Miracle of WISH ผมเรียกมันว่าปาฏิหาริย์แห่งคำอธิษฐาน
-15-
เปิดใจยอมรับทซึกิ..พูดมันง่ายครับ แต่ลงมือปฏิบัตินี่สิโคตรยากเลย ศึกษาจากในละครลึกลับย้อนอดีตหลังข่าวที่คุณยายกับแม่มลชอบดูกันแล้วก็ไม่ได้ช่วยอะไรได้สักนิด ละครก็คือละครคนแต่งแค่จินตนาการขึ้นมามันไม่ได้เหมือนกับชีวิตจริงสักหน่อย แล้วผมจะทำยังไงดีละเนี่ย??
“นั่งหน้ายุ่งเชียว คุณจันทร์ของไอ้โซ่เป็นอะไรไปอีกแล้วละครับเนี่ย?”
“พอจะรู้วิธีการติดต่อกับจิตของตัวเองบ้างมั๊ยอะ?”
ไม่รู้ว่าคำถามของผมยากเกินไปรึเปล่าจึงทำให้ไอ้โซ่ยืนมองผมด้วยสายตาว่างเปล่า ถ้าหากเป็นในการ์ตูน บนหัวของไอ้โซ่คงจะมีนกอีกาบินผ่านพร้อมด้วยจุดจุดจุดเรียงตามมาเป็นแถว เอาเป็นว่าช่างมันเถอะเพื่อน ผมโบกมือปัดให้มันรู้ว่าไม่เป็นไร
ไอ้โซ่พยักหน้า 2-3 หงึก แล้วเดินเข้าครัวไปแบบเงียบๆ แต่ผ่านไปสักพักไอ้โซ่ก็เรียกผม
“คุณจันทร์”
ผมที่นั่งอยู่บนโซฟาหน้าทีวีหันกลับไปมอง
“ผมคิดว่าหลวงตาน่าจะตอบคำถามของคุณจันทร์ได้นะครับ”
จริงด้วยสิ ทำไมผมลืมพระอาจารย์ของผมไปเสียสนิทละเนี่ย? ผมขอบคุณไอ้โซ่แล้วรีบลุกขึ้น
“คุณจันทร์จะไปไหนล่ะครับนั่น?”
“ไปหาหลวงตาไง”
ตะโกนตอบก่อนจะผลุนผลันออกจากห้อง และหลังจากที่บานประตูปิดลงสิ่งที่ผมเพิ่งคิดได้ก็คือ.. ตอนนี้ผมไม่ได้อยู่บ้านสวนนี่หว่า??
“คุณจันทร์”
เสียงไอ้โซ่นั่นแหละครับ มันเปิดประตูห้องชะโงกหน้าออกมาส่งยิ้มแห้งๆ ให้ผม
“กลับเข้ามาตั้งสติในห้องก่อนเถอะครับ”
ส่งยิ้มแห้งสนิทยิ่งกว่ากลับไปพร้อมยกมือเกาท้ายทอยแก้เก้อ แล้วหันหลังเดินกลับเข้าห้องไปตั้งสติใหม่ตามที่เพื่อนรักมันบอก เอาจริงๆ ผมเครียดตัวเองกับเรื่องนี้มากเลยนะครับเนี่ย
ถ้าจะกลับบ้านสวนผมก็ต้องโดดเรียนพรุ่งนี้กับวันศุกร์แต่ก็ยังพอขอสมุดเลคเชอร์จากเพื่อนผู้หญิงได้ แล้ววันเสาร์อาทิตย์ผมจะต้องไปออกค่ายยิ่งกว่านั้นพี่ยูก็ต้องกลับญี่ปุ่นอีก ทำไมมันประดังประเดเข้ามาพร้อมกันทั้งหมดเนี่ย วันนี้พี่ยูก็ติดงาน จะโทรไปรบกวนพี่ไอก็เกรงใจ มองดูนาฬิกาตอนนี้ก็บ่ายสามโมงเย็น ถ้าจะนั่งรถไปหมอชิตก็คงทัน..
ปิ๊งป่องงงงงงงงกำลังนั่งเครียด เสียงออดที่ดังขึ้นก็ทำเอาผมสะดุ้งสิครับ ไอ้โซ่เดินเอาถุงขนมมันฝรั่งที่มันกินค้างไว้เดินมาวางบนโต๊ะหน้าผมแล้วเดินไปดูที่จออินเตอร์โฟน
“คุณปลื้มชลล์กับคุณหมอดิน?”
ไอ้โซ่หันมาบอกผมด้วยใบหน้าฉงนปนสงสัยว่าแขกทั้งคู่มาผิดห้องรึเปล่า? ผมเองก็ได้แต่ส่ายหน้ากลับไปว่าไม่รู้ แต่ก็บอกให้ไอ้โซ่เปิดประตู
“สวัสดีครับ”
ผมกับไอ้โซ่ยกมือไหว้เพื่อนพี่ยูและพี่ชายของพี่ไอ ลมอะไรหอบพวกพี่มาครับเนี่ย? ตั้งแต่วันศึกนองเลือดครั้งนั้นผมยังกลัวไม่หายเลย แต่ถึงจะสงสัยยังไงแขกมาเยี่ยมเยือนถึงห้อง ผมกับไอ้โซ่ก็ต้องต้อนรับขับสู้อย่างดีมีน้ำมีขนมอะไรก็เอาออกมาครับ
“คุณหมอดินเขาอยากจะมาขอโทษน้องจันทร์น่ะครับ”
“ขอโทษผมเหรอครับ?”
ขอโทษเรื่องอะไรหว่า?? หันไปมองหน้าไอ้โซ่แว่บนึง แต่ไอ้โซ่ก็ส่ายหน้ากลับมาว่าไม่รู้เหมือนกัน
“ก็เรื่องที่โรงพยาบาลวันนั้นไงครับ”
คุณหมอดินเป็นคนเฉลย ผมกับไอ้โซ่จึงได้ร้องอ้อออกมาซะเสียงดัง เรียกรอยยิ้มละมุนดุจปุยนุ่นของคุณหมอดินให้ได้เคลิ้มกันนิดนึง
“พี่หมอต้องขอโทษด้วยที่ทำการณ์เกินกว่าเหตุแบบนั้นต่อหน้าคนไข้ มันเป็นสิ่งที่ไม่ควรเกิดขึ้นในสถานพยาบาลโดยเฉพาะเมื่อมีคนไข้ที่ยังคงเป็นเยาวชนอยู่ด้วย”
“ไม่เป็นไรครับพี่หมอดิน ผมไม่ได้โกรธหรือถือสาอะไรเลยครับ ตอนนั้นแค่ตกใจแต่หลังจากนั้นผมก็ไม่ได้ติดใจอะไรอีกเลย”
ใจจริงผมอยากจะพูดว่าผมเข้าใจอารมณ์ของพี่หมอดินครับ เป็นใครใครก็โกรธแต่ก็คงได้แค่คิดอยู่ในใจเพราะยังไงซะคุณปลื้มก็เป็นเพื่อนพี่ยูแถมยังเคยช่วยเหลือผมกับไอ้โซ่ตั้งหลายอย่าง แล้วดูคุณปลื้มตอนนี้สิเอาแต่นั่งเงียบ แบบนี้รู้เลยครับว่ากลัวคุณหมอดินมากแค่ไหน เหอๆ
“ไม่เป็นไรไม่ได้หรอกครับ ยังไงซะพี่หมอก็รู้สึกผิดอยู่ดี”
โอ๊ยยย ตายๆๆ พี่หมอดินครับอย่าทำหน้าสำนึกผิดแบบนั้น คนหล่อมาทำอะไรแบบนี้แล้วผมใจคอไม่ดีเอาซะเลย คุณปลื้มได้โปรดช่วยผมหน่อยเถอะครับ ผมกลัวใจตัวเองเหลือเกิน
“งั้นเอางี้มั๊ยครับ น้องจันทร์กับน้องโซ่ยังไม่ทานข้าวเย็นกันใช่มั๊ย? ให้พวกพี่ไปเลี้ยงมื้อเย็นเป็นการไถ่โทษจะได้รึเปล่า?”
เป็นความคิดที่ดีมากครับคุณปลื้ม
“แบบนี้ก็ดีครับ แต่ผมขอเลือกสถานที่เองได้มั๊ยครับ?”
“แน่นอนอยู่แล้วครับ”
พี่หมอดินตอบพร้อมส่งรอยยิ้มแบบนี้ก็เข้าทางผมเลยครับ ผมแอบส่งสายตาไปให้ไอ้โซ่อีกรอบ
“ถ้าไม่เป็นการรังเกียจผมขอเป็นมื้อเย็นที่บ้านสวนจะได้มั๊ยครับ?”
“บ้านสวน?”
“ใช่ครับ บ้านของผม.. บ้านสวนครับ”
ก็เข้าใจครับว่ามันอาจจะไกลไปสักหน่อยแต่ผมเชื่อว่าระดับคุณปลื้มชลล์สามารถพาผมไปได้ทันมื้อเย็นแน่นอน และคำตอบที่ชัดถ้อยชัดคำของผมทำให้พี่ชายใจดีทั้งสองคนส่งรอยยิ้มอ่อนโยนกลับมาให้พร้อมคำตอบที่ว่า..
“ไปกันตอนนี้เลย”
อ้าว อย่ามัวแต่กระโดดร้องเย้ๆ ด้วยความดีใจ รีบลุกสิครับแล้วเดินตามพี่ๆ เขาไปให้ไวเลยครับ
.
.
.
.
.
บอกแล้วไงครับว่าระดับคุณปลื้มชลล์นั้นสามารถทำได้แน่นอน ออกเดินทางจากคอนโดตอนบ่ายสามโมงเย็น และเราก็มาถึงบ้านสวนกันตอนที่ถึงเวลาเชิญธงชาติลงจากยอดเสา เมื่อมาถึงแม่มลกับป้าณีก็จัดโต๊ะอาหารรอไว้เรียบร้อยแล้วเพราะก่อนออกเดินทางผมโทรบอกที่บ้านไว้แล้ว และไม่ลืมที่จะโทรไปขออนุญาตพี่ยูด้วย พี่ยูยังบอกว่าจะรีบเคลียร์งานให้เสร็จแล้วจะตามมา
คิดถึงๆๆๆ มีใครเข้าใจความรู้สึกของผมกับไอ้โซ่มั๊ยครับว่าความคิดถึงบ้านของพวกเรามีมากแค่ไหนชนิดที่ว่าพอลงจากรถปุ๊ปก็วิ่งกระโดดกอดทุกคน จากนั้นก็วิ่งรอบบ้านด้วยเท้าเปล่า นี่ถ้าพ่อต้อมไม่ห้ามไว้ผมคงจะวิ่งรอบไร่รอบสวนเพื่อจูบและกอดต้นไม้ทุกต้นแล้วล่ะครับ
“ต้องขอโทษแทนหลานด้วยนะครับที่ทำให้ต้องลำบากขับรถมาถึงนี่”
ตามสไตล์ครูเอี่ยมครับ ดีใจอยู่หรอกที่หลานกลับบ้านแต่ก็เกรงใจตรงที่คนมาส่งนี่แหละครับเพราะระยะทางก็ไม่ได้ใกล้ๆ และก็ตามมารยาทครับ คุณปลื้มกับคุณหมอต้องตอบว่าไม่ได้ลำบากอะไรและทำด้วยความเต็มใจ
“จะขับรถกลับคืนนี้เลยเหรอคะ กว่าจะถึงคงค่ำมืดดึกดื่น ถ้าไม่รังเกียจคืนนี้นอนค้างที่นี่ด้วยสักคืนสิคะ”
แม่มลยิ้มหวานเชื้อเชิญแขกทั้งสองคน
“ไม่รังเกียจเลยครับ ผมเองก็ติดใจธรรมชาติที่นี่ตั้งแต่รอบที่แล้วแล้วล่ะครับ แต่คุณหมอดินนี่สิครับไม่ทราบว่าติดงานอะไรรึเปล่า?”
คุณหมอดินส่งยิ้มแบบขบเขี้ยวเคี้ยวฟันให้คนที่หันมาถาม ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าคุณปลื้มกำลังคิดอะไรอยู่ คงเข้าทางนักธุรกิจจอมวางแผนแล้วล่ะครับ เจ้าเล่ห์ไม่ใช่เล่นนะเนี่ย ได้นอนห้องเดียวเตียงเดียวกับคุณหมอดินอีกต่างหากคำว่ากำไรลอยเต็มหน้าผากคุณปลื้มเต็มไปหมด ความจริงแล้วคุณปลื้มก็ไม่ต่างจากพี่ยูหรอกครับ ระหว่างทางก็โทรคุยงานเป็นระยะ ในรถก็มีอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์และเอกสารงานสำคัญไว้พร้อมทุกสถานการณ์ พี่ไอเคยบอกว่ามีสามีเป็นคุณหมอต้องทำใจเรื่องเวลาแต่ผมว่ามีแฟนเป็นนักธุรกิจก็ต้องยอมรับข้อนี้ให้ได้เหมือนกัน
เอาล่ะๆ ผมขอหยุดเรื่องเชียร์คู่รักคู่ลุ้นของผมกันไว้แค่นี้ก่อนเพราะกลิ่นหอมๆ ของอาหารสารพัดเมนูที่คุณยาย แม่มล และป้าณีเตรียมไว้ให้พวกเรานั้นมันทำให้น้ำย่อยในกระเพาะของผมร้องลั่นด้วยความหิว
กินกันไปคุยกันไปอย่างครื้นเครง หลังจากมื้ออาหารพวกผู้ใหญ่ก็นั่งคุยกันต่อ ผมกับไอ้โซ่ขอตัวออกมานั่งรับลมบนแคร่ใต้ต้นมะม่วง และถือโอกาสขอโทรไปปรึกษาพี่ไอเรื่องที่จะโดดกิจกรรมออกค่ายในวันเสาร์นี้ พี่ไอตอบกลับมาแค่สั้นๆ ว่าเดี๋ยวให้พี่เขื่อนจัดการให้ไม่ต้องห่วง ผมจึงได้โล่งอกเหมือนยกภูเขาทิ้งไปอีกหนึ่งเรื่อง นอนดูดาวกับไอ้โซ่อีกสักพักป้าณีก็ออกมาเรียกลูกชาย ผมเองก็ลุกจะกลับขึ้นบ้านแล้วเหมือนกันแต่รถที่ขับเข้ามาจอดในรั้วบ้านทำให้ผมต้องหยุดเท้าลงแล้วยืนรอจนคนบนรถเปิดประตูลงมา
“มาไวกว่าที่คิดนะเนี่ย”
“เพราะรู้ว่ามีคนคิดถึง”
ไม่เถียงครับ ผมได้แต่ยิ้มกว้างแล้วเดินไปจูงมือสุดหล่อของผมขึ้นบ้าน โดยไม่ลืมที่จะหันไปเชิญคุณบอร์ดี้การ์ดด้วย แต่กลับต้องแปลกใจเพราะไม่ใช่คุณมาซารุ
“คุณมาซารุไปไหนเหรอครับ?”
“ไปทำงาน”
ตอบแบบนี้ก็คือไม่มีอะไรจะถามต่อแล้วครับ ผมหันไปค้อมศีรษะให้คุณบอร์ดี้การ์ดที่คุ้นหน้าเพราะเคยเจอกันบ่อยครั้งแต่ก็ยังจำชื่อไม่ได้สักทีพร้อมกับผายมือเชิญขึ้นบ้านด้วย
ครูเอี่ยมกับพ่อต้อมยืนรอว่าที่หลานเขยอยู่ตรงหัวกะไดบ้าน ทักทายกันอย่างเป็นกันเองอย่างสนิทสนมชิดเชื้อ เห็นแล้วก็รู้เลยครับว่าต้องแอบติดต่อและแอบเจอกันลับหลังผมแน่นอน
วงสนทนามีเพิ่มขึ้นการคุยก็ออกรสมากขึ้น ผมว่าคงจะคุยกันอีกนานผมจึงกลับเข้าห้องนอนอาบน้ำจนสบายตัวประแป้งกับน้ำอบไทยจนหอมฟุ้งก็ออกมาดูอีกรอบ ซึ่งทุกคนกำลังลุกขึ้นแยกย้ายไปพักผ่อนกันพอดี พ่อต้อมหันมาสั่งให้ผมดูแลพี่ยูให้ดีด้วย นี่พ่อต้อมไม่คิดจะหวงลูกชายสักนิดเลยเหรอครับ
“พี่ยูทานอะไรมารึยัง?”
คนตอบส่ายหน้า
“งั้นไปอาบน้ำก่อนครับ เดี๋ยวจันทร์จะเตรียมข้าวไว้ให้”
ให้ความรู้สึกเหมือนสามีภรรยามั๊ยละครับ ก็เขินดีเหมือนกันนะเนี่ย อ๊ะๆๆ แต่อย่าเข้าใจผิดว่าเรานอนห้องเดียวกันนะ เพราะแม่มลจัดห้องให้พี่ยูอยู่ห่างจากห้องผมคนละฝั่งปีกบ้านเลยล่ะครับ ฮ่าๆ
พี่ยูหายเข้าไปในห้องร่วมชั่วโมง ผมเองก็ใช้เวลาอยู่ในครัวร่วมชั่วโมงเหมือนกัน นานๆ จะลงมือเข้าครัวทำอะไรแบบนี้เองสักที แม้จะไม่ใช่งานถนัดแต่ก็พอจะมีวิชาครูพักลักจำเมนูง่ายๆ ติดตัวบ้าง และดูจากวัตถุดิบในครัวผมจึงเลือกทำข้าวต้มร้อนๆ กินกับไข่เจียว ผัดผักบุ้ง และยำกุนเชียง และผมก็เตรียมทั้งตะเกียบและช้อนไว้ให้ครบเลยครับ
“จันทร์ทำเองหมดทุกอย่างเลยนะ”
รีบโม้ไว้ก่อน อิอิ คนฟังก็หรี่ตามองมาเหมือนจะไม่เชื่อ ตักใส่ปากแต่ละทีนี่ผมลุ้นจนน้ำลายเหนียว พี่ยูกินไปหลายคำแต่ก็ไม่เห็นจะแสดงสีหน้าหรือท่าทางว่ารสชาติเป็นยังไง สงสัยก็คงจะอร่อยนั่นแหละ
“อร่อยละสิ อิอิ”
ผู้ชายตัวโตที่กำลังเคี้ยวผัดผักอยู่มองหน้าผมแล้วอมยิ้ม จากนั้นก็คีบทุกเมนูป้อนใส่ปากผม เอิ่มม.. ผัดผักบุ้งจืดสนิท ไข่เจียวก็โคตรเค็ม ส่วนยำกุนเชียงผมบอกรสชาติไม่ถูกเลยครับ รู้แค่ว่าเข้าปากปุ๊ปก็แทบจะถุยออกมาเลยครับ
“พี่ยูไม่ต้องกินแล้ว เดี๋ยวจันทร์ไปปลุกไอ้โซ่ให้มาทำให้ใหม่ดีกว่า”
“ไม่เป็นไร”
“แต่...”
“ฉันอยากกินฝีมือเธอ”
จะว่าดีใจมันก็ดีใจอยู่หรอก แต่ถ้าท้องเสียขึ้นมาผมไม่รับผิดชอบด้วยนะ
“มันก็กินได้ไม่ถึงกับแย่”
พูดเสร็จก็นั่งกินต่อไปเรื่อยๆ ผมรู้ครับว่ามันคือคำปลอบใจแต่มันก็รู้สึกผิดอยู่ดี นี่ถ้ารู้ว่าโตขึ้นมาจะมีผัวผมคงฝึกเข้าครัวตั้งแต่เด็กๆ แล้วล่ะ
“ไว้ครั้งหน้าจันทร์จะแก้ตัวใหม่นะ”
ใบหน้าคมสันจุดรอยยิ้มตรงมุมปาก ผมไม่รู้จะอธิบายยังไงเอาเป็นว่าไม่ต้องแปลกใจหรอกที่ความหล่อเบอร์แรงของพี่ยูจะทำให้ผู้ชายแมนๆ อย่างผมยอมเป็นเกย์
“พี่ยู”
“หืม?”
“พรุ่งนี้เช้าไปหาหลวงตากันนะ”
คนฟังพยักหน้า
“แล้วพรุ่งนี้พี่ยูจะกลับกรุงเทพกี่โมง?”
ยังไม่ทันจะตอบ เสียงโทรศัพท์ของพี่ยูก็ดังขัดขึ้นซะก่อน ไม่ต้องถามผมนะครับว่าเขาคุยเรื่องอะไรกันเพราะภาษาญี่ปุ่นทั้งนั้น จะเดาจากสีหน้าของพี่ยูก็ยิ่งยากเข้าไปใหญ่ เวลาคุยเรื่องงานพี่ยูจะหน้านิ่งมากชนิดที่ไม่รู้ได้เลยว่าเจ้าตัวอยู่ในอารมณ์ไหน
“งานยุ่งเหรอครับ?”
“เบื่อมั๊ย?”
“จันทร์จะเบื่อได้ยังไง ดูสิพี่ยูยุ่งแค่ไหนก็ยังมีเวลาให้จันทร์ได้ตลอด”
นี่ผมพูดจริงนะครับไม่ได้พูดแค่เอาใจ ถ้าเทียบกันแล้วผมก็แค่เด็กผู้ชายที่โคตรจะธรรมดาคนหนึ่งแตกต่างกับพี่ยูแทบจะทุกอย่าง แต่เวลาที่เราอยู่ด้วยกันแทบจะมองไม่เห็นความแตกต่างนั้นเลย
พี่ยูอมยิ้มกับคำตอบของผมแล้วก็นั่งกินข้าวต่อไปเงียบๆ ผมรู้ว่าพี่ยูไม่ได้หิวอะไรมากมายหรอกแต่ก็นั่งกินจนข้าวหมดถ้วย ขณะที่พี่ยูดื่มน้ำผมก็ลุกขึ้นเก็บจานและจะยกเอาไปล้างแต่ก็ถูกมือใหญ่ฉุดดึงให้ผมกลับลงมานั่งที่เดิมก่อน ดวงตาคมเข้มมองหน้าผมอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยออกมา
“ที่ญี่ปุ่นมีมหาวิทยาลัยที่ดีเกี่ยวกับการเกษตรโดยเฉพาะ”
“แล้ว?”
“เรียนจบแล้วเธอสามารถนำความรู้กลับมาพัฒนาที่นี่ได้”
“แล้วไงครับ?”
“มีสาขาเกี่ยวกับการเกษตรหลากหลาย ฉันคิดว่าเธอน่าจะชอบ”
ทำไมผมต้องกลั้นยิ้มจนปวดแก้มด้วยละเนี่ย
“พี่ยูอยากให้จันทร์ไปอยู่กับพี่ยูเหรอ?”
“แล้วมีใครไม่อยากจะอยู่ใกล้คนรักบ้าง?”
ผมเข้าใจแล้วล่ะว่าทำไมเวลาเขินมากๆ จะต้องบิดชายเสื้อด้วย มันเป็นความรู้สึกที่อยากจะระเบิดตัวเองให้ได้แต่ไม่รู้จะระบายออกทางไหนนี่เอง
“แต่จันทร์ไม่รู้ภาษาญี่ปุ่นสักตัว”
“ฉันหาครูเก่งๆ สอนเธอเอง”
“จะให้ลูกเขาหลานเขาไปอยู่ด้วย ขอพ่อแม่เขารึยัง?”
“ท่านบอกว่าเธอเรียนจบเมื่อไหร่ก็ให้กลับมาผูกข้อไม้ข้อมือได้เลย”
“สรุปคือเตรียมทุกอย่างไว้ให้จันทร์หมดแล้วใช่มั๊ยเนี่ย?”
“พร้อมแม้กระทั่งเรือนหอ”
อั่ยยะ!!!
บทจะตรงก็ตรงเกินไปมั๊ยครับคุณพี่ไม่สงสารผมบ้างรึไง เขินจนไม่รู้จะบิดตัวท่าไหนแล้วเนี่ย แล้วคนบ้าอะไรไม่รู้พูดเรื่องแบบนี้ได้หน้านิ่งมากแตกต่างจากผมที่ยิ้มจนหน้าบานยิ่งกว่าจานใส่ไข่เจียวซะอีก จะเอายังไงก็เอาเถอะครับ ตายายพ่อแม่ว่าไงผมก็ว่างั้นแหละ >///<
.
.
.
.
.
เช้านี้อากาศสดใส ผมสตาร์ทรถมอเตอร์ไซด์พร้อมกับเสียงไก่โก่งคอขัน วันนี้จันทร์สุดหล่อหลานครูเอี่ยมขอแว๊นพาสก๊อยหนุ่มญี่ปุ่นหิ้วปิ่นโตเถาใหญ่ไปถวายหลวงตาที่วัด และบอกเลยนะครับว่านี่เป็นครั้งแรกที่พี่ยูนั่งมอเตอร์ไซด์ ฮ่าๆ นั่งเกร็งเกาะผมแน่นไปตลอดทางเลยล่ะครับ
มาถึงวัดผมก็รับปิ่นโตมาหิ้วเองแล้วเดินนำพี่ยูไปที่กุฏิของหลวงตา ซึ่งเจ้าของกุฏินั่งเจียนหมากอยู่บนแคร่หน้ากุฏินั่นแหละครับ ผมเข้าไปกราบแนบตักหลวงตา จากนั้นผมกับพี่ยูก็ถวายปิ่นโต ถามสารทุกข์สุขดิบของหลวงตาพร้อมกับด้วยบีบนวดเอาใจท่านสักหน่อยเพราะนานๆ จะเจอกัน
หลวงตาก็หันไปถุยน้ำหมากลงกระโถน แล้วก็ถามผมกับพี่ยูด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน
“มีอะไรก็ว่ามา”
“ผมแค่อยากจะมาขอทานความรู้จากหลวงตาเกี่ยวกับเรื่องจิตในอดีตชาติ เราสามารถติดต่อกับจิตในอดีตชาติได้มั๊ยครับหลวงตา?”
ท่านฟังคำถามของผมแล้วหลับตาเงียบไปนาน เมื่อลืมตาขึ้นก็มองหน้าผมและจ้องหน้าพี่ยูอยู่ครู่ใหญ่
“จิต พระพุทธศาสนาจำกัดความคำว่า จิต ไปในทางธาตุรู้หรือธาตุคิด เกิดดับไปตามแต่ที่จิตจะเหนี่ยวสิ่งใดขึ้นมาจับไว้ จิตจึงเป็นความคิดที่เกิด ๆ ดับ ๆ”
ตั้งใจฟังและคิดตามนะครับ อย่าได้พลาดแม้แต่เสี้ยววินาทีเพราะหลวงตาไม่มีการอธิบายซ้ำรอบสองแน่นอน
“ในทางพระพุทธศาสนาไม่ถือว่าจิตเป็นตัวตนที่แท้จริงแต่ถือว่าเป็นสิ่งที่อาศัยเหตุปัจจัยหลายอย่างทำให้เกิดขึ้น ตามกฎแห่งอนัตตา นั่นคือทุกสิ่งไม่มีตัวตนที่จริงแท้ คือไม่มีตัวตนอันเป็นแก่น เหมือนต้นไม้ย่อมอาศัยดิน ราก ใบ แสงแดด อากาศ กิ่ง ทำให้มีตัวตนที่เรียกว่าต้นไม้ขึ้น สรรพสิ่งดูเหมือนมีตัวตนเพราะอิงอาศัยกันและกันเกิดขึ้น เมื่อแยกออกก็ว่างเปล่าไม่มีอะไรเลย เช่นเดียวกับจิตอย่างไม่มีข้อยกเว้น”
เว้นจังหวะให้ผมยกกระโถนให้หลวงตาถ่มน้ำหมากนิดนึงครับ ท่านเคาะหัวผมเบาๆ ด้วยความเอ็นดู
“ในเมื่อจิตของคนที่เอ็งต้องการจะติดต่อนั้นไม่มีตัวตน ดังนั้นเอ็งจะต้องอาศัยเหตุปัจจัยที่จะทำให้มันมีตัวตนขึ้นมา”
“แล้วจะหาเหตุปัจจัยนั้นได้จากที่ไหนเหรอครับหลวงตา?”
“เดี๋ยวมันจะมาเอง”
ฝ่ามือที่เต็มไปด้วยริ้วรอยแห่งวัยวางลงกลางกระหม่อมของผมแล้วลูบแผ่วเบาราวกับกำลังปลอบโยน
“มันจะมาพร้อมกับเวรกรรมบุญบาปเก่าที่เอ็งเคยสร้างไว้ในชาติที่แล้ว”
“หลวงตาพูดซะน่ากลัวเลย”
“เอ็งเคยได้ยินมั๊ย? คนที่บุญวาสนาสูงนั้นมักจะมีบาปกรรมที่ก่อไว้สูงตามไปด้วย”
คำถามของหลวงตาทำให้ผมนึกไปถึงเมื่อครั้งที่ผมยังแบเบาะ หลวงตาเคยพูดถึงผมไว้ว่า ‘เด็กคนนี้มีบุญวาสนาสูงมาตั้งแต่ชาติปางก่อน..’ อย่าบอกนะว่านั่นหมายถึงผมก่อบาปกรรมไว้เยอะ???
“สิ่งที่เห็นอาจไม่ใช่อย่างที่เห็น สิ่งที่คิดอาจไม่ใช่อย่างที่คิด สิ่งที่เป็นอาจไม่ใช่อย่างที่เป็น ชาติที่แล้วเอ็งเป็นหมาชาตินี้เอ็งเป็นหมูแล้วหมูในชาติที่แล้วอาจจะมาเป็นหมาก็ได้”
“หลวงตาหมายความว่ายังไงครับ?”
ผมรู้สึกใจคอไม่ดียังไงชอบกล แต่หลวงตาก็ไม่ได้ตอบอะไรผมอีก โน่นครับสายตาของหลวงตาไปหยุดอยู่ที่พี่ยูแทน
“นักรบใช้ดาบฆ่าผู้คนเป็นร้อยเป็นพัน สุดท้ายดาบเล่มนั้นก็กลับมาฆ่าตัวเอง”
เอ๋??? หลวงตาพูดแบบนี้หรือว่าคุณซามูไรโดนฆ่าตายด้วยดาบของตัวเองเหรอครับ? ผมมองหลวงตาสลับกับพี่ยู ใบหน้าของหลวงยังคงมีรอยยิ้มบางเบาให้ความรู้สึกถึงความเมตตา
“จำคำสอนของข้าไว้.. ธรรมดาความรักนี้ย่อมเกิดด้วยเหตุสองประการ คือประการแรกได้เป็นมารดาบิดา ธิดาบุตร พี่น้องชายพี่น้องหญิง สามีภรรยา หรือสหายมิตรกันในภพก่อน เคยอยู่ร่วมที่เคียงกันมา ความรักเหล่านั้นย่อมไม่ละจากกันจึงยังคงติดตามไปแม้ในภพอื่น เพราะการอยู่ร่วมกันในกาลก่อนอย่างหนึ่ง อีกประการคือความรักนั้นย่อมเกิดเพราะความเกื้อกูลกันในปัจจุบันอันนี้ เหมือนดอกอุบลเกิดในน้ำเหมือนดอกอุบลเมื่อเกิดในน้ำ ย่อมเกิดเพราะอาศัยเหตุสองประการ คือน้ำและเปือกตม”
เปลือกตาของหลวงตาปิดลงอีกครั้ง หลวงตาไม่ได้หลับครับผมรู้ว่าท่านกำลังใช้สมาธิอยู่ และหลังจากผ่านไปหลายนาทีท่านก็ลืมตาขึ้นมองหน้าผม
“ตรงกันข้าม... ความเคืองแค้น ความโกรธ โลภโมโทสัน ความอิจฉาริษยา หรือศัตรูคู่อาฆาตที่ร่วมกันสร้างเวรก่อกรรมด้วยกันมา ความร้อนเหล่านั้นก็ย่อมไม่ละจากกันยังคงติดตามไปแม้ในภพอื่นเช่นกัน”
จากคำที่หลวงตาบอกทำให้ผมรู้สึกกลัวขึ้นมาแล้วล่ะสิครับ
“ไปยี่ปงกับพี่เขา”
อ้าวเฮ้ย จู่ๆ ทำไมหลวงตาเปลี่ยนเรื่องได้ละเนี่ย แล้วจะให้ผมตามผู้ชายไปอยู่ต่างบ้านต่างเมืองกับเขาเนี่ยนะ แบบนั้นภาพลักษณ์ของผมก็เป็นเสียหายสิครับหลวงตา
“ไปได้ไงล่ะครับหลวงตา ไอ้จันทร์ยังต้องเรียนหนังสือนะ”
“ถุย!”
อื้อหืออ หลวงตาเล่นถ่มน้ำลายลงกระโถนแบบเถียดหน้าผมไปนิดเดียวแล้วมองผมประมาณว่า
‘ตอแหล’ ผมเองก็ได้แต่หัวเราะแหะๆ จากนั้นหลวงตาก็โยนวัตถุบางอย่างใส่ผม ดีนะที่ผมรับทันจึงได้รู้ว่ามันเป็นตะกรุดอันจิ๋ว ผมจึงรีบยกมือไหว้ท่วมหัวได้ของขลังของดีมาคุ้มครองแล้วโว้ย
“ตะกรุดมันช่วยเอ็งไม่ได้หรอก”
อ้าว ช่วยไม่ได้แล้วให้ผมมาทำไมเนี่ย???
“คนที่ช่วยเอ็งได้นั่งอยู่นั่น”
หืม?? ผมหันไปมองหน้าพี่ยู
“แต่เมื่อถึงเวลานั้น.... เขาจะยังช่วยเอ็งรึเปล่าข้าก็ไม่รู้นะ”
เฮ้ยยย หลวงตาพูดแบบนี้หมายความว่าไงเนี่ย
“ทุกอย่างมันอยู่ที่ใจของโยมเองว่าจะเลือกจบมันด้วยวิธีใด..”
ประโยคนี้หลวงตาพูดกับพี่ยูครับ แต่ทำไมผมถึงรู้สึกในอกวูบโหวงและเจ็บปวดลึกราวกับมีเข็มนับร้อยทิ่มแทงอยู่ตรงตำแหน่งที่เรียกว่าหัวใจ ผมรู้ว่าความกลัวที่ผมกำลังจะเผชิญไม่ได้เกิดจากการที่จะได้ติดต่อกับทซึกิแต่เป็นความกลัวเกี่ยวกับเรื่องราวในอดีตที่ถูกได้ปิดบังไว้ต่างหาก...
.
.
.
.
.
.
.

อยากจะบอกว่าเรื่องนี้ใกล้จะจบแระน๊าาาาาา กำลังเจ้มจ้นเลย #คิดเองเออเอง ฮ่าๆๆๆ 
+1 เป็ดทุกความคิดเห็นนะคะ
รักน๊าาาา 