Miracle of WISH ผมเรียกมันว่าปาฏิหาริย์แห่งคำอธิษฐาน
-13-
ร่างกายอ่อนเพลียจนต้องดื่มเครื่องดื่มผสมเกลือแร่แทนน้ำ สาเหตุจะเกิดจากอะไรได้ถ้าไม่ใช่ส้มตำ ลาบหมู และน้ำตก จะเททิ้งก็เสียดายเงินสองพันบาท จะเก็บไว้กินตอนเช้าก็กลัวจะไม่อร่อย ผมจึงจัดการกินทุกอย่างไม่เหลือแม้แต่ถั่วฝักยาวแล้วผลที่ได้ก็คือขรี้แตกทั้งคืนครับ T^T
ด้วยความเป็นห่วงไอ้โซ่ก็อุตส่าห์หิ้วปีกผมมาส่งถึงหน้าห้องเรียน นี่ถ้าทำได้มันคงเข้าไปนั่งเรียนกับผมแล้วล่ะครับ คิดแล้วหางคิ้วก็กระตุกยิกๆ นี่ถ้าไม่ติดว่ามีเรียนวิชาที่ต้องเก็บคะแนนเข้าห้องผมคงไม่แบกสังขารมาเรียนหรอก แล้วที่ทำให้ผมเคืองยิ่งกว่าส้มตำราคาสองพันบาทก็คือพี่ยูไม่เคยบอกเรื่องคุณหนูไอให้ผมรู้ ปล่อยให้ผมหน้าแตกแหกเป็นเสี่ยงๆ ดังนั้นถ้าจะง้อผมก็ต้องมาอธิบายเรื่องนี้ให้ผมฟังด้วยตัวเองไม่ใช่ส่งให้คุณหนูไอมาเคลียร์หรือไม่ใช่ซื้อส้มตำในราคาแพงเกินเหตุมาง้อ ทีเรื่องธุรกิจพันล้านล่ะคิดได้แต่เรื่องเล็กๆ แค่นี้ดันคิดไม่ได้ ชิส์
“คุณจันทร์รอตรงนี้นะ เดี๋ยวผมไปเรียกแท็กซี่ก่อน”
โบกมือบอกไอ้โซ่ว่าไม่ต้องไปจากนั้นก็ชี้ไปที่บุรุษร่างใหญ่ในชุดสูทที่เดินหน้านิ่งตรงมาที่พวกผม ไม่ต้องบอกก็รู้ใช่มั๊ยครับว่าคนหันมองกันเป็นตาเดียวเลย
“คอนนิจิวะ คุณมาซารุ ครับ”
ไอ้โซ่ขโมยซีนด้วยการค้อมศีรษะทักทายตอนบ่ายให้คุณมาซารุแล้วก็ปิดท้ายด้วยการยกมือไหว้ แล้วตกลงมันจะพูดญี่ปุ่นหรือว่าไทยกันแน่เนี่ย? แต่ก็ตามใจไอ้โซ่มันครับ ถ้าทำแล้วเพื่อนสบายใจผมก็ไม่ได้ว่าอะไร แต่ที่แน่ๆ ได้ข่าวแว่วมาว่าน้องสาวคนเล็กของคุณมาซารุน่ารักมาก แค่นี้ไอ้โซ่ก็ตาลุกวาวอยากจะเรียนภาษาญี่ปุ่นขึ้นมาทันที
คุณมาซาะรุค้อมศีรษะทักทายกลับแล้วก็เดินนำเรามาที่รถ หลังจากนั้นผมก็หลับยาวจนถึงคอนโดเลยครับ กลับมาก็ไม่ได้เจอตัวการที่ทำให้ผมหมดสภาพหรอกครับ เพราะพี่ยูติดประชุมผู้บริหารอยู่ที่บริษัทกับคุณหนูไอ พี่ยูบอกว่านักธุรกิจไม่มีวันหยุดเพราะตลาดมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา จึงจำเป็นจะต้องตามเกมส์และรู้ให้ทันคู่ต่อสู้อยู่เสมอ เมื่อพูดถึงตรงนี้ผมก็ย้อนกลับมามองตัวเอง ทั้งที่ผมเข้ามาเรียนในรั้วมหาวิทยาลัยได้ครึ่งเดือนแล้วแต่เชื่อมั๊ยครับว่าผมยังไม่มีเพื่อนสักคน ไม่ใช่ว่าผมเป็นคนมนุษยสัมพันธ์แย่นะครับเพียงแต่ทุกครั้งที่เพื่อนในห้องรวมกลุ่มกันทุกคนจะพูดคุยแต่เรื่องที่ผมไม่เข้าใจ ตามไม่ทันตลอด ทุกคนก็จะมองผมด้วยสายตาแปลกๆ จนตอนนี้มีศัพท์แสลงของชาวคณะที่บัญญัติขึ้นใหม่ว่า
‘ชาวจันทร์’ ตอนแรกผมก็งงว่ามันแปลว่าอะไรแต่ตอนนี้ถึงบางอ้อแล้วครับว่ามันหมายถึงคนตกยุค ล้าหลัง ตามเทรนด์ไม่ทัน ถ้าเพื่อนคนไหนตามเทรนด์ไม่ทันก็จะถูกเรียกว่าชาวจันทร์ทันที ผมควรจะดีใจมั๊ยครับที่ชื่อของผมกลายเป็นคำฮิตของคณะ แต่ยังดีหน่อยครับที่เวลาทำงานกลุ่มพวกผู้หญิงจะชวนผมไปอยู่ด้วย สาเหตุเพราะผมช่วยพวกเธอทำงานได้และไม่ขี้บ่น ถึงอย่างนั้นก็ไม่มีใครอยากจะสนิทกับผมอยู่ดี แล้วไหนจะเรื่องที่ต้องออกค่ายสานสัมพันธ์ฉันท์พี่น้องสิ้นเดือนนี้อีก ยิ่งคิดเรื่องนี้ทีไรก็ยิ่งคิดถึงบ้านครับ
ประตูห้องนอนของผมถูกเปิดออก แว่บแรกผมแอบหวังว่าจะให้เป็นพี่ยูแต่มันก็ได้แค่ความหวังลมๆ แล้งๆ เพราะจะมีใครไปได้นอกจากไอ้โซ่ มันเดินถือถาดอาหารคนป่วยมาวางให้ผมข้างเตียง ยกมืออังหน้าผากวัดไข้
“เดี๋ยวทานโจ๊กสักนิดจะได้ทานยานะครับ”
เพื่อไม่ให้ไอ้โซ่เป็นห่วงมากกว่านี้ผมจึงต้องลุกขึ้นนั่งกินโจ๊กตามคำสั่ง แต่กินไปได้ไม่กี่คำก็รู้สึกผะอืดผะอมจึงส่งถ้วยโจ๊กคืน รับยามาใส่ปากดื่มน้ำตามจนหมดแก้วแล้วล้มตัวลงนอนเหมือนเดิม รอบนี้หลับลึกเลยครับ
.
.
.
.
ท่ามกลางนภาอร่ามนวลด้วยแสงจันทราดวงโต ท้องฟ้าในฤดูใบไม้ผลิช่างสดใส แม้อากาศในช่วงกลางคืนจะหนาวจนต้องห่อตัวแต่ผมกลับคือว่ามันช่างสดชื่นเหลือเกิน
“ทซึกิ?”
เสียงเรียกทำให้ผมที่กำลังสูดกลิ่นซากุระยามค่ำคืนต้องรีบค้อมตัวแล้วหันกลับไปทำความเคารพเจ้าของเสียงผู้ซึ่งเป็นท่านแม่ของผม
“คมบังวะ โอก้าซะมะ”
“ทซึกิ.. น้ะหนิ โอ๊ะ ชิเต๊ะอิมัสก๋า?”
ท่านแม่ยืนอยู่ตรงนอกชาน แสงของดวงจันทร์ถูกบดบังด้วยเงาไม้อีกทั้งแสงจากโคมตะเกียงที่คนรับใช้ถือไว้ก็อยู่ห่างจากท่านแม่หลายก้าวจึงทำให้ผมมองใบหน้าท่านได้ไม่ชัดเจน
“วาตาชิ กะ ซันโปชิมาเซ็น”
ตอบท่านว่าออกมาเดินเล่น และท่านก็เหมือนจะไม่เชื่อจึงถามผมซ้ำว่ามาเดินเล่นจริงเหรอ?
“ซันโปชิมาสุ?”
“ไฮ้, วาตาชิ กะ คินโจ โอ๊ะ ซันโปชิมาเซ็น”
ค้อมศีรษะลงไปอีกระดับก่อนจะตอบว่า
‘ครับ, แค่ออกมาเดินเล่น’ หลังจากนั้นท่านก็เงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเข้มงวด
‘อากาศมันหนาว ไปนอนได้แล้ว’ แบบที่ผมคุ้นชิน
“ซะมุอิ เดสเนะ, โซะโรโซะโร เนรุ คาชิระ”
ท่านยืนอยู่ที่เดิมอีกครู่หนึ่งแม้ผมจะมองไม่เห็นใบหน้าของท่านแต่ผมรู้ว่าสายตานั้นกำลังตำหนิผมอยู่ ผมจึงค้อมตัวลงต่ำและหดตัวให้เล็กที่สุด จนเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าจากไปผมจึงค่อยๆ เงยหน้ากลับขึ้นมาพร้อมกับถอนหายใจเบาๆ
สายลมพัดให้กลีบซากุระหลุดปลิวไหว กลีบหนึ่งร่วงมาติดอยู่ตรงปลายจมูก ผมดึงมือที่ซุกไว้ในเสื้อออกมาหยิบกลีบดอกซากุระแล้วเงยหน้าขึ้นมองความงามที่สะพรั่งอยู่บนต้น แค่ปีละครั้งเท่านั้นที่มันจะเบ่งบานงดงามเช่นนี้
“ทซึกิ?”
ความคิดทุกอย่างของผมหยุดลง ดวงตาที่กำลังชื่นชมความงามของดอกไม้เปลี่ยนทิศเพ่งพิศในเงาตรงหน้าด้วยหัวใจที่คาดหวัง ทุกก้าวย่างที่เข้ามาใกล้ทำให้จิตใจเต้นระทึกและน้ำตาก็พาลจะไหลเมื่อได้เห็นดวงตาสีเข้มที่เฝ้าคอย หากแสงจันทร์ในคืนนี้ไม่เจิดจ้าผมคงไม่รู้ว่าใบหน้าที่เข้มขึงนั่นประดับรอยยิ้มของบุรุษนักรบไว้
ผมพยายามจะเปล่งเสียงออกไปแต่ด้วยความดีใจที่คับแน่นไปทั้งอกกลับทำให้หาเส้นเสียงของตัวเองไม่เจอ จนกระทั่งสองแขนอันแข็งแกร่งดึงผมเข้าไปโอบรัดไว้ ผมสัมผัสได้ถึงกลิ่นสาปคาวเลือดยังคงคลุ้งติดกายและนี่คือหลักฐานที่ทำให้ผมตระหนักได้ว่าพรที่ผมเฝ้าอธิษฐานต่อเทพนักรบนั้นเป็นจริงแล้ว
“อ โอะคะเอะรินะไซมะเซ, โอะนี่ซะมะ”
มันเป็นความยินดียิ่งกว่าสิ่งใดที่ได้รับ
‘ยินดีต้อนรับการกลับมาครับ, ท่านพี่ชาย’ “ไอต๊ะขัตตะ.. ทซึกิ”
เสียงทุ้มกล่าวคำคิดถึงก้องชิดริมหู ริมฝีปากที่แห้งผากจรดลงบนขมับของผม มันคือความคิดถึงที่สะสมมาเนิ่นนานผ่านมาถึงสองฤดูกาลกว่าจะได้พบเจอ ความหนาวของค่ำคืนไม่มีผลใดๆ อีกต่อไปเมื่อผมได้อยู่ในอ้อมกอดนี้
‘ไอต๊ะขัตตะ.. โอะนี่ซะมะ’ ผมเองก็คิดถึงท่านพี่ชายเช่นเดียวกัน.. คิดถึงเหลือเกิน..
ดวงจันทร์กลมโตส่องแสงนวลกระจ่าง กลบแสงวาววับของดวงดาวจนสิ้น สายลมพัดพาความหนาวปะทะผิวแก้มแต่เพียงแค่ได้ซุกใบหน้าลงกลางอกอันแข็งแกร่งก็ได้พานพบกับความอบอุ่นจากอ้อมกอดที่โหยหา ถ้าหากผมมีเวทมนต์ผมอยากจะหยุดช่วงเวลาทั้งหมดนี้ไว้ให้มีแค่เราสองคนเท่านั้น แต่เพราะว่าผมเป็นเพียงแค่คนธรรมดาไม่มีเวทมนต์ คาถา อาคม หรือสิทธิใดๆ ทั้งนั้น
“โอะคะเอะรินะไซ.. อะนะตะ..”
ในที่สุดความสุขที่ไขว่คว้าไว้ได้แค่เพียงเสี้ยวก็มลายหายไปราวกับเมื่อครู่เป็นเพียงแค่ความฝัน แม้ผมจะไม่ได้หันไปมองแต่น้ำเสียงนิ่งเรียบและกดต่ำทุกคำพูด
‘คุณกลับมาแล้วเหรอคะ?’ ก็ทำให้แผ่นหลังของผมเย็นเยียบ
สองแขนที่โอบรัดผมไว้คลายออกแล้วค่อยดึงผมไปไว้ด้านหลัง แผ่นหลังอันกว้างเปรียบเสมือนเกราะกำบังชั้นดี ผมจึงไม่อาจรู้ว่าเจ้าของประโยคเมื่อครู่มีสีหน้าเช่นใด
“ทาไดมะ โมโดริมาชิตะ.. มิกิ”
ร่างสูงตรงยืนนิ่งไม่ไหวติงพร้อมกับตอบอีกฝ่ายกลับไปว่า
‘กลับมาแล้วครับ.. มิกิ’มิกิ?..
.
.
.
.
.
ผมสะดุ้งตื่นขึ้นมาราวกับโดนของร้อนลวก ผมพยายามตั้งสติและบอกตัวเองว่าผมแค่ฝันไป แม้ว่าตั้งแต่ที่ได้เจอพี่ยูผมจะแทบไม่ได้ฝันถึงเรื่องราวเดิมๆ อีกเลย แต่ก็มีบ้างบางครั้งที่ผมมักจะเห็นพี่ยูเป็นภาพซ้อนทับกับอดีต ยกเว้นแค่ครั้งนี้เท่านั้นที่ความฝันของผมเปลี่ยนไป มันไม่ใช่เรื่องราวเดิมๆ และมีบางความรู้สึกที่เพิ่มเติมขึ้นมา..
“สวัสดีครับน้องจันทร์ เจอกันอีกแล้วนะครับ”
คุณหมอดินยืนส่งยิ้มละมุนละไมให้ผมอยู่ข้างเตียง อ้าว! เฮ้ย! เดี๋ยว! นี่ผมไม่ได้นอนอยู่บนเตียงที่คอนโดหรอกเหรอ?
“เป็นยังไงบ้าง ยังรู้สึกปวดหัวอยู่รึเปล่า?”
อ้าปากจะตอบแต่เสียงมันไม่มีแถมรู้สึกเจ็บในลำคอไปหมดเลยล่ะครับ
“เจ็บคอเหรอ?”
ระหว่างที่ผมกำลังพยักหน้าตอบให้คุณหมอดิน ผมก็พอจะจำได้เลาๆ ว่าเมื่อคืนไข้ผมขึ้นสูง และนั่นคงเป็นสาเหตุให้ผมมานอนตากแอร์อยู่ในห้องคนป่วยวีไอพี
“อ้าปากให้คุณหมอดูหน่อยนะครับ”
พูดเพราะและยิ้มหวานขนาดนี้ถ้าไม่ทำตามก็บ้าแล้ว คุณหมอใช้ไฟฉายขนาดเล็กส่องในลำคอของผม
“คอแดง.. หยุดดื่มน้ำเย็นไปก่อนนะครับ แล้วคุณหมอจะจัดยาอมให้ด้วย น้องจันทร์ชอบรสส้มหรือสตอเบอร์รี่ครับ?”
คุณหมอทำให้ผมรู้สึกเหมือนตอน 4 ขวบ ตอนที่ผมมีแฟนคนแรก ลึกๆ ข้างในมันหวั่นมันไหวแปลกๆ
คุณหมอรู้ไหมผมเหมือน 4 ขวบอีกครั้ง
“รสส้มครับ”
อ้าวเฮ้ย! คนที่ตอบนั่นไม่ใช่ผม ใครกัน?? หันไปมองหน้ามันซิ บังอาจขัดจังหวะนัก แต่พอเห็นหน้าเท่านั้นแหละ อายุของผมก็เด้งกลับมา 18 ปีอย่างรวดเร็ว
“อาการเป็นยังไงบ้างครับคุณหมอ?”
ผู้ชายที่ยืนอยู่คนละฝั่งเตียงกับคุณหมอดินและเป็นคนเดียวกับที่ตอบแทนผมไปเมื่อครู่เอ่ยถามคุณหมอด้วยเสียงเรียบนิ่ง แตกต่างจากคุณหมอที่ยิ้มหวานซะเหลือเกิน
“ไข้ลดแล้ว อาการท้องเสียก็ไม่มีแล้ว แต่ยังมีอาการอ่อนเพลียอยู่บ้าง เดี๋ยวน้ำเกลือหมดถุงก็อนุญาตให้พาน้องจันทร์กลับบ้านได้แล้วครับ”
“ขอบคุณครับ”
ผมยกมือไหว้คุณหมอดินผู้อ่อนโยนแล้วก็แอบขนลุกแว่บนึงเมื่อนึกถึงภาพนักมวยที่ปล่อยหมัดใส่คู่ต่อสู้ต่อสู้จนเลือดอาบ
บานประตูปิดลงคุณหมอดินและคุณพยาบาลออกไปแล้วตอนนี้ก็เหลือแค่ผมกับ... นักรบซามูไรหนุ่มรูปงามที่มีนามว่า
‘อิเคดะยู’ พี่ยูกดน้ำจากกระติกน้ำร้อนใส่แก้วมาส่งให้ผมค่อยๆ จิบ จนในคอรู้สึกสดชื่นขึ้นมา ผมจึงลองเทสเสียงตัวเองเหมือนเทสเสียงไมค์ 1 2 3 ฮัลโหลๆ จนได้ที่แต่ก็ยังแหบอยู่ดีนั่นแหละครับ
“ไอต๊ะขัตตะ.. โอะนี่ซะมะ”
“หืม???”
ไม่แปลกหรอกครับที่พี่ยูจะคิ้วขมวดขนาดนั้น เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่ภาษาญี่ปุ่นหลุดออกมาจากผมด้วยน้ำเสียงแหบสเน่ห์ แถมยังเป็นประโยคอันสุดแสนจะโรแมนติก..คิดถึงเหลือครับบบบบท่านพี่
“เธอฝัน?”
เห็นใบหน้าเคร่งเครียดแล้วอดจะอมยิ้มไม่ได้ครับ
“แล้วถ้าไม่ฝัน แต่จันทร์แค่อยากจะพูดคำนี้กับพี่ยูล่ะ?”
แน่ะ พอผมอ่อยแบบนี้ล่ะมีทำตากรุบกริบใส่เชียว ผมจึงเปลี่ยนเป็นนอนตะแคงหันหน้าไปมองคนที่ดึงเก้าอี้มานั่งข้างเตียง ฝ่ามือใหญ่ปัดปอยเส้นผมที่ปรกหน้าผากออกให้ผม
“ท่านนักรบ. ท่านชื่ออะไรเหรอครับ?”
ถ้าหากในชาติที่แล้วผมชื่อทซึกิ.. แล้วอีกคนเล่าชื่ออะไร?
“ไม่รู้..”
“ไม่รู้เหรอ?”
“เธอรู้?”
ส่ายหน้าสิครับก็เพราะผมเองก็ไม่รู้เหมือนกัน แฮ่ ^^
“แต่จันทร์เรียกพี่ยูว่า
‘โอนี่ซามะ’ ”
คนฟังก็นั่งฟังอย่างตั้งใจแล้วอมยิ้ม
“นั่นแปลว่าพี่ชาย”
“’งั้น.. เราเป็นพี่น้องกันเหรอ?”
แกล้งถามไปอย่างนั้นแหละครับ คนถูกถามก็หรี่ตามองซะจนผมรู้สึกสำนึกผิด ต่อให้ภาพในอดีตจะไม่ชัดเจน แต่ความรู้สึกมันบอกว่าเป็นมากกว่าพี่น้องแน่นอน อาจจะลึกซึ้งถึงขั้น.... อืม... ด้วยกันแล้วก็ได้ เอ๊ะ?? นี่ผมคิดอะไรอยู่เนี่ย??
“โอนี่ซามะ..”
มองหน้าพี่ยูแล้วเรียกสรรพนามเหมือนอย่างในความฝันอีกครั้ง
“เรียกแบบนี้แล้วทำให้พี่ยูคิดถึงทซึกิมั๊ย?”
“ทซึกิ.. คือความรักที่มีอยู่ในความฝัน แต่จันทร์.. คือความรักในโลกแห่งความจริง”
โอ๊ยยย ตายไปเลยยยย หมอดินครับผมขอยาลดเบาหวานหน่อยครับ
“แต่จันทร์อยากจะเป็นทั้งคนในฝันและในความเป็นจริงของพี่ยู.. แค่จันทร์คนเดียวนะ”
ยืดอกแล้วฉีกยิ้มโชว์เหงือก โชว์โหนก เอาให้หน้าบานไปเลยครับ
“โอ๊ยยย เจ็บนะพี่ยู”
จู่ๆ ก็มาดีดหน้าผากใส่เฉยเลย แรงไม่ใช่น้อยๆ นะนั่น หน้าผากเป็นรอยแดงแน่ๆ
“ป่วยอยู่ไม่ใช่รึไง?”
“ก็ป่วยอยู่นี่ไง เนี่ยๆๆ เพลียจะแย่แล้ว แค่กๆ”
ยิ่งพูดเสียงก็ยิ่งหาย จนไอค่อกแค่ก ต้องขอน้ำอุ่นมาจิบอีกรอบ
“จันทร์ยังงอนพี่ยูอยู่นะ”
พูดออกไปทั้งที่เสียงแหบๆ นี่แหละครับ
“รู้แล้ว.. ไว้หายป่วยก่อนแล้วจะเริ่มง้อใหม่”
รู้สึกดีขึ้นมาทันทีครับ ผมล้มตัวลงนอนเพราะอีกหลายชั่วโมงกว่าน้ำเกลือจะหมดถุง
“ร ....”
แค่อินโทรตั้งท่าจะพูดต่อก็โดนพี่ยูเอานิ้วชี้มาแตะที่ริมฝีปากเพื่อบอกให้ผมหยุดพูดได้แล้ว ผมรู้นะว่าพี่ยูคงจะทนฟังเสียงแหบอันทรงสเน่ส์ของผมไม่ไหวเอาเป็นว่าหยุดพูดแล้วก็ได้เพราะเจ็บคอจริงๆ ครับ
“ไม่ว่าเธอจะเห็นอะไรในอดีต.. และไม่ว่าในอดีตนั้นฉันจะเป็นใคร.. แต่จงรู้ไว้ว่ามีสิ่งเดียวที่ยังคงเดิมไม่เปลี่ยนก็คือความรู้สึกฉันมีต่อเธอ”
อื้อหืออออ.. ไปต่อไม่ถูกเลยครับ ผมเขี่ยนิ้วเรียวยาวเล่นแก้เขิน
“ในอดีตฉันรักทซึกิ.. แต่ตอนนี้ฉันรักเธอเพราะตัวเธอเองไม่ใช่เพราะทซึกิ”
แก้มผมจะแตกแล้วครับ
“พักผ่อนซะเดี๋ยวก็ได้กลับบ้านแล้ว”
บ้าที่สุด! มาทำให้เขินจนตัวแทบบินแล้วจะหลับตาได้ยังไงล่ะทีนี้ แต่คิดอีกทีผมก็อยากกลับบ้านจะแย่อยู่แล้วจริงๆ นั่นแหละครับ แต่เป็นบ้านสวนนะไม่ใช่คอนโด..
.
.
.
.
.
.
หลังจากออกจากโรงพยาบาลผมก็กลับมาใช้ชีวิตนักศึกษาอย่างปกติ ตื่นเช้าไปเรียน เย็นทำกิจกรรม ค่ำกลับมานั่งหน้าคอมพ์ทำงานกลุ่มและการบ้านมากมาย กว่าจะได้นอนก็เลยเที่ยงคืน ไอ้โซ่เองก็อ่านหนังสือและช่วยหาข้อมูลบ้าง วันไหนอยากหาข้อมูลเพิ่มก็ไปมหาวิทยาลัยกับผม และวันทั้งวันไอ้โซ่ก็หมกตัวอยู่ในห้องสมุดนั่นแหละครับจะได้เห็นหน้าก็ตอนที่ผมโทรให้ออกมากินข้าวเที่ยงด้วยกัน ไอ้โซ่บอกว่าห้องสมุดนี่แหละคือคลังปัญญาของมัน
ไม่รู้ว่าผมอุปาทานไปเองรึเปล่าว่าตั้งแต่เข้ามาเรียนในเมืองหลวงร่างกายผมอ่อนแอลงทุกวัน ยิ่งตอนนี้ผมว่าถ้าผมคลานขึ้นเตียงได้ผมก็อยากจะทำ แต่ติดตรงที่เตียงผมโดนยึดครับ
“เพ่ยู----”
ลากเสียงยาวด้วยความอ่อนอกอ่อนใจให้คนที่นั่งพิงหลังกับหัวเตียงจิ้มไอแพดทำงานอย่างสบายใจโดยไม่คิดจะสนใจเจ้าของห้องเลยสักนิด
“อืม?”
“จันทร์ง่วงงงงงง”
แค่เงยหน้ามาดูสภาพผมนิดนึงเนี่ยมันจะทำให้ธุรกิจพันล้านของคุณพี่ขาดทุนมั๊ยครับ
“ก็นอนสิ”
มีเหลือบมองผมนิดนึงแล้วตบที่พื้นที่บนเตียงข้างๆ ก่อนจะกลับไปขยับนิ้วบนหน้าจอสี่เหลี่ยมต่อ ให้ตายเถอะ นี่มันจะมากไปแล้วนะ!
ตุบ!กระโดดขึ้นเตียงด้วยแรงเฮือกสุดท้ายนี่แหละครับ ผมขอยึดพื้นที่คืนด้วยการนอนฉีกแข้งฉีกขาก่ายทับผู้บุกรุกซะเลย
“ใครสอนให้อ่อยแบบนี้?”
หืม??? อ อ่อย? พี่ยูหมายถึงใคร??
“เธอนี่มัน..”
จู่ๆ ก็เขวี้ยงไอแพดทิ้งซะงั้น เฮ้ยๆๆ พี่คร้าบบนั่นมันไม่ใช่เครื่องละบาทสองบาทนะครับพี่ และขณะที่ผมกำลังจะพุ่งตัวไปคว้าเทคโนโลยีราคาแพงให้ทันก่อนตกลงบนพื้น ร่างของผมก็ถูกรวบให้นอนหงายอยู่ใต้ร่างคนตัวโตแบบไม่ทันตั้งตัว
“เฮ้ยยย! อุ๊บบส์”
แม้ผมจะฉลาดแต่รู้มั๊ยครับว่าบางเวลาผมก็ตามไม่ทันเหมือนกัน โดยเฉพาะเวลาที่โดนพี่ยูจู่โจมแบบถึงเนื้อถึงตัว ปากประกบปากอย่างเช่นขณะนี้ มันทำให้รอยหยักในสมองของผมไม่ทำงานแม้แต่น้อยเพราะฉะนั้นก็ยึดหลักตามความรู้สึกแล้วกันนะครับ... อืมมมม แบบว่าจูบของพี่ยูมันทำให้ผมรู้สึกดีจริงๆ
“อืมมมม”
ใบหน้าขยับเปลี่ยนองศารับการสอดแทรกของลิ้นอุ่น มันทำให้ร่างกายของผมค่อยๆ เพิ่มอุณหภูมิขึ้นทีละนิดจน.. ผมคิดว่านอกจากำลังจะขาดใจตายแล้วอวัยวะจุดสำคัญของผมก็แปลกๆ ไปด้วย ไม่ได้การละครับ ผมทุบไหล่คนด้านบนเพื่อขอเวลานอกหอบเอาอากาศเข้าปอดหน่อยครับ
พี่ยูยอมให้อิสรภาพแก่ผมแต่ริมฝีปากก็ยังสาละวนอยู่บนใบหน้า ติ่งหู และลำคอ
“อ๊ะ!”
ทำไมชอบงับคอผมจังเลยเนี่ย? แต่ช่างเถอะ ตอนนี้ผมมีเรื่องกังวลใจเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงของร่างกายอย่างฉับพลันมากกว่า อย่าบอกนะว่าแค่จูบก็ทำให้ผมเกิดอารมณ์??? และเพื่อจะไขข้อข้องใจผมจึงเลื่อนมือของตัวเองลงไปพิสูจน์ความจริงที่ว่า.. ทำไมตรงนั้นของผมมัน
‘ใหญ่’ จังเลยเนี่ย???
เฮืออกก!นั่นไม่ใช่เสียงผมครับ ต แต่... ผมเงยหน้ามองพี่ยูที่ตอนนี้ทำหน้าเหยเกเหมือนกำลังอดทนอดกลั้นอะไรบางอย่างไว้
“จ จันทร์ขอโทษ..”
แฮ่ ไม่ได้ตั้งใจครับ มิน่าถึงว่าขนาดมันถึงได้มโหฬารชอบกล
“รับผิดชอบด้วย..”
เอ๋------????
เดี๋ยวๆๆ พี่ยูจะทำอะไรน่ะ??? ย อย่านะ อย่าน๊าาาาาา
‘เฮือกกกกก’ ครั้งนี้เป็นเสียงของผมเองครับ
.
.
.
.
.
.
TBC..

ยะฮู้ววววววววววววววววว ฮิ้ววววววววววววววววววววววววววว อิอิอิ
รินอ่านความคิดเห็นของหลายๆ คนแล้วย้อนกลับไปอ่านทวนตอนที่ 12 อีกครั้งก็ได้แต่นั่งเขกหัวตัวเอง

ขออภัยคนอ่านทุกท่านในความสะเพร่า รินยอมรับผิดว่าลืม Proof ตอนที่ 12 ค่ะ ข้ามตอนไปได้ยังไงก็ไม่รู้

และขอขอบคุณทุกความคิดเห็นนะคะ
รักมากมาย รักเธอมากมาย
ไม่มีหน่วยวัดได้ หรอกความรักนี้