ตอนที่ ๑ ผมจำไม่ได้ว่าพาตัวเองปลิวออกจากสถานีรถไฟฟ้าได้ยังไง นึกออกแต่ว่าในตอนนั้นสมองมันสั่งให้วิ่ง ๆ ๆ แล้วก็วิ่งออกมาให้เร็วที่สุด มารู้ตัวอีกทีผมก็ถลาเข้าไปหาเพื่อนที่กำลังนั่งรวมกลุ่มกันอยู่ตรงโต๊ะประจำ พวกมันคงเห็นความพยายามของผมจากสีหน้าประหนึ่งวิ่งสู้ฟัดมาเสียสิบสนามเลยยอมละเว้นความผิดในการมาเกือบสายครั้งนี้ให้แถมหนึ่งในสองยังใจดีเสียสละโค้กกระป๋องให้ผมจิบแก้เหนื่อยอีกต่างหาก เฮ้อ นับว่ารอดตัวจากการคาดโทษของท่านหัวหน้าไปอีกครั้ง
พอสติสตังเริ่มกลับมาหาตัวผมก็เริ่มมองหางานที่ตัวเองต้องรับผิดชอบ กระดาษรายงานเรียงกันอยู่ในแฟ้มใสตรงหน้า...ฝีมือวรินทรเช่นเคย เรียบร้อยแบบนี้ไม่มีใครอีกแล้วล่ะ
“อ้าว ไหงมีแต่ของเก่าล่ะวา ไหนว่าวันนี้จะทำให้เสร็จเลยไง ทำไมไม่มีอะไรสักอย่าง” ผมหมายถึงรายงานส่วนหลังที่เคยคุยกันไว้ ดูสิมีแต่โครงเรื่องกับเนื้อหาที่หากันไว้ลวก ๆ แล้วแบบนี้จะทำต่อได้ยังไง ผมเปิดดูจนหมดก็ได้ฤกษ์เงยหน้ามองวา
วาหรือวรินทรเพื่อนเลิฟที่ผมกำลังเผชิญหน้าด้วยเป็นผู้ชายเหมือนผมนี่แหละครับแต่พอดีหน้าตาผิวพรรณดีแถมยังมันสมองเป็นเลิศ ในจุดนี้วาเลยเหมือนเป็นมันสมองหลักของกลุ่มเราแถมพ่วงเป็นที่พึ่งพาให้พวกสมองน้อย ๆ อย่างนายคุณภัทร ปัทมวรกุลซึ่งก็คือผมอีกด้วย พอผมถามวาก็ทำหน้าแปลก ๆ จะว่ายิ้มก็ไม่เชิงมันเหมือนกระตุกปากมากกว่า
“อะไรอ่ะ?”
“นั่นมันส่วนของคุนนะพัดไม่ใช่หรือครับ คุนนะพัดมีหน้าที่ต้องไปหาหนังสืออีกห้าเล่มที่เหลือมาให้พวกกระผม จะลืมก็ไม่ว่าอ่ะนะแต่ไอ้ทำตาแป๋วแล้วมาถามเอากับกระผมเนี่ยมันน่าซัดแรง ๆ จังเลยครับ”
“เหยยยยยยยย” ผมลากเสียงยาวทำหน้าเหมือนแปลกใจสุดฤทธิ์สุดเดชทั้งที่ในหัวนั้นเริ่มนึกออกตามที่วาพูดแล้ว เหวย ๆ ผมลืมยืมหนังสือจากห้องสมุดคณะแล้วมันก็ต้องใช้วันนี้แล้ว
“งั้นรอเดี๋ยว เดี๋ยวไปยืมมาให้ โทษที ๆ” ผมตั้งท่าว่าจะวิ่งออกจากตรงนั้นแต่มือนุ่ม ๆ ของอีกหนึ่งเพื่อนสนิทก็ฉุดแขนผมไว้เสียก่อน ไอ้ผู้ชายหน้าคมหวานที่ชื่อบุรินทร์มันยิ้มตาหยีแล้วก็บอกผมว่า “วันนี้วันหยุดห้องสมุดคณะเราปิด”
แม่เจ้า! ความซวยมาเยือนแล้วเป็นไง ผมหันไปยิ้มแหย ๆ กับวา รายนี้เลยใช้แฟ้มฟาดหัวผมเป็นการลงโทษหนึ่งที
“นึกแล้วเชียว ไปกัน” เจ้าเพื่อนรักทั้งสองเหมือนจะเข้าใจการเปลี่ยนเรื่องที่รวดเร็วราวสายฟ้าของวา มีแต่ผมที่ยังนั่งคลำหน้าผากป้อย ยังเจ็บไม่หายก็จะให้ไปไหนอีกล่ะ
“ลุกสิคุณ ห้องสมุดสถาปัตย์มันจะปิดตอนเที่ยงนะ ช้าเดี๋ยวก็พลาดอีกหรอก”
วาเก็บของเรียบร้อยแล้ว รอให้บุรินทร์เอาขยะไปทิ้งกลับมาก็เดินนำพวกผมมุ่งตรงไปยังตึกสีน้ำตาลรูปทรงแปลกตาที่อยู่ติดอีกด้านของลานกว้างที่พวกเรานั่งอยู่ จะว่าไปผมก็ไม่เคยเข้ามาคณะนี้เลยตั้งแต่เข้ามาเรียนที่นี่ ดูอะไร ๆ มันก็แปลกตาไปเสียหมด คณะนี้ส่วนใหญ่มีแต่ผู้ชายเรียนมองไปทางไหนก็เจอแต่กล้ามล่ำ ๆ กับขนหน้าแข้ง น่าเบื่อพิลึก ผิดกับคณะของพวกเราที่ส่วนใหญ่แล้วจะมีแต่ผู้หญิง เรียนไปก็มองภาพสวย ๆ งาม ๆ ไป ชื่นใจพี่คุณดีแท้
“ถ้าฉันมาคนเดียวต้องหลงแน่เลย ห้องสมุดหรือเขาวงกตวะถามจริง” ผมกระซิบบอกบุรินทร์ที่เปิดประตูรออยู่ เจ้านั่นหัวเราะในลำคอโน้มหน้าหวานปานจะหยดมากระซิบตอบผมว่า “เดิน ๆ ไประวังเจอยักษ์แอบอยู่ในซอกนะ เดี๋ยวมันนึกว่านายเป็นเด็กหลงมา เผลอจับนายกินเข้าไปน่าสงสารพวกมันแย่เลย” เหอะ พูดอะไรดูตัวเองซะก่อนเถอะบุรินทร์ หน้าตาอย่างนายนั่นแหละสมควรระวังเสือสิงห์กระทิงป่าแถวนี้มันเล็งเอา
“เพื่อนเลว ฉันจะมาครั้งนี้ครั้งเดียวเท่านั้นแหละ คณะอะไรมีแต่ผู้ชาย แห้งแล้งชะมัด”
“นายมาที่นี่ครั้งที่สองแล้ว คราวที่แล้วเรามาด้วยกัน จำไม่ได้แล้วหรือ”
“เมื่อไหร่” บุรินทร์บอกว่าตั้งแต่ต้นเทอมที่แล้ว ตอนนั้นพวกผมลงวิชาเลือกเป็นวาดรูปเลยต้องมาหาซื้อพวกสีและอุปกรณ์อื่น ๆ ที่สหกรณ์คณะนี้เหตุผลเพราะว่ามันถูกกว่าซื้อข้างนอก ผมฟังแล้วก็อือออตาม จริงอย่างที่บุรินทร์พูดนั่นแหละ ผมเคยมาคณะนี้แต่มันมาในช่วงรีบเร่งแถมยังเป็นช่วงที่เข้ามาเรียนใหม่ ๆ อะไร ๆ มันก็เลยดูเลือนรางไปหมด จำได้ว่าตอนกลับออกมายังพลัดหลงกับบุรินทร์อีกต่างหาก
พอผ่านมาถึงห้องโถงส่วนล่างของห้องสมุด ผมก็ได้แต่แหงนคอตั้งมองนั่นมองนี่อย่างตื่นตาตื่นใจ เออเนาะ ก็เพิ่งเข้าใจตอนนี้เอง ผู้ชายคณะนี้มันอาภัพตรงที่ไม่มีสาว ๆ ให้มองมากแต่มันก็มีที่สิงสถิตที่สวยงามอลังการเข้ามาแทน บุรินทร์บอกผมว่าหอสมุดของคณะนี้สร้างโดยเหล่าอาจารย์และนิสิตที่ได้รับการคัดเลือกตั้งแต่ปีสามขึ้นไปถึงปีห้า ผลงานจากสมองของคนในล้วน ๆ ก็สมควรที่คนพวกนี้จะภาคภูมิใจอยู่หรอก
“ทางนี้ เราต้องแลกบัตรก่อน” บุรินทร์บอกก่อนจะหันมาลากผมตามไปทางเคาน์เตอร์มุมในของห้องโถง เพราะพวกผมเป็นนิสิตต่างคณะเวลาจะมาใช้สมบัติของคนอื่นก็ต้องมีการแลกบัตรผู้มาเยือนเป็นหลักฐานเอาไว้ก่อน แลกบัตรเสร็จผมก็ถูกบุรินทร์จูงตามวาขึ้นบันไดวนไปจนถึงชั้นสาม เล่นเอาผมเหนื่อยจนลิ้นห้อยคราวนี้ผมจะไม่มีทางลืมเลยว่าครั้งหนึ่งในชีวิตหนุ่ม ผมได้เคยมาปีนบันไดวนของสถาปัตย์มาแล้ว
“เร็ว ๆ สิคุณ เหลือเวลาอีกไม่มากแล้วนะ”
“ไปก่อนได้เลย” ผมร้องบอกวาทั้งที่ยังไม่ยอมเงยหน้าจากไหล่บุรินทร์ เพื่อนที่แสนดีของผมหัวเราะจนอกสั่นแต่ยังใจดีหยุดรอให้ผมได้หายใจหายคอ บุรินทร์บอกให้วาล่วงหน้าไปเลือกหนังสือก่อนตัวเองก็หันมาสนใจอาการหอบของผมต่อ
“เป็นไงมั่ง อีกชั้นเดียวเองไหวไหม”
“ไหว แต่ขอพักก่อน นั่งตรงนี้จะมีใครว่าไหมอ่ะ” ผมบุ้ยปากใส่ขั้นบันไดที่ปูพรมสีเลือดใต้ฝ่าเท้าเราสองคน บุรินทร์มองซ้ายมองขวาแล้วก็ยักไหล่
“ไม่ว่าหรอกมั้ง ถ้ามันขวางทางคนอื่น เค้าคงถีบลงไปเองแหละ”
“ถ้าเจออย่างนั้นขอกลิ้งลงนุ่ม ๆ ละกันจะลงไปนอนรอข้างล่าง ไม่ไหวแล้ว ทำไมเค้าไม่รู้จักสร้างลิฟต์เอาไว้ให้นิสิตใช้บ้างวะ ปีนป่ายอย่างนี้ทุกวันกระดูกข้อได้เสื่อมกันพอดี” ผมทรุดตัวลงนั่งชิดริมด้านหนึ่งของบันไดบุรินทร์เองก็นั่งสูงไปขั้นหนึ่ง ผมเลยได้ทีแอบขยับเข้าไปชิด ยึดเอาอกของอีกคนเป็นที่พึ่งพิงยามยากเสียเลย
“มันจะทำให้เสียทัศนียภาพของหอสมุดน่ะสิ”
“ก็สร้างแอบไปตรงไหนก็ได้นี่นา เดินขึ้นลงกันแบบนี้เหนื่อยตาย”
“ก็ไม่เห็นมีใครเหนื่อยตายเพราะปีนบันไดสักคน ฉันเองก็มาบ่อย ๆ ขึ้นลงจนชินแล้วล่ะ นายนั่นแหละชวนมาทีไรไม่ยอมมา ชอบหนีไปร้องคาราโอเกะกับพวกผู้หญิงทุกที” ผมยิ้มบาง ๆ
“นั่นมันก็เป็นเรื่องจำเป็น ว่าแต่ นายมาทำไมบ่อย ๆ วะ”
“มาส่งวาน่ะ เพื่อนวาเรียนคณะนี้” คนหน้าหวานว่าเสียงนุ่ม ลูบผมตรงข้างแก้มให้ผมอย่างเบามือ ผมชอบบุรินทร์ตรงนี้แหละ นิ่ง ๆ เงียบ ๆ จะสวยจะเท่ก็ทำได้หมด ชอบทำมากกว่าพูดแถมขออะไรไม่เคยไม่ให้ ใจดีไม่เคยดุผมอย่างวาเลยสักครั้ง หน้าตาก็ดีหุ่นก็ดีแถมบ้านรวย เพราะแบบนี้ด้วยล่ะมั้งเพื่อนของผมเลยป็อปทั้งในหมู่ผู้ชายผู้หญิงน่ะ
“อ้อ คนที่อยู่บ้านใกล้ ๆ กันใช่ไหม เคยเห็นสองสามครั้ง หน้าตาดุได้ใจเลยล่ะ”
“ไปว่าเค้าอีก หายเหนื่อยหรือยัง”
“อีกนิดนึงงงง นั่งตรงนี้กำลังสบายเลย” ถึงคราวที่ต้องใช้ลูกอ้อน ต้องแบบนี้แหละครับ อยู่กับวากับบุรินทร์บางทีก็ให้ความรู้สึกเหมือนอยู่กับพี่ชายหรือไม่ก็พี่สาว อยากเกเรขึ้นมาเมื่อไหร่ก็อ้อนเอา แล้วถ้าผมซุกหน้าคลอเคลียเข้าหาเมื่อไหร่ทั้งสองคนก็ไม่มีใครใจแข็งได้ร๊อก
“แหงสิ นายพิงฉันอยู่นี่ สบายอยู่คนเดียว”
นั่นไง บุรินทร์นี่ใจดีที่สุดในโลกเลย
“เคยได้ยินตำนานของบันไดแดงไหมคุณ?”
ผมส่ายหน้าตอบ บันไดแดงที่บุรินทร์กำลังพูดถึงหมายถึงบันไดที่พวกผมกำลังนั่งกันอยู่นี่ล่ะ ว่ากันว่าเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของนิสิตทั้งมหาวิทยาลัย แต่นิสิตหนุ่มเนื้อหอมอย่างพี่คุณที่ไม่ค่อยมีเวลาสนใจเรื่องพวกนี้เลยไม่ค่อยจะมีความรู้เท่าไหร่ว่าเค้ามีตำนานกันว่าอย่างไรบ้าง
“เค้าว่ากันว่าใครก็ตามที่สะดุด ด้วยความไม่ตั้งใจนะ ที่บันไดนี้จะมีแฟนในคณะสถาปัตย์ล่ะ ส่วนใครก็ตามที่ได้จูบกับคนที่ชอบตรงนี้ ในเวลาที่เหมาะสม เค้าว่าคนคู่นั้นจะรักกันไม่มีวันเสื่อมคลาย”
“เหรอ” ผมครางรับ นับเป็นครั้งแรกที่เคยได้ยินตำนานโรแมนติกขนาดนี้ ไม่น่าเชื่อว่าคณะที่มีแต่ทโมนห้าร้อยจำพวกจะมีเรื่องน่ารัก ๆ อยู่เหมือนกัน แต่ก็นั่นแหละ มันแค่ตำนานแล้วแต่ว่าใครจะเชื่อหรือไม่เชื่อ
ถ้าผมไม่เชื่อก็ไม่ใช่เรื่องผิดเหมือนกัน
“แล้วนายเชื่อเรื่องนี้ไหมล่ะ” ผมหันไปมองหน้าสวยของเพื่อนรัก เห็นแก้มเนียนของเจ้านั่นแดงเรื่อขึ้นพร้อมกับดวงตาเรียวสวยที่เบือนมองไปทางอื่นแค่นั้นก็ฟังธงได้ฉับ ล้านเปอร์เซ็นต์ เผลอ ๆ เจ้านี่จะเคยพาใครบางคนมาพิสูจน์แล้วด้วยซ้ำ
“ฮั่นแน่ เคยลองแล้วล่ะสิ” ผมหรี่ตามองหน้าแดง ๆ ของอีกฝ่าย เจ้านั่นจิ๊ปากพลางทำตาดุใส่แต่เรื่องอะไรจะกลัว ผมขยับเข้าชิดยื่นหน้าเข้าใกล้เพราะอยากมองหน้าเขิน ๆ ของเพื่อนรักให้เต็มตา ชัดช่า บุรินทร์แอบมีกิ๊กซ่อนไว้ เรื่องนี้ต้องขยายให้วารู้ซะแล้ว “แอบมีแฟนแล้วไม่บอกเพื่อนใช่ไหม ใครวะ ในคณะเราหรือเปล่า”
“ไม่ใช่แฟนโว้ย ไม่มีอะไรทั้งนั้นด้วย ลุก ๆ ๆ ไปได้แล้วเดี๋ยวห้องสมุดปิด” เมื่ออีกฝ่ายไม่ต้องการบอกถึงจะอยากรู้แค่ไหนแต่ผมไม่อยากทำตัวเหมือนผู้หญิงที่ต้องคอยเซ้าซี้ถาม เรื่องแบบนี้รอให้เจ้าตัวเค้าพูดคงจะเหมาะกว่า แต่ถึงอย่างนั้นมันก็อดที่จะแซวไม่ได้
“เขินแล้วเปลี่ยนประเด็นเลย ไม่บอกก็ได้ เดี๋ยวไปสืบเอง”
ร่างสูงโปร่งของบุรินทร์ลุกขึ้นรออยู่แล้วตอนที่ดึงผมให้ลุกตาม พวกเรากำลังปัดเผ้าปัดผมให้เรียบร้อยเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าของใครบางคนย่ำขึ้นมาจากบันไดวนช้า ๆ บุรินทร์ยังมีใจเอื้อมมือมาปัดผมยุ่ง ๆ ให้ ส่วนผมก็สลัดแข้งขาเตรียมจะฝ่าฟันเส้นทางทรหดต่อ
ตึก
ตึก
ตึก
เจ้าของเสียงฝีเท้านั้นกำลังโผล่มาจากบันไดวนขั้นต่ำลงไป บุรินทร์เดินล่วงหน้าไปได้สองสามก้าว คนคนนั้นก็ใกล้เข้ามาอีก ผมอดไม่ได้ที่จะหันไปมองอย่างสงสัย เขาเดินมาในระยะเท่า ๆ กันกับผมแต่เสียงรองเท้าที่เหยียบลงบนพื้นพรมนั้นมันยังหนักแน่นและสม่ำเสมอเหมือนไม่ได้รู้สึกถึงระยะทางที่แสนไกลนี้เลย
ทำได้ยังไงกันนะ
แค่ไม่กี่ก้าวที่ผมปล่อยให้บุรินทร์เดินนำไปก่อน ตัวเองหันกลับไปมองด้านหลัง ผู้ชายตัวสูงกับเสื้อเชิ้ตสีขาวสะอาดตาและกางเกงยีนส์สีซีด ไม่ต้องสงสัยเลยงานนี้ ผู้ชายที่ทำให้ผมติดใจได้เพียงแค่เสียงฝีเท้าคือคนเดียวกันกับไอ้หน้าหล่อบนรถไฟเมื่อเช้า ตัวสูง หน้าคม ผิวขาว ดูดีแม้ว่ากำลังอยู่ในชุดลำลองสบาย ๆ แต่อะไรก็ไม่กระแทกตาผมเท่าปากสีแดงเหมือนเลือดของหมอนั่น เจอที่ไหนก็ไม่มีวันลืม
โลกกลมของแท้เลยคุณ
หมอนั่นเงยหน้ามองมาพอดีกับจังหวะที่ผมสั่งตัวเองให้รีบตามบุรินทร์ไปได้สำเร็จ แต่เพราะอารมณ์รีบร้อนทำให้ไม่ทันระวัง รองเท้าผ้าใบของผมจึงไปสะดุดเอากับบันไดขั้นหนึ่ง
“เฮ้ย!”
“คุณ!”
คุณเคยตกใจไหม เวลาที่รู้สึกแบบนั้นขึ้นมาเมื่อไหร่มันเหมือนมีกระแสไฟฟ้าอ่อน ๆ แล่นผ่าเข้ากลางแสกหน้าแล้วก็ลามไปทั่วร่าง เรี่ยวแรงที่เคยมีมันก็พาลเหือดหายไปเสียหมด ผมเซเสียหลักพร้อมเสียงดังก้องของบุรินทร์ ชั่วขณะที่คิดว่าร่างของตัวเองกำลังหงายหลังลงมาจากบันไดสูง ผมรู้สึกถึงแรงกระแทกจากด้านหลังแบบไม่เบานัก ก่อนที่ตัวผมจะถูกแรงมหาศาลเหวี่ยงแกมรั้งให้กลับมาอยู่จุดเดิม
แขนขาวจัดของผู้ชายคนนั้นยังโอบอยู่รอบเอวผม หน้าผมก็ยังซุกอยู่กับอกกว้าง ขณะที่แขนข้างหนึ่งถูกบุรินทร์รั้งไว้แน่น เพื่อนตัวโตถลาลงมาถึงตัวผมหลังจากที่ไอ้หน้าหล่อรับร่างผมไว้ ภาพของผมตอนนี้คือถูกผู้ชายคนหนึ่งกอดไว้ทั้งตัวและมีผู้ชายอีกคนหนึ่งจับข้อมือไว้แน่น!
หัวใจผมเต้นแรง
แรงจนเจ็บ
ลมหายใจหอบหนักเพราะความตกใจ
“คุณ...เมื่อกี้นาย...นายสะดุดใช่ไหม?” ผมหันไปมองคนถามงง ๆ สมองยังปรับความคิดไม่ทันแต่ก็ยังมีใจพยักหน้าตอบบุรินทร์ไปตามตรง ก็จริงนี่ ผมจะตกบันไดเพราะเซ่อซ่าไปสะดุดทางเดินเข้า ไม่ตกลงไปหัวแตกมันก็บุญโขแล้ว แล้วทำไม ไอ้ตี๋มันต้องทำหน้าตกใจแบบนั้นด้วย!
“ไม่เป็นไรใช่ไหม?” เสียงนุ่มหูดังมาจากริมฝีปากที่จ่อกับขมับของผม ไม่มีอารมณ์ใดในน้ำเสียงนั้นนอกจากความห่วงใยจาง ๆ ที่ผมพอจะสัมผัสได้ เจ้าของเสียงละมือออกจากตัวผมถอยไปยืนมองเงียบ ๆ เมื่อเห็นว่าผมยังยืนอึ้งไม่พูดไม่จาหมอนั่นก็ยิ้มให้
ช่างเป็นยิ้มที่ให้ความรู้สึกดีอะไรแบบนี้ เหมือนเวลาเรายืนอยู่ท่ามกลางทุ่งหญ้ากว้างสุดลูกหูลูกตาในช่วงฤดูฝนยังไงยังงั้นเลย ไม่ได้พูดเกินไปนะ แต่ผมเป็นแบบนั้นจริง ๆ ผู้มีพระคุณของผมให้ความรู้สึกสดชื่นปนความอ่อนโยนแบบที่หาได้ยากจากผู้ชายทั่วไปในท้องตลาดบ้านเรา แลคงจะดีกว่านี้ ถ้าไม่มีการกวนโอ๊ยแบบที่ผ่านมา
“ขอบใจ” ผมบอกเสียงเบาพอกับการกระซิบเจ้านั่นก็ยิ่งยิ้มกว้าง
“เจอกันสองครั้งก็มีเรื่องให้ฉันต้องหิ้วนายทั้งสองครั้ง ครั้งที่สามจะเป็นอะไรนะ” นั่นไง คิดยังไม่ทันจบก็เอาอีกละ ผมไม่น่าหลงไปกับหน้าตาหล่อ ๆ นั่นเลย อุตส่าห์คิดว่าเป็นคนดีมีน้ำใจ ช่วยเราเอาไว้ตั้งแต่ตอนเช้ายันบ่าย มาพูดแบบนี้กะจะไม่ให้ประทับใจกันเลยมั้ง
“ขอบใจ ถ้ามันมีครั้งที่สามอีกนายก็ปล่อยฉันไปตามบุญตามกรรมแล้วกัน” ผมบอกออกไปอย่างนั้นแล้วก็เดินขึ้นบันไดทีละสองขั้นเหมือนเมื่อครู่ไม่ได้เหนื่อยแทบขาดใจอย่างนั้น บุรินทร์ยังไม่ตามมา ผมได้ยินเสียงเจ้านั่นคุยอะไรกับฝ่ายนั้นแว่ว ๆ ก็ไม่รู้ ไม่อยากจะสนใจ ตอนนี้คิดอย่างเดียวว่าไม่อยากเสียเวลาอยู่ตรงนั้นอีกแม้แต่วินาทีเดียว
ไม่รู้เป็นอะไร อยู่ใกล้หมอนั่นสองครั้งทำให้ความมั่นใจในตัวเองของผมถดถอยลงทุกครั้ง ไม่ดีหรอกแบบนี้ ผมไม่ชอบ ไม่สบายใจที่มันจะเป็นแบบนั้นด้วย
พวกเราใช้เวลาสองชั่วโมงที่เหลือก่อนห้องสมุดคณะสถาปัตย์ปิดค้นหาหนังสือที่ต้องการ แต่ก็เหมือนฟ้าแกล้ง หนังสือรายการที่พวกผมต้องใช้มีนิสิตมายืมไปจนหมดก่อนหน้านี้เพียงวันเดียวและกว่าจะถึงกำหนดคืนก็อีกสองอาทิตย์ต่อไป วาเดาว่ากลุ่มที่ยืมไปคงเป็นเพื่อน ๆ จากคณะของพวกเราเอง พอรู้อย่างนี้ผมก็ยิ่งเซ็งจัด อุตส่าห์ถ่อสังขารขึ้นบันไดเสี่ยงตายขึ้นมาจนถึงชั้นสามของตึกแต่กลับไม่ได้สิ่งที่ตั้งใจไว้ อะไรก็ไม่สำคัญเท่าพวกผมจะไม่มีหนังสือไปทำรายงานส่งอาจารย์ให้ทันกำหนดในอาทิตย์หน้าน่ะสิ
ผมทำหน้าม่อยเข้าไปคลอเคลียวาแบบรู้ตัว เป็นเพราะผมลืมยืมหนังสือตั้งแต่เมื่อวันศุกร์เลยทำให้งานของเพื่อนต้องเสียไปด้วย รู้สึกแย่ชะมัดเลย
“ขอโทษนะวา เพราะฉันคนเดียวเลยงานนี้ อย่าโกรธเลยนะ”
“ไม่ได้โกรธแค่กำลังคิดว่าจะทำยังไงดี” วาตอบเสียงแผ่ว ตามองอยู่ที่ปลายนิ้วเหมือนทุกครั้งที่เค้ากำลังใช้ความคิด
“เราไปยืมคณะอื่นได้ไหม มันน่าจะมีเหมือน ๆ กันไม่ก็ซื้อเลย ร้านหนังสือแถวนี้ก็มีเยอะ”
“ไม่ซื้อ หนังสือตั้งห้าหกเล่มแถมยังเป็นภาษาอังกฤษ ขืนใจกล้าซื้อได้เปลืองเงินตายชัก ถ้าจะไปยืมคณะอื่นมันก็ไม่มีให้หรอก ฉันเช็คมาแล้ว มันมีแค่ที่คณะเรากับสถาปัตย์เท่านั้น ที่ไหนมันจะเรียนวรรณคดีกับทัศนศิลป์อีกล่ะ นอกจากสองคณะนี้” พอได้ยินชื่อวิชาที่วาย้ำมาอีกครั้ง บวกกับชื่อคณะที่มันแวบขึ้นมาพร้อมกัน ความจำของผมก็เหมือนจะถูกฟื้นขึ้นมาทันทีและเหมือนบุรินทร์เองก็คิดเหมือนกันกับผม
“พวก’ถาปัตย์” เจ้าตี๋พูดขึ้นลอย ๆ มองหน้าผมแล้วก็ยิ้ม
“ใช่แล้ววา พวกปีหนึ่ง’ถาปัตย์ก็ต้องเรียนตัวนี้เหมือนกันนี่ ทำไมเราไม่ขอยืมเค้าล่ะ”
“เค้าก็ต้องใช้ของเค้าไม่ใช่หรือ” วาย้อนถามเหมือนไม่แน่ใจ กระนั้นความหวังอันน้อยนิดของพวกเราก็สว่างวาบขึ้นมาพร้อม ๆ กัน บุรินทร์เลยเสนอทางเลือกใหม่ล่าสุดให้
“ถ้าปีหนึ่งมันใช้ ทำไมไม่ลองถามพวกพี่ปีสูง ๆ ดูล่ะ เผื่อจะมีใครเก็บไว้”
“อืม ก็นะ ลองถามกันดู แต่ไม่รับปากนะว่าจะได้ ขอโทรถามดูก่อน” พูดไม่ทันจบวาก็เลี่ยงออกไปทางหนึ่ง ก็ไปคุยโทรศัพท์นั่นแหละแต่ทำไมต้องทำท่ากระซิบกระซาบแบบนั้นด้วยก็ไม่รู้ ทิ้งให้ผมเท้าคางมองหน้ากับบุรินทร์อยู่ที่โต๊ะกันแค่สองคน
“นายว่าเค้าจะมีให้เรายืมไหม”
“ไม่รู้สิ ว่าแต่ ตอนที่สะดุดน่ะไม่ได้เจ็บตรงไหนอีกใช่ไหม” เพื่อนเลิฟเปลี่ยนเรื่องเร็วเสียจนผมแทบตามไม่ทัน พอบุรินทร์ทักผมก็ก้มลงคลำข้อเท้าโดยอัตโนมัติ ตอนแรกไม่ได้รู้สึกว่ามันจะเจ็บหรอกแต่พอเพื่อนทักแบบนี้มันก็ชักจะแปลบ ๆ ขึ้นมาเหมือนกันแฮะ แหมโรคสำออยนี่มันไม่เข้าใครออกใครจริง ๆ
“ไม่เป็นอะไรหรอกมั้ง แค่ขัด ๆ นิดหน่อย”
“ขอดูหน่อยซิ เผื่อไว้ก่อน เกิดเอ็นพลิกข้อเท้าอักเสบขึ้นมาจะแย่เอา” ผมยื่นเท้าออกไปพาดม้านั่งตัวที่เจ้าบุรินทร์นั่งอยู่ เจ้านั่นอาศัยความรู้รอบตัวที่เติบโตมาในครอบครัวคุณหมอทั้งบ้าน จับ ๆ นวด ๆ ข้อเท้าผมเดี๋ยวเดียวก็พยักหน้าให้ รายงานอาการด้วยประโยคเดียวกับผมเด๊ะ
“ไม่เป็นไรหรอกมั้ง”
“อ้าว บุรินทร์ ไหงกวนกันหน้าซื่อ ๆ งี้ล่ะจ๊ะ” เจ้านั่นผลักผมจนหน้าหงาย
“ไม่ได้กวน มันไม่เป็นไรจริง ๆ คราวหลังก็ระวังหน่อยละกัน เฮ้อ นายนี่มันสุดยอดของความเบ๊อะจริง ๆ สะดุดที่ไหนไม่สะดุดดันไปสะดุดบันไดแดง”
“แล้วทำไม?”
“ก็สะดุดไปแบบนั้นนายไม่คิดว่ามันจะเป็นอย่างในตำนานที่เค้าเล่ากันมาบ้างหรือ”
“ตำนาน? ตำนานอะไรวะ?...อ๋อ...” เออนะ ผมลืมเรื่องนั้นไปเสียสนิทเลย แหม ก็เมื่อกี้ผมตกใจเสียจนขวัญหายไปเยอะ อะไรที่มันฟังผ่าน ๆ หูไปเลยไม่ได้ติดในใจ พอบุรินทร์มาพูดถึงโดยไม่ย้ำกันก่อนแบบนี้ผมก็งงสิครับ
“ไอ้ตำนานเนื้อคู่อะไรของนายนั่นน่ะหรือ”
“ใช่ มองใครในคณะนั้นไว้หรือยังล่ะ อุตส่าห์ได้สะดุดทั้งที” เหวย ๆ ได้ทีปุ๊บ มันประชดปั๊บเลยโว้ย ผมยันเท้าที่พาดไว้กับต้นขามันไปพอรู้สึก
“เพื่อนเลว แค่เรื่องเล่าต่อ ๆ กันมา ไม่ต้องดึงฉันเข้าไปเกี่ยวด้วยเลย”
“ทำเป็นพูดไป เรื่องแบบนี้ไม่เชื่อเค้าห้ามลบหลู่”
“ยืนยันมั่นใจแบบนี้ แสดงว่าเคยพิสูจน์มาเรียบร้อยแล้วล่ะสิ” ผมหัวเราะเสียงก้องเมื่อเห็นเจ้าเพื่อนสนิทมันตวัดตามองมาเหมือนจะค้อน ไม่รู้ว่าเพราะถูกแทงเข้าใจดำหรือเป็นเพราะมันระอาที่จะต่อปากต่อคำกับคนที่ไร้ความเชื่อเรื่องพรหมลิขิตแบบผม บุรินทร์เลยปิดประเด็นนี้แบบไม่มีการซักไซ้ให้ยืดยาวกันอีก
“ได้เรื่องว่าไงมั่ง” ความจริงแล้วได้เห็นรอยยิ้มของวาผมก็พอเดาได้แล้วล่ะว่าข่าวเรื่องหนังสือของพวกเราคงเป็นบวกมากกว่าลบ เมื่อวายักคิ้วให้ก็เป็นอันว่าทุกอย่างเรียบร้อย
“แต่พี่พีร์มีแค่สองสามเล่มนะ เค้าเลยลองขอยืมเพื่อนในกลุ่มให้ก็โอเค ได้มาเพิ่ม รู้สึกเหมือนจะมีเล่มอื่น ๆ ที่พอจะใช้เสริมเนื้อหารายงานของเราได้ด้วย หมดห่วงเรื่องหนังสือได้แล้ว”
“ไชโย วาเก่งที่สุดเลย” ผมร้องออกมาอย่างโล่งใจ โผเข้ากอดรัดวาอย่างซาบซึ้ง การมีเพื่อนประเสริฐมันดีแบบนี้เอง วาที่ทั้งหน้าตาดี ทั้งฉลาด ติวก็เก่ง ลายมือก็อ่านง่ายแถมยังช่วยแก้ปัญหาให้ตลอด ผมจะไปหาเพื่อนที่ดีแบบนี้ได้จากที่ไหนอีก
“ไม่ต้องมาประจบเลยคุณภัทร โทษฐานที่นายทำให้พวกเราเสียเวลารวบรวมข้อมูลไปครึ่งวัน นายจะต้องไปเอาหนังสือเล่มที่เหลือมาจากเพื่อนของพี่พีร์แล้วสรุปเนื้อหาส่วนที่สองของรายงานมาให้ฉันก่อนวันศุกร์หน้าโดยไม่มีข้อโต้แย้งใด ๆ ทั้งสิ้น มีปัญหาอะไรไหม?”
“จะมีปัญหาอะไรได้” เสียงเพื่อนเลิฟนามว่าบุรินทร์ซ้ำเติมแว่ว ๆ อยู่ข้างหู ผมได้แต่ครางอยู่ในอก โหย ขู่ทั้งเสียงข่มทั้งตาแบบนี้ใครจะกล้ามีปัญหากับวากันเล่า ผมทำปากยื่น แอบบ่นพึมพำพอเป็นพิธีแล้วก็ต้องยอมรับการลงโทษของวาอย่างไม่มีทางหลีกเลี่ยง ส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะผมรู้ดีว่าตัวเองเป็นสาเหตุที่ทำให้งานกลุ่มล่าช้า การแสดงความรับผิดชอบในส่วนนี้ก็นับว่าเหมาะสมแล้ว
“ฉันต้องไปเอาหนังสือได้ที่ไหนล่ะ” พอผมถามออกไปวาก็ส่งกระดาษที่มีหมายเลขโทรศัพท์มือถือเด่นหรามาให้ สงสัยเป็นเบอร์ที่เจ้าตัวได้มาจากเพื่อนพี่ที่ชื่อพีร์คนนั้นเหมือนกันละมั้ง
“เบอร์เพื่อนพี่พีร์ นายโทรไปขอนัดเวลากับเค้าเองก็แล้วกันนะ พี่เค้าใจดีไม่กัดหรอก”
“คนนี้หรือที่บอกว่ามีหนังสือให้เรายืมน่ะ” วายักคิ้ว
“ใช่ ปีห้าเหมือนพี่พีร์นั่นแหละ เก่งทั้งภาคทฤษฏีภาคปฏิบัติเลยบอกให้”
“พวกหนอนหนังสือ แว่นหนาเตอะ เชิ้ตลายหมากรุก ติดกระดุมถึงคอแน่เลย” บุรินทร์หัวเราะพรืดแทบสำลักชาเขียวใส่หน้าผม โชคดีที่หลบทัน ไม่งั้นคงได้ติดโรคชอบสมน้ำหน้าคนจากเจ้านั่นเป็นแน่ เราสองคนหัวเราะอย่างขัน ๆ แต่วาดันไม่ขำตาม
“เจอตัวจริงแล้วค่อยมาวิจารณ์ ถึงตอนนั้นฉันจะยอมนั่งฟัง”
“ได้ แล้วจะให้โทรไปหาคนที่ชื่ออะไรล่ะ เจ้าของเบอร์นี้น่ะ” ผมหัวเราะลงคอ กรีดกระดาษแผ่นเล็กเล่นขณะที่กำลังบันทึกเบอร์ไว้ในมือถือของตัวเอง กับผู้มีพระคุณคนนี้กะจะให้เป็นเบอร์แรกในลิสต์เลยนะ ขอบอก
วายิ้ม เคาะปากกากับปลายจมูกผม ย้ำเสียงราวกับกลัวว่าผมจะลืม
“จิณณ์”
“พี่คนนั้นชื่อจิณณ์ ปภาเดชวิรุฬห์...จำไว้...”
พี่จิณณ์มาแล้วววววว