23
ผมเดินมึนๆ มาที่คณะ หลังจากย้ายออกจากหอเดิมมาห้องใหม่ แทบไม่ได้หลับได้นอน อย่าเพิ่งคิดทะลึ่งกันครับ แค่ต้องจัดของให้เข้าที่ มันใช้เวลามากโขเพราะไอ้เม่นมันเห็นขัดกับผมทุกอย่าง
“ทำหน้าดีๆ สิวะ หน้าบูดเป็นตูด วันนี้จะมีคนมาซื้อของไหม” ไอ้เจที่เดินข้างๆ ทักขึ้น ผมเจอกับมันหน้าตึก วันนี้เรามีงานมหาลัยครับ เลยต้องมาเช้า นี่ก็เพิ่งจะหกโมงเอง
“มึงก็ทำหน้าหล่อเรียกลูกค้าไปสิวะ” พูดไปหาวไป ง่วงจริงๆ ครับ
“แล้วมึงได้เอาเรื่องไอ้โรคจิตนั่นหรือเปล่า” เมื่อคืนนี่ก็เป็นอีกสาเหตุที่นอนดึก ผมเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้เพื่อนฟัง พวกมันไม่ยอมหลับยอมนอนถามซ้ำไปซ้ำมา “มึงนี่นะ เป็นกูหน่อยไม่ได้ กูจะกระทืบให้ไข่มันแตก ไส้ทะลัก ให้มันตายอย่างอนาถ”
ไอ้นี่ก็โหดไป
“ช่างมัน” ตอบแบบปัดๆ ไม่อยากยุ่งยากครับ เดี๋ยวเรื่องจะยาว
ผมบอกแม่ด้วยนะ แม่ขำอย่างเดียว บอกสงสารโจรที่เอาหนอนมาโชว์คนมีพญามังกรแบบผม แม่ชอบพูดเรื่องจริงอยู่เรื่อย
งานช่วงเช้าก็ไม่ค่อยมีอะไรมาก นอกจากจัดข้าวของที่ต้องขาย คณะผมมีข้าวโพดคลุกเนยกับผลผลิตจากคณะที่ขายในราคาย่อมเยา
“ไข่ไก่แม่งโคตรสด” ผมมองไอ้เจที่กำลังสำรวจไข่ไก่สดใหม่จากฟาร์ม
“มึงซื้อไปฝากแม่มึงสิ” บอกไปมันก็ส่ายหน้า
“แม่กูอยากได้จะซื้อเอง คนอื่นเลือกไม่เคยถูกใจนางหรอก” คำพูดของไอ้เจทำให้ผมขำ มันสนิทกับแม่ครับ เรียกได้ว่า แม่มันคือเพื่อนอีกคนเลยก็ว่าได้ ก็คล้ายๆ กับแม่ของผม แต่แม่ไอ้เจจะดูสมัยใหม่หน่อย เจอครั้งแรกคิดว่าพี่สาวมันด้วยซ้ำ “แล้วคอนโดไอ้เม่นดีหรือเปล่าวะ”
“ก็ดีนะ ห้องใหญ่ดี ข้าวของก็อย่างหรูอะ” พูดไปมือก็จัดของไป “หรูพอๆ ห้องมึงนั่นแหละ”
“โห ไม่ธรรมดานี่หว่า ผัวเด็กมึง” ตบหัวเฮดว๊ากเพราะความปากสุนัข ไอ้เจหน้าหงิกลูบหัวตัวเองป้อยๆ มองหน้าผม “มือหนักเหี้ยๆ”
“น้อยกว่าตีนกูแล้วกัน” เขม่นมองซะไอ้เจต้องรีบเดินหนีไปที่อื่น
กว่างานจะเริ่ม นักศึกษาต่างคณะก็แทบจะเหมาข้าวโพดคลุกเนยเกือบหมดคงเพราะหิว ยังมีป๊อบคอร์นทำสดๆ ข้าวโพดปิ้งด้วย อร่อยมากเพราะผมชิมมาหมดทุกอย่างแล้ว ชิมจนอิ่มไปถึงมื้อเที่ยง
ผมกับไอ้เจขายของหัวหมุนนิดๆ เพิ่งรู้ว่ามีคนชอบสินค้าปลอดสารพิษมากขนาดนี้ แม้แต่นักศึกษาบางคนยังมาเลือกซื้อ บ้างก็เหมาไปหลายถุง คงเพราะตอนนี้หลายคนหันมาสนใจสุขภาพมากขึ้น ผักปลอดสารเลยเป็นที่นิยม
“ผักสดจังเลยนะคะ” ผมเงยหน้าจากการเช็ดโต๊ะเมื่อได้ยินเสียงดัดให้แหลมเป็นผู้หญิง “ไฮ”
“อ่าวพี่ มาด้วยเหรอ” ทันทีที่เห็นหน้า ผมก็ถามออกไปตามความคิดแรก
“กูเรียนที่นี่ก่อนมึงอีก ทำไมจะมาไม่ได้วะ” พี่แทมว่า “เอามาให้กูแก้วดิ๊ ขอหวานๆ ชีวิตกูขาดความหวานมานานไร้ชีวิตชีวาสุดๆ”
“ขาดแน่เหรอพี่ ได้ข่าวว่าเพิ่งควงสาวหมวยไปดินเนอร์ใต้แสงเทียนนี่นา” ผมล้อเลียนรุ่นพี่ที่จบไปแล้ว พี่แทมถึงกับถลึงตาใส่
“มึงรู้ได้ไง รู้มาจากไอ้กลอยล่ะสิ ไอ้เชี่ยนี่ปากไม่ดี” ถึงกับขำประโยคด่าคนปากไม่ดียาวเหยียด “ไอ้เจ มึงไม่คิดจะทักรุ่นพี่หล่อๆ แบบกูหรือไง”
“อ่าว พี่หล่อเหรอ เพิ่งรู้” ผมกับไอ้เจขำก๊ากเมื่อเห็นพี่แทมถลึงตาแทบจะหลุดออกจากเบ้า “พี่มาคนเดียวแล้ว เดอะแก๊งไม่มาด้วยเหรอ”
“มาดิ่ แต่อยู่คณะ” พี่แทมว่า “ไหนข้าวโพดคลุกเนยกู”
“รอแป๊บดิ่ ใจร้อนเป็นวัยรุ่นเลยวุ้ย” ผมขำเมื่อพี่แทมถูกรุม วันนี้พี่แกมาแนวสบายๆ กางเกงยีนส์เสื้อยืด “พี่โชพาเพื่อนผมมาหรือเปล่า”
“ไม่มาด้วยก็ดีแล้วไอ้ห่า กูขี้เกียจทะเลาะกับหมาในปากมัน ไม่รู้ไอ้โชอยู่ด้วยได้ยังไง ปวดหมองพอดี”
“หมาในปากพี่ก็ใช่ย่อยนะครับผมว่า”
“ไอ้เหี้ยเจ มึงไม่พอใจกูใช่ไหม ออกมาต่อยกับกูเลยมา”
แม้พี่แทมจะอยู่คนละคณะ แต่ความสนิทสนมนั้นกลมเกลียวกับผมและเพื่อนมากเลยทีเดียว แม้ช่วงปีหนึ่งผมจะกลัวกลุ่มพี่เขาก็เถอะ ขึ้นชื่อว่ากลุ่มพี่ว๊ากวิศวะขาโหดก็ไม่มีใครอยากยุ่งด้วย เห็นพี่แทมบ้าบอแบบนี้ ตอนว๊ากทีรุ่นน้องถึงกับเป็นลมเลยนะครับ ไม่ใช่เล่นๆ เลยคนๆ นี้
“สิบบาท” หลังจากยื่นถ้วยข้าวโพดคลุกเนยให้ ผมก็แบมือรอเงิน
“อะไรวะ สิบบาทมึงก็คิดเงินกับกูเหรอ กูพามึงไปเลี้ยงข้าวเสียเป็นร้อยๆ นี่สิบบาทมึงยังจะให้กูจ่ายเหรอ” พูดแบบนี้มาเอาซะไอ้ม่านเป็นคนใจหมาเลยทีเดียว พอพี่แทมเห็นผมหน้าเสียก็หัวเราะพร้อมยื่นแบงค์สีเขียวมาให้ “กูล้อเล่นน่า หน้าซีดเป็นหมาต้มเลย”
“ไก่ต้มก็พอแล้วพี่ ทำให้ผมรู้สึกผิดคงชอบใจมากสินะ” ผมว่างอนๆ พี่แทมยิ่งหัวเราะ พอๆ กับไอ้เจที่เอิ๊กอ๊ากไปด้วย
กลายเป็นว่า ผมกำลังถูกรุมแทนเฉย อะไรวะเนี่ย
“นมในขวดนั่น เป็นนมสดเหรอวะ” คนกินข้าวโพดคลุกเนยใช้ช้อนชี้ ผมกับไอ้เจก็พากันพยักหน้า “บีบจากเต้าวัวผู้หญิงใช่ป่ะ”
“เขาเรียกตัวเมียครับพี่” ไอ้เจพยายามกลั้นขำตอบ
“วัวตัวผู้บ้านพี่มีนมให้บีบด้วยเหรอครับ” ผมถามต่อไอ้เจ พี่แทมถึงกับมองหน้าเราทั้งคู่แบบนิ่งๆ
“เออว่ะ กูนี่ก็โง่เนอะ” สุดท้ายเราสามคนก็ขำออกมา “ไปดีกว่า เขาว่าสาวบริหารปีนี้ดี กูไปส่องก่อน”
“พี่ไม่เอานมสดสักขวดเหรอ” ผมรีบทักเมื่อพี่แทมกำลังจะหันหลังไป
“กูชอบนมจากเต้ามากกว่า แบบนี้มันเฉาแล้ว”
“นมเฉา? มันคืออะไรวะพี่” ไอ้เจก็งงเหมือนกับผมเด๊ะ
“ก็มันบีบทิ้งไว้นานไง ไม่สด ไม่อร่อยเหมือนมาจากเต้า” พี่แทมพูดไปก็ทำจมูกบานไป คิดเรื่องต่ำตมแน่นอนคนแบบนี้
“งั้นผมจะพาไปดูดจากเต้าแม่วัวดีไหม ไม่เฉา แถมสดเด้งดึ๋งๆ ด้วยนะ” พอได้ยินคำชวนของผม พี่แทมถึงกับทำเมินแล้วเดินหนีไป เดี๋ยวๆ ผมไม่ได้เล่นมุกนะเว้ย
พอพี่แทมไปแล้ว ผมกับไอ้เจก็นั่งรอลูกค้าคนต่อไป ซึ่งตอนนี้เริ่มบางตา อาจเพราะซุ้มอื่นๆ ก็น่าสนใจไม่แพ้คณะของผม อย่างเช่นนิเทศที่มีละครให้ดู มีดาวเดือนหล่อๆ หรือแม้แต่เน็ตไอดอลหน้าตาดี แล้วแบบนี้คนหน้าตาบ้านๆ จะสู้ไหวเหรอ
“ไง” เสียงทักยามผมกำลังอ้าปากจะกินข้าวโพดปิ้ง พอเงยหน้าขึ้นมองก็เจอคนกลุ่มใหญ่ยืนหล่อเป็นนายแบบหน้านิตยาสาร “มึงกินของขายแล้วจะได้กำไรเหรอวะ”
“ผมจ่ายเงินเหอะ” ตอบหน้ายู่ “พวกพี่มาอุดหนุนผมเหรอ ดีๆ เหมาให้หมดเลยนะ”
“สงสารเงินในกระเป๋าตังค์กูมั่ง ว่าแต่ เห็นไอ้แทมป่ะ” พี่ตินถาม สายตาก็มองหาเพื่อนตัวเองที่เพิ่งมาอุดหนุนซุ้มผม
“เพิ่งไปเมื่อกี้อะพี่” เป็นไอ้เจที่ตอบแทน มันกำลังง่วนอยู่กับการคลุกข้าวโพดให้กลุ่มรุ่นพี่บัณฑิตคณะวิศวะ
“ไอ้เชี่ยนี่ทิ้งเพื่อนว่ะ”
ซุ้มของผมจากที่เงียบเมื่อครู่ ตอนนี้คึกคักสุดๆ ครับ คงเพราะมีพวกรุ่นพี่หน้าหล่อระดับดารามายืนเรียกลูกค้าช่วย ที่จริงก็ไม่ได้ช่วยฟรี ทุกคนได้นมสดผสมน้ำผึ้งไปคนละขวดใหญ่ ไม่รู้จะคุ้มทุนหรือเปล่านี่สิ
“พี่โชไม่เหมาผักไปให้ไอ้กลอยทำกับข้าวเหรอ” ผมลองถามรุ่นพี่ผู้นิ่งเงียบ แต่ความเงียบนั้นแค่ปรายตามอง สาวๆ ก็ตามติดเป็นขบวน เมื่อกี้มีคนมาขอถ่ายรูปโคตรเยอะ ทั้งที่เป็นคนธรรมดาไม่ได้เป็นเน็ตไอดงไอดอลอะไรแท้ๆ พี่โชมองหน้าผมนิ่งๆ เหมือนกำลังใช้ความคิด “ไม่สนเหรอฮะ”
“เอาผัก...อะไรดีวะ” กำลังจะไปหยิบถึงกับเซ “เดี๋ยวขอถามกลอยก่อนนะ” ว่าแล้วพี่โชก็วีดีโอคอลหาไอ้กลอยครับ ผมยืนกระพริบตาปริบๆ ดูคนรักกันคุยผ่านโทรศัพท์ ไม่รู้คุยอะไรกัน พี่โชถึงกับลุกไปที่ถุงผัก มือก็โชว์ผักแต่ละอย่าง อันไหนที่ไอ้กลอยจะเอา พี่โชก็วางแยกต่างหาก มีหวัง เหมาหมดร้านแน่
