:::: Heart's Tale :::: รุ่นพี่คนนั้นชื่อ 'จิณณ์' [จบภาค P.7 ::: 9/3/60]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: :::: Heart's Tale :::: รุ่นพี่คนนั้นชื่อ 'จิณณ์' [จบภาค P.7 ::: 9/3/60]  (อ่าน 35376 ครั้ง)

ออฟไลน์ shoi_toei

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4365
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +222/-26

ออฟไลน์ MoonLovers

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 26
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-0
ตอนที่ ๕   :L2:

ผู้แต่ง :: FANISMZ


เสียงฝีเท้าดังขึ้นในความสงัดเงียบของห้องสมุดประจำคณะอักษรศาสตร์ ไม่ได้เร่งเร็วรีบเร่งแต่ก็ไม่ได้ทอดช้าเป็นจังหวะเอื่อยเฉื่อยอย่างที่มักจะดังในหอสมุดแห่งนี้ มันดังก้องทุกครั้งที่เจ้ารองเท้าคู่นั้นเหยียบลงบนพื้นไม้ปาเก้ขัดมันเงาวับ ผมย้ายสายตาจากสายฝนด้านนอกกลับมาสู่หน้าหนังสือที่เปิดค้างไว้แล้วก็ต้องสะดุ้งเฮือกเมื่อเจ้าของเสียงฝีเท้าเมื่อครู่โผล่เข้ามาในมุมส่วนตัวของผมแบบไม่ให้ตั้งตัว

“เป็นอะไรไปหรือเปล่า” เสียงทุ้มถามผมพร้อมกับการอัญเชิญตัวเองลงนั่งตรงข้ามแบบไม่ต้องเสียเวลาขออนุญาต ผมถือดินสอในมือค้าง อ้าปากมองอีกฝ่ายอยู่อย่างนั้นจนจิณณ์ต้องยื่นมือมาแตะคางขึ้นให้

“คุณภัทร ไม่สบายหรือเปล่า”

“ไม่ เปล่า ไม่ได้เป็นอะไร แล้วทำไมพี่มาอยู่ที่นี่”

“ก็มาหานายน่ะสิ โทรไปพูดกันยังไม่ทันเข้าใจก็วางสายไปซะอย่างนั้น”

“ก็บอกแล้วไงว่าไม่มีอะไรแค่...”

“ต่อสายผิด”

“เออ” ใช่แล้ว เมื่อตอนที่ผมกดโทรออกไปหาจิณณ์แล้วพี่มันก็โทรกลับมาแบบสายฟ้าแลบ เรายังไม่ทันได้คุยกันอย่างที่ตั้งใจผมก็ดันบอกมันว่าต่อผิดหลังจากที่อ้ำอึ้งอยู่นาน มันค่อนข้างจะผิดวิสัยของคนที่ปากตรงกับใจแบบผมไปสักหน่อยที่จู่ ๆ ก็ไม่กล้าพูดขึ้นมาดื้อ ๆ ว่าจะโทรมาขอให้ช่วยติวให้สักบทสองบท แต่ผมก็ทำไปแล้ว แถมยังตัดวางสายจากฝ่ายนั้นแบบไม่รีรออีกด้วย ก็ไม่เข้าใจหรอกครับว่าทำไมต้องทำแบบนั้นแต่ผมบอกตัวเองว่าผมเกรงใจ เพราะถ้าจะนับแล้วผมกับจิณณ์ก็เป็นเพียงแค่คนรู้จักกันธรรมดาออกจะผิวเผินด้วยซ้ำ จะให้ผมไปขอความช่วยเหลือเขามันก็ยังไงอยู่ แถมครั้งสุดท้ายที่เจอกันมันก็ใช่ว่าจะประทับใจจนจะเอามาเป็นแรงหนุนนำให้ผมแบกหน้าไปพึ่งเค้าได้ พูดง่าย ๆ คือ ผมอายที่ทำฤทธิ์ใส่เค้าไว้เยอะนั่นแหละ

“การบ้านหรือ” เสียงนุ่มยังคงระดับความอบอุ่นไว้ได้อย่างไม่ขาดไม่เกิน แถมยังเปลี่ยนเรื่องเป็นแสงสว่างนำทางให้ผมราวกับรู้ใจ ผมมองปลายนิ้วที่แตะลากกระดาษของผมไปแล้วก็พยักหน้าตอบเงียบ ๆ จิณณ์มองไล่ตามข้อความที่ผมถอดความไว้แวบเดียวก็ยิ้มเต็มหน้า

“ก็บอกแล้วว่ามันยาก เหลือเวลาอีกแค่สองสามวันทำไม่ทันหรอก”

“รู้ได้ยังไง”

“ก็ฉันเคยทำมาก่อน”

“ไม่ใช่ รู้ได้ยังไงว่าเหลือเวลาอีกแค่สองวัน”

“วาบอก” ผมเคาะปากกากับหน้าหนังสือแล้วก็คิดไปพลาง เจ้าเพื่อนหน้าหวานของผมมันคงมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ด้วยไม่มากก็น้อยแน่ ถ้าผมถามออกไปว่ารู้ได้ยังไงว่าผมอยู่ที่นี่ สงสัยคำตอบคงไม่พ้น

“เค้าเป็นคนบอกฉันว่านายอยู่ที่ห้องสมุดนี่น่ะ” ผิดจากที่คิดไหมล่ะ วานี่มันห่วงงานจริง ๆ นะ คงคาดไว้แล้วว่าผมจะทำงานชิ้นนี้ส่งไม่ทันแน่เพราะทั้งเจ้าตัวและบุรินทร์นั้นก็ทำส่วนของตัวเองยังไม่เสร็จคงมาช่วยผมอย่างที่บอกไว้ตอนแรกไม่ได้แล้วเลยส่งหมอนี่มาช่วย น่านับถือในความเอาใจใส่ของเจ้าเพื่อนผู้รอบคอบของผมเสียจริง

“มานั่งทางนี้สิ อยู่กันคนละด้านแบบนี้มันไม่ถนัดนะ” จิณณ์บอกตาใสแล้วผมก็จิ๊ปากตอบ

“พี่ก็มานั่งด้านนี้สิ ผมชอบมุมนี้” แหมะ ช่างเห็นเหตุผลที่แสนจะน่าถีบอะไรเช่นนี้ จิณณ์ถึงกับชะงักมือที่กำลังกดเลื่อนไส้ดินสอ เงยหน้ามองผมก่อนจะตั้งต้นหัวเราะขำ มันขำจริง ๆ นะ ขำจนน้ำตาซึมเลย ผมเบือนหน้าหนี ไม่อยากมองมันนานมาก คนอะไรหัวเราะก็ยังดูดี!

“เอาแต่ใจตัวเองจริง ๆ” พี่มันบ่นเจือเสียงหัวเราะ เออ การถูกขัดใจนี่มันน่าอารมณ์ดีตรงไหนวะ ผมขยับไปติดหน้าต่างกระจก ให้อีกคนมานั่งเก้าอี้ตัวที่เหลือ จิณณ์เสยผมไปครั้งหนึ่ง หัวเราะเบา ๆ ตบท้ายอีกครั้งก่อนจะนิ่วหน้าเพราะเจอฤทธิ์ปลายศอกผมกระทุ้งเข้าให้

“เจ็บครับ”

“ใครใช้ให้หัวเราะ ขำมากหรือไง” ยัง ยังไม่หยุดยิ้ม

“ก็มันขำ รู้ตัวหรือเปล่าว่าตอนนี้ตัวเองต้องพึ่งฉันอยู่ มาออกคำสั่งนั่นนี่แถมยังทำร้ายร่างกายกันแบบนี้ เดี๋ยวก็ไม่มีงานส่งอาจารย์หรอก”

“ถ้าพี่มัวแต่นั่งทวงบุญคุณแบบนี้มันก็ไม่มีส่งเหมือนกัน”

“ทำไมจะไม่มี” ไอ้คนดีของวาที่พ่วงตำแหน่งผู้มีพระคุณของผมมาด้วยทำหน้าระรื่น ใช้ดินสอเขี่ยมือผมให้พ้นหน้าหนังสือแล้วก็เริ่มขีดเส้นลงตรงหัวข้อเป็นจุดแรก เสียงทุ้มอ่านทวนประโยคนั้นด้วยสำเนียงที่ไพเราะเสนาะหูแต่ช่างฟังยากเหลือเกินในความคิดของผม จิณณ์จะอ่านและอธิบายด้วยสำเนียงจากอเมริกาหรืออังกฤษผมก็สุดจะรู้แต่ที่แน่ ๆ หมอนี่ไม่ได้ใช้สำเนียงไทยแน่ อันนั้นปล่อยให้เป็นเรื่องถนัดของคุณภัทรก็พอ

“เข้าใจหรือยังว่าศิลปินเค้าต้องการอะไร” อาจารย์พิเศษถามย้ำเมื่อเราผ่านบทเรียนสุดแสนจะโหดหินไปได้สักหนึ่งในสามส่วน เห็นผมนั่งนิ่งไม่ตอบหมอก็เอียงหน้ามามอง แล้วมันก็ยิ้มอีกแล้ว

“ไม่เข้าใจหรือ มันยากไปหรือฉันอธิบายเข้าใจยาก”

“ไม่ใช่ทั้งสองข้อนั่นแหละ”

“แล้วทำไมนั่งเงียบ ตกลงตอบได้หรือเปล่า”

“ได้ แต่ผมไม่เข้าใจ”

“เรื่อง?” คนพูดถอดแว่นสายตาออก มองมาแบบกึ่งยิ้มกึ่งสงสัย ก็คงสงสัยเหมือนกันแหละว่าตอบได้แล้วทำไมยังไม่เข้าใจ ก่อนที่จะทำให้อีกฝ่ายเสียเซลฟ์ในการสอนไปเสียก่อนผมก็แจงว่า

“พี่มีเวลาว่างหรือจิณณ์ ผมรู้นะว่าพวกสถาปัตย์น่ะเรียนหนักกันตั้งแต่ปีหนึ่งยันปีสุดท้าย วาบอกว่าพี่อยู่ปีห้าเหมือนพี่พีร์ ทั้งที่พี่พีร์งานยุ่งตลอดเวลาแต่ทำไมพี่ยังมีเวลามาช่วยผมทำรายงาน ถามจริง ๆ เถอะ มันเดือดร้อนพี่หรือเปล่า” ริมฝีปากสีแดงเลือดวาดเป็นรอยยิ้มบาง โอย มันหล่อจริง ๆ ให้ตายเถอะ

“มันจะเดือดร้อนก็ต่อเมื่อฉันทำให้นายส่งงานไม่ทันต่างหากล่ะ”

“เรื่องนั้นไม่ต้องห่วงหรอก ถ้าส่งไม่ทันมันก็เป็นความผิดของผมเอง พี่ไม่จำเป็นต้องมารับผิดชอบ วาเองคงไม่ว่าอะไรหรอก”

“แล้วมันเกี่ยวอะไรกับวา?”

“ก็ วาขอให้พี่มาช่วยผมไม่ใช่หรือไง”

“.......”

“ถึงจะจริงจังกับการเรียนแค่ไหนแต่เพื่อนผมไม่มีทางตำหนิพี่หรอก วางใจได้” จิณณ์ทำหน้าแปลก ๆ พี่มันยืดตัวพิงพนักเก้าอี้แล้วก็หัวเราะเสียงต่ำอยู่ในลำคอ ผมไม่เข้าใจหรอกว่าไอ้กริยาแบบนั้นมันส่อให้เห็นถึงอารมณ์แบบไหน เมื่ออีกฝ่ายไม่อธิบายแถมยังส่งสัญญาณให้กลับไปหาบทเรียนต่อผมก็ปล่อยประเด็นล่าสุดทิ้งไว้ตรงนั้น

ช่างเถอะ ผมถามในสิ่งที่ข้องใจไปแล้ว อีกฝ่ายไม่อยากตอบผมก็ไม่อยากเซ้าซี้ สรุปก็คือเพราะเป็นเรื่องที่วาไหว้วานมาแม้จะเดือดร้อนจิณณ์ก็เต็มใจไม่มีปัญหา ว่างั้นเถอะ ผมทุ่มเทกับการถอดความภาษาอังกฤษจนเริ่มรู้สึกถึงความว่างเปล่าในท้องตัวเอง เสียงโครกครากมันดังประท้วงจนคนที่ก้มหน้าเงียบมาเกือบยี่สิบนาทีเงยหน้ามองผมตื่น ๆ

“โทษที หิวแล้วสินะ” จิณณ์เอ่ยย้ำความเข้าใจมากกว่าจะเป็นการขอคำตอบ ไม่เข้าใจหรอกว่าพี่มันจะขอโทษเพราะสาเหตุอะไรแต่ผมก็ยักคิ้วตอบไปทีหนึ่ง มองอีกฝ่ายรวบหนังสือให้เข้าที่เข้าทางแล้วก็ลอบถอนใจกับตัวเอง ยี่สิบนาทีหลังจากที่เราสองคนปิดประเด็นนั้นไปกลายเป็นยี่สิบนาทีแห่งความเงียบอันน่าอึดอัดจนผมแทบระเบิดออกมาหลายครั้ง

จิณณ์ปิดปากเงียบ สนใจแต่หน้าหนังสือที่มีภาษาอังกฤษเรียงเป็นพรืดแล้วก็ก้มหน้าก้มตาจด ๆ ๆ ขีด ๆ ๆ โดยไม่สนใจจะเงยหน้าขึ้นมาถามหรืออธิบายให้ผมเข้าใจด้วยเหมือนก่อนหน้านี้เลยสักครั้ง ตอนแรกผมนึกสงสัยอาการที่เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังตีนของมันจนต้องสะกิดถามหมอนี่ก็ส่ายหน้าตอบ ไม่ยอมพูดอะไรอีก ผมก็เริ่มจะรู้แล้วล่ะว่าไอ้หล่อมันกำลังเคืองผมอีกแล้วงานนี้ แต่จะเคืองเรื่องอะไรผมก็สุดปัญญาที่จะเดา ขี้เกียจไปสนใจอารมณ์หมาแมวให้เหนื่อยเลยปล่อยให้ทำงานเงียบ ๆ ไปคนเดียว ส่วนผมก็ดึงเอาหนังสืออีกเล่มมาเปิดอ่าน ทำงานไปจนท้องผมประท้วงเพราะความหิวนั่นล่ะสงครามเย็นถึงได้ยุติลง ไอ้พี่จิณณ์ก็กลับมาเป็นหน้ามือเหมือนเดิม

“จะห้าโมงแล้ว ไปหาข้าวเย็นกินเลยไหม”

“ก็ดี แล้วไม่เอาของทิ้งไว้ที่นี่หรือ” ผมถามเมื่อเห็นว่าอีกคนรวบหนังสือมาถือไว้ทั้งปึกแล้วก็ยื่นกระดาษชีทมาให้ผมหอบไว้ ปากสีแดงสดยิ้มจาง ๆ เลื่อนเก้าอี้ให้อยู่ในตำแหน่งของมันเหมือนยามที่ไม่มีคนมานั่ง

“กว่าพวกเราจะกลับมาห้องสมุดก็ใกล้ปิดแล้ว วันนี้วันธรรมดาปิดทุ่มตรงไม่ใช่หรือ” ผมใช้เวลาคิดนิดหนึ่งก็พยักหน้าตอบ ดูเหมือนอีกฝ่ายจะรู้เรื่องเวลาและสถานที่ดีกว่าผมที่เรียนคณะนี้เสียอีก เดินออกมาจากตึกหอสมุดพวกผมก็เลี้ยวขวา ข้ามถนนเส้นเล็กตรงไปยังโรงอาหาร

“ไม่ค่อยมีอะไรเหลือให้กินแล้วล่ะ เอาไงดี” จิณณ์ถามหลังจากที่เราสองคนเดินสำรวจหน้าร้านจนครบทุกร้านแล้ว เวลาห้าโมงไม่ถือว่าเย็นนักแต่นิสิตคณะผมส่วนใหญ่จะเลิกเรียนเวลาสามโมงครึ่ง หลังจากนั้นก็มีแค่ไม่กี่คลาสที่ดวงตกได้เรียนจนค่ำ เมื่อไม่ค่อยมีลูกค้าเจ้าของร้านส่วนใหญ่จึงปิดร้าน ล้างหม้อล้างไหกลับบ้านกันตั้งแต่ห้าโมง พวกผมมาเลทนิดเดียวก็เจอแต่ร้านโล่ง ๆ กับผักปลอมที่เค้าจัดไว้ตกแต่งหน้าร้านเท่านั้นแหละ

“ผมกินอะไรก็ได้ ก๋วยเตี๋ยวไก่ยังมีเหลืออยู่นี่นา”

“อย่าเลย มันเย็นมากแล้วพวกเครื่องปรุงคงไม่สดใหม่เหมือนเมื่อเช้า ออกไปกินข้างนอกดีกว่าฉันรู้จักเจ้าอร่อยอยู่เจ้าหนึ่ง อยากลองไหม”

“ถ้าเป็นก๋วยเตี๋ยวดู๋ดี๋ตรงซอยสามล่ะก็ ผมกินจนจะสนิทกับพนักงานเสิร์ฟละ”

“ไม่ใช่ ร้านนี้เจ๋งกว่านั้นแต่ไม่ใช่ร้านก๋วยเตี๋ยวนะ” คุณชายท่านบอกแล้วก็หนีบแขนเสื้อผมให้เดินตาม คราวนี้เราเดินตัดผ่านหน้าตึกใหญ่ที่จะตรงไปถึงหน้ามหาวิทยาลัยโดยไม่ต้องอ้อมไปออกทางหอสมุดให้เสียเวลา ผมลองใช้เวลานึกถึงรายการอาหารที่จะถูกยัดลงกระเพาะในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้าอย่างรื่นรมย์

“ร้านอะไรล่ะงั้น”

“ทายสิ”

“อาหารไทย?”

“ไม่ใช่”

“อาหารจีนหรืออาหารญี่ปุ่น เอ อาหารอินเดียก็น่าลองเหมือนกันนะ”

“ติดไว้ก่อนทั้งสามรายการนั่นแหละ วันนี้จะพาไปกินอาหารเวียดนาม เคยกินไหม” ผมส่ายหน้าดิก ไม่เคยรู้ด้วยซ้ำว่าแถวนี้มันมีร้านอาหารชาติที่ว่าอยู่ด้วย จิณณ์ยิ้มอมภูมิ กระชับหนังสือตั้งใหญ่ด้วยมือเพียงข้างเดียว ผมมองแขนแข็งแรงนั่นแล้วก็เพิ่งนึกได้

“พี่ไม่มีกระเป๋าหรือเป้เลยหรือ เห็นเดินตัวเปล่ามาตั้งแต่วันนั้นแล้วนะ”

“มีแต่ทิ้งไว้ที่โต๊ะประจำในห้องสมุดคณะ” โห พี่มันเป็นนิสิตประเภทไหนวะ มีโต๊ะประจำอยู่ในห้องสมุดเนี่ยนะ

“แล้ววันนั้นล่ะเจอบนรถไฟก็ไม่เห็นสะพายเป้สักใบ”

“วันนั้นลืม ทิ้งไว้ในรถที่บ้าน พอไม่ได้ขับรถมาเองมันก็เลย...”

“เหยยยยย พี่ขับรถได้แล้วหรือ?” ผมถามเสียงลั่น ลืมไปเสียสนิทว่าอีกฝ่ายแก่กว่าตัวเองตั้งหลายปี เรื่องที่จะขับรถร่อนไปทั่วกรุงเทพก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรสักนิด เสียงของผมคงดังไม่ใช่น้อยเพราะจิณณ์ไม่ได้มองตอบกลับมาหากหันไปยิ้มให้นิสิตอีกหลายชีวิตที่กำลังนั่งทำงานกันอยู่แถวนั้น ก้านนิ้วแข็งแรงแต่แปลกนักที่แตะแขนผมได้อย่างเบามือ ดันให้ผมเดินตามออกมาจากลานม้าหินอ่อนของคณะ เรายังไม่ทันผ่านลานนั้นไป เสียงคุ้นหูก็เรียกผมเอาไว้เสียก่อน

“คุณ! คุณภัทร!”

“อ้าว ตี๋ มาทำอะไรตรงนี้น่ะ มีนัดทำรายงานไม่ใช่หรือ” ร่างสูงที่เด่นสะดุดตามาแต่ไกลวิ่งเข้ามาหาผมแล้วก็รั้งแขนผมเข้าไปกระซิบกระซาบ มันทำท่าทางให้เหมือนกระซิบไปอย่างนั้นแหละครับ ไอ้พี่จิณณ์ที่ยืนไกลออกไปยังแอบยิ้มกับท่าทางของมันเลย

“นายนั่นแหละมาทำอะไรตรงนี้ ไหนบอกต้องรีบปั่นงานให้วาไง”

“ก็ทำอยู่แต่ตอนนี้มันเป็นช่วงพักสายตา กำลังจะไปหาข้าวกินน่ะ”

“ไปกับใคร” ผมหัวเราะ มันก็เห็นอยู่ว่าผมเดินเคียงคู่กระหนุงกระหนิงมากับไอ้หล่อนั่นสองคน มันยังจะถามทำไมอีก แล้วดู ๆ มาทำสะบัดค้อน งอนอะไรอีกล่ะคราวนี้

“ไปกับคนนั้นไง นายมาพอดีเลย ไปกินอาหารเวียดนามด้วยกันไหม”

“ไปกินที่ไหน”

“ไม่รู้ มีคนจะพาไป ไปเถอะนะ หลายคนสนุกดี” ดวงตาเรียวที่คลายความแง่งอนลงไปมากแล้วปรายมองจิณณ์ ฝ่ายนั้นก็แค่ยิ้ม ดูท่าแล้วบุรินทร์คงอยากไปกับพวกผมมากอยู่ มันทำหน้าคิดหนัก มองหน้าผมตาปริบ ๆ ก่อนจะถอนใจเฮือกใหญ่เมื่อได้ยินเสียงห้าว ๆ ร้องเรียกมาจากใต้ตึกใหญ่

“บุรินทร์ไรเดอร์ กลับมาทำงานได้แล้วสัด ต้องส่งพรุ่งนี้เช้านะเว่ย”

“เออ รู้แล้ว” บุรินทร์โบกมือให้เพื่อน เจ้านั่นหันหลังกลับแต่ไม่ก่อนที่มันจะคึกแซวผมยิ้ม ๆ

“มีเดทหรือจ๊ะน้องคุณ”

“หุบปากไปสัด” เพื่อนสุดเลิฟของผมแหกปากตะโกนตอบไป เห็นสีหน้าอันเครียดเคร่งของบุรินทร์แล้วผมก็ตอบได้เลยว่ามันชวดอาหารเวียดนามมื้อนี้แน่ สำหรับพวกชอบไฟลนก้นอย่างเรานั้น งานที่มีกำหนดต้องส่งพรุ่งนี้เช้า เวลาช่วงเย็นวันนี้ถือว่าสุดแสนจะสำคัญจนไม่อาจปลีกตัวไปไหนได้เลยทีเดียว

“ไปทำงานเถอะ เรื่องกินข้าวเดี๋ยวก็ได้ไปด้วยกัน”

“อือ นายเองก็ระวังตัวล่ะ กินเสร็จก็รีบกลับบ้านไปทำรายงานให้เสร็จซะ อย่าเหลวไหลไปไหนนะเดี๋ยวฉันจะโทรเช็คตอนค่ำ ๆ รอรับโทรศัพท์ด้วยล่ะ”

“ก็นะ ทำยังกับเพื่อนเป็นเด็กห้าขวบ เออ ๆ งานเสร็จก็โทรมาละกัน” ผมรีบบอกเมื่อเห็นหน้าบุรินทร์เริ่มหงิกลงอีกรอบ มันปรายตามองจิณณ์ พยักหน้าให้ตามมารยาทแล้วจิณณ์ก็ออกเดินนำผมไปทางประตูมหาวิทยาลัยก่อน ผมตบไหล่บุรินทร์แล้วก็ดันหลังให้เข้าไปในตึก เดินเร็ว ๆ มาทันจิณณ์ที่หน้าตึกของคณะสถาปัตย์พอดี พี่มันบอกผมสั้น ๆ

“เข้าไปเอากระเป๋าก่อนนะ”

“พี่เข้าไปเอาละกัน ผมรออยู่ตรงนี้แหละ” ว่าแล้วผมก็นั่งแปะตรงเก้าอี้ไม้แถวนั้นทันที จิณณ์เลิกคิ้วนิด ๆ ยิ้มถามผมเสียงอ่อน

“ทำไมไม่เข้าไปด้วยกันล่ะ”

“ขี้เกียจปีนบันได เหนื่อย” เป็นยังไงล่ะเหตุผลผม ตรงประเด็นสุดใจขาดดิ้นเลยคุณ แล้วมันก็จริงด้วยนะ มาปีนกับบุรินทร์คราวที่แล้วผมยังเหนื่อยไม่หายเลย เรื่องอะไรจะไปปีนเล่นให้เปลืองแรงอีก ผมนั่งเหล่สาวรออยู่แถวนี้ดีกว่า

“เคยขึ้นลงแค่รอบเดียวมันก็ต้องเหนื่อยอยู่แล้ว ความจริงมันไม่ได้สูงอะไรมากมายเลย นายต้องลองมาบ่อย ๆ จะได้ชิน” ไอ้คนดีมันพยายามจะตะล่อมผมแถมยังก้าวเข้ามาดึงชายเสื้อผมให้ลุกตามอีกแต่เสียใจงานนี้มันขาดแรงจูงใจที่ดีพอ ผมเลยสะบัดมือพี่มันทิ้งอย่างไร้เยื่อใย

“ไม่เอา ผมไม่ได้มีธุระปะปังอะไรในนั้นสักหน่อย คณะพี่มีแต่ผู้ชายถึก ๆ ไม่เห็นมีอะไรน่าดึงดูดใจสักนิด ถ้ามีสาว ๆ สวย ๆ อย่างคณะผมก็ว่าไปอย่าง แบบนั้นค่อยน่าเข้าไปชื่นชมให้คุ้มกับค่าเหนื่อยหน่อย พี่เข้าไปเองผมจะรออยู่ตรงนี้” ผมประกาศชัดแถมท้ายด้วยการเลื้อยตัวคว่ำหน้าลงบนโต๊ะไม้ปิดท้าย จิณณ์เม้มปาก บอกผมด้วยสีหน้าติดจะเรียบนิด ๆ แต่ก็ไม่มากเท่าเวลาที่บุรินทร์หรือวาโมโหผมหรอก

“นายต้องขึ้นไปดูคุณภัทร พรุ่งนี้เราต้องมาทำรายงานของนายในหอสมุดนี้ ถ้านายไม่ขึ้นไปแล้วจะรู้ได้ยังไงว่าจะไปหาฉันได้ตรงไหน หอสมุดมันไม่ใช่แคบ ๆ นะ ห้องหับมันสลับซับซ้อน ถ้าฉันไม่ว่างลงมารับนายก็อาจจะหาไม่เจอเลยด้วยซ้ำ” อีกแล้ว ผมล่ะเกลียดจริง ๆ เวลาที่ได้ยินเรื่องที่มันมีเหตุผลหนักแน่นจนเถียงไม่ได้แบบนี้น่ะ

“โทรถามทางเอาก็ได้”

“แล้วถ้าฉันไม่ว่างรับสายล่ะ”

“เออ ๆ ๆ ไปก็ได้ วุ่นวายชิบ...”

“อย่าขี้เกียจสิ ถ้านายยังเรียนที่คณะเดิมนายก็ต้องมาห้องสมุดคณะฉันบ่อย ๆ เพราะหลายวิชาในหลักสูตรของทั้งสองคณะมันต้องใช้หนังสือจากห้องสมุดนี้ เหมือนคราวนี้ไงล่ะ”

“ก็มันเหนื่อย พี่บอกคณะบดีสร้างลิฟต์ไว้ให้ห้องสมุดด้วยสิ ผมจะมาทุกวันเลย”

“ถึงบอกให้สร้างนายก็ไม่ทันใช้หรอกน่า มันต้องทำเรื่องนานบวกระยะเวลาในการสร้างไปอีกเป็นปี ตอนนี้ก็หัดเดินขึ้นลงไปพลาง ๆ ก่อน เดี๋ยวนายก็ชินเอง เชื่อฉันสิ” เสียงนุ่มปลอบเจือด้วยรอยยิ้มเอาใจจนผมชักจะฮึดฮัดไม่ออก ผมเอาแต่ใจนะเว่ย มาใจดีด้วยแบบนี้บ่อย ๆ เดี๋ยวคนใจดีเองนั่นแหละจะเดือดร้อน

“รู้ได้ยังไงว่าผมจะรอดไปถึงวันนั้น ผมอาจหน้ามืดสะดุดขั้นบันไดตกลงมาหัวฟาดพื้นตายก่อนก็ได้”

“ไม่หรอกน่า” เจ้าของริมฝีปากสีสวยยิ้มมั่นใจ จิณณ์เลื่อนมือมารั้งปลายแขนเสื้อเชิ้ตของผม รั้งให้เดินตามไปช้า ๆ “มากับฉัน นายจะสะดุดกี่ครั้งก็ไม่มีทางตกลงไปหรอก”



โปรดติดตามตอนต่อไป   :mew1:

((ต่อให้สะดุดกี่ครั้งก็ยังมีพี่จิณณ์คอยรับสินะ *เริ่มอิจฉาพี่น้องคุณละ*))

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 29-10-2016 11:03:23 โดย MoonLovers »

ออฟไลน์ puiiz

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-4
อยากได้แบบนี้สักคน ผู้ชายอบอุ่นแบบนี้ เหวี่ยง วีน ได้สบาย หายห่วง

 :impress2: :impress2: :impress2:

ออฟไลน์ lnudeel

  • I wanna be a CAT!!
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1466
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +31/-5
สะดุดอีกก็เพิ่มความหล่อของแฟนคณะนี้? :hao7: :katai2-1:

ออฟไลน์ magic-moon

  • magKapleVE
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 496
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-2
    • Freedom of meetups, no obligations
น่ารักอ่ะ งอแงเฉพาะกับเขาทั้งๆที่ยังไม่รู้ตัวเลยนะนี่

ออฟไลน์ patek

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 40
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
จิณณ์น่ารักมาก สุภาพ มาต่ออีกบ่อยๆนะคับ

ออฟไลน์ MoonLovers

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 26
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-0
ตอนที่ ๖   :L2:

ผู้แต่ง :: FANISMZ





ในระดับแรกผมเข้าใจว่าห้องสมุดคณะสถาปัตย์เนี่ยมันมีอยู่แค่สามชั้นตามจำนวนชั้นที่มากที่สุดที่ผมเคย(ถูกบุรินทร์บังคับให้)ปีนมาแล้ว แต่ที่ไหนได้ มันมีซ่อนไว้ข้างบนอีกชั้นหนึ่ง แล้วไอ้บ้าพี่จิณณ์มันก็ดันแก่นไปเลือกที่ตั้งของโต๊ะประจำอยู่ชั้นนั้น กว่าจะก้าวผ่านบันไดแต่ละขั้นมาจนถึงขั้นสุดท้ายก็เล่นเอาผมหอบจนลิ้นห้อย

“โต๊ะ เก้าอี้ ม้าหินอ่อนใต้ต้นไม้มีมากมาย ทำไมพี่ไม่เลือกเอาสักโต๊ะวะ ทนเดินขึ้นเดินลงอยู่ได้”

“ข้างล่างคนมันเดินผ่านไปผ่านมาเยอะ น่ารำคาญ” คนที่ยืนรอผมอยู่ตอบเสียงเบา ผมกลอกตามองมันเหมือนไม่เข้าใจแล้วก็ต้องเบะปาก ลืมไปว่าพ่อคุณเนื้อหอมแค่ไหน ขนาดไปซ่อนตัวในที่มืดอย่างโรงหนังยังมีคนตามเข้าไปดูด้วยได้ นับประสาอะไรกับโต๊ะที่เปิดโล่งไปทั้งลานแบบนั้น ถ้าจิณณ์ไปนั่งแถวนั้นคงไม่ต้องทำงานทำการอะไรทั้งคนถูกมองแล้วก็คนแอบมองนั่นแหละ

ผมเกาะราวบันไดมองบันไดอีกเก้าขั้นที่เหลืออย่างทดท้อ ข้างตัวยังมีผู้ชายหน้าตาหล่อไม่บันยะบันยังยืนกอดอกหลวม ๆ มองอยู่ มันน่าแปลกไหมล่ะครับ ขนาดท่วงท่าที่ดูสบาย ๆ พอจิณณ์เอามาทำบ้างมันกลับกลายเป็นภาพที่น่ามองไปเสียฉิบ แค่กอดอกแล้วก็เอียงไหล่พิงกับผนังตึกด้านในของบันไดเท่านั้นเอง

สายตาผมคงบอกอะไรไปเยอะ เจ้าตัวมันถึงได้ยิ้มละลายใจ(สาว)ตอบกลับมา

ไอ้เชี่ย แม่ง หล่อสาดเสียเทเสีย

ผมอุบอิบกับตัวเองแล้วก็ตั้งหน้าตั้งตาปีนบันไดไปสู่ควาเตอร์สุดท้ายของหอสมุดแห่งนี้ บันไดแดงยังทอดวนไปสูงเกินกว่าที่จะมองเห็นอะไรในชั้นสี่ได้ ขาผมเริ่มล้าเพราะนานครั้งที่จะได้ออกกำลังหนักแบบนี้ เดินมาได้ครึ่งหนึ่งก็คิดว่าจะพักอีกสักแป๊บ แต่ดันมีมนุษย์เหล็กที่ตามหลังผมมาติด ๆ คว้าหมับเข้าที่ศอกผม ใบหน้าหล่อจัดยิ้มพราย บอกเสียงนุ่ม

“วิ่งกันเถอะ”

“วิ่ง?”

วิ่งเหี้ยอะไรรรรรร ไอ้คนบ้าพลังมันไม่ยอมฟังที่ผมพูด ตั้งต้นลากแขนผมวิ่งตามมัน อยากร้องไห้เหลือเกินครับ ผมจะสะบัดประท้วงไม่เอาไม่ยอมก็ไม่ได้เพราะพี่มันไม่ยอมฟังแถมยังจับผมแน่นไม่ปล่อย จำต้องกัดฟันวิ่งตามมันไป จนเกือบจะพ้นบันไดสองขั้นสุดท้ายอยู่แล้ว ร่างของผมก็เซไปข้างหน้า ถลาเหมือนนกปีกหักเลยคุณ โชคดีที่พื้นชั้นสี่ปูพรมหนาจนนุ่มพอผมเลยไม่เจ็บตัวเพราะความบ้าของมัน พอหายตกใจแล้วผมซัดไหล่ไอ้คนชั่วไปซะสองหมัด

“พี่จะฆ่าผมหรือไงวะ” ผมโกรธจนหน้าร้อนไปหมด เหนื่อยก็เหนื่อย แล้วยังต้องมาตกใจเพราะการกระทำบ้า ๆ ของมัน นี่ถ้าผมไม่มือไว คว้าให้มันล้มมาด้วยกันผมจะแค้นมันยิ่งกว่านี้ จะแค้นอะไรซะอีกล่ะ ก็ไอ้พี่จิณณ์มันปล่อยมือผมในวินาทีสุดท้ายเล่นเอาผมสะดุดบันไดขั้นบนสุด แล้วก็ถลาลมลงมานอนหมดท่ากันอยู่นี่ยังไงล่ะ

“คราวหลังผมจะไม่มากับพี่แล้ว อยากฆาตกรรมกันก็บอกมาตรง ๆ สิ ลากขึ้นมาถึงชั้นสี่ให้เหนื่อยทำไม”

“ล้อเล่นน่า เห็นเครื่องอืดก็เร่งให้ไง”

“โดยการลากผมวิ่งขึ้นมาแล้วก็ผลักทิ้งเนี่ยนะ” พ่อคนดี พ่อศรีพระนคร จะเล่นทีก็เกือบถึงชีวิตเลยนะมัน โดนผมว่าไปขนาดนี้พี่มันยังไม่สะเทือน ยังเท้าศอกกับพื้นหัวเราะอารมณ์ดีตามประสาคนบ้าของมันไป

“ไม่ได้ทิ้ง ฉันก็ล้มตามนายมาด้วยนี่ไง เป็นไง เหงื่อออกแบบนี้รู้สึกดีไหม”

“ไม่ต้องมาพูดดี ถ้าผมไม่ดึงพี่ลงมาด้วย พี่คงยืนกอดอกหัวเราะสมน้ำหน้าผมแน่”

“ฉันไม่ทำแบบนั้นหรอกน่า นายดูนั่นสิ ถ้าเรานอนกับพื้นแบบนี้จะเห็นภาพเขียนบนเพดานโดยไม่ต้องแหงนคอตั้งบ่าให้เมื่อยเลยนะ สวยไหม” เสียงนุ่มที่ไร้วี่แววของความเหนื่อยหอบอธิบายเบา ๆ นิ้วเรียวชี้ให้ผมมองลวดลายที่กินพื้นที่ทั้งหมดของเพดานรูปโค้ง ผมเผลอเขวี้ยงค้อนให้มันทีหนึ่งโทษฐานแกล้งลืมเลือนความผิดของตัวเองแล้วก็ยอมมองตาม แรก ๆ ก็ไม่ค่อยจะเข้าหูเท่าไหร่ เพราะอารมณ์โกรธมันมีอยู่มากแต่พอจิณณ์บอกว่ามันอยู่ในวิชาที่ผมกำลังเรียนอยู่ เลือดเด็กรักเรียนในตัวมันก็เตือนสติให้ผมจำต้องตั้งใจฟัง

“รูปนี้ได้แนวคิดมาจากการเขียนภาพเพดานในมหาวิหารเซนต์ปีเตอร์แต่เพราะที่นี่ไม่ใช่โบสถ์ของคริสตจักร นิสิตของเรามีหลายเชื้อชาติ ศาสนา พวกเราเลยเลือกที่จะใช้ภาพเหตุการณ์จากตำนานเทพกรีกและโรมัน อ้างอิงมาจากฉบับของอิดิธ ฮามิลตัน แล้วก็จินตนาการออกมาเป็นภาพที่คิดว่ามันให้ความรู้สึกอบอุ่นอ่อนโยน เข้ากันกับบรรยากาศของหอสมุดมากที่สุด”

ผมนอนกอดอก มีรุ่นพี่หน้าหล่อที่ทำหน้าที่เป็นไกด์จำเป็นนอนอยู่ข้าง ๆ มันชี้มุมนั้นมุมนี้พร้อมทั้งอธิบายประกอบ เสียงนุ่มเล่าเรื่องนั้นเรื่องนี้ฟังแล้วเพลินหูจนผมเผลอหลุดปากถามเรื่องที่ไม่เข้าใจไปหลายครั้ง แล้วจิณณ์ก็ตอบได้ชัดเจน ตรงประเด็นอย่างน่าทึ่ง

จิณณ์เปิดเล็คเชอร์วิชาวรรณคดีกับทรรศนศิลป์ให้ลูกศิษย์คนเดียวคือผมจนรู้แจ้งเห็นจริงทั้งประวัติความเป็นมาและกลวิธีการสร้างสรรค์งานเป็นที่เรียบร้อย ผมก็พลิกตัวไล่ความเมื่อยอีกครั้ง แล้วก็ได้รู้ว่าตัวเองนอนหนุนพุงของอาจารย์พิเศษมาตลอด ผมเม้มปากนิด ๆ กลิ้งหน้าไปมองมัน จิณณ์ก็มองตอบกลับมา คนตัวสูงกว่าผมเท้าศอกข้างหนึ่งกับพื้น กึ่งนั่งกึ่งนอนด้วยท่าทีสบายสุดฤทธิ์ ในมือขาวมีปากกาหรูที่ใช้แทนแสงเลเซอร์ชี้ตำแหน่งภาพให้ผมดูเมื่อครู่ ผมมานอนบนตัวพี่มันตั้งแต่เมื่อไร่วะ จำไม่ได้เลยโว้ย

“เมื่อยไหม” แทนที่จะเป็นผมที่เป็นคนถามคำถามนั้น กลับกลายเป็นคนที่โดนนอนทับมาตลอดเป็นคนถามเสียเอง ผมส่ายหน้า ดึงตัวเองให้ลุกขึ้นนั่งแล้วก็จัดผมเผ้าให้เรียบร้อยตามปกติของคนที่ต้องดูดีตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง จิณณ์ลุกขึ้นนั่งแล้วก็เอื้อมมือไปเก็บตำราของตัวเอง(ที่ให้ผมยืมมา)จนครบ

“ลืมไปเลยว่าเราสองคนกำลังหิวข้าว”

“เออ นั่นสิ” ผมคราง เพิ่งนึกออกเหมือนกันนั่นแหละ จิณณ์หยิบหนังสือมาวางซ้อนกันแล้วก็หันมามองผม เรามองตากันไปมาแล้วสุดท้ายก็หัวเราะออกมาพร้อมกัน บ้าไปแล้วผม แทนที่จะโมโหหิวอย่างที่เคยเป็น มานั่งอารมณ์ดีอะไรอยู่ตรงนี้เนี่ย!

“ไปกันเถอะ เดี๋ยวต้องทำงานต่อ” และก็เป็นจิณณ์อีกครั้งที่ดึงให้งานของผมเดินไปข้างหน้า ผมมองนาฬิกาแล้วก็นิ่วหน้า เราสองคนใช้เวลากับการนอนมองเพดานไปนานถึงครึ่งชั่วโมงโดยไม่รู้ตัวเลยหรือ อะไรมันจะเพลินขนาดนี้ แล้วทำไม...ผมหันไปมองบันไดที่ทอดวนลงไปชั้นล่าง ไม่ยักกะมีใครเดินขึ้นมาบนนี้สักคน แม้แต่คนที่จะเดินกลับลงไปข้างล่างก็ไม่มี พอผมถามเจ้าถิ่นก็บอกว่า

“ไม่มีใครขึ้นมาหรอก ชั้นสี่จัดไว้สำหรับเก็บหนังสือหายาก มีแต่บรรณารักษ์เท่านั้นที่จะขึ้นมาได้แต่ก็จะใช้บันไดอีกทางหนึ่ง ทางนี้มีแต่สมาชิกสภาของคณะที่ใช้ขึ้นลง เพราะห้องของพวกเราอยู่ด้านนี้”

“พวกเรา?”

“ก็พวกเรา ฉันกับเพื่อน ๆ ในสภา อ้อ มีพีร์ด้วยนะ”

“ถึงว่า นิสิตปกติทั่วไปคงไม่มีใครมาตั้งโต๊ะประจำในห้องสมุดหรอก ยกเว้นพวกที่พิเศษมาก ๆ แบบ...” ผมอดไม่ได้ที่จะแขวะยิ้ม ๆ จิณณ์ก็คงรู้ทัน มันเลยเคาะปากกากับหน้าผากผมซะเจ็บเลย

“ปากจัด”

“พี่ก็มือหนัก”

“รู้ได้ยังไง”

“เอะอะก็ผลักก็ตีแบบนี้ใครจะไม่รู้” ผมทำตาขุ่นตอบเมื่อมันยื่นหน้าเข้ามาดูผลงานตัวเองใกล้ ๆ

“เคาะไปทีเดียวก็ใส่ร้ายกันเลยนะ ขี้โวยวายสมคำร่ำลือจริง ๆ”

“ใคร ใครมันบังอาจลือ พูดให้ดี ๆ นะโว้ย”

“ช่างเถอะ อย่าให้คนอื่นเค้ารับเคราะห์ด้วยเลย เดี๋ยวนายรู้แล้วจะวิ่งโร่ไปต่อยเค้า”

“ผมไม่ใช่พี่นะไม่พอใจอะไรก็ใช้กำลังน่ะ”

“ฉันไปใช้กำลังกับนายตั้งแต่เมื่อไหร่” จิณณ์หันมาถามเสียงต่ำ จู่ ๆ มันก็เกิดคึกอยากทำหน้าจริงจังขึ้นมา เล่นเอาผมที่กำลังสนุกกับการต่อปากต่อคำกับมันถึงกับอึ้งไปชั่ววิ

“เคยมีตอนไหนที่ฉันทำให้นายเจ็บตัวหรือคุณภัทร” ดวงตาสีดำจัดจับจ้องนิ่งที่ดวงตาผม แม่ง พอมันไม่ยิ้มอย่างทุกทีแล้ว ไอ้พี่จิณณ์มันก็ผู้ร้ายเราดี ๆ นั่นเองครับท่านผู้ชมมมม

“ก็เมื่อกี้ไง ผลักมาได้ เกิดผมก้าวพลาดตกลงไปข้างล่างพี่จะทำไง” ผมตอบแบบไม่เต็มคำนัก รู้สึกเหมือนเลือดมันวิ่งมารวมกันที่แก้มทั้งสองข้าง พาลให้ร่างกายส่วนอื่นขาดเลือดหล่อเลี้ยงเลยอ่อนเปลี้ยเพลียแรงตามไปด้วย เราถอนสายตาออกจากกัน จิณณ์ลุกขึ้นยืนเต็มความสูง แล้วก็ก้มลงมาบอกผมอย่างมั่นใจว่า “มันจะพลาดได้ยังไงฉันตั้งใจผลักขนาดนั้น”

นั่น! มันสารภาพออกมาแล้วว่าตั้งใจแกล้งผม

ก่อนที่จะเกิดสงครามน้ำลายที่มีผมเป็นฝ่ายเริ่มแต่ไอ้หล่อเป็นฝ่ายจุดชนวนอีกครั้ง จิณณ์ก็ฉุดผมลุกขึ้นยืนเป็นการตัดบท เราจัดเสื้อผ้า ทรงผมเกือบเรียบร้อย เสียงห้าวของบุคคลที่สามก็ดังให้ผมได้หันไปมอง

“มาทำอะไรตรงนี้วะ?” รณพีร์ จีรวัฒน์สกุลครับพี่น้อง เปิดประตูกระจกเข้ามาพร้อมรอยยิ้มกว้าง ผมมองแล้วรู้สึกว่าเค้าจงใจส่งตรงให้ผมคนเดียวยังไงก็ไม่รู้ เพราะพอหันไปทางจิณณ์ เพื่อนของวาก็ทำตาหรี่แล้วก็อมยิ้มมองซะอย่างนั้น ผมทักทายอีกฝ่ายก่อนเพราะตัวเองอ่อนกว่าหลายปี ฝ่ายนั้นทักตอบอย่างคนมีอัธยาศัยดีผิดกับหน้าตาดุ ๆ ลิบลับ จิณณ์ส่งชีทปึกเดิมมาให้ผมแล้วก็เลยดึงสายเป้ผมให้เดินตาม

“ขึ้นมาเอากระเป๋าเดี๋ยวจะไปกินข้าวต่อ”

“กินข้าว นี่มึงกินข้าววันละกี่มื้อกันวะ พวกเราเพิ่ง...”

“มันจะแปลกอะไร กูหิว ช่วงนี้ต้องใช้พลังงานเยอะ”

“จริงดิ หักโหมขนาดนั้นเลยหรือวะ” พี่พีร์นึกจะแซวก็ไม่คิดจะยั้ง ผมเลยได้เห็นไอ้หล่อมันทำร้ายร่างกายคนอื่นอีกครั้ง คราวนี้มันใช้สันหนังสือที่อยู่ในมือนั่นเอง โขกไปทีหนึ่งพี่พีร์ก็ร้องลั่น

“สัด! เจ็บนะโว้ย แซวแค่นี้ทำเขิน”

“พีร์ ไม่เกรงใจเพื่อนมึงก็เกรงใจคนอื่นมั่ง ยืนตาแป๋วมองอยู่เนี่ยเห็นไหม” พี่พีร์หัวเราะเสียงดังแถมยังหันมายักคิ้วให้ผมแบบไม่รู้สำนึก ผมเองก็ไม่ใช่คุณหนูที่หูเปราะบางจนฟังคำหยาบไม่ได้ เรื่องทะลึ่งตึงตังก็ยิ่งถนัดใหญ่เลยไม่สะทกสะท้านกับหัวข้อที่ทั้งสองคนพูดกันนัก แต่ที่มันสะกิดใจผมดันเป็นคำพูดที่มาจากปากแดง ๆ ของไอ้พี่จิณณ์นี่แหละ รู้จักกันมาตั้งอาทิตย์หนึ่ง ผมเพิ่งรู้ว่าพี่มันก็ขึ้นมึงขึ้นกูเป็น

เราสามคนเดินออกประตูกระจกทรงสูงที่พี่พีร์เพิ่งเปิดเข้ามา ด้านนอกเป็นลานกว้าง ลมพัดเย็นสบาย มีม้านั่งกระจายให้เป็นจุด ๆ ส่วนหนึ่งยื่นออกไปรับแสงแดดแต่ตรงที่พวกพวกกำลังเดินตัดผ่านเป็นส่วนที่มีร่มเงาของอาคารบังแสงไว้ มาถึงอีกด้านก็เจอประตูกระจกสีขุ่นเหมือนเมื่อครู่ พี่พีร์ดันประตูเปิดเข้าไปก่อน

“ไพร่ฟ้าหน้าใสทั้งหลายเก็บไพ่ด่วน พ่อมึงกลับมาแล้วโว้ย”

“แอบเล่นไพ่กันอีกแล้ว” จิณณ์เอ่ยแล้วก็ส่ายหน้าและเพราะอีกฝ่ายตัวสูงมากผมเลยต้องเยี่ยมหน้าออกไปมองเอง

ในห้องนั้นมีขนาดกว้างประมาณไหนน่ะหรือครับ ขนาดที่ว่าหากมีคนอยู่เกือบสิบคนก็ยังไม่ดูอึดอัดเลยล่ะ ด้านหนึ่งเป็นกระจกที่เปิดม่านมูลี่ให้เห็นวิวด้านนอก มองผ่าน ๆ ก็เห็นว่ามันถูกแบ่งพื้นที่ไว้สองส่วนใหญ่คือที่ทำงานและที่พักผ่อน ทางซ้ายของประตูเป็นโต๊ะทำงานหลายโต๊ะแต่ละโต๊ะหันหน้าเข้าหากันและถูกกั้นด้วยกระจกสีขุ่นเพื่อความเป็นส่วนตัว มีคอมพิวเตอร์เครื่องใหม่เอี่ยมตั้งอยู่ทุกโต๊ะ ด้านหลังเป็นที่เก็บเอกสารบวกอุปกรณ์การออกแบบ โมเดลรูปแบบของบ้านและอาคาร อุปกรณ์วาดเขียนที่เรียงไว้ได้ดูดีอย่างน่าทึ่ง

ทางขวาของประตูเป็นชุดโซฟาขนาดใหญ่ กินพื้นที่เยอะที่สุดของห้อง ล่วงเข้าไปข้างในถูกกั้นด้วยชั้นวางหนังสือสีเข้ม จิณณ์พาผมตรงไปยังหลังชั้นวางหนังสือนั้นแล้วก็ได้เห็นว่าข้างหลังนั้นเป็นมุมพักผ่อนของจริง เตียงขนาดเล็กตั้งชิดด้านในสุด โต๊ะขนาดเล็กวางตรงกลางและเครื่องรับโทรทัศน์แบบจอแบนขนาดห้าสิบสองนิ้วที่ฝังลึกไปในผนัง ผมกวาดตามองรอบห้องแล้วก็เพิ่งสำนึกได้ว่าไอ้พื้นนุ่ม ๆ ที่เหยียบเข้ามาตั้งแต่ประตูนั้นคือพรมประเภทเดียวกับที่เคยเหยียบในห้องจิณณ์!

“นี่พี่สร้างโรงแรมส่วนตัวไว้ในมหาวิทยาลัยหรือเนี่ย”

“ไม่ใช่ นี่ห้องสภา” ผมมองรูปเขียนสีน้ำข้างผนังแล้วก็เผลอค้อนคนตอบให้ทีหนึ่ง “สภาบ้าอะไร ห้องสภาของคณะผมยังไม่เห็นจะหรูหรา อุปกรณ์ครบครันแบบนี้เลย”

“ก็ของมันต้องใช้ทั้งนั้น ออกมานี่ก่อนเร็ว” จิณณ์บอกผมหลังจากเก็บของของตัวเองเสร็จ เราออกมาเจอพี่พีร์อีกครั้งพร้อมผู้ชายอีกหลายคนที่ผมไม่ค่อยคุ้นหน้าเอาเสียเลย ก็ได้แต่สงสัยว่าตอนที่ผมเดินเข้ามาเมื่อกี้พวกเขาไปซ่อนตัวอยู่ตรงไหนของห้อง ผมแอบเกร็งนิด ๆ แต่ดีที่ทุกคนยิ้มส่งมาให้ก่อน ผมเลยไม่ต้องยืนตัวเกร็งเกาะพี่มันให้รำคาญตัวเอง

“นั่น พีร์ รณพีร์นายคงรู้จักแล้ว ส่วนนั่นไวทิน นรวิชญ์แล้วก็ภูวดล เพื่อนของฉัน ทุกคน นี่คุณภัทร น้องเป็นเพื่อนของวา ช่วงนี้เรามีเรื่องต้องพึ่งพากันอยู่อาจจะเห็นเค้าที่นี่บ่อย ๆ”

“สวัสดีครับน้องคุณ ได้ยินวาพูดถึงมานาน เพิ่งได้เคยเจอกันเนาะ” ผู้ชายหน้าโหดที่สุดเป็นคนแรกที่เอ่ยทักทายผมอย่างน่ารัก ผมชอบจังเลยเวลาเขายิ้มแล้วเห็นรอยจีบพับข้างดวงตาแบบนั้นน่ะ มันดูจริงใจดี

“สวัสดีครับ ยินดีที่ได้รู้จักพี่...ไวทิน” ใช่ไหมนะ ผมยิ้มนำทัพส่งออกไปก่อน ทุกคนเปลี่ยนกันทักทายแล้วก็พูดอะไรหลายอย่างที่ผมไม่เข้าใจแต่เดาว่าคงเป็นภาษาเปรียบเทียบแบบเด็กสถาปัตย์เลยไม่ได้สนใจ จนท้องมันเริ่มประท้วงอีกรอบผมเลยแอบสะกิดจิณณ์ ลูบท้องบอกให้รู้ว่าผมหิวจนจะกินหัวมันได้แล้ว

“กลับก่อนนะ ต้องไปทำงานต่อ”

“งานอะไรวะ กูเห็นมึงปั่นไม่ได้หลับได้นอนมาทั้งอาทิตย์ยังไม่เสร็จอีกหรือ” ผู้ชายตาเรียว มือสวยที่ผมจำไม่ผิดว่าชื่อภูวดลร้องถามแต่พี่พีร์ก็สกัดตอบสั้น ๆ ว่า “คนละงานกัน”

คนที่ข้องใจมองหน้าผมแวบหนึ่งแล้วก็พยักหน้ากับตัวเอง จากนั้นก็หันไปเจ๊าะแจ๊ะกับพี่โหดของผมต่อ ผมบอกลาทุกคน เดินผ่านลานกว้างมาได้จนเกินครึ่งแล้วก็หันกลับไปดู ปรากฏว่าทุกคนในห้องนั้นพากันพร้อมใจออกมายืนส่งด้วยรอยยิ้มเต็มใบหน้าจนผมชักสงสัย

“ทำไมทุกคนมองผมแปลก ๆ”

“แปลกยังไง”

“ก็มองแล้วก็ยิ้ม ๆ บางทีก็กระซิบกระซาบกันแล้วก็หันมามองยิ้ม ๆ”

“อึดอัดหรือเปล่า ถ้ารู้สึกไม่ดีจะไปจัดการให้” ได้ยินพี่มันถามเหมือนเป็นเรื่องสำคัญ ผมก็รีบให้เวลาสำรวจความคิดของตัวเองแล้วก็ส่ายหน้า มันก็ไม่ได้รุนแรงอะไร

“ไม่หรอก ไม่ได้รู้สึกไม่ดี แค่สงสัยน่ะ ทุกคนก็ดูเป็นมิตรดี”

“พวกนั้นมันก็บวม ๆ แบบนี้แหละ อย่าถือสาเลย รู้จักกันไปจะรู้ว่ามันไม่มีอะไรหรอก คงตื่นเต้นน่ะไม่ค่อยมีใครขึ้นมาให้เห็นบนนี้ วัน ๆ ได้แต่มองหน้ากันไปมามันคงเบื่อ”

“แล้วเวลาที่วามาหาพี่พีร์ก็ขึ้นมาบนนี้หรือ”

“ใช่ แต่มาไม่บ่อยหรอก สองคนนั้นบ้านใกล้กันส่วนใหญ่ก็เจอกันที่บ้านมากกว่า” ดูท่าทางทุกคนจะสนิทสนมกันดี การที่จู่ ๆ ก็มีผมโผล่เข้าไปในห้องนั้นโดยไม่ได้รู้จักกับใครมาก่อนมันจะทำให้พวกเค้าลำบากหรือเปล่า เรื่องแค่นี้ผมก็ต้องเก็บเอามาคิดตามประสาคนที่มีเชื้อสายผู้ดีที่มักจะเกรงอกเกรงใจผู้อื่นเสมอ ผมคิดและคิดจนกลายเป็นเงียบอยู่คนเดียว

“เป็นอะไร ยังติดใจเรื่องเมื่อกี้อยู่หรือ”

“ก็ไม่เชิง ถ้าเราไปทำงานในห้องนั้น มันจะลำบากคนอื่นหรือเปล่า ผมหมายถึงว่าผมเป็นคนนอก เอางานส่วนตัวเข้าไปทำในห้องสภาของคณะอื่น มันอาจจะไม่ค่อยดี” จิณณ์ประท้วงด้วยเสียงครางในลำคอ

“ไม่มีอะไรไม่ดีหรอก แล้วต่อไปนี้ นายก็ไม่ใช่คนอื่นแล้วด้วย”

“ทำไม”

“ก็ไม่ทำไม เพื่อนฉันก็เหมือนเพื่อนพวกนั้นด้วยเหมือนวากับพีร์ไง”

“ทำแบบนั้นได้หรือ”

“ได้สิ วันไหนเลิกเรียนเร็วก็ขึ้นมาหาฉันบนนี้ได้ ระหว่างที่รอเรียนตอนบ่ายจะขึ้นมานอนฆ่าเวลาก็ไม่มีใครว่า ถ้าว่างมากนักก็ให้เจ้าพวกนั้นช่วยติวให้ เห็นอย่างนั้นน่ะหัวกะทิของรุ่นทั้งนั้นเลยนะ ลองปีนบันไดแดงเล่นวันละรอบสองรอบ ร่างกายจะได้แข็งแรงดีกว่าเอาเวลาไปเที่ยวตะลอน ๆ แถวสยามหรือทองหล่อตั้งเยอะ” สุดท้ายมันก็วกเข้าเรื่องเดิม พยายามเหลือเกินละ ไอ้เรื่องที่จะให้ผมหันมารักมาชอบการปีนบันไดหฤโหดของคณะมันเนี่ย หยุดคิดไปสักวันมันจะทำให้รัศมีความเป็นคนดีหมองลงหรือยังไง ผมนึกแขวะพ่อคนดีท่านในใจแล้วก็เบรคกึก

“พี่รู้ได้ยังไง?”

“ก็เคยทำมาก่อนทำไมจะไม่รู้”

“ไม่ใช่ รู้ได้ยังไงว่าผมเอาเวลาไปเที่ยวตะลอน ๆ ตรงไหนบ้าง”

“ก็...”

“จิณณ์” ผมเน้นเสียงเข้ม “บอกมาตามตรง พี่รู้ได้ยังไงว่าผมชอบไปไหน เมื่อไหร่” หลบตา เสมองขั้นบันได แลบลิ้นเลียริมฝีปากแล้วก็อมยิ้มน้อย ๆ อาการแบบนี้เด็กห้าขวบแถวบ้านผมฟันธงว่าไอ้พี่จิณณ์มีพิรุธร้อยเปอร์เซ็นต์!

“ฉันก็เคยไปแถวนั้นเหมือนกัน”

“แล้วก็บังเอิญเป็นทุกครั้งที่ผมไปด้วยอย่างนั้นใช่ไหม” ผมชี้ทางเอาตัวรอดให้พี่มันอย่างใจกว้าง จิณณ์ยิ้มเขิน รู้ล่ะสิว่าเหตุผลที่พูดออกมานั่นน่ะมันไม่ใช่ความจริงสักนิดเดียว ผมปรายตามองใบหน้าหล่อเหลาที่กำลังส่งยิ้มมาให้แล้วก็นึกแปลกใจตัวเองว่าทำไมต้องกลั้นยิ้มจนปวดแก้มแบบนี้ด้วย

โธ่เอ๊ย จะหลอกคนอื่นก็เอาให้มันเนียนหน่อยได้ไหม ผมรู้หรอกน่าว่าที่จริงแล้วน่ะไอ้พี่จิณณ์ไม่ได้-บังเอิญ-ไปเจอผมหรอก จับปึกชีทในมือโบกไปมา ยิ้มให้คู่สนทนาอย่างเป็นต่อ

“คิดว่าผมไม่รู้ความจริงหรือไง” จิณณ์กะพริบตาปริบ ถอยหลังไปก้าวหนึ่งเมื่อผมตบชีทปึกนั้นบนอกของเค้า แหม อยากให้คุณเห็นสีหน้าของคุณชายจิณณ์ตอนนี้เสียจริง หน้าขาว ๆ แดงก่ำ พยายามสบตาผมเพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ใจของตัวเองแต่เสียงที่ส่งมาเถียงนี่สิ ไม่มั่นคงเอาซะเลย

“ความจริงอะไร ไม่มีหรอก”

“ก็ความจริงที่ว่าพี่ไม่ได้บังเอิญไปเจอผมแถวนั้น...แต่ว่าพี่...” ยิ่งผมยื่นหน้าเข้าไปใกล้ไอ้พี่จิณณ์มันก็ยิ่งมีพิรุธครับ ทำเป็นเก๊กหน้านิ่งแต่ใจเต้นรัวเลยนะพี่จ๋า




โปรดติดตามตอนต่อไป   :mew1:

((หรือว่าน้องคุณจะรู้แล้วว่าพี่จิณณ์.....))

ออฟไลน์ imymild

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 354
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-1
แอบรักเขาอะดิ :hao7:

ออฟไลน์ MayA@TK

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4992
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-7
จะจนมุมไหมหนอ :katai2-1: :katai2-1:

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
แอบรักแอบมองเขามาก่อนใช่ไหมจิณณ์  คุณภัทรคงจะคิดแค่ว่าไปส่องสาวหรือเปล่าหนอ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ patek

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 40
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
กำลังสนุกเลยคับ มาต่ออีกบ่อยๆนะคับ

ออฟไลน์ cheyp

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1536
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +49/-0
พิรุธมาเต็ม อ่าๆๆ

ออฟไลน์ shoi_toei

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4365
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +222/-26

ออฟไลน์ puiiz

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-4

ออฟไลน์ lnudeel

  • I wanna be a CAT!!
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1466
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +31/-5
อะไร พี่อารายยยย!!~~~? ค้างงงง!!~~ :hao7:

ออฟไลน์ goosongta

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1521
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +94/-6
เชื่อเหอะว่าคุณภัทรต้องเดาสวนทางกับความจริง
พี่จิณณ์นี่ยังไงแอบชอบน้องมาก่อนเหรอ หรือเป็นเพราะจูบนั้น

ออฟไลน์ netich

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 228
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7538
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
อ่า........ค้างอ่ะ ชอบบบบบ  :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
อยากอ่านอีก เยอะๆ เลย  :ling1: :ling1: :ling1:
พี่จิณณ์ ดูใจเย็น พูดเพราะกับน้องคุณ
ที่แท้มีที่มาที่ไป แอบตามน้องคุณนานแล้วสิ
ถึงว่า รู้กิติศัพท์ของคุณ ที่ชอบโวยวาย
วา คงรู้เรื่องพี่จิณณ์ชอบคุณ
เลยชงเรื่องให้มายืมหนังสือซะเลย
บุรินทร์ ก็มาสะดุดบันไดแดงที่นี่
แล้วคนที่ช่วยน่าจะเป็นคนในกลุ่มเพื่อนพี่จิณณ์ใช่ป่ะ
      :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ A-J.seiya*

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3335
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +306/-8
กดเข้ามาเพราะชื่อเรื่อง และชื่อจิน
คิดอยู่ว่าชื่อมาขนาดนี้ น่าจะใช่ ใช่จริงๆด้วย
๕๕๕ อ่านเป็นเวอร์ชั่นไทยก็ดีค่ะ
รื้อฟื้นความขวยเขินเมื่อสมัย 10 ปีที่แล้ว (อุ้ยยย)
ฮอลลลลลลล พี่จิณณ์!!!!

ออฟไลน์ QXanth139

  • ♡동해 #Always13
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-6
พี่จิณณ์มีพิรุธโคตรๆ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ MoonLovers

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 26
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-0
ตอนที่ ๗   :L2:

ผู้แต่ง :: FANISMZ



“พี่ไม่ได้บังเอิญไปเจอผมแถวนั้น...แต่!...พี่ฟังเรื่องทุกอย่างมาจากเพื่อนผม...ใช่ไหม!” ผมเอาเสียงเข้าข่ม ฟันธงเสียงดังฉับเล่นเอาหน้าแดง ๆ ของจิณณ์เผือดสีลงทันตาเห็น ผมเห็นพี่มันกะพริบตาปริบ ๆ เหมือนไม่เข้าใจ (หึ ๆ อึ้งล่ะสิที่ผมเดาเรื่องได้ทะลุปรุโปร่ง)

“ว่าไงนะ”

“ก็เรื่องทั้งหมดน่ะพี่รู้มาจากวรินทรทั้งนั้นใช่ไหมล่ะ” จิณณ์อึ้งกับความฉลาดของผมแล้วก็พ่นลมหายใจออกมาพรืดใหญ่

“เอ้า ตกลงว่าไง วาบอกพี่ใช่ไหม”

“ก็คงงั้นแหละ” มันตอบเสียงสะบัดแล้วก็ดันตัวผมออกห่าง อะไรวะ จับไต๋ได้แค่นี้ทำเป็นเคือง ผมหรี่ตามองตามแผ่นหลังกว้างนั่น สงสัยเป็นประเภทเกลียดความพ่ายแพ้ ดูเอาเถอะ แค่โดนผมรู้ทันเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ มันยังงอนป่องไปแบบนี้ ลองเป็นเรื่องใหญ่กว่านี้คงโกรธกันจนไม่ยอมมองหน้าเลยมั้งแต่ความงอนของพี่มันก็ใช่ว่าจะกระทบกระเทือนสวัสดิภาพของกระเพาะอาหารผม จิณณ์ยังคงพาไปกินข้าวตามร้านที่บอกไว้แถมยังคอยช่วยเหลือแนะนำรายการอร่อยให้ผมลองนั่นลองนี่แบบไม่ขาดตกบกพร่อง
อ้อ จะพร่องไปอย่างเดียวก็อาการยิ้มบาง ๆ ของมันเท่านั้นแหละแต่พอผมเล่นไม้แข็งไม่ยอมกินจนกว่ามันจะหายงี่เง่า พี่มันก็เลยยอมแพ้บอกว่าหายโกรธแล้วผมก็โอเค พอใจ ทั้งที่ตอนนั้นยังไม่รู้เลยว่าตกลงมันโกรธผมเรื่องอะไรแน่ แค่โดนรู้ทันี่ต้องโกรธขนาดนี้เลยหรือพ่อ


เราปิดท้ายอาหารเวียดนามด้วยไอศกรีมผลไม้รสเปรี้ยวอมหวานสะใจผมพิลึก เล่นเอาหัวสั่นหัวคลอนจนจิณณ์เผลอหัวเราะใส่ตั้งหลายครั้ง คนหล่อท่านสั่งกาแฟตบท้ายแถมหยอดน้ำตาลกับครีมเสียจนผมนึกแปลกใจ มาดนิ่ง ๆ อย่างพี่มันน่าจะกินเมล็ดกาแฟป่นเฉย ๆ ด้วยซ้ำ

“มืดขนาดนี้แล้วหรือเนี่ย แย่ละ งานยังไปไม่ถึงไหนเลย เหลือพรุ่งนี้อีกแค่วันเดียวแล้วด้วย” ผมคร่ำครวญยาวเมื่อเดินออกมาจากร้านแล้วเจอความสลัวของฟ้าดินเข้า

“แล้วจะเอาไงต่อ จะทำให้เสร็จคืนนี้เลยหรือจะรอพรุ่งนี้” ติวเตอร์พิเศษของผมถามความเห็น ใจผมก็อยากทำให้เยอะที่สุดเท่าที่จะทำได้อ่ะนะแต่ถ้าทำจิณณ์ก็ต้องทำด้วย แล้วตอนนี้มันก็มืดแล้วจะไปทำที่ไหนได้อีกล่ะ ระหว่างที่ผมยังตัดสินใจไม่ได้อยู่นั้นจิณณ์ก็ติดเครื่องยนต์รอ พี่มันวางศอกกับพวงมาลัยรถ ใบหน้าหล่อจัดเอียงมาทางผมเล็กน้อย ยิ้มรอฟังความต้องการของผมอย่างอดทน

“เอาไง ฉันรอตามใจอยู่นะ” ฟังคนดีเค้าพูด ถ้าเป็นผู้หญิงผมคงปลื้มกับความเท่ของพี่มันพิลึก

“กลับบ้านก็ได้ พรุ่งนี้ค่อยทำละกัน”

“ชัวร์ใช่ไหมว่าจะทัน” ผมส่ายหน้า เห็นคิ้วขมวดแบบนี้มันก็น่าจะรู้แล้วว่าไม่ทันแน่ ๆ แต่ที่ตัดสินใจกลับบ้านเพราะผมเกรงใจอีกคนต่างหากล่ะ จิณณ์ยังไม่ยอมออกรถ คนดีของสังคมนิ่งไปครู่หนึ่งทำหน้าเหมือนกำลังคิดเรื่องใหญ่แล้วก็เหลือบตามาทางผมเงียบ ๆ มองนานเข้าผมก็ชักรู้สึกแปลก ๆ เลยทำร้ายมันไปทีหนึ่งเป็นการเรียกสติ นอกจากไม่โกรธที่โดนผมผลักแก้มแล้วมันยังมีหน้ามาหัวเราะอีกแน่ะ

“งั้นวันนี้ขอไม่ตามใจละกัน อยากกลับบ้านใช่ไหม”

“ก็บอกไปแล้ว”

“ไม่ต้องกลับ ไปค้างบ้านฉันก็แล้วกัน”

“ห๊า!”

“ตกใจอะไร”

“ทำไมต้องไปค้างบ้านพี่ด้วย ไม่เอาหรอก” แค่คิดว่าต้องไปเดินเขย่งเท้าบนพรมในห้องพักหรูหรานั่นอีกครั้งผมก็ขนลุกแล้ว

“ไม่เอาแล้วจะเอาเวลาไหนไปทำงานอีก แค่พรุ่งนี้น่ะไม่ทันหรอกนะ คืนนี้ทั้งคืนจะทันหรือเปล่าก็ยังไม่รู้เลย อยากมีงานส่งก็ต้องอดทนหน่อยนะคุณภัทร หรือถ้าไม่รีบจะไม่ไปก็ได้นะ สุดท้ายฉันก็ตามใจนายอยู่ดี” เจ้าของใบหน้าหล่อวัวตายควายล้มยกยิ้มขณะถอยรถออกจากตรงนั้นแบบไม่กลัวว่าจะไปชนท้ายใครเข้า

พี่มันขับตรงไปตามเส้นทางที่ผมก็จำได้ว่าจะต้องผ่านบ้านผมแล้วก็เลยไปบ้านมันแบบไม่ต้องเสียเวลาถามผม แถมยังเลี้ยวรถแวะเข้าบ้านให้ผมได้เก็บเสื้อผ้าสำหรับใส่วันพรุ่งนี้อีกด้วย ผมใช้เวลาไม่ถึงสิบห้านาทีก็ลงมาจากชั้นบนเห็นจิณณ์ยืนหัวเราะอยู่กับน้องชายที่กลับมาจากข้างนอกตั้งแต่ตอนไหนไม่รู้ เจ้าคีย์หันมายักคิ้วแถมมองด้วยสายตาที่ทำให้ผมต้องไขข้อข้องใจอีกจนได้

“มองอะไรคิรากร”

“เปล่า วันนี้แม่ไปดูละครเวทีกับพ่อ พี่รู้แล้วใช่ไหม”

“รู้แล้ว โทรไปก็ปิดโทรศัพท์คงอยู่ในโรงละครแหละ ว่าจะบอกเรื่องแอร์ในห้องซะหน่อย”

“ช่างเถอะ เดี๋ยวผมบอกให้เอง ให้บอกด้วยไหมว่าลูกชายสุดที่รักเก็บเสื้อผ้าหนีตามผู้ชายไปแล้ว” ฟังมันพูด เรื่องล้นล่ะไม่มีใครเกิน บางทีผมก็คิดว่านิสัยเราสองพี่น้องมันคล้าย ๆ กันแต่บางทีคีย์มันก็ทำให้ผมดีใจที่ตัวเองยังอยู่ในระดับหยาบ ๆ คาย ๆ ตามสังคม ไม่ทะลึ่งตึงตังเท่ามัน เรื่องกวนส้นพี่น้องเนี่ยมันเหนือกว่าผมเยอะ ผมปรายตามองจิณณ์ที่ยังยืนยิ้มแล้วก็หันมาโอบไหล่น้องชายคนเดียวเข้ามาใกล้

“บอกด้วยว่าถ้าเผลอตัวได้เสียกันก่อนบอกพ่อกับแม่ พี่จะวานให้ทั้งสองคนพาไปขอขมาพ่อแม่พี่จิณณ์ทีหลัง บอกให้หมดทุกคำนะ ถ้าตกหล่นล่ะก็เจ็บ” เจ้าตัวแสบมันบิดตัวออกจากรัศมีเท้าผมพร้อมเสียงหัวเราะลั่นบ้าน โบกไม้โบกมือให้จิณณ์แล้วก็วิ่งหายขึ้นไปชั้นบน ทิ้งให้ผมต้องเผชิญกับลูกตาวิบวับของผู้ชายตรงหน้าเพียงลำพัง

“ไปกันเถอะ ชักช้าเสียเวลา”

“รีบทำไม เรามีเวลาทั้งคืน”

“ก็แล้วเมื่อกี้ใครมันบอกว่าคืนนี้ทั้งคืนจะพอหรือเปล่าก็ไม่รู้น่ะ”

“ก็จริง ไม่พอ...แต่เราก็มีเวลาทั้งคืน”

“นี่ จิณณ์ พี่พูดอะไรให้มันเข้าใจง่ายหน่อยได้ไหม เอาแบบที่ไม่ต้องแปลอีกแบบนั้นน่ะ ทำได้ป่ะ”

“ทำแบบนั้นนายก็จะกลัวฉันน่ะสิ ไม่เอาดีกว่า ฉันอยากให้นายคิด คิดมาก ๆ ยิ่งดี”

“ฝันไปเถอะ” จิณณ์หัวเราะเต็มเสียง ฟังก็รู้ว่าพี่มันกำลังเริงร่าแบบสุด ๆ เออ ชอบใจจริงล่ะเวลาที่ทำให้คนอื่นฮึดฮัดได้แบบนี้เนี่ย ผมวางข้าวของไว้หลังรถ รัดเข็มขัดเรียบร้อยพอดีเมื่อจิณณ์ขับรถออกมาถึงถนนสายหลัก เจ้าของรถกดเพลงสากลรุ่นคลาสสิกให้ผมฟังราวกับรู้ใจ หากยังไม่ทันได้ผ่อนคลายตามทำนองอันแสนจะหวานซึ้งนั้น เสียงเดิมก็ยิงประเด็นใหม่ใส่กลางหน้าผากผมอย่างจัง

“ว่าแต่ ถ้าเกิดฉันพลาดท่าเสียทีให้นาย จะให้พ่อแม่มาขอจริงหรือคุณภัทร”

มันน่านักเชียว

มันน่าฟาดปากแดง ๆ นั่นให้เจ่อยิ่งกว่าเจ่อสักสามเท่านัก พูดออกมาได้เรื่องแบบนั้น ตัวอย่างกับตึกเนี่ยนะจะเสียทีให้คนอื่น ไม่รู้หรือไงว่าผมแค่กวนตีนน้องชายกลับไปเล่น ๆ ไม่ได้คิดจริงจังจนต้องเก็บเอามาถามกันดุ้น ๆ แบบนี้สักหน่อย ผมเบ้ปากมองมันเหมือนจะเตือนว่าประเด็นนี้ผมอ่อนไหว ได้โปรดอย่าเอามาล้อเล่นถ้าไม่อยากโดนดี ไอ้พี่จิณณ์หัวเราะชอบใจแต่ก็ยังฉลาดที่ไม่ได้พูดอะไรต่อจนมาถึงห้องชุดสุดหรูของมัน



การมาครั้งที่สองไม่ได้ทำให้ความตื่นเต้นปนสยองของผมลดน้อยลงไปเลย ตัวตึกข้างนอกยังหรูหราดูดีเหมือนเดิม ไม่มีร่องรอยการถูกแสงแดดหรือสายฝนกัดเซาะให้เสียสุนทรียภาพในการชื่นชม ยิ่งมองในช่วงกลางคืนแสงไฟยิ่งทำให้ทุกอย่างสวยแปลกตา พอมาถึงข้างในยิ่งแล้วใหญ่ คราวนี้มันยิ่งดูสวยแล้วก็เพลินตายิ่งกว่าเดิม จิณณ์หันมายิ้มบอกผมว่าแม่บ้านเพิ่งเปลี่ยนพรมหน้าทางเดินเมื่อเช้า อาจจะเหม็นกลิ่นใหม่ไปบ้าง ขอให้ทนหน่อย ผมได้ยินแล้วก็อยากลงไปนอนดิ้นปัด ๆ ตรงนั้น กูจะเหม็นตัวเองแทนสิไม่ว่า!

“อาบน้ำก่อนดีกว่านะจะได้สดชื่น” พอเข้ามาในห้องแทนที่จะเริ่มทำงานเลย เจ้าของห้องดันบอกแกมสั่งให้ผมเข้าไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเสียใหม่ ผมก็ทำตามอย่างว่าง่ายเพราะคิดได้ว่ายังไงในอนาคตอันใกล้ผมยังต้องพึ่งพาเจ้าถิ่นอีกมาก เดินงง ๆ เข้าไปตามทางที่ท่านชี้บอก เห็นความโอ่อ่าของห้องน้ำที่แยกโซนเปียกโซนแห้งแถมอ่างอาบน้ำขนาดน้อง ๆ สระว่ายน้ำเด็กผมก็แทบจะหันหลังกลับไปอาบที่บ้านตัวเองซะเดี๋ยวนั้น

“มีอะไรหรือเปล่า” จิณณ์ยื่นหน้าเข้ามาถามเมื่อเห็นผมยังยืนนิ่ง ผมถอนใจเล็ก ๆ ชี้มือไปที่อ่างอาบน้ำหรู

“ผมใช้ไม่เป็น” อีกคนแค่พยักหน้า ตอนแรกผมคิดว่ามันจะหัวเราะขำความเอ๋อของผมซะอีก แต่หมอนี่ก็ไม่ได้ทำ ร่างสูงเดินเข้ามาในห้องน้ำ ไม่ลืมแตะแขนผมให้เดินตามเข้าไปโซนด้านในแล้วก็เริ่มเล็คเชอร์การใช้ห้องน้ำแบบไม่ให้เสียเวลา มือใหญ่จับโน่นกดนี่บิดตรงนั้นตรงนี้แล้วก็ได้น้ำอุ่นไหลวนรอผมอยู่ในอ่าง

“หยดอโรม่าไปหน่อยคงดี กลิ่นหอม ๆ ช่วยผ่อนคลายความเครียดได้” เห็นว่าพี่มันกำลังพูดกับตัวเองผมเลยไม่ได้ท้วง ปกติถ้าตอนเตรียมน้ำอาบแล้วแม่ไม่หยดไว้ให้ผมก็ไม่เดือดร้อนแค่ครีมอาบน้ำแบบปกติก็หอมถมเถแล้ว หลังจากหยิบขวดนั้นขวดนี้มาเลือกอยู่นาน จิณณ์ก็ยื่นขวดแก้วสีเข้มมาให้ผมทดสอบ พอผมโอเคหมอก็หยดกลิ่นลาเวนเดอร์ลงไปในอ่างน้ำวนขนาดสองคนนอนกลิ้งได้สบายพร้อมกับฮัมเพลงคลอไปเบา ๆ

“ถ้าร้อนเกินไปก็ปรับตรงนี้นะ” บอกแล้วก็กด

“แต่ถ้ายังร้อนไม่พอก็กดปุ่มนี้” แล้วก็กดอีก

“พออาบฝักบัวข้างนอกเสร็จก็คงเต็มพอดี โอเคไหม” ผมส่ายหน้าพรืด บอกตามตรงว่าจำไม่ได้สักอย่างที่อีกฝ่ายพูด

“งั้นถ้าอาบเสร็จก็เรียกนะเดี๋ยวฉันเข้ามาอีกที”

“อื้อ ขอบคุณนะ” ผมยิ้มตอบ รู้สึกดีที่อีกฝ่ายมีน้ำใจให้ ก็ถ้าจะพูดแบบไม่มีอคติแถมด้วยแล้ว ทั้งที่เราเพิ่งรู้จักกันไม่นานแต่จิณณ์ก็ทำให้ผมเห็นว่าเขาเป็นอีกคนหนึ่งที่ทำให้ผมทำลายกำแพงได้อย่างรวดเร็ว ผมกล้าพูดอย่างที่คิด กล้าทำอย่างที่ใจต้องการ กล้าแสดงความเป็นตัวของตัวเองโดยไม่ต้องกลัวว่ามันจะกลายเป็นเรื่องน่าขายหน้าหรือสร้างความลำบากใจให้อีกฝ่าย คนที่ทำให้เรารู้สึกแบบนี้ได้ สำหรับผมมันหายากมากเลย

“พี่ควรจะอาบก่อนผมหรือเปล่า?”

“ไม่เป็นไร” จิณณ์ตอบนุ่ม ๆ หลังจากที่ยืนอึ้งไปเกือบอึดใจ หมอเดินไปจนถึงประตูแล้วก็หันมาพร้อมรอยยิ้มเต็มหน้าและสองตา

“หรืออยากอาบพร้อมกัน”

“ไม่”

“เข้าใจล่ะ ที่บอกว่าใช้ห้องน้ำไม่เป็นนี่โกหกใช่ไหม อยากให้ถูหลังให้ก็บอกเถอะน่า”

“ใครเค้าอยากให้พี่ทำแบบนั้นวะ!” ขอถอนคำพูด ขอลบคำสรรเสริญเยินยอทั้งหลายแหล่ที่ผมเคยบอกไว้ อย่าได้หลงไปให้ความเชื่อใจกับมันเชียวนะ ไม่อย่างนั้นจะกลับลำไม่ทันแบบผม ไอ้พี่บ้า คนอุตส่าห์ซึ้งในน้ำใจ มันยังมาทำหน้าทะเล้น มองผมตั้งแต่หัวจรดเท้าแบบนั้นอีก ฮึ่ย ขนลุกไปหมดแล้ว!

จิณณ์เผ่นออกไปจากห้องตั้งแต่เห็นผมหันซ้ายหันขวาหาอุปกรณ์ปาเป้าแล้ว ทิ้งให้ผมถือขวดครีมอาบน้ำยี่ห้อที่ไม่มีขายในประเทศค้าง เออ นับว่ามันยังฉลาดที่รีบออกไปให้พ้นรัศมีการขว้างของผม ไม่อย่างนั้น ไอ้ขวดที่ถือเนี่ยอย่าหวังเลยว่าจะอยู่ครบเซ็ตเหมือนเดิม ผมขว้างหัวเจ้าของมันแตกไปแล้ว แตกแบบไม่มีการชดใช้ด้วย

แม้ว่าจะหวั่นเกรงกับความอลังการงานสร้างของห้องน้ำเพียงใดแต่เอาเข้าจริงผมกลับทอดเวลาอยู่ในนั้นนานจนเกือบจะหลับแหล่มิแหล่ เฮ้อ ของแพงนี่มันสมราคาจริง ๆ น้ำวนในอ่างพอรวมกับกลิ่นหอมที่อบอวลทั่วทั้งห้องน้ำส่งผลให้กล้ามเนื้อที่ออกแรงมาทั้งวันผ่อนคลายลงเยอะ ผมเลยผิวปากออกมาหาคนข้างนอกได้แบบไม่ต้องฝืน

จิณณ์ส่งเสียงเรียกผมมาจากห้องนั่งเล่นที่มีพรมหนาซ้อนด้วยเบาะนุ่มและกองด้วยหมอนใบใหญ่ ตัวพี่มันก็ใหญ่แต่ในมือถือไดร์เป่าผมสีขาวไว้ ผมเดินเข้าไปหางง ๆ เจ้าถิ่นท่านพยักหน้าให้นั่งลงบนเบาะที่ตัวเองขัดสมาธิรออยู่แล้ว บอกด้วยสีหน้าสุภาพชนตามแบบฉบับ

“เป่าผมก่อนเดี๋ยวเป็นหวัด”

“ผมทำเองได้พี่ไปอาบน้ำเถอะ”

“ไม่เป็นไร เดี๋ยวนายไม่สบายไปฉันจะมองหน้าพ่อกับแม่นายยังไงล่ะ”

“นี่ พี่จิณณ์ แค่ไม่สบายไม่ได้ตาย อย่าเว่อร์” จิณณ์หัวเราะ กระตุกชายเสื้อผมให้นั่งหันหลังให้แล้วก็ใช้แรงที่มากกว่าผมสามเท่าแย่งเอาผ้าขนหนูไปซับน้ำให้เสียเอง ผมก็เบื่อที่จะขัดใจเลยยอมปล่อยพี่มันทำไปตามใจ ตัวเองก็หยิบนิตยสารรายเดือนฉบับหนึ่งมาเปิดดูรูปไปพลาง ๆ เช็ดไปก็ชวนคุยไป มีคนคอยปรนนิบัติให้แบบนี้ก็เพลินดีเหมือนกัน

“สุขภาพของคนที่สำคัญจะมากจะน้อยมันก็คือเรื่องใหญ่ทั้งนั้น”

“แม่กับพ่อเค้าชินแล้ว ใช่ว่าผมจะไม่เคยเจ็บป่วยเสียหน่อย”

“ก็นั่นพ่อกับแม่ของคุณภัทรนี่” จิณณ์ตอบทันควัน ผมฟังแล้วก็ปิดนิตยสารในมือลง หันกลับไปมองพี่มันเต็มตาแต่จิณณ์ไม่ยอมสบตาตอบครับคราวนี้

“พี่รู้ตัวหรือเปล่าว่าตัวเองเป็นคนพูดจาวกไปวนมาได้น่าปวดหัวสุด ๆ น่ะ ผมพูดอยู่กับพี่นี่บางทีก็เหมือนไม่เข้าใจเลยนะว่าเราพูดเรื่องอะไรกันอยู่ แล้วตกลงเมื่อกี้เราพูดเรื่องเดียวกันไหมวะ”

“เรื่องเดียวกันสิ”

“เรื่องอะไรล่ะ”

“เรื่องพี่น้องคุณไงครับ” หมดปัญญาที่จะซักเอาคำตอบที่ชัดเจนจากไอ้ผู้ชายตรงหน้า มืออุ่นจับไหล่ผมให้หันหลังกลับแล้วก็เป่าผมให้อย่างชำนาญ ก็แหงอยู่แล้ว หล่อเนี้ยบไปเรียนทุกวันแบบนั้น มันจะไม่เคยไดร์ผมตัวเองเลยก็เป็นไปไม่ได้อยู่แล้วล่ะ ผมเอียงซ้ายขวาให้จิณณ์เป่าจนคิดว่าแห้งสนิทหมดทุกมุมแล้วก็เอื้อมมือไปปิดสวิตช์ไดร์เสียเอง

“พอละ เดี๋ยวหัวไหม้”

“จะไหม้ได้ยังไง ไหนดูซิ” ปากพี่มันบอกว่าดูแต่ที่จริงแล้วไม่ใช่ จิณณ์ใช้สองมือจับหัวผมไว้แล้วก็ยื่นหน้าเข้ามาซุกตรงกลางกระหม่อม ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก ชนิดที่ว่าคนปฏิกิริยาตอบโต้รวดเร็วอย่างผมยังต้องยอมแพ้ นั่งอึ้งมองมันตาปริบ ๆ จิณณ์ยิ้มแล้วก็ลุกหายเข้าห้องน้ำไปเรียบร้อยผมจึงสำนึกได้ว่าตัวเองโดนมันจูบหน้าผากไปถึงสองครั้งติด! สิ่งที่เหลือลอยลมมาเข้าหูคือประโยคเริงร่า สาสมใจเหลือแสน

“ใครบอกว่าไหม้ก็หอมดีออก” ไอ้ ไอ้พี่จิณณ์! ไอ้คนเจ้าเล่ห์! ไอ้หน้าเนื้อใจเสือ! ไอ้แมวนอนหวด! ไอ้คนน้ำนิ่งไหลลึก! อย่ามาเล่นแบบนี้นะเว่ย เกิดใจผมกระตุกจนหยุดเต้นไปจริง ๆ พี่จะเอาที่ไหนไปใช้พ่อกับแม่ผม



จิณณ์ใช้เวลาในห้องน้ำสมกับระดับความหล่อของใบหน้า ผมไม่อยากเสียเวลาไปโดยเปล่าประโยชน์เลยดึงตำราขนาดปาหัวหมาแตกออกมาตั้งรอ เปิดดูรูปได้เกือบครึ่งเล่มเจ้าของบ้านก็เดินตัวหอมฉุยมานั่งข้าง ๆ ผมมองชุดนอนของพี่มันแล้วก็อดปากไม่ได้อีกเช่นเคย

“ปกติพี่ใส่ชุดแบบนี้นอนหรือ”

“ใช่ ทำไม”

“เปล่า ผมนึกว่าจะ...แปลกกว่านี้ซะอีก”

“หมายความว่ายังไง ฉันไม่เหมาะกับเสื้อยืดกางเกงขายาวแบบนี้หรือ”

“ก็เหมาะดี แต่ถ้าพี่ใส่ชุดนอนเต็มยศแบบที่เห็นในหนังสือแฟชั่นก็ไม่แปลกอีก”

“แล้วคุณภัทรสงสัยอะไรครับ”

“ก็สงสัยว่าพี่ทำตัวปกติแบบคนธรรมดาเค้าก็ได้ด้วยเหรออออ” พอผมลากเสียงพี่มันก็เหมือนจะเพิ่งรู้ตัวว่าโดนประชดเข้าไปเต็ม ๆ ผมกระตุกยิ้มใส่ตาคมคู่นั้นแล้วก็ต้องร้องเต็มเสียง มนุษย์ที่นั่งเช็ดผมอยู่เมื่อกี้อาศัยแรงถึกของมันจับตัวผมพลิกนอนหงายแล้วนิ้ว

“อ๊า ปล่อยยยยยย ไอ้พี่จิณณ์ ผมหายใจไม่ทันนะ”

“ซ่านัก ๆ เอาอีกไหม” ไอ้หอกหอยนี่ ปากมันถามแต่มือมันจี้เอวผมไม่หยุด ไอ้สันดานนนนน

“ไม่เอา แล้วก็ลุกไปเลย อึดอัด”

“ไม่ลุก” อ้าวเฮ้ย ไม่ลุกแล้วจะมาคร่อมกันไว้แบบนี้มันก็ไม่ถูกนะพี่ พี่รู้ไหมว่านี่มันฉากคลาสสิกสุดอมตะในนิยายรักหวานซึ้งอารมณ์ระดับโลก!



โปรดติดตามตอนต่อไป   :mew1:

((พี่จิณณ์บริการทุกระดับประทับใจจริงๆ *ยังคงอิจฉาพี่น้องคุณอย่างต่อเนื่อง* ))

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
มันเป็นแผนของจิณณ์?

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7538
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
พี่จิณณ์ เงิบเลย แถมงอนด้วย :เฮ้อ: :เฮ้อ: :เฮ้อ:
น้องเขาซื่อมากกกก ขนาดน้องคีย์ ยังมองออก
พี่จิณณ์ อบอุ่น บริการน้องยอดมาก น่ารัก
ใครได้พี่จิณณ์เป็นแฟนนี่สุดยอด ทั้งเก่ง ทั้งดี
อยากอ่านพาร์ทของพี่จิณณ์บ้าง
      :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ lnudeel

  • I wanna be a CAT!!
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1466
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +31/-5
ใช่ๆ น้องคุณนี่เรียกไม่ลุกค่ะ แต่รุกค่ะ :hao7:

ออฟไลน์ puiiz

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-4
โอ๊ยพี่จิณณ์ทำไมเป็นคนดีอย่างนี้เนี่ย  อิจเหลือเกิน

 :hao7: :hao7: :hao7:

ออฟไลน์ MayA@TK

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4992
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-7

ออฟไลน์ QXanth139

  • ♡동해 #Always13
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-6

ออฟไลน์ Yysll

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 82
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
พี่จิณณ์ ต้องแอบชอบน้องคุณแน่ๆ น่ารัก :z3:

ออฟไลน์ ::UsslaJlwaJ::

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1012
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +39/-4
โอ้ยยยยย ทำไมถึงน่ารักได้ขนาดนี้ละะะะ TT

ออฟไลน์ MoonLovers

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 26
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-0
ตอนที่ ๘   :L2:

ผู้แต่ง :: FANISMZ




“ลุกกกกก มันหนักนะเฮ้ย เดี๋ยวกัดหูให้เลยนี่” ผมร้องทั้งที่ยังหอบแฮ่ก แค่โดนจั๊กจี๋แค่นี้เหนื่อยอย่างกับวิ่งร้อยเมตรมายังไงยังงั้นเลยครับ จิณณ์กระตุกยิ้มมุมปาก มองตาพี่มันผมก็รู้ว่าอีกคนคงไม่ยอมฟังคำผมง่าย ๆ เหมือนทุกทีแน่ ใจหนึ่งผมอยากทำใจกล้าใช้ไม้แข็งต่อ แต่ไม่ไหวครับ มือใหญ่ยังคาอยู่ตรงเอวผม คงเตรียมเต็มที่ที่จะลงมือกับจุดอ่อนของผมต่อ เสี่ยงไม่ได้ครับงานนี้ผมกลัวขาดอากาศหายใจตายเพราะหัวเราะจนหมดแรง ถึงไม่ค่อยเต็มใจเท่าไหร่แต่จุดนี้คงต้องยอมอ่อนให้คุณชายมันแล้วจริง ๆ

“ลุกเถอะพี่ ผมปวดหลัง สงสัยนอนทับปากกาอยู่” จิณณ์เลิกคิ้วนิด ๆ แต่ก็รีบดึงร่างผมให้ลุกตามอย่างรวดเร็ว พี่มันกวาดมือไปบนผ้านวมพอพบปากกาเล่มเล็กนอนนิ่งอยู่ตรงที่ผมเคยนอนก็จิ๊ปากออกมาให้ได้ยิน

“มาอยู่ตรงนี้ได้ไง” ก็ไม่รู้วววว

“เจ็บมากไหม” ผมส่ายหน้า

“ไม่เท่าไหร่แค่นอนไม่ค่อยสบาย”

“นอนทับไปแบบนั้นผิวเป็นแผลหรือเปล่าก็ไม่รู้ หันหลังมาดูหน่อยซิ”

“เฮ้ย ไม่ต้อง แค่นี้เอง พี่รีบเช็ดผมให้แห้งเถอะจะได้รีบทำงานต่อ”

“แน่ใจนะ” อุวะ ก็บอกว่าไม่เป็นไร ไม่เป็นไร ยังดื้ออยู่ได้ สนใจความเจ็บป่วยของผู้คนนักก็ซิ่วไปเรียนหมอโน่นไป มีคนไข้รอให้ตรวจอาการอีกสักครึ่งประเทศได้ล่ะ

“เดี๋ยวนี้ค้อนเป็นนะ” เพราะเจ้าของห้องพูดแบบนั้นผมเลยรู้ตัวว่ากำลังใช้หางตามองอีกฝ่ายอย่างกินเลือดกินเนื้อเลยรีบหันหน้าหนี ขืนตามใจตัวเองเอาแต่ค่อนพี่มันในใจอยู่แบบนี้ มีเวลาอีกสองอาทิตย์ก็ทำงานไม่เสร็จอยู่ดี หนังสือปึกใหญ่กลับมาสู่ความสนใจอีกครั้ง ผมเปิดมันไปยังหน้าที่ค้างไว้แล้วก็เริ่มทำความเข้าใจด้วยความตั้งใจที่มากขึ้นกว่าเดิม อีกฝ่ายก็รู้งานเห็นผมไม่เล่นด้วยก็ไม่ตอแย จิณณ์เช็ดผมพอหมาดลุกหายไปแล้วก็กลับมาพร้อมขนมจีบและเครื่องดื่มชุดเล็ก ๆ ผมละสายตาจากหนังสือ มองหน้าหล่อ ๆ นั่นอย่างสงสัย

“ของว่าง เผื่อหิว”

“ของว่างตอนเกือบจะสามทุ่มเนี่ยนะ”

“ถ้ายังไม่หลับตอนไหนเราก็มีสิทธิ์หิวได้”

“แต่ผมแปรงฟันแล้ว” ผมบอก พี่มันยิ้ม

“แสดงว่าไม่กิน”

“กินดิ เรื่องอะไรจะปล่อยให้เสียของ” จิณณ์หัวเราะในคอ ใช้ส้อมขนาดเล็กแต่เงาวับบอกให้รู้ว่าราคามันแพงแค่ไหนจิ้มขนมจีบลูกพอดีคำมาจ่อตรงปากผม ควันสีขาวที่ลอยกรุ่นบอกให้รู้ว่าขืนผมอ้าปากงับตามที่ใจอยากทำคงได้ลิ้นพองแบบไม่ต้องสงสัย จำต้องอดใจรอให้มันเย็นพอได้ที่ก็เลยอ้าปากรับ

อร่อย!

เมื่อมีคำแรกก็ต้องมีคำที่สอง สามและสี่ต่อไปเรื่อย ๆ แต่ผมยอมให้พี่มันป้อนแค่คำแรกหรอกต่อจากนั้นก็ขโมยส้อมมาจัดการเสียเอง มารู้ตัวอีกทีขนมในจานใบนั้นมันหายไปไหนหมดก็ไม่รู้ได้ ผมได้แต่มองลวดลายบนจานอย่างแปลกใจ เอ่อ ตกลงผมกำลังหิวใช่ไหมเนี่ย

“เอาล่ะ ทำงานต่อไปได้” จิณณ์บอกแบบนั้นแล้วก็จัดการเอาจานไปวางไว้ในครัวเสียเอง ผมก็หันมาสนใจงานต่อ น่าแปลกที่คราวนี้เหมือนตามันจะหนัก ๆ ยังไงชอบกลหรือเป็นเพราะว่าผมเพิ่งกินอิ่มแล้วก็มาดูหนังสือทันทีวะ เปิดหนังสือไปไม่ถึงสิบหน้าผมก็ยอมแพ้ซุกหน้ากับหมอนเหยียดแข้งเหยียดขาแทบจะถีบไอ้คนที่นอนอยู่ข้าง ๆ พอจิณณ์หันมามองผมก็หัวเราะแหะ ๆ

“ง่วง” บอกกันสั้น ๆ ตรงประเด็น อีกคนนอกจากไม่แปลกใจยังใจดีถาม

“จะนอนตรงนี้หรือไปนอนในห้องเลย”

“ตรงนี้ก็ได้ ไม่อยากรบกวน”

“ตามใจ” หมอนั่นบอกแล้วก็ลุกเข้าห้องไป ตอนแรกผมนึกว่าพี่มันจะบอกราตรีสวัสดิ์กันตอนนั้นแต่จิณณ์กลับลากเอาผ้านวมกับหมอนออกมาเต็มอ้อมแขน มาถึงก็ทิ้งทั้งหมดนั่นทับลงมาบนตัวผม ขอบคุณนะ

“ปูผ้านวมอีกชั้นจะได้ไม่เจ็บหลัง” ท่านสั่งแล้วก็เลยเก็บหนังสือไปตั้งไว้ ผมเห็นแล้วก็นึกขึ้นได้ว่างานยังไม่คืบหน้าไปไหนเลย อุตส่าห์หอบสังขารมาค้างอ้างแรมบ้านคนอื่น สงสัยจะเสียเวลาเปล่าแล้วล่ะ ไม่เป็นไรนะคุณตำรา tomorrow never dies พรุ่งนี้จะไม่มีใครตายเพราะพี่คุณจะตั้งใจทำงานเป็นสองเท่า โอเค? หลังจากบอกลาตำราเล่มหนาอย่างอาลัยอาวรณ์แล้วผมก็ซุกหน้าลงกับหมอนทันที

“นอนละนะ ฝันดี”

“ราตรีสวัสดิ์คุณภัทร” เสียงนุ่มหูบอกกลับมาพร้อมผ้าห่มที่คลุมทับถึงอกผม เออนะ ขืนอยู่กับจิณณ์บ่อย ๆ ผมคงเสียนิสัยกลับไปเป็นเด็กสิบขวบให้คนอื่นดูแลตั้งแต่ตื่นยันเข้านอนแน่ ๆ ก็เล่นเทคแคร์ดีขนาดนี้ใครมันจะไม่เคลิ้ม ใช่ไหม?

“ปกติพี่ทำแบบนี้กับเพื่อนทุกคนหรือ” จิณณ์ไม่ตอบผมเลยพลิกตัวตะแคงหันหลังให้ ไม่เซ้าซี้เพราะเคยรู้มาแล้วว่าพี่มันปากหนักแค่ไหน ลองไม่บอกก็คือไม่บอก ขนาดผมทำท่าว่าจะโกรธอีกฝ่ายก็ยังเฉย เลิกสนใจจะเอาอะไรกับคนปากหนักดีกว่า ผมผ่อนลมหายใจยาว กำลังครึ่งหลับครึ่งตื่นก็รู้สึกหนัก ๆ บนตัว ขี้เกียจลืมตาเลยได้แต่คิดว่าจิณณ์มันคงไปหอบผ้านวมมาห่มให้ผมอีกชั้นกระมัง เสียงทุ้ม ๆ นั่นถึงได้ดังอยู่ใกล้นัก

“คุณ”

“.......”

“ฉันไม่เคยชวนเพื่อนมาที่บ้าน”

“.......”

“นายน่ะโชคดีแค่ไหนรู้ไหมเจ้าเด็กบื้อ”

“.......”

ไม่มีแรงจะขยับปากตอบครับ ผมได้ยินเสียงนั้นพึมพำอะไรต่อก็จับใจความไม่ได้ เดาว่าพี่ท่านคงบ่นไปตามเรื่อง หนังตาก็หนักจนเปิดไม่ขึ้นเลยปล่อยให้เจ้าหมอนใบนุ่มมันดูดเอาสติทั้งปวงจมเข้าสู่ความฝันอันแสนพร่าเลือนแบบห้ามไม่อยู่ พรุ่งนี้ค่อยคิดบัญชีที่มันบังอาจว่าผมบื้อ!




ผมลืมตารับเช้าวันใหม่อย่างสดใสสมกับที่เป็นเด็กสุขภาพจิตดีอันดับหนึ่งของประเทศชาติ กินง่ายอยู่ง่ายและนอนง่ายรวดเดียวตื่น อาการปวดเมื่อยเล็กน้อยแถวไหล่และแขนข้างหนึ่งไม่เป็นปัญหาสำหรับผม มันเล็กน้อยนักเมื่อเทียบกับที่นอนนุ่ม ๆ หอม ๆ ที่ซุกหลับมาทั้งคืน ผมบิดขี้เกียจให้ตื่นเต็มตา มือควานหาโทรศัพท์มือถือเป็นอย่างแรกแล้วก็ต้องเกาหัวแกรก แบตฯ หมดอีกแล้วเหรอ

“อะไรวะ เพิ่งชาร์ตไปเมื่อวานตอนเช้าเองนะ เสื่อมแล้วป่ะเนี่ย”

“อะไร?” เสียงทุ้มติดแหบลอยมาจากคนที่นอนข้าง ๆ จิณณ์คงตื่นเพราะได้ยินเสียงผมบ่น พี่มันใช้ศอกยันตัวเองขึ้นจากเบาะชะโงกหน้ามามองจอโทรศัพท์ที่มืดสนิท หัวเราะในคอแล้วก็เลยลุกหายเข้าไปในครัว กลับมาอีกทีพร้อมน้ำผลไม้สีแปลก ๆ สองแก้ว

“ยังไม่ได้แปรงฟันเลยอ่ะ” ผมบอกออกไปแต่ก็ยังยื่นมือไปรับมาซดโฮกล้างปากซะเกือบครึ่งแก้ว พอสติสตังกลับเข้าที่ถึงนึกได้ แป๊บนะ เมื่อกี้จิณณ์เพิ่งลุกไปจากตรงนี้ แสดงว่าเมื่อคืนพี่มันนอนข้างนอกงั้นเหรอ นอนข้างนอก? นอนข้างนอกบนเบาะนี่ก็แสดงว่านอนกับผมงั้นดิ!

“นี่ ไม่ได้กลับไปนอนในห้องหรอกเหรอ”

“ใคร?” คนหล่อท่านถามเสียงเรียบ ตาก็มองแค่แก้วในมือ ไม่อยากจะชมหรอกนะแต่แม่งขนาดตอนตื่นนอน หัวยุ่ง หน้ายับ มันยังจะหล่อ หล่ออะไรนักหนา! ผมค่อนจนพอใจแล้วก็ตอบเสียงสะบัด

“จะใครอีกล่ะ ในนี้มันมีคนอื่นนอกจากผมกับพี่อยู่ด้วยหรือไงเล่า”

“ก็เห็นเรียกนี่ ๆ ฉันบอกแล้วว่าฉันมีชื่อ ถ้านายไม่เรียกฉันก็ไม่รู้หรอกว่านายกำลังพูดด้วย” เรื่องมากไม่มีใครเกิน แค่นี้ก็ต้องเอามาเป็นเรื่องได้ด้วย ผู้ชายอะไรวะเงื่อนไขเยอะชิบเป๋ง ไม่ถามก็ได้วะ

ผมตัดใจที่จะเอาคำตอบจากคนท่ามาก ฉวยแก้วที่วางใกล้ตัวลุกกะจะเอาไปเก็บในห้องครัว ใจหนึ่งผมคิดว่าถ้าพี่มันเห็นผมทำหน้านิ่งติดจะเคืองแบบนี้ เดี๋ยวมันคงยอมใจอ่อนเข้ามาคุยกับผมก่อนตามประสาคนดี ที่ไหนได้ ไอ้พี่จิณณ์แม่งใจแข็งยิ่งกว่าที่ผมคิด นอกจากจะไม่ตามมาง้อแล้วมันยังเดินเข้าห้องน้ำไปหน้าตาเฉย เออโว้ย ทำไมผมถึงไม่จำว่าเหตุการณ์แบบนี้มันเคยเกิดขึ้นมาแล้ว ต่อไปก็จำให้แม่นนะคุณภัทร คนอย่างนายจิณณ์ ปภาเดชวิรุฬห์ มันง้อใครไม่เป็นนนนน!

เช้าวันนั้นผมเลยติดรถคู่กรณีมาเรียนแบบแกน ๆ ถามเรื่องนั้นเรื่องนี้บ้างพอเป็นมารยาทมาถึงคณะได้ผมก็ตั้งท่าจะเผ่นลงจากรถทันที แต่จิณณ์ก็เรียกผมไว้ซะก่อน โห คุณครับ ใจผมมันร้องเฮขึ้นทันทีที่ได้ยินเสียงอีกคนปริปากพูด นึกแล้วว่ายังไงซะสุดท้ายพี่คนดีมันต้องยอมผมจนได้

“มีอะไร” ผมถามกลับ ดันเสียงพอให้รู้ว่ายังไม่หายเคือง

“นายลืมของ” ห่า! ผมกระชากกระเป๋ามาจากมืออีกฝ่ายแทบไม่ทัน มองลูกกะตาพราวระยับของมันแล้วก็กระแทกเท้าขึ้นตึกเรียนอย่างไม่สบอารมณ์สุด ๆ หงุดหงิด อารมณ์เสีย ไอ้เหี้ยพี่จิณณ์แม่งชั่ว ชั่ว! ชั่ว! ชั่ว! บังอาจทำให้ผมเสียหน้า โว้ย โกรธมัน โกรธ! โกรธ! โกรธ!

ความโกรธของผมยังปะทุไม่หยุด แม้จะเข้ามานั่งรออาจารย์ในห้องเล็คเชอร์เป็นที่เรียบร้อยแล้วใจมันก็ยังเดือดปุด ๆ ๆ ดีที่เช้านี้ไม่มีใครดวงซวยยื่นหน้าเข้ามาทักผมอย่างทุกที ไม่งั้นนะ

“เป็นอะไร ทำหน้ายังกะตูด”

“ยุ่ง” บุรินทร์แกล้งทำตาโต ผมรู้นะว่ามันกำลังกลั้นยิ้มอยู่น่ะ

“อ้าว ทักดี ๆ ก็หาว่ายุ่ง เป็นไรครับคุณภัทร เป็นไรหรือไปทำอะไรใครเค้าอีกล่ะ”

“เฮ้ยไอ้ตี๋ นายเป็นเพื่อนฉันหรือเปล่าเนี่ย ทำไมไม่คิดมั่งว่าฉันต่างหากล่ะที่เป็นฝ่ายถูกกระทำ”

“ถูกกระทำ? ใคร! ใครมันทำนายแล้ว...แล้ว...”

“เชี่ย ไม่ใช่แบบนั้นโว่ย” ผมดันหน้าหล่อ ๆ ของมันออกห่าง ไอ้นี่ก็อีกคนไม่รู้ว่าจะหล่อไปทำไมกันนักหนา หล่ออยู่ได้ทุกวัน หล่อจนไม่อยากจะคบมันเป็นเพื่อนแล้ว ผมค้นเอาปากกามาเตรียมจดเล็คเชอร์ เห็นบุรินทร์ก็เตรียมเปิดหนังสือไปหน้าที่ค้างมาจากครั้งที่แล้ว กำลังสะกดใจให้สงบอยู่ดี ๆ เพื่อนผมก็โพล่งขึ้นมาว่า

“เมื่อคืนปิดโทรศัพท์ทำไม”

“ไม่ได้ปิด แบตฯ มันหมด”

“แล้วก่อนหน้านั้นทำไมไม่ยอมพูดอะไรเลย”

“ก่อนหน้าไหน”

“ก็เมื่อคืนไง ก่อนที่แบตฯ จะหมดน่ะ นายรับสายฉันใช่ไหมล่ะแต่ไม่เห็นพูดอะไร พอฉันวางแล้วกดไปใหม่เบอร์นายก็ติดต่อไม่ได้แล้ว ตกลงโทรศัพท์เป็นอะไร” บุรินทร์เท้าคางถาม ผมฟังมันแล้วก็งง ๆ เมื่อคืนจำได้ว่าผมหลับไปแบบโดนหมอนดูดแถมยังไม่ได้รับสายใครเลยสักคนแล้วมันโทรมาตอนไหนวะ

“ช่างเถอะ สงสัยเครือข่ายจะรวน”

“คงงั้น” ผมตอบไปลอย ๆ พอบุรินทร์เผลอผมก็แอบล้วงเอาโทรศัพท์ออกมาลองกดเปิดเครื่องดู จอสียังโชว์ภาพชัดแจ๋ว สัญญาณเต็ม แบตฯ เต็ม แล้วเครื่องมันดับไปได้ยังไง?



จบวิชาแรกเราก็เดินลากขาออกมาจากตึกเรียน ผมเบื่ออย่างหนึ่งก็ตรงที่ต้องเดินวนลงบันไดหลาย ๆ ชั้นนี่แหละ เรียนมาจนครบปีแล้วยังไม่ชินสักที ความจริงที่นี่มีลิฟต์นะแต่มีแค่สองตัวแถมยังอยู่อีกฟากหนึ่งของตึกแน่ะ กว่าจะลากสังขารอันบอบช้ำจากแต่ละรายวิชาไปถึงคนก็ออกันอยู่เต็มหน้าลิฟต์ ผมเป็นประเภทขี้เกียจรอเลยขอเดินลงเอาดีกว่าอย่างน้อยมันก็ไม่เหนื่อยเท่าขาขึ้นแถมยังช่วยชาติประหยัดพลังงานได้อีกทางหนึ่งด้วย วันนี้ยังดีที่เราเรียนชั้นห้า ถ้าวันไหนอาจารย์ท่านคึกจัดย้ายไปเรียนชั้นสิบสี่ผมคงสมัครใจกลิ้งลงบันไดแทนการเดิน

“วันนี้ไปค้างที่บ้านไหม พ่อกับแม่ไม่อยู่จนถึงวันจันทร์หน้าแน่ะ” แหมะ มันทำยังกะชวนสาวไปบ้าน ต้องรอพ่อกับแม่ไม่อยู่ ชิชะ หรือว่าพี่บุรินทร์ของเราจะเคย?

“ไปไหม”

“วันนี้ไม่ได้ ต้องกลับไปทำงานให้เสร็จน่ะ”

“เหลืออีกเยอะป่ะ ฉันก็ช่วยไม่ได้ด้วยสิตอนนี้”

“ไม่เป็นไร เหลืออีกแค่นิดหน่อย” ความจริงมันไม่นิดเลยล่ะแต่ผมเกรงใจตาตี่ ๆ ของบุรินทร์เลยบอกเหมือนเป็นเรื่องสบาย ๆ ทั้งที่ในใจนึกอยากจะร้องไห้เต็มแก่ ก็เมื่อคืนน่ะ ทั้งที่ตั้งใจว่าจะต้องทำงานให้เสร็จเกินครึ่งให้ได้ แต่พอท้องตึงหนังตาก็หย่อนผมเลยหลับไปตั้งแต่ยังไม่สี่ทุ่มดี งานการอะไรก็เลยไม่ได้แตะสักนิด อุตส่าห์หอบผ้าหอบผ่อนไปค้างถึงบ้านคนอื่น เสียเวลาชะมัด ทั้งหมดทั้งปวงนั่นน่ะเป็นเพราะไอ้พี่จิณณ์คนเดียว!

เรากินข้าวเที่ยงกันเสร็จก็เกือบบ่ายโมงแล้ว วันนี้ผมไม่มีเรียนต่อผิดกับบุรินทร์ที่แรดไปลงวิชาเลือกเสรีของคณะเภสัชไว้ เจ้านั่นเลยต้องวิ่งตาเหลือกข้ามจากโซนแคมปัสไปเกือบสุดฝั่งของมหาวิทยาลัยเพื่อเข้าห้องให้ทันเช็คชื่อ พอเพื่อนไม่อยู่ผมก็เคว้ง ต้องตัดใจลากสังขารไปห้องสมุดเพื่อที่จะทำงานที่ค้างไว้ต่อ เหอะ ไม่มีคนช่วยผมทำเองได้ ไม่เห็นจะง้อ


ห้องสมุดคณะผมยังคงร้างไม่ผิดจากครั้งล่าสุดที่เข้ามาสักนิด อย่างนี้แหละครับ ไม่ว่าห้องสมุดคณะไหน จะอักษร สถาปัตย์ หรือแม้แต่หอสมุดกลางของมหาวิทยาลัยก็เถอะ เวลาปกติที่ไม่ใช่ช่วงสอบเนี่ยมันจะทั้งร้างทั้งเงียบยังกับป่าช้าแน่ะแล้วก็จะกลับมาครึกครื้นอีกทีตอนช่วงสอบ

โห อย่าให้พูด ถึงตอนนั้นนะเก้าอี้จะนั่งยังไม่ค่อยจะมี เพื่อนผมบางคนถึงขั้นแบกหมอนใบเล็กมาด้วย กะกินนอนในห้องสมุดจนหมดช่วงสอบเลยประมาณนั้น บางทีเราก็ไม่ได้ตั้งใจมาอ่านหนังสือหรอกครับ อยากมากินบรรยากาศมากกว่า พวกผู้หญิงก็ชอบพากันมานั่งอ่านหนังสือเป็นกลุ่ม วันไหนโชคดีเราได้ขอแชร์โต๊ะกับสาวสวยก็ดีไป ได้อ่านหนังสือแถมด้วยอาหารตาตลอดวัน เรียกว่าถ้าบรรณารักษ์ไม่ไล่เราก็ไม่ลุกกันละ แต่ช่วงนี้มันเป็นช่วงกลางเทอมคนเลยน้อย มองไปทางไหนก็เปลี่ยวใจใช่เลย

ก็ดี จะได้มีสมาธิทำงาน ผมคิดเข้าข้างตัวเองทั้งที่ความจริงแล้วน่ะผมโคตรเกลียดความเหงาความเงียบยังกับอะไร แต่จะทำไงได้ล่ะครับ บุรินทร์ติดเรียน วาก็หายไปไหนไม่รู้วันนี้ โทรหาแต่เช้าก็ไม่ยอมรับสาย สงสัยจะอยู่กับสาว(?)

ผมดึงหูฟังออกมาเสียบโทรศัพท์เลือกเพลงที่ชอบแล้วก็หันมาจัดการกับกองหนังสือตรงหน้า ฟังเพลงไปก็นึกทวนไปว่าเมื่อวานทำค้างไว้ถึงตรงไหนจะได้ต่อถูกแต่เปิดไปหน้าเดิมก็ไม่ยักกะมีที่คั่นหนังสือคั่นไว้ เอ จำได้ว่าเมื่อวานแปลไปได้ประมาณครึ่งเล่มแรกนะ

“อยู่ไหนวะ” ไม่มีแฮะ ผมหยิบสมุดโน้ตออกมากะจะอ่านทวนเนื้อหาของเมื่อวานอีกรอบจะได้รู้ว่าต้องแปลตรงไหนต่อไปแต่ตัวหนังสือที่เรียงสวยเป็นระเบียบเต็มหน้ากระดาษกลับทำให้ผมความคิดของผมชะงัก พิจารณาถ้วนถี่แล้วจึงได้คำตอบ
ไม่ใช่ฝีมือผมหรอก

ไอ้วิธีการเขียนที่เรียงตามหัวข้อภาษาอังกฤษเป๊ะแถมยังแปลออกมาได้อย่างสละสลวยปานนี้น่ะ มันคนละชั้นกับข้อความในสองสามหน้าแรก(ที่เป็นฝีมือผม)กันเลยทีเดียว ผมเห็นแวบแรกก็เข้าใจได้ทันที ระหว่างที่คุณภัทรหลับไปเมื่อคืน มีไอ้บ้าอีกคนมันอยู่ดึกทำงานให้จนเกือบเสร็จ ผมปิดหน้าสมุดลงอย่างอ่อนแรง อีกอย่างก็คืออ่อนใจด้วย คิดไปถึงตอนที่ตัวเองทำเรื่องสารพัดกับอีกฝ่ายแล้วก็นึกอายขึ้นมาหน่อย ๆ ดูสิ งานของตัวเองก็ไม่ใช่ มันยังอุตส่าห์ทำแทนผมจนเกือบเสร็จ ได้นอนตอนกี่โมงก็ไม่รู้ เพราะเท่าที่ดูเนื้อหาที่หมอนั่นแปลออกมาแค่คืนเดียว มันเกือบจะเท่าที่ผมแปลมาทั้งอาทิตย์

ทำให้คนอื่นขนาดนี้เพื่ออะไร?

เสียงเพลงที่กำลังฟังอยู่ถูกตัดไปอย่างกะทันหันตามด้วยอาการสั่นของมือถือที่วางบนโต๊ะ วาโทรมา

“ไง หายไปไหนมาทั้งวัน” ผมส่งเสียงทักไปก่อน ปลายสายหัวเราะร่วน ฟังดูก็รู้ว่ากำลังอารมณ์ดีสุด ๆ (ไปเที่ยวมา ว่าไง งานไปถึงไหนแล้ว ให้ช่วยไหม)

“ไม่เป็นไรหรอกเหลืออีก...ไม่เท่าไหร่...” เพื่อนของผมทำเสียงครางในคอ แซวจนผมอดยิ้มไม่ได้

(แน่ล่ะสิ มีมือดีคอยช่วยนี่ ได้ข่าวว่าเมื่อคืนไปค้างบ้านพี่จิณณ์มาหรือ)

“อืม ข่าวจากไหนล่ะ”

(จากเจ้าตัวน่ะสิ เมื่อกี้เจอกันตรงบันไดแดง ทักกันได้สองสามคำเห็นว่าจะขึ้นไปงีบข้างบน เมื่อคืนทำงานกันจนดึกเลยหรือคุณ)

“ก็ ประมาณนั้น”

(ถึงว่าพี่จิณณ์ท่าทางเพลียเชียว หน้างี้เซี้ยวเซียว คุณเองก็ดูแลตัวเองนะ ได้เท่าไหร่ก็เท่านั้น อย่าฝืน อย่าหักโหม เดี๋ยวจะไม่สบาย...) วาพูดอะไรอีกสองสามประโยค จับใจความได้ว่ากำลังจะไปดูหนังบู๊ล้างผลาญเป็นเพื่อนพี่พีร์ ผมก็เออออตามจนอีกฝ่ายวางสายไปในที่สุด มองหน้าสมุดที่เปิดค้างไว้แล้วก็ต้องถอนใจยาว ให้ตายเถอะ ต้องปีนบันไดอีกแล้วเหรอเนี่ย




โปรดติดตามตอนต่อไป   :mew1:


(( 'ฉันไม่เคยชวนเพื่อนมาที่บ้าน' ...แล้วพี่น้องคุณเป็นใครล่ะคะพี่จิณณ์?))

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด