Miracle of WISH ผมเรียกมันว่าปาฏิหาริย์แห่งคำอธิษฐาน
-17-
พี่ยูมีหน้าที่การงานต้องรับผิดชอบ ผมเองก็มีการเรียนที่ต้องรับผิดชอบ ตอนนี้ก็แค่ต่างคนต่างแยกย้ายไปทำหน้าที่ของตัวเองเท่านั้น..
หลังจากพี่ไอแวะมาส่งที่คอนโดเจ้าตัวตั้งใจจะอยู่เป็นเพื่อนรอจนกว่าพ่อต้อม ลุงฟ้อน และไอ้โซ่มาถึงในตอนเย็น แต่เพราะผมรู้สึกอ่อนเพลียจากการพักผ่อนไม่เพียงพอแถมยังมีไข้รุมๆ จึงอยากจะนอนพักมากกว่าครั้นจะให้พี่ไอมานั่งเฝ้าก็ใช่เรื่อง
“แน่ใจนะว่าจะไม่ให้พี่ไออยู่เป็นเพื่อน”
“ครับ ผมไม่เป็นอะไรจริงๆ แค่นอนพักผ่อนก็หายแล้วครับ ไม่เชื่อถามคุณหมอเปรมดูสิครับ”
พี่ไอที่วันนี้แต่งตัวน่ารักสดใสสมเป็นคุณหนูอิเคดะไอหันไปมองหน้าสามีเพื่อขอคำยืนยัน คุณหมอเปรมนทีป์พยักหน้ายืนยันพร้อมอธิบายคนรักเพิ่มเติม
“กินยาลดไข้ แล้วนอนพักผ่อนให้เต็มที่ก็ดีขึ้นแล้วล่ะ”
เจอคำยืนยันจากคุณหมอเปรมแบบนี้พี่ไอก็ต้องยอมเชื่อฟังแต่ด้วยความเป็นห่วงก่อนจะกลับพี่ไอก็ยังหันกลับมาย้ำกับผมอีกหลายรอบว่า
‘ถ้าอาการไม่ดีขึ้นรีบโทรหาพี่ทันทีเลยนะ’ ทุกคนกลับไปหมดแล้ว ผมยืนมองบานประตูที่ปิดสนิทอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะนั่งลงบนโซฟามองเข็มนาฬิกาที่แขวนอยู่บนฝาผนังอย่างเลื่อนลอย จากนั้นก็ยกโทรศัพท์มือถือขึ้นมาโทรออกหาแม่มลและคุณยาย ไม่รู้ทำไมจู่ๆ ผมถึงได้รู้สึกเหงาและคิดถึงบ้านขึ้นมา แต่พอแม่มลรับผมก็แสร้งทำเป็นถามว่าตอนนี้พ่อต้อมเดินทางถึงไหนแล้ว คำตอบที่ได้รับคืออีกหลายชั่วโมงกว่าพ่อต้อม ลุงฟ้อน และไอ้โซ่จะมาถึงเพราะระหว่างทางพวกท่านต้องแวะทำธุระอีกหลายแห่ง ผมชวนแม่มลคุยต่ออีกเล็กน้อยก่อนจะวางสาย และก็เอาแต่นั่งมองหน้าจอที่ไร้แสงไร้ภาพใดๆ อยู่อย่างนั้นอีกหลายนาที อีกไม่กี่ชั่วโมงพี่ยูก็คงจะเดินทางถึงญี่ปุ่น ผมยิ้มให้กับหน้าจอโทรศัพท์ก่อนจะล้มตัวลงนอนบนโซฟาและผล็อยหลับไปเพราะฤทธิ์ไข้
ผมฝันอีกแล้ว....
มันเป็นค่ำคืนหนึ่งในฤดูกาลอันหนาวเหน็บ สีขาวโพลนของเกล็ดละอองหิมะโปรยปลิวไปทุกพื้นที่ แม้ผมจะไม่ชอบความหนาวที่ทิ่มแทงเข้าถึงกระดูกแต่ผมกลับชอบสีขาวของหิมะ
ยูกิ แปลว่า หิมะ.. และเป็นชื่อของท่านแม่..
ในความทรงจำสีจาง ท่านแม่เป็นคนสวยและฉลาดเฉลียว เป็นมิไดซามะหรือภรรยาหลวงของท่านเซอิไทโชกุนที่ฝ่ายในเทิดทูนรักใคร่ อ้อมกอดของท่านแม่อบอุ่นเพียงใดสัมผัสนั้นยังอ้อยอิ่งอยู่ในทุกห้วงคะนึง และแม้เวลาเหล่านั้นจะผ่านมาเนิ่นนานเพียงใดแต่มีสิ่งหนึ่งที่ไม่เคยเลือนหายไปจากใจนั่นคือสาเหตุการจากไปอย่างไม่มีวันกลับของท่านแม่ ต่อให้ไม่มีใครเคยเอ่ยถึงแต่ทว่าภายในใจยังหวนรำลึกอยู่เสมอ
“ทซึกิ?”
เสียงเรียกที่คุ้นเคยเป็นอย่างดีทำให้ผมต้องหยุดคิดเรื่องทุกสิ่งแล้วหันไปค้อมศีรษะให้ผู้หญิงวัยกลางคนในชุดกิโมโนหรูหราที่ยืนอยู่อีกฝั่งของประตู ท่านหญิงผู้นี้ก็คือผู้รั้งตำแหน่งมิไดซามะคนปัจจุบันและเป็นคนที่ผมต้องใช้สรรพนามเรียกว่า ‘โอก้าซามะ’ หรือจะพูดง่ายๆ ก็คือผมจำเป็นจะต้องเรียกว่า
‘ท่านแม่’ อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
“ทซึกิ.. น้ะหนิ โอ๊ะ ชิเต๊ะอิมัสก๋า?”
นี่ถือว่าเป็นคำถามประจำตัวผมเลยก็ว่าได้
‘ผมกำลังทำอะไรอยู่?’ ท่านมักจะถามผมแบบนี้ทุกครั้งที่เจอ ราวกับว่ากำลังจดจ้องมองผมอยู่ทุกขณะ
“คมบัง ยูกิกะฟุรินินัตเตะ คิเรเดส”
ก็แค่ตอบไปตามความเป็นจริงที่ว่าคืนนี้หิมะตก และผมก็คิดว่ามันสวยดี
“ยูกิ?”
ราวกับจงใจเหมือนจะย้ำคำว่า
‘ยูกิ’ “อะนะตะโนะโอก้าซามะกะ นัทซึกะชีเดสเน๊ะ?”
ผมคิดว่าประโยค
‘เธอคงกำลังคิดถึงท่านแม่อยู่สินะ?’ นี้ไม่ใช่คำถาม แต่เหมือนคำตอกย้ำให้ได้รู้มิไดซามะคนปัจจุบันคือใครต่างหาก และผมก็ทำเพียงใช้ความเงียบแทนคำตอบ
“คาไวโซ โดจิ”
ประโยคที่เพิ่งจบไปกล่าวถึงผมว่า
‘เด็กน้อยอย่างผมช่างน่าสงสารเสียจริง’ แต่คนที่พูดไม่ใช่ท่านแม่ น้ำเสียงที่ไพเราะและแฝงไปด้วยอำนาจเช่นนี้มีเพียงคนเดียว
“มิกิ.. โอโตโตะโนะทาเมะนิ อะโซบิไอเทะโวะ ซากะซุฮะสุเดส”
ถ้าฟังเพียงผิวเผินคล้ายว่าท่านแม่มีความห่วงใยต่อผมด้วยกลัวว่าผมจะเหงาจึงได้สั่งให้พี่สาวหาเพื่อนเล่นให้น้องชายเช่นผมบ้าง แต่เนื่องจากมีเสียงหัวเราะเบาๆ ต่อท้ายประโยคดังนั้นต่อให้เด็กอมมือก็คงจะฟังรู้ว่ามันเป็นการเยาะเย้ยเสียมากกว่า
“วาตาชิวะ โอโตนะนินาริมาชิตะ”
ปีนี้ผมอายุสิบห้า จึงแย้งออกไปว่าผมโตจนเกินกว่าจะมีเพื่อนเล่นได้แล้ว นั้นจึงเป็นสาเหตุให้เสียงหัวเราะเงียบลง ต่อให้ผมไม่เงยหน้ามองก็พอจะรู้ว่าผมทำให้คนฟังไม่พอใจสักแค่ไหน
เสียงฝีเท้าแผ่วเบาย่างก้าวอย่างแช่มช้า ผมจุดรอยยิ้มตรงมุมปาก แม้ยังคงค้อมศีรษะแต่ก็เดาได้ว่าใครกันที่อดรนทนไม่ไหวจนต้องก้าวข้ามผ่านธรณีประตูมาหยุดยืนตรงหน้าผม
“ไฮ.. โซเดสเนะ”
คนตรงหน้าย้ำว่าผมโตแล้วจริงๆ
“ทซึกิ.. อะนะตะโนะอาเนะโนะวาตาชิโตะโดจินโนะ โกะชุจินโวะโมตเตะเดคิเตะ โอโตนะนินาริมาชิตะ”
และย้ำอีกครั้งว่า
‘ผมโตพอที่จะมีสามีคนเดียวกับพี่สาวอย่างเธอได้แล้วสินะ’ ด้วยน้ำเสียงไพเราะเสนาะหูคล้ายกระซิบแต่กดต่ำลึกจนมันทำให้ผมต้องแอบซ่อนรอยยิ้มไว้อย่างแนบเนียนที่สุด
หญิงสาวผู้มีเรือนผมดำขลับยาวถึงกลางหลังนามว่า
‘มิกิ’ เธอคือบุตรสาวคนโตของท่านเซอิไทโชกุน เป็นบุตรสาวที่ถือกำเนิดจากมิไดซามะคนปัจจุบัน เธอมีงามและแตกฉานในเรื่องกาพย์โคลงกลอนเป็นอย่างมาก เธอจึงได้รับความเมตตาจากท่านโชกุนเป็นอย่างมาก และที่สำคัญก็คือเธอถือกำเนิดในวันคืนพระจันทร์เต็มดวงกลางฤดูร้อนเช่นเดียวกันผม ทว่าเธอลืมตาดูโลกก่อนผมไม่กี่ชั่วโมง เธอจึงกลายเป็นพี่สาวของผม ชื่อของเราทั้งคู่แปลว่าพระจันทร์เหมือนกัน
“โอซาคินิ.. โอก้าซามะ.. โอเนซามะ..”
หิมะหยุดตกแล้ว ผมเองก็ไม่มีอะไรที่อยากจะคุยต่อดังนั้นจึงค้อมศีรษะให้ทั้งท่านแม่และท่านพี่สาวเพื่อขอตัวกลับไปพักผ่อน และจังหวะที่ผมหันหลังเดินจากมานั้น
“โคโนะเซไคนิวะ ฮิมิทซึกะอาริมาเซ็นโยะ”
ท่านพี่ทิ้งท้ายไว้ว่า
‘ความลับไม่มีในโลกหรอกนะ..’ ผมไม่รู้ว่าท่านจงใจจะพูดกับผมหรือแค่บ่นขึ้นมาลอยๆ แต่มันก็ทำให้ผมอดที่จะกระตุกยิ้มมุมปากไม่ได้
ไร้ซึ่งคำพูดใดๆ ตอบโต้ ผมเดินกลับเรือนพักของตัวเอง มองสีขาวโพลนระยิบระยับจับตาเมื่อต้องแสงจันทร์ผ่านบานหน้าต่าง และย้ำกับตัวเองภายใจใน.. ท่านแม่ของผมมีเพียงคนเดียว คนรักของผมก็ต้องเป็นของผมแค่คนเดียว และที่สำคัญผืนฟ้าสีรัตติกาลก็มิอาจมีจันทราได้สองดวง...
เฮือกกกความรู้สึกที่เหมือนว่าตัวเองจู่ๆ ก็พลัดตกลงไปในหลุมขนาดใหญ่ทำให้ผมสะดุ้งตื่น ผมหอบหายใจอย่างหนัก หัวใจก็เต้นแรง แสงภายนอกจ้าเกินไปทำให้ผมต้องกระพริบตาอยู่หลายต่อหลายครั้งเพื่อปรับสมดุลทางการมองเห็น แล้วภาพที่พร่าเลือนก็ค่อยๆ ชัดเจนขึ้น
“คุณแม่?”
คนตรงหน้าระบายยิ้มบางเบาแต่ทว่าสายตาที่มองผมไร้ซึ่งความหมายใดๆ วินาทีนั้นผมจึงได้สติกลับมาแล้วรีบหันมองสำรวจรอบกาย
ที่นี่ที่ไหน?
แล้วทำไมคุณแม่ถึงมาอยู่ที่นี่ได้?
“ใช่แล้วลูกชาย.. ฉันคือแม่ของเธอ”
คนพูดระบายรอยยิ้ม ถูกต้องครับผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้าผมนี้คือผู้ให้กำเนิดผม คำถามเดิมเวียนกลับมาอีกครั้ง
‘ทำไมคุณแม่ถึงได้มาอยู่ที่นี่?’ และ
‘ที่นี่คือที่ไหน?’ ขณะที่กำลังมึนงงกับสถานการณ์ ผู้ชายร่างฉกรรจ์สองคนก็เดินตรงเข้ามาหิ้วปีกผม
“คุณแม่.. นี่มันอะไรกันครับ!?”
“ชู่ว์.. อย่าเอะอะสิเด็กน้อย”
แววตาที่มองมาและลักษณะการพูดที่ฟังแปลกไปก็ยิ่งทำให้ผมรู้สึกกลัวอย่างประหลาด
“อ๋อ.. ฉันลืมไปว่าเธอไม่ใช่เด็กน้อย”
ริมฝีปากยังคงระบายรอยยิ้ม คุณแม่โน้มใบหน้าเข้ามาใกล้ พร้อมกับเอ่ยประโยคแผ่วเบาแต่ทว่าผมได้ยินชัดเจน
“เธอโตแล้ว...”
น้ำเสียงแบบนี้... เหมือนเคยได้ยินที่ไหนกันนะ??
“ค คุณคือใคร?”
เหมือนคนบ้ามั๊ยครับ? ทั้งที่เห็นอยู่ว่าคนที่ยืนอยู่ตรงนี้คือบุพการีผู้ให้กำเนิดตัวเองมาแท้ๆ แต่ยังถามคำถามโง่ๆ ออกไป นั่นเพราะน้ำเสียงที่ไม่ว่าจะฟังกี่ทีก็ช่างไพเราะจับใจและยังแฝงด้วยพลังอำนาจ.. เหงื่อเม็ดเล็กซึมทั่วแผ่นหลังของผม
คนถูกถามไม่ได้ตอบ คุณแม่หันหลังกลับแล้วเดินนำไปที่รถตู้คันหรูที่จอดรออยู่ไม่ไกลนัก ในขณะที่ผมถูกใครก็ไม่รู้กระชากลากถูให้เดินตามคุณแม่ไปและยัดผมเข้าไปในรถ แรงผลักทำให้หน้าผมคะมำคว่ำลงไปนอนตัวงออยู่กับช่องแคบๆ ระหว่างเบาะ เมื่อเงยหน้าขึ้นก็เจอคุณแม่ส่งยิ้มให้แต่ไม่มีวี่แววว่าจะช่วยฉุดผมให้ลุกขึ้น และตอนนี้นี่เองที่ผมเพิ่งรู้ว่าแขนและขาไร้เรี่ยวแรงเพียงใด แค่จะยันแขนพยุงตัวให้ลุกขึ้นยังทำไม่ได้ นี่เกิดอะไรขึ้นกับร่างกายของผมเนี่ย
ผมมองคนที่นั่งไขว่ห้างไม่ยินดียินไร้ใดๆ ทั้งสิ้น
“ฉันโทรบอกคนที่บ้านสวนแล้วว่าเธออยู่กับฉัน”
ใบหน้าของผู้ให้กำเนิดประดับรอยยิ้มอ่อนหวาน
“แม่.. แค่อยากจะใช้เวลาอยู่กับลูกบ้างก็เท่านั้น.. เหตุผลนี้จะมีใครคัดค้านบ้างนะ”
มันคือการเสแสร้งแกล้งทำ คุณแม่คงจะโกหกทุกคนได้แนบเนียนไม่เช่นนั้นคงไม่มีใครคิดจะปล่อยผมมาแบบนี้ได้ง่ายๆ ความหวังเล็กๆ ที่เคยแอบคิดว่าเยื่อใยระหว่างความสัมพันธ์แม่ลูกนั้นมีอยู่จริงได้พังครืนลงมาจนไม่เหลือซากเศษชิ้นดี แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ไม่ได้ทำให้ผมถึงกับอยากจะร้องไห้เลยสักนิด
“คุณแม่จะพาผมไปไหน?”
คนฟังหัวเราะขึ้นคล้ายว่าคำถามของผมเป็นเรื่องขบขัน
“เดี๋ยวเธอก็จะรู้เอง”
ใบหน้าที่ผมคุ้ยเคยเป็นอย่างดีโน้มลงมาใกล้ ดวงตาของเราสบกัน และมันก็ทำให้ผมสัมผัสได้ถึงความหนาวเหน็บถึงขั้วหัวใจ
“ค คุณเป็นใคร?”
ไม่มีคำตอบ จะมีเพียงรอยยิ้มพรายที่หยักขึ้นตรงมุมปากสีชาดที่หยักขึ้น ผมพยายามถดตัวหนีอย่างสุดฤทธิ์ แต่มันก็ไร้ประโยชน์เพราะพื้นที่วางเท้าระหว่างเบาะเปรียบได้ดังเครื่องพันธนาการชั้นดี
“ต้องการอะไร?”
ความกลัวกอบกุมหัวใจผมไว้จนแทบไม่เหลือซึ่งความกล้าหาญ การแต่งกายตามยุคสมัยเปลี่ยนเป็นชุดกิโมโนลายดอกไม้บานสะพรั่งหรูหรา เส้นผมสีดำขลับขับผิวขาวเนียนให้ผ่องผุดผาด งดงาม.. ช่างเป็นหญิงสาวที่งดงามเสียจริง แต่ทว่าแค่ชั่วอึดใจคล้ายว่าหญิงสาวจะสำลักอะไรบางอย่าง ของเหลวสีข้นก็ทะลึกออกมาตรงมุมปากทั้งที่ใบหน้ายังคงประดับรอยยิ้ม แตกต่างจากดวงตาคู่สวยที่ฉายชัดซึ่งความเคืองแค้นและหยิ่งยโส
เลือดหยดลงบนแขนของผม ทีละหยด ทีละหยด จนมือของเต็มไปด้วยเลือด.. ผมลนลานหวีดกลัว กลิ่นคาวลอยคลุ้งเตะจมูกจนน่าสะอิดสะเอียน ในท้องปั่นป่วนจนอยากจะขย้อนของเก่าออกมาแต่สติของผมก็ดับวูบลงเสียก่อนจะได้รู้ว่ามันคือความฝันหรือความจริง
.
.
.
.
.
.
ลำคอแห้งผาก.. สมองหนักอึ้ง..
“ตื่นได้แล้ว..”
ค่อยๆ ลืมตาขึ้น แล้วกวาดสายตาไปโดยรอบ ความมืดและความหนาวเหน็บที่โอบล้อมทำให้อดไม่ได้ที่จะห่อไหล่ลง
“ตื่นก่อนที่จะไม่มีโอกาสได้ตื่นอีกเลย”
ประโยคที่ดังขึ้นทำให้ผมเลื่อนสายตาไปมองช้าๆ แล้วพยายามเค้นเสียงพูดจากลำคอที่เจ็บแสบด้วยเสียงที่แหบแห้ง
“คุณแม่?”
“ว่าไง.. ลูกรัก”
เสียง
‘หึ’ ที่ต่อท้ายประโยคทำให้ผมตระหนักได้ว่านี่แหละคือความจริง..
ไม่มีอะไรจะพูดและไม่มีคำถามใดๆ เพราะต่อให้ถามไปสักเท่าไหร่ก็คงจะไม่ได้คำตอบ ผมงอตัวแล้วกอดตัวเองให้แน่นขึ้นด้วยอากาศช่างหนาวซะเหน็บเหลือเกิน อย่าถามว่าทำไมผมไม่ลุกขึ้นแล้ววิ่งหนีหรือต่อสู้ดิ้นรนเอาตัวรอด ไม่ใช่ว่าไม่อยากทำอย่างนั้นแต่ร่างกายของผมตอนนี้ไม่ต่างจากคนเป็นอัมพาต แค่จะกระพริบตาผมยังรู้สึกว่ามันเหนื่อยเสียจริง
“รู้มั๊ยว่าฉันรอเวลานี้มานานแค่ไหน?”
“ตอนที่ฉันเธอออกมาดูโลก ความรู้สึกของฉันในตอนนั้นทั้งสะใจและเจ็บปวด.. เกือบยี่สิบปีที่ผ่านฉันอยากจะฆ่าเธอให้ตายจนนับครั้งไม่ถ้วน ฉันพยายามอดทนรอเพื่อให้ถึงวันที่เธอและเขา.. ได้เจอกัน”
เขา.. คือใคร?? แต่คนเดียวที่ผุดขึ้นมาในใจก็คือ
‘พี่ยู’ ..
ทำไมคุณแม่ต้องทำแบบนี้? ทำไมคุณแม่ถึงเกลียดผมนักหนา? ทำไม? และ ทำไม? ผมอยากจะเอ่ยคำถามเหล่านี้ออกไปแทบนับครั้งไม่ถ้วน แต่เสียงที่ออกจากลำคอของผมช่างเบาหวิวเสียจนเสียงยุงกระพือปีกยังดังเสียกว่า
ความเงียบเข้าปกคลุมอยู่ชั่วขณะ ผมนอนมองปลายเท้าของคุณแม่ที่ยืนอยู่ไม่ห่างจากผม จากรองเท้าหนังมีส้นของผู้หญิงค่อยๆ ถูกซ้อนทับจนกลายเป็นรองเท้าไม้ที่เรียกว่าเกี๊ยะ ชายกางเกงผ้าเสื้อดีกลับกลายเป็นชายชุดกิโมโนยาวระพื้น..
ท่ามกลางความเงียบคล้ายจะเป็นเสียวสวดมนต์แทรกหวิวมากับสายลม เส้นขนลุกชัน หนาววาบกลางสันหลัง เมื่อผ่านไปครู่ใหญ่แว่วเสียงเหล่านั้นก็ค่อยๆ ทวีความชัดเจนขึ้น แต่ไม่ใช่เสียงสวดมนต์อีกต่อไป สายลมหอบกลิ่นคาวเลือดลอยมาแตะจมูกพร้อมกับเสียงอื้ออึงกรีดร้องอย่างโหยหวน รวมไปถึงเสียงโลหะกระทบกัน บรรยากาศแบบนี้ทำให้ผมนึกถึงความฝันก่อนที่จะได้เจอกับพี่ยู..
อากาศหนาวถึงขั้วกระดูกแต่เหงื่อกลับซึมเต็มหน้าผากและแผ่นหลัง.. ใครก็ได้มาช่วยผมที.. พี่ยู.. ช่วยผมด้วย..
“ทซึกิ.. โอะหิสะฉิบุริเดส”
ผมจำได้ว่าผมไม่เคยเรียนรู้และไม่เคยสนใจเกี่ยวกับภาษาญี่ปุ่นเลยสักนิด นอกจากในความฝันแล้วผมไม่เคยที่จะเข้าใจ ขนาดพี่ยูพูดกับคุณมาซารุผมก็ยังไม่แม้แต่จะกระดิก แต่ทำไมตอนนี้ทั้งๆ ที่ผมมั่นใจว่านี่ไม่ใช่ความฝัน แต่ผมกลับเข้าใจว่าหญิงสาวในชุดญี่ปุ่นโบราณตรงหน้ากำลังพูดว่า
‘ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ.. ทซึกิ..’ “ทซึกิโนะ โคะโตะโอ๊ะ โบะเอะเตะรุ?”
ริมฝีปากสีแดงระบายรอยยิ้มพร้อมถามผมว่าผมจำเธอได้รึเปล่า?.. แค่คำถามง่ายๆ แต่ทำนบน้ำตาของผมกลับไหลออกมาโดยไม่ทราบสาเหตุ ภายในอกด้านซ้ายเจ็บหนึบเหมือนมีใครเอามีดมากรีด
ไม่ใช่...
พยายามออกแรงส่ายหน้าปฏิเสธว่าผมไม่ใช่ทซึกิ.. ผมคือศศิน ผมคือจันทร์ ต่างหาก.. ได้โปรดอย่ายัดเยียดให้ผมเป็นทซึกิอีกเลย
ภาพตรงหน้าถูกสลับซ้อนทับกลับเป็นคุณแม่ของผมอีกครั้ง ท่านระบายยิ้มให้ผม
“เธอจำที่นี่ได้มั๊ย?”
ใบหน้าของบุพการีผินไปด้านขวาทำให้ผมต้องพยายามขยับองศามองตาม และผมก็ได้รู้ว่าที่นี่คล้ายวัด หรือไม่ก็ศาลเจ้า มีแผ่นไม้สี่เหลี่ยมขนาดใหญ่กว่าฝ่ามือแขวนเรียงรายไว้มากมายทั่งห้อง บนแผ่นไม้เขียนตัวอักษรด้วยพู่กันโดยใช้หมึกสีดำ
“ตรงนี้”
เรียวนิ้วชี้ไปยังจุดที่มีกระจกรูปแปดเหลี่ยมวางไว้..
“ดูตัวเองให้ดีสิ.. ว่าเธอเป็นใครกันแน่?”
