...How To จีบหมอ... (UP! ตอนที่ 15 บทนำสู่ปัญหาใจ ... 7/11/59)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ...How To จีบหมอ... (UP! ตอนที่ 15 บทนำสู่ปัญหาใจ ... 7/11/59)  (อ่าน 16949 ครั้ง)

ออฟไลน์ Starry[Blue]

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 178
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
กิ่งนี่เปรี้ยวเกิ๊นน

คิดว่าหมอน่าจะทั้งโกรธทั้งเขินอ่ะแหละ ฮือ อย่างไรก็ตาม สนุกมาก ค้างสุดๆ อยากอ่านต่อ

ออฟไลน์ steppenwolf

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 21
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
ตอนที่ 7









   “เอ้าแดกกกกกกกก”




   พี่ผึ้งผู้ร่าเริงตลอดกาลยกแก้วใส่น้ำอำพันของตัวเองขึ้นท่ามกลางเสียงเพลง  ทุกคนที่ดูเหมือนกับลืมไปแล้วว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นบนรถต่างก็พากันยกแก้วของตัวเองขึ้นแล้วกรอกลงไปในลำคอบ้าง  โดยเฉพาะพี่เนย์นี่คือกินเหมือนตายอดตายอยากมาจากไหนไม่รู้อะครับ

   ส่วนกิ่งน้อยอย่างผมก็ได้แต่ยกแตะริมฝีปากเฉยๆ ครับ… แหม่ ตามพ่วงกลุ่มหมอเขามากินเหล้าทั้งที  ต่อให้ไม่เคยกินมาก่อนแต่ก็ต้องแอ๊บเถื่อนไว้ครับ เดี๋ยวค่อยหาวิธีสลับแก้วกับพี่เนย์ที่อยู่ข้างๆ เอา  น้ำตาจะไหล เพื่อรักนะครับเนี่ยถึงยอมทำขนาดนี้


   “อยากกินไรอีกเปล่าวะกิ่ง มึงสั่งได้นะ”


   พี่เนย์ยื่นเมนูมาให้ผมบ้าง  ที่นี่เป็นร้านอาหารกึ่งผับครับ ไม่ถึงกับโจ๊ะตึงๆ อะไรขนาดนั้น แต่ก็ไม่ได้แค่มากินข้าวอย่างเดียวอะไรแบบนั้น  ผมมองเมนูที่ราคามหาโหดแล้วก็ถอนหายใจช้าๆ  …หวังว่าในกลุ่มนี้จะมีเสี่ยสักคนที่ยอมเลี้ยงข้าวรุ่นน้องตาดำๆ อย่างผมนะครับ “พี่เนย์สั่งยำเห็ดให้หน่อยดิ”


   “สั่งเองสิวะ”


   “สั่งไม่เป็นอะ ร้านนี้เขาทำกันยังไง”

   “มึงนี่ป๊อดกับเรื่องไม่เป็นเรื่องจริงๆ”  ถึงจะพูดอย่างนั้นแต่หมอเถื่อนก็ยังยอมยกมือเรียกบริกรมาแล้วสั่งอาหารให้ผมครับ  จริงๆ พี่เนย์เขาก็แอบเถื่อนไปอย่างนั้นแหละ นิสัยลึกๆ พี่เขาก็เป็นคนที่เหมาะจะเป็นเพื่อนที่ดีกับทุกคน แถมยังใจดีแบบแปลกๆ อีกต่างหาก


   “มึงจะขับรถกลับเหรอวะยิน”

   พี่อ๊อฟถามขึ้นเพราะเห็นว่าร่างสูงไม่แตะอะไรนอกจากเบียร์กับกับแกล้มในจานเลย “อืม เดี๋ยวขากลับกูขับเอง”


   “งั้นเดี๋ยวกูกับเป้กลับแท็กซี่ ขามาแน่นฉิบ ตะคริวกินไปสามรอบ มึงพาน้องกับไอ้เนย์ไอ้ผึ้งกลับแค่นั้นแหละ”

   “เออ”


   หมอยินไม่พูดอะไรอีก  ได้แต่ละเลียดเบียร์ในมือโดยไม่สบตาใคร  ผมเองที่กินมาตั้งนานแล้วแต่น้ำสีเหลืองทองในแก้วยังไม่พร่องลงไปเลยก็ได้แต่มองฟ้า มองเพดาน มองไปเรื่อยแหละครับในเมื่อใจมันยังว้าวุ่นอยู่ขนาดนี้


   “มึงแดกหรือดมเนี่ย”


   ไม่อยากตอบไปว่าไม่แดกของมึนเมาครับ แต่ก็ได้แค่ยิ้มแหยๆ ส่งพี่ผึ้งกลับไป พอเจ้าตัวเห็นอย่างนั้นก็คงรู้ว่าผมไม่ถูกโรคกับอะไรแบบนี้ ยิ้มเหยียดมุมปากก่อนจะกระชากแก้วในมือผมไป “ไม่ชอบที่ไอ้เนย์ชงให้อะดิ คงขมไป เดี๋ยวกูชงให้ใหม่”


    “คือ… ผมเกรงใจอะพี่ ไม่เป็นไรๆ กินได้”


   “โฮ้ยยย เกรงใจอะไรคนกันเอง”


   พี่ผึ้งหัวเราะดังลั่นก่อนจะเอาแก้วผมไปกระดกดื่มจนหมดรวดเดียว เอ่อ นี่แก๊งหมอใช่ไหมครับเนี่ย นึกว่าลูกเจ้าของร้านเหล้า

   พ่อหมอที่ดูท่าทีชินกับการชงอะไรแบบนี้แล้วเทน้ำอัดลมผสมลงไปในแก้วก่อนจะเอาของเหลวสีทองใส่ลงไปในปริมาณที่ เอ่อ… ควายดมก็คงเมาอะครับ  แต่ผมพูดอะไรมากไม่ได้เพราะอยากตามเขามากินเอง ฮือ แต่อยากมากับหมอยินนี่นา ไม่ได้อยากมาดื่ม!


   “เอ้านี่! สูตรสำหรับสาวน้อย” สาวน้อยมากครับพี่ ผสมซะแรงจนแค่ดมผมก็แทบจะเป็นลม “อย่าให้เห็นว่าดมอีกนะ เดี๋ยวจะหาว่ากูไม่เตือน”


   ฮือ กลัวแล้วครับ


   ผมใจสั่นเล็กน้อยเมื่อรับแก้วนั้นจากมือพี่ผึ้งมา พี่เนย์หัวเราะในลำคอขึ้นมาหน่อยนึงเมื่อเห็นว่าผมมือสั่นเป็นเจ้าเข้า นะโมพุทโธสังโฆ  ผมกำลังจะผิดศีลห้าข้อที่อาราธนาไว้งั้นหรือนี่


   “หมดแก้วให้ไอ้กิ่งมันหน่อยเร้ววว”

   “เฮ้!”


   แหม่ แต่ละคนนี่ร่าเริงมากครับ  เมื่อตะกี๊ยังเงียบเป็นเป่าสากกันทั้งกลุ่มแท้ๆ  ผมมองพวกพี่หมอทั้งหลายที่สนุกสนานไปกับการเชียร์ให้ผมดื่มและก็แอบเหลือบมองคนหน้านิ่งอีกเล็กน้อย …มันยังคงนิ่งเหมือนเดิมครับ ไม่หือไม่อือ ทำเหมือนเป็นอากาศธาตุไปวันๆ  ดูท่าคราวนี้คงจะอารมณ์เสียจริงๆ


   “ดื่มมมม”


   พี่เป้ที่เริ่มอ้อแอ้แล้วยุให้ผมกินบ้าง  ผมมองแก้วเหล้าในมือ กลืนน้ำลายดังเอื๊อก… เอาวะ  กินก็กิน! อย่างมากก็แค่เมา! และความเมานั้นหายได้!


   “เฮ้!!”

   เสียงเฮดังขึ้นเมื่อผมดื่มรวดเดียวหมดแก้ว  พี่ผึ้งดูจะชอบใจมากเป็นพิเศษเมื่อเห็นเหล้าที่ตัวเองชงถูกรุ่นน้องกล้ำกลืนฝืนกินไปจนหมดแบบนี้ เพราะเมื่อผมวางแก้วลงกับโต๊ะพี่มันก็รีบกุลีกุจอเอาไปชงให้ใหม่ทันที “กูบอกแล้วว่าสูตรนี้อร่อย ฮ่าๆๆ เดี๋ยวทำให้ใหม่นะไอ้น้อง”

   ครับไอ้พี่ ใส่มาเลยคนอย่างกิ่งไม่เคยกลัวอะไรอยู่แล้ว ศีลห้าที่เคยรักษาไว้ได้(เสียส่วนใหญ่…) ได้พังลงไปแล้ว  แต่ก็อย่างว่าอะครับ  ผมเข้าวัดทำบุญเพราะอยากให้หมอยินรับรัก  แต่ถ้าการกินเหล้ามันช่วยให้หมอยินหันมามองได้


   ผมก็ยอม…




.
.
.
.
   “แอะ …จะอ้วกอะ”

   “เฮ้ยทนไว้ก่อนไอ้กิ่ง ยินมึงจอดข้างทางแป๊ปดิ้! เชี่ย! อีกิ่ง กางเกงกูววววว”

   ไม่ไหวแล้วครับ ตอนนี้ผมแม่งรู้สึกแย่มากกกกกกกกกกกก เหมือนอ้วกจะพุ่งออกได้อยู่รอมร่อ  ไม่มีสติสัมปชัญญะอะไรใดๆ ทั้งสิ้นแล้ว   พี่เนย์ที่กรี๊ดเป็นสาวอยู่ข้างๆ ดันเอาหัวผมออกไปให้พ้นกางเกงยีนส์ดีเซลสีซีดของแกเมื่อผมทำท่าว่าจะกดอ้วกไว้ไม่อยู่แล้ว


   รถบีเอ็มคันงามของหมอยินชิดข้างทางตามที่คนเถื่อนข้างๆ บอกอย่างนิ่มนวล  พี่เนย์รีบเปิดประตูรถออกและถีบผมลงข้างทางทันที …และผมก็อ้วกทันทีครับ

   ไม่เอาอีกแล้วของมึนเมา ลาขาดดดด

   “…กูด่ามึงตอนนี้ทันไหมวะไอ้ผึ้ง”

   “มึงก็ยุน้องเขากินเหมือนกันแหละเนย์”

   “ใครจะไปรู้ว่าแม่งจะเมาแล้วเรื้อนขนาดนี้! ไอ้เป้ก็ด้วย เห็นหงิมๆ แม่งขี้ยุอย่างกับเด็กเชียร์เบียร์!”


   ผมเริ่มแยกไม่ออกแล้วครับว่าใครเป็นใคร ตอนนี้สมองรวนถึงขีดสุดจนพานคิดไปถึงว่าจะกลับไปปั่นการบ้านต่อไหม รูปที่ไปถ่ายมาวันนี้ก็ยังไม่ได้คัดไปส่งอาจารย์และไม่รู้ว่าต้องไปถ่ายซ่อมรึเปล่า  งานคอม งานสีน้ำ สอบอนาโตมี่ โอยยยยย ทำไมเพิ่งมารู้สึกห่วงงานเอาป่านนี้วะ! ถ้าห่วงได้ตั้งแต่ทีแรกก็คงไม่กระโดดเกาะขาหมอมันมาหรอก!


   “…น้องมันหน้าซีดจังวะ”

   “คนอ้วกก็งี้แหละ”

   “แต่เหมือนมันจะตัวร้อนๆ อะมึง”

   “มึงเป็นผัวน้องมันเหรอวะเนย์ เปียวแม่งน้อยใจแย่”

   “ปากมึงนี่นะผึ้ง เปียวมันไม่…”


   มือหยาบแตะลงบนที่หน้าผากผมอย่างนุ่มนวล  ตั้งแต่วินาทีแรกที่มันสัมผัสผมรู้สึกเหมือนทุกอย่างมันวูบไป เสียงทะเลาะของใครสักคนก็เริ่มเงียบไปแล้วด้วย 


   มือนั่นเสยผมให้ผมเมื่อเห็นว่าหน้าผากเริ่มชื้นไปด้วยเหงื่อ  แหงะ จริงๆ แล้วผมอายหัวเถิกของตัวเองมากครับ คิดว่าอีกไม่นานน่าจะล้านแน่นอน ผมเลยต้องรีบโกยผมหน้าม้าลงมาปิดหน้าผากเหมือนเดิม


   “…ไม่ร้อนรึไง”

   ร้อนครับ แต่ไม่อยากให้ใครเห็นหัวเหม่งอะมันตลก 

   “มึงไปหยิบขวดน้ำหลังรถมาที”

   ผมได้ยินเจ้าของเสียงนั่นสั่งอะไรสักอย่าง จากนั้นเสียงกุกๆ กักๆ ก็ตามมา และความรู้สึกเย็นๆ ที่หน้าก็ค่อยๆ เมแผ่ขยายลงไปตามซอกคอ  อืม… เหมือนได้อาบน้ำเลยอะครับ เฟรชมากๆ

   นอกจากความรู้สึกที่เหมือนได้อาบน้ำแล้ว ผมก็ยังรู้สึกอุ่น ร้อน แล้วก็เย็นไปพร้อมๆ กัน ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมถึงได้รู้สึกแปลกๆ แบบนี้… แต่คนที่ทำให้ผมรู้สึกแปลกๆ แบบนี้ได้ก็มีแค่หมอยินมันคนเดียวแหละครับ


   ผมเผลอตัวเอาหน้าเข้าไปซุกมือหนานั่น ก่อนที่ทุกอย่างจะวูบลงไปอีกครั้ง



.
.
.


   “อยากกินไรไหม กูกำลังจะลงไปเซเว่น”

   อยากครับ อยากได้ชีสไบท์ ไส้กรอกวุ้นเส้น ข้าวผัดไส้กรอก โค้กแก้วใหญ่ใส่น้ำแข็งเยอะๆ  อกไก่นุ่มใส่พริก โบโลน่า  ลูกชิ้นปลา วุ้นมะพร้าว

   แต่สิ่งที่ผมตอบกลับไปได้มีแค่ “…ขอข้าวกล่องนึงครับพี่”



   หลังจากที่กลับมาจากร้านเหล้านั่นเมื่อคืน  ความทรงจำของผมก็หยุดอยู่แค่ตอนที่ลงไปนั่งอ้วกข้างทางนั่นอย่างกับในหนัง  ไม่รู้ว่าไปกินเหล้ามาหรือดื่มยาล้างสมองมากันแน่  มาถึงห้องได้ยังไงก็ยังไม่รู้ รู้แต่ว่าตอนนี้เช้าแล้ว และผมปวดหัวมาก และผมรู้สึกหิวเหมือนไส้จะขาด


   “วันนี้…” วันอะไร

   “วันอาทิตย์ แต่เดี๋ยวพวกกูต้องเข้าไปคณะแล้ว”

   เป็นพี่เนย์ครับที่ตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงหงุดหงิดๆ  ผมเงยหน้าขึ้นไปมองหมอเถื่อนที่ยืนเกาหัวแกรกๆ ใส่กางเกงในตัวเดียวอยู่ “พี่แบกผมขึ้นมาเหรอ ขอบคุณครับ”


   “เออ หนักชิบหาย เห็นตัวเตี้ยๆ นี่มึงเอาน้ำหนักไปซ่อนไว้ที่ไหนวะ กูนับถือ”


   ผมไม่มีแรงจะต่อล้อต่อเถียงกับพี่แกอีกเลยไม่ได้พูดอะไรกลับไป  สาบานแล้วครับว่าจะไม่แตะของมึนเมาทุกชนิด  คนเรานะคนเรา รู้ทั้งรู้ว่ามันไม่ดีก็ยังจะไปกินกันอีก  ไม่เข้าใจเลยจริงๆ

   กินเวลาไปประมาณสิบห้านาที พี่เปียวก็กลับมาพร้อมข้าวกล่องเซเว่นที่ผมฝากไป  ผมดันตัวขึ้นนั่งบนเตียง หัวระบมไปหมดเมื่อเปลี่ยนท่าแบบกะทันหัน


   “กูซื้อน้ำส้มมาให้ด้วย เผื่อช่วยได้”

   “ขอบคุณครับพี่”



   ข้าวผัดกุ้งแบบกล่องกับน้ำส้มพอจะช่วยทำให้ท้องผมหายประท้วงไปได้ แต่อาการปวดหัวกลับยังไม่หายไปไหนจนผมได้แต่เบ้ปาก  พรุ่งนี้ถ้าไปเรียนไม่ไหวอาจจะต้องขอโดด… เพียงแต่งานก็ยังไม่ได้ส่งนี่สิ เอาไงดีวะ

   ในระหว่างที่ผมกำลังกลุ้มเรื่องงานอยู่นั้น เสียงแจ้งเตือนข้อความจากแอพแชทสีเขียวก็ดังขึ้น …เมื่อคืนไม่รู้ว่าไปนอนอีท่าไหนครับ โทรศัพท์ถึงยังค้างอยู่ในกระเป๋ากางเกงอยู่เลย


   ว่าแต่ …เมื่อวานผมไปถ่ายรูปมา

   แล้วกระเป๋ากล้องผมล่ะ



   “เฮ้ยยยยยพี่เนย!! กระเป๋ากล้องผมล่ะ!” อย่าบอกนะว่าไปลืมไว้ที่ร้านเหล้า โอ๊ยยยยย ไอ้กิ่งไอ้สมองปลาทอง!! เห็นหมอยินเข้าหน่อยนี่ก็อัลไซเมอร์ไปเลยนะ! “ผมเอาไปด้วยอะ! พี่ได้เอาขึ้นมาให้รึเปล่า!”


   “หา กระเป๋าอะไรวะ”


   “กระเป๋ากล้องผมไงพี่!” ฮือออ นิคอนดีเจ็ดพันสองและเลนส์สิบแปดร้อยสี่สิบ …ตายกูตาย ลาออกไปทำงานหาเงินยังไม่รู้จะต้องใช้เวลากี่ปีถึงจะซื้อได้ครบ “กระเป๋าใบแดงๆ ดำๆ อะ! ที่ผมสะพายไหล่ไว้ตอนไปด้วย…”


   พี่เนย์ยังคงทำหน้างงๆ ใส่ผมจนใจเสีย ลืมไปแล้วซึ่งอาการเจ็บปวดใดๆ  ผมผุดลุกขึ้นยืนทันที ตั้งใจว่าจะกลับไปหาที่ร้านเหล้าเผื่อไปวางลืมไว้ แต่เสียงแจ้งเตือนข้อความก็ดังขึ้นอีกครั้งจนผมอดเอามาเปิดดูไม่ได้


   ตายห่าน แบตเหลือแค่เก้าเปอร์เซ็นต์


   ผมรีบเปิดดูข้อความก่อนที่แบตเจ้ากรรมจะหมด พอเห็นเจ้าของข้อความเท่านั้นแหละครับ …ผมก็ถอนหายใจออกมายาวๆ ด้วยความโล่งใจ




   HAPPYYIND : นี่ของนายใช่ไหม


   หมอยินแนบรูปกระเป๋ากล้องใบโตของผมมาด้วย ซึ่งนั่นทำให้ผมรู้สึกเหมือนตัวเองวิ่งเข้าเส้นชัยทั้งๆ ที่ยังไม่ได้ออกตัวอะครับ แบบมันโล่งใจมากกกกกก จนต้องกระโดดดึ๋งๆ ด้วยความปีติ


   “อะไร ใครทักมา”


   “กระเป๋ากล้องอยู่กับหมอยินอะพี่! โล่งอกไป”

   “…กูว่ามึงควรจะหนักใจมากกว่านะที่อยู่กับไอ้ยินน่ะ”


   กึก


   จากที่กระโดดเป็นแมวน้ำเจอปลาแซลมอนอยู่ผมก็นิ่งไป  จริงสิ… เมื่อคืนผมไปก่อเรื่องอะไรไว้จนงานแทบกร่อย ทำไมถึงจะจำไม่ได้ แถมยังเมาเรื้อนจนต้องเสียเวลาดูแลอีก ผมควรจะรู้สึกหนักใจมากกว่าจริงๆ ด้วย



   “พี่ว่าหมอยินจะโกรธผมไหมวะ…”


   “เรื่องอะไร เรื่องที่มึงไปประจานมันต่อหน้ากลุ่มเพื่อน หรือเรื่องที่เมาจนเกือบอ้วกใส่บีเอ็มมัน”


   อะเฮื้อ เจ็บจริงยิ่งกว่าในละครครับ  “ทั้งหมดนั่นแหละพี่ ผมควรทำไงดีอะ ผมไม่อยากให้หมอยินเกลียด…”


   แค่นี้ก็ไม่รู้จะจีบติดไหม ดันไปทำตัวนิสัยไม่ดีใส่เขาอีกครับ ตอนแรกก็นึกว่าเริ่มทำแต้มได้บ้างแล้ว แต่ตอนนี้เหมือนยิ่งดิ้นยิ่งทำตัวให้ติดลบไปเรื่อยจนผมกลัวผลที่จะออกมา

   “ขอโทษมันดีๆ  ยินมันไม่ใช่คนใจน้อย แค่รู้สึกผิดจริงๆ มันก็โอเคแล้ว”

   พี่เนย์ลูบหัวผมช้าๆ ก่อนจะเดินหนีไปที่อื่น  ผมมองหน้าจอแชทจากหมอยินแล้วก็ลังเลว่าจะตอบอะไรกลับไป  ควรจะพูดเรื่องกล้องก่อนดีหรือควรจะขอโทษมันก่อนดี…  เป็นครั้งแรกเลยจริงๆ ที่ผมเริ่มกลัวว่าอะไรๆ มันจะสายไป

   แต่ก่อนที่จะได้ตอบกลับแชทหมอยินไป  เสียงแจ้งเตือนของอีกข้อความหนึ่งก็ดังขึ้น  ด้วยความป๊อดผมเลยกดดูข้อความนั้นก่อนเพื่อที่จะได้มีโอกาสหายใจให้ทั่วท้องมากขึ้น


   มันเป็นข้อความที่มาจากผู้ใช้ที่ไม่ได้เป็นเพื่อนกัน แต่ดูจากรูปโปรแล้วผมก็พอรู้ครับว่าเป็นพี่อ๊อฟ หนุ่มเงียบในกลุ่มหมอยินเมื่อวาน


   น่าแปลกที่เป็นพี่เขา ทั้งๆ ที่เราก็แทบไม่ได้คุยอะไรกันเลยแท้ๆ


   OFCOURS : น้องกิ่ง

   OFCOURS : วันนี้ว่างไหม


   …ผมนั่งอ่านแชทพี่เขาแล้วก็ตอบไปเรียบๆ  ดูเหมือนว่าทางนั้นก็กำลังรอคำตอบอยู่เหมือนกันเลยตอบกลับมาในแทบจะทันที


   กิ่งก้านใบชะชะใบก้านกิ่ง : ว่างครับพี่ พี่มีอะไรครับ

   OFCOURS : มีเรื่องจะคุยด้วยนิดหน่อย

   OFCOURS : สะดวกที่ไหน


   เอ่อพี่ครับ คือผมยังไม่ได้ตกลงเลย  …คิดไปงั้นแต่สุดท้ายก็ต้องพิมพ์ตอบกลับไป ด้วยเพราะลางสังหรณ์ผมมันบอกว่าอาจจะเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับหมอยินและเรื่องเมื่อคืน


   กิ่งก้านใบชะชะใบก้านกิ่ง : ที่ใต้หอผมได้ไหมพี่ ผมยังแฮงก์ๆ อยู่เลย

   OFCOURS : ครึ่งชั่วโมง

   ครึ่งชั่วโมง… ผมยังไม่ได้อาบน้ำแปรงฟันเลย! แต่ก็ช่างมัน   เผื่อเรื่องที่ผมกำลังจะได้ยินจากปากพี่อ๊อฟจะช่วยอะไรในการง้อหมอยินให้ผมได้บ้าง …เท่านั้นจริงๆ ที่ผมคิด


   ก็ตั้งแต่ห้าปีที่แล้วนั่นแหละ ที่ในหัวผมคิดได้แต่เรื่องของหมอมันน่ะ





tbc.

******************************
ตอนนี้อาจจะยังมีอะไรไม่มากนะคะ หมอยินยังโกรธอยู่บทเลยน้อย555
เเต่ตอนถัดไปกำลังจะไปง้อ ...จะพยายามมาอัพเร็วๆ นะคะ  :katai4: :katai4:

ออฟไลน์ Natsuki-ChaN

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 219
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
หนูกิ่่งสุ้ๆ :sad4: ง้อให้ได้น้าาา
ดีใจที่หมอยิน ช่วยน้องเช็ดหน้าเช็ดตาให้  :mew6:
แอบประท้วงง ตอนสั้นไปค่าา อยากเห็นเค้าง้อกันแล้ววว :katai1:

ออฟไลน์ XVIII.88

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 440
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +27/-0
    • XVIII.88
แอบกลัวพี่อ๊อฟ พี่จะเล่นอะไรคะ เรื่องกิ่ง หรือเรื่องหมอยิน  :ling3:

ออฟไลน์ Minoru88

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 189
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
ตามอ่านจนทันตอนล่าสุด
หมอยินมีซัมติงอะไรกับกิ่งป่ะว้า 5 ปีที่แล้ว แต่ก็จำกิ่งได้
ถ้าไม่สนใจจะจำว่าเป็นคนเดียวกันได้ไง

ดูเหมือนอ่อยๆ แต่ก็ไม่ชอบ  :hao4:

ตามต่อไป

ออฟไลน์ Starry[Blue]

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 178
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
ยัยกริ่งงงงงงง ง้อนะคะหนูลูก สู้เค้านะคะหนูลูก

/สงสารปนขำกับน้อง

ออฟไลน์ lnudeel

  • I wanna be a CAT!!
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1466
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +31/-5
รอวันที่กิ่งฝันจะเป็นจรืง~~ :hao7:

ออฟไลน์ OoniceoO

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 975
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +35/-2
 สงสัยต้องให้เลิิกชอบแล้วมีคนมาจีบชัย

ออฟไลน์ steppenwolf

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 21
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
ตอนที่ 8






   “ช้า”


   “…โทษครับพี่ ผมเพิ่งตื่น”


   สายไปแค่ห้านาที  แต่พี่อ๊อฟมันก็ยังบ่นเป็นหมีตีรังแตนอยู่ได้  ผมที่เพิ่งจะอาบน้ำแต่งตัวเสร็จในครึ่งชั่วโมงเลยลงมาข้างล่างในสภาพที่ยังหัวเปียกๆ พร้อมกล่องข้าวผัดที่ยังเหลืออยู่ในมือ


   “ขอเสียมารยาทกินข้าวไปด้วยนะพี่”

   “ถึงขั้นนี้แล้วคงไม่ต้องกลัวเสียมารยาทแล้วมั้ง”

   “แฮ่ พี่ก็พูดซะผมอายเลย”

   “ช่างมันเหอะ อยู่นี่คนเยอะ มานี่มา”


   พี่อ๊อฟผู้มีรูปร่างเหมือนหมีเล่นกล้ามเดินนำผมไปแถวๆ หลังหอ  แถวนั้นจะมีโต๊ะม้าหินอ่อนไว้ให้นักศึกษาได้นั่งเล่นกันครับ เช้าวันหยุดแบบนี้คนจะค่อนข้างน้อยเพราะส่วนใหญ่ยังไม่ลุกจากเตียงกัน


   “พี่มีไรอะ”

   ผมถามทันทีที่พวกเราหาโต๊ะนั่งกันได้แล้ว  ตรงนี้มุมดีครับ น้อยคนนักที่จะผ่าน สงสัยจะเป็นเรื่องลับจริงๆ


   “เรื่องยินนั่นแหละ”

   ว่าไง ตรงเป๊ะ ซื้อหวยทำไมไม่ถูกแบบนี้บ้าง “…พี่ คือเรื่องเมื่อคืนผมเสียใจจริงๆ นะที่ทำทุกอย่างกร่อยไปหมดเลย ผมไม่คิดว่าหมอยินมันจะโกรธ”

   “มึงไปแตะด้านที่มันไม่อยากให้แตะมากเกินไป”

   “…ผมไม่รู้”

   “งั้นมึงก็ควรรู้ตั้งแต่ตอนนี้”


   “ผมแค่หงุดหงิดที่หมอมันชอบพูดจาทำร้ายจิตใจผมอะ ทั้งๆ ที่ตอนอยู่กันสองคนไม่เห็นจะพูดอะไรแบบนั้นเลยแท้ๆ…”  จริงๆ หมอยินก็พูดแหละครับ เพียงแต่ว่าจะน้อยกว่าตอนที่อยู่ต่อหน้าคนอื่นๆ 

   “มึงไม่คิดกลับกันบ้างล่ะ ว่าเพราะอะไรมันถึงพูดดีๆ แต่กับตอนที่อยู่กันสองคน”

   ประโยคของพี่อ๊อฟทำเอาผมสะอึก ทุกอย่างที่พี่แกพูดมามันถูกหมดเลย  เหมือนผมเป็นคนโง่ที่ไม่รู้อะไรอยู่นานสองนาน
 
   “อย่าทำให้พวกกูนึกเสียใจที่เปิดโอกาสให้มึง”

   “ครับพี่  …แล้วผมควรขอโทษหมอยินยังไงดี”

   “บอกมันตรงๆ” พี่อ๊อฟพูดเหมือนกับที่พี่เนย์พูด แต่ก็มีเสริมต่อมาบ้างว่า “มันชอบกินอะไรเย็นๆ ตอนอารมณ์ไม่ดี มึงลองซื้อไปฝากมันดูดิ”


   “เฮ้ยพี่ มีประโยชน์มาก ขอบคุณครับ”

   ผมนี่แทบจะกราบเท้าพี่อ๊อฟเลยครับ ถ้าไม่ติดว่าสายตาพี่มันจะมองแบบขู่ๆ ว่า ‘มึงอย่าทำอะไรน่าขายหน้านะ ไม่งั้นกูกระทืบมึงแน่’ …อะไรประมาณนั้นอะครับ


   “กูกลับล่ะ แค่อยากคุยกับมึงให้แน่ใจว่าคราวหน้าจะไม่มีอะไรแบบนี้อีก”

   “ครับพี่ พี่อยู่หอไหนอะเดี๋ยวผมไปส่ง”

   “มีรถเหรอมึง”

   “…เดี๋ยวยืมจักรยานเพื่อนไปครับ”


   พี่หน้าโหดแผ่รังสีอำมหิตใส่ผมเล็กน้อยก่อนจะลุกเดินหนีไป ผมเกือบจะปล่อยพี่เขาเดินออกจากหอไปด้วยความกลัวอยู่แล้วแท้ๆ ถ้าไม่นึกขึ้นได้มาก่อนว่าควรจะถามอะไรเพิ่ม


   “พี่อ๊อฟ! ผมขอถามอีกอย่างได้ไหมครับ”

   ขวับ  หันมาธรรมดาๆ ไม่ได้ ต้องทำหน้าดุใส่ด้วย “อะไร”

   “…เรื่องที่พี่ว่าแตะไม่ได้อะ มันใช่เรื่องเดียวกับที่ผมคิดหรือเปล่าครับ”

   “แล้วมึงคิดเรื่องอะไรอยู่ล่ะ”

   “ก็…”


   ผมไม่รู้ว่าควรจะถามออกไปดีไหม  ใจหนึ่งก็กลัวว่ามันจะไม่ใช่ แต่อีกใจหนึ่งก็กลัวว่ามันจะใช่ขึ้นมาจริงๆ… แล้วผมมีสิทธิ์ถามเรื่องนี้ไหมผมก็ยังไม่แน่ใจ


   “บอกมาเหอะ”

   “หมอยินเขามีอคติอะไรกับพวกเกย์รึเปล่าอะพี่… แบบ รังเกียจ หรือไม่ชอบเข้าใกล้ อะไรทำนองนั้น”


   “…ก็ไม่เชิง มันแค่ไม่ชอบพวกผิดเพศ”


   อึก สะอึกรัวๆ ตั้งแต่แรกที่ได้คุยกันเลยครับ  น้ำตาพานจะไหลอยู่รอมร่อ   แต่ก่อนที่ผมทันจะได้ตีโพยตีพายไปก่อนนั้นพี่อ๊อฟก็ต่อประโยคมาจนจบ



   “เเต่ที่มันไม่ชอบก็เพราะมันไม่อยากยอมรับนั่นแหละ ว่ามันก็เป็นหนึ่งในนั้น”




   “…”

   “ตอนนี้มันคงสับสน ถ้ามึงคิดจะจีบมันจริงๆ ก็ต้องอดทนหน่อย รอให้มันก้าวข้ามสิ่งที่มันก่อไว้ตั้งแต่เด็กให้ได้ก่อน”

   “พี่หมายความว่า…”

   “คิดเอง กูไปล่ะ”



   จากนั้นร่างหมีนั่นก็ทำตัวเหมือนกับพวกตัวละครลับในเกมที่พูดจบแล้วก็ต้องเดินหนีไป ผมเดินกลับขึ้นห้องของตัวเอง ระหว่างนั้นก็คิดอะไรเรื่อยเปื่อยเกี่ยวกับที่ได้ยินมาจากพี่อ๊อฟไปเรื่อย พอถึงห้องผมก็ทรุดลงกับเตียงทันที พี่เนย์กับพี่เปียวน่าจะออกไปคณะแล้ว ทั้งห้องเลยไม่มีเสียงอะไรนอกจากเสียงลมหายใจของผมเอง

   โทรศัพท์ที่เสียบชาร์ตค้างไว้มีแชทมาจากหมอยินอีกสองข้อความ ผมเปิดดูด้วยใจสั่นๆ



   HAPPYYIND : อ่านแล้วไม่ตอบหมายความว่าไง


   HAPPYYIND : จะมาเอาตอนไหน


   ผมมองนาฬิกาก่อนพิมพ์ตอบกลับไป  อีกสิบห้านาทีได้ไหมหมอ เดี๋ยวรีบไป พี่อยู่หอNNใช่ปะ


   HAPPYYIND : ไหนบอกไม่รู้ว่าอยู่หออะไร


   กิ่งก้านใบชะชะใบก้านกิ่ง : ถามพี่เนย์มาอีกทีอะ



   HAPPYYIND : จะมาก็รีบมา จะลงไปรับ




.
.
.
.
.
.


   ไม่อยากจะเชื่อครับว่า ไอ้กิ่งคนนี้กำลังจะได้เหยียบห้องหมอยิน!!!


   โอ้ว มาย ก็อดเนสสสสส นี่มันสวรรค์บนดินชัดๆ 


   “…นายกำลังทำให้ฉันเริ่มรู้ว่าคิดผิดแล้วที่พาเข้ามา”


   สงสัยความหื่นจะโจ่งแจ้งออกนอกหน้าไปหน่อยครับ  ทันทีที่หมอยินไขกุญแจเปิดประตูห้องหมายเลขหกศูนย์หนึ่งแปดออก ผมก็ได้พบกับห้องของคนรัก(ในอนาคต)ของผมที่เต็มไปด้วยหนังสือเรียน  โต๊ะอ่านหนังสือที่วางชิดอยู่มุมซ้ายของห้องมีโคมไฟเล็กๆ สีดำและโน๊ตบุ้กหนึ่งเครื่องวางพับไว้  ข้างๆ กันเป็นกองหนังสือจำนวนมหาศาลและลังพลาสติกที่คาดว่าน่าจะไว้ใส่ชีทเรียงกองๆ กันอยู่  ถัดจากนั้นไปก็เป็นตู้เสื้อผ้า ตู้เย็น และห้องน้ำ


   ส่วนห้องทางขวามือเป็นส่วนของเตียงทั้งหมดครับ  ตัวเตียงขนาดห้าฟุตแบบเรียบง่าย ผ้าปูลายจุดสีน้ำเงินดูไม่เข้ากับความเงียบขรึมของหมอมันนักแต่ก็น่ารักดี หมอนใบโตที่วางกองกันอยู่สามใบเหมือนเชื้อเชิญให้ผมไถลตัวลงไปนอนแล้วสูดกลิ่นกายของคนที่รักเข้าไป…


   “เอ้านี่กล้อง กลับไปได้แล้ว”

   อ้าวเฮ้ย! หมอจะมายื่นของให้แล้วไล่กลับง่ายๆ แบบนี้ไม่ได้นะ!  สงสัยหมอยินจะได้ยินเสียงความหื่นในใจผม แต่แล้วไงใครแคร์ คิดจะจีบก็ต้องกล้าๆ ไว้ครับ “หมออย่าเพิ่งดิ! นี่ผมเอาไอ้นี่มาฝากด้วยนะ”


   “อะไร”


   “นี่ไงครับ”


   ผมแกล้งล้วงๆ กระเป๋ากางเกงตัวเองแล้วทำมือออกมาเป็นคำว่ารัก นิ้วโป้ง นิ้วชี้ นิ้วก้อย แถมขยิบตาให้อีกทีหนึ่ง จริตจะก้านเต็มที่เลยครับ … แม่งเลี่ยนมาก เขินจัง


   “ฉันไม่ต้องการ กลับไปได้แล้ว”

   “เฮ้ยหมอออ!” โห่ อุตส่าห์คิดมุกนี้ตั้งนาน “ผมล้อเล่นๆ  นี่ต่างหากล่ะของฝาก”


   ทาดา เสียงประกอบฉากที่ดังขึ้นเฉพาะในหัวของผมโผล่ออกมาพร้อมกับเฉาก๊วยสามถุงและน้ำแข็งที่ละลายกำลังได้ที่ ทำเอากระเป๋าเป้ผมเปียกไปทั้งแถบ “อย่างน้อยก็กินไอ้นี่เป็นเพื่อนผมหน่อยดิครับ”


   “…เอามาฝากแล้วยังจะมาขอกินด้วยอีกเนี่ยนะ”


   “แหะๆ เอาเป็นว่าเดี๋ยวขอกินด้วยกันก่อนแล้วจะกลับครับ สัญญาๆ ไม่มีอะไรเกินเลยแน่นอน”

   ผมเดินเบี่ยงร่างสูงที่ยืนหน้าโหดอยู่กลางห้องไปหาถ้วยชามที่วางไว้บนซิงค์ตรงระเบียงอย่างเป็นระเบียบ เปิดถุงเฉาก๊วยแล้วเทลงไปในชามใบใหญ่ ตักน้ำแข็งในถุงใส่พอเป็นพิธี  จากนั้นก็หาช้อนสองคันวางเรียงกันก็เป็นอันเรียบร้อย


   พอรู้ว่ามีโอกาสมาง้อหมอยินถึงห้อง  ผมก็รีบตามหาของเย็นๆ ตามที่พี่อ๊อฟว่าไปทันทีครับ  ใครจะไปรู้ว่าไอ้ของเย็นๆ นั้นจะหายากในละแวกนี้  พอจะไปซื้อเซเว่นก็กลัวว่าจะดูไม่จริงใจไปเลยต้องเดินเลยหอหมอยินไปอีกตั้งไกลแล้วค่อยวกกลับมาอีกที  คนตัวสูงเลยบ่นเมื่อผมสายไปเกือบสิบนาที แถมยังโดนสายตาเย็นชาเชือดเฉือนใส่มาตลอดทั้งทาง


   พอผมกลับเข้ามาในห้อง  หมอยินมันก็เอาโต๊ะไม้ตัวสูงที่วางพับไว้มากางไว้เรียบร้อย ส่วนเจ้าของห้องก็เดินสวนไปหยิบแก้วน้ำที่ระเบียงและแวะหยิบเหยือกน้ำในตู้มาวางคู่กัน



   แค่นี้ผมก็รู้สึกเหมือนตัวเองใช้บุญจากทั้งชาติหมดไปแล้วอะครับ  สงสัยพรุ่งนี้จะต้องหาเวลาไปเลี้ยงเพลพระสักวัดซะแล้ว
   
   “รีบกินแล้วก็รีบกลับ ฉันต้องเข้าไปคณะบ่าย”

   “พี่เนย์กับพี่เปียวก็เหมือนกัน มีงานเหรอครับหมอ”

   “อืม”


   ตอบแบบไม่บอกรายละเอียดอะไร สงสัยไม่อยากให้ผมรู้… งั้นต้องเปลี่ยนเรื่อง “หมอลองชิมนี่ดู อร่อยดีนะ เฉาก๊วยเหนียวเหมือนพลาสติกเลย”


   “พูดแบบนี้ฉันคงกล้ากินหรอกนะ”

   “แหะๆ ล้อเล่นๆ  แต่อร่อยจริงๆ นะครับ”

   เพราะไม่มีเก้าอี้นั่งและหมอมันก็กางโต๊ะไว้ใกล้เตียง ผมเลยถือวิสาสะเลื่อนโต๊ะเข้าไปชิดเตียงแล้วนั่งลงกับเตียงนุ่มๆ นั่น  อาห์ สวรรค์  นี่สินะสิ่งดีๆ ที่เรียกว่าการฉวยโอกาส


   “แล้วทำไมไม่แบ่งสองชาม”

   “หมอเป็นตับอักเสบเหรอ”

   “ไม่ได้เป็น แค่กลัวติดเชื้อพิษสุนัขบ้าจากนาย”

   “ไม่ได้เป็นเหมือนกันครับ งั้นก็หายห่วง มาๆ กินกัน”


   ผลของการทำหน้ามึนคือการได้รับมะกอกหนึ่งผล  ผมถึงกับมึนไปพักใหญ่ๆ เลยครับ ไม่รู้จักยั้งมือเลยสิให้ตาย

   หมอยินลากเก้าอี้จากโต๊ะทำงานมานั่งฝั่งตรงข้าม คว้าโทรศัพท์มือถือมาสไลด์ๆ เล่นระหว่างกินไปด้วย …โอ๊ยยยยย มาความสุขอะไรจะเบอร์นี้!!  ไอ้กิ่งกำลังจะสำลักความสุขตาย ใครก็ได้ส่งหมอยินมาผายปอดที


   “ทำหน้าประหลาด”

   คนตรงข้ามมองหน้าผมแล้วแค่นหัวเราะ เอ่อ อยากจะด่า แต่ติดที่ว่าหน้าตอนแค่นหัวเราะมันดูดีมากเลย ได้โปรดดูถูกผมอีกเถิดหมอ “อร่อยไหมครับ เจ้านี้ดังนะ”

   “ฉันกินมาตั้งแต่ปีสอง ก็ไม่เห็นว่าจะดังอย่างที่ว่า ออกจะร้างๆ เสียด้วยซ้ำ”


   “…เหรอ แต่ผมว่าดังดีออก อย่างน้อยหมอก็รู้จักไง”

   ผมยิ้มแบบที่คิดว่าสวยที่สุดให้หมอมันไป เผื่อจะส่งอิทธิพลอะไรบ้าง แต่ร่างสูงก็ยังคงก้มหน้าก้มตากินไปเล่นโทรศัพท์ไปอยู่ดีครับ  ไม่รู้ติดใจหน้าจออะไรนักหนา

   เพราะเห็นว่าหมอยินดูจะไม่อยากคุย ผมเลยมองเล่นรอบๆ ห้อง  ใจจริงก็อยากจะควักโทรศัพท์ออกมาถ่ายเก็บไว้ดูเล่นนะ แต่ก็กลัวโดนชามเฉาก๊วยฟาดหน้าไปเสียก่อน 



   ห้องหมอมีแต่ของใช้ที่จำเป็นจริงๆ ครับ  ไม่มีกรอบรูป เครื่องดนตรี หรืออะไรที่คนทั่วไปเรียกว่างานอดิเรกอยู่เลย  สงสัยเรียนหมอจะหนักจริงอย่างเขาว่า พี่เนย์พี่เปียวนี่คงเป็นเคสยกเว้นอะครับ

   และเพราะมัวแต่มองนู่นนี่เพลินๆ  ผมเลยมารู้สึกตัวอีกทีตอนที่ตักได้แต่น้ำเปล่าโหรงเหรงอะครับ …พอเงยหน้าขึ้นมองคนตรงข้าม หมอยินมันก็ดูจะหยุดกินไปนานแล้ว แต่ก็ยังนั่งเล่นโทรศัพท์ต่อไปอยู่ดี


   พอเห็นว่าบรรยากาศไม่ได้คุกรุ่นเหมือนเมื่อคืนแล้ว… และตอนนี้ก็น่าจะเป็นโอกาสดีในการพูดคุยกันในเรื่องของหัวใจ(?)  ผมเลยเอ่ยปากออกไปอย่างกล้าๆ กลัวๆ ว่า


   “หมอ เรื่องเมื่อคืนผมขอโทษนะ”

   “…”

   ไม่มีเสียงตอบรับอีกแล้วครับ  แต่ผมมั่นใจว่าร่างสูงได้ยิน เพียงแค่ไม่อยากตอบกลับมาเท่านั้น

   “ผมปากเสียไปจริงๆ  คิดๆ ดูแล้วมันก็จริงอย่างที่หมอว่า ขอโทษนะครับ”

   “…”

   “จริงๆ ที่ผ่านมาผมก็คิดแค่ว่าจะใช้ใจเอาชนะแค่อย่างเดียว แต่ต่อจากนี้ผมจะใช้สมองให้มากๆ ขึ้นด้วยครับ”


   “…”



   คนตรงข้ามยังเอาแต่นั่งเงียบ  ถึงจะรู้ว่าเป็นปกติของหมอยินมันแต่ผมก็อดกลัวขึ้นมาไม่ได้ครับ 


   “หมอ… ดูนี่ มีอะไรมาง้อด้วย”


   สิบห้านาทีที่ต่อรองกับหมอไว้และอีกสิบนาทีที่ผมเลทไม่ได้มีไว้แค่เพื่อเฉาก๊วยเพียงอย่างเดียวครับ… ผมควักเอากระเป๋าดินสอเน่าๆ ของตัวเองออกมาจากกระเป๋าเป้ หยิบเอาปากกาเขียนแผ่นซีดีที่เพิ่งซื้อออกมาแล้วหงายมือข้างซ้ายขึ้น   วาดรูปหน้าของตัวเองแบบง่ายๆ ลงไป เน้นให้ดูเอ๋อๆ หน่อยหมอจะได้รู้ว่าเป็นผม  จากนั้นก็เปลี่ยนไปเขียนอีกข้างโดยวาดหน้าดุๆ ของหมอยินลงไปที่นิ้วชี้ด้านขวา



   หมอมันดูจะเริ่มสนใจผมขึ้นมาหน่อยนึงแล้วละครับ เมื่อผมเลื่อนชามเฉาก๊วยไปอยู่มุมโต๊ะ จากนั้นก็พูดขึ้นมาว่า



   “กิ่งน้อยเป็นเด็กชายในโลกแห่งจินตนาการ กิ่งน้อยไม่เคยเข้าใจว่าจริงๆ แล้วโลกแห่งความเป็นจริงนั้นเป็นอย่างไร กิ่งน้อยจึงได้แต่อยู่ในห้อง เพราะสิ่งที่เขาเข้าใจมากที่สุดก็คือตัวของเขาเอง”


   ผมดัดเสียงทำเป็นเหมือนว่ากำลังพากษ์การ์ตูนพลางโยกนิ้วชี้ที่โผล่พ้นขอบโต๊ะมา  กิ่งน้อยในร่างนิ้วชี้ของผมกำลังเดินไปมาอย่างน่าขัน


   “กิ่งน้อยเป็นเด็กที่เห็นแก่ตัว โง่ อ่านสถานการณ์ไม่ออก จนกระทั่งวันหนึ่งเขาได้เจอกับเทพบุตรขี่ม้าสีหมอกมา” ฟิ้ววว  จากนั้นนิ้วชี้ข้างขวาที่รับบทเป็นหมอยินก็โผล่ขึ้นมา  “เทพบุตรคนนั้นช่วยชีวิตเขาเอาไว้  นอกจากนั้นแล้วยังเป็นคนที่สอนให้เขาเข้าใจถึงการใช้ชีวิตในโลกแห่งความเป็นจริงมากขึ้นด้วย”



   “…”


   “ซึ่งเอาจริงๆ แล้วเทพบุตรคนนั้นก็ไม่ได้สอนอะไรเขาหรอก  กิ่งน้อยก็แค่มโนไปเรื่อย เพียงแต่กิ่งน้อยได้รับรู้ความรู้สึกที่เหมือนกำลังดูทีวีอยู่  เทพบุตรคนนั้นสอนกิ่งน้อยด้วยกิจวัตรประจำวันง่ายๆ ของเขาเพียงเท่านั้น”


   “…”


   “กิ่งน้อยเริ่มเข้าใจคำว่าการให้  การเสียสละ การอุทิศตน ทั้งหมดนั่นก็เพราะเทพบุตรคนนั้น”


   “…”


   “แต่แล้วความโง่ของกิ่งน้อยก็ทำให้เทพบุตรเสียใจ”  มาถึงตรงนี้ นิ้วชี้กิ่งน้อยก็วิ่งเข้าชนนิ้วชี้หมอยินอย่างแรงจนนิ้วชี้หมอยินล้มลงไป   “กิ่งน้อยไม่รู้ กิ่งน้อยแค่อยากจะเข้าใกล้เทพบุตรมากขึ้นเท่านั้นเอง”


   “…”


   “กิ่งน้อยขอโทษ เทพบุตรของกิ่งน้อยจะให้อภัยไหมนะ”



   พอจบประโยคนี้ผมก็ปล่อยนิ้วตัวเองราบลงกับโต๊ะ  เงยหน้าขึ้นมองหมอยินมันหวังจะดูว่าอีกฝ่ายรู้สึกยังไง… แต่ก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงครับ  ร่างสูงยังคงมองมาที่ละครนิ้วตลกๆ ของผมด้วยสีหน้านิ่งเฉย กลายเป็นว่าผมเองที่ดันทำหน้าเหมือนจะปล่อยโฮออกมาอยู่รอมร่อ




   นานทีเดียวที่ความเงียบเข้าครอบคลุม  ผมตัดสินใจหยุดความเงียบนั่นโดยการชูนิ้วชี้ที่มีหน้าตัวเองขึ้น ส่ายนิ้วไปมาแล้วพูดว่า “ผมรักหมอยินนะ”



   เสียงพัดลมที่สุดแสนจะเงียบยังดังกว่าบรรยากาศตอนนี้เลยอะครับ  ผมรอคำตอบนานมากจนกระทั่งหมอยินลุกขึ้นไปเก็บชามเฉาก๊วยไปที่ระเบียง เสียงน้ำและเสียงช้งเช้งคงจะมาจากการที่หมอมันล้างชาม อนามัยดีจริงๆ ครับ เป็นผมคงแช่ทิ้งไว้ก่อน จะกินใหม่ค่อยล้างอีกที



   ร่างสูงเดินมาเช็ดมือที่ผ้าเช็ดตัวหน้าตู้เสื้อผ้าก่อนหันกลับมามองหน้าผม ผมเดาไม่ออกจริงๆ ว่าหมอคิดอะไรอยู่ ได้แต่ภาวนาให้สิ่งที่หมอกำลังจะพูดนั้นเป็นสิ่งที่ผมอยากฟังมากที่สุดในชีวิต


   “ฉันไม่ใช่เทพบุตรอะไรขนาดนั้น ไม่ได้ช่วยให้นายเป็นคนดีขึ้นมาได้หรอก”



   ผมไม่พูดอะไร  นั่งรอฟังหมอที่ดูเหมือนมีเรื่องจะพูดอีกเยอะแยะ  “ฉันก็แค่คนธรรมดาที่บังเอิญเข้าไปช่วยนายไว้ ไม่ใช่คนดีวิเศษวิโสอะไร บ้านไม่ได้รวย ไม่ได้ขี่ม้าสีหมอก บีเอ็มนั่นก็ยืมญาติมา เรียนจบแล้วก็คงต้องคืน”


   “…”


   “แต่ก็ขอบใจที่มาขอโทษฉันวันนี้ เฉาก๊วยอร่อยมาก”

   “…”


   “เดี๋ยวฉันขับรถไปส่ง เอาเป็นว่าเลิกร้องไห้ได้แล้ว”

   ผมเอามือปาดที่แก้มของตัวเองดู ว่าแล้วเชียวว่าอะไรเปียก… ตอนแรกก็นึกว่าน้ำลาย  ไม่อยากจะเชื่อว่าผมกำลังร้องไห้อยู่ แถมหนักมากเสียด้วย  ก้มดูอีกทีก็เห็นว่าทำที่นอนหมอเปียกเป็นวงๆ ไปแล้วเรียบร้อยด้วย


   “หมอหายโกรธผมยัง”

   “คิดว่านะ” หมอมันถอนหายใจ ยืนพิงตู้เสื้อผ้าแล้วมองมาทางผม “ฉันอารมณ์แปรปรวน ถ้าไม่จำเป็นก็ไม่อยากพูดหรอก คำพูดมันมีพลังนะ พูดไปแล้วมาเสียใจทีหลังมันก็คงไม่ดี”


   ใช่ แบบผมนี่ไง “เรียนจบแล้วหมอจะบวชเหรอ เทศเก่งจัง… สนใจเบียดก่อนไหม”


   “นี่เพิ่งเตือนไปหยกๆ”  ถึงปากจะว่าอย่างนั้นแต่หมอมันก็หัวเราะออกมานิดๆ ครับ “กลับหอไปนอนได้แล้ว ยังแฮงก์อยู่ไม่ใช่เรอะ เดี๋ยวไปส่ง”

   ผมส่ายหน้า ไม่อยากกลับอะ ยังไม่รู้เลยว่าหมอหายโกรธจริงๆ หรืออาจจะบอกปัดไปงั้นเพราะรำคาญผมก็ได้  แถมไม่ใช่ว่าจะได้มีโอกาสเข้าห้องหมอมันทุกวันซะหน่อย


    “ดื้อ”

   “หมอแหละดื้อ รับรักผมเหอะ ถ้าหมอไม่รีบรักผมละก็ผมได้เฉาตายก่อนแหงๆ”

   “ก็ดี จะได้รู้ว่าเด็กสมัยนี้ความอดทนมันต่ำ”


   เอาจริงๆ ผมก็อยากรู้เรื่องที่พี่อ๊อฟเล่านะครับ  ที่ว่าเกลียดพวกผิดเพศอะไรนั่นน่ะ  แต่เห็นว่าตอนนี้เรายังไม่สนิทกันมากพอที่ผมจะละลาบละล้วงเรื่องส่วนตัวของมัน  เอาไว้ให้เราเป็นแฟนกันก่อนหรือสนิทกันมากกว่านี้ก็ได้


   เท่าที่เป็นอยู่ตอนนี้ก็… ดีแล้วล่ะมั้งครับ  ผมไม่รู้สิ  ผมแค่มีลางสังหรณ์ว่ามันอาจจะพัฒนาไปในทางที่ดีขึ้นได้

 
   “ถ้าไม่อยากกลับก็นอนนี่ไป ฉันจะไปคณะก่อน”


   หา

   ว่าไงนะ

   หมอว่าไงนะ


   “…หมอจะให้ผมนอนที่นี่ได้จริงๆ เหรอครับ”

   “หรือถ้าไม่อยากก็ติดรถกลับไปด้วยกันนี่แหละ”

   “หูยยย!! อยากสิครับอยาก! นอนนี่แหละ! โอ๊ยปวดหัวจังเลย เดินไม่ไหวแล้ว ขอนอนก่อนล่ะ แอ่ก” ไม่ว่าเปล่าแอกติ้งต้องมาครับ  ผมหงายหลังลงกับเตียงแบบพอดี ก่อนจะกระดึ๊บๆ ตัวขึ้นไปจนถึงหมอนใบโตอันกลางนั่น(เพราะเดาว่าหมอน่าจะนอนใบนี้)  จากนั้นก็ฝังจมูกลงกับหมอน สูดลมหายใจยาววววๆ จนหมอมันขว้างไม้แขวนเสื้อมาใส่หัว


   “ไอ้เด็กโรคจิต”


   “แหะๆ”  ผมลูบหัวตรงที่โดนไม้แขวนเสื้อพิฆาตป้อยๆ  ลากผ้าห่มมาคลุมไว้จนถึงไหล่ก่อนจะแกล้งหลับตาพริ้ม “โอ๊ยปวดหัว นอนก่อนนะครับหมอ ขอบคุณที่ให้ที่พึ่งพิง”

   “เด็กบ้า”

   “หมอจะกลับมากี่โมงอะครับ” …ผมจะได้อยู่รอ

   “ไม่บอก แต่กลับมาแล้วฉันหวังว่าจะไม่เจอนานนอนอยู่บนเตียงฉันนะ”

   “หมอใจร้ายยย”

   “ขากลับอย่าลืมกระเป๋ากล้องแล้วก็กล่องทัปเปอร์แวร์นั่นด้วย”

   “ไอ้ใบที่ผมใส่ไข่นั่นไปใช่ไหม อร่อยรึเปล่าครับ”

   “ก็พอกินได้ ดีที่ไม่ท้องเสีย”

   “ไม่เสียหรอกครับ ผมลองเลียชิมแล้วไม่เป็นอะไร”


   “ไอ้เด็กเปรต”


   ผมหัวเราะคิก  จากนั้นหมอมันก็หยิบเสื้อแขนยาวจากในตู้เสื้อผ้ามาใส่ ติดบัตรนักศึกษาให้เรียบร้อยแม้ว่าจะอยู่ในชุดลำลอง  คนมันหล่อ ต่อให้ใส่แค่กางเกงยีนส์เสื้อยืดก็รัศมีกระจายมากครับ


   “ผมรักหมอจัง”


   “พูดบ่อยๆ แล้วฟังดูเปลืองชะมัด”


   “หมอเปิดใจให้ผมน้า”



   “…เออๆ”




   …จากนั้นก็มีเสียงกุกกักดังขึ้น ตามมาด้วยเสียงปิดประตูของหมอมัน


   ผมนอนรอให้ทุกอย่างนิ่ง ก่อนจะกลิ้งไปกลิ้งมาบนเตียงด้วยความ… ความอะไรดีล่ะ มันบอกไม่ถูกอะครับ  รู้สึกเหมือนตัวเองได้โลกทั้งใบมาอยู่ในกำมือเลย รู้สึกเหมือนถ้าเปิดหน้าต่างแล้วกระโดดออกไปตอนนี้ก็คงบินกลับขึ้นมาได้อะครับ มันรู้สึกอย่างนั้นจริงๆ



   ผมเปิดโทรศัพท์แล้วเข้าแอพแชทสีเขียวอ่อนนั่น  เปิดแชทของตัวเองกับพี่อ๊อฟแล้วพิมพ์ไปว่า

   กิ่งก้านใบชะชะใบก้านกิ่ง : ง้อได้แล้วครับพี่ ขอบคุณหลายยย


   ใช้เวลาไม่นานพี่หมีอ๊อฟก็ตอบกลับมา


   OFCOURS : ดี


   สั้นง่าย กระชับได้ใจความ  ผมนอนกลิ้งไปมาอีกรอบแล้วว้ากใส่หมอนดังๆ ด้วยความดีใจ จากนั้นก็สูดกลิ่นของหมอยินเข้าไปอีกเฮือกใหญ่ คนอะไรมันจะหอมได้ขนาดนี้ครับ ขนาดกลิ่นหัวติดหมอนยังหอมเลย


   เสียงข้อความเข้าจากแชทดังขึ้นอีก ผมเปิดดูก็พบว่าเป็นเจ้าเก่าที่ยังพูดไม่จบ


   OFCOURS : อย่าไปทำให้มันโกรธอีกก็แล้วกัน


   กิ่งก้านใบชะชะใบก้านกิ่ง : ครัยพี้



   ผมพิมพ์ตอบไปแบบสะกดผิดๆ เพราะใช้มือข้างไม่ถนัด …ก็แบบว่า พอดีว่ามือขวาไม่ว่างอะครับ แหะๆ



tbc.

****************************************
ขอบคุณสำหรับทุกๆ คอมเมนท์นะคะ หวังว่าจะเอนจอยกับตอนนี้ไม่มากก็น้อย

กิ่งมันก็พยายามในเเบบของมันอะเนอะ  เราตั้งใจจะให้กิ่งค่อยๆ พัฒนาตัวเองขึ้นมาเทียบเคียงหมอยินได้อะค่ะ

เเล้วหมอยินเองก็จะค่อยๆ ลดกำเเพงลงมาหาเอง เพราะมองว่าน้องมันอาจปีนไม่ถึง55

ว่าเเต่ อยากเขียนฉากncไวๆ จัง ฮาาาา เขียนอีกตอนเป็นจักรวาลอื่นได้มั้ยเนี่ย5555 คนเขียนใจร้อน

จะพยายามมาอัพวันเว้นวันนะคะ เเต่ถ้าไฟเเรงเเละไม่มีการบ้านอาจจะมาได้ทุกวัน อิ_อิ

ขอบคุณทุกการสนับสนุนค่าา //กราบ



ออฟไลน์ Starry[Blue]

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 178
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
มีตอนพิเศษวาร์ปไปตอนที่ได้กันแล้วก็ได้ค่ะ  (ได้เหรอ?!!555555)

โอ้ยมันดจีจจจจจต่อใจจริงๆอ้ะ อ่านแล้วกระชุ่มกระชวยสุดๆ ขอบคุณค่ะ นี่รีเฟรชบ่อยม้าก อิอิ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ toeyy

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 34
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
ชอบอะ
น่าร้ากกกกกก  :-[

ออฟไลน์ Natsuki-ChaN

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 219
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
ฮืออออ ชอบตอนหนูกิ่งง้อเป็นนิทานเลยย น่าร้ากกกกก  :-[ หมอยินนนใจอ่อนไวๆๆน้าาา

ออฟไลน์ Minoru88

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 189
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
ง้อน่ารักมากเลยกิ่ง
อย่างน้อยก็เข้าใกล้หมอยินได้อีกขั้น
หมอน่าจะเปิดใจให้บ้างแล้วเนอะ

ออฟไลน์ Coffeeblack

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
กิ่งน่ารัก พยายามต่อไปนะ  :กอด1:

ออฟไลน์ cheyp

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1536
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +49/-0
พยายามต่อไปนะกิ่ง

ออฟไลน์ OoniceoO

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 975
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +35/-2
ง้อสำเร็จแล้ว เอากันได่แล้ว

ออฟไลน์ steppenwolf

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 21
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
ตอนที่ 9






   “มึ้ง!!!!!”



   อาห์ สวัสดีวันจันทร์ สวัสดีเสียงที่แสนจะแสบแก้วหูของผองเพื่อน


   “ไปทำอีท่าไหนวะ! ทำไมหมอเขายอมให้มึงขึ้นห้อง! อีกิ่ง!! ไฟแห่งความอิจฉาของกูกำลังลุกโชน!!” ธันวาเพื่อนสาวในกางเกงนักศึกษา


   “กูว่ามันไม่ได้ทำสักท่าอะ! พี่เขาน่าจะเป็นฝ่ายออกท่าเองเสียมากกว่า” หมวยหมวยกับมุกใต้สะดือของเธอ


   “…เล่าให้กูฟังหน่อยดิ ขอละเอียดๆ” และเป็นใจผู้ถือโทรศัพท์และเปิดโปรแกรมอัดเสียงไว้ในมือ  อืม ครบองค์พอดีครับ นี่มาเรียนหรือมาเมาท์


   “ไม่มีอะไรทั้งนั้นแหละ กูแค่ไปกินเหล้ากับพวกพี่เขาแล้วก็เลยสนิทกัน” ขอละเรื่องที่ทำหมอมันโกรธไว้ในฐานที่เข้าใจครับ  “แล้วกูก็ไปกินเฉาก๊วยด้วยกัน แอร๊ย ฟิน”


   “แล้วไงต่อ!!”

   “ก็ไม่แล้วไงอะ พี่เขาก็มาคณะ กูก็หลับจนตะวันตกดิน จบข่าว”

   “ไม่ได้เรื่อง!” เป็นใจตะโกนขึ้นมา สองมือกุมหัวเหมือนพลาดอะไรไปบางอย่าง “ไม่ได้เรื่อง! ได้ขึ้นห้องพี่เขาทั้งที มึงได้แค่แดกเฉาก๊วยเนี่ยนะ!! เป็นกูนะจะเลียตั้งแต่ตาตุ่มยันหนังหัวเลย”


   “…กูก็เพิ่งรู้นะว่าเพื่อนเราเป็นได้ขนาดนี้”

   “สต๊อปปุธันวา มึงนั่นแหละตัวการใหญ่  พอเมื่อวานมึงรู้ว่าอีกิ่งไปนอนห้องพี่เขาละกรี๊ดโวยวายกว่าเพื่อนเลยนะ หาว่าเพื่อนได้ออกเรือนก่อนตัวเอง”


   ออกเรือนกับอุ้งมือตัวเองล่ะสิไม่ว่า หาทิชชู่แทบไม่ทัน “เอาเป็นว่า ไม่มีอะไรเกิดขึ้นทั้งนั้นครับ  เราสองคนกำลังพยายามเดินคู่ไปด้วยกันครับ ความรักครั้งนี้จะค่อยๆ งอกงามเหมือนดอกของต้นกระบองเพชร งดงามและคงทน”


   “ดอกกระบองเพชรบ้านมึงคงทน สองวันก็ร่วงละ”

   “แล้วมึงเนี่ยนะปลูกกระบองเพชรแล้วออกดอก เคยเห็นแต่ตายคามือล่ะสิไม่ว่า”


   ชิ ไอ้พวกนี้ ได้ทีแล้วเอาใหญ่  แต่ไม่เป็นไรครับคนอย่างกิ่งไม่ถือ  คิดซะว่าเพิ่มบุญกุศล “แล้วนี่เมื่อไหร่จะได้เริ่มทำงานเนี่ย นั่งเมาท์อยู่ได้”

   ผมกำลังพูดถึงซับเจ็คสำหรับคาบวิชาสีน้ำในวันนี้อยู่ครับ  ดอกเฮลิโคเนียหรือที่เรียกกันว่าดอกธรรมรักษาสีแดงอมส้มตั้งเด่นอยู่หน้าห้องพร้อมใบอะไรไม่รู้แซมๆ อยู่ รอให้นักเรียนอย่างพวกเราวาดมันลงไปบนผืนกระดาษว่างเปล่าและต้องเสร็จให้ทันภายในชั่วโมง “นี่ถ้าคาบวาดพอร์เทรตได้หมอยินมาเป็นแบบนะ จะวาดให้สวยจนพี่เขายอมรับรักเลยเอ้า”


   “ฝันไปเหอะค่ะ”


   ผมหัวเราะแล้วนั่งวาดรูปต่อไปโดยมีอาจารย์สาธิตคร่าวๆ ให้ดูหน้าห้อง(ซึ่งผมไม่เคยไปดูเลยสักครั้งด้วยความติสต์)  สาขาของเรามีคนค่อนข้างน้อยครับ แต่ก็ดีเวลาที่เรียนภาคปฏิบัติอาจารย์จะสามารถเข้าถึงนักศึกษาได้มากขึ้น ความรู้ความเข้าใจก็จะเพิ่มขึ้นตามไปด้วย


   ผมนึกย้อนไปถึงเรื่องเมื่อวานที่ตัวเองไปง้อหมอยินมันถึงที่ห้อง  รู้สึกเขินๆ แปลกๆ ที่มีเฉาก๊วยที่ผมซื้อให้อยู่ในตู้เย็นของพี่เขา มันเหมือนกับว่าผมได้เป็นส่วนหนึ่งของห้องเขาไปแล้วอะครับ


   หลังจากที่ผมทำธุระส่วนตัวด้วยมือขวาจนเสร็จสิ้นแล้ว ความโล่งใจก็ทำให้ผมหลับเป็นตายจนกระทั่งฟ้าเปลี่ยนเป็นสีม่วง  แต่เจ้าของห้องก็ยังไม่กลับมาสักที ผมเองก็เริ่มห่วงการบ้านที่จะต้องส่งในวันนี้แล้วเลยรีบบึ่งกลับหอก่อนจะอยู่รอเจอหน้าร่างสูง  พอกลับมาถึงห้องก็เจอพี่เนย์กับพี่เปียวนั่งเล่นโทรศัพท์อยู่เงียบๆ คนละมุมเหมือนนักมวยพักยก คู่นี้ก็ไม่รู้อะไรยังไง เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย เห็นแซวกันมาหลายคนเหลือเกิน


   “แล้วนี่มึงใช้ใครเป็นแบบอะกิ่ง”


   หมวยหมวยที่นั่งอยู่ข้างๆ หันมาถามผมหลังจากที่เงียบไปนาน “หา แบบอะไร”


   “งานถ่ายรูปพอร์เทรตอาจารย์นิดไง หรือมึงลืมไปแล้วเนี่ย”

   งานถ่ายภาพคนหรือภาพพอร์เทรต… ผมนึกย้อนไปสมัยอดีตชาติแล้วก็ร้องอ๋อขึ้นมา  งานที่อาจารย์เคยเปรยๆ สั่งไว้ตั้งแต่ต้นเทอมแล้วก็ไม่ได้พูดอะไรอีกเลยนี่เอง ว่าแต่เดดไลน์มันวันไหนนะ


   “ทำหน้าแบบนี้แสดงว่ามึงลืมเดดไลน์ไปแล้วแหง… กูมีข่าวดีจะบอก”

   “อย่าบอกนะว่าอาทิตย์หน้า!”

   “เปล่าค่ะ ศุกร์นี้” เป็นธันวาที่หันมาตอบ เฮ้ย! ทำไมผมไม่เห็นจำได้เลยวะว่าเป็นศุกร์นี้! คุณพระ แล้วผมจะไปหานางแบบที่ไหนมาถ่ายให้ทันล่ะครับเนี่ย  นอกจากจะเป็นงานด่วนแล้วยังจะใช้งานเขาฟรีอีก ใครจะไปอยากมาทำให้


   “มึงทำยัง” ผมถามรวมๆ หมายถึงทุกคนในกลุ่ม


   “เรียบร้อย” ประสานเสียงกับอย่างพร้อมเพรียงเลยครับ …เหลือก็แต่ผมกับผมแล้วก็ผม

   “ทำไมต้องหักหลังกันอย่างนี้วะเพื่อนฝูง”

   “หักหลังบ้าอะไร เขาคุยกันตั้งแต่อาทิตย์ที่แล้วแล้วว่าจะถ่ายกันยังไงอะไรวันไหน ไลน์กลุ่มน่ะเคยเปิดอ่านบ้างไหม”


   “กูว่าอ่านแต่แชทหมอยินแหง งี้แหละ ช่วงนี้อะไรๆ ก็หมอยินๆ”


   ก็ไม่ขนาดนั้นนะ… แต่ดูจากการที่ผมพลาดงานสำคัญไปแล้วก็คงจะเป็นอย่างนั้นจริงๆ นั่นแหละ  ผมนั่งวาดรูปไปด้วยคิดสะระตะในหัวไปด้วยว่าจะเสกรูปพอร์เพรตสิบรูปขึ้นมาในสามวันให้ได้ยังไง  จริงๆ ระยะเวลาในการถ่ายไม่ใช่ปัญหาครับ ลั่นชัตเตอร์เดี๋ยวเดียวก็เสร็จ  แต่เรื่องติดต่อนางแบบนายแบบ เสื้อผ้าหน้าผม โลเคชั่นนี่สิเรื่องใหญ่  แถมงานรอบที่แล้วผมก็แทบจะกราบพี่เปียวกับพี่เนย์ให้มาช่วยเป็นนายแบบให้ไปแล้ว รอบนี้จะใช้แบบซ้ำเดิมก็มีความเสี่ยงที่จะโดนด่าสูง… 


   “รู้แล้ว มึงก็ไปขอพี่เป้ให้มาเป็นแบบให้มึงสิ”


   ขวับ!  ผมหันหน้าไปมองเป็นใจผู้เป็นแหล่งกำเนิดไอเดียอย่างรวดเร็วจนคอแทบหัก มันเงยหน้าขึ้น เอาพู่กันจิ้มปากเล็กน้อยแล้วพูดด้วยสีหน้าที่เปี่ยมไปด้วยความสุขระดับสิบ  “แล้วมึงก็ขอพี่อ๊อฟมาถ่ายด้วย คอนเซปต์ ‘เพียงรัก’ เล่าเรื่องราวของความรักที่ไม่มีเรื่องของเพศเข้ามาเกี่ยวข้อง”

   “เดี๋ยวๆๆ ทำไมต้องเป็นพี่เป้กับพี่อ๊อฟด้วยวะ”

   “มึงไม่รู้เหรอว่าสองคนนี้แหละตัวดีเลย  ดังถึงขนาดมีฟิคเป็นของตัวเองด้วยนะเว้ย”

   “…ใครแต่งวะ”

   “กูเองแหละ”

   “เป็นใจ! มึงจะมาเที่ยวจับคู่คนอื่นเขาไปทั่วไม่ได้นะเว้ย ถ้าพี่เขามายด์ขึ้นมาจะทำไง”


   “กูดูแล้วกูรู้ คู่นี่แหละเรียลสุด” เรียล เรียลอะไร  สองคนนั่นน่ะนะจะมีซัมธิงกัน  “ตัวติดกันมาตั้งแต่ม.ปลาย  เข้ามหาลัยเดียวกันคณะเดียวกัน เรียนเสคเดียวกันตอนปีหนึ่ง แถมขึ้นปีสองมาก็อยู่หอด้วยกันอีก แอร๊ย”

   “ก็แค่เพื่อนสนิทธรรมดาๆ รึเปล่าวะ”

   “ไม่รู้แหละ มึงรู้จักกลุ่มพี่พวกนั้นแล้วก็ลองสังเกตดูดีๆ” เป็นใจมันทำหน้าจริงจังมากครับ แหม ถ้าเรื่องเรียนจริงจังได้ขนาดนี้แล้วเกียรตินิยมเหรียญทองคงอยู่ไม่ไกลอะครับ  “ถ้าได้ความอะไรแล้วก็บอกกูด้วย”


   “กูว่าแทนที่จะชวนพี่เป้กับพี่อ๊อฟมาถ่าย ทำไมมึงไม่ชวนหมอยินเขามาถ่ายเลยวะคะ”

   “ไอเดียดี กูซื้อ”

   “อ้าว! กูเสนอไอเดียมึงตั้งนานสองนาน ไปเลือกไอเดียธันวามันเฉย”


   “อะไรที่เกี่ยวข้องกับหมอยินมันก็เอาหมดนั่นแหละ…”


   จากนั้นพวกมันก็พูดอะไรไร้สาระไปอีกเรื่อยเปื่อยครับ แต่ตอนนี้ผมเริ่มแพลนในหัวแล้วว่าจะไปสู่ขอพี่หมอยินมาเป็นนายแบบได้ยังไง …คือก็เพิ่งง้อกันไปแล้วยังจะไปขอให้เขามาช่วยทำงานให้เนี่ยนะ  ฟังดูเสียมารยาทไปหน่อยแต่ถ้าลองเสี่ยงดูก็น่าคุ้มครับ


   ยังไงแค่ถามไปก็ไม่น่าจะเป็นปัญหาอะไร  ถ้ามันจนปัญญาจริงๆ ผมก็อาจจะลองขอคนอื่นดู… ซึ่งก็ยังไม่ได้คิดว่าเป็นใคร


   ไม่รีรออะไร ผมรีบเข้าโปรแกรมแชทแล้วส่งข้อความหาหมอยินทันที  แต่นานแล้วนานเล่าเฝ้ารอคอยหมอเขาก็ไม่ตอบกลับมาสักทีครับ  สงสัยกำลังเรียนอยู่ แหม่ ทำไมภรรยาที่ดีแบบผมถึงลืมคิดเรื่องนี้ไปเลยนะ แต่ไม่เป็นไรผมรอได้ นานแค่ไหนผมก็จะรอ




.
.
.

   “เป็นไงกิ่ง ตกลงมึงจะถ่ายวันไหน”

   “…ถ่ายกับผีอะไร หมอเขาไม่โอเคอะ”

   อรุณสวัสดิ์เช้าที่สดใสครับ แต่ตอนนี้ขอบตาผมดำคล้ำเหมือนหมีแพนด้าที่อดนอนมาอีกทีนึงเพราะเรื่องเมื่อคืน  หลังจากที่ผมส่งข้อความไปหาหมอ พอเลิกเรียนกลับหออาบน้ำอาบท่าเสร็จหมอยินก็ตอบกลับมาพอดีครับ  สั้นง่ายได้ใจความว่า


   HAPPYYIND : อาทิตย์นี้ไม่ว่าง เรียนหนัก


   แล้วก็ดูท่าว่าจะเรียนหนักจริงๆ ครับ เพราะหลังจากนั้นผมพิมพ์อะไรกลับไปก็ไม่ตอบมาเลย… ฮือ แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ยังไม่ละความพยายาม ไม่ได้เล่ห์ก็ต้องเอาด้วยกล  ได้หมอยินอย่างน้อยได้เพื่อนในกลุ่มมาก็ยังดีครับ  พอคิดได้แบบนั้นก็ลองทาบทามพี่เป้พี่อ๊อฟไปตามที่เป็นใจบอก  แต่ทั้งสองคนก็ปฏิเสธเพราะไม่อยากให้ใครเอาไปเผยแพร่ เหตุผลดารามาก  แต่พอพูดมาแบบนั้นแล้วผมก็เลยได้แต่นั่งห่อเหี่ยวใจ เดดไลน์จ่อคอหอยแล้วแต่กลับทำอะไรไม่ได้นอกจากนอนไม่หลับไปวันๆ


   “แล้วเอาไงต่อ”


   ธันวาพูดพลางเคี้ยวขนมหมีโคอาลาเป็นอาหารเช้า ผมเองก็โกยเข้าปากแก้เครียดไปเช่นกัน “ไม่รู้อะ คิดไม่ออกแล้ว รู้งี้น่าจะหาเพื่อนเยอะๆ เข้าไว้”


   “ถ่ายกูสิ”

   “ไม่อะ พอร์เทรตมันควรถ่ายคนไม่ใช่เหรอ”

   พูดจบเท่านั้นแหละผมก็โดนกล่องขนมฟาดหน้าทันที 


   “ลองไปถามรุ่นพี่รุ่นน้องเราดูสิ”

   “กลัวอาจารย์ว่าว่าไม่ลงทุนอะ”

   “ใครบอกให้ลืมเอง สม”


   “ว่าแต่โคอาลาสีนี้รสอะไรวะ มันแปลกๆ กลิ่นหึ่งๆ เหมือน…”


   “รสน้ำผึ้งไง”


   อ้อ… รสน้ำผึ้งนี่เอง


   เดี๋ยวนะครับ  …พี่ผึ้ง  พี่ผึ้งเขาจะว่างมาเป็นแบบให้ผมไหมวะ


   แต่ถ้าหมอยินว่าเรียนหนักก็คงจะเรียนหนักอย่างที่ว่าจริงๆ   ทว่าคนอย่างกิ่งไม่เคยคิดยอมแพ้ทั้งๆ ที่ยังไม่ได้เริ่มครับ  ผมกดเปิดหาแชทพี่อ๊อฟแล้วขอไลน์ของพี่ผึ้งมา  คนหน้าโหดให้มาเกือบจะทันที  …เห็นแล้วก็อดคิดถึงหมอยินไม่ได้ กะอีแค่ไลน์ ทำไมถึงได้ตอบช้านัก แล้วก็ชอบจริงเนี่ยไอ้ที่อ่านแล้วไม่ตอบ


   พอกดเพิ่มเพื่อนไปได้ไม่นานพี่ผึ้งก็รับครับ  ผมรีบแชทไปด้วยความเร็วสูงทันที

   กิ่งก้านใบชะชะใบก้านกิ่ง : พี่ผึ้งครับ นี่ผมกิ่งนะ คือผมอยากถามว่าพุธนี้พี่ว่างมั้ยอะครับ


   ผึ้งน้อย : ว่างดิ มีไรเหรอ

   กิ่งก้านใบชะชะใบก้านกิ่ง : พี่สนใจมาเป็นนายแบบให้ผมไหมครับ คือผมจะส่งการบ้าน


   กิ่งก้านใบชะชะใบก้านกิ่ง : พี่เองก็จะได้รูปหล่อๆ ไว้เปลี่ยนรูปโปรไง


   ผึ้งน้อย : 55555555

   ผึ้งน้อย : เอางั้นก็ได้ กี่โมงล่ะ


   เฮ้ยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย!!! กรุงศรีไม่สิ้นคนดี!! ผมกระโดดโลดเต้นเป็นหมาได้กระดูกไปรอบๆ ห้อง ปากก็กรี๊ดแบบไม่มีเสียงไปด้วยจนธันวามันถึงกับสะดุ้งเมื่อเพื่อนรักลุกมาดิ้นเหมือนคนโดนของ


   กิ่งก้านใบชะชะใบก้านกิ่ง : สี่โมงเย็นได้ไหมครับพี่ พี่เลิกเรียนกี่โมง


   ผึ้งน้อย : อ่า พี่ว่าโดดได้ เจอกันสี่โมง

   ผึ้งน้อย : /สติ๊กเกอร์ผึ้งน้อย/



   โหยยยย ดูเหมือนว่าแต้มบุญด้านการเรียนจะพุ่งพรวดๆ ครับ  แม้ว่าแต้มความรักอย่างหมอยินจะยังกระเตื้องแบบหอยคลานอยู่ก็ตามที แต่แค่ได้พี่ผึ้งดีกรีหมอเพลย์บอยมาถ่ายแบบด้วยก็โชคดีสุดๆ แล้ว อย่างน้อยก็เข้าทางเพื่อนให้พี่เขาเห็นครับว่า เราทำดีกับทุกคนรอบๆ ตัวเขา แม้ว่ามันจะเป็นการทำดีหวังผลสองต่อก็ตามแต่(ฮา) 


   “มึงบ้าไปแล้วเรอะ”


   “หึๆๆ  กูได้นายแบบแล้ว! ดูนี่ซะก่อน”


   พอเปิดรูปพี่ผึ้งโชว์ให้ธันวามันดูเท่านั้นแหละครับ  เพื่อนสาวของผมก็เบิกตากว้าง คว้าหมับเอาโทรศัพท์ของผมไปโดยแล้วโวยวายเสียงดัง “หล่อ!!! มาก!!! ดูแบดสุดด! ใครวะ!!”


   “กูนึกว่ามึงจะรู้จัก พี่ผึ้งไง ที่อยู่ในกลุ่มหมอยิน”


   “ผึ้ง… ผึ้งไหนวะ ทำไมเรดาร์คนหล่อกูถึงได้หาเขาไม่เจอ”


   “ผึ้งที่เหมือนจะเจ้าชู้หน่อยๆ อะ”

   “โอว มิน่าล่ะ พอดีเรดาร์กูจับได้แค่คนดีๆ”

   “เขาก็ดีนะ”

   “ดีแต่เจ้าชู้ก็ไม่ไหวค่ะ” ธันวาทำเมินแล้วคืนโทรศัพท์ผมมา แหม่ ตะกี๊ยังทำเป็นกรี๊ดกร๊าดจะเป็นจะตาย “แล้วหมอยินเขาจะไม่ว่าว่ามึงเปลี่ยนใจง่ายเหรอวะ แบบ เหมือนพี่เขาปฏิเสธแล้วมึงก็ไปหาคนอื่น”


   “อันนี้มันงาน กูว่าพี่เขาคงไม่ซีเรียส… ทำไมมึงพูดเหมือนเขาเป็นแฟนกับกูแล้วอะ”


   “จริงๆ ในขั้นจีบมันก็ควรที่จะซีเรียสแบบนี้แหละมั้ง”


   หลังจากนั้นเพื่อนในห้องก็ทยอยมากันจนครบ  ผมแทบไม่ได้สนใจบทเรียนต่างๆ ที่ว่ามาเลย เพราะในหัวมีแต่เรื่องของหมอยินลอยเต็มไปหมด ผมจะทำยังไงให้เขายอมรับตัวผมนะ ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกัน



.
.
.

   “หูวววว พี่ผึ้ง! หล่อสุดๆ นี่กินอะไรเป็นอาหารครับเนี่ย ใช่ข้าวรึเปล่า”

   “ฮ่าๆ อันนี้คือชมใช่ไหมวะกิ่ง”

   “ชมครับชม”


   เย็นวันพุธตามที่นัดกันไว้ พี่ผึ้งโผล่มาด้วยกางเกงยีนส์สีเข้ม เสื้อยืดแขนสามส่วนสีกระดำกระด่างที่ดูโคตรเท่เมื่อพี่เขาใส่ ผมหยักศกไม่ได้ถูกรวบไว้อย่างที่พี่เขาเคยทำ แต่ทุกอย่างมันกลับดูเสริมให้พี่ผึ้งเข้ากับคอนเซปต์วันนี้เข้าไปใหญ่
เพราะพี่ผึ้งดูเป็นลุกแบดบอยสุดเจ้าชู้ที่พร้อมจะขยี้ใจสาวๆ  ผมเลยเลือกคอนเซ็ปต์หนุ่มเริงเมืองให้พี่เขา… จริงๆ มันก็ไม่ได้ชื่อตีมนี้หรอกครับ  แค่ธันวามันพูดขึ้นมาแล้วผมชอบก็เท่านั้นเอง


   “ตีมวันนี้เป็นตีมเพลย์บอยอิสคัมมิ่งทูทาวน์นะครับพี่”

   “คือกูถ่ายเป็นซานตาครอสเรอะ”

   “เปล่าครับ แต่พี่กำลังจะได้ขี่กวาง…”


   ผ่างง!! ทันใดนั้นกวางน้อยก็โผล่มาจากไหนไม่รู้  …ล้อเล่นน่ะครับ ไม่มีกวางหรอก แล้วก็ไม่มีใครด้วยนอกจากผมกับพี่เขาที่ยืนงงๆ กันอยู่ตรงนั้น


   “คือผมหมายถึงพี่มาที่เมืองนี้เพื่อจะหาเหยื่อสาวน้อยอะไรอย่างนั้นอะครับ ตามหลักแล้วพี่จะเป็นแวมไพร์”  พอจบประโยคนี้ผมก็ยื่นผ้าคลุมสีดำที่ตัวเองเคยใช้คอสเพลย์สมัยม.ปลายไปให้ คนตัวสูงรับไว้แล้วลองใส่มันเข้าด้วยท่าทางที่… โคตรขี้เก๊ก อืม เห็นแล้วแสบตา


   “อย่างงี้ใช่ไหม”

   แล้วพี่แกก็เก๊กท่าต่างๆ นาๆ สารพัดไปครับ  เอ่อ ผมไม่เคยรู้เลยนะว่าหมอจะเป็นอะไรแบบนี้ได้ด้วย หรือว่าเรียนหนักเกินไปเลยต้องหาทางแก้เครียดกันนะ  “ก็พอได้ครับพี่ ผมว่าเราเริ่มถ่ายเลยดีกว่า เดี๋ยวแสงหมด”


   พี่ผึ้งยกมือโอเคให้ผม  ผมเลยเดินนำพี่เขาไปยังโลเคชั่นที่ตัวเองหาไว้  มันเป็นตึกเก่าๆ ที่ผมบังเอิญมองเห็นจากหอได้พอดี ไอเดียก็ปิ๊งขึ้นมาภายในสามวิเพราะงานต้องรีบส่งแล้ว  พี่ผึ้งไม่อิดออดเมื่อต้องเข้ามาอยู่ในที่ที่ดูไม่ค่อยสะอาดเท่าไหร่ กลับกันแล้วเขากลับดูสนุกที่ได้มาอยู่ในตึกร้างนี่เสียมากกว่า


   “มีกราฟฟิตี้ด้วย”


   ร่างสูงชี้ให้ดูตรงมุมกำแพงที่มีลวดลายจากสีสเปรย์พ่นไว้  อ่านไม่ออกครับ ถึงเป็นเด็กศิลป์แต่ก็ทำอะไรแบบนี้ไม่เป็นจริงๆ  มันดูเฉพาะทางเกินไป


   “อยากถ่ายตรงนั้นว่ะ”


   “ครับพี่ แต่เดี๋ยวผมขอเวลาแป๊ปนึงนะ”


   เพราะเป็นช่างภาพแบบเร่งรีบผมเลยไม่มีตัวติดสอยห้อยตามมาตามปกติ  จริงๆ แล้วอุปกรณ์พวกขาตั้งกล้อง แฟลช รีเฟล็คอะไรเนี่ยต้องมีคนคอยช่วยถือช่วยจัดให้ครับ แต่งานนี้กิ่งน้อยฉายเดี่ยว แบกเองถ่ายเองคิดงานเอง ฮือ ไม่น่าลืมเดดไลน์เลย


   “มา กูช่วย”


   หูย เป็นพระคุณมากครับ  พี่ผึ้งเดินมาช่วยผมกางขาตั้งกล้องอย่างทะมัดทะแมงจนผมอดถามขึ้นไม่ได้ “พี่เคยถ่ายรูปมาก่อนเหรอครับ ดูคล่องจัง”


   “กูอยู่ชมรมถ่ายภาพนะ แต่เดี๋ยวนี้เรียนหนัก เวลาจะชาร์ตแบ็ตกล้องยังไม่ค่อยมี”


   “เรียนหมอนี่หนักเนอะ”

   “เรียนอะไรก็หนักหมดแหละ จะให้กูซิ่วไปเรียนคณะอื่นกูก็คงบ่นเหมือนเดิม”


   “ฮ่าๆๆ พี่พูดถูก”


   “แล้วนี่ทำไง”  พี่ผึ้งถามถึงแผ่นรีเฟล็ค …จริงๆ แล้วแผ่นนี้จะต้องมีคนคอยช่วยถือส่องไฟให้สะท้อนไปยังนายแบบในมุมที่มืดครับ  แต่ก็อย่างว่า มาคนเดียวคงทำอะไรมากไม่ได้ “เดี๋ยวผมกำหนดตำแหน่งวางเองครับ พี่แต่งตัวรอก่อนเลย ขอหล่อๆ”


   “โอเค”

   จากนั้นพวกเราก็ต่างเซ็ตตัวเองกันอีกสักพัก เเล้วก็เริ่มถ่ายทำกันด้วยคอนเซ็ปต์หนุ่มเริงเมือ… เอ๊ย เพลย์บอยอิสคัมมิ่งทูทาวน์  (จริงๆ ผมว่าทั้งสองชื่อมันก็ตลกพอๆ กันแหละครับ”


   “พี่ผึ้ง งอศอกอีกนิดครับ”

   “พี่ผึ้ง ขอยิ้มที่แบบ …เหมือนกำลังอยากกินเลือดในหัวอะ  ไม่ใช่ๆๆ พี่ไม่ได้ยิ้มแบบนั้นอะ มันเหมือนพี่กำลังอยากกินหัวกิ่งมากกว่า ขอยิ้มใหม่ๆ”


   “พี่ผึ้ง ขอมุมลอดหว่างขา”


   “พี่ผึ้ง… ขอเสยผม สายตาอยากฟัน”


   และอีกสารพัดท่าครับที่ผมขอให้พี่เขาแอคติ้งตาม  แรกๆ พี่ผึ้งก็ทำตามแต่โดยดีอยู่หรอก แต่หลังๆ ไปดูเหมือนว่าช่างภาพจะกลายเป็นทาสเสียมากกว่า นายแบบจะเก๊กยังไงก็ต้องถ่ายไปซะงั้น


   “มุมนี้กูหล่อไหม”


   ว่าแล้วพี่แกก็หันหลังให้ผม จากนั้นก็มองข้ามไหล่สี่สิบห้าองศามาแบบแรดๆ “หล่อมากพี่ ค้างไว้นะผมขอวัดแสงแป๊ป”
   
   จากนั้นเสียงรัวชัตเตอร์ก็ดังรัวขึ้น ถ้ากล้องเป็นปืนล่ะก็ป่านนี้พี่ผึ้งก็คงพรุนตายไปแล้วแหละครับ  เราถ่ายกันอยู่อย่างนั้นจนกระทั่งแสงหมด  เกือบหกโมงเย็นตอนที่ผมกับพี่ผึ้งเดินออกมาจากตึกร้าง เสียงหมาหอนเกรียว ผมนี่ขนลุกซู่เลยครับถ้าไม่ติดว่ามันจะหอนกันอยู่ทุกวัน อยู่บนหอทีไรผมก็ได้ยินทุกทีช่วงนี้


   “บรื๋อ น่ากลัวว่ะ”


   แต่กลายเป็นว่าคนข้างๆ เองที่กลัวไป พี่ผึ้งกอดอกตัวเองแล้วทำตัวสั่น “โหยพี่ไม่มีอะไรหรอก ผมได้ยินมันหอนแบบนี้ทุกวันแหละครับ สงสัยรำคาญเสียงระฆัง”


   วัดแถวนี้ชอบเคาะระฆังครับ หมาแถวนี้ก็ชอบหอนตามอีกเช่นกัน  ผมเดินนำพี่ผึ้งออกจากแถวนั้นเพื่อไปหาร้านข้าวที่ตั้งใจจะเลี้ยงขอบคุณนายแบบในวันนี้  พอถึงร้านพี่ผึ้งก็เป็นฝ่ายจัดแจงสั่งนู่นนี่นั่นไปทั่วครับ โถ่ถัง ห้าร้อยจะพอไหมวะเนี่ย




.
.
.

   พอเรากินเสร็จ… ผมก็เดินตัวปลิวแยกกับพี่ผึ้งทันทีที่บอกลากันเสร็จเรียบร้อย กลัวโดนไถค่าของหวานต่ออีกครับ คนเรานี่มันมองกันแต่หน้าไม่ได้จริงๆ  ผมเปิดประตูแบบทุลักทุเลเพราะในมือมีทั้งขาตั้งกล้องแล้วกระเป๋าของอีกสารพัด  ภายในห้องยังคงมืดเหมือนถูกตัดไฟอยู่ ซึ่งนั่นหมายถึงรูมเมทคู่จิ้นของผมยังไม่กลับมา  ผมวางของกองๆ ไว้แถวหน้าห้อง เปิดไฟเปิดโน๊ตบุ๊กคู่ใจให้เรียบร้อยแล้วแกะเอาเมมโมรี่การ์ดจากกล้องมาเสียบเพื่อถ่ายข้อมูล  ไม่รีบไม่ได้ครับ ไหนจะต้องคัดรูปแต่งรูป ไม่รู้จะเสร็จภายในคืนนี้หรือเปล่า


   “…ไฟล์เป็นไรวะ”


   เมื่อเห็นรูปที่อยู่ในเมมโมรี่การ์ดที่ถ่ายมาผมก็เผลอหลุดอุทานทันที… ไฟล์ภาพที่ควรจะเป็นเซ็ตภาพถ่ายสุดหล่อของพี่ผึ้งขวัญใจกวางน้อยกลับกลายเป็น… ภาพถ่ายที่… ภาพถ่ายที่ควรจะมีพี่ผึ้งอยู่คนเดียวกลับกลายเป็น…




   ภาพหมู่…




   ติ๊ง!!


   “เชี่ยยยย!!!!”



   ผมหลุดกรี๊ดออกมาทันทีเมื่อได้ยินเสียงข้อความที่ดังขึ้นมาทำลายความเงียบ ไม่รอช้า ผมคว้ากระเป๋าสะพายของตัวเองแล้วรีบวิ่งออกไปนอกห้องประหนึ่งเดอะแฟลช  กดลิฟต์ลงไปข้างล่างแล้วกระโดดเข้าไปเพื่อไขว่คว้าหาผู้คนทันที โอยยย ไม่ไหวแหล่ว ไม่ไหวแล้ว!  พุทโธนะโมสังโฆ ทำไมกิ่งจะต้องมาเจอกับอะไรแบบนี้ด้วยวะครับเนี่ย!!


   เมื่อลิฟต์พาผมลงมาสู่ชั้นโถงของหออย่างปลอดภัย ผมก็รีบควักโทรศัพท์ของตัวเองออกมากดเปิดดูข้อความที่ส่งมาได้จังหวะปอดแหกพอดิบพอดี กะว่าจะด่ากลับให้เสียชาติเกิดไปเลย แต่พอเห็นชื่อว่าใครส่งมาเท่านั้นแหละครับ ชีวิตผมก็เหมือนเปิดทางสว่างให้แก่ตัวเองทันที


   ผมคอลไลน์หาหมอยิน รออยู่นานสองนานเหมือนหมอมันทักมาแล้วก็เขวี้ยงโทรศัพท์ทิ้งไปจนกระทั่งมีเสียงตอบรับมาจากปลายสาย


   “หมอออ!! ผมเจอชัตเตอร์!!!!”


   (อะไรวะ)


   ดูท่าว่าปลายสายจะไม่เก็ตกับสิ่งที่ผมพูดครับ ผมเลยอธิบายกลับไปแบบปากสั่นๆ  กลัวก็กลัว แต่โชคดีที่ตอนนี้ยังมีคนพลุกพล่านแถวใต้หอให้ใจชื้นบ้าง “คือผมไปถ่ายรูปกับพี่ผึ้งมาอะ ไอ้งานการบ้านที่เคยขอหมอ แล้วทีนี้… พอมาเปิดดูอะ แล้วทีนี้ โฮวววววว”


   ไม่ไหวแล้วครับ  ผมนี่ขาสั่นจนแทบทรุดลงไปกองกับพื้น  แค่คิดว่าตัวเองถ่ายรูปกับพี่ผึ้งอยู่สองคนในนั้นนานสองนานก็แทบจะฉี่แตก ขอโทษนะเจ้าฝูงหมาทั้งหลายที่ฉันคิดไปว่าพวกแกหอนไปเล่นๆ งั้นๆ แหละ ฮือ แม่งมีจริงนี่หว่า โอ๊ยยยยยย

   
   “หมอคิดดู! ถ่ายพี่ผึ้งอยู่แค่คนเดียว พอเอามาเช็คในคอมเท่านั้นแหละแม่ง! ไม่รู้มาจากไหนกันเยอะแยะ! แล้วคิดดูว่าพี่เนย์พี่เปียวไม่อยู่ห้อง! ผมเปิดดูรูปนั้นคนเดียวแล้วหมอก็ยังจะไลน์มาถูกจังหวะอีก อ๊ากกก จะบ้าตาย กลัวเว้ยยย”


   เมื่อขาสั่นจนไม่ไหวผมก็ลงไปนั่งคุกเข่ากับพื้น เรียกความสนใจจากบรรดาหมอๆ ที่เดินผ่านใต้หอจนหลายคนต้องหยุดดู  แต่วินาทีนี้ผมไม่สนครับ ยิ่งมีคนเยอะเท่าไหร่ยิ่งดี


   (ภาพมันเสียเองรึเปล่า)


   “เสียไรล่ะหมอ! มาเป็นคนๆ เลยเหอะ ชัดยิ่งกว่าพี่ผึ้งอีกมั้ง!”


   (แล้วนี่อยู่ไหน)


   “ใต้หอครับ ตอนหมอทักมานั่นแหละผมก็รีบคว้ากระเป๋าแล้ววิ่งลงมาเลย โอย พุทโธธรรมโมสังโฆ อาเมน”


   (เดี๋ยวเหอะ ทำเป็นพูดเล่นไป เดี๋ยวเขาก็มา…)


   “หยุ๊ดดดดด!! สต็อปปุเลยหมอ! แค่นี้ผมก็กลัวจนจะบ้าแล้ว!”

   (ปกติก็บ้าอยู่แล้วเหอะ)

   “หมอ ถ้าไม่ช่วยปลอบก็ไม่ต้องพูดเลยนะ”


   (อ้าวเหรอ งั้นฉันวางสายล่ะ แค่นี้นะ)


   “เดี๋ยวววว! หมออย่าทำงี้ดิ ผมกลัว อยู่เป็นเพื่อนผมก่อน”


   แค่คิดว่าจะต้องกลับไปห้องนั้นที่มีรูปนั่นเปิดค้างอยู่ผมก็ใจสลายแล้วครับ  ไม่รู้พี่เนย์พี่เปียวจะกลับมาตอนไหนด้วย …แต่ตามสถิติแล้วทั้งคู่จะชอบกลับห้องช่วงสองสามทุ่ม และนั่นก็เป็นเรื่องของอีกสองชั่วโมงให้หลังครับ


   และถ้าพวกพี่เขากลับเลทกว่านั้น นั่นก็หมายความว่าผมจะต้องอยู่คนเดียวไปเรื่อยๆ…


   “หมอ ขอผมไปสิงหอหน่อยนะครับ! ไหว้ล่ะ ผมไม่รู้จะไปที่ไหนแล้วจริงๆ”

   (อะไร เพื่อนนายมีตั้งเยอะแยะ)

   “มันยังอยู่คณะกันอยู่เลยมั้ง!”

   (ก็ไปคณะดิ)

   “ทางไปมันผ่านตึกตรงนั้นด้วยอ๊ะ!”


   สาเหตุหลักก็นี่แหละครับ ฮือ กลัวพวกพี่เขามาทวงรูป  “ขอล่ะหมอ ผมจะอยู่เงียบๆ นิ่งๆ ไม่หือไม่อือ ขออาศัยอยู่แค่สามทุ่มเท่านั้นแล้วผมจะรีบกลับ นะครับ นะ นะ นะ”


   (…)


   อย่าเงียบสิใจคอไม่ดีเลย


   (เดี๋ยวลงไปรับข้างล่าง)


   “เย้!! หมอยินใจดีที่สุดเลย!! ร้ากกกหมออออ”


   ตู้ดดด… ไม่รอให้ผมพูดประโยคแสดงความยินดีจบ  หมอยินก็ตัดสายไปด้วยความเร็วแสง  พอได้ยินอย่างนั้นแล้วผมก็รีบวิ่งไปหอหมอยินทันทีครับ  วินาทีนี้จะมาคิดเรื่องหลอกแต๊ะอั๋งในห้องหออะไรก็คงไม่ใช่แล้ว ขอแค่อยู่ห่างๆ จากตึกแล้วก็รูปพวกนั้นให้มากที่สุดก็เพียงพอ
   





   ว่าแต่… ผมควรจะไปขอบคุณพวกพี่ๆ เขาดีไหมอะครับ ที่ทำให้ผมได้ไปห้องหมอยินอีกครั้งเนี่ย




tbc.

*********************************************

บทนี้เป็นบทเเนะนำพระรองค่ะ๕๕๕๕๕

 :katai4: :katai4:
   

ออฟไลน์ toeyy

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 34
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
ชอบอะ  สนุกกกกกกกกกกกก
รักคนเขียน  :-[

ออฟไลน์ lnudeel

  • I wanna be a CAT!!
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1466
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +31/-5
นั่น!!~~ พระรองเจ็บปวดอีกแล้วววว :z3:

ออฟไลน์ OoniceoO

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 975
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +35/-2
อะไรขะโชคดีปนโชคร้ายขนาดนี้

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ Starry[Blue]

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 178
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
เอ้ะ ทำไมหลอน ทำไมตอนเปิดตัวพี่ผึ้งคนแซ่บถึงมีเรื่องน่ากลัว

โอ้ยกิ่งเพราะแกทำบุญเยอะหรือเปล่าเขาถึงอยากเข้าใกล้55555

ออฟไลน์ Natsuki-ChaN

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 219
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
กิ่งเอ้ยยย :m20: ควรดีใจนะได้ไปห้องหมอยินอีกรอบ รอบดึกด้วย :hao7:
โมเม้นท์ กิ่งกับหมอผึ้งแอบน่ารักเบาๆ ขอบทหมอผึ้งอีกกก หมอยินจงหึงงงง  :-[

ออฟไลน์ LadySaiKim

  • ▫▪□Dezine'Kim□▪▫
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1705
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +47/-0
เจอของดีมั้ยล่ะกิ่งงานนี้ :laugh: :laugh:

ออฟไลน์ steppenwolf

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 21
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
ตอนที่ 10






   สวัสดีผ้าปูที่นอนลายจุด สวัสดีหมอนสามใบ สวัสดีตู้เย็น โต๊ะกินข้าว โต๊ะคอม และแน่นอน สวัสดีครับสุดที่รัก


   หลังจากที่ผมขอจรลีหนีผีมาอาศัยที่ห้องหมอยินผมก็รู้สึกโล่งใจขึ้นมากครับ  ไม่ต้องคอยกังวลว่าจะมีใครขี่หลังอยู่แบบในหนังหรือเปล่า



   “หมอกินข้าวยังอะ”


   “ยัง จะกินดึก”

   ร่างสูงชี้ให้ดูถุงกับข้าวที่วางอยู่บนโต๊ะซึ่งผมไม่ทันได้เห็น  สงสัยจะตื่นเต้นกับกลิ่นของหมอที่เพิ่งอาบน้ำเสร็จใหม่ๆ ในห้องนี้มากเกินไป…


   หมอยินที่ตอนนี้อยู่ในชุดนอนผ้าฝ้ายสีน้ำตาล …ย้ำนะครับว่าชุดนอน ซึ่งเป็นอะไรที่ผิดแปลกไปจากคาแร็คเตอร์ของหมอมากกก  จริงๆ ของใช้หลายๆ อย่างในห้องนี่ก็ค่อนข้างไม่ตรงคอนเซ็ปต์หมอเขานะครับ  สงสัยจะเป็นประเภทที่ไม่ค่อยเลือกของใช้มาก มีอะไรก็ใช้ เห็นอะไรก็ซื้อล่ะมั้งครับ



   ผมสีดำเข้มของหมอยังคงชื้นๆ อยู่นิดๆ  เห็นแล้วอยากเข้าไปขยี้ๆ ให้ผมนั่นฟูเล่นๆ  …และที่สำคัญ


   ตอนนี้หมอมันใส่แว่นอยู่ครับ


   “ผมเพิ่งรู้อะว่าหมอใส่แว่นด้วย!! หล่อสุดๆ ไปเลยอะ!”



   แม้จะเป็นแค่แว่นกรอบดำหนาๆ ธรรมดาผมก็ว่าดูดีครับ ดูฉีกลุคหมอแนวๆ แบบเขาไปเลย กลายเป็นเด็กคงแก่เรียนไปซะงั้น “หมอสั้นเท่าไหร่อะ …หมายถึงสายตานะ”


   “ข้างซ้ายสี่ร้อย ข้างขวาสองร้อยกว่าๆ …หมายถึงสายตาเหมือนกัน”


   “หมอยั่ว”


   “นายนั่นแหละยั่ว หมายถึงยั่วโมโหน่ะนะ”  คนตัวสูงทำหน้าเอือม ถอนหายใจสั้นๆ ทีนึงแล้วนั่งลงบนเก้าอี้หน้าโต๊ะคอมที่ตอนนี้มีแต่ชีทเรียนกับเท็กซ์บุ้ควางเต็มไปหมด  “จะทำอะไรก็ทำ สามทุ่มก็กลับไปได้แล้ว”



   “หมอจะไปส่งใช่ไหมครับ”


   “ไม่ ฉันต้องอ่านหนังสือ”

   “หมอ! ผมกลัวอะ! ไปส่งเหอะนะแค่นิดเดียวเอง!”  ทีเอาชีทไปให้พี่เนย์ยังไปได้เลยอะครับ  แล้วทีงี้ทำไมไม่ยอมไปกับผมบ้าง


   “…อย่าเรื่องมากน่า เดี๋ยวโทรให้เนย์มารับ”

   เหมือนเด็กประถมเลยครับ  แต่ผมก็ต้องจำใจให้หมอยินทำแบบนั้นเพราะวันนี้กลัวจนหางจุกตูดแล้วจริงๆ   เกิดมากิ่งน้อยก็เพิ่งจะเคยสัมผัสประสบการณ์ขนหัวลุกแบบนี้เป็นครั้งแรก และมันก็ไม่น่าอภิรมย์นักสำหรับคนที่เปิดไฟนอนเป็นอาจินอย่างผม แงง หวังว่าจะเป็นครั้งสุดท้ายในชีวิตนะ

   “เดี๋ยวฉันจะอ่านหนังสือ นายนอนหรือไม่ก็เล่นเน็ตไปก็ได้ รหัสไวไฟอยู่ตรงนั้น” มือหยาบชี้ให้ผมเห็นโพสท์อิทที่แปะไว้บนหัวนอน  …ดูเหมือนเจ้าตัวจะตั้งใจเขียนไว้ให้ผม ผมเลยถือวิสาสะแอบจิ๊กเก็บเข้ากระเป๋าทันทีเป็นของที่ระลึกในการมานอนค้างอ้างแรมวันนี้

   จากนั้นหมอยินก็หันหน้าเข้าโต๊ะ หลอมร่างเข้ากับหนังสือไปตลอดกาล… ล้อเล่นน่ะครับ  หมอเขาก็อ่านหนังสือไปธรรมดาแบบไม่สนใจผมนั่นแหละ น่าน้อยใจชะมัด


   แต่จากกระทู้คันยิปที่ผ่านมาทำให้ผมรู้ครับว่า  ริอ่านจะเป็นแฟนหมอต้องทำใจ  แม้เขาไม่มีเวลาให้ก็ต้องอดทนเป็นคุณแฟนที่ดี


   ผมนอนเลื้อยเล่นโทรศัพท์อยู่บนเตียงหมอยินไปมา คิดถึงตอนที่มาทำอนาจารไว้บนเตียงหมอเขาแล้วก็เขินขึ้นมาครับ ไม่รู้ว่าถ้าหมอตัวสูงมันรู้แล้วผมจะยังได้มีสิทธิ์ขึ้นห้องมันอยู่เหมือนตอนนี้รึเปล่า บางทีอาจจะโดนบล็อกไลน์ไปเลยด้วยซ้ำ ฮา


   พอเปิดเฟสบุ้คมาเช็คนู่นนี่นั่นเล่นตามประสาวัยรุ่นทั่วไป  ผมก็เพิ่งนึกขึ้นมาได้ครับว่าไม่ได้ส่องเฟสหมอยินมันมานานแล้ว …จริงๆ แล้วเฟสบุ้คหมอยินผมก็ได้อภินันทนาการมาจากไอ้ธันวามันอีกที  เพราะตอนนั้นหมอเขาฮ็อตมาก คำขอเป็นเพื่อนจากคนที่ไม่รู้จักอย่างผมเลยถูกปฏิเสธไป  แต่ผมก็กดติดตามไว้แม้ว่าเขาจะไม่ค่อยได้อัพเดตชีวิตอะไรมากมายลงโลกโซเชียลนัก  มีแต่จะแชร์เพลงไม่ก็รูปตลกๆ  กับรูปภาพที่เพื่อนๆ เขาแท็กมา… เหมือนอย่างเมื่อสี่วันก่อน

   วันที่พวกเราไปดื่มกันนั่นแหละครับ  ไม่รู้ว่าพี่เป้ถ่ายรูปไว้ตอนไหน แต่ที่แน่ๆ คือติดหน้าผมซึ่งกำลังเมาแอ๋เต็มที่ไปด้วย  มือข้างขวาของผมกำลังดึงชายเสื้อหมอยินมันจนย้วยแทบติดมือ ส่วนคนตัวสูงก็กำลังทำหน้าเบื่อโลกอยู่อย่างเคย


   แคปชั่นภาพที่พี่เป้ขึ้นไว้คือ ‘ขอแต่งงานต่อหน้าเพื่อนฝูง น้องแม่งเจ๋งว่ะ555555’


   และในคอมเมนท์ครึ่งหนึ่งของจำนวนยี่สิบกว่าคนนั้นต่างถามว่า ไอ้น้องที่กำลังเกาะแกะหมอยินคนหล่ออยู่นั่นคือใคร ใช่คนเดียวกับที่อยู่ในคลิปสารภาพรักสุดฉาวนั่นหรือไม่…


   โอ ไม ก้อด


   “หมอ… พี่เป้เขาโพสรูปนี้ไมอะ แล้วผมขอแต่งงานหมอไปเหรอ”


   ขอแหกกฎที่ว่าจะไม่รบกวนสมาธิไปสักครู่ครับ  คนตัวสูงหันกลับมามองผมที่ยื่นรูปในโทรศัพท์ไปให้ดูแล้วร้องอ๋อ “ไอ้เนย์มันถ่ายไว้ เป้มันขอไปโพสเอง”


   “ผมขอแต่งงานหมอเหรอ เขินจัง”


   “เออ ขนลุก ไม่รู้พูดอะไรของนายออกมาบ้าง ฉันเองยังฟังไม่เข้าใจ”

   “…แหะๆ  สงสัยที่เขาว่าแอลกอฮอลจะทำให้คนเราแสดงสันดานดิบออกมานี่ท่าจะจริงนะครับ”


   หมอยินมองค้อนใส่ผมทีนึงแล้วหันกลับไปจมอยู่กับเท็กซ์บุ้คเล่มหนาเท่าเขาควายต่อ  ผมกลับมานั่งไล่อ่านคอมเมนท์จากเพื่อนๆ ในเฟสบุ้คของหมอแล้วก็ละเหี่ยใจ…  ถ้าไม่ใช่คอมเมนท์เชิงเหยียดแบบ ‘น้องสายเหลืองคนนั้นเหรอวะ’ หรือไม่ก็ ‘เปิดประตูหลังใบใหม่เลยดิไอ้ยิน’ ก็จะเป็นความคิดเห็นที่แสดงออกมาแบบเชิงตลกขบขัน  ทั้งล้อหมอยิน ผม พี่เป้พี่อ๊อฟ แล้วก็พี่ผึ้งที่นั่งเบียดสาวสวยที่ไหนไม่รู้ติดเฟรมมาด้วยอีกหน่อยนึง


   และไอ้หนึ่งในคอมเมนท์เหยียดนั่นก็เป็นพี่คนที่หาเรื่องกับผมไปเมื่อวันนู้น  …คนที่ทำข้าวไข่ยัดไส้แห่งความรักของผมคว่ำนั่นแหละครับ


   ‘มึงเอาจริงเหรอวะเนี่ยไอ้ยิน 5555น้องแม่งโรคจิต มึงก็เหมือนกัน’


   พออ่านคอมเมนท์นี้เสร็จผมก็ปรี๊ดแตก  แทบจะวิ่งลงไปต่อยไอ้พี่บ้านั้นแล้ว แต่ติดที่ว่าไม่รู้แม้แต่ชื่อและที่อยู่ของมัน


   …สังคมเรานี่ก็แปลกนะครับ  ทั้งๆ ที่ความรักมันเป็นเรื่องส่วนตัวแท้ๆ  แต่พอจะทำอะไรก็กลับถูกคนส่วนใหญ่กำหนดไปเสียหมดว่าสิ่งนี้ทำได้สิ่งนั้นทำไม่ได้ 

   ทั้งๆ ที่เป็นเรื่องของคนสองคนก็เท่านั้นเอง   

   โทรศัพท์ผมสั่นขึ้นช่วงที่กำลังอ่านคอมเมนท์พวกนั้นอยู่  เสียงกีต้าร์สบายๆ ดังต่อเนื่องจนกระทั่งผมกดรับสายเรียกเข้าจากพี่เปียว “ฮัลโหลครับพี่เปียว มีไรอ่า”

   (มึงอยู่ไหน)

   “หอหมอยินครับ…”

   ว่าแล้วก็บิดตัวแก้เขินเป็นเลขแปดสิบที แหม่ ช่วยไม่ได้ครับ  คนมันฮ็อต


   (เห็นเปิดคอมทิ้งไว้แล้วไม่กลับมาสักที …นี่มันรูปบ้าอะไรวะเนี่ย)


   โอ้ว แค่คิดถึงก็ขนลุก “พี่เปียว… ฝากพี่ลบรูปใบเมมทิ้งที่ดิ นะ เอาให้เกลี้ยงเลยนะครับ”

   (งานไม่ใช่เหรอ ถ่ายสวยดีหนิ  ว่าแต่คนที่ยืนข้างๆ ไอ้ผึ้งนี่ใครวะ ไม่คุ้นเลย)

   “โฮ้ยยย พี่ไม่ต้องสนใจหรอกครับ! ลบมันไปเถอะผมขอร้อง”

   (…แล้วทำไมคนนี้เขาไม่มีขาด้วยวะ)


   “…”  ผมเงียบ และคาดว่าพี่เปียวก็น่าจะรู้แล้วเช่นกันว่าคนที่ยืนข้างๆ พี่ผึ้งนั่นเป็นใคร  ปลายสายมีเสียงกุกกักเพราะสัญญาณขาดไปสักพักก่อนที่เสียงหอบหายใจหนักของพี่เปียวจะดังขึ้น (เชี่ย นี่อย่าบอกนะว่ามึงเก่งจนถึงขั้นถ่ายติดสิ่งที่ไม่ใช่สสารแล้ว… กิ่ง มึงควรไปทำงานกับเดอะช็อค)


   “เดอะช็อคบ้านพี่ดิ!” ผมโวยวาย “ลบให้ผมเถอะนะพี่! ผมกราบล่ะ นี่ไม่กล้ากลับหอจนต้องมาสิงห้องชาวบ้านเขาอยู่เนี่ย”


   (ลบไม่ได้ว่ะ…)

   อ้าว! อย่าบอกนะว่าติดคาถาอะไรอีก!  ไม่ใช่ว่าผมจะต้องเอาโน๊ตบุ๊กไปพรมน้ำมนต์ก่อนใช่ไหมเนี่ย…

   (คือกูออกมาอยู่ข้างนอกแล้ว ไอ้เนย์อาบน้ำอยู่ ตอนนี้กูอยู่ห้องเพื่อนที่ชั้นสิบเอ็ดแล้ว)

   ฮือ  เอาล่ะครับ  ต่อจากนี้ก็คงจะต้องรับโทรศัพท์จากพี่เนย์ที่โทรมาว้ากใส่สินะ  เสียงพี่เปียวคุยกับเพื่อนคนที่ว่าไปด้วยก่อนจะบอกตัดสายผม  จากนั้นไม่นานก็โป๊ะเชะครับ  พี่เนย์โทรตามมาด่าผมติดๆ โทษฐานที่ไม่เตือนกันก่อน


   (ห่า! แล้วไอ้เปียวก็ทิ้งกูไว้! กูใส่แต่บ๊อกเซอร์ออกมาจากห้องน้ำก็ไม่เจอใครละ พอมาดูคอมมึงก็เจอรูปเหี้ยพวกนั้น… แสรส)


   “แล้วตอนนี้พี่อยู่…”


   (ห้องเพื่อนกูชั้นสิบสาม! ใครมันจะกล้าไปอยู่ต่อวะไอ้กิ่ง! กลับมารับผิดชอบสิ่งที่มึงพากลับห้องมาเดี๋ยวนี้!!)


   ฮือ!! ใครมันจะไปทำได้วะ!  ต่อให้เช้าแล้วผมก็ยังไม่มั่นใจเลยว่าตัวเองจะกล้ากลับไปดูรูปพวกนั้นอยู่ไหม “ผมจะกลับไปสามทุ่ม… พี่เนย์บอกพี่เปียวลงมาพร้อมกันดิ เดี๋ยวเข้าห้องพร้อมกัน ไปลบรูปพร้อมกัน”


   (มึงก็กลับมาตอนนี้เลย! อยู่ห้องไอ้ยินซะคุ้มเลยนะมึง)


   ก็ต้องมีบ้างครับ   …วินาทีนี้ต้องคิดถึงสิ่งที่จะคุ้มค่าที่สุด  รูปจะกลับไปลบตอนไหนก็ได้  แต่ห้องหมอเปิดกว้างให้ได้ถึงแค่สามทุ่ม  พี่เนย์สบถหยาบใส่ผมอีกหลายประโยคก่อนจะตัดสายไป  คิดว่าในอนาคตถ้าเจอผีในห้องพร้อมกันสามคน ผม พี่เนย์ พี่เปียวก็คงวิ่งชนกันตายที่ประตูอะครับ  เร่งรีบกันเหลือเกิน


   “กลับห้องไป เนย์กับเปียวมาแล้วไม่ใช่เหรอ”


   คราวนี้เป็นเสียงของหมอยินที่คงจะแอบฟังผมคุยโทรศัพท์อยู่นาน  เจ้าตัวพูดทั้งๆ ที่ยังไม่หันหน้ามาเสียด้วยซ้ำ ขยันเรียนสมกับเป็นเด็กทุนคณะจริงๆ ครับ  “ตอนนี้พี่เนย์พี่เปียวเขาลี้ภัยอยู่ห้องเพื่อนอะครับ กลับไปก็ไม่ไหวหรอก”


   “แล้วทำไมต้องเป็นสามทุ่ม”


   “ก็ ก็ ก็อยากอยู่กับหมอนี่นา  แถมถ้าเกิดขืนกลับไปตอนนี้แล้วพี่เนย์พี่เปียวรวมหัวกับหลอกผมให้ผมเข้าไปในห้องคนเดียวล่ะ  สองคนนั้นยิ่งเจ้าเล่ห์ๆ อยู่”


   “ก็ไม่เห็นเป็นไร ก็แค่รูปถ่าย”

   “หมอไม่กลัวผีเหรอครับ”

   “กลัว แต่ไม่ได้ทำไม่ดีอะไร ถึงเห็นก็คงเห็นเพราะเขาแค่อยากมาคุยด้วยเฉยๆ…”

   พ่อพระมากครับ สงสัยเรียนจบแล้วจะบวชต่อจริงๆ  ไม่รู้ทำไมพวกเราถึงวกเข้ามาเรื่องที่เหมาะกับรายการเดอะช็อคแบบนี้ได้  ตอนนี้บรรยากาศในห้องเลยเย็นขึ้นมาอีกระดับหนึ่งทั้งๆ ที่ยังไม่ได้เปิดแอร์ครับ  โอว ขนลุกไปหมดเลยครับท่านผู้ชม


   “งั้นหมอกลับไปลบเป็นเพื่อนหน่อยดิครับ”


   ผมพยายามดัดเสียงให้ดูน่าสงสาร กระซิกๆ  แต่หมอโย่งๆ คนนั้นก็ยังคงไม่ยอมหันกลับมามอง  ผมเลยเปลี่ยนแผน รอหน้ามึนกลับหอตอนสามทุ่มดีกว่า  กลับไปตอนนี้ก็ไม่ได้ประโยชน์อะไร


   พอเห็นว่าหมอยินไม่ได้สนใจที่จะไล่ผมกลับแล้ว  ผมก็ลุกขึ้นเดินสำรวจห้องไปเรื่อยๆ แบบไม่ส่งเสียงอะไร จะเดินยังต้องเดินแบบย่องๆ อะครับคิดดู


   กองหนังสือของหมอยินดูจะเละเทะขึ้นมากกว่าเมื่อวันก่อน  สงสัยร่างสูงคงจะยุ่งอยู่กับการเรียนมากเกินไปจนไม่มีเวลาจัดของในห้อง  ดูอย่างตะกร้าผ้าที่พูนทะลักจนแทบจะล้นออกมากับถังขยะใบเล็กที่ตอนนี้แทบเต็มไปด้วยกล่องข้าวและขวดเครื่องดื่มชูกำลังก็คงจะยุ่งจริงๆ   ผมเดินไปหยิบถุงขยะขึ้นมา เขย่าๆ แล้วมัดปากถุงให้เรียบร้อยก่อนเดินออกจากห้องเพื่อไปทิ้งที่ถังขยะใหญ่หน้าลิฟต์  รู้สึกเป็นภรรยาที่กำลังดูแลสามีในยามงานยุ่งเลยครับ เขินจัง


   ผมกลับเข้ามาในห้องพอดีกับช่วงที่คนตัวสูงบิดขี้เกียจเปลี่ยนอิริยาบถอยู่พอดี  เขาไม่ว่าอะไรที่ผมไปรื้อหาที่เก็บถุงดำไปทั่วจนกระทั่งได้มันมาใส่รองถังขยะไว้ตามเดิม  พอเห็นว่าเขาไม่ว่า ผมก็เลยปฏิบัติการแม่บ้านสามีหมอด้วยความรวดเร็ว  เริ่มตั้งแต่ปัดกวาดเช็ดถู  เก็บขยะรอบๆ ห้อง  ลงท้ายด้วยการเปิดตู้เย็นรินน้ำเย็นเจี๊ยบใส่แก้วใบใหญ่และเอาไปวางไว้ข้างๆ หมอ…  ไม่รักไม่ทำให้ขนาดนี้นะครับเนี่ย  ห้องตัวเองยังทำความสะอาดแค่ปีละครั้ง


   “ขอบใจ”


   หมอมันมีมารยาทเสมอครับ น่ารักจริงๆ  ผมแอบอมยิ้มไม่ได้เมื่อหมอยินยกแก้วน้ำขึ้นดื่ม  หัวใจมันพองโตเหมือนสาวน้อยวัยแรกรุ่นที่เพิ่งเจอรักแรก… อา โคตรมีความสุข สงสัยพรุ่งนี้ผมคงต้องทำบุญตักบาตรยกใหญ่แล้วล่ะครับ ขอบคุณพี่ๆ ทั้งหลายที่อนุเคราะห์ภาพหมู่มาให้ผมด้วย ณ ที่นี้…


   ว่าแต่… ถ้าไอ้ภาพพวกนั้นมันกลายเป็นภาพหมู่และจำเป็นจะต้องลบไปหมดแล้ว  ผมจะเอาอะไรส่งงานวะ


   ลัคกี้อินเลิฟน็อทลัคกี้อินเกมส์ครับงานนี้  สงสัยจะต้องบากหน้าไปขอเลื่อนส่งงานกับอาจารย์นิดแบบส่วนตัว …ซึ่งก็คงโดนงาบหัวกลับมาด้วยวาจาเชือดเฉือนอีกเป็นแน่แท้


   “มีอะไร”

   “หืม อะไรเหรอครับหมอ”  อยู่ดีๆ หมอยินมันก็โพล่งมาแบบนั้นครับ ผมเลยไม่รู้ว่าพี่มันหมายถึงอะไร 


   “ก็เห็นบ่นพึมพำอะไรไม่รู้ตั้งแต่เมื่อกี้แล้ว นึกว่าถูกผีสิงไปซะอีก”


   “สต๊อป! หมอจะลากเข้ามาเรื่องนี้ทำไมเนี่ย! คนอุตส่าห์ลืมไปแล้ว”

   “เออ ก็ใครใช้ให้นายพึมพำอะไรอยู่คนเดียวเล่า”


   สงสัยว่าผมจะเผลอพูดคนเดียวไปอีกแล้วล่ะครับ  นึกว่าแค่คิดเองในใจแต่ปากกลับไวกว่าซะงั้น  คนเราหนอคนเรา “คืองานที่ผมถ่ายพี่ผึ้งแล้วมัน… เอ่อ ติดชัตเตอร์มาอะ มันต้องส่งศุกร์นี้ ผมคงถ่ายใหม่ไม่ทันแล้ว เลยบ่นๆ เพราะไม่อยากฟังอาจารย์ด่าอะครับ”


   “ส่งเลทไม่ได้เหรอ”


   “มันก็ได้แหละครับ… แต่ก็ต้องไปพูดกับอาจารย์ดีๆ เอา  ไม่รู้ว่าแกจะหักกี่แต้มอะไรยังไง”


   เทอมที่แล้วก็จบมาแบบคาบเกี่ยวเส้นยาแดงผ่าแปดครับ คราวนี้ก็ไม่รู้ว่าจะรอดอยู่ยั้งยืนยงเหนือโปรได้หรือเปล่า


   “ก็ถ่ายไอ้ผึ้งเหมือนเดิมดิ มันหล่ออย่างนั้นคงขึ้นกล้องดี ถ่ายพรุ่งนี้ก็ได้”


   “ไม่ได้หรอกครับ ผมหมดตูดแล้ว พอบอกว่าจะเลี้ยงข้าวเท่านั้นแหละสั่งอะไรไม่รู้ตั้งสี่ห้าอย่าง พี่ผึ้งนะพี่ผึ้ง  ถ้าขอให้มาถ่ายซ่อมอีกก็ไม่รู้จะไถเงินผมไปได้อีกเท่าไหร่  เพราะฉะนั้นถ้าหมอยินว่างก็ได้โปรดเถอะครับ นะ นะ นะ อาทิตย์หน้าก็ได้ ไหนๆ ก็จะขอเลื่อนส่งงานแล้ว”


   คนตัวสูงไม่พูดอะไรกับการอ่อยแบบเนียนๆ ของผม  ซึ่งมันก็ทำให้ผมเสียเซลฟ์ไปนิดหน่อย แงง ไอ้หมอบ้า  ขี้เก๊กแล้วยังจะหยิ่งอีก ขอสาปแช่งให้มีแฟนเป็นผู้ชายชื่อกิ่งเลย


   “ผึ้งมันก็ติดเรียนเหมือนๆ กับฉัน ไปรบกวนมันบ่อยๆ มันน่าเกลียด”


   “หมอก็เลยจะยอมมาเป็นนายแบบให้เหรอครับ”


   “เดี๋ยว ฉันพูดแบบนั้นตอนไหนกัน”


   “ผมเดาเอาน่ะ แหะๆ  แต่ก็ถูกใช่ไหมล่ะ หมอจะมาเป็นแบบให้ผมใช่ม้า”


   หมอยินไม่ได้หันหน้ามาแต่ก็พยักหน้าทั้งๆ อย่างนั้น “ถ้าอาทิตย์หน้าก็พอได้อยู่”

   “เฮ้ยยย! หมอเอาจริงเหรอ! ผมแค่แซวเล่นนะเนี่ย!!”

   “…งั้นไม่ถ่าย?”


   “ถ่ายดิครับ ถ่ายๆๆๆ”  แหม โอกาสเข้ามาใกล้ถึงขนาดนี้แล้ว ไม่คว้าเอาไว้ก็คงจะไม่ใช่ไอ้กิ่งอะครับ  ผมยิ้มให้กับคนที่ยังคงนั่งหันหลังอยู่แม้ว่าเขาจะมองไม่เห็นก็ตาม 


   บางคนนี่ก็ใจดีแต่ปากแข็งไปงั้นแหละ ก็เป็นซะแบบนี้ ไม่รักจะให้ทำยังไงไหว




.
.
.
.

   “พี่เนย์พี่เปียว!! ห้ามหนีนะเว้ย! อยู่เป็นเพื่อนผมก่อน”

   “มึงนั่นแหละตัวดีเลย ออกตัวเร็วกว่ากูอีก”

   “ก็ผมนึกว่าพวกพี่ทิ้งผมไว้แล้วอ้ะ!”


   ตอนนี้พวกเราสามหน่อยืนอยู่หน้าห้องครับ เป็นความพยายามครั้งที่สองในการกลับมาลบรูปพวกนั้นหลังจากที่ครั้งแรกเข้าไปแล้วก็ปอดแหกวิ่งหนีกันออกมาทั้งโขยง  พี่เนย์ที่ยังอยู่ในบ๊อกเซอร์ตัวเดียวเพียวๆ อยู่ตบหัวผมแล้วพูดว่า “ทิ้งห่าอะไร ไป เข้าไปกัน แม้ว่ากูจะมีซิกแพคที่งดงามแต่ก็ไม่ได้หมายความว่ากูจะชอบยืนโป๊อยู่แบบนี้นะเว้ย”


   “กูว่าเข้าไปเลยเหอะ”


   กลายเป็นว่ายิ่งเถียงกันลูกบ้ายิ่งมาครับ  การบุกเข้าห้องเพื่อลบรูปในคราวนี้จึงเป็นไปได้อย่างง่ายดาย  พี่เปียวที่ได้คาถากันผีมาจากแม่เมื่อกี้ก็ท่องใหญ่เลยครับ  แทบจะเอาน้ำมนต์พรมโน๊ตบุ้กผม


   “มึงไปถ่ายที่ไหนมาวะ โคตรเฮี้ยน”

   “…ตึกร้างตรงนั้นอะพี่เปียว”

   “เวร ที่หมามันชอบหอนบ่อยๆ ใช่ไหม…”

   “ครับ…”


   มองหน้าเหมือนรู้ใจ  ทั้งผมพี่เปียวพี่เนย์ก็ต่างพากันเดินไปรูดปิดผ้าม่านตรงหน้าต่างฝั่งที่มองเห็นตึกนั้นได้ทันที  ได้ยินเสียงหมาหอนแว่วๆ มาตามลมเป็นพักๆ ไปจนถึงเกือบเที่ยงคืนครับ…   พรุ่งนี้ผมคงต้องตื่นมาใส่บาตรเป็นแน่แท้ และบางทีเสาร์อาทิตย์หน้าคงต้องหาเวลาไปทำบุญที่วัดด้วยอีกเหมือนกัน ช่วงนี้เรื่องดีๆ ของผมกับหมอยินเกิดขึ้นค่อนข้างถี่ครับ มาเป็นคอมโบ กลัวจะหมดโปรบุญเลยต้องไปเติมอีกสักหน่อย หึๆๆ
   


tbc.

************************************

  พระรองหลบไป พระเอกมาเเล้วว55555








ออฟไลน์ Natsuki-ChaN

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 219
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
อุตส่าห์ถ่ายรูปพี่ผึ้งมา ติดชัตเตอร์หมดเลย  :m20:
ถึงกับลั่น ที่พี่เนย์พี่เปียว พร้อมใจกับวิ่งหนีไปห้องเพื่อน  :m20:
จะได้ถ่ายหมอยินแล้วน้าา
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 29-10-2016 09:08:04 โดย Natsuki-ChaN »

ออฟไลน์ Starry[Blue]

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 178
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
สงสัยต้องไปขอบคุณคุณพี่ๆที่อนุเคราะห์ภาพหมู่ให้จริงๆ55555555

ออฟไลน์ Nene promporn

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 47
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
#ทีมหมอผึ้ง
5555
เปลี่ยนจากหมอผึ้งเป็นหมอผีเเทนเถอะค่ะ
ถึงเเม้เฮียเเกจะเป็นพระรอง เเต่ขอโมเม้นท์สักนิดก็ยังดี
ส่วนหมอยิน น้องก็ชอบนะ รักหมออะ 5555
นายเอกชื่อไรนะ ลืมชื่ออะ เรียกเฉาก๊วยมาตั้งเเต่ตอนด่อนนู้น
5555  คนเขียน สู้ๆ ชูป้ายไฟ ฮริ้งงง

ออฟไลน์ OoniceoO

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 975
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +35/-2
น่าสงสารแต่ดีนะได้อยู่ใกล้หมอ

ออฟไลน์ steppenwolf

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 21
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
ตอนที่  11







   อุ๊ย ฟังเสียงนกร้องนั่นสิ ไพเราะเพราะพริ้งจริงเชียว  แล้วก็ดูนั่น แสงอาทิตย์สีส้มอมชมพูทีสาดส่องเข้ามาถึงกลางใจ ก่อให้เกิดความอบอุ่นเหลือประมาณ …ขนาดเมฆบนท้องฟ้ายังลอยเป็นรูปหัวใจเลยอะ


   “เสพหนักไปหน่อยสินะมึงช่วงนี้ ตาเยิ้มเชียว”


   “กัญชาหรือยาม้าคะเนี่ย”


   ผมหันไปมองไอ้พวกตัวทำลายบรรยากาศข้างๆ  ถลึงตาใส่หนึ่งที “คนมีความรักแบบกูมองอะไรก็สวยงามสดใสได้โดยไม่พึ่งยาเสพติดเว้ย”


   “รักข้างเดียว/แอบรัก เนี่ยนะ”


   เหมือนโดนเพื่อนรุมกระทืบทางคำพูดอะครับ  ผมส่ายหัวจุปาก ทำหน้าแบบ ‘พวกเอ็งจะรู้อะไรกันเล่า’ ใส่หมวยหมวยและเป็นใจที่ยืนต่อแถวอยู่ข้างๆ  เรียกเสียงด่าของพวกมันมาได้อีกกระบุง


   ถึงจะเป็นตอนเช้าแต่โรงอาหารก็คนเยอะมากครับ  กลุ่มสี่หน่อของผมขาดธันวาไปหนึ่งเพราะมันโหมงานหนัก ทำงานแบบข้ามคืนจนน็อกไป สงสัยจะมาเรียนอีกทีก็บ่ายๆ โชคดีของมันที่วันนี้เป็นคาบเรียนไม่เช็คชื่อ มันเลยได้โอกาสนอนยาวๆ แบบไร้กังวลไป


   ข้าวมันไก่หอมฉุยราดน้ำจิ้มเล็กน้อยพอเป็นพิธีเสิร์ฟคู่กับโค้กแก้วเล็กที่ซ่าถึงใจ  ผมละเลียดกินประหนึ่งว่าวันนี้ไม่มีเรียน แหม ก็เพิ่งบอกไปอยู่หยกๆ ว่าไม่มีเช็คชื่อ แปลว่าเข้าเลทได้ไงครับ ไอ้สองสาวข้างๆ นี่มันก็คงคิดเหมือนกัน แถมมีแพลนต่อว่าจะกินของหวานกันต่ออีกต่างหาก


   “ว่าแต่มึงนี่ก็โชคดีนะกิ่ง  วันที่ทำงานไม่ทันอาจารย์ก็ไม่เข้าคาบ แถมเลื่อนส่งไปเป็นศุกร์หน้าอีก”



   หมวยหมวยมันพูดถึงการบ้านพอร์เทรตชัตเตอร์อันนั้นแหละครับ  …หลังจากที่ผมคิดหนักว่าจะไปคุกเข่าอ้อนวอนอาจารย์ยังไงดี แชทไลน์กลุ่มของสาขาที่ผมเปิดอ่านอาทิตย์ละครับก็เด้งขึ้นมา ใจความว่าอาจารย์ป่วยเลยต้องขอลาหยุด ส่วนงานที่ต้องส่งก็ให้ยกยอดไปเป็นของศุกร์หน้าแทน


   อยากจะเต้นระบำเป็นนกยูง ติดอยู่ที่ว่าต้องสำรวมกิริยาว่าที่ภรรยาหมอไว้ครับ  “กูติดต่อนายแบบใหม่ไว้ได้ละ พวกมึงรอตะลึงกันได้เลย”


   “ใครวะ ดวงไหนในตึกเหรอ”

   “ถ้ามึงเป็นกูมึงจะไม่กล้าล้อเล่นแบบนี้  มันน่ากลัวจริงๆ นะเว้ย กูยังไม่กล้าบอกพี่ผึ้งเขาเรื่องนี้เลย กลัวเขาจะกลัวตามไปด้วย”


   “จริงๆ มึงควรจะเก็บรูปไว้ขายรายการผีๆ นะ กูว่ามึงน่าจะเอาดีด้านนี้ไปเลย คนอื่นเขาถ่ายได้แบบเสี้ยวๆ ติดไม่กี่รูป มึงนี่คมชัดจัดเต็ม ยังกะเนชั่นแนลจีโอกราฟฟิคของเหล่าวิญญาณ”


   “เป็นใจ ไอเดียมึงต่ำมาก…”

   “ฮ่าๆๆ …เฮ้ย กิ่ง”


   อะไรของมัน อยู่ดีๆ ก็หัวเราะอยู่ดีๆ ก็ทำหน้าซีเรียส  ผมหันหลังไปดูต้นเหตุที่ทำให้เป็นใจมันเป็นไบโพล่าร์ก็ถึงกับต้องร้องอ๋อ  …คืออย่างนี้  ข่าวสารในกลุ่มของผมจะไวมากครับ เช่นเรื่องที่ผมมีปัญหากับพี่ปีสามคนนั้นก็ถูกแพร่ไปอย่างรวดเร็วมาก ส่วนหนึ่งเป็นเพราะผมขี้บ่นเอง และอีกส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะเพื่อนของผมมันชอบเรื่องของชาวบ้านมากครับ


   พี่ปีสามเจ้าปัญหาเดินมากับกลุ่มเพื่อนกลุ่มเดิมของมันครับ  ถึงคนจะเยอะแค่ไหนแต่ด้วยความที่คงจะเกลียดกันมาตั้งแต่ชาติปางก่อน พี่มันเลยมองเห็นโต๊ะผมและเดินมาหาได้อย่างง่ายดาย

   “นี่ไงมึง น้องมันกินเสร็จแล้วกำลังจะลุก ไปซื้อข้าวรอเลย”

   เพื่อนพี่เขาหัวเราะก่อนจะเดินแยกย้ายกันไปซื้อข้าว  …กินเสร็จแล้วบ้านพี่เขาคงความหมายเดียวกับคำว่าข้าวยังพูนจานอยู่เลยมั้ง  เพราะพวกผมทั้งสามคนยังไม่มีใครกินข้าวถึงครึ่งจานเลยด้วยซ้ำ


   “พี่คะ พวกหนูยังไม่ลุกอะค่ะ พี่หาโต๊ะอื่นเหอะ”


   โอ้หมวยหมวย  พลังแห่งความโมโหหิวสินะ ได้ข่าวว่าอย่างกินของหวานต่อด้วย

   “อ้าวเหรอ แต่พี่บอกเพื่อนไปแล้ว น้องก็ลุกไปกินโต๊ะอื่นเถอะนะ”

   สภาพโรงอาหารตอนนี้เหมือนป่าช้าแตก คงจะเหลือโต๊ะว่างให้พวกผมเข้าไปแทรกหรอกมั้ง  …เหมือนพี่มันก็รู้ดีและตั้งใจมากวนผมเล่นไปงั้นแหละ แค่ยิ้มเฉยๆ รังสีบาปก็แผ่ออกมาเต็มที่แล้ว


   “เพื่อนผมจะกินของหวานต่อด้วยครับ คงอีกนานกว่าจะลุก”

   “ไม่รู้รึไงว่าคนเยอะๆ แบบนี้เขาไม่ให้นั่งแช่กันนะ มันเสียมารยาท”


   มันเน้นประโยคหลังชัดและช้ามากจนผมรู้สึกได้เลยว่าคิ้วตัวเองกำลังกระตุกอยู่  ตอนนี้หมวยหมวยมันจ้องหน้าพี่เขาเขม็ง แต่คนหาเรื่องก็ยังคงทำท่าไม่แคร์สื่อ ยืนโบกมือเรียกเพื่อนมันมายืมรุมกดดันโต๊ะผมอย่างไม่รู้จักยางอาย

   นี่ถ้าไม่เห็นบัตรนักศึกษาที่ห้อยอยู่ผมก็คงไม่คิดว่ามันเป็นนักศึกษาแพทย์ครับ  แต่ก็อย่างว่า ทุกวิชาชีพมีทั้งคนดีและคนไม่ดี  ในเมื่อผมได้เจอคนที่ดีแบบเทพบุตรอย่างหมอยินแล้ว ทำไมจะมาเจอคนที่เลวรากไม้แบบพี่คนนี้อีกไม่ได้


   “ลุกได้แล้ว อิ่มแล้วไม่ใช่หรือไง หรือต้องให้ไอ้ยินมาเดินร่อนมึงถึงจะยอมลุกไปเดินตามตูดมันน่ะ”


   ผึง


   เสียงฟางแห่งสติเส้นสุดท้ายขาดผึง ระรานกิ่งได้แต่อย่าดึงหมอยินลงมายุ่งครับ หมอมันไม่เกี่ยว “พี่เก็บปากพี่ไว้กินข้าวเถอะนะ ก่อนที่จะแก่จนไม่มีแรงระรานคนอื่น”


   “ไอ้เด็กเวร”  พริบตาที่ผมพูดจบ มันก็กระชากคอเสื้อผมขึ้นทันที และเพราะผมขืนตัวไว้ไม่ยอมลุกขึ้นตามแรงดึง กระดุมเม็ดแรกๆ ก็พากันพร้อมใจสละชีพหนีเอาตัวรอดไปคนละทิศละทาง ตายห่าน ไม่น่าซื้อรุ่นที่ถูกๆ ไว้ก่อนเลย ไม่เคยคิดนี่ครับว่าจะต้องซื้อของดีมาเผื่อไว้มีเรื่องกับชาวบ้านแบบนี้


   “คนอื่นมองอยู่นะครับพี่”


   “กูรู้ และกูไม่ทำอะไรมึงตอนนี้หรอก”


   “พี่หาเรื่องผมก่อนเองนะ”

   “มึงมันทำตัวโรคจิตเอง”

   มันปล่อยคอเสื้อผมแล้วเดินไปหาโต๊ะอื่นนั่งกับเพื่อนต่อ  แต่ระหว่างนั้นมันก็ยังคงส่งสายมามองมาเป็นระยะๆ แบบที่อันธพาลทั่วไปเขาทำกัน  เป็นใจที่เห็นว่าดูท่าจะไม่ดีแล้วเลยรีบเก็บของเตรียมจะลุก


   “มึงไม่ต้อง ไม่มีอะไรแล้ว”


   “กิ่ง พี่เขาเป็นโรคจิตอะไรรึเปล่าวะ ขนลุกเลยอะ”


   “ช่างมัน ต่างคนต่างอยู่ จะเกิดอะไรขึ้นก็ให้มันเกิด”


   เราไปห้ามให้คนไม่เกลียดไม่ได้หรอกครับ ถึงเหตุผลจะขี้ปะติ๋วยังไงก็เป็นความรู้สึก   ผมจับคอเสื้อให้เข้าที่เพราะเริ่มเย็นๆ แล้ว  มองซ้ายขวาหากระดุมที่หล่นหายไปเผื่อว่าจะเอากลับขึ้นไปซ่อมได้


   หมวยหมวยกับเป็นใจเองก็ช่วยกันมองหาด้วย แต่จนแล้วจนรอดก็ยังไม่เจอ ผมเองก็ไม่อยากจะนั่งตรงนี้อีกเลยตัดสินใจไม่หาต่อแล้วพากันขึ้นตึกไปทั้งๆ ที่สองสาวนั่นก็ยังไม่ได้กินของหวาน ก่อนเดินออกจากโรงอาหารผมก็หันไปมองหน้าฝ่ายหาเรื่องเพื่อดูปฏิกิริยาของมัน   


   มันยิ้มมุมปากให้ผมจากนั้นก็หันกลับไปคุยกับเพื่อนมันตามปกติ ผมยังไม่รู้จักชื่อพี่มันเลยด้วยซ้ำ แต่ก็ต้องมาเป็นศัตรูกันแล้ว  ตลกดี





.
.
.
.

   “มึงต้องระวังตัวด้วยนะกิ่งช่วงนี้”


   ธันวาที่มาทีหลังและเพิ่งรู้เรื่องเริ่มโวยวายออกมา หาว่าผมไปหาเรื่องพี่เขาบ้าง อยู่เฉยๆ ไปก็จบแล้วบ้าง แต่แหม นี่ก็นั่งเฉยๆ อยู่จนกระทั่งมาโดนระรานนั่นแหละครับ  แค่ฟิวส์ขาดไปว้ากกลับก็เท่านั้นเอง


   “กูรู้ ช่วงนี้เลยว่าจะกลับดึกๆ หน่อย”

   “ถุย นั่นเรียกระวังตัวเหรอวะ”

   “ส่วนใหญ่พวกหมอเขาไม่อยู่ดึกๆ กันหรอก  กลับเวลาปกตินั่นแหละเสี่ยงตีนกว่า”


   “แล้วนั่นทำไมไม่จัดการเย็บให้เรียบร้อยคะ” ธันวาชี้มายังคอเสื้อของผมที่แบะออกกว้างประหนึ่งนายแบบนิตยสารเกย์แล้วก็หรี่ตามอง “หรือมึงอยากโชว์”


   “ถ้าหมอยินเขาอยากดูกูก็ยินดีโชว์”


   “ห่า หัวนมไม่ชมพูแล้วยังเสือกอวด”


   ว้าก อีบ้าธันวา มาพูดอะไรตรงนี้ ผมเลยตีหลังมันไปแรงๆ   เจ้าตัวหัวเราะใหญ่เลยครับเมื่อพูดถึงเรื่องนี้ …จริงๆ มันก็ไม่ได้ดำหรอกครับ  แต่จากที่ศึกษานิยายวายที่ได้รับเป็นกุศลมาจากเป็นใจมา ผมก็ค่อนข้างฟันธงได้เลยว่า คุณสมบัติของศรีภรรยาหนุ่มที่ดีนั้นต้องมีหัวนมสีชมพู  สีน้ำตาลอ่อนของผมนี่ยังห่างชั้นจากคำว่าอุดมคติเยอะครับ พอคิดมากก็ไปปรึกษาธันวา แล้วมันก็ตอกกลับมาด้วยคำที่ว่า ‘มึงจีบพี่เขาให้ติดก่อนเถอะ ถ้ารักจริงต่อให้มึงหัวนมขาดไปข้างเขาก็เอามึง’


   “กูจะทำยังไงดีวะ มึงว่าพวกมันจะไปหาเรื่องหมอยินต่อไหม”


   แล้วผมก็เล่าเรื่องคอมเมนท์เฟสบุ้คที่ไปเจอมาให้ธันวามันฟังครับ  เพื่อนสาวพยักหน้าหงึกหงักแล้วกูพูดว่า “พวกทัศนคติแปลกๆ  นี่มันพ.ศ.ไหนแล้ววะ ยังเหลือคนคิดแบบนี้อยู่อีกเหรอ”

   “กูว่าก็คงเป็นธรรมดาแหละมั้งที่รับไม่ได้ แต่รับไม่ได้แล้วมาหาเรื่องกันนี่ก็เกินเยียวยาว่ะ”

   “มึงจะบอกพี่หมอยินเรื่องนี้ไหม ให้เขาเตรียมตัวไว้ไรงี้”


   “ไม่เอาอะ เดี๋ยวโดนด่าอีก”  รอบที่แล้วยังไม่ยอมมาช่วยกันเลยครับ เห็นทีคงไม่สำคัญพอที่จะออกหน้าช่วย แถมยังโดนไล่ให้ไปขอโทษดีๆ อีก “กูจะอยู่ทำงานที่นี่ถึงสักสองสามทุ่มแล้วกัน บางทีอาจจะขอเดินกลับพร้อมพวกพี่เนย์ด้วย”


   “ระวังตัวด้วย กลุ่มนี้แม่งแปลกๆ  ทะแม่งๆ”


   ผมพยักหน้ารับความหวังดีของเพื่อน  จากนั้นหมวยหมวยและเป็นใจเองก็พูดในทำนองเดียวกันว่าผมไม่ควรทำอะไรคนเดียวตอนนี้  แต่ก็แยกย้ายกันกลับบ้านกลับหอหมด เหลือไว้แค่ผมที่นั่งโง่ๆ อยู่บนตึกคณะตอนสองทุ่มครึ่ง


   จริงๆ แล้วคณะผมนี่มีเรียนถึงแค่สี่ห้าโมงเย็นครับ แต่ในกรณีที่กลับหอไปแล้วทำงานไม่ได้หรือต้องใช้โปรแกรมอื่นๆ  ทางคณะก็อนุญาตให้อยู่ได้จนถึงสามทุ่มครับ เพราะอย่างนั้นตอนนี้เลยยังพอมีรุ่นพี่รุ่นน้องแวะเวียนมาทำงานกันบ้าง แต่ก็ค่อยๆ ร่อยหรอลงไปเรื่อยๆ แล้วเช่นกัน


   ผมกดเบอร์พี่เปียวแล้วโทรออก  ขืนโทรหาพี่เนย์อาจจะโดนด่าได้ครับ ต้องโทรหาคนนี้  รอสายอยู่ไม่นานพี่เขาก็รับด้วยเสียงแปลกๆ เหมือนคนเป็นหอบ


   (ฮัลโหลกิ่ง มีไร)



   “พี่เปียวจะกลับหอยังอะครับ”



   (พี่… ไม่แน่ใจว่ะ น่าจะอีกไม่นานแหละมั้ง  …มึงบอกมันไป อีกนาน นานมากเลยด้วย)



   เสียงพี่เนย์ดังแทรกขึ้นมาประโยคสุดท้าย ไม่รู้ทำอะไรกันอยู่แล้วสายก็ถูกตัดไป  ผมนั่งงงๆ กับความไม่รู้เรื่องในการสนทนาครั้งนี้ เอาวะ อย่างน้อยก็ได้รู้จุดประสงค์หลักว่า ต้องเดินกลับหอคนเดียวสินะ…


   ผมเก็บข้าวของใส่กระเป๋าใบโต ถือโทรศัพท์ไว้ในมือแน่น ตั้งใจว่าถ้ามีอะไรจะรีบโทรหาพี่เปียวอีกรอบทันที  พอลงมาจากตึกได้ผมก็ชะโงกซ้ายขวามองสถานการณ์ เมื่อคิดว่าน่าจะไม่มีอะไรแล้วก็กึ่งเดินกึ่งวิ่งกลับหอทันที


   ไม่เคยคิดเลยครับว่าชั่วชีวิตนี้จะต้องระแวงชาวบ้านเขาขนาดนี้  ตอนม.ต้นที่ว่าเฮี้ยวแล้วมีเรื่องกับชาวบ้านไปทั่วนี่ไม่เคยกลัวอะไรเพราะตอนนั้นตัวมันเท่าๆ กันหมด แต่ตอนนี้กิ่งน้อยกลายเป็นเด็กขาดสารอาหารในหมู่โจรเถื่อนไปแล้วครับ เพราะงั้นจะทำอะไรก็ต้องระวังตัวกันนิดนึง เดี๋ยวกระดูกกระเดี้ยวจะหักคามือคนอื่นเขาเอา


   ทางกลับหอของผมต้องข้ามสะพานเพื่อข้ามแม่น้ำอีกทีนึง  ตอนนี้บนสะพานยังพอมีรถวิ่งขวักไขว่บ้าง แต่ก็ไม่ได้เยอะจนทำให้อุ่นใจมากเท่าไหร่  ผมคิดถึงเรื่องภาพหมู่แล้วก็อดขนลุกขึ้นมาไม่ได้ครับ… ห่านจิก นี่ผมต้องเดินข้ามตึกตรงนั้นด้วยนี่หว่า! กลัวคนจนลืมกลัวผี! โอ๊ยไอ้กิ่งเอ๊ยยยยย


   “เอาไงดีวะ…”


   ผมเผลอพึมพำกับตัวเองขึ้นมา ตอนนี้ผมอยู่ที่เชิงสะพานเรียบร้อยแล้วครับ  เหลืออีกไม่กี่ร้อยเมตรก็จะถึงหอ แต่ไอ้ตึกเจ้ากรรมนั่นมันดันขวางทางอยู่อย่างสง่างาม  หมาที่แต่ก่อนเคยหลับสนิทตลอดในเวลานี้กลับลุกขึ้นมายืนเตรียมพร้อมจะเห่าหอนเต็มที่ถ้าผมเดินผ่านไป อืม ให้มันได้อย่างนี้สิ นี่ไม่ใช่ว่าผมคงโดนดักกระทืบตอนนี้หรอกนะ…



   แปะ



   “กรี๊ด!!!!”


   “เฮ้ย!!!”


   ผัวะ!!!


   ทุกอย่างมันเกิดขึ้นเร็วมากครับ! มีอะไรก็ไม่รู้มาแปะโดนไหล่ผม! ด้วยความตกใจผมเลยกรี๊ดออกไปสุดเสียงพร้อมเหวี่ยงหมัดออกไปด้วย  ในใจตอนนั้นคิดได้อยู่อย่างเดียวคือไม่ผีก็ศัตรู… เพราะอย่างนั้นตอนที่ผมได้มองชัดๆ ว่าใครเป็นใครทุกอย่างก็เกิดขึ้นและจบลงไปแล้วภายในเวลาเพียงไม่กี่วินาที


   คนที่โดนหมัดผมไปไม่ใช่ไอ้พี่ปีสามคนนั้นครับ …แต่เป็นหมอผึ้งผีสิงคนงามของเรานั่นเอง ตอนนี้คนเจ้าชู้ลงไปนอนกองกับพื้นเรียบร้อยพร้อมกุมแก้มข้างขวาไปด้วย “ไอ้กิ่ง! มึงเป็นบ้าอะไรของมึงขึ้นมาเนี่ย!”


   “แหะๆ พี่ผึ้งเล่นมาแบบไม่ส่งเสียงอะไรก่อนนี่ครับ ผมก็ตกใจเป็นนะ นึกว่าจะโดนฉุดซะแล้ว”


   “น่าฉุดตายเหอะมึงน่ะ”  พี่ผึ้งบ่นอุบก่อนยื่นมือมาให้ผมช่วยฉุดขึ้นยืน แก้มข้าวขวาของพี่แกปรากฏรอยแดงนิดๆ แต่ก็ดูท่าว่าคงจะไม่ร้ายแรงอะไรอยู่  ผมฉุดพี่เขาขึ้นยืนแถมช่วยปัดฝุ่นให้ตามตัวพลางขอโทษขอโพยที่ทำให้เจ็บตัวไปด้วย


   “แล้วนี่ทำไมกลับดึก”


   “ผมทำงานค้างอยู่ที่คณะอะพี่”

   “แล้วไป นึกว่าอยู่กับสาว”

   “ผมไม่สนสาวหรอกครับพี่”  สนก็แต่เพื่อนพี่แหละ  เล่นตัวอยู่ได้

   “เออว่ะลืมไป  เฮ้ยอย่าซีเรียสนะ”

   “ซีเรียสเรื่องอะไรอะครับพี่”

   “เรื่องที่กูพูดไปไง คือไม่ได้ตั้งใจจะประชดมึงนะ จริงๆ กูก็เป็นไบเหมือนกัน”


   อยู่ดีๆ พี่ผึ้งก็พูดเรื่องนี้ขึ้นมาแบบไม่มีปี่มีขลุ่ยมีกลองมีจะเข้อะไรเลยครับ   เอาจริงๆ ผมก็ไม่ได้ตะลึงอะไรมากหรอกที่พี่ผึ้งเขาเป็นไบ เจ้าชู้ขนาดนี้ขอแค่เป็นคนก็คงจะยอมเล่นด้วยอะครับ เพศสภาพใดๆ พี่เขาก็คงไม่แคร์ “พี่แม่งคนจริงว่ะ ผมนับถือ”


   “กูว่ามึงสิน่านับถือกว่า จีบคนอย่างไอ้ยินเนี่ยนะ ยอมใจ”


   “เกิดมาทั้งทีต้องซื่อสัตย์กับชีวิตครับพี่ ไม่รู้ว่าชาติหน้าผมจะได้ไปเกิดเป็นไส้เดือนรึเปล่า เพราะงั้นชาตินี้เลยต้องทำในสิ่งที่อยากทำมากๆ ไว้ก่อน”


   พี่ผึ้งหัวเราะกับท่าทีจริงจังของผม  เราสองคนเดินคุยมาเรื่อยๆ จนกระทั่งเลยไอ้ตึกเดอะช็อคนั่นมาได้อย่างปลอดภัยครับ  ไอ้แก๊งหมานั้นตั้งท่าจะหอนแล้วแต่คงติดว่ามีพี่ผึ้งเดินมาด้วยมันเลยเปลี่ยนมาเป็นมองตาเยิ้มแทน แม้แต่หมาก็ยังหลงเสน่ห์ คนอะไรก็ไม่รู้


   “พี่งั้นผมขึ้นหอก่อนนะครับ ขอบคุณที่เดินมาเป็นเพื่อน แล้วก็ขอโทษเรื่องที่ต่อยไปด้วย กราบบบ”


   ผมแกล้งพนมมือขึ้นจนหว่างคิ้วแล้วทำท่าบูชาจนพี่ผึ้งหัวเราะ คนตัวสูงโยกไปมาเหมือนแผ่นดินไหวแล้วก็บอกว่า “ช่างมันเหอะ กูผิดเองที่วิ่งมาจับไหล่มึงแบบเงียบเกินไป ไอ้ยินมันก็เตือนกูแปปๆ อยู่ว่ามึงอะขี้กลัว”

   โอ้ว ไม่ยักกะรู้ว่าหมอยินเป็นห่วงผมด้วย ว่าแต่… “พี่ผึ้งมากับหมอยินเหรอครับ”

   “เออ กูเดินมากับมันจนกระทั่งเห็นหลังมึงเดินไปไวๆ นั่นแหละ” พี่ผึ้งมันยิ้ม โชว์เขี้ยวแวมไพร์กระชากใจสาวแก่แม่หม้ายออกมาเต็มที่ “ไม่รู้แม่งไปไหนละ แวะเซเว่นมั้ง”


   “อ่อ…” 


   ผมซ่อนความรู้สึกแปลกๆ ไว้ในใจ  พี่ผึ้งรีบวิ่งมาเพื่อทักผมในขณะที่หมอยินมันไม่ได้สนใจไยดีอะไรสักนิด นี่ผมจะโดนฉุดไปก็คงไม่คิดจะช่วยเลยมั้งเนี่ย


   “ทำหน้าเป็นตูดอยู่ได้ คิดถึงหมอมึงล่ะสิ… กูไปละ  รถจอดอยู่หอไอ้ยิน”

   “ครับพี่ เดินทางปลอดภัยครับ”

   แวมไพร์หนุ่มโบกมือให้ผมพร้อมรอยยิ้มอีกครั้งก่อนหมุนตัวออกเดินไปแบบนายแบบบนรันเวย์  ผมชะเง้อไปทางสะพานที่เพิ่งเดินมา หวังว่าจะได้เจอกับคนตัวสูงๆ ที่เดินมาพร้อมกระเป๋าหนักๆ และสัมภาระอีกมากมายตามเคย  แต่รอแล้วรอเล่าหมอยินก็ยังไม่โผล่มา  ผมที่เริ่มตงิดใจหน่อยๆ แล้วเลยเปิดมือถือขึ้นมาส่งข้อความหาร่างสูง


   กิ่งก้านใบชะชะใบก้านกิ่ง : หมออยู่ไหนอะ แวะเซเว่นเหรอ อยากกินชาเขียว


   กิ่งก้านใบชะชะใบก้านกิ่ง : /สติกเกอร์สงสัย/



   ถึงผมจะส่งสติกเกอร์ไปราวๆ ทุกๆ ห้านาทีหมอยินก็ยังไม่ตอบกลับมาครับ  เกือบลืมไปเลยว่าอีกฝ่ายชิงแชมป์เมินไลน์ระดับประเทศไทยอยู่ ผมถอนหายใจก่อนเก็บมือถือเข้ากระเป๋ากางเกง สงสัยคงเปลี่ยนใจนั่งแท็กซี่กลับหรือไม่ก็แวะกินข้าวข้างทางล่ะมั้งครับ


   ช่วงที่ผมกำลังจะก้าวเข้าไปในห้องโถงของหอพอดี เสียงเรียกชื่อผมจากไกลๆ ก็ทำให้ผมต้องรีบหันกลับไปมองเพราะหวังว่าจะได้เจอกับหมอตัวสูง …แต่เปล่าครับ  ไม่มีใครเลย ใต้โถงเงียบฉี่ โนบอดี้ บัท กิ่ง


   บรู๋ววววววววววว



   ทันใดนั้นแก๊งหมาอันธพาลมันก็หอนขึ้นมา ขนแขนแสตนด์อัพโดยไม่ทราบสาเหตุครับ ผมรีบหันหลังตั้งท่าจะเข้าหออย่างเดียวจนกระทั่งมีเสียงเรียกชื่อผมดังขึ้นอีก พอหันไปมองก็ไม่เห็นว่าจะมีใครยืนอยู่เป็นตัวเป็นตนแล้วเรียกผมเลย


   จนกระทั่งเสียงหมามันหยุดหอนไปนั่นแหละครับ ผมก็ได้ยินเสียงอื่นลอยตามลมมา   


   จากนั้นกิ่งน้อยก็วิ่งครับ  วิ่งแบบไม่รู้ไปเอาพละกำลังมาจากไหน วิ่งเหมือนเป็นนักวิ่งทีชาติที่ฉีดสารกระตุ้นมาอีกที… คราวนี้ผมไม่ได้วิ่งหนีผีครับ แต่ผมกำลังวิ่งไปหาผีเลยต่างหาก!



   บรู๋ววววว




   “มึงหยุดหอนได้แล้ววว! กูรู้แล้ว!”



   ไม่มีเวลาแวะทะเลาะกับหมาข้างถนนครับ ผมเลยตะโกนด่ามันไปตอนวิ่งผ่านตึกนั่น  ปกติแล้วสะพานที่พวกผมใช้ข้ามกันมานั่นเป็นสะพานสำหรับรถวิ่งครับ แต่ขอบข้างๆ มันก็เป็นที่สำหรับให้คนเดินเหมือนกัน โดยทางขึ้นของทางคนเดินนั่นจะเป็นแถวๆ กึ่งกลางของสะพาน โดยข้างล่างนั่นค่อนข้างเปลี่ยวมากเพราะเป็นที่ใต้สะพานแถมยังมีรถเก่าๆ จอดทิ้งไว้อยู่เต็มอีก


   มันเลยเป็นที่ที่เหมาะมากสำหรับการกระทืบกันมากกกก


   พลั่ก!!


   “หมอ!!”


   ผมที่วิ่งมาจนหอบเหนื่อยไปหมดตะโกนเรียกคนที่อยู่ตรงกลางวงนั่น  …ว่าแล้วเชียว! ไอ้พวกสารเลว! “มึงหยุดทำเดี๋ยวนี้! กล้าดียังไงมาต่อยหมอของกู! ไอ้พวกหมาหมู่!!”



   “ไอ้กิ่ง ไอ้เด็กเวร”


   ไอ้พี่ปีสามที่เป็นหนึ่งในกลุ่มของพวกนั้นจับคอเสื้อผมลากเข้าไปในวงบ้าง  ผมทั้งสะบัดทั้งเตะต่อยไปเรื่อยแต่ก็ต้านแรงพวกมันไม่ได้เลย  พอถูกโยนไว้ตรงกลางวงข้างๆ กับหมอยินที่ตอนนี้สภาพไม่รู้เละไปขนาดไหนแล้วบ้างผมก็ถูกรุมประเคนฝ่าพระบาทให้ครับ 


   “คนอย่างมึงต้องโดนอย่างนี้จริงนะแหละ แม่งถึงจะรู้สึก!”


   “มึงมันหมาหมู่! แน่จริงก็ตัวต่อตัวดิวะ!!”


   “เออกูยอมเป็นหมาหมู่! อย่างน้อยก็ดีกว่าหมู่เพื่อนตุ๊ดหมาๆ ของมึงนั่นแหละไอ้กิ่ง!!”


   พลั่ก!!


   จากนั้นก็ตามมาด้วยลูกเตะพิฆาตใส่ท้องผมเต็มที่ครับ จุกจนรู้สึกเหมือนอาหารเย็นจะทะลักออกมาทางปาก จากนั้นทุกอย่างก็เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วครับ ผมแทบมองไม่เห็นอะไรด้วยซ้ำจนกระทั่งคนข้างๆ ผมลุกขึ้นมายืน ช่วยปัดมือปัดเท้าที่มากระหน่ำผมออกไปบ้าง ผมเองพอเห็นอย่างนั้นก็ช่วยคนตัวสูงไปด้วย แม้จะไม่มากมายเท่าไหร่แต่อย่างน้อยก็ได้ช่วยครับ  จนกระทั่งมาถึงตอนที่ทุกอย่างมันเริ่มวุ่นวายมากเกินไปแล้ว และผมเองก็อยากจบเรื่องทะเลาะบ้าๆ นี่สักที  ความตั้งใจที่ว่าจะเลิกทะเลาะวิวาททุกประการตั้งแต่ตอนม.ต้นก็พังทลายไป ผมประเคนหมัดใส่คางไอ้เวรที่ไหนไม่รู้ข้างหน้าผมไปจังๆ จนมันล้มหงายหลังลง 


   ผัวะ!!


   จากนั้นก็ตามด้วยหว่างขาของใครสักคน คาง แล้วก็หน้าแข้ง สารพัดจะทำได้ผมก็ทำไปหมดแล้ว …เกิดเป็นคนตัวเล็กต้องรู้จักการหาจุดอ่อนครับ แต่ตอนนี้ทัศนะวิสัยของผมเริ่มมืดขึ้นเรื่อยๆ แล้วด้วย ไม่รู้ว่าเป็นเพราะตาบวมหรือกรรมบังตาอยู่ ผมเหมือนไม่ได้ยินหรือรับรู้อะไรเกี่ยวกับตัวเองอีก มารู้สึกตัวอีกทีก็ถูกหมอยินรวบตัวเข้าไปไว้กับอกแล้ว


   “มึงพอกิ่ง พอได้แล้ว”


   ผมหอบหายใจเหนื่อย  พอตั้งสติขึ้นมาได้ก็รีบตะปปหน้าคนตัวสูงทันที  พอสำรวจว่าไม่มีอะไรมากไปกว่าขอบปากช้ำๆ และรอยแตกที่คิ้วกับเลือดบนใบหน้านั่นแล้วก็รีบกอดหมอยินเข้าแน่นๆ ทันที


   ไม่รู้ว่าพวกเวรนั่นมันหนีไปตั้งแต่ตอนไหน พี่เนย์กับพี่เปียวที่ไม่รู้โผล่มาได้ยังไงก็ยืนอยู่ตรงนี้เช่นกัน… 


   “มึงจะปลอดภัยแล้วกิ่ง มึงจะปลอดภัย”




   แม่ง ทั้งๆ ที่ผมเป็นฝ่ายวิ่งมาช่วย แต่ผมกลับถูกปลอบจนร้องไห้โยเยอยู่แบบนี้เนี่ยนะ ไม่แมนเลยว่ะ




tbc.

**********************************
ขอโทษที่มาสายนะคะ ฮือ เสาร์อาทิตย์นี้ต้องตระเวนไปทำการบ้านจนไม่มีเวลาปั่นเลย

ตอนต่อไปน่าจะมาพรุ่งนี้นะคะ  เป็นการฟิตทดเเทนคำขอโทษคำโตๆ 5555

 :katai4: :katai4:

ออฟไลน์ m.starlight

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 76
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
เกลียดรุ่นพี่จะอะไรเยอะแยะ ขอให้โดนหมอเอาคืน   :z6:
หมอปลอบใจกิ่งด้วยนะ
ปล.รออ่านตอนต่อไปนะจ๊ะ

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด