:::: Heart's Tale :::: รุ่นพี่คนนั้นชื่อ 'จิณณ์' [จบภาค P.7 ::: 9/3/60]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: :::: Heart's Tale :::: รุ่นพี่คนนั้นชื่อ 'จิณณ์' [จบภาค P.7 ::: 9/3/60]  (อ่าน 35423 ครั้ง)

ออฟไลน์ MoonLovers

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 26
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-0
:L2: :L2: :L2: :L2: :L2: :L2: :L2: :L2: :L2:



ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะ ครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรัก ชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้าม แจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะ ปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของ แต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้าม จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิด เดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม


6.การ พูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอม ให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้าม ลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อ ขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ด นิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยาย ที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง

16.นิยาย เรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วน หรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมด ออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้าม แจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)

18.ใคร จะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17



เวปไซต์ แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่าง ประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม





:L2: :L2: :L2: :L2: :L2: :L2: :L2: :L2: :L2:


*หมายเหตุ*


-   นิยายเรื่องนี้ดัดแปลงมาจากแฟนฟิคชั่น (ฉบับปี 2006)
-       นิยายเรื่องนี้แต่งและแปลง(พร้อมเรียบเรียงใหม่)โดย Fanismz
-   เราได้ขออนุญาตผู้แต่งก่อนนำมาดัดแปลงและเผยแพร่ใน thaiboyslove เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
-   ไม่อนุญาตให้นำนิยายเรื่องนี้ไปโพสต์ที่อื่นไม่ว่ากรณีใดทั้งสิ้น



ไปอ้อนพี่แฟนให้แปลงเพราะอยากอ่านแบบไทยด้วยค่ะ
ถ้ามีคนอ่านชอบเหมือนกันจะมาอัพเดตเรื่อยๆ นะคะ
สำหรับเพื่อนๆ ที่ไม่โอเคกับนิยายแปลงก็ข้ามไปเนาะ เลือกอ่านได้ตามอัธยาศัยค่ะ
แถวนี้อาจมีคนเคยอ่านตำนานรักบันไดแดงเหมือนเรา เม้าท์มอยกันได้ค่ะ
ฝากติดตามเรื่องราวของคนที่สามกับน้องในบรรยากาศไท๊ยไทย ณ มหาวิทยาลัยแถวสยามด้วยนะคะ

ขอบคุณค่ะ

(( สี่ ))


 :L2:


Q : จะแปลงกี่เวอร์ชั่นค้าาาาา

A by สี่ : มีคนมาขอแปลงไปหลายเวอร์ชั่นมากค่ะ (แปลงอ่านกันเอง มีทั้งแบบมาขออนุญาต ทั้งแบบแอบทำกันเองแล้วโดนจับได้ ^^")  แต่ถ้านับเฉพาะที่พี่แฟน(ผู้แต่ง)เป็นคนแปลงและเรียบเรียงเองเวอร์ชั่นไทยนี้ถือว่าเป็นเวอร์ชั่นแรกค่ะ และกำลังจะมีอีกเวอร์ชั่นตามมาเร็วๆนี้ เพราะงั้นคงตอบไม่ได้ว่าจะมีทั้งหมดกี่เวอร์ชั่น ต้องดูว่าพี่แฟนจะใจอ่อนกับคู่ไหนบ้างอ่ะค่ะ ^^





Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 05-10-2017 23:16:05 โดย MoonLovers »

ออฟไลน์ MoonLovers

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 26
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-0

บทนำ   :L2:



อากาศครึ้มตั้งแต่เช้าเลยวันนี้ มองไปทางไหนก็หาแสงแดดไม่เจอทั้งที่ตอนนี้มันน่าจะเป็นช่วงที่แสงสวยที่สุดของวันช่วงหนึ่ง ผมนอนกะพริบตาอยู่บนเตียง อีกมุมหนึ่งของห้องมีร่างเจ้าน้องชายคนเล็กกำลังนอนแผ่หลาอย่างสบายอารมณ์ ก็แน่ล่ะซี วันนี้รัฐบาลประกาศว่าเป็นวันหยุด นักเรียนมอปลายอย่างเจ้านั่นจะเดือดร้อนอะไรล่ะ ก็มีแต่เด็กมหาลัยปีหนึ่งอย่างผมนี่แหละที่ต้องแหกตาตื่นตั้งแต่แปดโมงเช้าในวันอาทิตย์แบบนี้

แต่เอ...ทำไมอากาศตอนแปดโมงครึ่งมันถึงได้อุ่น ๆ ร้อน ๆ ชอบกล ทุกทีเวลาเปิดหน้าต่างเอาไว้แบบนี้ มันน่าจะเย็นสบายนี่นา เร็วเท่าความคิดและความสงสัยผมคว้ามือถือประจำตัวขึ้นมา เครื่องหมายกระดิ่งตัวน้อยที่โชว์หราอยู่หน้าจอทำเอาผมต้องลุกพรวดจากเตียงตัวเองทันที

“เวรแล้วคุณภัทร” ตั้งนาฬิกาปลุกแต่ดันลืมเปิดเสียง เจริญแล้วจ้าาา

“ไปแล้วนะคร้าบบ” เสียงของผมคงดังไปถึงห้องครัว แม่กำลังล้างจานหรือทำอะไรอยู่ก็ไม่รู้แต่พอได้ยินผมตะโกนบอกก็เดินแกมวิ่งออกมา บังคับให้ผมต้องกินข้าวก่อนออกไปข้างนอกเหมือนปกติ ถ้าเป็นทุกครั้งก็ใจอ่อนอยู่หรอกแต่วันนี้ไม่ได้แล้ว ถ้าผมสายอีกครั้งเพื่อน ๆ เล่นงานผมตายแน่

“ผมมีนัดทำรายงานกลุ่มครับแม่ตอนนี้ก็เกือบถึงเวลานัดแล้วด้วย”

“อ้าว วันนี้มันวันหยุดไม่ใช่หรือลูก แม่ก็นึกว่าพี่คุณไม่ออกไปไหนเลยไม่ได้ขึ้นไปปลุก”

“ไม่เป็นไรครับ ถ้ารีบหน่อยคงทัน ผมไปนะครับ” คว้าจักรยานคันเก่งออกมาได้ก็ปั่นสุดแรงเกิดขึ้นเนินลูกฟูกออกไปถนนใหญ่ โหย ถ้าเวลาที่ได้ปล่อยรถวิ่งลงมาจากเนินตอนกลับบ้านคือเวลาที่ผมชอบที่สุด เวลาที่ต้องปั่นขึ้นเนินแบบนี้ก็คือความรู้สึกที่ตรงข้ามกันสุด ๆ นั่นแหละ โคตรจะเหนื่อยเลยครับ

บ้านของผมอยู่ไม่ใกล้แต่ก็ไม่ไกลจากมหาวิทยาลัยแต่ถ้าจะปั่นไปให้ถึงเลยมันก็หนักหนาเอาการอยู่ ผมเลยมักเอาจักรยานไปจอดที่สถานีรถไฟฟ้าแล้วนั่งรถไฟฟ้าไปอีกต่อ วันไหนรถว่างก็ดีไปแต่ถ้าวันไหนรถแน่นขึ้นมาก็ทำเอาผมเซ็งได้เหมือนกัน

อย่างเช่นวันนี้

ผู้คนที่เบียดเสียดกันขึ้นมาคนแล้วคนเล่าทำให้ผมโดนดันไปติดประตูอีกด้านหนึ่งของคันรถ อีกสามสถานีจะถึงมหาวิทยาลัยแต่ผมรู้สึกถึงความซวยมาเยือนตั้งแต่เห็นไอ้พนักงานใส่สูทใส่แว่นคนหนึ่งมันมายืนหายใจรดต้นคออยู่ตรงหน้า อารมณ์ไม่อยากจะมองมันให้รกตาเลยหันข้างให้สิ้นเรื่อง

แต่ใครจะคิด!

ไอ้เวรนี่มันโรคจิตแค่ผมขยับนิดเดียวมันก็ถือโอกาสขยับตาม คราวนี้สยองยิ่งกว่าเดิม แม่งมันมายืนซ้อนหลังผมเลยทีเดียว เสียงหัวเราะของมันเหมือนจะสมใจที่ผมทำแบบนั้นหรือมันคิดว่าผมอ่อยวะ ไอ้จิตเสื่อม

“เอามือแกออกไปเดี๋ยวนี้” ผมขู่มันเสียงต่ำ ไอ้เหี้ยแม่งนอกจากจะไม่ฟังแล้วยังได้คืบจะเอาศอก มันเลื่อนฝ่ามือลามมาถึงด้านหน้า ผมกัดฟันกรอด พอกันทีกับความอดทนสำหรับวันนี้ อากาศอบอ้าว ตื่นก็สาย ข้าวเช้าก็ไม่ได้กิน อะไร ๆ ก็ไม่ดีตั้งแต่ลืมตาตื่นแล้วดันมาเจอเรื่องชวนอ้วกแบบนี้ ไม่มีเหตุผลที่ผมจะทนโปรดสัตว์อีกต่อไป

พลั่ก!

“ไอ้โรคจิต! ไอ้ขยะสังคม! เพราะมีคนแบบแกนี่แหละระดับความปลอดภัยของเมืองนี้มันก็ได้ดิ่งลง ๆ ลวนลามผู้ชายสนุกนักหรือไง จับอยู่ได้ แม่ง มันก็มีเหมือน ๆ กันนั่นแหละ อยากนักทำไมไม่จับของตัวเองล่ะวะ ทำแบบนี้คิดถึงหน้าบุพการีบ้างไหมเนี่ย ไหนขอดูหน้าชัด ๆ หน่อยซิ...”

ไอ้หมอนั่นเลิกจุกกับฤทธิ์ปลายศอกของผมได้แต่ก้มหน้างุด ๆ แหวกผู้คนออกไปอีกด้านหนึ่งอย่างรวดเร็ว โชคดีของมันที่รถจอดสถานีพอดี มันเลยแอบเนียนเดินออกไปตามคลื่นมนุษย์สูทที่ยังต้องมาทำงานในเช้าวันหยุด วีรกรรมของผมทำให้สายตาไม่ต่ำกว่าสิบคู่มองมายิ้ม ๆ และที่เหลือก็ตื่นตะลึงไปเรียบร้อย ถึงจะรู้ว่าพวกเค้าไม่ได้มีเจตนาร้ายแต่ผมก็รู้สึกอึดอัดไม่น้อยสุดท้ายเลยหันหลังให้เสียเลย

ภาพความเคลื่อนไหวต่าง ๆ นอกรถถูกบดบังจากสายตาของผมด้วยกำแพงมนุษย์เสียจนมิด เพราะหันมาเร็วและไม่ได้มองก่อนผมเลยไม่นึกว่าจะมีคนมายืนซ้อนหลังตัวเองอยู่ก่อนแล้ว หน้าผมซุกเข้ากับอกของใครก็ไม่รู้เข้าไปเต็มหลุม อย่าคิดว่าผมจะโชคดีชนอกนิ่ม ๆ ของพี่สาวจากออฟฟิศไหนเพราะไอ้แผงอกที่ทำเอาจมูกผมชาอยู่ตอนนี้น่ะมันทั้งล่ำทั้งแข็งอยู่ภายใต้เสื้อเชิ้ตสีขาวแถมเจ้าของมันยังสูงจนข่มความภาคภูมิใจของผมให้ลดลงมาเหลือแค่ระดับไหล่เท่านั้น

“อูยยยย อิเหี้ย เจ็บ”

“เป็นอะไรหรือเปล่า เจ็บมากไหม”

“ไม่ ไม่เป็นไร ขอบใจ” ผมตอบห้วน ๆ ถึงจะรู้ว่าตัวเองเป็นฝ่ายผิดแต่มันก็อดไม่ได้ที่จะขุ่นใจ เพราะอกแข็ง ๆ ของนายคนเดียวทำให้ฉันต้องเจอเรื่องซวยปิดท้ายแบบนี้ อ้อ ไม่ใช่ปิดท้ายแล้วล่ะเพราะก่อนจะถึงสถานีที่ผมต้องลงคลื่นมนุษย์ก็โถมเข้ามาอีกระลอกหนึ่ง

ตุบ!

ธัมโมสังโฆ คงไม่ต้องบอกว่าตอนนี้สภาพผมทุเรศแค่ไหน อยู่ดีไม่ว่าดีดันมายืนให้คนเบียดจนต้องไปซุกหน้ากับอกผู้ชายด้วยกัน แถมอีกฝ่ายยังให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี แขนล่ำ ๆ ของมันตะหวัดทีเดียวก็ดึงเอาผมเซเข้าไปติดประตูอีกด้าน ตัวเองก็โดนเบียดตามผมมาติด ๆ

เฮ้ย ทำแบบนี้ผมก็ขยับไปไหนไม่ได้น่ะสิ โดนล้อมซ้ายขวาด้วยอ้อมแขนผู้ชายแบบนี้ อึดอัดพิลึกเลยโว้ย

“นาย...ถอยไปหน่อยได้ไหม ฉันอึดอัด”

“โทษทีแต่คนมันแน่น ทนหน่อยก็แล้วกัน” ดูเอาเถิดพี่น้องผองไทย ขนาดตอนพูดยังไม่ต้องออกเสียงก็ได้ยิน ในเมื่อปากมันแทบจะแนบกับใบหูของผมอยู่แล้ว ผมครางออกมาเบา ๆ ร่ำร้องอีกครั้งเผื่อจะมีหวัง

“แต่ฉันหายใจไม่ออก จะไม่ไหวแล้วนะ”

“ผายปอดให้ไหมล่ะ”

“อี๋!” พูดเรื่องชวนขนลุกแล้วยังมาหัวเราะอีก เดี๋ยวกัดหูให้เลย ผมขยับตัวฮึดฮัดแต่ยิ่งทำแบบนั้นเหมือนยิ่งเอาตัวไปถูไถกับคนตรงหน้ามากขึ้น คราวนี้มันคงทนรำคาญผมไม่ไหว บีบเอวผมแรง ๆ ทีหนึ่ง เฮ้ย! แล้วมือข้างนั้นมันไปอยู่ที่เอวผมได้ไงวะ!

“อย่าจับนะ ไม่งั้นนายเจออย่างไอ้โรคจิตเมื่อกี้แน่”

“อยู่นิ่ง ๆ คนเยอะ อากาศมันเบาบาง ออกแรงมากเดี๋ยวก็วูบไปหรอก” นอกจากไม่กลัวผมขู่ มันยังยกเหตุผลที่ผมเถียงไม่ได้มาปิดทางผมเสีย ผมทำเสียงครางต่ำ ๆ บอกให้รู้ว่าไม่ชอบที่มันเอาหน้ามาใกล้กันเกินไป ปากผมจ่ออยู่ที่ซอกคออีกฝ่ายแถมเวลาขยับจะพูดแต่ละทีก็รู้สึกเหมือนตัวเองกำลังและเล็มไหปลาร้าเพื่อนชายอยู่ยังไงก็ไม่รู้

ฮือ แม่จ๋า พี่คุณกลายเป็นพวกชอบหาเศษหาเลยกับผู้ชายตัวโต ๆ โดยไม่ตั้งใจไปแล้ว

เสียงสัญญาณบอกให้รู้ว่าสถานีปลายทางของผมมาถึงบ้างแล้ว ผมยืดตัวมองผู้คนที่กำลังเบียดออกไปรอตรงประตูอีกฝั่งแล้วอยากร้องไห้ หมดหวังแน่คุณภัทร อยู่ติดประตูอีกฝั่งแบบนี้ต่อให้แรงผู้ชายอย่างผมก็ไม่มีทางเบียดออกไปได้แน่นอน

“จะลงสถานีนี้ใช่ไหม” เสียงทุ้ม ๆ ของหมอนั่นถามผมอยู่ข้างแก้ม วินาทีที่ผมหันไปมองมันในระยะประชิดนั้นประตูก็เปิดออก ผมกำลังคิดว่าไอ้หมอนี่ตาสวยเป็นบ้าผู้ชายคนหนึ่งก็เบียดมาจากด้านข้าง ผมกำลังจะตอบว่าใช่ จะลงสถานีนี้ ร่างของผมก็ถูกเบียดให้เข้าไปใกล้ไอ้คนที่กอดผมอยู่อย่างไม่ทันตั้งตัว ผมกำลังจะสบถออกมาก็ถูกเบียดเข้ามาอีกและคราวนี้มันให้ผลร้ายแรงกว่านั้น ไม่รู้ว่าเพราะแรงผลักดันหรือแรงดึงดูดห่าเหวอะไรกันแน่ที่มันทำให้ริมฝีปากของผมกับปากสีแดง ๆ ของหมอนั่นมาเจอกันแบบไม่ได้ตั้งใจ

ผมได้แต่อึ้ง พูดไม่ออก คุณพระ เมื่อกี้มันไม่ใช่เรื่องจริงใช่ไหมครับ มันเป็นแค่...แค่อะไรสักอย่างที่มันลวงตา อุปาทาน อุปมา อุปมัย อุปเหี้ยอะไรก็ได้แต่ต้อง ไม่ใช่จูบ!

ผมยังอึ้งอย่างต่อเนื่องแม้ว่าอีกคนจะกึ่งรั้งกึ่งลากผมออกมาจากรถขบวนนั้นได้สำเร็จ ตาผมมองไล่ตั้งแต่ขากางเกงยีนส์สีซีดขึ้นไปช้า ๆ เป็นครั้งแรกที่ได้เห็นหน้าอีกฝ่ายชัดแบบเต็มตา

ไม่ใช่แค่น้ำเสียงน่าฟัง

ไม่ใช่แค่ไหล่กว้างกล้ามแน่น

ไม่ได้มีตาสวยอย่างเดียว

แต่ทั้งเนื้อทั้งตัวของผู้ชายคนนี้แทบไม่มีที่ติเลยด้วยซ้ำ!














โปรดติดตามตอนต่อไป  :mew1:





« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 16-10-2016 22:48:31 โดย MoonLovers »

ออฟไลน์ 205arr

  • เราคงอยู่ไกลกันเป็นพันหมื่นลี้
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 748
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +35/-1
 :mc4: :mc4: :pig2:
ใครเอ่ยที่พาพี่คุณออกจากรถไฟฟ้า  :impress3:
 :pig4:

ออฟไลน์ MoonLovers

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 26
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-0

ตอนที่ ๑  :L2:



ผมจำไม่ได้ว่าพาตัวเองปลิวออกจากสถานีรถไฟฟ้าได้ยังไง นึกออกแต่ว่าในตอนนั้นสมองมันสั่งให้วิ่ง ๆ ๆ แล้วก็วิ่งออกมาให้เร็วที่สุด มารู้ตัวอีกทีผมก็ถลาเข้าไปหาเพื่อนที่กำลังนั่งรวมกลุ่มกันอยู่ตรงโต๊ะประจำ พวกมันคงเห็นความพยายามของผมจากสีหน้าประหนึ่งวิ่งสู้ฟัดมาเสียสิบสนามเลยยอมละเว้นความผิดในการมาเกือบสายครั้งนี้ให้แถมหนึ่งในสองยังใจดีเสียสละโค้กกระป๋องให้ผมจิบแก้เหนื่อยอีกต่างหาก เฮ้อ นับว่ารอดตัวจากการคาดโทษของท่านหัวหน้าไปอีกครั้ง

พอสติสตังเริ่มกลับมาหาตัวผมก็เริ่มมองหางานที่ตัวเองต้องรับผิดชอบ กระดาษรายงานเรียงกันอยู่ในแฟ้มใสตรงหน้า...ฝีมือวรินทรเช่นเคย เรียบร้อยแบบนี้ไม่มีใครอีกแล้วล่ะ

“อ้าว ไหงมีแต่ของเก่าล่ะวา ไหนว่าวันนี้จะทำให้เสร็จเลยไง ทำไมไม่มีอะไรสักอย่าง” ผมหมายถึงรายงานส่วนหลังที่เคยคุยกันไว้ ดูสิมีแต่โครงเรื่องกับเนื้อหาที่หากันไว้ลวก ๆ แล้วแบบนี้จะทำต่อได้ยังไง ผมเปิดดูจนหมดก็ได้ฤกษ์เงยหน้ามองวา

วาหรือวรินทรเพื่อนเลิฟที่ผมกำลังเผชิญหน้าด้วยเป็นผู้ชายเหมือนผมนี่แหละครับแต่พอดีหน้าตาผิวพรรณดีแถมยังมันสมองเป็นเลิศ ในจุดนี้วาเลยเหมือนเป็นมันสมองหลักของกลุ่มเราแถมพ่วงเป็นที่พึ่งพาให้พวกสมองน้อย ๆ อย่างนายคุณภัทร ปัทมวรกุลซึ่งก็คือผมอีกด้วย พอผมถามวาก็ทำหน้าแปลก ๆ จะว่ายิ้มก็ไม่เชิงมันเหมือนกระตุกปากมากกว่า

“อะไรอ่ะ?”

“นั่นมันส่วนของคุนนะพัดไม่ใช่หรือครับ คุนนะพัดมีหน้าที่ต้องไปหาหนังสืออีกห้าเล่มที่เหลือมาให้พวกกระผม จะลืมก็ไม่ว่าอ่ะนะแต่ไอ้ทำตาแป๋วแล้วมาถามเอากับกระผมเนี่ยมันน่าซัดแรง ๆ จังเลยครับ”

“เหยยยยยยยย” ผมลากเสียงยาวทำหน้าเหมือนแปลกใจสุดฤทธิ์สุดเดชทั้งที่ในหัวนั้นเริ่มนึกออกตามที่วาพูดแล้ว เหวย ๆ ผมลืมยืมหนังสือจากห้องสมุดคณะแล้วมันก็ต้องใช้วันนี้แล้ว

“งั้นรอเดี๋ยว เดี๋ยวไปยืมมาให้ โทษที ๆ” ผมตั้งท่าว่าจะวิ่งออกจากตรงนั้นแต่มือนุ่ม ๆ ของอีกหนึ่งเพื่อนสนิทก็ฉุดแขนผมไว้เสียก่อน ไอ้ผู้ชายหน้าคมหวานที่ชื่อบุรินทร์มันยิ้มตาหยีแล้วก็บอกผมว่า “วันนี้วันหยุดห้องสมุดคณะเราปิด”

แม่เจ้า! ความซวยมาเยือนแล้วเป็นไง ผมหันไปยิ้มแหย ๆ กับวา รายนี้เลยใช้แฟ้มฟาดหัวผมเป็นการลงโทษหนึ่งที

“นึกแล้วเชียว ไปกัน” เจ้าเพื่อนรักทั้งสองเหมือนจะเข้าใจการเปลี่ยนเรื่องที่รวดเร็วราวสายฟ้าของวา มีแต่ผมที่ยังนั่งคลำหน้าผากป้อย ยังเจ็บไม่หายก็จะให้ไปไหนอีกล่ะ

“ลุกสิคุณ ห้องสมุดสถาปัตย์มันจะปิดตอนเที่ยงนะ ช้าเดี๋ยวก็พลาดอีกหรอก”

วาเก็บของเรียบร้อยแล้ว รอให้บุรินทร์เอาขยะไปทิ้งกลับมาก็เดินนำพวกผมมุ่งตรงไปยังตึกสีน้ำตาลรูปทรงแปลกตาที่อยู่ติดอีกด้านของลานกว้างที่พวกเรานั่งอยู่ จะว่าไปผมก็ไม่เคยเข้ามาคณะนี้เลยตั้งแต่เข้ามาเรียนที่นี่ ดูอะไร ๆ มันก็แปลกตาไปเสียหมด คณะนี้ส่วนใหญ่มีแต่ผู้ชายเรียนมองไปทางไหนก็เจอแต่กล้ามล่ำ ๆ กับขนหน้าแข้ง น่าเบื่อพิลึก ผิดกับคณะของพวกเราที่ส่วนใหญ่แล้วจะมีแต่ผู้หญิง เรียนไปก็มองภาพสวย ๆ งาม ๆ ไป ชื่นใจพี่คุณดีแท้

“ถ้าฉันมาคนเดียวต้องหลงแน่เลย ห้องสมุดหรือเขาวงกตวะถามจริง” ผมกระซิบบอกบุรินทร์ที่เปิดประตูรออยู่ เจ้านั่นหัวเราะในลำคอโน้มหน้าหวานปานจะหยดมากระซิบตอบผมว่า “เดิน ๆ ไประวังเจอยักษ์แอบอยู่ในซอกนะ เดี๋ยวมันนึกว่านายเป็นเด็กหลงมา เผลอจับนายกินเข้าไปน่าสงสารพวกมันแย่เลย” เหอะ พูดอะไรดูตัวเองซะก่อนเถอะบุรินทร์ หน้าตาอย่างนายนั่นแหละสมควรระวังเสือสิงห์กระทิงป่าแถวนี้มันเล็งเอา

“เพื่อนเลว ฉันจะมาครั้งนี้ครั้งเดียวเท่านั้นแหละ คณะอะไรมีแต่ผู้ชาย แห้งแล้งชะมัด”

“นายมาที่นี่ครั้งที่สองแล้ว คราวที่แล้วเรามาด้วยกัน จำไม่ได้แล้วหรือ”

“เมื่อไหร่” บุรินทร์บอกว่าตั้งแต่ต้นเทอมที่แล้ว ตอนนั้นพวกผมลงวิชาเลือกเป็นวาดรูปเลยต้องมาหาซื้อพวกสีและอุปกรณ์อื่น ๆ ที่สหกรณ์คณะนี้เหตุผลเพราะว่ามันถูกกว่าซื้อข้างนอก ผมฟังแล้วก็อือออตาม จริงอย่างที่บุรินทร์พูดนั่นแหละ ผมเคยมาคณะนี้แต่มันมาในช่วงรีบเร่งแถมยังเป็นช่วงที่เข้ามาเรียนใหม่ ๆ อะไร ๆ มันก็เลยดูเลือนรางไปหมด จำได้ว่าตอนกลับออกมายังพลัดหลงกับบุรินทร์อีกต่างหาก

พอผ่านมาถึงห้องโถงส่วนล่างของห้องสมุด ผมก็ได้แต่แหงนคอตั้งมองนั่นมองนี่อย่างตื่นตาตื่นใจ เออเนาะ ก็เพิ่งเข้าใจตอนนี้เอง ผู้ชายคณะนี้มันอาภัพตรงที่ไม่มีสาว ๆ ให้มองมากแต่มันก็มีที่สิงสถิตที่สวยงามอลังการเข้ามาแทน บุรินทร์บอกผมว่าหอสมุดของคณะนี้สร้างโดยเหล่าอาจารย์และนิสิตที่ได้รับการคัดเลือกตั้งแต่ปีสามขึ้นไปถึงปีห้า ผลงานจากสมองของคนในล้วน ๆ ก็สมควรที่คนพวกนี้จะภาคภูมิใจอยู่หรอก

“ทางนี้ เราต้องแลกบัตรก่อน” บุรินทร์บอกก่อนจะหันมาลากผมตามไปทางเคาน์เตอร์มุมในของห้องโถง เพราะพวกผมเป็นนิสิตต่างคณะเวลาจะมาใช้สมบัติของคนอื่นก็ต้องมีการแลกบัตรผู้มาเยือนเป็นหลักฐานเอาไว้ก่อน แลกบัตรเสร็จผมก็ถูกบุรินทร์จูงตามวาขึ้นบันไดวนไปจนถึงชั้นสาม เล่นเอาผมเหนื่อยจนลิ้นห้อยคราวนี้ผมจะไม่มีทางลืมเลยว่าครั้งหนึ่งในชีวิตหนุ่ม ผมได้เคยมาปีนบันไดวนของสถาปัตย์มาแล้ว

“เร็ว ๆ สิคุณ เหลือเวลาอีกไม่มากแล้วนะ”

“ไปก่อนได้เลย” ผมร้องบอกวาทั้งที่ยังไม่ยอมเงยหน้าจากไหล่บุรินทร์ เพื่อนที่แสนดีของผมหัวเราะจนอกสั่นแต่ยังใจดีหยุดรอให้ผมได้หายใจหายคอ บุรินทร์บอกให้วาล่วงหน้าไปเลือกหนังสือก่อนตัวเองก็หันมาสนใจอาการหอบของผมต่อ

“เป็นไงมั่ง อีกชั้นเดียวเองไหวไหม”

“ไหว แต่ขอพักก่อน นั่งตรงนี้จะมีใครว่าไหมอ่ะ” ผมบุ้ยปากใส่ขั้นบันไดที่ปูพรมสีเลือดใต้ฝ่าเท้าเราสองคน บุรินทร์มองซ้ายมองขวาแล้วก็ยักไหล่

“ไม่ว่าหรอกมั้ง ถ้ามันขวางทางคนอื่น เค้าคงถีบลงไปเองแหละ”

“ถ้าเจออย่างนั้นขอกลิ้งลงนุ่ม ๆ ละกันจะลงไปนอนรอข้างล่าง ไม่ไหวแล้ว ทำไมเค้าไม่รู้จักสร้างลิฟต์เอาไว้ให้นิสิตใช้บ้างวะ ปีนป่ายอย่างนี้ทุกวันกระดูกข้อได้เสื่อมกันพอดี” ผมทรุดตัวลงนั่งชิดริมด้านหนึ่งของบันไดบุรินทร์เองก็นั่งสูงไปขั้นหนึ่ง ผมเลยได้ทีแอบขยับเข้าไปชิด ยึดเอาอกของอีกคนเป็นที่พึ่งพิงยามยากเสียเลย

“มันจะทำให้เสียทัศนียภาพของหอสมุดน่ะสิ”

“ก็สร้างแอบไปตรงไหนก็ได้นี่นา เดินขึ้นลงกันแบบนี้เหนื่อยตาย”

“ก็ไม่เห็นมีใครเหนื่อยตายเพราะปีนบันไดสักคน ฉันเองก็มาบ่อย ๆ ขึ้นลงจนชินแล้วล่ะ นายนั่นแหละชวนมาทีไรไม่ยอมมา ชอบหนีไปร้องคาราโอเกะกับพวกผู้หญิงทุกที” ผมยิ้มบาง ๆ

“นั่นมันก็เป็นเรื่องจำเป็น ว่าแต่ นายมาทำไมบ่อย ๆ วะ”

“มาส่งวาน่ะ เพื่อนวาเรียนคณะนี้” คนหน้าหวานว่าเสียงนุ่ม ลูบผมตรงข้างแก้มให้ผมอย่างเบามือ ผมชอบบุรินทร์ตรงนี้แหละ นิ่ง ๆ เงียบ ๆ จะสวยจะเท่ก็ทำได้หมด ชอบทำมากกว่าพูดแถมขออะไรไม่เคยไม่ให้ ใจดีไม่เคยดุผมอย่างวาเลยสักครั้ง หน้าตาก็ดีหุ่นก็ดีแถมบ้านรวย เพราะแบบนี้ด้วยล่ะมั้งเพื่อนของผมเลยป็อปทั้งในหมู่ผู้ชายผู้หญิงน่ะ

“อ้อ คนที่อยู่บ้านใกล้ ๆ กันใช่ไหม เคยเห็นสองสามครั้ง หน้าตาดุได้ใจเลยล่ะ”

“ไปว่าเค้าอีก หายเหนื่อยหรือยัง”

“อีกนิดนึงงงง นั่งตรงนี้กำลังสบายเลย” ถึงคราวที่ต้องใช้ลูกอ้อน ต้องแบบนี้แหละครับ อยู่กับวากับบุรินทร์บางทีก็ให้ความรู้สึกเหมือนอยู่กับพี่ชายหรือไม่ก็พี่สาว อยากเกเรขึ้นมาเมื่อไหร่ก็อ้อนเอา แล้วถ้าผมซุกหน้าคลอเคลียเข้าหาเมื่อไหร่ทั้งสองคนก็ไม่มีใครใจแข็งได้ร๊อก

“แหงสิ นายพิงฉันอยู่นี่ สบายอยู่คนเดียว”

นั่นไง บุรินทร์นี่ใจดีที่สุดในโลกเลย

“เคยได้ยินตำนานของบันไดแดงไหมคุณ?”

ผมส่ายหน้าตอบ บันไดแดงที่บุรินทร์กำลังพูดถึงหมายถึงบันไดที่พวกผมกำลังนั่งกันอยู่นี่ล่ะ ว่ากันว่าเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของนิสิตทั้งมหาวิทยาลัย แต่นิสิตหนุ่มเนื้อหอมอย่างพี่คุณที่ไม่ค่อยมีเวลาสนใจเรื่องพวกนี้เลยไม่ค่อยจะมีความรู้เท่าไหร่ว่าเค้ามีตำนานกันว่าอย่างไรบ้าง

“เค้าว่ากันว่าใครก็ตามที่สะดุด ด้วยความไม่ตั้งใจนะ ที่บันไดนี้จะมีแฟนในคณะสถาปัตย์ล่ะ ส่วนใครก็ตามที่ได้จูบกับคนที่ชอบตรงนี้ ในเวลาที่เหมาะสม เค้าว่าคนคู่นั้นจะรักกันไม่มีวันเสื่อมคลาย”

“เหรอ” ผมครางรับ นับเป็นครั้งแรกที่เคยได้ยินตำนานโรแมนติกขนาดนี้ ไม่น่าเชื่อว่าคณะที่มีแต่ทโมนห้าร้อยจำพวกจะมีเรื่องน่ารัก ๆ อยู่เหมือนกัน แต่ก็นั่นแหละ มันแค่ตำนานแล้วแต่ว่าใครจะเชื่อหรือไม่เชื่อ

ถ้าผมไม่เชื่อก็ไม่ใช่เรื่องผิดเหมือนกัน

“แล้วนายเชื่อเรื่องนี้ไหมล่ะ” ผมหันไปมองหน้าสวยของเพื่อนรัก เห็นแก้มเนียนของเจ้านั่นแดงเรื่อขึ้นพร้อมกับดวงตาเรียวสวยที่เบือนมองไปทางอื่นแค่นั้นก็ฟังธงได้ฉับ ล้านเปอร์เซ็นต์ เผลอ ๆ เจ้านี่จะเคยพาใครบางคนมาพิสูจน์แล้วด้วยซ้ำ

“ฮั่นแน่ เคยลองแล้วล่ะสิ” ผมหรี่ตามองหน้าแดง ๆ ของอีกฝ่าย เจ้านั่นจิ๊ปากพลางทำตาดุใส่แต่เรื่องอะไรจะกลัว ผมขยับเข้าชิดยื่นหน้าเข้าใกล้เพราะอยากมองหน้าเขิน ๆ ของเพื่อนรักให้เต็มตา ชัดช่า บุรินทร์แอบมีกิ๊กซ่อนไว้ เรื่องนี้ต้องขยายให้วารู้ซะแล้ว “แอบมีแฟนแล้วไม่บอกเพื่อนใช่ไหม ใครวะ ในคณะเราหรือเปล่า”

“ไม่ใช่แฟนโว้ย ไม่มีอะไรทั้งนั้นด้วย ลุก ๆ ๆ ไปได้แล้วเดี๋ยวห้องสมุดปิด” เมื่ออีกฝ่ายไม่ต้องการบอกถึงจะอยากรู้แค่ไหนแต่ผมไม่อยากทำตัวเหมือนผู้หญิงที่ต้องคอยเซ้าซี้ถาม เรื่องแบบนี้รอให้เจ้าตัวเค้าพูดคงจะเหมาะกว่า แต่ถึงอย่างนั้นมันก็อดที่จะแซวไม่ได้

“เขินแล้วเปลี่ยนประเด็นเลย ไม่บอกก็ได้ เดี๋ยวไปสืบเอง”

ร่างสูงโปร่งของบุรินทร์ลุกขึ้นรออยู่แล้วตอนที่ดึงผมให้ลุกตาม พวกเรากำลังปัดเผ้าปัดผมให้เรียบร้อยเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าของใครบางคนย่ำขึ้นมาจากบันไดวนช้า ๆ บุรินทร์ยังมีใจเอื้อมมือมาปัดผมยุ่ง ๆ ให้ ส่วนผมก็สลัดแข้งขาเตรียมจะฝ่าฟันเส้นทางทรหดต่อ

ตึก

ตึก

ตึก

เจ้าของเสียงฝีเท้านั้นกำลังโผล่มาจากบันไดวนขั้นต่ำลงไป บุรินทร์เดินล่วงหน้าไปได้สองสามก้าว คนคนนั้นก็ใกล้เข้ามาอีก ผมอดไม่ได้ที่จะหันไปมองอย่างสงสัย เขาเดินมาในระยะเท่า ๆ กันกับผมแต่เสียงรองเท้าที่เหยียบลงบนพื้นพรมนั้นมันยังหนักแน่นและสม่ำเสมอเหมือนไม่ได้รู้สึกถึงระยะทางที่แสนไกลนี้เลย

ทำได้ยังไงกันนะ

แค่ไม่กี่ก้าวที่ผมปล่อยให้บุรินทร์เดินนำไปก่อน ตัวเองหันกลับไปมองด้านหลัง ผู้ชายตัวสูงกับเสื้อเชิ้ตสีขาวสะอาดตาและกางเกงยีนส์สีซีด ไม่ต้องสงสัยเลยงานนี้ ผู้ชายที่ทำให้ผมติดใจได้เพียงแค่เสียงฝีเท้าคือคนเดียวกันกับไอ้หน้าหล่อบนรถไฟเมื่อเช้า ตัวสูง หน้าคม ผิวขาว ดูดีแม้ว่ากำลังอยู่ในชุดลำลองสบาย ๆ แต่อะไรก็ไม่กระแทกตาผมเท่าปากสีแดงเหมือนเลือดของหมอนั่น เจอที่ไหนก็ไม่มีวันลืม

   โลกกลมของแท้เลยคุณ

   หมอนั่นเงยหน้ามองมาพอดีกับจังหวะที่ผมสั่งตัวเองให้รีบตามบุรินทร์ไปได้สำเร็จ แต่เพราะอารมณ์รีบร้อนทำให้ไม่ทันระวัง รองเท้าผ้าใบของผมจึงไปสะดุดเอากับบันไดขั้นหนึ่ง

“เฮ้ย!”

   “คุณ!”

   คุณเคยตกใจไหม เวลาที่รู้สึกแบบนั้นขึ้นมาเมื่อไหร่มันเหมือนมีกระแสไฟฟ้าอ่อน ๆ แล่นผ่าเข้ากลางแสกหน้าแล้วก็ลามไปทั่วร่าง เรี่ยวแรงที่เคยมีมันก็พาลเหือดหายไปเสียหมด ผมเซเสียหลักพร้อมเสียงดังก้องของบุรินทร์ ชั่วขณะที่คิดว่าร่างของตัวเองกำลังหงายหลังลงมาจากบันไดสูง ผมรู้สึกถึงแรงกระแทกจากด้านหลังแบบไม่เบานัก ก่อนที่ตัวผมจะถูกแรงมหาศาลเหวี่ยงแกมรั้งให้กลับมาอยู่จุดเดิม

   แขนขาวจัดของผู้ชายคนนั้นยังโอบอยู่รอบเอวผม หน้าผมก็ยังซุกอยู่กับอกกว้าง ขณะที่แขนข้างหนึ่งถูกบุรินทร์รั้งไว้แน่น เพื่อนตัวโตถลาลงมาถึงตัวผมหลังจากที่ไอ้หน้าหล่อรับร่างผมไว้ ภาพของผมตอนนี้คือถูกผู้ชายคนหนึ่งกอดไว้ทั้งตัวและมีผู้ชายอีกคนหนึ่งจับข้อมือไว้แน่น!

หัวใจผมเต้นแรง

แรงจนเจ็บ

ลมหายใจหอบหนักเพราะความตกใจ

“คุณ...เมื่อกี้นาย...นายสะดุดใช่ไหม?” ผมหันไปมองคนถามงง ๆ สมองยังปรับความคิดไม่ทันแต่ก็ยังมีใจพยักหน้าตอบบุรินทร์ไปตามตรง ก็จริงนี่ ผมจะตกบันไดเพราะเซ่อซ่าไปสะดุดทางเดินเข้า ไม่ตกลงไปหัวแตกมันก็บุญโขแล้ว แล้วทำไม ไอ้ตี๋มันต้องทำหน้าตกใจแบบนั้นด้วย!

“ไม่เป็นไรใช่ไหม?” เสียงนุ่มหูดังมาจากริมฝีปากที่จ่อกับขมับของผม ไม่มีอารมณ์ใดในน้ำเสียงนั้นนอกจากความห่วงใยจาง ๆ ที่ผมพอจะสัมผัสได้ เจ้าของเสียงละมือออกจากตัวผมถอยไปยืนมองเงียบ ๆ เมื่อเห็นว่าผมยังยืนอึ้งไม่พูดไม่จาหมอนั่นก็ยิ้มให้

ช่างเป็นยิ้มที่ให้ความรู้สึกดีอะไรแบบนี้ เหมือนเวลาเรายืนอยู่ท่ามกลางทุ่งหญ้ากว้างสุดลูกหูลูกตาในช่วงฤดูฝนยังไงยังงั้นเลย ไม่ได้พูดเกินไปนะ แต่ผมเป็นแบบนั้นจริง ๆ ผู้มีพระคุณของผมให้ความรู้สึกสดชื่นปนความอ่อนโยนแบบที่หาได้ยากจากผู้ชายทั่วไปในท้องตลาดบ้านเรา แลคงจะดีกว่านี้ ถ้าไม่มีการกวนโอ๊ยแบบที่ผ่านมา

“ขอบใจ” ผมบอกเสียงเบาพอกับการกระซิบเจ้านั่นก็ยิ่งยิ้มกว้าง

“เจอกันสองครั้งก็มีเรื่องให้ฉันต้องหิ้วนายทั้งสองครั้ง ครั้งที่สามจะเป็นอะไรนะ” นั่นไง คิดยังไม่ทันจบก็เอาอีกละ ผมไม่น่าหลงไปกับหน้าตาหล่อ ๆ นั่นเลย อุตส่าห์คิดว่าเป็นคนดีมีน้ำใจ ช่วยเราเอาไว้ตั้งแต่ตอนเช้ายันบ่าย มาพูดแบบนี้กะจะไม่ให้ประทับใจกันเลยมั้ง

“ขอบใจ ถ้ามันมีครั้งที่สามอีกนายก็ปล่อยฉันไปตามบุญตามกรรมแล้วกัน” ผมบอกออกไปอย่างนั้นแล้วก็เดินขึ้นบันไดทีละสองขั้นเหมือนเมื่อครู่ไม่ได้เหนื่อยแทบขาดใจอย่างนั้น บุรินทร์ยังไม่ตามมา ผมได้ยินเสียงเจ้านั่นคุยอะไรกับฝ่ายนั้นแว่ว ๆ ก็ไม่รู้ ไม่อยากจะสนใจ ตอนนี้คิดอย่างเดียวว่าไม่อยากเสียเวลาอยู่ตรงนั้นอีกแม้แต่วินาทีเดียว

ไม่รู้เป็นอะไร อยู่ใกล้หมอนั่นสองครั้งทำให้ความมั่นใจในตัวเองของผมถดถอยลงทุกครั้ง ไม่ดีหรอกแบบนี้ ผมไม่ชอบ ไม่สบายใจที่มันจะเป็นแบบนั้นด้วย

พวกเราใช้เวลาสองชั่วโมงที่เหลือก่อนห้องสมุดคณะสถาปัตย์ปิดค้นหาหนังสือที่ต้องการ แต่ก็เหมือนฟ้าแกล้ง หนังสือรายการที่พวกผมต้องใช้มีนิสิตมายืมไปจนหมดก่อนหน้านี้เพียงวันเดียวและกว่าจะถึงกำหนดคืนก็อีกสองอาทิตย์ต่อไป วาเดาว่ากลุ่มที่ยืมไปคงเป็นเพื่อน ๆ จากคณะของพวกเราเอง พอรู้อย่างนี้ผมก็ยิ่งเซ็งจัด อุตส่าห์ถ่อสังขารขึ้นบันไดเสี่ยงตายขึ้นมาจนถึงชั้นสามของตึกแต่กลับไม่ได้สิ่งที่ตั้งใจไว้ อะไรก็ไม่สำคัญเท่าพวกผมจะไม่มีหนังสือไปทำรายงานส่งอาจารย์ให้ทันกำหนดในอาทิตย์หน้าน่ะสิ

   ผมทำหน้าม่อยเข้าไปคลอเคลียวาแบบรู้ตัว เป็นเพราะผมลืมยืมหนังสือตั้งแต่เมื่อวันศุกร์เลยทำให้งานของเพื่อนต้องเสียไปด้วย รู้สึกแย่ชะมัดเลย

   “ขอโทษนะวา เพราะฉันคนเดียวเลยงานนี้ อย่าโกรธเลยนะ”

   “ไม่ได้โกรธแค่กำลังคิดว่าจะทำยังไงดี” วาตอบเสียงแผ่ว ตามองอยู่ที่ปลายนิ้วเหมือนทุกครั้งที่เค้ากำลังใช้ความคิด

   “เราไปยืมคณะอื่นได้ไหม มันน่าจะมีเหมือน ๆ กันไม่ก็ซื้อเลย ร้านหนังสือแถวนี้ก็มีเยอะ”

   “ไม่ซื้อ หนังสือตั้งห้าหกเล่มแถมยังเป็นภาษาอังกฤษ ขืนใจกล้าซื้อได้เปลืองเงินตายชัก ถ้าจะไปยืมคณะอื่นมันก็ไม่มีให้หรอก ฉันเช็คมาแล้ว มันมีแค่ที่คณะเรากับสถาปัตย์เท่านั้น ที่ไหนมันจะเรียนวรรณคดีกับทัศนศิลป์อีกล่ะ นอกจากสองคณะนี้” พอได้ยินชื่อวิชาที่วาย้ำมาอีกครั้ง บวกกับชื่อคณะที่มันแวบขึ้นมาพร้อมกัน ความจำของผมก็เหมือนจะถูกฟื้นขึ้นมาทันทีและเหมือนบุรินทร์เองก็คิดเหมือนกันกับผม

   “พวก’ถาปัตย์” เจ้าตี๋พูดขึ้นลอย ๆ มองหน้าผมแล้วก็ยิ้ม

   “ใช่แล้ววา พวกปีหนึ่ง’ถาปัตย์ก็ต้องเรียนตัวนี้เหมือนกันนี่ ทำไมเราไม่ขอยืมเค้าล่ะ”

   “เค้าก็ต้องใช้ของเค้าไม่ใช่หรือ” วาย้อนถามเหมือนไม่แน่ใจ กระนั้นความหวังอันน้อยนิดของพวกเราก็สว่างวาบขึ้นมาพร้อม ๆ กัน บุรินทร์เลยเสนอทางเลือกใหม่ล่าสุดให้

   “ถ้าปีหนึ่งมันใช้ ทำไมไม่ลองถามพวกพี่ปีสูง ๆ ดูล่ะ เผื่อจะมีใครเก็บไว้”

   “อืม ก็นะ ลองถามกันดู แต่ไม่รับปากนะว่าจะได้ ขอโทรถามดูก่อน” พูดไม่ทันจบวาก็เลี่ยงออกไปทางหนึ่ง ก็ไปคุยโทรศัพท์นั่นแหละแต่ทำไมต้องทำท่ากระซิบกระซาบแบบนั้นด้วยก็ไม่รู้ ทิ้งให้ผมเท้าคางมองหน้ากับบุรินทร์อยู่ที่โต๊ะกันแค่สองคน

   “นายว่าเค้าจะมีให้เรายืมไหม”

   “ไม่รู้สิ ว่าแต่ ตอนที่สะดุดน่ะไม่ได้เจ็บตรงไหนอีกใช่ไหม” เพื่อนเลิฟเปลี่ยนเรื่องเร็วเสียจนผมแทบตามไม่ทัน พอบุรินทร์ทักผมก็ก้มลงคลำข้อเท้าโดยอัตโนมัติ ตอนแรกไม่ได้รู้สึกว่ามันจะเจ็บหรอกแต่พอเพื่อนทักแบบนี้มันก็ชักจะแปลบ ๆ ขึ้นมาเหมือนกันแฮะ แหมโรคสำออยนี่มันไม่เข้าใครออกใครจริง ๆ

   “ไม่เป็นอะไรหรอกมั้ง แค่ขัด ๆ นิดหน่อย”

   “ขอดูหน่อยซิ เผื่อไว้ก่อน เกิดเอ็นพลิกข้อเท้าอักเสบขึ้นมาจะแย่เอา” ผมยื่นเท้าออกไปพาดม้านั่งตัวที่เจ้าบุรินทร์นั่งอยู่ เจ้านั่นอาศัยความรู้รอบตัวที่เติบโตมาในครอบครัวคุณหมอทั้งบ้าน จับ ๆ นวด ๆ ข้อเท้าผมเดี๋ยวเดียวก็พยักหน้าให้ รายงานอาการด้วยประโยคเดียวกับผมเด๊ะ

   “ไม่เป็นไรหรอกมั้ง”

   “อ้าว บุรินทร์ ไหงกวนกันหน้าซื่อ ๆ งี้ล่ะจ๊ะ” เจ้านั่นผลักผมจนหน้าหงาย

   “ไม่ได้กวน มันไม่เป็นไรจริง ๆ คราวหลังก็ระวังหน่อยละกัน เฮ้อ นายนี่มันสุดยอดของความเบ๊อะจริง ๆ สะดุดที่ไหนไม่สะดุดดันไปสะดุดบันไดแดง”

“แล้วทำไม?”

“ก็สะดุดไปแบบนั้นนายไม่คิดว่ามันจะเป็นอย่างในตำนานที่เค้าเล่ากันมาบ้างหรือ”

   “ตำนาน? ตำนานอะไรวะ?...อ๋อ...” เออนะ ผมลืมเรื่องนั้นไปเสียสนิทเลย แหม ก็เมื่อกี้ผมตกใจเสียจนขวัญหายไปเยอะ อะไรที่มันฟังผ่าน ๆ หูไปเลยไม่ได้ติดในใจ พอบุรินทร์มาพูดถึงโดยไม่ย้ำกันก่อนแบบนี้ผมก็งงสิครับ

   “ไอ้ตำนานเนื้อคู่อะไรของนายนั่นน่ะหรือ”

   “ใช่ มองใครในคณะนั้นไว้หรือยังล่ะ อุตส่าห์ได้สะดุดทั้งที” เหวย ๆ ได้ทีปุ๊บ มันประชดปั๊บเลยโว้ย ผมยันเท้าที่พาดไว้กับต้นขามันไปพอรู้สึก

   “เพื่อนเลว แค่เรื่องเล่าต่อ ๆ กันมา ไม่ต้องดึงฉันเข้าไปเกี่ยวด้วยเลย”

   “ทำเป็นพูดไป เรื่องแบบนี้ไม่เชื่อเค้าห้ามลบหลู่”

   “ยืนยันมั่นใจแบบนี้ แสดงว่าเคยพิสูจน์มาเรียบร้อยแล้วล่ะสิ” ผมหัวเราะเสียงก้องเมื่อเห็นเจ้าเพื่อนสนิทมันตวัดตามองมาเหมือนจะค้อน ไม่รู้ว่าเพราะถูกแทงเข้าใจดำหรือเป็นเพราะมันระอาที่จะต่อปากต่อคำกับคนที่ไร้ความเชื่อเรื่องพรหมลิขิตแบบผม บุรินทร์เลยปิดประเด็นนี้แบบไม่มีการซักไซ้ให้ยืดยาวกันอีก

   “ได้เรื่องว่าไงมั่ง” ความจริงแล้วได้เห็นรอยยิ้มของวาผมก็พอเดาได้แล้วล่ะว่าข่าวเรื่องหนังสือของพวกเราคงเป็นบวกมากกว่าลบ เมื่อวายักคิ้วให้ก็เป็นอันว่าทุกอย่างเรียบร้อย

   “แต่พี่พีร์มีแค่สองสามเล่มนะ เค้าเลยลองขอยืมเพื่อนในกลุ่มให้ก็โอเค ได้มาเพิ่ม รู้สึกเหมือนจะมีเล่มอื่น ๆ ที่พอจะใช้เสริมเนื้อหารายงานของเราได้ด้วย หมดห่วงเรื่องหนังสือได้แล้ว”

   “ไชโย วาเก่งที่สุดเลย” ผมร้องออกมาอย่างโล่งใจ โผเข้ากอดรัดวาอย่างซาบซึ้ง การมีเพื่อนประเสริฐมันดีแบบนี้เอง วาที่ทั้งหน้าตาดี ทั้งฉลาด ติวก็เก่ง ลายมือก็อ่านง่ายแถมยังช่วยแก้ปัญหาให้ตลอด ผมจะไปหาเพื่อนที่ดีแบบนี้ได้จากที่ไหนอีก

“ไม่ต้องมาประจบเลยคุณภัทร โทษฐานที่นายทำให้พวกเราเสียเวลารวบรวมข้อมูลไปครึ่งวัน นายจะต้องไปเอาหนังสือเล่มที่เหลือมาจากเพื่อนของพี่พีร์แล้วสรุปเนื้อหาส่วนที่สองของรายงานมาให้ฉันก่อนวันศุกร์หน้าโดยไม่มีข้อโต้แย้งใด ๆ ทั้งสิ้น มีปัญหาอะไรไหม?”

“จะมีปัญหาอะไรได้” เสียงเพื่อนเลิฟนามว่าบุรินทร์ซ้ำเติมแว่ว ๆ อยู่ข้างหู ผมได้แต่ครางอยู่ในอก โหย ขู่ทั้งเสียงข่มทั้งตาแบบนี้ใครจะกล้ามีปัญหากับวากันเล่า ผมทำปากยื่น แอบบ่นพึมพำพอเป็นพิธีแล้วก็ต้องยอมรับการลงโทษของวาอย่างไม่มีทางหลีกเลี่ยง ส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะผมรู้ดีว่าตัวเองเป็นสาเหตุที่ทำให้งานกลุ่มล่าช้า การแสดงความรับผิดชอบในส่วนนี้ก็นับว่าเหมาะสมแล้ว

“ฉันต้องไปเอาหนังสือได้ที่ไหนล่ะ” พอผมถามออกไปวาก็ส่งกระดาษที่มีหมายเลขโทรศัพท์มือถือเด่นหรามาให้ สงสัยเป็นเบอร์ที่เจ้าตัวได้มาจากเพื่อนพี่ที่ชื่อพีร์คนนั้นเหมือนกันละมั้ง

“เบอร์เพื่อนพี่พีร์ นายโทรไปขอนัดเวลากับเค้าเองก็แล้วกันนะ พี่เค้าใจดีไม่กัดหรอก”

“คนนี้หรือที่บอกว่ามีหนังสือให้เรายืมน่ะ” วายักคิ้ว

“ใช่ ปีห้าเหมือนพี่พีร์นั่นแหละ เก่งทั้งภาคทฤษฏีภาคปฏิบัติเลยบอกให้”

“พวกหนอนหนังสือ แว่นหนาเตอะ เชิ้ตลายหมากรุก ติดกระดุมถึงคอแน่เลย” บุรินทร์หัวเราะพรืดแทบสำลักชาเขียวใส่หน้าผม โชคดีที่หลบทัน ไม่งั้นคงได้ติดโรคชอบสมน้ำหน้าคนจากเจ้านั่นเป็นแน่ เราสองคนหัวเราะอย่างขัน ๆ แต่วาดันไม่ขำตาม

“เจอตัวจริงแล้วค่อยมาวิจารณ์ ถึงตอนนั้นฉันจะยอมนั่งฟัง”

“ได้ แล้วจะให้โทรไปหาคนที่ชื่ออะไรล่ะ เจ้าของเบอร์นี้น่ะ” ผมหัวเราะลงคอ กรีดกระดาษแผ่นเล็กเล่นขณะที่กำลังบันทึกเบอร์ไว้ในมือถือของตัวเอง กับผู้มีพระคุณคนนี้กะจะให้เป็นเบอร์แรกในลิสต์เลยนะ ขอบอก

วายิ้ม เคาะปากกากับปลายจมูกผม ย้ำเสียงราวกับกลัวว่าผมจะลืม



“จิณณ์”



“พี่คนนั้นชื่อจิณณ์ ปภาเดชวิรุฬห์...จำไว้...”








พี่จิณณ์มาแล้วววววว
  o22



ออฟไลน์ phoenixa

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 569
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +13/-1
เห็นชื่อเรื่องล่ะรีบกดเข้ามา
ลัทธิอคาเมะกลับมาพลุ่งพล่าน
หลังจากตายด้านมาหลายปี

ขอบคุณนะคะ

ออฟไลน์ Babelilong

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 304
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-0
    • Facebook  เข้ามาขอเป็นเพือนได้เลย
น่าสนุก
รอตอนต่อไปป

 :katai5: :katai5:

ออฟไลน์ Coffeeblack

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 316
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
ติดตามฮะ

ออฟไลน์ sazzy_pee

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 190
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
เคยอ่านตำนานบันไดแดงของจินเมะ

แอบอยากให้มันเป็นตำนานของสองคนนั้นไปตลอด (นิดนึง)

ออฟไลน์ toto

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 1
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
จะแปลงกี่เวอร์ชั่นค้าาาาา

พอเถอะ เรามีรวมเล่มสองเวอร์ชั่นละ


เริ่มเหนื่อย กับการเห็นนิยายที่รักถูกแปลงไปมา

ออฟไลน์ MayA@TK

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4991
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-7

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ 205arr

  • เราคงอยู่ไกลกันเป็นพันหมื่นลี้
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 748
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +35/-1
 ครั้งที่สามจะมีเหตุการณ์อะไรอีกน้าา  :katai2-1:
:pig4:
ปล. คนเขียนบอกวันที่อัพ (โดยแก้ไขในโพสแรก) ก็จะดีนะคะ เพื่อนๆ จะได้รู้ว่าตอนใหม่อัพแล้ว

ออฟไลน์ lnudeel

  • I wanna be a CAT!!
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1466
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +31/-5
หนูคุณขี้เบ๊อะบ๊ะจัง :hao7:

ออฟไลน์ YouandMe

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 502
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +60/-1
ถ้าขออนุญาตมาแล้ว ช่วยให้เครดิตคนแต่งเดิมด้วยนะคะ  :teach:
ยังไงก็มีคนที่ตามอ่านเรื่องนี้เยอะนะคะ  :haun5:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 17-10-2016 23:46:41 โดย YouandMe »

ออฟไลน์ MoonLovers

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 26
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-0
ตอนที่ ๒   :L2:

ผู้แต่ง :: FANISMZ




ชื่อจำง่ายดี

นั่นคือความคิดแรกที่ชื่อนั้นแวบเข้ามาในความคิดของผม ชื่อสั้น ๆ เรียกง่ายแถมยังความหมายดีอีก ถ้าพี่คนนี้นิสัยดีอย่างผลการเรียนก็ดีน่ะสิ วาแจกแจงงานเรียบร้อยก็ย้ำหน้าที่ของผมอีกครั้ง

“อย่าลืมโทรหาพี่จิณณ์นะคุณ จะโทรตอนไหนก็ตามใจ อยากงานเสร็จเร็วก็โทรเร็ว ๆ ถ้าอยากให้ไฟลนตูดอย่างคราวที่แล้วอีกก็รอไป”

“รู้แล้วน่า เดี๋ยวโทรเย็นนี้เลยอ่ะ”

“ดีมาก ว่าง่าย ๆ จะได้น่ารัก ๆ”

“น่ะ!” ผมส่งเสียงบอกให้รู้ว่าไม่ค่อยชอบใจกับคำหลอกล่อของเค้านัก วายิ้มหวาน จุ๊บลอยลมใส่ผมทีหนึ่งแล้วก็เดินผิวปากแยกไปอย่างร่าเริง คราวนี้ก็เหลือแต่ผมกับบุรินทร์ไรเดอร์สองคน

“นายจะไปช่วยฉันขนหนังสือใช่ไหมบุรินทร์เพื่อนรัก” บุรินทร์ยิ้มแห้ง เกาหางคิ้วตัวเอง พูดไม่เป็นคำขึ้นมาเลยคราวนี้

“ก็อยากจะช่วยหรอกนะแต่วันนี้ฉันมีนัดต่อจากนี้น่ะสิ พรุ่งนี้ได้ไหมล่ะ”

“ได้ไงล่ะ ไม่ได้ฟังที่เพื่อนนายขู่เมื่อกี้หรือไง” ผมบ่นอุบ “แต่ไม่เป็นไรหรอก นายไปเถอะ ฉันไปเองได้ มันไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร ก็แค่ขนหนังสือหนัก ๆ สี่ห้าเล่มเบียดคนบนรถไฟฟ้ากลับบ้าน แค่นั้นเอง” บุรินทร์โอบไหล่ผมไปใกล้ ทำเสียงออดอ้อนจนน่าดีดให้สักที

“ขอโทษษษษษ แต่นัดวันนี้มันเลื่อนไม่ได้จริง ๆ”

“รู้แล้ว จะไปไหนก็ไปเลยป่ะ เดี๋ยวฉันเปลี่ยนใจนายได้ผิดนัดแน่” เพื่อนรักยิ้มกว้างแล้วก็ยอมถอนใบหน้าจากไหล่ผมอย่างง่ายดาย เหอะ ทำเป็นพูดดี ความจริงแล้วอยากจะใส่เกียร์หนึ่งออกวิ่งเต็มแก่แล้วนะนั่นน่ะ   

แยกจากบุรินทร์มาได้ผมก็เดินเตะเศษใบไม้ออกมาจากคณะ ฤดูนี้มันก็มีอะไรดีหลายอย่างถึงอากาศจะยังร้อนอบอ้าวแต่มันก็ยังมีลมเย็น ๆ คอยพัดให้ชื่นใจได้บ้าง สีสันของต้นไม้ใบหญ้าก็สดใส ไม่แปรปรวนเหมือนช่วงคาบเกี่ยวของฤดู ผมว่าฤดูฝนมันชุ่มฉ่ำ สดใส มีชีวิตชีวา อบอุ่นและครื้นเครงด้วยเสียงของสรรพสิ่งรอบตัว ใช่ มันไม่เหงา...แต่นั่นอาจจะเป็นแค่ความคิดของคนที่ไม่มีคู่แบบผมก็ได้

ผมยกโทรศัพท์ขึ้นมองหน้าจอ ตอนนี้บ่ายสามโมง เหลือเวลาอีกมากมายกว่าจะถึงเวลาพักผ่อนของผม ตอนแรกตั้งใจว่าจะโทรไปหาเพื่อนของพี่พีร์เสียตั้งแต่วันนี้แต่มาคิดดูอีกทีก็อย่าเพิ่งดีกว่า เอาไว้พรุ่งนี้ค่อยโทรละกัน เว้นช่วงให้อีกฝ่ายได้ตั้งตัวสักนิด
พอมีเวลาว่างแล้ว สมองผมก็เริ่มคิดทันทีว่าเราควรจะใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์อย่างไรบ้าง ปกติถ้าเราเลิกเรียนเร็วแล้วไม่มีใครมีนัดกับสาว ๆ หรือเพื่อนคนอื่น ๆ พวกเราสามคนก็พากันไปเดินดูของแถว ๆ มหาวิทยาลัย อ้อ ลืมบอกไปมหาวิทยาลัยของพวกผมอยู่ในเขตเจริญมากครับ ล้อมรอบด้วยห้างสรรพสินค้า ถนนสายช็อปปิ้งและร้านอร่อย ๆ ของบางกอก ว่างเมื่อไหร่ก็ละลายทรัพย์กันเมื่อนั้นทีเดียว ซื้อของเสร็จเราก็มักไปต่อกันในร้านอาหาร หาของอร่อย ๆ ยัดกระเพาะเติมพลัง จากนั้นอาจต่อด้วยคาราโอเกะไม่ก็ดูหนังที่บุรินทร์มักอาสาเป็นคนเลือกเรื่องที่จะดูแล้วก็ถูกใจผมทุกครั้งด้วยสิ แต่นั่นมันเป็นโปรแกรมสำหรับเราสามคน ตอนนี้มีผมยืนหัวโด่อยู่คนเดียวตรงนี้

จะทำอะไรดี?

ซื้อของก็เพิ่งซื้อไปเมื่อวันก่อน

ร้องเกะ...ก็ไม่เวิร์ค แหกปากอยู่คนเดียวจะสนุกอะไร

กินข้าว...กลับไปกินที่บ้านดีกว่า ประหยัดตังค์

ไอ้ครั้นจะให้กลับไปตอนนี้มันก็ยังเร็วเกินไป ทะเล่อทะล่าเข้าไปตั้งแต่หัววันแบบนี้ เดี๋ยวแม่จะหาว่าผมผิดปกติขึ้นมาอีก ตัวเลือกสุดท้ายของผมก็คือดูหนังนั่นแหละ ดีที่สุด ตัดสินอนาคตของตัวเองได้แล้วก็เดินฮึมเพลงไปเรื่อย วันนี้อากาศดี อารมณ์ดีกะว่าจะไม่พึ่งรถแต่จะเดินไปให้ถึงสยามเลยทีเดียว ผมตั้งใจไว้อย่างนั้นนะ ถ้าดินฟ้าและอากาศไม่เล่นตลกกับผมเสียก่อน

ฟ้าที่สว่างใสเมื่อครู่เริ่มครึ้มขึ้นมาอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย ดวงอาทิตย์ที่เมื่อกี้ยังยิ้มแฉ่งกลับหลบลี้หนีหายเข้ากลีบเมฆไปเสียดื้อ ๆ สายลมอ่อนเบาของผมพัดแรงวูบขึ้นมาจนต้องหันหน้าหลบฝุ่นผงที่ปลิวฟุ้งทั่วบริเวณ

อะไรกันวะเนี่ย!

ฝนหลงฤดูหรือว่ายังไง

ไม่มีใครให้คำตอบผมได้ นิสิตที่เดินไปมาอยู่แถวนั้นก็บางตาเหลือเกินเพราะวันนี้เป็นวันอาทิตย์ ผมเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้น ตอนแรกกะจะไปให้ถึงป้ายรถเมล์ตรงหน้าประตูสถาปัตย์แต่ตอนนี้เอาแค่วิ่งไปให้ถึงป้ายรถป็อบที่เห็นลิบ ๆ ให้ทันก่อนที่จะเปียกก็พอ

ซ่า!

“เออ ให้มันได้อย่างนี้สิ พายุหรือไงวะเนี่ย” บ่นเบา ๆ กับตัวเองพลางสะบัดแขนขาไล่ความชื้นวุ่นวาย มองสายฝนที่เทลงมาราวกับฟ้ารั่วแล้วก็ต้องถอนใจ หมดกันแผนที่วางไว้ ถ้ามันพร้อมใจกันตกลงมาแบบนี้อีกไม่ต่ำกว่าครึ่งชั่วโมงโน่นแหละจะหยุด ผมหันมองซ้ายขวา กระแสลมไม่เบานักพัดเอาความชื้นในอากาศมากระทบใบหน้าเลยต้องดึงตัวเองให้หลบเข้าไปด้านในลึกขึ้น นั่งลงได้ไม่ถึงนาที เสียงฝีเท้าของคนโชคร้ายกว่าผมก็วิ่งเร็ว ๆ ใกล้เข้ามา

“.......” ผู้ชายตัวสูงกับการพบกันครั้งที่สามของวันทำเอาผมต้องเพ่งมองเพื่อให้แน่ใจว่าตัวเองไม่ได้ตาฝาดไป นายคนนั้นจริง ๆ นั่นแหละ ถึงหัวหูจะเปียกมะล่อกมะแล่กเหมือนลูกหมาตกน้ำแต่ไอ้หน้าหล่อ ๆ ปากแดง ๆ แบบนี้มันคงไม่มีใครเหมือนอีกแล้ว

อีกฝ่ายไม่ได้สนใจเลยว่าจะมีใครคนหนึ่งนั่งอยู่ที่นี่ก่อนแล้ว มาถึงมันก็สะบัด ๆ หัวแล้วก็ย่ำเท้าผ่านหน้าผมไปนั่งจนเกือบสุดอีกด้านหนึ่งของที่นั่ง ผมมองตามมันไปโดยไม่มีคำพูด มองหมอนั่นยกโทรศัพท์มากดรับเมื่อมีเสียงเรียกเข้าดังขึ้น เพื่อมารยาทก็ต้องหันหน้าหนีทำเป็นไม่สนใจเสีย แต่อีกใจผมกำลังนั่งคิดอยู่ว่าผมควรจะทักมันก่อนดีไหมเลยได้แต่มองอีกฝ่ายตาไม่กะพริบอยู่อย่างนี้

ถึงจะเจอกันแบบไม่เต็มใจให้เจอแถมยังมีเรื่องให้ผมต้องเสียเชิงชายไปโขเมื่อตอนอยู่บนรถไฟแต่ไอ้หล่อนี่ก็ช่วยผมไว้ทั้งสองครั้ง ยิ่งครั้งหลังเนี่ยถ้าไม่ได้หมอรับร่างผมไว้ตอนนี้ผมอาจจะไปนอนให้คุณหมอเช็คสมองอยู่โรงพยาบาลไม่ได้มานั่งสำนึกบุญคุณมันแบบนี้

เมื่อความเป็นคนดีในใจมันชนะ จังหวะเดียวกันกับที่หมอนั่นวางสายเก็บโทรศัพท์ไว้พอดี ผมเลยลุกเดินเข้าไปหาช้า ๆ คนเรานะผมอุตส่าห์ทอดฝีเท้าให้รู้แล้วว่าตั้งใจจะเข้าไปทัก แต่หมอนั่นกลับไม่ได้สำนึกเลยว่ามีใครกำลังรอให้เงยหน้ามามองอยู่ จนเมื่อผมไปหยุดอยู่ต่อหน้าจนเห็นขากางเกงยีนส์นั่นแหละ นายนั่นถึงได้ยอมเงยหน้าขึ้นมองช้า ๆ

“ไง” เปิดก่อนได้เปรียบโว้ยคุณภัทร ชิงทักก่อน เจ้านั่นทำหน้าเหมือนจะงงแต่ก็ยอมทักตอบ

“ไง” แค่เนี้ย! ท่านคุณภัทรอุตส่าห์เมตตา ลดตัวลงมาทักทายก่อนแต่หมอนี่กลับตอบมาแค่เนี้ย แล้วแบบนี้ผมจะเอาอะไรมาต่อวะ ผมถอนใจแรงแล้วก็นั่งลงข้าง ๆ หมอแบบไม่ต้องเสียเวลาขอ ยัดผ้าขนหนูผืนเล็กที่พกติดตัวประจำใส่มือขาว ๆ ของอีกฝ่ายแล้วก็บอกเสียงเรียบ

“เช็ดผมซะสิ ฉันให้ยืม”

“ไม่เป็นไร เดี๋ยวก็แห้งแล้ว นายเก็บไว้ใช้เองดีกว่า” มือขาวดันผ้าคืนมา ผมเลยจิ๊ปากตอบให้

“ฉันไม่เปียก นายนั่นแหละต้องเช็ดแล้วก็ไม่ต้องเถียงด้วย ฉันแค่ไม่อยากติดหนี้บุญคุณใคร” หมอนั่นทำตาปริบ ๆ อยู่แค่นับหนึ่งถึงสามก็พยักหน้ารับช้า ๆ ใช้ผ้าขนหนูขนฟูของผมซับความชื้นจากแก้มก่อนเป็นที่แรก ผมเองก็ปัดผมที่ตกลงมาให้พ้นหน้า มองคนข้างตัวเช็ดหน้าเช็ดตาตัวเองแล้วก็ให้นึกถึงความลำเอียงของเบื้องบนขึ้นมาตะหงิด ๆ

ทำไมฟ้าถึงให้อะไรคนเราไม่เท่ากันนะ

ดูอย่างหมอนี่สิ รูปหล่อ หล่อมาก ๆ ด้วย ดวงตาหมอเป็นสีดำสนิท หน่วยตายาวรับกับแนวคิ้วที่พาดตรง เวลาที่เจ้าตัวทอดสายตามองสายฝนแบบนี้มันน่ามองจนผมต้องหันหน้าหนี จมูกหรือก็โด่งสวย ริมฝีปากได้รูป อิ่มตึงแถมยังมีสีแดงสดราวกับเลือด เวลาที่แต้มด้วยรอยยิ้มบางเบาแบบนั้นก็น่ามองพิลึก!

“ยิ้มอะไร?” ผมถามออกไปทันทีที่สำนึกได้ว่าอีกฝ่ายกำลังนั่งมองสายฝนไป ยิ้มไป มันอารมณ์ดีอะไรของมันหรือเห็นว่าผมกำลังแอบมองอยู่ ไม่หรอกก็อีกฝ่ายกำลังนั่งหันข้างให้ผมนี่ จะมาเห็นได้ยังไงว่ากำลังโดนผมมองสำรวจ ผมจิ๊ปากเมื่อเจ้านั่นยังยิ้มไม่เลิก กระตุกผ้าในมือมันแรง ๆ เหมือนจะเอาเรื่องถ้ามันไม่ยอมตอบผมดี ๆ

“ถามว่ายิ้มอะไร?”

“ก็เขินนี่” มันลูบท้ายทอยเหมือนทำตัวไม่ถูกผมเลยยิ่งสงสัย

“เขินอะไรล่ะ?”

“ก็นายมองอะไรล่ะ อยู่ ๆ มานั่งจ้องกันแบบนี้ฉันก็เขินเป็นนะ” ตอบแบบนี้แสดงว่ามันรู้ตัวว่าถูกผมแอบมองมาตั้งแต่ต้น เหอะ แล้วก็แกล้งปั้นหน้าเฉยมาตั้งนานนะ ผมหันหน้าหนีแต่ก็ยอมรับไปตามตรง

“ใครใช้ให้นายหน้าตาดีล่ะ ภูมิใจล่ะสิมีคนมานั่งชมแบบนี้น่ะ”

“เวลาถูกผู้ชายด้วยกันชม นายภูมิใจไหม”

“ถามทำไม”

“อยากรู้”

“ก็แล้วแต่ว่าจะชมว่ายังไง ถ้าหล่อหรือเท่ก็ดีไป แต่ถ้าใครมันเจือกสะแหลนพูดว่าฉันน่ารักล่ะก็บอกมันเก็บปากไว้กินข้าวดีกว่า” อีกฝ่ายพยักหน้ายิ้ม ๆ แล้วมันก็เงียบต่อไป ผมเองก็เริ่มรู้สึกว่าการนั่งรอฝนหยุดตกเนี่ยมันเสียเวลาโดยใช่เหตุ เลยล้วงโทรศัพท์ออกมาจากเป้ โทรหาพี่คนนั้นตอนนี้เลยดีกว่า

“นายก็เรียนที่นี่หรือ” เสียงทุ้มถาม ผมกำลังง่วนกับการกดหาเบอร์โทรก็ครางตอบรับไปสั้น ๆ

“อยู่ปีอะไรแล้ว”

“ปีหนึ่ง นายล่ะ ปีเดียวกันป่ะ?” ผมถามกลับพลางแนบโทรศัพท์กับหู หมอนั่นแค่ยิ้ม เห็นว่าผมกำลังต่อสายเลยหุบปากเงียบเช็ดผมไปพลาง ๆ เสียงเพลงรอสายของท่านพี่จิณณ์ ปภาเดชวิรุฬห์เป็นเพลงสากลยุคเก่าที่ผมเองก็ชอบมาก นึกอยากให้เจ้าของเครื่องติดธุระรับสายไม่ได้ตอนนี้ ผมจะได้ฟังมันไปเรื่อย ๆ เพลงเพราะ ๆ แบบนี้เข้ากับบรรยากาศตอนฝนตกดีออก แต่ความหวังของผมเป็นอันต้องถูกขัดด้วยเสียงทุ้มต่ำที่ดังตอบกลับมา

“ฮัลโหล จิณณ์พูด”

“เอ่อ พี่จิณณ์ใช่ไหมครับ คือ ผมคุณนะครับ คุณภัทร(คุน-นะ-พัด) ผมเป็นเพื่อนของวาที่บอกว่าจะขอยืมหนังสือเรียนวิชาวรรณคดีกับทัศนศิลป์ของพี่น่ะครับ คือ พี่พีร์บอกพี่หรือยังครับว่าผมจะโทรหา...ฮัลโหล ได้ยินไหมครับ” ไม่มีการตอบรับจากปลายสาย ผมนิ่วหน้า มองหน้าจอสัญญาณก็ชัดเจน สายก็ยังไม่หลุด ผมยังได้ยินเหมือนเสียงฝนตกจากปลายสายด้วยซ้ำ ผมกรอกเสียงลองดูอีกครั้ง

“ฮัลโหล พี่ ได้ยินไหมครับ”

“ได้ยิน” คราวนี้เสียงนั้นชัดเจนจนผมต้องชะงัก หันไปมองคนข้างตัวช้า ๆ เจ้านั่นเลิกเช็ดผมแล้ว ผ้าขนหนูผืนเล็กพาดอยู่บนไหล่กว้าง ในมือหมอนั่นมีโทรศัพท์เปิดค้างอยู่ ผมยังจับต้นชนปลายไม่ถูกจนเมื่ออีกฝ่ายยื่นหน้าจอโทรศัพท์ของตัวเองให้ผมดูเต็มตา ตัวอักษรภาษาอังกฤษมันทำให้ผมต้องสะกดทีละคำช้า ๆ

‘พี่น้องคุณ’

เหี้ย! ใครเอาชื่อผมไปโชว์หราอยู่ในนั้นวะ

ผมถือโทรศัพท์ค้างอยู่อย่างนั้น มองและมองหน้าจอสลับกับสีหน้าที่ไร้ซึ่งความแปลกใจของอีกฝ่ายครั้งแล้วครั้งเล่า ทำไมชื่อผมไปอยู่ในเครื่องหมอนั่น ก็ผมโทรเข้าเครื่องของพี่จิณณ์คนนั้นนี่ แถมเมื่อกี้เค้าก็บอกชัดเจนว่าจิณณ์พูด แล้วจู่ ๆ ไหงมันกลายเป็นไอ้หล่อไปได้ ที่สำคัญมันมีเบอร์ผมในเครื่องและที่สำคัญกว่านั้นคือใครใช้ให้มันบันทึกชื่อผมว่าพี่น้องคุณวะ!

“นายเอาเบอร์ฉันมาจากไหน” ผมถามเสียงห้วน ยังจับต้นชนปลายไม่ถูกแม้ว่าจะมองเห็นชิ้นส่วนของเรื่องราวลอยอยู่เต็มหัวก็ตาม หมอนั่นเก็บเครื่องของตัวเองใส่กระเป๋าอย่างรวดเร็ว คงดูออกกระมังว่าถ้าขืนช้ากว่านี้นิดเดียวสมบัติชิ้นนั้นอาจจะไม่รอดเงื้อมมือการทำลายของผม

“มีคนให้มา เหตุผลก็เรื่องเดียวกับที่นายบอกฉันเมื่อกี้นั่นแหละ”

“ตกลงนายคือคนที่ชื่อจิณณ์ ปภาเดชวิรุฬห์” ผมสรุปให้เข้าใจได้ง่ายที่สุด หมอนั่นพยักหน้ารับ ตอกย้ำทฤษฎีโลกอันแสนจะแคบใบนี้ให้ผมซึ้งมากขึ้น ผมเก็บโทรศัพท์ของตัวเองบ้าง ตอนนี้คงไม่มีประโยชน์ที่จะใช้มันแล้ว เจ้าตัวมานั่งติดจนแทบจะงับหัวกันได้แบบนี้คุยกันตรง ๆ คงเป็นทางเลือกที่ดีกว่า ปัญหาตอนนี้คือผมจะเรียกอีกฝ่ายว่ายังไงดี

“นายเรียนปีห้าเท่ากับเพื่อนของวาใช่ไหม” ความจริงก็รู้อยู่แล้วล่ะแต่ผมอยากถามให้แน่ใจอีกที

“ใช่” จะตอบให้ยาวกว่านี้ก็ไม่มีใครด่าว่าพูดมากหรอกพี่!

“แล้ว...ผมต้องเรียกพี่ว่าพี่สินะ”

“อยากเรียกแบบไหนก็เรียกเถอะ เรียกแบบเดิมก็ได้ ฉันไม่ถือ”

“แต่พี่ก็แก่กว่าตั้งสี่ห้าปี” ผมแย้งเสียงแผ่วเจ้านั่นเลยหันมายิ้ม “ไม่ถึงหรอก ฉันเรียนเร็วน่ะ พูดแบบที่เคยพูดก็โอเค”

“บาปว่ะ”

“เดี๋ยวเถอะ ตกลงจะยืมหนังสือใช่ไหม จะเอาวันนี้เลยหรือเปล่าจะได้กลับไปเอามาให้” ผมส่ายหน้าดิก แค่คิดว่าอีกฝ่ายต้องลำบากเพราะตัวเอง สมบัติผู้ดีในตัวมันก็เริ่มกำเริบอาการเกรงใจขึ้นมาทันตา แม้จะอยากได้หนังสือเรียนเร็ว ๆ แต่...ไม่ดีหรอก

“อย่าเลย เกรงใจ เอาไว้วันหลังละกัน”

“แล้วไม่ต้องรีบใช้หรือ เห็นพีร์มันบอกว่าด่วนนี่”

“ก็ไม่เท่าไหร่หรอก เดี๋ยวผมจะไปทำธุระที่อื่นก่อนด้วย ขอบคุณนะ” ใจหนึ่งผมก็แอบคิดว่าอีกฝ่ายจะตื้ออาสาเอามาให้ตามโหงวเฮ้งการเป็นคนดีของมันแต่ตรงกันข้ามผมปฏิเสธไปไม่ถึงสามประโยคพี่มันก็ยอมรับง่าย ๆ ซะงั้น

“ไม่เป็นไร งั้นฉันไปนะ อ้อ ผ้านี่ขอบใจนะ เดี๋ยวจะซื้อผืนใหม่มาแทน”

“เฮ้ยไม่ต้อง มันไม่ใช่ของใหม่อะไร คืนมาเถอะ เดี๋ยวเอาไปซักเอง” ไอ้พี่จิณณ์ยิ้ม นอกจากไม่ยอมคืนแล้วยังถือติดมือวิ่งไปซะงั้น ผมร้องไม่ออก ได้แต่มองตามแผ่นหลังอีกฝ่ายไปจนลับตาแล้วก็เพิ่งรู้ตอนนั้นว่าฝนหยุดตกแล้ว


เพราะวันนี้เป็นวันอาทิตย์เป็นที่แน่นอนอยู่แล้วว่าคนส่วนใหญ่ต้องเลือกที่จะมาเที่ยวในเมืองแน่นอน ยิ่งห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ครบวงจรที่ตั้งอยู่ใกล้ ๆ กับมหาวิทยาลัยของผมยิ่งเป็นที่นิยม จนคนแน่นกว่าวันปกติเป็นสองสามเท่าตัว ผมเดินเอื่อยมองนั่นมองนี่จนมาถึงชั้นบนสุดอันเป็นที่ตั้งของโรงหนัง ปลดภาระเรื่องหนังสือไปได้ ต่อไปผมก็จะเอนจอยกับหนังที่อยากดูให้เต็มที่ล่ะนะ
ไล่สายตามองตามรายการที่กำลังฉายอยู่เร็ว ๆ ตัดสินใจได้ไม่ยากเพราะเรื่องที่อยากดูนั้นผมมีอยู่ในใจแล้ว หนังที่ผมเลือกดูเป็นหนังที่เข้าฉายมาได้ช่วงหนึ่งแล้ว โชคดีที่ถึงมันจะมีรอบฉายน้อยแต่ก็ยังมีรอบที่พอดีกับเวลาของผม อีกสิบนาทีจะได้เวลาเริ่มผมเป็นประเภทพลาดหนังตัวอย่างไม่ได้เลยกะว่าจะไปรอจนกว่าประตูจะเปิดเลย แต่เข้าจริง ๆ ก็หมดเวลาไปกับการเข้าห้องน้ำ ซื้อของกินจนเลยเวลาไปเกือบสิบนาที

ผมเดินเร็ว ๆ เข้าไปในห้องสี่เหลี่ยมยาวที่แสนจะสลัวได้ใจ จอภาพยนตร์ขนาดใหญ่กำลังฉายตัวอย่างหนังผีทุ่มทุนสร้างจากอเมริกา เสียงกรีดร้องของนักแสดงในจอทำเอาผมต้องเร่งจังหวะฝีเท้าให้เร็วขึ้น โชคดีที่คนดูบางตามาก ๆ ผมจึงไม่ต้องคอยขอโทษระหว่างที่เดินเข้าไปนั่งโซนกลาง ถึงที่นั่งได้ผมก็จัดวางขนมในมุมที่หยิบจับได้ง่ายแล้วก็เพิ่งมาสำนึกได้ว่าตัวเองลืมซื้อน้ำมาด้วย

ช่างแม่งเถอะ

ผมขยับตัวให้นั่งในท่าสบายที่สุด พยายามเลี่ยงสายตาจากภาพสยดสยองบนจออย่างสุดความสามารถ มาดูคนเดียวแถมคนยังบางตาแบบนี้ มันน่ากลัวน้อยเมื่อไหร่ล่ะ ผมกวาดตามองรอบตัวทุกทีข้างกายผมมักจะมีบุรินทร์หรือไม่ก็วานั่งประกบให้อุ่นใจแต่คราวนี้มันไม่ใช่ ทำเอาวูบ ๆ โหวง ๆ ขึ้นมาทีเดียวล่ะ

เดี๋ยวนะ

ผมสะดุดใจจนต้องละความสนใจจากความเปลี่ยวชั่วคราว เพ่งตาฝ่าความสลัวไปยังร่างสูงที่นั่งเหยียดขาอยู่อีกด้านของแถว ไกลออกไปไม่น่าจะเกินสิบที่นั่ง มีใครบางคนที่โคตรจะคุ้นตานั่งจ้องจอหนังตามไม่กะพริบ ผมมองและมองจนแน่ใจแล้วว่าใช่คนที่คิดแน่นอนเลยหัวเราะกับตัวเอง

โลกกลมเป็นครั้งที่สี่ของวัน

แวบแรกก็นึกดีใจว่าจะได้มีเพื่อนดูหนังแล้ว กำลังจะส่งสัญญาณทักทายอีกฝ่ายแต่ความคิดของผมก็เป็นอันต้องชะงักเมื่อมีหญิงสาวสองคนเดินเข้ามาแล้วทรุดนั่งเก้าอี้ติดกันกับพ่อคนหล่อเขา เห็นหมอนั่นขยับนั่งตัวตรงแล้วยิ้มรับพวกเธอทั้งคู่แล้วผมก็เบะปาก

โธ่ นึกว่าพวกเดียวกัน ที่ไหนได้ มากับสาวนี่หว่า






โปรดติดตามตอนต่อไป   :mew1:

((ทำไมพี่จิณณ์ควงสาวอ่ะะะะะะ))





Q : จะแปลงกี่เวอร์ชั่นค้าาาาา

A by สี่ : มีคนมาขอแปลงไปหลายเวอร์ชั่นมากค่ะ (แปลงอ่านกันเอง มีทั้งแบบมาขออนุญาต ทั้งแบบแอบทำกันเองแล้วโดนจับได้ ^^") 
            แต่ถ้านับเฉพาะที่พี่แฟน (Fanismz - ผู้แต่ง)เป็นคนแปลงและเรียบเรียงเองเวอร์ชั่นไทยนี้ถือว่าเป็นเวอร์ชั่นแรกค่ะ
            และกำลังจะมีอีกเวอร์ชั่นตามมาเร็วๆนี้ เพราะงั้นคงตอบไม่ได้ว่าจะมีทั้งหมดกี่เวอร์ชั่น ต้องดูว่าพี่แฟนจะใจอ่อนกับคู่ไหนบ้างอ่ะค่ะ ^^






 : 222222: : 222222: : 222222:

คุณ phoenixa ... ดีใจจังที่ได้เจอแฟนคลับอะคาเมะที่นี่ ทุกวันนี้สี่ยังยุพี่แฟนให้แต่งอะคาเมะอยู่นะคะ แต่ยังไม่สำเร็จเลย T^T

คุณ Babelilong , คุณ Coffeeblack , คุณ TaecKhun Imagine Love ขอบคุณที่เข้ามาอ่านนะคะ มีอะไรแนะนำได้นะคะ ^^

คุณ sazzy_pee ... สี่รักอะคาเมะและสี่ก็รักในตัวหนังสือของพี่แฟนด้วยค่ะ สี่เลยอยากให้คนได้อ่านฟิค(นิยาย)ที่พี่แฟนแต่งเยอะๆ เพราะสี่เชื่อว่าคนที่ได้อ่านจะมีความสุขแบบที่สี่เป็น แต่แต่ละคนก็มีข้อจำกัดในการอ่านต่างกัน การแปลงฟิคก็เป็นแค่การเพิ่มฐานคนอ่านเท่านั้นเองค่ะ ยังไงตำนานก็คือตำนานเนอะ ไม่มีอะไรมาลบล้างตำนานได้หรอกค่ะ ^^

คุณ toto ... สี่ตอบคำถามไปแล้วนะคะ ^^
                ปล. สี่เชื่อว่าคนอ่านรักนิยายเรื่องนั้นๆแค่ไหน คนแต่งก็รักไม่ต่างกันหรอกค่ะ เพียงแค่นิยามความรักของแต่ละคนอาจจะต่างกันบ้างแค่นั้นเอง

คุณ 205arr ... ขอบคุณที่บอกเรื่องแก้ไขโพสนะคะ หวังว่าคงสนุกกับการอ่านนะคะ ^^

คุณ lnudeel ... อย่าว่าพี่คุณซิฮะะะะ

คุณ YouandMe ... สี่ใส่ชื่อผู้แต่งแล้วนะคะ ^^



« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 20-10-2016 23:16:03 โดย MoonLovers »

ออฟไลน์ lnudeel

  • I wanna be a CAT!!
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1466
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +31/-5

ออฟไลน์ MayA@TK

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4991
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-7
อ้าว ทำไมคุณพี่มากับสาวล่ะ :hao4: :hao4:

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ puiiz

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-4

ออฟไลน์ 205arr

  • เราคงอยู่ไกลกันเป็นพันหมื่นลี้
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 748
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +35/-1

ออฟไลน์ BlueCherries

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4060
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +159/-17

ออฟไลน์ MoonLovers

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 26
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-0
ตอนที่ ๓   :L2:

ผู้แต่ง :: FANISMZ






ผมเลิกคิดจะหาเพื่อนดูหนัง หันมาสนใจภาพในจอที่กำลังเริ่มเรื่องที่อยากดู หยิบป๊อบคอร์นเข้าปากไปเรื่อย ๆ หนังชักให้เค้าสนุกตั้งแต่เริ่มต้นเรื่อง เมื่อผมเห็นไอ้ผู้ร้ายมันส่งงูเป็นพันตัวเข้าไปในเครื่องบินเที่ยวที่พระเอกต้องเดินทางไปให้การในศาล กำลังนึกขยะแขยงไอ้ตัวที่มันเลื้อยพันกันอยู่ในจอสุดขีดก็มีอันต้องหลุดเสียงร้องอย่างตกใจ

งูตัวเขื่องในเรื่องมันพุ่งตัวฉกลูกตาผู้โดยสารคนหนึ่งพร้อมกับที่มีสัมผัสเย็น ๆ มาวางแหมะบนแขนผมพอดีเด๊ะ!

เฮือก!

โอ๊ยยย ไอ่ ไอ่ ไอ้เหี้ยพี่จิณณ์!

ผมบริภาษมันในใจ ยิ่งเห็นเจ้าตัวมันมานั่งทำหน้ากึ่งยิ้มกึ่ง-งงอยู่ข้างตัวแล้วก็ให้โมโหจี๊ดขึ้นมาอีก ใจหนึ่งนึกอยากด่ามันให้หายแค้นแต่ก็มานึกได้ว่าตัวเองกำลังอยู่ในโรงหนังก็เลยได้แต่ใช้สายตาทำหน้าที่แทนปากไปอย่างดุเดือด

“โทษที ไม่คิดว่าจะขวัญอ่อนขนาดนี้”

“ใครขวัญอ่อน คนกำลังอินกะหนังทะเล่อละล่าเข้ามาได้”

“น่า ไม่ต้องอายหรอก เมื่อกี้มีแต่คนกรี๊ด ไม่มีใครรู้ว่าเป็นนายหรอกน่า”

“ไม่ได้อายโว้ย”

“โอเค งั้นขอนั่งด้วยคนนะ” นอกจากจะไม่สนใจสายตาจะกินเลือดกินเนื้อจากผมแล้ว หมอยังปวารนาตัวเองนั่งลงติด ๆ กัน ขยับตัวนั่งพอให้สบายแล้วก็หันมาเลิกคิ้วมองผม ผมจิ๊ปาก รีบหันมาสนใจภาพเคลื่อนไหวในจอต่ออย่างรวดเร็ว ช่างแม่งเถอะ คิดเสียว่าอย่างน้อยก็มีเพื่อนนั่งดูหนัง

แวบแรกตั้งใจว่าจะไม่สนใจไอ้พี่จิณณ์อีกแล้วแต่ก็ต้องสนจนได้ ผมมองข้ามตัวหนา ๆ ของคนข้างตัวไปอีกฝั่ง ที่นั่งเดิมของหมอนี่ยังว่างเปล่ามีหญิงสาวสองคนนั่งทำตาปริบ ๆ มองจอหนังสลับกับมองมาทางผมเป็นพัก ๆ เห็นแล้วชวนให้สงสัยจริงแฮะ

“นี่”

“ฉันชื่อจิณณ์”

“เออ จะจิณณ์จะอะไรก็เถอะ ทำไมถึงทิ้งพวกเค้ามาล่ะ”

“ไม่ได้ทิ้ง ไม่ได้มาด้วยกันตั้งแต่แรกแล้ว” ผมสงสัยกับคำตอบของอีกคนจนพลาดช็อตเด็ดไปอีกช็อตหนึ่ง เห็นจิณณ์ยิ้มเนือย ๆ ตอบกลับมาต่อมสงสัยก็ยิ่งเต้นแรง

“แล้วทำไมเค้าต้องมานั่งตรงนั้น บังเอิญหรือ”

“เปล่า พวกเค้าตามฉันมาน่ะ อุตส่าห์หลบเข้ามาในนี้แล้วนะ” โอ้ แม่เจ้า ถึงขนาดมีสาวตามเข้ามานั่งด้วยในโรงหนังแบบนี้ ไม่ธรรมดาแล้วมั้งเนี่ย

มีความสุขอยู่กับการดูหนังได้เกือบเศษสามส่วนสี่ของเรื่องก็เป็นอันต้องผวาเฮือกอีกครั้ง พอถึงตอนที่ไอ้เหลือมตัวเขื่องมันเลื้อยเข้ามารัดอีตาลุงนักธุรกิจใจร้ายคนหนึ่งจนเลือดทะลักออกปากและจมูกแลไม่เห็นทางรอดแหงม ๆ ผมก็รู้สึกถึงผิวสัมผัสลื่นเย็นตรงแขนข้างซ้าย อารามตกใจทำให้ผมหันขวับไปมองจนคอแทบเคล็ด ขนลุกซู่ไปทั้งร่างเมื่อเห็นไอ้เหลือมเผือกตัวหนึ่งมันค่อยเคลื่อนตัวเข้ามาเบียดแบบไม่ให้สัญญาณนำมาก่อน โอ๊ยยยยย! ไอ้คนบ้านี่ มันจะให้ผมหลุดปากด่าวันละกี่รอบวะเนี่ย

“ทำบ้าอะไรวะ ตกใจนะโว้ย”

“ก็กลัวนี่ นายไม่รู้สึกอะไรเลยหรือไง งูเหมือนจริงขนาดนั้น”

“เหมือนก็เหมือน มันอยู่ในจอโน่นพี่จะกลัวทำป๊ะอะไร แล้วเลิกเบียดซักที ขนลุกไปหมดแล้ว”

“ทำไม เกิดจะมีอารมณ์ในโรงหนังหรือไง” หนอย ยังมีอารมณ์มาแซว เดี๋ยวพ่อจับกรอกปากด้วยป๊อบคอร์นรสชีสซะเลย

“ลามก ถอยไปเลยนะ”

“โอเค ๆ ทีตัวเองเอนมาซบแล้วซบอีกฉันยังไม่ท้วงสักคำ พอเราทำมั่งก็ทำเป็นผลักออก หน้าตาก็ดีแต่ทำไมใจร้ายนักล่ะครับพี่น้องคุณ” คนหล่อเค้าทำเสียงน้อยอกน้อยใจจนผมนึกสงสารอยากจะประเคนของกินในมือยัดเข้าปากสวย ๆ นั่นสักยกสองยกเผื่อพี่มันจะเงียบลงไปบ้าง ชะ แค่แอบซุกหน้าหนีภาพสยดสยองในเรื่องครั้งสองครั้งทำเป็นมาทวงบุญคุณ ทีผมยอมเสียสละความสุขในการดูหนังอย่างสงบสุขเป็นไม้กันสาว ๆ ให้ยังไม่ว่าอะไรสักคำ

“ไม่พอใจก็กลับไปนั่งกับสาว ๆ ของพี่เลยไป”

“ไม่ไป อยากนั่งตรงนี้”

“เอ๊ะ”

“เงียบได้แล้วน่า เสียงดังเกินไปแล้วนะ”

“ถ้าพี่ไม่ไปผมไปเองก็ได้” ไอ้คนหน้าด้าน ว่าขนาดนี้แล้วยังยิ้มได้หน้าซื่อตาใสอีก เป็นคราวซวยของผมจริง ๆ ที่มาเจอมันซ้ำสองซ้ำสามซ้ำสี่ในวันเดียว แม่ง ทั้งที่คิดว่าน่าจะเป็นคนดีแล้วนะ ทำไมมันถึงกวนตีนขนาดนี้วะ ผมรวบของกินมองซ้ายขวาหาทำเลใหม่แต่เจ้าคนข้างตัวกลับรั้งแขนผมไว้แน่น

“ถ้าลุกไปอีก ฉันจะไม่ให้นายยืมหนังสือ อยากเสี่ยงไม่มีงานส่งอาจารย์ไหมล่ะ”

“นี่ขู่หรือ” พี่จิณณ์คนดีของวายิ้มทั้งที่ตายังไม่คลาดจากจอหนัง

“อยากรู้ว่าขู่หรือทำจริงก็ลองลุกไปก่อนหนังจะจบสิ” คุณคงรู้ว่าผมไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากสะบัดแขนจากมือมันแล้วก็กระแทกตัวกับเก้าอี้แรง ๆ ไปทีหนึ่ง ได้ยินเสียงเหมือนใครกำลังหัวเราะชอบใจผมก็เลยหันไปด่าสองสามคำพอให้หายแค้น แต่นอกจากมันจะไม่สะทกสะท้านแล้วยังฉีกยิ้มใส่ตาผมแบบไม่กลัวว่าออร่าความหล่อของมันจะทำร้ายคนอื่นเลยสักนิด

จำไว้ วันพระไม่ได้มีหนเดียว

ทีใครทีมันโว่ย!

จบการดูหนังวันนั้นด้วยความเอิบอิ่มใจแปลก ๆ ไม่ใช่เพราะได้มานั่งดูหนังกับคนหน้าตาดีหรอกนะแต่เพราะตอนจบของหนังเรื่องนี้มันแสดงให้เห็นว่าธรรมะชนะอธรรมอีกครั้งหนึ่งแล้ว ผมชอบฉากจบที่มาพร้อมพระอาทิตย์ที่เริ่มจับขอบฟ้าบอกเวลาของเช้าวันใหม่ แสงสว่างของเช้าวันนั้นมันช่างเป็นสัญลักษณ์อันอ่อนโยน ขับไล่ความมืดมนที่ครอบคลุมมาตลอดเรื่องได้ดีแบบสุด ๆ เลยครับ มันดีมากจนทำให้ผมลืมเรื่องขุ่นข้องหมองใจก่อนหน้านี้ไปได้เยอะ

“ยังไม่มาอีกหรือเนี่ย” ผมเปรยกับตัวเองอย่างผิดหวังแล้วก็พลอยให้คนที่ยืนเปิดหนังสืออยู่ข้าง ๆ สงสัยตามไปด้วย มือขาวจัดพับหนังสือปิดหันมามองผมสลับกับชั้นวางหนังสือที่สูงท่วมหัว

“อะไร?”

“FINE-ARTS ฉบับล่าสุดน่ะสิ แปลกจังเลยวันนี้มันเลยกำหนดวางแผงมาแล้วนะ” ผมตอบเสียงเบาที่ต้องเบาไม่ใช่อะไรหรอก เราสองคนกำลังอยู่ในร้านหนังสือ คุณคงสงสัยว่าทำไมถึงมาอยู่ในนี้แล้วคงสงสัยอีกว่าทำไมถึงมาด้วยกัน ข้อนี้ผมก็ตอบไม่ได้เพราะพอออกมาจากโรงหนังไอ้พี่จิณณ์ก็ถามผมว่าจะไปไหนต่อ ผมก็ตอบสั้น ๆ ว่าจะไปร้านหนังสือเผื่อมีหนังสือออกใหม่ หมอก็ไม่ตอบอะไรนอกจากเดินมาด้วยกันแล้วก็มุ่งตรงมาหยุดในมุมนิตยสารอย่างที่เป็นอยู่ตอนนี้ จิณณ์หันมามองผม นิ่วหน้านิด ๆ แล้วก็บอกอย่างสงบ

“เล่มที่มีงานของโมเน่ท์ขึ้นปกใช่ไหม”

“ใช่”

“มันออกแล้วนี่แต่คงหมดแล้วล่ะ ฉบับนี้เด็กปีหนึ่งในคณะฉันต้องใช้ อยากได้หรือ” ผมถอนใจเฮือกใหญ่ ช่วงนี้ผมเป็นอะไรกับหนังสือวะเนี่ย พลาดแม่งมันทุกอย่างเลย

“ผมต้องใช้ทำรายงานนี่แหละ มันอยู่ในรายชื่อที่วาให้มา ซวยอีกแล้วงานนี้”

“ก็ไหน ๆ จะยืมแล้ว ทำไมไม่เอาที่ฉันให้ครบเลยล่ะ”

“พี่มีเหรอ” จิณณ์พยักหน้าตอบ

“ฉันเป็นสมาชิกแม็กกาซีนฉบับนี้อยู่แล้ว มันส่งมาให้ที่บ้านตั้งแต่อาทิตย์ก่อนแล้วล่ะ” อีกครั้งที่พี่มันทำให้ผมอึ้งจนพูดไม่ออก อะไรมันจะบังเอิญขนาดนี้ ทุกอย่างที่ผมพลาดไปมาอยู่กับจิณณ์หมด มันมีเรื่องบังเอิญที่โชคดีกับผมแบบนี้อยู่ในโลกด้วยหรือ ตั้งแต่เช้าแล้ว เริ่มตั้งแต่ที่ผมตื่นผิดเวลา ขึ้นรถช้ากว่าทุกวันจนมาถึงเหตุการณ์ที่ต้องเจอกับจิณณ์บนรถไฟฟ้า ความบังเอิญมันหลั่งไหลกันมาทักทายผมครั้งแล้วครั้งเล่าและแต่ละครั้งก็มีผู้ชายคนนี้มาเกี่ยวข้องด้วยทุกครั้ง

ในหนึ่งวันที่ผ่านมา

มันเกิดอะไรขึ้นกับชีวิตอันสงบสุขของผม?

“หรืออยากได้เก็บไว้เอง” เสียงทุ้มนุ่มตามแบบฉบับลูกผู้ดีตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าเอ่ยถามผม ฟังผิดไปหรือเปล่าว่ามันเหมือนมีความรู้สึกคล้าย ๆ จะเอาใจเจืออยู่ด้วยในประโยคนั้น ผมส่ายหน้าไปมา วางแม็กกาซีนลงที่เดิมแล้วก็เลยถามตอบกลับไปบ้าง

“พี่จะดูอะไรอีกหรือเปล่า” อีกฝ่ายยักไหล่ตอบ ดูเอาเถอะครับทุกคน ขนาดท่ายักไหล่ธรรมดากับรอยยิ้มจาง ๆ มันก็ยังอุตส่าห์ดูดีซะจนผมต้องเบือนหน้าหนี ถึงผมจะไม่ชอบใจหลายอย่างที่หมอนี่เคยทำแต่ผมก็แฟร์พอที่จะมองคนตรงหน้าอย่างเป็นกลาง

จิณณ์ ปภาเดชวิรุฬห์เป็นผู้ชายที่เข้าขั้นสมบูรณ์แบบเลยก็ว่าได้ รูปร่างหน้าตาดูดีมาก รสนิยมการแต่งตัวก็ดูดีซะจนดารานักร้องบางคนยังต้องอาย นิสัยก็ดี(ไม่นับเรื่องที่ชอบกวนอารมณ์ผมในบางเวลา) คำพูดคำจานุ่มหู สำเนียงหรือก็ส่อให้เห็นชัด ๆ เลยว่าพื้นเพคงไม่ใช่เด็กชาวบ้านธรรมดาแบบผมแน่ ๆ เรื่องกริยามารยาทยิ่งไม่ต้องพูดถึงวันนี้ทั้งวันผมยังไม่ได้ยินพี่มันสบถคำหยาบออกมาสักคำ ผิดกับผมถูกใจไม่ถูกใจมันก็ต้องมีหลุดออกมาให้ได้ยินกันบ้างสักคำสองคำแต่หมอนี่ไม่เลย การเรียนดี กีฬาเด่น เน้นคุณธรรมของจริง แม่งไม่มีข้อเสียสักข้อให้ผมได้ชื่นใจหน่อยหรือไง

“โกรธอะไร” เออ ถามเข้าไป ถามอยู่นั่น เดี๋ยวเถอะ

“ไม่สบายหรือเปล่าหรือว่าหิว” บวกข้อดีของพ่อรูปหล่อเข้าไปอีกอย่าง มีน้ำใจ เอื้อเฟื้อซะไม่มี

“ไม่ได้หิว”

“เห็นทำหน้าเครียด”

“คือ ถ้าพี่ไม่มีธุระต่อ ผมขอไปเอาหนังสือวันนี้ได้ไหม”

“ไม่ให้ฉันเอามาให้แล้วหรือ ถ้าจะเอาไปทั้งหมดมันหนักนะ”

“ไม่เป็นไร หนังสือแค่ไม่กี่เล่ม ผมไม่ได้อ่อนแอขนาดนั้นหรอกน่า” พอเห็นว่าผมเริ่มจะไม่พอใจขึ้นมาหน่อย ๆ แล้วหมอก็ยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดู เม้มปากนิด ๆ แม่ง หล่อ

“งั้นก็ตามใจ”

คอนโดที่เจ้าของออกตัวว่าอยู่ค่อนข้างไกลจากมหาวิทยาลัยเล่นเอาผมอยากจะซัดคนพูดเข้าสักทีสองที บ้านไกล ไกลพ่อง นั่งรถไฟฟ้าเลยบ้านผมไปแค่สองสถานีมันไกลตรงไหนกัน ไอ้พี่จิณณ์พาผมมาหยุดหน้าตึกสูงรูปทรงทันสมัยจนน่ากลัวว่าเค้าจะสั่งห้ามนักศึกษาจน ๆ อย่างผมเข้าตั้งแต่ประตูหน้าจากนั้นก็พาขึ้นลิฟต์ไปหยุดที่ชั้นยี่สิบเจ็ด

ทางเดินที่ทอดยาวไปสู่ประตูห้องทำเอาผมต้องลอบกลืนน้ำลายไปหลายครั้ง ก็มันเล่นปูพรมตั้งแต่ทางเดินไปจนถึงประตูห้อง แถมผนังทางเดินยังประดับด้วยภาพเขียนเสียจนคลาสสิกไปทั้งชั้น การตกแต่งโดยรวมบอกได้คำเดียวว่าหรูหราจนประมาณราคาที่อยู่อาศัยแห่งนี้ไม่ถูก กว่าจะมาถึงหน้าห้องที่ต้องการก็เล่นเอาผมเหนื่อย กลัวว่าตัวเองจะซุ่มซ่ามทำของเค้าเสียหายเดี๋ยวจะไม่มีปัญญาชดใช้ให้คุณชายเธอน่ะครับ

“เข้ามาก่อนสิ นั่งตรงเบาะนั่นก่อนก็ได้หรือจะไปนั่งโซฟา” เจ้าของห้องบอกอย่างเอื้อเฟื้อในขณะที่ผมมองสำรวจทั่วห้องกว้างอย่างตื่นตาตื่นใจ คือ คิดผิดหรือเปล่าวะคุณภัทรที่เสนอตัวมาเอาหนังสือถึงที่นี่ ข้างนอกก็กว่าหรูแล้วยังเทียบไม่ได้กับข้างในนี้ ผมเดินตัวลีบเข้าไปนั่งพับเพียบเรียบร้อยบนเบาะนุ่มหน้าโฮมเธียเตอร์ชุดใหญ่ที่ถูกจัดให้ตั้งลึกเข้าไปในผนังสีนวลตา เฟอร์นิเจอร์ทุกชิ้นในห้องถูกจัดวางไว้ในตำแหน่งที่เหมาะสมเหมือนได้รับการออกแบบมาดี ทุกอย่างเน้นสีน้ำตาลไล่ระดับสีอ่อนเข้ม ตกแต่งให้เข้ากันกับผ้าม่านและผนังสีอ่อน เติมสีสันสดใสด้วยแจกันดอกไม้รูปทรงเก๋แปลกตาประดับบางจุด ห้องจึงดูโล่งกว้างสะอาดสะอ้านผิดกับห้องผมลิบลับ

จิณณ์เดินหายเข้าไปในตรงประตูบานหนึ่ง ปล่อยให้ผมรอไม่นานก็กลับออกมาพร้อมกล่องหนึ่งใบ พี่มันนั่งลงบนพรม วางกล่องให้ผมลงมือค้นหาหนังสือในนั้นโดยไม่ต้องเอ่ยปากขออนุญาตให้เสียเวลา

“โห เล่มหนาขนาดนี้เลยหรือเนี่ย”

“มันเป็นรายงานประจำภาคการศึกษาใช่ไหม”

“ใช่ แต่ตอนนี้เพิ่งเริ่มทำส่วนที่สอง วาบอกว่าต้องค่อย ๆ เก็บข้อมูลไปจะได้ไม่ต้องมารีบร้อนทีหลังเผื่อมีตัวอื่นต้องทำซ้อนมาจะซวยเอา อาจารย์คณะผมยิ่งชอบให้นิสิตทำรายงานส่งแทนการสอบอยู่ด้วย” คนฟังหัวเราะในลำคอ ช่วยผมหยิบหนังสือออกมาจากลังทีละเล่ม ๆ จนหมด

“วาพูดถูกแล้ว หนังสือพวกนี้มันหนาก็จริงแต่ส่วนใหญ่มันเป็นภาพประกอบ เนื้อหามีไม่ค่อยเท่าไหร่ถึงต้องใช้หลายเล่มยังไงล่ะ ในกล่องนี้มันมีครบหมดแล้วนะ ถ้าเอาไปก็ไม่ต้องไปหาที่อื่นอีกเลย แต่อย่างที่บอกมันค่อนข้างหนักจะแบกไปไหวหรือ”

“คง...ไหวอยู่มั้ง” ผมชักไม่แน่ใจในความสามารถของตัวเอง มองหนังสือที่มีสภาพใหม่เอี่ยมไม่ผิดกับหนังสือใหม่แล้วก็ให้นึกรู้ว่าเจ้าของเค้าคงระวังรักษามาอย่างดีเกิดผมเผลอทำหลุดมือตกพื้นเสียหายไปต้องแย่แน่ ๆ กำลังนึกอยู่ว่าจะขอยืมไปบางส่วนก่อนดีไหมแล้วที่เหลือค่อยมาเอาวันหลังแต่มาคิดว่าจะให้ผมเดินตัวเกร็งเข้าตึกนี้มาอีกก็ไม่ไหวเหมือนกัน เอายังไงดีว้า

“เอาไปบางส่วนก่อนได้ไหมแล้ววันหลังผมจะกลับมาเอาอีกที”

“ไม่ต้องรีบใช้หรือ ไหนบอกว่าต้องรวบรวมข้อมูลให้วาวันศุกร์นี้แล้วไง”

“ก็...ตั้งใจจะเอาไปเฉพาะที่ต้องใช้ก่อนน่ะเดี๋ยวจะชวนเพื่อนมายืมอีกรอบ”

“เพื่อน? บุรินทร์คนเมื่อเช้าน่ะหรือ” คุณชายจิณณ์ท่านถามเสียงนุ่ม แม้ในยามสงสัยหน้าตาท่านก็ยังคงความหล่อไว้ไม่เปลี่ยนแปลง ผมยักคิ้วรับยิ้ม ๆ

“อื้อ พี่รู้จักบุรินทร์ด้วยหรือ” ดวงตาดำจัดเป็นประกายวาววับล้อแสงไฟน่ากลัวพิลึกแต่ก็สวยชวนให้ผมเอียงคอมองอย่างติดใจ ถูกผมมองมากเข้าพี่มันก็หรุบตามองหนังสือบนพื้นซะงั้น มองแค่นี้ก็ไม่ได้ งกนี่หว่า

“ก็พอรู้ เพื่อนนายมาส่งวาสองสามครั้งเลยจำได้ เอาอย่างนี้ดีกว่า เดี๋ยวฉันไปส่งนายที่บ้านเอง หนังสือมันหนักนายหอบขึ้นรถไฟฟ้าไปจะลำบาก ช่วงนี้รถยิ่งแน่นเกิดเจออย่างเมื่อเช้ายิ่งแล้วใหญ่ ฉันกลัวนายจะเอาหนังสือฉันไปปาใส่หน้าคนพวกนั้นเข้า”

“รู้ดี”

“แล้วถ้ามีอะไรสงสัยก็ถามได้ ฉันเคยเรียนวิชานี้มาก่อน”

“โม้ป่าว เรียนตั้งแต่ปีหนึ่งยังจำได้อีกหรือ” แน่ะ ปากดีไหมล่ะคุณภัทร คนเค้าอุตส่าห์หวังดี

“เรียนตั้งแต่ปีหนึ่งก็จริงแต่มันเป็นวิชาพื้นฐานที่ต้องเอาใช้แทบทุกวิชา ฉันไม่ได้จำหรอกแต่มันเป็นเรื่องที่ต้องใช้ทุกวันเลยฝังอยู่ในหัวไปแล้ว วาก็มาถามพีร์มันบ่อย ๆ ถ้านายสงสัยก็โทรมาถามฉันได้ ถือว่าฉันเป็นเพื่อนนายคนหนึ่งก็แล้วกัน”

“เอางั้นหรือ”

“เอางั้นแหละ”

“ถ้าอย่างนั้นก็ไม่เกรงใจล่ะนะ ฝากเนื้อฝากตัวด้วยครับ” จิณณ์ยังยิ้มบางเหมือนเคย ลุกขึ้นแล้วก็เดินหายไปในส่วนของห้องครัวพลอยให้ผมต้องหยุดเรื่องคุยไปด้วย เพราะเบาะที่นั่งอยู่มันนุ่มเหลือเกินผมเลยเผลอเลื้อยตัวลองนอนแผ่เสียเต็มสตรีม จนเจ้าของห้องเค้ากลับมาพร้อมน้ำผลไม้สองแก้วผมก็ยังไม่คิดจะลุกขึ้นนั่ง แค่พลิกตัวนอนคว่ำแล้วเท้าศอกกับพื้นเท่านั้น

“นอนแบบนั้นไม่เจ็บศอกหรือ”

“ไม่นี่ เบาะนี้ก็ออกหนา นุ่มดีด้วย เฮ้อ อยากได้ไปเก็บไว้ที่บ้านจังเลย” เจ้าของห้องส่งแก้วน้ำเย็นเจี๊ยบให้ผมซดโฮกแล้วก็ลุกไปหยิบหมอนใบใหญ่บนโซฟามาวางไว้ใต้คางผมอย่างเบามือ

เออ เอาเข้าไป เอาใจกันซะจนผมชักเคลิ้มแล้วนะเนี่ย ว่าแต่พี่มันไปเปิดเพลงคลอตั้งแต่เมื่อไหร่วะ ทำไมผมไม่ทันเห็น อากาศดีมีเสียงเพลงหวาน ๆ บวกกลิ่นหอมอ่อน ๆ ทำเอาหนังตาชักอยากจะปิดซะแล้วสิ

“ถ้าชอบก็มาเที่ยวบ่อย ๆ สิ ฉันชอบดูหนัง ปกติถ้าไม่มีเรียนไม่ได้ออกไปทำธุระที่ไหนก็จะนอนดูหนังตรงที่นายนอนอยู่นี่แหละ ชอบดูหนังไหม”

“ชอบ ก็เพิ่งออกมาจากโรงหนังพร้อมกัน” เจ้าของห้องรูปงามนามเพราะยิ้มเจือด้วยเสียงหัวเราะนุ่มหู ผมมองแล้วก็เพิ่งนึกออกว่าตัวเองลืมถามเรื่องสำคัญไปซะนานเลยรีบวางแก้วน้ำลงบนถาด ดีนะที่คิดออกได้ตอนที่ยังอยู่ต่อหน้าเจ้าตัว

“นี่ พี่น่ะ...”

“เรียกใคร คนเค้ามีชื่อก็เรียกชื่อสิ”

“เออ ๆ ถามอะไรหน่อยสิจิณณ์”

“จะถามอะไร”
 
“พี่มีแฟนหรือยัง?”



โปรดติดตามตอนต่อไป   :mew1:




นั่นแน่...ถามแบบนี้พี่สี่ลุ้นนะคะน้องคุณณณ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 20-10-2016 23:15:43 โดย MoonLovers »

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ goosongta

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1521
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +94/-6
แลพี่จิณณ์จะเอ็นดูน้องเป็นพิเศษนะ ไม่ทันไรก็ชวนมาเที่ยวห้องบ่อยๆซะละ

ออฟไลน์ MayA@TK

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4991
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-7
ถามพี่เขาทำไมล่ะจ๊ะ :hao3: :hao3: :hao3: :hao3:

จะสมัครเป็นแฟนพี่เขาเหรอ

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ lnudeel

  • I wanna be a CAT!!
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1466
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +31/-5

ออฟไลน์ MoonLovers

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 26
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-0
ตอนที่ ๔   :L2:

ผู้แต่ง :: FANISMZ


จิณณ์สำลักน้ำพรวด

“อุ๊ก! แค่ก ๆ  ๆ  ๆ เมื่อ เมื่อกี้ว่าไงนะ” ผมยิ้มหวาน พยายามทำหน้าตาซื่อใสไร้เดียงสาขยับเข้าช่วยลูบหลังลูบไหล่ให้อีกฝ่ายอย่างเอาใจ โถ ก็ใครจะคิดว่าจะอ่อนไหวกับคำว่าแฟนมากมายขนาดนี้ สำลักน้ำผลไม้จนหมดรูปไม่บอกก็รู้ว่าคำถามของผมไปจี้ใจดำคุณชายท่านเข้า แบบนี้มันก็ยิ่งอยากรู้ขึ้นอีกสิบเท่าเลยนะเนี่ย

“ถามว่ามีแฟนหรือยัง”

“อยากรู้ไปทำไม ใครใช้ให้มาถามหรือไง”

“ก็อยู่กันสองคนจะมีใครใช้เล่า ผมอยากรู้เอง นะ บอกหน่อยนะ”

“ไม่บอก”

“ทำไมล่ะ”

“ก็ไม่อยากบอก นายเป็นใครทำไมฉันต้องบอกเรื่องสำคัญด้วย” เห็นไหมล่ะครับ! ผิดจากที่ผมคิดซะเมื่อไหร่ ก็บอกแล้วโหงวเฮ้งแบบนี้น่ะ บทจะกวนขึ้นมาท่านก็ทำได้หน้าตาเฉยเหมือนกัน ผมพ่นลมจิ๊จ๊ะ ฟาดหมอนในมือให้รู้ว่าไม่ชอบใจมาก ถ้าเป็นเจ้าบุรินทร์เห็นแบบนี้คงรีบเอาใจผมแล้ว แต่ไอ้พี่จิณณ์นอกจากจะไม่เอาใจแล้วยังทำเมินหันไปซดน้ำลงคอเสียอย่างนั้น

รู้ไหม ท่าทางแบบนั้นมันสามารถปลุกนิสัยของเด็กสิบขวบในตัวผมให้ตื่นขึ้นได้ทันทีเลย ความพาลมันเลยเริ่มกำเริบผมทิ้งหมอนในมือ ผุดลุกขึ้นยืนค้ำหัวอีกฝ่ายอย่างไม่กลัวเกรง ถามแค่นี้ก็ไม่ตอบ ใช่สิ ผมจะมาคาดหวังอะไรกับคนที่เพิ่งรู้จักกันวันแรกล่ะ

“เออ ขอโทษที่เสียมารยาท ลืมไปว่าเราไม่ได้เป็นเพื่อนกัน”

“ถ้าเป็นเพื่อนกันแล้วฉันต้องบอกนายทุกเรื่องหรือคุณภัทร”

“ถ้าพี่คิดจะเป็นเพื่อนกับผม คำตอบก็คือใช่ เพราะคนอื่น ๆ ก็เป็นแบบนี้”

“คนอื่น ๆ น่ะใคร?” อ้าว รวน เจ้าของเสียงยังคงความสงบไว้ไม่เปลี่ยนแปลง นิ่ง สุขุม แต่ตอนนี้มันดูขัดหูขัดตาผมพิลึก ก็ผมมองออกนี่นาว่าไอ้พี่จิณณ์มันกำลังไม่พอใจอยู่น่ะ คงเคืองนั่นแหละแต่ไม่ยอมแสดงออกแล้วก็ไม่ฟาดหัวฟาดหางแบบที่ผมทำ ผมก็บ้าพอกัน รู้ทั้งรู้ว่าอีกฝ่ายไม่ใช่เพื่อนสนิททั้งสองคนแถมยังเพิ่งได้เจอหน้าได้พูดคุยกันไม่ถึงวัน แต่ก็ยังหาเรื่องชวนทะเลาะเหมือนรู้จักกันมานานแรมปีแล้วอย่างนั้น โอ๊ย กูเป็นหอยอะไร ทำไมต้องมาเป็นอารมณ์กับคนที่เพิ่งเจอ

“ก็บุรินทร์ วาวา ทุกคนนั่นแหละแต่ไม่นับรวมพี่ แน่นอน!”

“ฉันก็ไม่เดือดร้อน อยู่ที่นายตัดสินก็แล้วกัน สำหรับนายจะให้ฉันเป็นเพื่อนหรือเป็นใคร”

จะเป็นอะไรก็ไม่ให้เป็นทั้งนั้นแหละ!

คนนิสัยแบบนี้ผมไม่เสียเวลาคบให้เปลืองหัวหรอก แม่ง มันจะทำตัวเป็นคนดีจนวินาทีสุดท้ายของชีวิตเลยหรือไงวะ ขนาดโดนผมพาลแล้วพาลอีก ชักหน้าตาทั้งโกรธทั้งขึ้งใส่ ประชดเหน็บแนมจนสาแก่ใจ หมอนั่นก็ยังไม่มีท่าทีว่าจะตอบโต้สักคำ อยากกวนก็กวนหน้าซื่อ ๆ พอไม่อยากพูดมันก็หุบปากเงียบไม่สนใจ ไม่สนใจอะไรทั้งนั้น
ตกลงมันเป็นคนปกติหรือเปล่าเนี่ย

ผมเองเสียอีกที่เป็นฝ่ายออกโรงเต้นงิ้วอยู่คนเดียว พี่มันนอกจากจะทำเป็นมองไม่เห็นความไม่พอใจของผมแล้วมันยังทำหน้านิ่ง อาสาขนหนังสือมาส่งให้ผมอีกหน้าตาเฉย ไม่โกรธไม่เคืองแต่ไม่พูดไม่จาตลอดทาง ไอ้เหี้ยยย แบบนี้มันน่าโดดลงจากรถให้รู้แล้วรู้รอดกันไปเลย

แต่จะให้ทำจริง ๆ ผมก็ไม่กล้าเลยได้แต่นั่งเบือนหน้าออกไปนอกรถคันสวย ทนเก็บปากเก็บคำด้วยความอึดอัดใจอย่างเหลือแสน พูดเท่าที่ต้องพูดคือบอกทางคนขับสองสามประโยคแล้วก็ขอบคุณที่พี่มันอุตส่าห์พาผมมาส่งให้ถึงบ้านอย่างปลอดภัย

“ตั้งใจทำงานล่ะ” คุณชายเธอยังมีใจบอกกับผมหลังจากที่ขนหนังสือมาให้ถึงหน้าประตูบ้าน ผมพยักหน้ารับส่ง ๆ อคติและโมหะมันทำให้ใจผมไม่ค่อยจะซาบซึ้งกับความหวังดีของมันเท่าไหร่ พอไอ้คนตัวสูงพูดเสร็จผมก็ไม่พูดต่อ ยืนลอยหน้าลอยตามองดินมองหญ้ามองฟ้าและอากาศ รอให้มันถอยกลับไปก่อนโดยไม่มีการเชิญเข้ามานั่งดื่มน้ำในบ้านตามมารยาทเจ้าของบ้านที่ดี

“ถ้ามีอะไรให้ช่วยก็โทรไปละกัน” หลังจากที่ต่างฝ่ายต่างเงียบอยู่นาน จิณณ์ก็พูดเสริมขึ้นมาอีก คราวนี้ผมยอมหันไปมองหน้าอีกฝ่ายนิ่ง สีหน้าและแววตาของจิณณ์คนเดิมมันกลับมาให้เห็นอีกครั้ง หลังจากใช้เวลานั่งเงียบมาในรถหมอคงตัดสินใจถอดหน้ากากคนไม่แคร์โลกออกชั่วคราว ผมเลยได้เห็นจิณณ์คนแรกที่ได้เจอเมื่อตอนก่อนทะเลาะกันอีกครั้งหนึ่ง เมื่ออีกฝ่ายยอมลงให้ผมก็ไม่มีเหตุผลที่จะทำตัวปัญญาอ่อนไม่เข้าใจ

“ขอบคุณ” ผมตอบสั้น ๆ แล้วก็ยืนเฉยอย่างนั้นต่อ ถึงจะไม่ได้โกรธเคืองอะไรมากมายแต่จะให้ยอมฉีกยิ้มอารมณ์ดีให้เลยทันทีผมก็ทำไม่ได้หรอก ทว่า อีกใจมันก็ร้องบอกว่าเพราะผมไม่อยากทำเองล่ะมากกว่า ถูกต้องอย่างที่สุดครับท่าน ส่วนหนึ่งผมก็แสดงให้เห็นแล้วว่าถ้าอีกฝ่ายยอมลงให้ผมก็แฟร์พอที่จะยอมเลิกราด้วย แต่ส่วนหนึ่งนั้นมันก็ต้องทำให้เห็นกันไปเลยว่าถ้าคิดจะเป็นเพื่อนผมก็ต้องรู้ว่าผมไม่ชอบให้ใครละเลยและไม่สนใจผม ถ้าคิดจะเล่นสงครามเย็นแล้วมาง้อกันทีหลังแบบนี้ มันไม่ใช่วิธีการที่ดีเท่าไหร่หรอก หากอยากจะคบกัน ข้อเดียวที่จิณณ์ต้องท่องให้ขึ้นใจคืออย่าขัดใจท่านคุณภัทรคนนี้

“กลับล่ะนะ”

“อื้อ ไม่ส่งนะ”

“ไม่เป็นไร เข้าบ้านไปเถอะ” ผมพยักหน้ารับแล้วก็หันหลังจากตรงนั้นมาแบบไม่มีการอาลัยอาวรณ์ แอบเห็นเจ้านั่นมันยืนก้มหน้าเดาะกุญแจในมือเล่นครู่หนึ่งถึงยอมถอยไปจากประตูบ้านผมก่อนเสียงเครื่องยนต์แรงสูงจะแล่นขึ้นเนินไกลออกไป ดูท่าแล้วพี่มันคงสำนึกได้แล้วว่าไม่น่ามาเสียเวลากับเด็กแบบผมเลย ให้ตาย ประมาณนั้น

ผมแวะบอกให้น้องชายออกไปเอาจักรยานที่สถานีให้แล้วก็จัดการอาบน้ำแต่งตัวจนสดชื่นขึ้นมาอีกเยอะ ลากกล่องหนังสือมาวางตรงหน้าแล้วก็เริ่มสำรวจทีละเล่ม นอกจากหนังสือยังมีสมุดเล็คเชอร์วิชานี้แถมมาด้วยอีกสองเล่ม เห็นความรอบคอบของคนให้แล้วมันก็ทำให้ผมต้องหยุดคิดอีกครั้ง

ความสงสัยมันลอยกรุ่นขึ้นมาในใจราวกับมีใครไปกวนตะกอนก้นบึงให้แตกตัวออกช้า ๆ ปกติแล้วผมเป็นคนแบบนี้หรือ ผมเอาแต่ใจ โมโหง่ายแล้วก็เจ้าคิดเจ้าแค้นไม่เลิกราแบบนี้หรือเปล่า

ตอบได้ทันทีว่าไม่ใช่

ถึงผมจะเอาแต่ใจไปบ้างตามประสาคนที่ชินกับการเอาอกเอาใจจากคนรอบข้างแต่ผมก็มั่นใจว่าตัวเองไม่ได้เหลิงจนแยกแยะอารมณ์กับเหตุผลไม่ได้ แค่เรื่องเล็กน้อยที่ไปถามเรื่องส่วนตัวแล้วเจ้าตัวเค้าไม่ยอมบอก มันควรจะเป็นเหตุผลที่ผมต้องโกรธอย่างนั้นหรือ ไม่อ่ะ มันเสียมารยาทมาก ๆ ต่างหาก ผมเคยถามเรื่องทำนองนี้กับบุรินทร์ พอเจ้านั่นไม่ตอบผมก็ยังไม่เห็นจะเคืองมันเท่านี้ หรือว่าที่ผมไม่พอใจเป็นเพราะปฏิกิริยาไม่สนใจที่อีกฝ่ายแสดงออกมากกว่าเหตุผลที่โดนปฏิเสธ แล้วทำไมผมต้องไปสนใจปฏิกิริยาของหมอนั่นด้วย

ไม่เข้าใจว่ะ

ผมไม่เข้าใจตัวเองเลยจริง ๆ







“ฉันก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน” เสียงห้าว ๆ ของคนข้างตัวผมเอ่ยขึ้นแถมยังเอามือเกาท้ายทอยเป็นการประกอบอีกแน่ะ บุรินทร์มองหน้าหนังสือที่กางไว้แล้วก็ส่ายหน้าไปมาอย่างอับจนหนทาง

“ศัพท์เทคนิคพวกนี้แค่ภาษาไทยก็จะตายอยู่แล้ว ไม่ต้องถามถึงภาษาอังกฤษเลย บอด บอดสนิท”

“เอาไงดีล่ะ ฉันก็อ่านมาผ่าน ๆ รอบหนึ่งแล้วยังไม่เข้าหัวเลย วา มันไม่มีฉบับแปลแล้วหรือ”

“ไม่ กลุ่มอื่นก็ต้องใช้แบบเราเหมือนกัน พยายามเข้านะคุณภัทร อีกไม่กี่วันเราต้องเอาความคืบหน้าไปเสนออาจารย์แล้วแต่ก่อนหน้านั้นนายต้องเอาส่วนที่ฉันแบ่งให้ไปมาเคลียร์กันก่อน บอกเลยว่างานนี้เลื่อนไม่ได้อีกแล้ว” เพื่อนหน้าหวานแต่นิสัยไม่ยักกะหวานเหมือนหน้าบอกผมยิ้ม ๆ ตรงหน้าวาก็มีตำราภาษาอังกฤษของอีกวิชาหนึ่งกางรออยู่เช่นเดียวกัน ผมทำหน้าม่อย บุรินทร์เองก็มีงานอื่นต้องทำจะให้ช่วยก็คงไม่ดีนักแต่จะให้ผมเปิดตำราหนาขนาดปาหัวหมาสลบมาแปลแล้วก็สรุปใจความให้ทันก่อนวันศุกร์นี้มันก็ดูเหนือบ่ากว่าแรงเกินไปจริง ๆ

“ฉันจะทำทันไหมเนี่ย ทำไมคนเขียนมันต้องใช้ภาษายากขนาดนี้ด้วยวะ แล้วคนไทยทั้งประเทศเนี่ยไม่มีใครขยันลุกขึ้นมาแปลเล่มนี้บ้างหรือไง”

“ถ้ายังไม่มีคนแปล นายก็หาคนสักคนมาช่วยแปลสิ” วาแนะนำยิ้ม ๆ ฟังแล้วก็เข้าท่าอยู่หรอก ในคณะผมมีพวกรับจ้างแปลงานเยอะแยะแต่จะมีใครมันอาสารับงานด่วนแบบนี้บ้างล่ะ ตำราหนาภาษายากขนาดนี้ เค้าก็ต้องใช้เวลาแปลทั้งเดือนเป็นอย่างต่ำ ผมถอนใจยาวอย่างหนักอก ซบหน้าลงกับกระดาษว่างเปล่าตรงหน้าอย่างอ่อนแรง

“ยากจริงโว้ย วรรณคดีกับทัศนศิลป์ ๆ ๆ ใครก่อตั้งวิชานี้ขึ้นมาวะ”

“เอาน่า ฉันจะรีบเคลียร์งานนี้ให้เสร็จแล้วมาช่วยนายนะ อดทนหน่อยสิ” เจ้าของดวงตาเรียวยาวเกยคางกับไหล่ของผม ปลอบแกมให้ความหวังตามแบบฉบับเพื่อนที่แสนประเสริฐเป๊ะ ผมทำเสียงรับรู้ มันก็ซุก ๆ หน้ามาใหญ่ รู้ว่ามันเป็นวิธีปลอบใจของบุรินทร์นั่นแหละ เจ้านี่มันชอบสัมผัส บอกว่ารู้สึกดีเวลาได้แตะต้องคนที่ชอบ พอได้คลอเคลียครั้งแรกแล้วผมไม่ว่าก็เลยอ้อนใหญ่ตั้งแต่นั้นมาจะสุขจะเศร้าเพื่อนเลิฟก็จะต้องอ้อนเอาหน้ามาซุกไหล่ผมทุกครั้งไป

“รีบทำให้เสร็จนะบุรินทร์ ความหวังของฉันฝากไว้ที่นายนะโว่ย”

“รู้ ฉันไม่ทำให้นายผิดหวังหรอกน่า ระหว่างนี้ก็ต้องทำไปเรื่อย ๆ นะเผลอ ๆ อาจจะเสร็จก่อนฉันก็ได้” ยิ้มหวานพร้อมกระชับแขนที่โอบไหล่ผมให้แน่นเข้า เออ อยู่อย่างนี้แล้วสบายจังเลยแฮะ จะว่าไปแล้วผมก็ชอบเวลาที่ได้ซุกตัวใกล้ ๆ กับบุรินทร์นะ มันให้ความรู้สึกสบายทั้งตัวแล้วก็ทั้งใจ เพราะรู้ว่าอีกฝ่ายก็รู้สึกเหมือนเราด้วยล่ะมั้งมันถึงวางใจ แล้วก็นะ ผมคงใช้เวลาเอื่อยเฉื่อยไปมากกว่านี้ถ้าวาไม่กระแอมขึ้นมาเสียก่อน

“ถ้าจะมานั่งคร่ำครวญก็รีบทำซะ ทั้งสองคนนั่นเลย”

“คนจะหวานกันก็ต้องขัดคอด้วยนะคนเรา”

“มัวแต่หวานกันจะได้ขมปลายเทอมแน่ รีบทำเข้าคุณ เสร็จงานชิ้นนี้แล้วฉันจะช่วย”

“วาคนดี น่ารักที่สุดในโลกเลย” ผมแทบจะโผเข้ากอดร่างโปร่งบางนั้นอีกรายถ้าเจ้าตัวมันไม่เอาดินสอกดในมือสกัดกลางหน้าผากผมไว้เสียก่อน บุรินทร์หัวเราะขำ ๆ แล้วก็หันไปสนใจงานของตัวเองต่อ พอเห็นทางออกอันสดใสรออยู่ตรงหน้าก็ทำให้อารมณ์ผมแช่มชื่นขึ้นมาทันตา

“แต่ระหว่างนี้นายต้องทำไปก่อนนะ ทำให้ได้มากที่สุดเพราะฉันไม่แน่ใจว่างานตัวนี้มันจะเสร็จทันหรือเปล่า อ้อ ลองให้พี่จิณณ์ช่วยก็ได้นะคุณ พี่พีร์บอกว่าเค้าถนัดสายนี้ ตอนเรียนก็ได้เอคนเดียวของคลาสด้วย” คำแนะนำของวาทำให้ผมคิดไปถึงเรื่องที่จิณณ์เคยพูดไว้ หมอนั่นบอกว่าถ้ามีอะไรก็ให้โทรไปถามได้ตลอดเวลา ให้ถือว่าเค้าเป็นเพื่อนคนหนึ่งของผม แต่ตั้งแต่วันนั้นผมก็ไม่ได้ติดต่อไปหาฝ่ายนั้นอีกเลย แถมยังทำกริยาแย่ ๆ ส่งจิณณ์กลับบ้านไปอีก แบบนี้แล้วจะกล้าไปขอความช่วยเหลือเค้าอีกหรือคุณ ผมส่ายหน้าดิก

“ไม่ดีหรอก เค้าก็มีงานของเค้าแค่ยืมหนังสือมานี่ก็เกรงใจแล้ว”

“งั้นก็ตามใจ”

“ค่อย ๆ ทำไป ไม่ต้องเครียด” บุรินทร์คงเห็นว่าผมชักจะหน้านิ่วเลยคลึงนิ้วนวดตรงระหว่างคิ้วให้อย่างใจดี เพื่อนรักของผมส่งชานมป้อนให้ถึงปาก พึมพำปลอบเสียงนุ่ม “เยอะกว่านี้ก็เคยผ่านมาแล้ว งานแค่นี้ ทำเดี๋ยวเดียวก็เสร็จแล้ว”

“เดี๋ยวเดียวน่ะต้องก่อนศุกร์นี้นะ แล้ววันนี้ก็วันอังคารแล้ว ฉันว่าลอง...”

“วา” เสียงเรียบ ๆ ของเจ้าตี๋เป็นผลให้วาชะงัก ดวงตาคู่สวยเหลือบมองบุรินทร์นิ่งก่อนวาจะถอนใจยาว ผมมองแล้วก็ชักใจไม่ดี ทำไมทั้งสองคนต้องเครียดกันขนาดนี้ด้วยเนี่ย บุรินทร์เองก็เถอะ เพิ่งบอกผมว่าไม่ต้องเครียด ๆ แล้วดูตัวเองสิ ทำหน้าตาจริงจังใส่วาซะจนผมใจหายแทน แบบนี้มันไม่ค่อยดีมั้ง

“เอาล่ะ ๆ ทำงานใครงานมันไปละกัน ทั้งสองคนก็ทำงานของตัวเองไป ส่วนงานนี้ฉันจะพยายามทำให้เสร็จตามเวลานะ ขอบใจนะวา ถ้ามันจวนตัวจริง ๆ ฉันจะลองดู”

สรุปแล้ววันนั้นผมก็ทำความเข้าใจกับตำราประวัติศาสตร์ศิลป์ตะวันตกได้อีกสามหน้าเศษ เมื่อลองมาเทียบเวลาดูแล้ว คำนวณยังไงผลออกมาก็ไม่มีทางทันกำหนดแน่นอน งานของบุรินทร์และวาเองก็เร่งด่วนพอกัน เพราะฉะนั้นก็เหลือทางเลือกสุดท้าย ผมสูบบุหรี่หมดไปหลายมวนกว่าจะตัดสินใจหยิบโทรศัพท์ออกมากดโทรออกไปตามเบอร์ที่บันทึกไว้เบอร์แรกของรายชื่อ เสียงเพลงรอสายเป็นเพลงคลาสสิกเพลงเดิมที่เคยฟังในวันฝนตกวันนั้น น่าแปลกที่คราวนี้มันนานเสียจนผมต้องกดวางสายไปเองในที่สุด

จิณณ์ไม่รับสาย

ผมแอบเสียฟีลไปหน่อย ๆ ทั้งที่ท่องมาอย่างดิบดีว่าจะเจรจากับอีกฝ่ายยังไง คิดว่าจะลองโทรอีกทีตอนหัวค่ำแต่พอจะเก็บโทรศัพท์เครื่องมันก็สั่นขึ้นมาเสียก่อน ชื่อที่โชว์หน้าจอเล่นเอาผมกะพริบตาปริบ ๆ ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมต้องยืนคิดเป็นนานกว่าจะยอมกดรับสาย



(ฮัลโหล)


“.....”


(คุณ?)



โปรดติดตามตอนต่อไป   :mew1:



« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 29-10-2016 11:04:27 โดย MoonLovers »

ออฟไลน์ lnudeel

  • I wanna be a CAT!!
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1466
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +31/-5
เอิ่ม คุณเป็นอะไร :hao4:

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
เอาแต่ใจนะคุณ

ออฟไลน์ MayA@TK

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4991
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-7

ออฟไลน์ puiiz

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-4

ออฟไลน์ patek

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 40
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
สนุกมากๆคับ มาต่ออีกนะคับ ดำเนินเรื่องได้ดี น่าติดตามมากๆคับ ขอบคุณคับ

ออฟไลน์ stickyyrice

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1509
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +40/-5

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด