Miracle of WISH ผมเรียกมันว่าปาฏิหาริย์แห่งคำอธิษฐาน
-11-
“โอ๊ะ โอ๊ยย จ เจ็บๆ เบาๆ หน่อยสิพี่ยู”
“นี่เบาสุดๆ แล้วนะ”
“แต่จันทร์เจ็บนี่นา อูยยย ตรงนั้นๆๆ”
“ตรงนี้? เจ็บเหรอ?”
พยักหน้ารัวๆ แบบน้ำตาเล็ดน้ำตาไหลเลยครับ
“อ๊ะ อ โอ๊ยย ม ไม่ไหวแล้ว”
“อีกนิดเดียว อดทนหน่อย”
“ม ม่ายยยไหว พ พออเถอะ”
ส่ายหน้าพร้อมทุบหัวไหล่พี่ยูตุบตับเพื่อคลายความเจ็บ ผมไม่ไหวแล้วจริงๆ ครับ มือพี่ยูหนักจะตาย(ห่า) บอกจะนวดเท้าให้แต่ผมว่ากำลังจะหักเท้าผมมากกว่านะเนี่ย T^T
แน่ะ ทุกคนกำลังคิดอะไรลึกซึ้งกันรึเปล่าครับ?? พี่ยูแค่กำลังนวดเท้าให้ผมอยู่ต่างหาก สาเหตุเกิดจากกิจกรรมที่มหาวิทยาลัยเมื่อวานทำเอาเท้าของผมระบม ก็รุ่นพี่เล่นให้เดี๋ยวลุกนั่งเดี๋ยวเดินสลับวิ่งทั้งวัน ปกติอยู่บ้านสวนใส่แต่อีแตะหนีบพอมาใส่รองเท้าผ้าใบมันก็ไม่สบายเท้าอีก นี่ขนาดผมอุตส่าห์เลือกคู่ที่แพงสุดจากร้านในตลาดแล้วนะครับ จ่ายเงินไป 299 บาท แต่ท่าทางจะไม่คุ้มเอาซะเลย โดนรองเท้ากัดจนนิ้วเป็นแผลไม่พอแถมยังเมื่อยเท้าซะจนแทบจะเดินไม่ไหว ถ้าไม่เสียดายตังค์ผมคงได้เขวี้ยงรองเท้าทิ้งแล้วเดินตีนเปล่ากลับที่พักนานแล้วละครับ
“แบบนี้โอเคมั๊ย?”
“ด ดี อืมมม”
หมอนวดจำเป็นใช้ผ้าขนหนูชุบน้ำอุ่นกำลังดีประคบเท้าทั้งสองข้างของผม ถ้ารู้ว่าฟินขนาดนี้หน้าจะประคบให้ผมตั้งแต่แรกดีกว่านวดจนเท้าผมแทบจะหัก แต่ที่ฟินหนักกว่าก็ตรงหมอนวดนี่แหละครับ ผมนอนยาวบนโซฟาแล้วเอาเท้าวางบนหน้าขาของพี่ยู แค่ผมบ่นเรื่องปวดเมื่อยเท้าพี่ยูก็ให้ลูกน้องไปหาซื้อยาทาแก้ปวดเมื่อยมาสารพัดจากนั้นก็แปลงร่างจากนักธุรกิจเป็นหมอนวดเท้าให้ผม แม้มือจะหนักไปหน่อยแต่มันก็ดีต่อใจสุดๆ เลยล่ะครับ อิอิ
“น้องโซ่ไปไหน?”
“สาวมารับไปกินติม”
พูดถึงไอ้โซ่แล้วหมั่นไส้ครับ ไม่ได้หมั่นไส้ไอ้โซ่แต่น้องสมายล์ต่างหากที่นับวันผมชักจะไม่ชอบขึ้นเรื่อยๆ ตอนอยู่บ้านสวนผมแค่รู้สึกเฉยๆ เห็นเพื่อนชอบเพื่อนรักผมก็โอเค แต่ตั้งแต่มาอยู่กรุงเทพฯ ผมคิดว่าน้องสมายล์กำลังคิดไม่ซื่อกับเพื่อนรักของผมอยู่ คิดดูสิครับจากคนที่ไม่เคยดูดำดูดี รังเกียจไอ้โซ่หาว่าเป็นแค่ลูกแม่บ้านก้นครัวบ้านครูเอี่ยมจู่ๆ พอไอ้โซ่ได้มาเป็นหนุ่ม กทม. อยู่คอนโดหรู ก็เช้าถึงเย็นถึง ไอ้โซ่มันเก่งทุกเรื่องก็จริงแต่เรื่องผู้หญิงมันตามมารยาร้อยเล่มเกวียนไม่เคยทันสักที เป็นห่วงมันแต่จะให้ไปห้ามโผงผางว่า
‘ฉันไม่ให้ไป’ ก็ไม่ได้อีก ต่อให้เป็นเพื่อนรักหรือสนิทกันมากแค่ไหนเรื่องหัวใจเนี่ยคือจุดอ่อนเลยนะครับ
“ทำหน้าแบบนั้นหมายความว่ายังไง?”
“จันทร์ไม่ชอบน้องสมายล์”
ถามมาก็ตอบไปตรงๆ นี่แหละ ไม่มีความลับและไม่มีอะไรจะกั๊ก
“เหตุผล?”
“ก็ไม่ชอบ”
บางทีเรื่องชอบไม่ชอบมันก็ไม่ต้องการเหตุผลปะ??? ก็ตอบแบบนี้แล้วทำไมต้องยิ้มหล่อขนาดนั้นไม่ทราบ แล้วทำไมพอพี่ยูยิ้มหล่อแล้วผมก็มองไปทางอื่นไม่ได้สายตาต้องโฟกัสอยู่แค่จุดเดียว ทำไมผมต้องกระพริบตาปริบๆ พร้อมกับกัดริมฝีปากตัวเองด้วย เอ๊ะ???? นี่ผมเป็นอะไร???
“เฮ้ยยยย!”
จู่ๆ พี่ยูก็จับแขนทั้งสองข้างของผมแล้วดึงขึ้นลอยหวือแบบไม่ทันตั้งตัว ทำให้จากที่นอนอย่างราชากลายมานั่งคร่อมอยู่บนหน้าตักพี่ยู ทุกอย่างไวมากจนผมตั้งสติไม่ทันเลยครับ และด้วยกลัวจะหงายหลังตกพื้นผมจึงเอาแขนโอบรอบคอเจ้าของตักไว้ ดวงตาของเราสอดประสานกันในระยะแค่คืบ หัวใจของผมเต้นระส่ำ
“อีกสองอาทิตย์ฉันจะต้องกลับไปญี่ปุ่น”
“ทำไมเร็วจัง”
ในอกด้านซ้ายเปลี่ยนจากเต้นระส่ำเป็นใจหายวูบ
“ไปกับฉันมั๊ย?”
“แต่ตอนนั้นผมต้องไปออกค่าย”
มือใหญ่บีบสะโพกของผม ทำเอารู้สึกเสียววาบแปลกๆ จนผมต้องเกร็งตัว
“ฉันต้องการเธอ”
เสียงทุ้มแหบพร่ากระซิบชิดติดใบหู จนผมต้องย่นคอแล้วหลับตาปี๋กับความรู้สึกสยิวจนขนลุก
“ก ก็อยู่ต่อสิ กว่าผมจะเรียนจบอีกตั้งสี่ปี”
มาจีบผมทิ้งไว้แล้วจะชิ่งหนีไปแบบนี้ไม่ได้นะ บอกว่าจะไปขอหมั้นหมายก็ยังไม่จัดการให้เรียบร้อยเลยจะหนีกลับไปก่อนได้ยังไง
คนฟังส่ายหน้าพร้อมกับจุดยิ้มตรงมุมปาก โอ้ววววแม่จ้าว หล่อบันเทิงรื่นเริงชวนให้เสียตัวจริงๆ เลยครับ ยิ้มหล่ออย่างเดียวไม่พอยังมางับจมูกผมอีกแล้วไหนจะขยำสะโพกพร้อมขยับขย่มเบาๆ อีก พี่ยูเล่นอะไรเนี่ย?? แล้วทำไมร่างกายของผมถึงได้ร้อนวูบวาบไปหมดเลยล่ะ???
“อ่ะ?”
เพราะสัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่างที่อยู่ใต้สะโพกมันเหมือนว่าผมกำลังนั่งทับอะไรแข็งๆ?
“เดี๋ยวก่อนพี่ยู ไม่รู้ว่าผมนั่งทับอะ... เฮ้ยย!!”
ยังไม่ทันจะควานหาเลยครับว่านั่งทับอะไร พี่ยูก็ลุกขึ้นพรวดพลาดจนผมแทบจะหงายหลังตกโซฟา ยังดีที่คนตัวโตกว่าเหวี่ยงผมกลับมานั่งแทนตัวเองที่เดินหายวับเข้าไปในห้องน้ำได้ทัน ด้วยความเป็นห่วงก็วิ่งตามไปหน้าห้องน้ำสิครับ ไม่สบายอะไรตรงไหนรึเปล่าเนี่ย?? หรือปวดท้อง???
“พี่ยูเป็นอะไรรึเปล่า??”
ปิ๊งป่องงงงงงงงยังไม่ทันได้คำตอบจากคนในห้องน้ำเลยครับ เสียงออดจากหน้าประตูก็ดังขึ้นซะก่อน ใครกันนะมาได้จังหวะพอดิบพอดี แต่คงไม่ใช่ไอ้โซ่แน่นอนเพราะมันมีคีย์การ์ดเข้าห้องไม่ต้องกดออดให้เสียเวลา
“ใครมา?”
ยังอุตส่าห์ตะโกนออกมาจากห้องน้ำ แต่ทำไมเสียงมันแหบๆ สั่นๆ แบบนั้นละครับ ชักเป็นห่วงแล้วสิ แต่ถึงจะเป็นห่วงแค่ไหนสองขาของผมก็วิ่งไปดูหน้าประตูแล้วรีบวิ่งกลับมาบอกพี่ยู
“คุณปลื้มชลล์ครับ”
ตะโกนตอบกลับจากหน้าประตูห้องน้ำ แล้วยืนรอคำสั่งต่อไป แต่รออยู่พักนึงก็ไม่ตอบผมเลยเดินไปเอาหูแนบกับประตูห้องน้ำได้ยินเสียงพี่ยูครางฮึมฮัม(?)เบาๆ ผมจึงเคาะประตูถามว่า
‘จันทร์เปิดประตูให้คุณปลื้มได้ใช่มั๊ยครับ?’“อืมมมม”
อืม? นี่คือเปิดได้ใช่มั๊ยครับ? แต่เดี๋ยวก่อนนะ นี่มันห้องผมนี่นา แล้วทำไมผมต้องถามพี่ยูด้วยหว่า?? เอ๊ะ! ยังไง??? ผมกำลังสับสนอะไรอยู่รึเปล่าครับเนี่ย? คิดแล้วก็งงตัวเอง แต่ก็เดินไปเปิดประตูให้คุณปลื้ม
“สวัสดีครับคุณปลื้มชลล์”
“สวัสดีครับน้องจันทร์”
คุณปลื้มชลล์รับไหว้ผมด้วยใบหน้ายิ้มแย้มและหล่อเหลาเหมือนทุกครั้งที่เจอ จากนั้นก็หันไปคุยภาษาอังกฤษกับคุณมาซารุ 2-3 ประโยค แล้วคุณมาซารุก็บอกต่อไปยังลูกน้องอีก 2 คน ซึ่งเป็นคนเดียวกับที่พี่ยูสั่งให้คอยตามดูแลผมนั่นแหละครับ จบประโยคของคุณมาซารุ ลูกน้องร่างยักษ์ก็ทยอยขนของมากมายเข้ามากองไว้ในห้องของผม
“เอ่อ...”
เอาไงดีล่ะครับ พี่ยูก็อยู่ในห้องน้ำไม่ยอมออกมาสักที สงสัยจะท้องเสียหนักนะเนี่ย
“ยูล่ะ?”
หลังจากคุณปลื้มหันซ้ายหันขวาอยู่ครู่หนึ่งก็เอ่ยถามหาเพื่อนของตัวเอง
“อยู่ในห้องน้ำครับ”
ชี้ให้ด้วยว่าห้องน้ำอยู่ตรงไหน คุณปลื้มก็พยักหน้ารับแล้วนั่งรอตรงโซฟา
“ว่าแต่ของพวกนี้???”
เยอะแยะไปหมดมันคืออะไรครับเนี่ย?
“อ่อ.. ของน้องจันทร์กับของน้องโซ่ไงล่ะ”
“ห๋า??”
เหวอสิครับ คุณปลื้มซื้อของมาให้ผมกับไอ้โซ่มากขนาดนี้เลยเหรอ แล้วถ้าดูไม่ผิด กล่องลังใหญ่ๆ 2 กล่องนั่นน่าจะเป็นคอมพิวเตอร์ซะด้วย เฮ้ยๆๆ ผมกับไอ้โซ่ไม่มีปัญญาหาเงินมาจ่ายให้หรอกนะ
“ไม่ต้องห่วงหรอก พี่มีหน้าที่ซื้อ แต่คนจ่ายคือคนโน้น”
ส่งสายตาไปทางห้องน้ำเพื่อให้รู้ว่า
‘คนโน้น’ ที่พูดถึงอยู่นั้นคือใคร ถ้าอย่างนั้นไว้เอาไว้ค่อยเคลียร์กับพี่ยูละกันครับ ตอนนี้ผมต้องหาน้ำเย็นๆ มารับรองแขกก่อน
“จริงสิ.. เมื่อกี้เหมือนพี่จะเห็นน้องโซ่นั่งคุยกับเด็กผู้หญิงอยู่ตรงล็อบบี้”
“อ่อ.. ใช่ตัวเล็กๆ ผมยาวแล้วก็รวบผมแบบยุ่งๆ รึเปล่าครับ?”
ถามกลับพร้อมกับรินน้ำเย็นใส่แก้วแล้วถือมาเสิรฟให้คุณปลื้ม
“น่าจะใช่นะ”
“ชื่อสมายล์ครับ เด็กบ้านเดียวกันเห็นบอกว่ามาเรียนต่อที่กรุงเทพ”
ตอบคำถามแล้วนั่งบนโซฟาฝั่งตรงกันข้ามกับคุณปลื้ม ผมแอบหันไปมองทางประตูห้องน้ำแว่บนึงด้วยความเป็นห่วงว่าทำไมพี่ยูเข้าห้องน้ำนานจังเลยล่ะเนี่ย?
“ว่าแต่วันนี้น้องจันทร์ว่าทั้งวันเลยใช่มั๊ยครับ?”
“อ๋อ. ค...”
“ว่างแล้วทำไม?”
ยังไม่ทันจะได้ตอบเลยครับ คนที่อยู่ในห้องน้ำก็เดินออกมาแล้วตอบแทนผมซะงั้น ฟังเสียงนิ่งและใบหน้าเฉยชาแบบนั้นแต่ใบหูนี่แดงแจ๋เลยล่ะครับ ตายล่ะ พี่ยูไม่สบายแน่ๆ เลย
“ฉันไม่ได้มาขัดจังหวะอะไรนายใช่มั๊ย?”
ขัดจังหวะอะไรครับ?? แล้วทำไมคุณปลื้มถึงต้องอมยิ้มแล้วทำตากรุบกริบเหมือนจับผิดอะไรพี่ยูแบบนั้นด้วย ผมชักสงสัยแล้วล่ะสิ
“จันทร์.. พี่ขอน้ำเย็นๆ สักแก้วสิ”
หืม???? พี่ยูเรียกชื่อผมแล้วยังแทนตัวเองว่าพี่ นี่ผมไม่ได้หูฝาดหรือหูเพี้ยนไปใช่มั๊ยครับ? แต่ดูจากสายตาของคนพูดแล้วคงเป็นเรื่องจริง แล้วทำไมผมถึงต้องยิ้มกว้างขนาดนี้ด้วยเนี่ย เขินจังเลยยย หนีเข้าครัวไปเอาน้ำเย็นให้พี่ยูดีกว่า
ครัวก็ไม่ได้อยู่ไกลจากห้องรับแขกสักเท่าไหร่ ผมจึงยังได้ยินบทสนทนาของ 2 หนุ่มอย่างชัดเจน อ่อ บอกไว้ก่อนนะครับว่าผมไม่ได้แอบฟัง มันแค่ดังเข้าหูผมเฉยๆ เรื่องของเรื่องก็คือพี่ยูขอให้คุณปลื้มช่วยไปซื้อของใช้ที่จำเป็นให้ผมและไอ้โซ่ อันประกอบด้วยเสื้อผ้า รองเท้า กระเป๋า คอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะ และอื่นๆ อีกจิปาถะ โดยคุณปลื้มมีข้อแลกเปลี่ยนว่าผมจะต้องไปโรงพยาบาลกับคุณปลื้ม แต่พี่ยูขอผัดว่าให้ไปวันหลังเพราะวันนี้ผมปวดเท้าไม่อยากให้เดินเยอะกลัวจะยิ่งระบม ซึ่งเหตุผลของพี่ยูกลับเข้าทางคุณปลื้มตรงที่ว่านั่นแหละคือเหตุผลที่จะให้ผมไปพบคุณหมอดิน อืม.. พอฟังมาถึงตรงนี้ผมก็ยกแก้วน้ำไปส่งให้พี่ยูพร้อมกับส่งยิ้มให้คุณปลื้ม
“คุณปลื้มจะใช้ผมเป็นข้ออ้างเพื่อไปเจอคุณหมอดินเหรอครับ?”
ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อแหละครับว่าเวลาที่คุณปลื้มชลล์เขินเนี่ยจากหล่อวัวตายควายล้มเปลี่ยนเป็นน่ารักตะมุ้งตะมิ้งเลยล่ะครับ
“อะแฮ่ม”
แน่ะ.. แค่มองคุณปลื้มนานไปนิดนึงแค่เนี๊ยะทำมาเป็นกระแอม หึงอะดิ อิอิ
“ไปดูของสิว่าชอบรึเปล่า?”
โดนจับได้ก็มาทำเป็นเปลี่ยนเรื่อง นี่ถ้าไม่ติดว่าหล่อขั้นเทพแบบพี่โดมปกรณ์ลัมผมไม่ยอมลุกขึ้นเดินมาแกะเปิดถุงเสื้อผ้าและกล่องรองเท้าง่ายๆ หรอกนะ อีกทั้งยังต้องทำเป็นหูทวนลมไม่ได้ยินบทสนทนาของพี่ยูกับคุณปลื้มด้วย แต่อย่างว่าแหละครับว่าผมเป็นเด็กว่านอนสอนง่ายและมีมารยาทพอที่จะไม่สอดแทรกเรื่องของผู้ใหญ่ ผมจึงทำได้แค่ดูราคาเสื้อกับกางเกงที่มีเกินกว่า 10 ตัวแล้วได้แต่ร้องกรี๊ดอยู่ในใจว่าเสื้อห่าอะไรตัวละพันกว่าบาท ผ้าก็บางโคตรบางไม่ได้สวยดีเด่นอะไรทำไมถึงได้แพงขนาดนี้ แค่นั้นยังไม่พอเมื่อเจอรองเท้าผ้าใบที่ราคาคู่ละเกินครึ่งหมื่น ผมถึงกับต้องลุกขึ้นวิ่งเข้าไปหายาดมในห้องนอนก่อนจะเป็นลมล้มพับไปซะก่อน นี่พวกนักธุรกิจเขารู้จักคำว่า ‘พอเพียง’ กันบ้างมั๊ยครับเนี่ย??
“เป็นอะไรรึเปล่า?”
คงเห็นผมวิ่งหุนหันเข้าห้องนอน พี่ยูเลยเดินตามมาดูว่าผมเป็นเป็นอะไร
“พี่ยูรู้จักคำว่าพอเพียงมั๊ย?”
คิ้วเข้มขมวดเล็กน้อย
“ซัฟฟีฌ-เอ็นท?”
sufficient แปลว่าพอเพียง สำเนียงอังกฤษชัดเป๊ะมาเลยครับ ผมก็ได้แต่พยักหน้าหงึกๆ เพราะไปต่อไม่ถูก เอาไว้ค่อยโทรไปเล่าให้คุณตากับพ่อต้อมฟัง แล้วให้พวกท่านสอนว่าที่หลานเขยคนนี้เองดีกว่า
“จ จะไปหาคุณหมอดินกับคุณปลื้มมั๊ยครับ?”
“ไปสิ”
คุณปลื้มโผล่หน้ามาตรงประตูห้องนอนตอบแทนพี่ยู แล้วหน้าพี่ยูตอนหันไปมองหน้าเพื่อนทำเอาผมเสียวสันหลังวูบ แต่ดูท่าคุณปลื้มจะชินกับพี่ยูในโหมดโหดแบบนี้จึงไม่ได้สะดุ้งสะเทือนอะไรแถมยังยิ้มหล่อและยักคิ้วกลับมาอีก
“น นั่นสิพี่ยู”
พยายามฉีกยิ้มกลบเกลื่อนความโหดเหี้ยมบนใบหน้าของพี่ยู แล้วก็กระซิบบอกเบาๆ เอาพอแค่ได้ยินกันสองคนว่า ‘ช่วยเหลือเขาให้สมหวังในความรักมันได้บุญหนักนะครับ รักของเราจะได้สมหวังด้วยไง’ แค่นั้นแหละคนหน้าโหดเปลี่ยนโหมดเป็นคนน่ารักเลยล่ะครับ
เมื่อตกลงกันได้ผมก็ขออนุญาตลงมาตามไอ้โซ่ที่ล็อบบี้ และนี่เป็นครั้งแรกตั้งแต่มาอยู่ที่นี่ที่ผมได้เจอน้องสมายล์ อย่างที่บอกไว้แหละครับว่าตอนอยู่บ้านสวนเราเจอกันผมก็รู้สึกเฉยๆ น้องเขาก็ถือว่าเป็นเด็กน่ารักคนหนึ่ง น้องสมายล์อายุน้อยกว่าพวกผมประมาณ 2 ปี ตัวเล็ก ผมยาวถึงกลางหลังแล้วน้องเขาก็ชอบมัดไว้หลวมๆ บางครั้งผมแอบคิดว่ามันดูรกรุงรังเหมือนผมไม่เคยเจอหวี แต่ใบหน้าถือว่าน่ารักใช้ได้เลยทีเดียว ตอนนี้น้องสมายล์ก็ยังเหมือนเดิมครับแต่ที่เปลี่ยนไปคือการแต่งตัวและความจัดจ้านของใบหน้า เด็กสาวอายุ 16 ปี จำเป็นต้องแต่งหน้าหนาขนาดนี้?? และต้องใส่เกาะอกกับกางเกงขาสั้นมาเจอผู้ชายแบบนี้เหรอครับ? นี่ผมไม่ได้หัวโบราณไปใช่มั๊ย?
“นี่คุณจันทร์ น้องสมายล์จำได้มั๊ย?”
“จำได้สิคะ ใครจะไม่รู้จักคุณจันทร์หลานครูเอี่ยมบ้างล่ะคะ”
เด็กสาวยกมือไหว้ผม ส่วนผมก็แค่พยักหน้ารับไหว้ครับ
“คุณจันทร์มีอะไรรึเปล่าครับ?”
“เดี๋ยวเราต้องไปธุระข้างนอกกัน คุณปลื้มชลล์รออยู่”
“อ้าว เหรอครับ”
“สมายล์ไปด้วยสิคะ”
คิ้วขวาของผมกระตุกยิกๆ ทันทีที่บทสนทนาระหว่างผมและเพื่อนรักโดนสอดแทรก ไอ้โซ่เองก็คงจะตกใจและลำบากใจพอดู
“เห็นทีจะไม่ได้ พอดีพวกพี่ไม่ได้ไปเที่ยวแต่ไปธุ-ระ”
ผมตั้งใจเน้นคำสุดท้ายของประโยค
“งั้นแสดงว่าถ้าครั้งไหนที่พวกพี่ไปเที่ยวกันสมายล์ก็ไปด้วยได้สิคะ”
อื้อหือออ หน้าด้านกว่านี้มีอีกมั๊ยครับเนี่ย บอกตรงๆ ว่าผมไม่ถูกชะตาน้องสมายล์ในปัจจุบันนี่จริงๆ เลยล่ะครับ ผมมองหน้าไอ้โซ่ที่ทั้งซีดและเจื่อนไปฉนัดตา ผมรู้ครับว่าไอ้โซ่มันชอบน้องสมายล์มากแต่ในขณะเดียวกันมันก็เกรงใจผมมากกว่า
“ไม่ได้ทั้งนั้นครับ”
ตอบแบบตรงๆ แถมยกยิ้มอ่อนให้ด้วย คนฟังหน้าเสียไปนิดนึง แตกต่างกับไอ้โซ่ที่หน้าถอดสีไปแล้วล่ะครับ และก่อนที่เพื่อนรักของผมจะลำบากใจไปมากกว่านี้ผมขอพูดให้หมดเปลือกไปเลยดีกว่าครับ
“พี่ไม่รู้หรอกนะว่าน้องมีเจตนายังไงที่จู่ๆ ก็มาสนใจเพื่อนของพี่ทั้งที่ไม่เคยดูดำดูดีมาก่อน แต่ไม่ว่าจะเพราะโซ่มันได้มาเรียนในกรุงเทพ ได้อยู่คอนโดหรู หรือเพราะอะไรก็แล้วแต่ พี่ขอพูดตามตรงว่าเลิกยุ่งกับเพื่อนพี่เถอะ เพื่อนของพี่ไม่มีสิ่งที่น้องอยากได้หรอก และกลับไปตั้งใจเรียนจะดีกว่า”
ที่พูดมาเพราะเห็นว่าน้องเขาเป็นคนบ้านเดียวกัน ลุงกำนันพ่อของน้องสมายล์ก็เป็นคนดี ถ้าลุงกำนันรู้ว่าลูกสาวคนเดียวของท่านมาคอยตามผู้ชายแล้วไม่สนใจเรียนแบบนี้ผมคิดว่ามันไม่ดีไม่งามสักเท่าไหร่หรอกนะครับ แต่แทนที่เด็กสาวจะเข้าใจ ผมกลับได้ยินเสียงหัวเราะขึ้นจมูกแทน
“กะจะเก็บไว้กินเองก็บอกมาเถอะ”
คิ้วของผมขมวดฉับเลยครับ
“เป็นเกย์ไม่ใช่รึไง? ได้ข่าวว่าได้ผัวรวยแถมแย่งผัวพี่สาวมาด้วย?”
“สมายล์! พูดจามั่วแบบนี้ได้ยังไง ขอโทษคุณจันทร์เดี๋ยวนี้นะ!!”
ผมยกมือห้ามไอ้โซ่ไว้ ถ้าถามว่าโกรธมั๊ยก็ตอบว่าโกรธมาก แต่ลูกผู้ชายเค้าไม่ต่อปากต่อคำกับผู้หญิงหรอกนะครับ และผมก็ยึดตามคำสอนของสมเด็จย่าจากในหนังสือเกี่ยวกับธรรมะของสมเด็จย่า 360 ข้อ เรื่อง การสอนให้คนรู้จักรักษาและระงับอารมณ์ สมเด็จย่าทรงสอนว่า
‘เมื่อมีความโกรธก็ให้พยายามหยุดนิ่งเสียก่อน จนหมดความโกรธ แล้วถึงพูดถึงเรื่องที่ทำให้โกรธต่อไป’ ดังนั้นผมจึงต้องนิ่งก่อนครับเพื่อระงับความโกรธ นิ่งเพื่อให้มีสติและคิดได้ถี่ถ้วนมากขึ้น ผมทบทวนคำพูดของน้องสมายล์ในใจแล้วก็ยิ้ม
“ใช่ครับ พี่เป็นเกย์ แฟนพี่รวยมากๆ ด้วย แต่เรื่องแย่งแฟนพี่สาวน้องสมายล์คงจะได้ข่าวผิดไป และเอาไว้ได้ฤกษ์มงคลพร้อมแต่งเมื่อไหร่พี่จะเชิญการ์ดให้น้องสมายล์ไปทางลุงกำนันละกันนะครับ”
ไม่มีอะไรจะดีไปกว่ายอมรับความจริงครับ แม่มลสอนเสมอว่าความจริงเป็นสิ่งไม่ตาย ผมยิ้มส่งท้ายให้น้องสมายล์ก่อนจะหันหลังเดินกลับขึ้นห้องโดยมีเสียงตะโกนของเด็กสาวดังไล่หลังว่า
‘ระวังตัวไว้เถอะ!’ และไม่รู้ทำไมใบหน้าของคุณเดือนจึงได้แว่บขึ้นมาในห้วงความคิด ราวกับว่าคุณเดือนกำลังจ้องมองผมอยู่ ซึ่งผมคงคิดไปเองมากกว่า
ผมหยุดยืนมองเลขลิฟท์ที่ไล่ระดับชั้นลงมาพร้อมกับบริหารเท้าไปด้วย ปวดตุบๆ เลยล่ะครับ ไม่นานนักสัญญาณลิฟท์ก็ดังขึ้นที่ชั้น G และประตูก็เปิดออกพอดีกับที่ไอ้โซ่วิ่งกระหืดกระหอบตามผมเข้ามาเข้าลิฟท์ได้ทัน ในลิฟท์มีผมกับไอ้โซ่แค่ 2 คน ทันทีที่ประตูลิฟท์ปิด ไอ้โซ่ก็ยกมือไหว้ผมแบบท่วมหัว
“ขอโทษนะครับคุณจันทร์”
“เฮ้ย! ทำไรเนี่ย!!”
รีบเอามือของไอ้โซ่ที่พนมไหว้ผมลงครับ มาไหว้กันแบบนี้อายุผมจะสั้นลงมั๊ยเนี่ย?
“ไหว้ขอโทษคุณจันทร์แล้วก็ขอบคุณคุณจันทร์ยังไงล่ะครับ”
เรื่องขอโทษผมพอจะเข้าใจ แต่เรื่องขอบคุณเนี่ยมันคืออะไรกัน??
“ขอบคุณเรื่องอะไร?”
“ก็ต่อจากนี้ไปน้องสมายล์คงไม่กล้ามายุ่งกับไอ้โซ่แล้วล่ะครับ แหะๆ”
มีหัวเราะแหะๆ ต่อท้ายด้วยเว้ย หมายความว่าไงของมันเนี่ย ผมหรี่ตามองไอ้เพื่อนรักอย่างจับผิด
“ก็น้องสมายล์เปลี่ยนไปตั้งเยอะ และน้องเขาคงคิดว่าไอ้โซ่คนนี้โง่ละมั้งครับ”
“อ้าว รู้แล้วทำไมยังไปยุ่งกับน้องเขาอีกล่ะ”
“ก็ยังคิดวิธีไม่ออกน่ะครับ แหะๆ”
เออ ให้มันได้แบบนี้สิครับพ่อพระเอก ผมจึงกลายเป็นตัวร้ายตัวอิจฉาขึ้นมาทันที แต่ไม่เป็นไรครับ เพื่อเพื่อนรักคนเดียวและคนดีของผมจะให้ผมรับบทเป็นโจรป่าหน้าหล่อก็ยังได้ ว่าแล้วก็คว้าคอมันโยกไปมาด้วยความหมั่นเขี้ยว แป๊ปเดียวก็ถึงชั้น 18 แล้วครับ
“ว่าแต่ที่คุณจันทร์บอกว่าจะออกไปธุระ เราจะไปไหนกันเหรอครับ?”
ไอ้โซ่ถามขึ้นตอนออกจากลิฟท์ชั้น 18
“พี่ยูกับคุณปลื้มชลล์จะพาไปหาหมอ”
“คุณจันทร์เป็นอะไรเหรอครับ?”
ไม่ต้องตกใจขนาดนั้นก็ได้
“ไม่ได้เป็นอะไร แค่.. ตีนนี่”
หยุดเดินแล้วชี้ไปที่เท้าทั้งสองข้างของตัวเอง เอาเข้าจริงผมว่าตอนนี้มันระบมจนบวมแล้วล่ะครับ ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อแล้วล่ะครับว่ารองเท้าแค่คู่เดียวทำให้เท้าของผมมีแผลเหวอะหวะและระบมได้ถึงขนาดนี้
“เฮ้ย! ทำไมมันบวมแบบนี้ล่ะครับ?”
ยิ่งไอ้โซ่ตกใจผมก็ยิ่งรู้สึกเจ็บ มันคงเกิดจากการอุปาทาน แต่ที่บวมขึ้นเนี่ยคงเพราะผมเดินลงไปตามไอ้โซ่นี่แหละครับ จากที่ระบมอยู่แล้วเลยบวมขึ้นมา
“อ้าว! แล้วจะวิ่งไปไหนวะนั่น?!”
จู่ๆ ไอ้โซ่ก็วิ่งฉิวทิ้งผมไปอย่างไว อีกประมาณ 10 เมตรก็ถึงห้องแล้วมันจะมาทิ้งอะไรกันตอนนี้เนี่ย? แต่คงไม่ต้องรอคำตอบแล้วล่ะครับ เพราะทันทีที่ไอ้โซ่มันเปิดประตูห้องผมก็ได้ยินเสียงมันตะโกนบอกคนในห้องซะลั่น
“คุณพี่ยูคร้าบบบบ ไปอุ้มคุณจันทร์หน่อยสิครับเท้าคุณจันทร์บวมมากเลย”
และไม่เกิน 30 วินาทีหลังจากนั้น ร่างของผมก็ลอยหวือขึ้นในอ้อมแขนของพี่ยู เอิ่มมม... จะทำอะไรก็ให้เกียรติความเป็นลูกผู้ชายของผมบ้างก็ได้นะครับ แค่เจ็บเท้าไม่ใช่ขาหักยังเดินได้และแผลที่มีก็อยู่ห่างไกลจากหัวใจ แต่ไหนๆ พี่ยูก็อุ้มผมแล้วผมขอซบหน้าลงบนไหล่หลบความเขินอายก่อนละกัน
.
.
.
.
.
มีต่อด้านล่างนะคะ
