Miracle of WISH ผมเรียกมันว่าปาฏิหาริย์แห่งคำอธิษฐาน
-12-
ปลื้มชลล์คือเพื่อนของผม เราเรียนและเป็นรูมเมทกันตั้งแต่อยู่ไฮสคูล แม้จะแยกย้ายกันไปหลังจบปริญญาตรี แต่เมื่อได้กลับมาเจอกันอีกครั้งในวงการธุรกิจ ความเป็นเพื่อนก็ยังคงอยู่ไม่เปลี่ยนแปลง ซึ่งตั้งแต่ที่รู้จักกันมาผมไม่เคยเห็นปลื้มยอมเสียศักดิ์ศรีขนาดนี้มาก่อน
“อูยยย เบาๆ หน่อยสิพี่ชาย”
“ยังปากดีนะมึง”
ผมนั่งมองคุณหมอเปรมนทีป์ทำแผลให้น้องชายฝาแฝดที่เบ้าตาเขียวปั๊ด ปากเจ่อ และหน้าบวมเป่ง ดูก็รู้ครับว่าคุณหมอเปรมตั้งใจลงน้ำหนักมือให้ปลื้มได้เจ็บ ก็เพราะคู่กรณีที่ลงมือเป็นคุณหมอดินซึ่งเป็นรุ่นพี่ที่คุณหมอเปรมนับถือมากๆ และยิ่งกว่านั้นคุณหมอดินถือว่าเป็นญาติผู้ใหญ่คนสำคัญของทางฝ่ายไอจัง ซึ่งพอรู้ข่าวก็รีบบึ่งมาที่โรงพยาบาลป่านนี้คงจะอยู่กับคุณหมอดินและคาดว่าอีกไม่นานคงได้ขึ้นมาอาละวาดบนห้องผู้อำนวยการโรงพยาบาลเป็นแน่
ละสายตาจากภาพตรงหน้าหันมามองเด็กหนุ่ม 2 คน น้องโซ่นั่งกินขนมเค้กกับน้ำผลไม้ไปพลางมองคุณหมอกำลังทำแผลให้คนเจ็บไปพลาง ส่วนคนที่นั่งอยู่ข้างๆ ผมทำหน้าเจ็บตามเสียงร้องโอดครวญทุกครั้ง
“ยังไม่หายตกใจเหรอ?”
“อ โอเคแล้วครับ”
ตอบว่าโอเคแต่หลับตาปี๋ตอนที่คุณหมอเปรมป้ายเบตาดีนลงบนแผลตรงแก้มของคนเจ็บ
“ฉันไม่น่าจะปล่อยเธอไว้”
“เฮ้ย! ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรเลยครับ ตอนนั้นจันทร์แค่ตกใจ แต่ตอนนี้โอเคแล้วจริงๆ”
ยืนยันขนาดนี้ผมคงต้องเชื่อแล้วล่ะครับ
“ว่าแต่.. คุณปลื้มจะเสียโฉมมั๊ยครับ”
“ไม่หรอก”
ต่อให้เสียโฉมก็กลับมาหล่อได้ ถึงแม้ปลื้มจะไม่ได้รับช่วงต่อกิจการโรงพยาบาลจากคุณตาและไม่ได้เรียนหมอเหมือนอย่างคุณเปรมแต่ปลื้มก็เป็นผู้ถือหุ้นคนสำคัญของโรงพยาบาลเช่นเดียวกับคุณเปรมที่ต่อให้ไม่ใช่นักธุรกิจแต่ก็มีกรรมสิทธิ์และเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของบริษัทในเครืออัศววิรุณฉาย
“พี่ปลื้ม!!!!!!!”
จู่ๆ ชายหนุ่มตัวเล็กใบหน้าอ่อนเยาว์เต็มไปด้วยโทสะเปิดประตูห้องผู้อำนวยการโรงพยาบาลมาแบบไม่ต้องให้สัญญาณใดๆ เข้ามาปุ๊ปก็ตรงดิ่งไปที่คนเจ็บกระชากออกมาจากท่าน ผอ. ทันที มือเงื้อมขึ้นเตรียมต่อยลงเต็มแรงแต่คงเพราะเห็นใบหน้าของคู่กรณีเต็มไปด้วยร่องรอยฟกช้ำและบาดแผล กำปั้นจึงเปลี่ยนทิศพุ่งตรงไปที่หน้าท้องอย่างแรง
อั่ก!ชีวิตของผมผ่านเรื่องตีรันฟันแทงมาก็เยอะพอสมควร แต่เป็นครั้งแรกที่ผมรู้สึกจุกแทนเพื่อนจนต้องลุกขึ้นเดินไปประคองคนที่นอนตัวงอเป็นกุ้งอยู่บนพื้นขึ้นมานั่งบนโซฟาในท่าสบาย ปลื้มคงจะทั้งจุกและเจ็บจนร้องไม่ออกและผมก็ได้แต่ตบบ่าปลอบใจ เห็นคนต่อยตัวเล็กแบบนั้นแต่แรงเยอะเท่ากับผู้ชายตัวโตๆ เลยทีเดียว บางทีอาจจะแรงเยอะกว่าผู้ชายตัวโตด้วยซ้ำเพราะเจ้าตัวผ่านการฝึกทักษะการต่อสู้ของตระกูลมาอย่างเข้มงวด
“พอแล้ว”
ก่อนที่หมัดที่ 2 จะฮุกซ้ำเข้าที่เดิม คุณหมอเปรมจึงต้องออกโรงห้ามด้วยการคว้าตัวคนใจร้อนไว้แล้วดึงเข้าไปกอดไว้ในอ้อมแขน
“ปล่อยไอเลยนะพี่เปรม! ไอจะแก้แค้นให้พี่ดิน”
เสียงดังใส่คุณหมอเปรม แต่ดังแค่เสียงเท่านั้นครับ ไม่มีดิ้นหรืออาละวาดแม้แต่น้อย แต่สายตาของไอจังที่มองสามีนั้นมีความหมายว่า
‘ปล่อย’ มองสภาพของปลื้มในตอนนี้ผมคิดว่าปลื้มได้รับบทลงโทษที่เพียงพอแล้ว และที่สำคัญที่สุดก็คือแม้จะโดนต่อยจนหน้ายับขนาดนี้แต่ปลื้มได้สิ่งที่ต้องการมากที่สุดแล้วนั่นคือได้โอกาสแก้ตัวในสิ่งที่มันทำผิดพลาดไป และนั่นก็หมายความว่าทางคุณหมอดินเองก็ยังมีความรู้สึกดีๆ ให้มันอยู่บ้าง แต่ที่ลงมือหนักด้วยเพราะความโกรธและไม่ได้โกรธธรรมดา เป็นใครก็คงต้องระเบิดครับก็เพื่อนของผมดันไปขืนใจตอนเขาเมานี่นา..
“ยาเมะเต.. ไอจัง”
ร้องขอให้พอแค่นี้เถอะ
“โอนิจัง!”
เคยยอมง่ายๆ ซะที่ไหนละครับน้องคนนี้ ยู่หน้าแก้มป่องแสดงความไม่พอใจขึ้นมาทันทีเลย เดือดร้อนให้คุณหมอเปรมต้องลูบหัวปลอบใจ และด้วยความหมั่นเขี้ยวผมเองก็ลุกขึ้นไปแกล้งดีดจมูกสักที
“โฮชิซึเกะ.. ไอจัง”
รู้ครับว่าไอจังโกรธมาก แต่ผมก็ขอให้ไอจังใจเย็นลงกว่านี้ คุณหมอเปรมที่รู้จักคนรักของตัวเองดีกว่าใครโยกหัวของคนใจร้อนไปมาก่อนจะจูบหนักๆ ลงบนกลางกระหม่อม แค่นี้แหละครับได้ผลชะงักเลย
“วากะริมัตตา--- โอตโต! โอนิจัง!”
ใบหน้างอง้ำพูดด้วยน้ำเสียงประชดว่า
‘เข้าใจแล้วคร้าบ-- คุณสามี! คุณพี่ชาย!’ แค่นี้ผมก็รักษาชีวิตของปลื้มชลล์เอาไว้ได้แล้วล่ะครับ ผมเดินไปตบบ่าเพื่อนแสดงความดีใจที่รอดชีวิตจากเงื้อมมือของไอจังมาได้ก่อนจะกลับไปนั่งที่เดิม
“ใคร?”
หืม? ผมหันไปมองหน้าคนถามแล้วก็หันไปมองรอบๆ ห้อง ซึ่งผมคิดว่าจันทร์น่าจะรู้ทุกคนในห้องนี้ทั้งหมด
“คนไหน?”
ถามกลับไปแต่คำตอบที่ได้รับกลับมาเป็นการเหวี่ยงสายตาแบบที่ผมไม่เคยเจอมาก่อน
“น่ารักดีนะครับ”
คำอธิบายเพิ่มเติมคือความน่ารักซึ่งในห้องนี้นอกจากจันทร์แล้วสำหรับผมก็คงมีแค่ไอจัง
“อืม”
พยักหน้ารับว่าไอจังน่ารักจริงๆ
“แต่นิสัยแย่ไปหน่อย”
เอ๊ะ! ผมคิดว่าจันทร์คงไม่ได้หมายถึงไอจังแล้วมั้งครับ
“เธอพูดถึงใครอยู่?”
“ก็คนน่ารักของพี่ยูยังไงล่ะ?”
“หืม??”
ในขณะที่ผมขมวดคิ้วด้วยความงง อีกฝ่ายกลับแสยะยิ้มและจิกตาใส่ผมจนอดขำไม่ได้ เหลือบมองเลยไปที่น้องโซ่ฝ่ายนั้นส่ายหน้าไปมาให้ผมแต่สายตาเหล่ไปทางไอจัง สมองของผมประมวลผลแว่บนึงก็ถึงบางอ้อ ท่าทางจะมีเรื่องเข้าใจผิดกันแล้วล่ะครับ
“สงสารคุณหนูไอ สามีเป็นเสือไบแถมพี่ชายยังสนับสนุน”
ก่อนที่เรื่องจะบานปลายผมเลยต้องกวักมือเรียกต้นเหตุมาเคลียร์ พีคสุดก็ตอนที่ผมกวักมือแล้วไอจังขานรับซะน่ารักนี่แหละครับ คนที่นั่งข้างๆ ผมถึงกับหน้างอเป็นตะขอเลยทีเดียว หรือจะพูดให้ถูกก็คือจันทร์ ‘หึง’ ผมอยู่ หึๆ
“พี่ชายมีอะไรเหรอครับ?”
“เคลียร์ให้หน่อย”
แค่ส่งสายตาแว่บเดียวคนฉลาดอย่างไอจังก็เข้าใจแล้วครับว่าผมต้องการอะไร ใบหน้าน่ารักระบายรอยยิ้มพร้อมหัวเราะเบาๆ ผมจึงลุกขึ้นให้ไอจังนั่งแทน ระหว่างนั้นผมก็ชวนน้องโซ่เดินไปดูวิวเมืองหลวงในมุมสูงจากหน้าต่างบานกระจก และก็พูดคุยกับปลื้มและน้องเขย ผมไม่รู้ว่าไอจังคุยกับอะไรกับจันทร์บ้าง แต่สังเกตจากสีหน้าของจันทร์ที่มีครบรสทุกอารมณ์เริ่มตั้งแต่ไม่พอใจ เหวอ งง เจื่อน ยิ้ม และเขินอาย แค่นี้ก็พอจะรู้ว่ามันจะผ่านไปด้วยดี
.
.
.
.
เรื่องปลื้มกับหมอดินต่อจากนี้ต้องปล่อยให้ทั้งคู่ค่อยๆ ปรับความเข้าใจกันเอง ส่วนผมก็ต้องมีเรื่องที่ต้องจัดการเช่นกันและเป็นเรื่องที่สำคัญมากที่ผมจะต้องจัดการให้เสร็จเรียบร้อยก่อนที่จะกลับไปญี่ปุ่น ซึ่งตอนนี้ก็เหลือเวลาน้อยลงทุกที
ตลอดทางกลับคอนโดจันทร์เอาแต่นั่งเงียบชวนคุยก็ไม่ยอมคุยและเอาแต่หลบตา เมื่อส่งสายตาไปถามน้องโซ่ฝ่ายนั้นก็ส่งซิกมาว่า
‘งอน’ ผมเองก็ได้แต่แปลกใจเพราะคิดว่าไอจังจะเคลียร์เรื่องให้แล้วซะอีก ผมจึงให้มาซารุแวะร้านอาหารทานมื้อเย็นที่ร้านอาหาจีนที่ขึ้นชื่อแห่งหนึ่ง แต่ยังไม่ทันจะได้เดินเข้าร้านทุกคนก็ต้องหยุดชะงักด้วยคำพูดที่ลอยมาตามลมว่า
‘อยากกินส้มตำ’ พร้อมกับส่งสายตาไปทางร้านรถเข็นข้างถนน วินาทีนี้ผมรู้แล้วว่าผมโดนเล่นซะแล้ว มีการปรายหางตามามองผมเชิงท้าทายว่า
‘กล้ารึเปล่า?’ ผมจึงต้องผายมือเชิญไปทางรถเข็นกล้าท้าผมก็กล้าลองครับ
หากจะให้พูดกันตามตรงนั่นก็คือผมทานอาหารรสจัดไม่เก่งครับ โดยเฉพาะอาหารไทยประเภทยำ ต้มยำ และแกง หรือไม่ว่าจะเมนูอะไรก็แล้วแต่ที่มีส่วนผสมของพริกผสมอยู่ถ้าแค่เม็ดเดียวยังพอทนแต่ถ้าเกินกว่านั้นผมคงไม่ไหวจริงๆ แต่จะให้ทำยังไงได้ล่ะครับ ผมไม่เก่งเรื่องพูดง้อใคร เพราะฉะนั้นถ้ามันทำให้จันทร์สบายใจผมก็ทำได้ทั้งหมดครับ
เพื่อไม่ให้สะดุดตาจนเกินไป ผมจึงถอดสูทตัวนอกออกแล้วฝากไว้กับมาซารุ ตอนแรกมาซารุจะตามผมมาด้วยแต่ผมคิดว่ามาซารุไม่ควรจะมาทนกินอาหารรสจัดแบบที่ตัวเองไม่ถนัดด้วยกันกับผม ดังนั้นผมจึงสั่งให้บอร์ดี้การ์ดคนสนิทสั่งอาหารจีนจากร้านอาหารมากิน แม้มาซารุจะลำบากใจแต่ในเมื่อเป็นคำสั่งก็ต้องทำตาม
“ป้าครับ ส้มตำปูปลาร้าแบบแซ่บๆ ลาบหมู น้ำตกหมู ไก่ย่างสองไม้ และข้าวเหนียวสามกระติ๊บครับ”
นั่งที่โต๊ะปุ๊ป จันทร์ก็ตะโกนสั่งอย่างคล่องแคล่ว ผิดกับน้องโซ่ที่ทำหน้าลำบากใจ
“คุณพี่ยูโอเคมั๊ยครับ”
ผมพยักหน้าตอบว่าโอเค ตลอดชีวิตของการเป็นทายาทตระกูลอิเคดะผมผ่านเรื่องมากมายจนถึงขั้นเกือบเอาชีวิตไม่รอดมาก็เยอะแล้วจะกลัวอะไรกับเรื่องแค่นี้ครับ
ไม่นานอาหารก็มาเสิร์ฟ คนที่บอกว่าอยากกินก็ลงมือกินทันทีครับ น้องโซ่คงจะเห็นใจผมจึงบอกให้ผมปั้นข้าวเหนียวเป็นก้อนพอดีคำแล้วจิ้มน้ำในแต่ละจานเพื่อชิมรสชาติก่อน แต่ผมคิดว่าคงจะไม่จำเป็นสักเท่าไหร่เพราะดูจากใบหน้าที่ขึ้นสีแดงจัดตั้งแต่คำแรกของคนเจ้ากี้เจ้าการแล้วก็พอจะรู้ว่าคงเผ็ดเอาเรื่องแน่นอน ลูกผู้ชายเดินหน้าแล้วถอยไม่ได้ครับ ผมจึงใช้ส้อมตักเส้นมะละกอแค่ 2-3 เส้นเข้าปากแล้วตามด้วยข้าวเหนียว
“สุมิมาเซ็น วากะซามะ”
เพิ่งกินได้คำแรกเสียงที่คุ้นหูของมาซารุกล่าว ‘ขอโทษที่รบกวนคุณชาย’ ก็ทำให้ผมต้องขมวดคิ้วแล้วหันไปมอง ซึ่งแม้ใบหน้าของมาซารุจะนิ่งเรียบไม่แสดงอารมณ์ใดๆ แต่สายตาที่มองมาที่ผมนั้นบอกให้รู้ว่ามีเรื่องเร่งด่วน ผมจึงรีบพยักหน้าอนุญาต มาซารุค้อมศีรษะลงเล็กน้อยก่อนจะเข้ามากระซิบความที่ข้างหูของผม
“เราต้องกลับกันแล้ว”
เด็กหนุ่ม 2 คนมองผมอย่างงงๆ ปนสงสัยแต่ก็ไม่มีใครเอ่ยถามอะไร
“อีกสิบนาทีเดี๋ยวจันทร์จะตามไปที่รถ”
“ไม่ได้”
ใบหน้าน่ารักแสดงสีหน้าไม่พอใจเล็กน้อย ก่อนจะลุกขึ้นจูงมือเพื่อนเดินนำผมไป เมื่อถึงรถลูกน้องคนสนิทอีก 2 คนของผมก็รออยู่แล้ว มาซารุก็เปิดประตูให้จันทร์และเด็กหนุ่ม และผมก็หันไปสั่งลูกน้องทั้ง 2 คนให้ดูแลคนในรถให้ดีด้วย
“โอเนไง เนะ”
“ไฮ้!, โกะชินไพนาคุ วากะซามะ”
ลูกน้องฝีมือดีที่ผมไว้ใจค้อมรับคำสั่งด้วยเสียงหนักแน่นไม่ต้องให้ผมเป็นห่วงอะไร เสร็จแล้วทั้งคู่ก็ขึ้นประจำที่คนขับรถส่วนอีกคนก็นั่งเบาะหน้าข้างคนขับรถ เครื่องยนต์ดังขึ้นพร้อมกับกระจกหน้าต่างตรงเบาะหลังของรถถูกเลื่อนลง
“ทำไมไม่ไปด้วยกัน?”
“ฉันมีงานด่วนต้องทำ”
“ถึงห้องแล้วส่งข้อความบอกฉันด้วยและห้ามเปิดประตูให้ใครเด็ดขาด”
จันทร์เป็นคนฉลาดและไม่เซ้าซี้ให้มากความเพียงแค่นี้ก็คงพอจะเข้าใจสถานการณ์ เด็กหนุ่มพยักหน้ารับแล้วจ้องมองผมไม่วางตาก่อนจะเลื่อนกระจกขึ้น แล้วสี่ล้อก็เคลื่อนตัวออกจากลานจอดรถ แต่เพียงแค่ไม่กี่เมตรล้อที่หมุนก็หยุดลงและกระจกหน้าต่างรถก็ถูกเลื่อนลงอีกครั้ง
“พี่ยู!”
เสียงตะโกนและใบหน้าที่โผล่ออกมาจากหน้าต่างทำให้ผมรีบเดินเข้าไปหาเพราะไม่อยากให้อีกฝ่ายลงมาจากรถ และยังไม่ทันจะอ้าปากถามว่ามีอะไรคนที่เรียกก็ยืดตัวโผล่ออกมาจากหน้าต่างรถใช้ริมฝีปากสีสวยแตะลงผะแผ่วบนริมฝีปากของผม
“ดูแลตัวเองด้วยนะครับ”
คำกระซิบที่ได้ยินกันเพียงแค่เรา 2 คนทำให้ผมอดจะยิ้มไม่ได้ แต่เนื่องจากในตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะมาเพิ่มความหวาน ผมจึงทำเพียงลูบหัวของอีกฝ่ายแล้วออกคำสั่งให้ลูกน้องเคลื่อนรถออกไปโดยเร็วที่สุด
.
.
.
.
มาซารุขับรถพาผมมาจนถึงเขตปริมณฑลและจอดลงหน้าคลินิกแห่งหนึ่งพอดีกับที่เสียงข้อความแจ้งเตือนของผมดังขึ้น แค่เห็นชื่อก็ทำให้ริมฝีปากของผมวาดโค้งเป็นรอยยิ้ม ถ้าจำไม่ผิดผมสั่งว่าถ้าถึงห้องแล้วให้ส่งข้อความมาบอกแต่ข้อความที่ส่งมาคือ
‘อาบน้ำเสร็จแล้วครับ’ และ
‘จันทร์กำลังจะนอน’ พร้อมแนบรูปประกอบเป็นเด็กหนุ่มผิวขาวร่างเล็กบอบบางใส่เสื้อยืดกับกางเกงบ๊อกเซอร์อวดเรียวขายืนเซลฟี่ตัวเองอยู่หน้ากระจก มาซารุลงจากรถแล้วเดินอ้อมมาเปิดประตูให้ผม ดังนั้นผมจึงต้องหยุดความคิดทุกอย่างเก็บโทรศัพท์ใส่ในกระเป๋าเสื้อแล้วลงจากรถ
บุรุษร่างสูงบึกบึนที่ยืนรออยู่หน้าคลินิกพร้อมด้วยลูกน้องของผมอีก 1 คน ค้อมศีรษะให้ผมอย่างนอบน้อมพร้อมทักทายผมอย่างสุภาพ
“คมบังวะ วากะซามะ”
“อาริกาโตะ โทชิโอะ”
กล่าวขอบคุณโทชิโอะกลับด้วยความซาบซึ้ง
ทชิโอะหนุ่มชาวญี่ปุ่นและถือว่าเป็นบอร์ดี้การ์ดมือหนึ่งของตระกูลอิเคดะ คุณชายใหญ่ของตระกูลเคยเอ่ยขอโทชิโอะให้เข้าร่วมทีมกับตัวเองจากคุณปู่แต่โดนปฏิเสธเนื่องจากโทชิโอะถูกเลี้ยงดูและปลูกฝังมาจากคุณนากามุระผู้ซึ่งบอร์ดี้การ์ดทุกคนนับถือว่าเป็นอาจารย์ คุณนากามุระรับใช้คุณอาเจโกะหรือคุณแม่ของไอจังมาตั้งแต่คุณอาท่านยังแบเบาะ ดังนั้นบอร์ดี้การ์ดทุกคนที่อยู่ในการดูแลของคุณนากามุระจึงมีหน้าที่รับใช้ลูกหลานทุกรุ่นที่สืบเชื้อสายของคุณอาเจโกะ และนี่คือหนึ่งสาเหตุที่ทำให้ตระกูลใหญ่ๆ เกิดการแย่งชิงอำนาจกัน พ่อฆ่าลูก พี่ฆ่าน้อง น้องหักหลังพี่ และลูกเผาพ่อ แต่นับว่าโชคดีที่เหตุการณ์เช่นนี้ไม่ได้เกิดขึ้นในตระกูล ทว่าในอนาคตก็ไม่มีใครสามารถหยั่งรู้ได้ ด้วยเหตุนี้คุณปู่จึงตัดปัญหาปกป้องหลานที่เกิดจากลูกสาวเพียงคนเดียวด้วยการต้องโกหกคนทั้งโลกว่าลูกของคุณน้าเจโกะเป็นผู้หญิง อีกทั้งทรัพย์สมบัติและอำนาจที่ยกให้ไอจังก็เป็นเพียงเศษเสี้ยวเมื่อเทียบกับของหลานคนอื่นๆ
ถ้าถามว่าบอร์ดี้การ์ดมีความสำคัญยังไง ผมขอบอกว่าบอร์ดี้การ์ดไม่ใช่คนรับใช้นะครับ บอร์ดี้การ์ดของตระกูลอิเคดะทุกคนได้รับการสนับสนุนทางการศึกษาทั้งบู๊และบุ๋นตามแต่ความพอใจของเจ้าตัว พวกเขาเป็นมากกว่าเพื่อน พี่ น้อง เพราะเขาคือผู้ที่ระวังภัยให้เราโดยยึดหลักความปลอดภัยของเราสำคัญที่สุด และความปลอดภัยของตนเป็นเรื่องรอง ต้องใช้ความคิดก่อนตัดสินใจเหตุการณ์โดยอยู่บนพื้นฐานของความเด็ดขาดและชัดเจน ฝึกฝนตนเองเสมอเพื่อความปลอดภัยของเจ้านายเมื่อเหตุใดๆ มาถึง และต้องเคารพการตัดสินใจของผู้บังคับบัญชา เพราะฉะนั้นการที่เราจะมีบอร์ดี้การ์ดที่ดีและสามารถไว้วางใจได้สักคนไม่ใช่เรื่องง่ายเลยสักนิด และถ้าถามว่าทำไมโทชิโอะซึ่งเป็นบอร์ดี้การ์ดของไอจังถึงมาอยู่ที่นี่ นั่นเพราะผมขอร้องให้ไอจังช่วยเรื่องนี้เนื่องจากที่นี่ไม่ใช่ญี่ปุ่น อำนาจที่ผมมีจึงไม่สามารถครอบคลุมได้ดั่งใจ โทชิโอะจึงต้องทำหน้าที่แทนเจ้านายนั่นคือเจรจาเปิดทางให้ผม และตอนนี้ก็หมดหน้าที่ของโทชิโอะแล้ว
“โดโซะ โคะฉิระเอ๊ะ วากะซามะ”
เมื่อโทชิโอะขอตัวลากลับ มาซารุก็ผายมือให้ผมเดินเข้าไปในคลินิก โดยด้านนอกมีลูกน้องยืนเฝ้าอยู่ที่รถ 1 คน หน้าประตูคลินิกแขวนป้ายปิดทำการและหรี่ไฟให้มีความสว่างน้อยลง เมื่อเข้ามาด้านในก็เจอคุณหมอเจ้าของคลินิกและพยาบาลผู้ช่วยยืนหน้าซีดยกมือไหว้ผมอยู่หลังเคาท์เตอร์ ผมพยักหน้ารับไหว้แล้วให้มาซารุยืนรอผมอยู่ตรงนี้ จากนั้นผมก็เดินไปยังห้องตรวจ
หน้าประตูห้องตรวจมีลูกน้องอีก 1 คนยืนอยู่ หลังจากค้อมศีรษะให้ผมแล้วลูกน้องก็ถอยไปยืนรอผมห่างจากห้องตรวจไปอีก 3 ก้าว
“พ พวกคุณเป็นใคร?!”
นี่คือคำทักทายแรกจากเด็กสาวที่นั่งหน้าซีดตัวสั่นผมเฝ้ายุ่งเหยิงอยู่บนเตียงคนไข้ภายในห้องตรวจ
“ไม่จำเป็นที่เธอจะต้องรู้”
ผมนั่งลงตรงเก้าอี้ จ้องหน้ากับคนบนเตียง
ตรงหน้าของผมเป็นเพียงเด็กสาววัย 16 ปี เธอเป็นเด็กสาวจากครอบครัวที่มีพร้อมทุกสิ่งแม้ไม่ได้ร่ำรวยแต่ก็มีกำลังพอที่จะส่งลูกสาวเพียงคนเดียวให้เล่าเรียนได้สูงที่สุดเท่าที่เธอพอใจและใช้ชีวิตอยู่อย่างสบายอย่างพอเพียง แต่ช่วงเวลาเหล่านั้นของเธอก็ดับวูบลงเพียงเพราะขาดความยับยั้งชั่งใจในชั่วขณะ
“ล แล้วต้องการอะไร? หนูไม่มีให้คุณหรอกนะ”
ภายใต้ใบหน้าที่ฉาบแต้มด้วยเครื่องสำอางจนทำให้ดูอายุเกินกว่าความเป็นจริงไปเยอะนั้นปิดบังความอ่อนแอและความทุกข์ตรมเอาไว้จนน่าตกใจ
“ฉันจะมาช่วยเธอ”
ดวงตาที่ดูแข็งกร้าวแทบตลอดเวลา บัดนี้เหลือแต่เพียงความไร้เดียงสาและอ่อนแอ เธอหัวเราะ ‘หึ’ ด้วยเสียงเย้ยหยันที่เต็มไปด้วยความผิดหวัง
“แม้แต่ตำรวจยังช่วยฉันไม่ได้ อย่ามาหลอกหนูให้โง่เลย”
“ฉันไม่ใช่ตำรวจและฉันก็ช่วยเธอได้”
คนฟังเงียบไป และดวงตาคู่นั้นยังคงจ้องมองผมไม่วางตา
“สมายล์ ”
เจ้าของชื่อสะดุ้งเบิกตาโต
“สมายล์ ลูกสาวเพียงคนเดียวของกำนันฟ้อน กำพร้าแม่มาตั้งแต่เด็ก แต่น้าเพียรเมียใหม่ของกำนันก็ดูแลเอาใจใส่และรักเธอเหมือนลูกแท้ๆ ของตัวเอง”
“ค คุณรู้จักฉัน?”
“การจะช่วยใครสักคนฉันจำเป็นจะต้องรู้ข้อมูลก่อน”
“แล้วทำไมคุณถึงต้องช่วยฉัน? คุณต้องการอะไร?”
นับว่าเป็นเด็กที่ฉลาดพอตัวครับ เพราะถ้าหากเป็นคนอื่นคงรีบเกาะขาผมแล้วร้องไห้อ้อนวอนให้ช่วยเร็วๆ
“ฉันแค่ต้องการให้คนที่อยู่เบื้องหลังของเธอเปิดเผยตัวออกมา”
“ค คุณเป็นมาเฟียเหรอ?”
ผมส่ายหน้า
“เธอไม่จำเป็นต้องรู้อะไรเกี่ยวกับฉัน เอาเป็นว่าฉันช่วยเธอได้แล้วกัน”
“แล้วหนูจะเชื่อคุณได้ยังไง?”
“มันอยู่ที่การตัดสินใจของเธอเอง เธอมีสิทธิที่จะเชื่อและไม่เชื่อฉัน และตอนนี้เราก็มีเวลาไม่มาก”
เธอเงียบไปครู่หนึ่งเพื่อใช้ความคิด
“คุณจะช่วยฉันยังไง?”
เป็นคำถามที่ดีมากครับ
“ฉันสามารถช่วยให้เธอเริ่มต้นชีวิตใหม่อย่างปลอดภัยและหลุดพ้นจากขุมนรกที่เธอเจออยู่นี้ซักที”
คำตอบของผมคงจะไปจี้จุดใจดำของเธอเข้า น้ำตาของเด็กสาวจึงทะลักไหลออกมาอย่างกับเขื่อนพัง
“ข ขอถามคุณอีกหนึ่งคำถาม ฮึก.. ฉันต้องทำยังไง?”
“ไม่ต้องทำอะไรทั้งนั้น รวมทั้งเด็กในท้องก็จะยังคงอยู่ หลังจากฉันจัดการทุกเรื่องเสร็จเรียบร้อยเธอก็จะได้กลับไปอยู่บ้านโดยที่จะไม่มีใครซ้ำเติม และไม่ว่าเด็กคนนี้จะมีที่มายังไงแต่ก็นับเป็นหนึ่งชีวิตเช่นเดียวกับเธอ หลังจากนี้ไปเธอแค่ดูแลตัวเองและเด็กให้ดีก็พอ”
มือเล็กยกมือปิดหน้าเอาไว้ ไม่มีคำพูดใดๆ ออกมาจะมีเพียงการพยักหน้าซึ่งนั่นหมายความว่าเธอตกลง
หลายคนสงสัยว่าทำไมผมถึงต้องทำตัวเป็นพระเอกมาช่วยเหลือเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ คนหนึ่งด้วย ผมขอตอบตามตรงว่ามีเพียงเหตุผลเดียวที่ทำให้ผมต้องจัดการเรื่องนี้ด้วยตัวเองก็คือปกป้องคนรัก แล้วถ้าถามว่าสมายล์เกี่ยวข้องยังไงกับคนรักของผม นั่นเพราะเธอคือเด็กสาวผู้โชคร้ายที่ตกหลุมรักดวงจันทร์โดยที่ดวงจันทร์ไม่เคยรู้ตัวและไม่เคยจะสนใจเธอด้วยซ้ำ แม้เธอจะพยายามเข้าหาคนที่เธอแอบรักแค่ไหนแต่อีกฝ่ายก็ไม่เคยเห็นเธออยู่ในสายตา ผมเข้าใจความรู้สึกนี้ดีว่ามันเจ็บปวดเพียงใด เพราะในอดีตผมเองก็ตกหลุมรักดวงจันทร์ดวงนี้เช่นเดียวกัน
สมายล์โชคร้ายยังไง? ก็ตรงที่มีใครบางคนใช้ความรักของเธอเป็นตัวล่อให้เธอเข้าติดกับดักอันแสนโหดร้าย เธอโดนข่มขืนและบังคับข่มขู่ทำร้ายร่างกายให้ขายตัว และเมื่อเธอท้องก็ถูกบังคับให้มาทำแท้ง แม้ที่นี่จะเป็นคลินิกถูกกฎหมายแต่เบื้องหลังก็คือคลินิกทำแท้งภายใต้การควบคุมของแก๊งค์ค้ามนุษย์ บนเตียงแห่งนี้นอกจากจะใช้ตรวจคนไข้อย่างถูกต้องแล้วมันยังใช้ฆ่าชีวิตไร้เดียงสาอีกมากมายจนนับไม่ถ้วน และผมก็คิดว่าตอนนี้ข่าวเรื่องที่ผมมาที่นี่คงกระจายไปถึงหูผู้อยู่เบื้องหลังเรียบร้อยแล้ว นั่นแหละคือสิ่งที่ผมต้องการ
ปล่อยให้เด็กสาวร้องไห้ ผมลุกขึ้นยืนมองอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงเพิ่งคิดได้ว่าลืมพูดบางอย่างไป
“อ่อ.. ฉันลืมไปว่ามีเรื่องหนึ่งที่เธอจะต้องทำ”
ฝ่ามือที่เปียกชุ่มไปด้วยน้ำตาลดลง ดวงตาบวมแดงมองหน้าผม
“เลิกชอบจันทร์ซะ”
ผมไม่รู้ว่าเด็กสาวทำหน้าหรือมีสายตายังไงกับคำพูดสุดท้ายของผม แต่สิ่งที่ผมรู้ก็คือนี่คือสิ่งเดียวที่เธอต้องทำ เพราะเธอจะไม่มีวันสมหวังเพราะโชคชะตาของเด็กหนุ่มคนนั้นถูกกำหนดให้อยู่เคียงข้างผมเท่านั้น
ลูกน้องของผมพาเด็กสาวออกทางด้านหลังคลินิก ผมกลับขึ้นรถและมาซารุก็ขับออกจากหน้าคลินิกอย่างไว
.
.
.
.
มีต่อด้านล่างนะคะ