จู่ๆ แสงสีนวลก็วาบขึ้นในบานกระจกที่มีฝุ่นจับหนาเขลอะ แล้วผมก็ได้แต่เบิกตาค้างกับภาพที่สะท้อนอยู่ในเงาของกระจกแปดเหลี่ยม
เด็กหนุ่มในชุดกิโมโนเงาวับดูแว่บเดียวก็รู้ได้ทันทีว่าไม่ใช่คนสามัญชนธรรมดา แต่นั่นไม่สำคัญเท่ากับว่าใบหน้าและรูปร่างของเด็กคนนั้นเหมือนผมทุกย่างราวกับฝาแฝดหรือไม่ก็คนๆ เดียวกัน
นั่น.. ตัวผม?? ไม่ใช่สิ นั่นคือ.. ทซึกิ??ในมือของเด็กหนุ่มถือดาบที่อาบด้วยเลือด ร่างมากมายเมื่อครู่บัดนี้นอนล้มทับเป็นกองพะเนิน มันคือภูเขาศพขนาดย่อม ด้านหน้าของเด็กหนุ่มคือหญิงสาวคนหนึ่งกำลังนั่งในท่าคุกเข่า เพียงชั่วอึดใจปลายดาบก็เสียบแทงเข้าตรงช่องท้องของหญิงสาว
ไม่มีแม้แต่เสียงกรีดร้อง..
เส้นผมสีดำขลับยังคงพริ้วสยายและชุดกิโมโนงดงามลวดลายดอกไม้บัดนี้ถูกฉาบย้อมด้วยสีแดงข้น เด็กหนุ่มปล่อยด้ามดาบแล้วดึงมือของหญิงสาวที่เหลือเพียงร่างที่ไร้วิญญาณมากอบกุมด้ามดาบไว้แทน จากนั้นก็ยืดตัวขึ้น ใบหน้านั้นผินมองมาทางผม ริมฝีปากฉ่ำของเหลวคาวข้น
ผมยาวดำขลับขับผิวหน้าขาวซีดอย่างกับคนขาดเลือด ดวงตากลมโตจ้องมองผมจนปูดโปนด้วยความแค้นเคืองทำเอาเส้นขนทุกอณูบนร่างของผมลุกชัน ร่างกายสั่นสะท้านด้วยความกลัวอย่างห้ามไม่อยู่ และต้องสะดุ้งสุดตัวเมื่อฝ่ามือเย็นเฉียบของคุณแม่วางลงบนแก้มของผม
“แกฆ่าฉัน แกฆ่าท่านแม่ของแม่ฉัน แกฆ่าทุกคนที่ฉันรัก แกทรมานพวกเรา..”
ม่านน้ำรินไหล ก้อนเนื้อในอกด้านซ้ายเจ็บปวดจนแทบจะทะลุกออกมา สมองของผมชาหนึบไปหมด คิดอะไรไม่ออก พูดออกมาก็ไม่ได้ ตอนนี้จึงทำแค่นอนขดกอดตัวเองร้องไห้กับความหวาดกลัว
“โอดะ เรียวมะ..”
ชื่อของใครคนหนึ่งถูกเอ่ยขึ้น
“รักอย่างนั้นเหรอ?”
คนพูดระเบิดหัวเราะออกมา
“แกแย่งเขาไปจากฉัน แกหลอกใช้เขาเพื่อให้บรรลุถึงอำนาจ.. แล้วแกก็ฆ่าเขา โดยใช้ชื่อฉัน”
ประโยคสุดท้ายใช้น้ำเสียงกดต่ำย้ำลึกจนคล้ายเสียงสะอื้น
“แกโยนความผิดทุกอย่างให้ฉันกับท่านแม่ เราทั้งคู่ถูกจองจำอย่างทรมานด้วยคำสาปแช่งที่เราไม่ได้เป็นคนก่อ แม้แต่สุสานหรือป้ายวิญญาณก็ไม่มี แต่... สุดท้ายสวรรค์ก็เมตตาให้เราทั้งคู่ได้กลับมาเจอแก”
เพราะม่านน้ำเอ่อล้นอยู่ทั้งสองตาผมจึงไม่รู้ว่าสีหน้าของอีกฝ่ายเป็นเช่นไร
“คำว่าเลวมันยังน้อยเกินไปสำหรับคนอย่างแก.. ทซึกิ”
คุณแม่ลุกขึ้นยืนเต็มความสูงก่อนจะลั่นประโยคที่ทำให้ผมชาหนึบไปทั้งตัว
“ฆ่าฉันสิ”
ไม่..
“ทำเหมือนที่แกทำฉันในอดีต”
ผมพยายามกระพริบตาไล่หยาดน้ำแล้วมองหน้าบุพการี
“ฆ่าฉัน.. ”
ไม่.. มันจะเป็นแบบนั้นไม่ได้ ผมไม่สามารถทำอย่างนั้นได้ ผู้หญิงคนนี้ไม่ใช่มิกิ ไม่ใช่อดีต แต่ผู้หญิงคนนี้คุณคือคุณแม่ของผม ต่อให้ท่านจะไม่เหลือเยื่อใยให้แม้แต่น้อย ถึงอย่างนั้นท่านก็คือผู้ให้ชีวิตนี้แก่ผม
“แกกำลังคิดว่าฉันคือแม่ของแกใช่มั๊ย ถูกต้องแล้วล่ะ.. สวรรค์เมตตาที่ส่งแกให้เกิดมาเป็นลูกของฉัน.. เพราะอะไรนะเหรอ?.. ลองคิดดูสิว่าลูกที่ฆ่าแม่ตัวเองมันจะเลวสักขนาดไหนกันนะ?”
แล้วภาพของคุณแม่ถูกซ้อนทับด้วยผู้หญิงคนเดิมอีกครั้ง ริมฝีปากสีชาดก็กระอักลิ่มเลือดออกมาก่อนจะทรุดลงไปนั่งกองกับพื้น หากแต่ถึงอย่างนั้นดวงตาดวงตาคู่นั้นยังจ้องมองผมแน่นิ่ง ถ้าผมมองไม่ผิดดวงตาที่เต็มไปด้วยโทสะนั้นสั่นระริกไปด้วยความเจ็บปวดและทรมาน เธอกำลังร้องไห้..
“เอาตราบาปที่แกยัดเยียดให้ฉันมานับร้อยปีคืนกลับไป!”
ร่างของผมสะท้านเฮือก..
ถึงจุดนี้ผมเข้าใจแล้วว่ามิกิต้องการอะไร.. ความเจ็บปวดของผมแลกกับการปลดปล่อยความทุกข์ทรมานให้เธอและแม่ของเธอ และนี่ใช่มั๊ยคือความลับที่ทซึกิปิดซ่อนไว้..
ความลับที่ทำให้ประวัติศาสตร์ถูกบิดเบือน..
รวบรวมเรี่ยวแรงเฮือกสุดท้ายที่มีทั้งหมดใช้ดาบแทนไม้ค้ำยันประคองให้ตัวเองลุกขึ้นนั่งคุกเข่า จากนั้นก็ค่อยๆ ดึงดาบออกจากฝัก แม้จะไม่รู้สาเหตุอะไรที่ทำให้ทซึกิต้องกระทำการโหดร้ายทารุณเช่นนั้นไว้ในอดีต แต่สิ่งที่ผมสัมผัสได้ก็คือ ดวงจิตของทซึกิเองก็ไม่เคยสุขสงบและอยู่อย่างเจ็บปวดมานับร้อยปีเช่นเดียวกัน รวมทั้งความจริงอีก
ผมดึงดาบออกจากฝัก คมดาบสะท้อนเงาวับแม้อยู่ในที่มืด ผมจับด้ามดาบไว้ให้มั่นคงที่สุด ในเมื่อผมในอดีตคือคนก่อ ดังนั้นก็มีแต่ผมเท่านั้นที่จะจบทุกอย่างได้ ด้วยดาบที่เคยอาบเลือดเล่มนี้ปลดปล่อยความทุกข์ทรมานของทุกดวงจิตที่ถูกจองจำจากการกระทำของผมทั้งหมด รวมทั้ง
‘โอดะ เรียวมะ..’ ถ้าหากว่าท่านคือนักรบซามูไรที่แสนเศร้าคนนั้น ได้โปรดจงรู้ไว้ว่า.. ความรักที่ทซึกิมีให้ท่านมาจากดวงใจที่แท้จริง
ฉึก!!“จันทร์!!!”
.
.
.
.
.
.
TBC...

เผลอหลับไปตั้งแต่หัวค่ำ ลุกขึ้นฉี่เพิ่งนึกออกว่ายังไม่ได้ลงนิยายนี่หว่า...
ตื่นๆๆๆ 
รักคนอ่านและรักทุกความคิดเห็น + 1 เป็ด ทุกคนค่าาา 