินใจนานครับ ลุกขึ้นคว้าคอไอ้โซ่แล้ววิ่งฉิวเลย
.
.
.
.
ตลาดนัดจตุจักร เป็นตลาดนัดในกรุงเทพมหานครที่แม้แต่ผมที่อยู่บ้านนอกมาตั้งแต่เกิดก็ยังรู้จักชื่อเสียง แต่อย่างว่าแหละครับ สิ่งที่คิดกับความเป็นจริงมักจะต่างกันเสมอ นั่นคือของแพงสุดขีดและอากาศก็ร้อนสุดใจ ดังนั้นแค่ผมได้ดอกบานชื่นสีแดงและสีม่วงอมแดงมา 1 กระถาง เราก็ลงความเห็นว่ากลับที่พักกันเถอะ
ได้แอร์เย็นๆ ของรถไฟฟ้าทำให้หายใจโล่งขึ้นมาหน่อย ช่วงบ่ายๆ แบบนี้คนไม่เยอะเหมือนช่วงเช้ากับเย็น ผมกับไอ้โซ่จึงได้นั่งยาวไปจนถึงปลายทาง และระหว่างเดินทางกลับที่พักนั้นโทรศัพท์มือถือของผมก็สั่นสะเทือนอยู่ในกระเป๋ากางเกง
ครืดๆหยิบขึ้นมาดู แค่เห็นชื่อคิ้วของผมก็ขมวดเข้าหากันแล้วล่ะครับ แต่ผมก็ตัดสินใจที่จะไม่กดรับเลือกเก็บโทรศัพท์กลับเข้ากระเป๋ากางเกงเหมือนเดิม
“ทำไมไม่รับล่ะครับ?”
“ให้ถึงห้องก่อน เดี๋ยวท่านก็คงโทรมาใหม่”
เพราะชื่อ
‘คุณแม่’ ที่โชว์อยู่หน้าจอของผม ทำให้ไอ้โซ่พยักหน้ารับเห็นด้วยโดยไม่ลังเล และเมื่อถึงห้องพักไม่นานนักโทรศัพท์มือถือของผมก็ดังขึ้นอีกครั้ง ผมจึงกดรับสายแล้วนั่งคุยข้างๆ ไอ้โซ่
“สวัสดีครับ”
‘ทำอะไรอยู่?’“เพิ่งกลับมาจากมหาวิทยาลัยครับ”
‘อยู่กับใคร?’“โซ่ครับ”
ปลายสายเงียบไปครู่หนึ่ง ผมเองก็เงียบรอฟังเช่นเดียวกัน
‘เรียนเป็นยังไงบ้าง?’“ดีครับ ผมชอบ”
ผมได้ยินเสียง
‘อืม’ เบาๆ ตอบกลับมา
‘ตั้งใจเรียนให้จบจะได้กลับไปช่วยที่บ้านสวน’“ครับ”
เรื่องนี้มันเป็นความตั้งใจของผมอยู่แล้ว ครอบครัวที่บ้านสวนคือความสุขของผมแล้วจะให้ผมทิ้งไปได้ยังไง และหลังจากที่ผมตอบกลับไป ท่านก็เงียบไปนานกว่าครั้งแรก นานเกือบครบนาทีจึงมีเสียงถอนหายใจเบาๆ ดังมาจากปลายสาย
‘รู้ใช่มั๊ยว่าฉันโทรมาทำไม?’“ไม่ทราบครับ”
ตอบตามตรงผมไม่รู้ในเจตนาของท่านหรอกครับ สิ่งที่ผมรู้มีเพียงเรื่องเดียวคือน้อยครั้งมากที่คุณแม่จะโทรศัพท์มาหาผมโดยตรงแบบนี้ ครั้งล่าสุดที่จำได้คือตอนผมอายุ 12 ปี ผมไม่สบายเป็นไข้เลือดออกต้องนอนโรงพยาบาลเป็นอาทิตย์ แต่เมื่ออาการดีขึ้นท่านก็โทรมาถามอาการของผมด้วยตัวเอง จากวันนั้นถึงวันนี้ก็ 6 ปีแล้วครับ นั่นหมายความว่าถ้าท่านไม่ร้อนใจจริงๆ ท่านจะไม่กดเบอร์โทรของผมเด็ดขาด
‘ถ้าอย่างนั้นฉันจะพูดตรงๆ.. ฉันขอให้เธอหยุดเรื่องที่คิดจะทำและเป็นอยู่ในตอนนี้ซะ’“หยุดเรื่องอะไรเหรอครับ? เรื่องเรียน?”
‘ฉันรู้ว่าเธอเป็นเด็กฉลาด’ถือเป็นคำชมรึเปล่าครับเนี่ย??? แต่ถึงยังไงผมก็ขอพยักหน้าให้กับตัวเองโดยที่คุณแม่ไม่รู้เพื่อยอมรับว่าผมฉลาดจริงๆ นั่นแหละครับ
‘เลิกทำตัววิปริตวิปลาสสักที’อ้าว นี่ผมกลายเป็นไอ้โรคจิตตั้งแต่เมื่อไหร่ ผมหันมองไอ้โซ่ที่กำลังทำหน้าเคร่งเครียดผมรู้ครับว่ามันได้ยินเสียงจากโทรศัพท์และก็ดูจะไม่พอใจกับประโยคของคุณแม่ที่เพิ่งพูดจบไปเอามากๆ ด้วย ผมจึงชู 2 นิ้วพร้อมยักคิ้วให้ไอ้โซ่รู้ว่าไม่ได้สะเทือนจิตใจผมสักนิดเดียว
“คุณแม่รู้ได้ยังไงล่ะครับ?”
‘อย่าให้วงศ์ตระกูลต้องเสียชื่อเสียงไปมากกว่านี้’“ผมใช้นามสกุล
‘พินญุโธ’ ครับ”
สงสัยคุณแม่จะลืมไปว่าผมไม่ได้ใช้นามสกุล
‘จินตเลิศวิวัฒน์’ เหมือนท่าน
‘นี่ย้อนฉันรึไง?!’“ขอโทษครับ ผมแค่พูดตามความจริง”
‘ความจริงที่ว่าแกวิปริตทางเพศอย่างนั้นเหรอ!’อื้อหือออออออ แรงนะครับประโยคนี้
“ถ้าคุณแม่คิดแบบนั้นผมก็โอเคนะครับ”
‘ไอ้ลูกไม่รักดี!’น่าแปลกนะครับที่เสียงตวาดแหวที่สวนกลับมาทำให้ผมยิ้มได้ แม้นานทีปีหนจะได้เจอหน้าคร่าตาแม่บังเกิดเกล้าแต่ผมกลับนึกภาพตอนท่านโกรธผมจนตัวสั่นออก และคงมีแค่ผมนี่แหละครับที่ทำให้ท่านระเบิดอารมณ์ประสาทเสียได้ขนาดนี้
“ถึงผมจะไม่รักดี แต่ผมก็รักคุณแม่นะครับ”
หยอดซะหวานแบบนี้แต่นี่คือคำพูดจากใจของผมเลยนะครับ พูดครั้งแรกด้วยเลยแอบมีเขินนิดหน่อย แหะๆ เพราะคุณแม่เป็นผู้ให้กำเนิดผมมา ต่อให้ไม่ได้เลี้ยงดูเชิดชูผมต่อสังคมว่าเป็นลูกแต่ก็นับว่าท่านเมตตามากมายที่ทิ้งผมไว้กับครอบครัวที่สมบูรณ์พร้อมทุกอย่าง และต่อให้ใครต่อใครในตระกูลจินตเลิศวิวัฒน์จะรังเกียจไม่นับญาติกับผม แต่ท่านก็ยังให้ผมเรียกท่านว่า
‘แม่’ ไม่รู้ว่าคุณแม่กำลังซาบซึ้งหรือกำลังโกรธผมจนลมจับไปแล้วกันแน่ถึงได้เงียบนานขนาดนี้ ผมเช็คด้วยการมองหน้าจอโทรศัพท์ที่ยังเป็นสีเขียวนั่นแสดงว่าท่านยังไม่วางสาย ผมเองก็ไม่ได้เร่งอะไรจึงฆ่าเวลารอด้วยการลุกขึ้นเดินออกไปนอกระเบียง นั่งยองๆ มองกระถางต้นบานชื่นที่เพิ่งซื้อมา
‘กลับตัวกลับใจตอนนี้ยังไม่สาย ฉันรู้จักคุณหมอเก่งๆ จะช่วยเธอเอง’“ผมไม่ได้ป่วยนะครับ”
คุณแม่เข้าใจอะไรผิดรึเปล่า?
‘แต่สิ่งที่เธอเป็นอยู่ตอนนี้มันไม่ปกติ’“ความรัก.. มันเป็นเรื่องผิดปกติเหรอครับ?”
ผมสงสัยจริงๆ นะครับถึงได้ถาม การที่จู่ๆ ผู้ชายแมนๆ อย่างผมเปลี่ยนใจมาชอบผู้ชายและเจาะจงว่าต้องเป็นคนนี้คนเดียวนั้นมันก็เป็นเรื่องที่แปลกใจอยู่พอสมควร ซึ่งทุกวันนี้บางครั้งผมก็ยังสับสนในตัวเองอยู่บ้างแต่ถึงอย่างนั้นผมก็ไม่เคยคิดว่ามันเป็นเรื่องที่ผิดปกติ คุณตากับพ่อต้อมก็ไม่เคยว่าอะไรเพราะท่านให้ผมเป็นคนตัดสินใจเอง ส่วนคุณยายกับแม่มลแม้จะยังทำใจยอมรับไม่ได้แต่ท่านก็ยึดความสุขของผมเป็นสำคัญ
‘ความรักบ้าบออะไรถึงได้ผิดเพศแบบนี้!’“ความรักเค้าจำกัดเพศด้วยเหรอครับ?”
‘อย่ามาแกล้งโง่!’ขอถอนหายใจสักเฮือกจะได้มั๊ยครับ คุณแม่โกรธมากจริงๆ และต่อให้ผมพูดอะไรไปก็คงจะไม่เข้าหูท่านไปซะหมด ผมจึงเลือกที่จะเงียบ และจังหวะที่ผมลุกขึ้นยืนเพื่อจะเงยดูท้องฟ้าที่ถูกฉาบด้วยแสงสีส้มของยามเย็น ผมก็ต้องสะดุ้งจนตัวโยนกับร่างสูงใหญ่ที่ยืนทำหน้ายักษ์นิ่งค้ำหัวของผมอยู่.. มาเมื่อไหร่วะเนี่ย??? ไม่ให้สุ้มให้เสียงกันบ้างเลย... กำลังอ้าปากจะต่อว่าคนตรงหน้าแต่ความคิดหนึ่งก็แว่บเข้ามา
“ผมคิดว่าคุณแม่คุยเรื่องนี้กับผมคงไม่มีประโยชน์อะไร คุณแม่ควรจะไปคุยกับคนต้นเหตุดีกว่านะครับ เพราะผมไม่ได้เป็นคนเริ่มเรื่องทั้งหมด”
พูดจบก็ส่งโทรศัพท์ยัดใส่มือใหญ่ซะเลย ฝ่ายนั้นก็รับไปแนบหูโดยไม่มีลังเล ซึ่งแน่นอนครับว่าพี่ยูคุยเป็นภาษาอังกฤษ แค่ประโยคแรกก็รัวซะเร็วจนผมฟังแทบไม่ทัน เอาเป็นว่าให้พวกเขาคุยกันเองดีกว่าผมขอตัวก่อนละกัน แต่ยังไม่ทันจะได้ก้าวขาผมก็โดนจับข้อมือไว้ แล้วยังเปลี่ยนโหมดการโทรเป็นเปิดลำโพงให้ผมได้ยินเสียงคุณแม่แบบชัดๆ อีกด้วย
“ขอโทษนะครับคุณยุ้ย เราพูดภาษาไทยกันเถอะครับ”
‘เอ๋?????’“ต้องขอโทษที่ผมไม่เคยบอกว่าผมพูดภาษาไทยได้ครับ”
‘นี่มันอะไรกัน?’“ไม่มีอะไรหรอกครับ ผมแค่จะบอกคุณยุ้ยว่าลูกชายของคุณยุ้ยไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ ถ้าจะกล่าวโทษหรือเอาผิดก็คงจะเป็นผมเพียงคนเดียว”
น้ำเสียงนิ่งเรียบพูดออกมาอย่างชัดถ้อยชัดคำแต่ทว่าสุภาพจนคนฟังเป็นฝ่ายเงียบไป
“ผมได้เรียนคุณยุ้ยมาตั้งแต่ต้นว่าผมกับคุณศศิเป็นได้แค่เพื่อนร่วมงานกันเท่านั้น เราไม่มีทางเป็นอะไรที่เกินเลยมากกว่านั้นได้”
นิ้วเรียวยาวทั้งห้าประสานนิ้วของผมไว้
“และต้องขอโทษอีกครั้งหากการที่ผมขอไปเยี่ยมญาติผู้ใหญ่ที่บ้านสวนจะเป็นการทำให้คุณยุ้ยและคุณศศิเข้าใจผิด แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ยืนยันกับคุณศศิหลายครั้งว่าผมไม่ได้คิดเรื่องหมั้นหมายกับเธอ ซึ่งเธอเองก็ยอมรับพร้อมเข้าใจเป็นอย่างดี และผมก็คิดว่าคุณศศิได้เรียนเรื่องนี้ให้คุณยุ้ยทราบแล้ว”
ไม่เข้าใจตัวเองว่าทำไมผมต้องพยักหน้าเออออตามคำอธิบายของพี่ยูด้วยเนี่ย
‘เรื่องนั้น...’ดูเหมือนว่าคุณแม่กำลังใช้ความคิดเพื่อเรียบเรียงคำพูดของตัวเองอยู่พี่ยูเองก็รอฟังอย่างมีมารยาท แต่ที่แน่ๆ คงจะเป็นคำพูดที่สุภาพกว่าคุยกับผมเป็นแน่ ซึ่งนั่นอาจจะเป็นเพราะมีการนับถือกันในทางธุรกิจหรือทางสังคม
‘ถ้าอย่างนั้นดิฉันขอถามคุณอิเคดะตรงๆ จะได้มั๊ยคะ?’“ครับ”
‘คุณเป็นเกย์?’ตรงประเด็นเลยล่ะครับ ผมเองก็อยากจะรู้คำตอบเหมือนกัน
“ผมชอบผู้หญิงครับ ภรรยาเก่าของผมเธอเป็นคนดีมาก แต่เพราะเราไม่ได้เกิดมาคู่กัน เธอจึงด่วนจากผมไปซะก่อน”
เอ่อออ ทำไมผมถึงรู้สึกเจ็บแบบนี้ล่ะครับ อยากจะสะบัดมือทิ้งแต่ก็โดนบีบซะจนนิ้วชา ผมจึงทำได้แค่ยืนฟังอย่างอดทนอยู่เงียบๆ
‘ถ้าอย่างนั้น ตอนนี้มันคือเกมส์ทางธุรกิจรึไงคะ?’“ไม่ใช่ครับ”
เว้นจังหวะด้วยการดึงผมเข้ามากอด
“ภรรยาเก่าของผมคือผู้หญิงคนเดียวที่ผมไว้ใจ.. แต่ศศิน.. คือผู้ชายคนเดียวที่ผมรัก.. แค่คนนี้คนเดียวที่ผมจะปกป้องด้วยความรัก.. ศศินคือโชคชะตาและปาฏิหาริย์ของผม”
พี่ยูกำลังคุยกับคุณแม่ แต่ทำไมผมกลับรู้สึกเหมือนกำลังโดนสารภาพรัก โปรดลืมความเจ็บใจเรื่องคนรักเก่าของพี่ยูไปเถอะครับ ตอนนี้ร่างกายของผมร้อนผ่าวๆ เหมือนคนเป็นไข้ และอยากจะบิดม้วนตัวให้เป็นเกลียวด้วยความเขินอายแบบสุดๆ เลยล่ะครับ
‘หึ’ ถ้าหูของผมไม่ได้ฝาด ผมคิดว่าคุณแม่กำลังหัวเราะด้วยเสียงที่คล้ายเย้ยหยัน หลังจากนั้นท่านก็เงียบไปนานหลายนาทีแต่ก็ไม่ได้วางสาย และก็เป็นคุณแม่เองที่เอ่ยทำลายความเงียบและความอึดอัดทั้งหมด
‘รบกวนคุณอิเคดะดูแลศศินด้วย’ผมมั่นใจว่าผมได้ยินชัดเจนเต็ม 2 หู น้ำเสียงที่เปลี่ยนไปมาพร้อมกับความรู้สึกที่ผมไม่เคยได้สัมผัสมาก่อน คำถามแรกที่ผุดขึ้นในใจก็คือ
‘คุณแม่เป็นห่วงผมอย่างนั้นเหรอ?’ ผมไม่ได้คิดไปเองใช่มั๊ย?
“เรื่องนั้นไม่ต้องเป็นห่วงครับ”
คำรับปากของพี่ยูคงจะหนักแน่นพอจึงทำให้คุณแม่เป็นฝ่ายวางสายไปก่อนโดยไม่เอ่ยคำลาใดๆ ทิ้งท้าย และน่าแปลกนะครับที่ในอกด้านซ้ายของผมมันรู้สึกวูบโหวงจนน่าใจหายราวกับว่าผมจะไม่ได้ยินเสียงของคุณแม่แบบนี้อีกต่อไป
มือที่กอบกุมผมไว้คลายออก ผมก้มลงมองปลายนิ้วที่ชาดิกของตัวเองและสายตาก็สะดุดเข้ากับดอกไม้สีสดใสที่อยู่ในกระถาง
“พี่ยูรู้จักต้นไม้นี่มั๊ย?”
ผมย่อตัวลงยกกระถางดอกไม้ขึ้นมาวางไว้บนระเบียง
“นี่เค้าเรียกว่าต้นบานชื่น นี่ก็ดอกบานชื่น”
ชี้ที่ต้นและชี้ที่ดอก
“บานชื่น?”
ออกเสียงถูกต้องแล้วครับ ผมพยักหน้ารับ
“เธอชอบต้นบานชื่น?”
“จันทร์ชอบต้นไม้ทุกต้นบนโลกนี้”
ทุกต้นจริงๆ นะครับ นับรวมถึงหญ้าที่ใครๆ ก็กล่าวหาว่าเป็นวัชพืชด้วย
“ที่จันทร์ซื้อต้นบานชื่นเพราะเห็นมันแล้วก็ทำให้คิดถึงพระราชดำรัสของสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี หรือสมเด็จย่าของปวงชนชาวไทย”
พูดจบก็หยุดมองหน้าคนฟังนิดนึงเพราะกลัวคนฟังจะไม่เข้าใจ แต่ผิดคาดครับ
“ฉันเคยอ่านพระราชประวัติของพระองค์”
แบบนี้ผมก็พูดต่อได้สบายเลยสินะ
“พระองค์ทรงมีพระราชดำรัสตอนหนึ่งว่า... ต้นไม้นี่มันคล้ายๆ คน ต้นบานชื่นนี้ฉันไม่ได้ปลูกด้วยเมล็ด แต่ไปซื้อต้นเล็กๆ ที่เขาเพาะแล้วมาปลูก แต่มันก็งามและแข็งแรงดี เพราะอะไรเหรอ? นั่นเพราะคนที่เขาขายนั้นเขารู้จักเลือกเมล็ดที่ดี และดินที่เขาใช้เพาะก็ดีด้วย นอกจากนั้นเขายังรู้วิธีว่าจะเพาะอย่างไร ซึ่งฉันไม่สามารถทำได้เช่นเขา เมื่อฉันเอามาปลูกฉันต้องดูแลใส่ปุ๋ยเสมอ เพราะดินที่นี่ไม่ดีต้องคอยรดน้ำพรวนดินบ่อยๆ ต้องเอาหญ้าและต้นไม้ที่ไม่ดีออก เด็ดดอกใบที่เสียๆ ทิ้ง คนเราก็เหมือนกัน ...”
ผมท่องจำพระราชดำรัสของพระองค์ได้ขึ้นใจเลยล่ะครับ แต่จริงๆ พระราชดำรัสของสมเด็จย่ายังมีต่อ แต่ผมหยุดไว้แค่นี้แล้วหันมาถามคนที่นั่งฟังอย่างตั้งใจ
“พี่ยูเข้าใจมั๊ย?”
“เธอกำลังคิดถึงคุณรวินท์นิภาและคุณมลธิรา”
อะไรจะรู้ใจผมได้แม่นยำขนาดนี้ครับ ผมกำลังคิดถึงคุณแม่ผู้ให้กำเนิดและคุณแม่ที่เลี้ยงดูผมมาอยู่จริงๆ
“จันทร์ก็เหมือนกับต้นบานชื่น คุณแม่คลอดและเลี้ยงดูผมมาอย่างดีแม้จะเป็นเพียงเวลาสั้นๆ ก็ตาม และท่านก็คงจะรู้ว่าแม่มลสามารถที่จะดูแลต้นบานชื่นต่อจากท่านได้เป็นอย่างดีที่สุด”
พระราชดำรัสของสมเด็จย่าในตอนท้ายที่ผมไม่ได้อ่านก็คือ ..ถ้ามีพันธุ์ดีเมื่อเป็นเด็กก็แข็งแรงฉลาด เมื่อพ่อแม่คอยสั่งสอน เด็ดเอาของที่เสียออก และหาปุ๋ยที่ดีใส่อยู่เสมอ เด็กคนนั้นก็จะเป็นคนที่เจริญและดีเหมือนกับต้นและดอกบานชื่นเหล่านั้น
“เธอเป็นเด็กดี”
“จันทร์ไม่ใช่เด็กดี แต่จันทร์ได้รับการสั่งสอนมาดีต่างหาก”
“เธอต้องการจะบอกอะไรกับฉันรึเปล่า?”
รู้ทันอีกแล้ว..
“คุณเดือนไม่เหมือนคุณแม่หรอกนะครับ”
ประโยคสุดท้ายก่อนที่คุณแม่จะวางสายจากพี่ยูดังก้องอยู่ในหัวของผม
“คุณแม่ต่อให้ท่านไม่ได้เลี้ยงดูผม แต่ท่านก็คลอดผมมาดังนั้นความเป็นแม่จึงไม่มีวันตัดกันขาด ผมสัมผัสได้ในเสี้ยวเล็กๆ ของความห่วงใยที่ท่านมีให้ผม”
แม้จะน้อยนิดแต่มันก็คือความรู้สึกดีๆ ที่ทำให้ผมรู้ว่าควรภูมิใจที่ได้เกิดมาบนโลกใบนี้
นิ้วเรียวยาวเกลี่ยแก้มของผมเบาๆ เราทั้งคู่มองตาและเงียบกันไปครู่หนึ่งก่อนที่เจ้าของเสียงทุ้มจะเป็นคนเอ่ยขึ้นมาก่อน
“มิกิ..”
ชื่อที่พี่ยูเอ่ยออกมาทำให้ผมรู้สึกหนาวตรงสันหลัง
“คุณเดือนไม่เคยคิดว่าจันทร์เป็นน้องชาย”
“ฉันรู้..”
“ยังไงเหรอครับ?”
“ถ้าฉันบอกว่าพี่สาวเธอเป็นผู้หญิงอันตรายเธอจะเชื่อมั๊ย?”
ผมจ้องเข้าไปในดวงตาสีเข้ม
“ถ้าฉันบอกว่าพ่อกับแม่ของเธอทำธุรกิจสุจริตไว้เพื่อบังหน้าเธอจะเชื่อรึเปล่า?”
คำตอบของผมคือการพยักหน้า
“จันทร์รู้..”
คิ้วเข้มเลิกขึ้นเล็กน้อย นั่นแน่ คิดไม่ถึงล่ะสิว่าผมจะเก่งและฉลาดทันคนขนาดนี้
“จันทร์เคยได้ยินคุณตาบ่นกับพ่อต้อมเรื่องธุรกิจที่คุณพ่อคุณแม่ทำ และนั่นก็เป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่ว่าทำไมคุณแม่ถึงไม่อยากจะกลับมาเยี่ยมญาติฝั่งตัวเองบ่อยๆ”
“กลัวมั๊ย?”
ส่ายหน้าครับ ผมไม่กลัวจริงๆ
“จันทร์มีสุดยอดนักรบซามูไรแห่งแดนอาทิตย์อุทัยคอยปกป้องอยู่ไม่รู้รึไง?”
นักรบซามูไรที่คอยเฝ้ามองดวงจันทร์บนท้องฟ้าด้วยสายตาโศกเศร้าคนนั้นตอนนี้เขาจะรู้ตัวรึเปล่าว่าเขามีความสามารถพิเศษที่คว้าเอาดวงจันทร์มาครอบครองไว้ได้แล้ว หึหึ
“ย ยิ้มอะไรเล่า?”
“อยากให้เธออายุยี่สิบไวๆ”
“หืมม?? ทำไม??”
“สัญญากับคุณตาและคุณพ่อต้อมของเธอไว้ว่าจะไม่แตะต้องเธอจนกว่าจะเธอจะบรรลุนิติภาวะ”
ฮ่าาา แน่ละสิครับ ถ้าขืนนอกลู่นอกทางผมตอนนี้รับรองโดนข้อหาพรากผู้เยาว์แน่
“เสียใจด้วยนะครับ”
อิอิ อดทนรอให้สามีบรรลุนิติภาวะก่อนนะที่รัก
“ไม่เห็นจะต้องเสียใจ เพราะฉันมีแต้มสะสมไว้ตั้งสองปี”
ตาขวาเริ่มกระตุกเป็นบอกลางบอกเหตุไม่ดีแล้วล่ะครับ แล้วสายตากรุบกริบกับการกระตุกรอยยิ้มตรงมุมปากนั่นคืออะไร เหี้ยยยยยยย ทำไมถึงได้หล่อบรรลัยแบบนี้
“ต แต้มสะสมอะไร?”
ใบหน้าคมโน้มลงมาใกล้ สองแขนแกร่งโอบรัดผมไว้แนบอก ปลายจมูกของเราชนกัน ผมมั่นใจว่าพี่ยูต้องสัมผัสได้ถึงเสียงหัวใจที่เต้นดังโครมครามของผมแน่ น่าอายมั๊ยละครับ แบบนี้เขาก็จับไต๋ได้หมดว่าผมเองก็คิดไม่ซื่อ..
“หนึ่งจูบเท่ากับหนึ่งยก”
หืม??? ยก?? ยกอะไรวะ?? นับยกชกมวยรึไง??? เฮ้ยยยเดี๋ยวววว อ.. อื้มมมมมมมมม คนบ้าอะไรจูบเก่งชิบหาย!!
.
.
.
.
.
TBC...

ใครเก่งคณิตศาสตร์บ้างคะ???
1 จูบ = 1 ยก ในหนึ่งวันเจอกัน 2-3 ครั้ง พี่ยูก็ขโมยจูบน้องจันทร์ตลอด
อีก 2 ปีน้องจันทร์ก็จะบรรลุนิติภาวะ รวมแล้วเป็นกี่ยกคะ????

อร๊ายยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย วาร์ปไปอนาคตเลยได้มั๊ยคะ ฮ่าาาาาาาาาา