สรุปแล้ว พี่โชซื้อผักไปเยอะมาก ถึงขนาดต้องให้เพื่อนตัวเองช่วยหิ้วออกร้าน ฝั่งผมกับไอ้เจก็ยิ้มหน้าบานนับเงินเป็นฟ่อน หมายถึงแบงค์ยี่สิบนะครับ ไม่ใช่แบงค์พัน ก็แหม ผักถุงละสิบบาท จะเอาอะไรมากละครับ
เวลาผ่านไปจนเกือบเย็น คนที่ร่ำๆ จะมาตั้งแต่รู้ยังไม่โผล่หน้ามาให้เห็น ไม่รู้ทำอะไรอยู่ หรือเบี้ยวนัดก็ไม่รู้ นี่ใกล้จะเลิกงานแล้วด้วย ซุ้มคณะอื่นเขาก็เริ่มเก็บกันแล้ว
“กูว่าเก็บซุ้มเถอะ เด็กมึงเบี้ยวแล้วละ” ไอ้เกมส์ว่า ปากก็เคี้ยวปลาหมึกปิ้งตุ้ยๆ แอบอยากกินเหมือนกัน หอมยั่วน้ำลายมาก
“กูก็ว่างั้น เก็บเหอะ แล้วเราไปแดกเหล้ากัน” ไอ้มีนเห็นดีเห็นงาม ทำกระดี้กระด๊าเมื่อนึกถึงร้านเหล้า “เก็บๆ” ผมยังไม่ทันตอบ พวกมันก็พากันเก็บซุ้มครับ ผักที่เหลือก็ช่วยๆ หารกันทั้งคณะ เพราะเงินส่วนนี้ต้องใช้เป็นทุนต่อให้รุ่นน้องไม่ก็รุ่นอื่นๆ
ผมยกลังผักไปขึ้นท้ายรถกระบะตัวเอง นี่เหมาทั้งลังโดยไม่รู้จะเอาไปทำอะไร ทำกับข้าวรึก็งูๆ ปลาๆ อีกอย่าง ครัวที่คอนโดไอ้เม่นมันหยิบจับหรือใช้ยังไงก็ไม่รู้ กลัวทำของมันพังซะจริง
“กูกลับก่อนนะพวกมึง” ผมโบกมือลาเพื่อนๆ ที่เริ่มทยอยกลับ งานมหาลัยที่เป็นไปอย่างเรียบๆ ง่ายๆ หรือเป็นเพราะผมไม่ค่อยสนุกก็ไม่รู้ มัวแต่กังวลเรื่องไอ้เม่น กลัวมันจะเกิดอะไรขึ้น อย่างเช่นรถชน วิ่งล้ม ขาหัก กระดูกทะลุอะไรแบบนี้ ยิ่งคิดยิ่งฟุ้งซ่าน
ผมขับรถกลับที่พักใหม่ซึ่งอยู่ไกลจากที่เดิม และรถติดนรกแตกมาก นี่ขยับมาสามรอบผมก็ยังติดไฟแดงอยู่ตรงแยกเดิม โคตรน่าเบื่อ จังหวะที่กำลังเซ็ง เสียงโทรศัพท์ข้างตัวก็ดังขึ้น พอเอามาดู ชื่อหน้าจอคือคนที่ผมกังวลมาทั้งวันมามันจะเป็นอะไรหรือเปล่า
“ว่าไง” ผมถามเสียงนิ่งๆ โกรธก็ไม่ใช่ คงแค่ไม่พอใจเฉยๆ
(ขอโทษน้า ผมมาไม่ทัน งานเก็บหมดแล้วด้วย) แอบยกคิ้วนิดๆ ที่ได้ยิน (พี่ม่านอยู่ตรงไหนอะ ผมยืนอยู่หน้าซุ้ม)
“กลับแล้วไหม งานเลิกจะอยู่ต่อไปทำไม” ว่าอย่างเคืองๆ เพิ่มน้ำเสียงโหดเข้าไป
(อ่าว) มาแค่อ่าวก็ทำเอาอารมณ์ปรี๊ดครับ
“มึงไม่มาทำไมไม่โทรบอกวะ” ปล่อยให้ผมรอเก้อได้ยังไง
(ขอโทษน้า พอดียายโทรเรียกเลยต้องไป ไม่รู้ว่าจะอยู่นานแบบนี้...อย่าโกรธเลยน้า)
“กูไม่ได้โกรธ” มือถือร่วงบนตักตอนตกใจเสียงบีบแตรไล่เมื่อสัญญาณไฟเป็นสีเขียว ผมรีบออกตัวไม่เหลียวมองรถด้านหลังที่แซงขึ้นไป ผมว่า คงโดนด่าแหงๆ ผมขับรถมาเรื่อยๆ กว่าจะนึกขึ้นได้ว่ายังไม่ได้วางสายโทรศัพท์ก็เกือบถึงคอนโด “ฮัลโหล ยังอยู่ป่ะ โหลๆ” หน้าจอมืดสนิทแปลว่าวางสายไปแล้ว
ผมแบกลังผักลงจากรถ เห็นคุณป้าที่กำลังจะเข้าคอนโด ผมก็รีบเดินเร็วเข้าไปหา ตอนแรกป้าแกก็กลัวๆ ผมคงดูเหมือนคนโรคจิต แต่พอบอกว่าเอาผักมาฝาก จากที่กลัวๆ กลายเป็นดี๊ด๊าเลือกอย่างเอาเป็นเอาตาย ยิ่งบอกปลอดสารเพราะปลูกเอง ป้าแกก็แทบเอาหมด
“ขอบใจนะจ๊ะพ่อหนุ่ม น่ารักไม่พอยังใจดีอีก”
“ไม่เป็นไรครับ คุณป้าชอบผมก็ดีใจ”
“ใจดีจริงๆ เลย พ่อหนุ่มมีแฟนไหมจ๊ะ ลูกป้ายังโสดนะสนใจไหม” ไอ้ม่านตาวาวเลยครับ “แต่ต้องรอหน่อย ลูกป้าเพิ่งจะเข้ามอหนึ่ง” ลังผักแทบร่วง แค่คิดก็แทบขาข้างหนึ่งก็เหยียบเข้าคุกแล้ว
ความล้อเล่นของป้า ทำเอาผมเหงื่อตก ร่ำลากันเสร็จผมก็แบกลังเปล่าขึ้นห้อง (ทำไมผมไม่เอาไปไว้หลังรถวะ) ขึ้นมาถึงห้อง ก็เงียบๆ เพราะไม่มีคนอยู่ ห้องแสนกว้างดูไม่ใช่แนวไอ้ม่านเลยให้ตาย ไม่ใช่ไม่ชอบนะครับ แต่ลำบากตอนทำความสะอาดแน่นอน หอเดิมแคบๆ นั่นผมยังขี้เกียจเลย
ผมเข้าไปอาบน้ำคลายความเหนียวทั้งตัว ออกมาก็เจอคนหน้าเครียดนั่งอยู่ปลายเตียง ไอ้เม่นค่อยๆ หันมามองหน้าผม
“โทรมาทำไมไม่รับ!” โคตรตกใจตอนถูกตะคอกเสียงดัง “รู้ไหม ว่าเป็นห่วงแค่ไหน ช่วงสายตัดไปผมเป็นห่วงแทบบ้า พยายามไม่คิดอะไรร้ายๆ แต่เสียงพี่มันทำให้คิด โทรหาซ้ำๆ ก็ไม่คิดจะรับ พี่ทำอะไรอยู่ ไม่นึกถึงใจผมบ้างเหรอวะ! แม่ง”
ไปไม่ถูก พูดไม่ออก เลยยืนเช็ดผมเงียบๆ
เมื่อไม่มีเสียงพูดอีก ผมก็เดินไปแต่งตัว พอเสร็จก็เดินมานั่งข้างๆ คนโมโห ไอ้เม่นตวัดสายตามองซะผมสะดุ้ง จะโหดไปไหนวะ หรือวิญญาณล็อตไวเลอร์เข้าสิง
“กู...ขอโทษ” ผมพูดออกมาเมื่อรู้สึกว่าตัวเองผิดจริง “ตอนสายหลุดไฟเขียวพอดีมันเลยร่วง ตอนมึงโทรมาอีกก็ยกลังผักอยู่ไม่ว่างรับ คิดว่าขึ้นห้องจะโทรหา...แต่ก็ลืม” ทำไมกลายเป็นผมผิดไปได้วะเนี่ย “ขอโทษ อย่าโกรธกูสิวะ” ใช้นิ้วจิ้มๆ ที่แขนมันเป็นการง้อ แต่ไอ้คนโกรธก็ไม่คิดจะหาย “เม่นอ่ะ”
“ผมไม่ได้โกรธ แต่เป็นห่วง” ย้ำชัดทุกคำจนผมต้องยู่ปาก “ต่อไปห้ามลืมอีก เมื่อกี้ผมขับรถวนหาไปทั่ว มาถึงคอนโดเห็นรถพี่จอดอยู่ก็ใจชื้นขึ้นมา”
“ก็ขอโทษนี่ไงเล่า” ไม่เคยคิดว่าตัวเองต้องมาพูดเสียงงุ้งงิ้งที่ไม่เคย
“แล้วไหนผัก”
“หา?”
“ก็พี่บอกยกลังผัก แล้วไหนผัก เห็นแค่ลังเปล่า”
“เอาให้ป้าเขาไปหมดแล้ว” ได้ยินปุ๊บ ไอ้เม่นก็ย่นคิ้วจ้องหน้าผมเครียดๆ “คือผักมันเยอะไง แล้วถ้าเอากลับห้องก็ไม่รู้จะกินหมดหรือเปล่า อีกอย่าง กูก็ทำกับข้าวไม่เก่ง”
“แล้วพี่ก็ให้หมดทุกอย่างงั้นเหรอ” ผมพยักหน้าช้าๆ “เชี่ย ทำไมไม่รอถามผมก่อน ผมทำกับข้าวเป็น” ตกใจสะดุ้งเมื่อไอ้เม่นสบถเสียงดัง
“ก็กูไม่รู้”
“ต่อไปก็รู้ไว้ ว่าผัวพี่ทำกับข้าวเป็น”
ผมตวัดสายตาตอนได้ยินมันเรียกแทนตัวเองว่าผัว จะโวยวายเดี๋ยวความโกรธมันกลับมาอีก เลยได้แต่กัดฟันข่มความปรี๊ดเอาไว้
“ว่าแต่ ยายเรียกไปทำไม” ผมต้องรีบเปลี่ยนเรื่อง แล้วเรื่องของยายมันนี่แหละดีที่สุด “หรือเรียกไปด่าวะ”
“เรียกไปเรื่องคอนโดนี่แหละ” ตาโตทันทีที่ได้ยิน ซวยแล้ว ยายมันต้องด่าแน่ๆ ที่ผมมาอยู่ที่นี่
“ยายมึงจะไล่กูออกเหรอ บอกก่อนสักวันนะ กูจะได้มีเวลาเก็บของ” นั่นไง ผมว่าแล้วว่ายายมันต้องไม่ให้อยู่ แม้ห้องจะเป็นชื่อไอ้เม่น แต่ยายจ่ายเงินซื้อไง ช่วงที่ผมลนลานความเจ็บจี๊ดตรงหน้าผากก็เรียกสติ “ดีดหน้าผากทำไมเนี่ย”
“คิดอะไรร้ายๆ อยู่ใช่ไหม” ไอ้เม่นมันขำออกมา ก่อนมันจะดึงผมเข้าไปกอด “ยายเรียกผมไปถามว่าอยากได้อะไรเข้าคอนโดเพิ่มหรือเปล่า ยายจะได้ซื้อให้ แค่นั้น”
“รู้ได้ไงว่ากูคิดอะไร” พอได้ยินก็แทบอยากถอนหายใจที่ไม่เหมือนเรื่องร้ายๆ ที่คิดไว้
“หน้าพี่บอก” แล้วก็ถูกฉกหอมแก้มฟอดใหญ่
หอมแบบนี้ไม่ดูดแก้มกูไปเลยล่ะ
“แล้วมึงว่าไง”
“บอกว่าจะมาถามพี่ก่อน”
“ยายมึงไม่ด่าเหรอ เขาไม่ชอบกูนี่หว่า” ที่จริงก็ไม่ได้ไม่ชอบซะทีเดียว แค่ไม่อยากให้มาคบหลานเขานั่นแหละครับ คนมีตังค์นี่เนอะ ก็อยากให้ลูกให้หลานแต่งงานเพื่อต่อธุรกิจ
“ยายก็ไม่ว่าอะไร ถึงยายผมไม่เห็นด้วยที่เราคบกัน แต่ก็ไม่ได้ขัดขวาง” ผมมองคนที่กอดมีรอยยิ้มอยู่ตรงมุมปาก “พี่อยากได้อะไรเพิ่มไหม ตู้ โต๊ะ หรือเตียงใหม่ดี”
“ไม่ต้องเลย กูไม่ได้อยากได้อะไร เตียงก็ไม่เอา” รีบปฏิเสธเสียงแข็ง ผมพยายามดึงตัวเองออกจากอ้อมกอดที่รัดแน่น
“ไม่เอาเตียง แต่เอาตรงระเบียงก็ได้ใช่ป่ะ โอ๊ยๆ เจ็บ” เป็นความคิดที่ดีมากผมเลยดึงหูมันเป็นของรางวัล
ผมไม่รู้หรอกว่าทำไมยายมันถึงยอม จะว่าไอ้เม่นยอมเข้าเรียนคณะที่ต้องการก็ไม่น่าจะใช่ พอนึกถึงหน้ายายมัน ภาพคนที่เจอก็ลอยเข้ามา เกือบลืมไปแล้วนะเนี่ย
“เอ่อใช่ เมื่อวันก่อน กูเจอลูกของลุงมึงด้วย ที่คณะอักษร” พอผมพูดจบ ไอ้เม่นก็หุบยิ้มทันที “ดูเหมือนจะมาติวเข้ามหาลัยนะ”
“ติดผู้ชายมากกว่า” หันจนคอแทบเคล็ด
“มึงมองโลกในแง่ร้ายมากไป กูดูแล้วก็น่าจะมาติวหนังสือกับเพื่อน...”
“ยายเพิ่งบอกว่า...ติดผู้ชายจนเกือบถูกไล่ออก” แทบไม่อยากเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน ก็ภาพตั้งใจฟังเรื่องเรียนมันเด่นชัดขนาดนั้น แต่เมื่อกี้ผมไม่ได้ยินไอ้เม่นเรียกชื่อเลย คงเกลียดจนไม่อยากเอ่ย ผมเข้าใจ ตอนเด็กผมก็เคยทะเลาะกับเพื่อนจนไม่อยากพูดชื่อเหมือนกัน
“ไม่อยากเชื่อ แต่ก็ต้องเชื่อ”
“เลิกพูดเรื่องคนพวกนั้นเถอะ ผมไม่อยากสนใจ”
ผมยักไหล่เอาตามที่มันสะดวก ไอ้เม่นแยกไปอาบน้ำแล้ว ส่วนผมมีสายโทรเข้ามาพอดี ปลายสายคือคนที่ผมรักสุดหัวใจ สุดตับไตไส้พุง แค่เห็นชื่อก็ทำให้ยิ้มหน้าบาน
(หายเงียบเลยนะ ไม่มีโทรหากันบ้าง สงสัยจะลืมคนทางนี้ไปแล้ว) เสียงตัดพ้อดังขึ้นทันทีที่ผมกดรับสาย หากพูดประโยคนี้ต่อหน้า ผมจะต้องได้เห็นปากคว่ำด้วย แค่คิดก็ขำ (อยู่ไหนน่ะเรา มหาลัยหรือหอ)
“อยู่ห้องแล้วครับคุณนาย” พูดน้ำเสียงกวนประสาทอย่างเคย คนเก๊กโหดปลายสายเลยหลุดขำออกมา “แม่ทำอะไรอยู่ กินข้าวหรือยัง”
(ก็โทรหาแกนี่ไง จะให้ซักผ้ารึ) เป็นไงครับ แม่ผม ย้อนได้แม้กระทั่งลูก (ข้าวก็กินแล้วสิยะ นี่กี่โมงกี่ยามแล้ว ว่าแต่ ม่านกินข้าวหรือยังลูก)
“ยังเลย” ลากเสียงยานคางให้ดูน่าสงสาร “อยากกินข้าวฝีมือแม่ที่สุด”
(ขี้จุ๊แต้ อยากกินข้าวของแม่แต่ไม่เคยโทรหา เชื่อไม่ได้ผู้ชายคนนี้)
“แม่อ่า” แล้วเราสองคนก็หัวเราะออกมาพร้อมกัน ที่จริงได้ยินเสียงพ่อด้วย คงจะเปิดลำโพงให้ได้ยินเหมือนกัน “เอ่อแม่ครับ คือม่านย้ายหอแล้วนะ” เพราะไม่เคยมีความลับกับพ่อและแม่ เลยไม่จำเป็นต้องคิดมากที่จะบอก “คือม่าน”
(อย่าบอกว่าย้ายไปอยู่กับไอ้เด็กนั่นนะ) เสียงพ่อแทรกเข้ามาพร้อมกับเสียงแม่ดุ (จริงหรือม่าน ลูกย้ายไปอยู่กับเม่นหรือ)
“ครับ” ตอบแม่พร้อมเงยหน้ายิ้มให้คนที่ยืนอยู่หน้าห้องน้ำ “ห้องมันโคตรใหญ่ สะดวกสบายมาก ห้องน้ำมีอ่างด้วยนะ”
(ยังมีหน้ามาโม้อีก แล้วค่ำมืดทำไมยังไม่กินข้าว เดี๋ยวก็ปวดท้องหรอก ชอบนักดื้อเนี่ย)
“ก็กำลังจะไปกินครับ” ผมย่นคิ้วเมื่อถูกมือดีแย่งโทรศัพท์ไปกดเปิดลำโพงแถมยังส่งเสียงทักทายเป็นกันเองจนอดที่จะหมั่นไส้ไม่ได้
“สวัสดีครับคุณพ่อ คุณแม่ ผมเม่นเองนะครับ” เสียงแหลมแนะนำตัวของมันถูกหัวเราะจากปลายสาย ให้เดาคงแสบหู
(กินนกหวีดมาหรือเปล่าเนี่ย) โดนแม่ผมแซวเข้าเต็มๆ ไอ้เม่นถึงกับหัวเราะ (อย่าลืมพากันไปกินข้าวด้วยล่ะ เดี๋ยวจะปวดท้องกัน เข้าใจไหม)
“ครับ” ผมรับคำ แต่ไอ้คนข้างๆ กลับเงียบ ผมพูดไร้เสียงถามว่าเป็นอะไร ไอ้เม่นก็เอาแต่จ้องหน้าผม “แม่ งั้นม่านไปกิน...”
“...ผมขอโทษที่พาพี่ม่านมาอยู่ด้วยโดยไม่ขออนุญาตพ่อกับแม่ก่อนนะครับ” กำลังจะบอกลา ไอ้คนเงียบก็พูดแทรกออกมายาวเหยียด
(...) ปลายสายเงียบ คงรอฟังอยู่เหมือนผมแน่ๆ อยากรู้ว่ามันจะพูดอะไร
“แม้ตอนนี้มันคงไม่ค่อยดี แต่ผมขอพี่ม่านนะครับ ขอพี่ม่านมาอยู่กับผม แม้ไม่รู้ว่า ต่อไปเราทั้งคู่จะเป็นยังไง แต่ผมสัญญาว่าจะไม่ยอมปล่อยมือกร้านๆ นี่เด็ดขาด” ผมคงจะซึ้งไปแล้วหากไม่ได้ยินคำวิจารณ์เรื่องมือที่กำลังถูกกุมไว้ “ตั้งแต่พ่อกับแม่ของผมจากไป พี่ม่านคือคนแรกที่ผมอยากอยู่ด้วย คือคนแรกที่ผมยอมเปิดใจรับและรัก แล้วก็...”
(พอๆ พูดสวยหรูแบบนี้มันขนลุก) ประโยคของแม่ทำเอาสี่เสียงหัวเราะประสานกันโดยมิได้นัดหมาย (แม่เองก็พูดคำหรูๆ ไม่ค่อยเป็นหรอกนะ แม่รู้ว่าเม่นเป็นเด็กดี ม่านจะได้อยู่กับคนที่ดีและรัก แม่ก็ดีใจ แต่ขออย่างเดียว...)
“ครับ?”
(เอาแล้วเอาเลย ห้ามเอามาคืนนะ พ่อกับแม่ไม่รับ)
“แม่! นี่ลูกนะ” ผมรีบแหวทันทีที่ถูกหัวเราะเยาะ
(ก็ลูกน่ะสิ ถึงพูด เอาล่ะๆ ไปกินข้าวกันเถอะ ถ้าแม่ว่างจะโทรหาอีก เพราะลูกรักไม่ยอมโทรหา) ประชดจนหน้าชาไปหมด (แค่นี้นะ)
“ถ้าไม่มีเรียน ผมจะพาพี่ม่านกลับบ้านที่เชียงใหม่นะครับ รักพ่อกับแม่นะครับ จุ๊บๆ” แล้วสายก็ตัดไป
ทำไมกลายเป็นไอ้เม่นที่บอกรักพ่อกับแม่ผมวะ ผมลูกนะเว้ย ยังไม่ได้พูดสักคำ
“ทำไมทำหน้างอแบบนั้นล่ะ” ผมจ้องหน้าคนถามด้วยความรู้สึกเคืองปนหมั่นไส้
“กูเป็นลูก ยังไม่ได้บอกลาเลย” หน้างอจนปลาทูเรียกพี่แล้วครับ ไอ้คนได้บอกลากลับหัวเราะออกมา “ไม่ขำเว้ย”
“จะพี่หรือผมก็ลูกพ่อกับแม่เหมือนกัน ใครบอกก็ได้”
“ไม่เหมือน กูลูกในไส้ มึงลูกนอกไส้”
“แต่ผมผัวในไส้พี่นะครับ”
“ไอ้เหี้ย!”
ด่าไปมันก็ไม่สลดหรอกครับ แถมยังเดินผิวปากปลดผ้าขนหนูพันเอวออกเพื่อแต่งตัว ออกจากห้องน้ำมามันก็ตรงมานั่งข้างๆ โดยไม่ยอมแต่งตัว เป็นไงล่ะ ผิวแห้งจนต้องเกายิกๆ สมน้ำหน้ามันจริงๆ
แม้จะทำไม่แยแส แต่สุดท้ายผมก็ต้องทาโลชั่นให้ไอ้เด็กเสี่ยวนี่อยู่ดี
ทำไมแม่ถึงยอมยกผมให้มันง่ายๆ เนี่ย ไม่ยุติธรรมสักนิด แม่อาจไม่รู้ ว่าไอ้นี่มันบ้าพลัง แถมยังชอบเอาเปรียบอีก ไม่เห็นเป็นเด็กดีอย่างที่แม่ว่า...
มันไม่ดี แต่ทำไมผมถึงตกหลุมรักมันวะ
...TBC
มาถึงโค้งสุดท้าย ท้ายสุดแล้วเน้อ ตอนหน้าก็ตอนจบแล้วค่าาาาา เย้ๆ เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ดองได้ยาวนานซะจริง (น้อมรับความผิด) ขอบคุณสำหรับการติดตามคนขี้เกียจคนนี้นะคะ เจอกันตอนสุดท้าย ขอบพระคุณมากๆ ค่าาาา จุ๊บๆ