ASTAROTH พันธนาการดวงดาว [จบแล้ว] - แจ้งข่าวรวมเล่ม
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ASTAROTH พันธนาการดวงดาว [จบแล้ว] - แจ้งข่าวรวมเล่ม  (อ่าน 43618 ครั้ง)

ออฟไลน์ khaosap

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 165
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
    • Khaosap Writing
Re: ASTAROTH พันธนาการดวงดาว ตอนที่ 11.1
«ตอบ #30 เมื่อ02-11-2016 10:00:35 »

ตอนที่ 11.1

งานหลักของผู้บัญชาการกองเรือรบคือการดูแลความเรียบร้อยของน่านน้ำ เพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีเรือของอาณาจักรอื่นใดลักลอบเข้ามาทำการประมงในเขตของพวกเขา โดยอาณาเขตของแอสทารอธคือบริเวณอ่าวมารินาทั้งหมดไปจนถึงทางใต้และสิ้นสุดที่เขตแดนที่หมู่เกาะร้างซึ่งเต็มไปด้วยหินโสโครก

แต่ในบริเวณเกาะร้างนี่เองที่มักถูกล่วงล้ำอาณาเขต

เนื่องจากเซนทอร์ไม่บริโภคเนื้อสัตว์ แน่นอนว่าพวกเขาย่อมไม่กินเนื้อปลาด้วยเช่นกัน อีกทั้งเนื้อปลานั้นยังเก็บรักษายาก เน่าเสียได้ง่าย ดังนั้นจึงไม่ใช่สินค้าส่งออกที่ดีนัก นั่นทำให้ทะเลของแอสทารอธเต็มไปด้วยปลามากมาย เนื่องจากพวกมันแทบไม่เคยถูกจับเลย

นี่จึงเป็นสิ่งที่ชาวประมงจากอาเดรียสนใจนักหนา และมันก็คุ้มค่าที่จะเสี่ยง

"ท่านเลสธีราห์ หากเรามุ่งลงใต้ต่อไป อาจล่วงล้ำเข้าไปในเขตของอาณาจักรอาเดรียได้ เกรงว่าคงไม่ใช่เรื่องดีนัก" แม้ว่าเลสธีราห์จะกลายเป็นกัปตันเรือเซเลสต์ทันทีที่เขาได้รับตำแหน่งผู้บัญชาการ แต่ก็ใช่ว่าจะสามารถนำเรือรบในตำนานออกมาใช้งานได้ตามอำเภอใจ ดังนั้น ผู้บัญชาการใหญ่จึงต้องอาศัยลงเรือลาดตระเวนขนาดเล็กมาแทน

"เจ้านำเรือไปทอดสมออยู่ด้านหลังแหลมราห์ซิน ข้าจะนำเรือบดลงไปยังหมู่เกาะนั่น"

"ท่านเลสธีราห์..." ผู้บัญชาการหนุ่มไม่ทวนคำสั่ง เขาหยิบคันธนูคู่กายที่ขึ้นพาดบ่า แล้วจึงเดินไปที่กราบเรือเพื่อจัดการนำเรือบดลงน้ำ เหล่าลูกเรือเห็นดังนั้นจึงรีบกุลีกุจอมาช่วยเหลือ แม้จะยังไม่มีใครทราบว่าอีกฝ่ายต้องการจะทำอะไรก็ตาม

เรือลาดตระเวนตัดสินหันหลังกลับ และอ้อมไปหลบอยู่ด้านหลังแหลมราห์ซินที่เป็นบริเวณน้ำตื้น และทิ้งสมอลงตามคำสั่งผู้บัยชาการ โดยที่ผู้คนบนเรือเฝ้ามองผู้นำของตนพายเรือบดไปยังหมู่เกาะเล็กๆที่อยู่ไม่ไกล โดยทะเลเบื้องหน้าของพวกเขาปรากฎเรือประมงของอาเดรียสามลำที่ลำลอบเข้ามาจับสัตว์น้ำ

ต่อให้เรือลาดตระเวนจะมีปืนใหญ่ แต่มันก็ดูจะสิ้นเปลืองเกินไปที่จะใช้ขับไล่เรือสามลำ

เลสธีราห์ลากเรือบดขึ้นฝั่งอันเป็นหาดทรายขาวของเกาะด้านหน้าสุดและมองเรือประมงของอาเดรียอย่างครุ่นคิด "หากจะฆ่าให้ตายเสียหมดก็คงต้องฆ่าไปเรื่อยๆอีกมากมาย" มือเรียวคว้าคันธนูของตนขึ้นมาถือเอาไว้ก่อนจะยกขึ้นเล็งไปที่เรือที่ลำใหญ่ที่สุดจากทั้งหมด "เพียงแค่ลำเดียวก็คงพอกระมัง"

นิ้วยาวจับสายที่ขึงตึงก่อนจะง้างออกช้าๆ ทันใดนั้นนำทะเลเบื้องหน้าก็สั่นคลอน ค่อยๆแยกตัวแหวกทะเลออกเป็นสองฝั่งฟาก นัยน์ตาสีน้ำเงินเหลือบมองไปที่เรือลำนั้นแล้วจึงออกแรงง้างจนสุดแขน แหวกน้ำออกเป็นเส้นตรงอย่างรวดเร็วไปจนถึงเป้าหมาย พวกเซนทอร์ได้ยินเสียงร้องระงมของพวกมนุษย์บนเรือที่ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับพวกเขา ขณะที่เรือใหญ่หล่นร่วงลงเมื่อไม่มีน้ำทะเลรองรับและตกลงสู่พื้นทรายด้านล่างที่เคยเป็นก้นทะเล

ตูม!!

เลสธีราห์ปล่อยสายธนู และทันใดนั้น น้ำทะเลทั้งหมดก็ถ่าโถมกลับคืนและทับกลบเรือประมงจมหายไปท่ามกลางเสียงกรีดร้องด้วยความหวาดกลัว

และนั่นคือวันแรกที่มนุษย์ได้รู้จักอำนาจของแอควาเรียร์... ธนูแหวกสมุทร


--------------------------------------------------

เป็นครั้งแรกในชีวิตที่เลสธีราห์คิดว่าแสงอาทิตย์ในยามเช้าดูเหมือนจะสว่างเกินไป แต่ร่างโปร่งก็ฝืนใจลุกขึ้นมาในทันทีที่รู้สึกตัว และกลับมายังห้องพักของตนด้วยใบหน้าที่ค่อนข้างเผือดซีด และทิ้งให้แม่ทัพอาเดรียนอนหลับอยู่ในห้องพักของตนตามลำพังอย่างที่ควรจะเป็น

เซนทอร์หนุ่มตรงไปยังเตียงของตนในทันทีที่ปิดประตูห้องและทรุดตัวลงนอนคว่ำหน้านิ่งๆสักพักเพื่อให้ความรู้สึกเจ็บแปลบที่ยังหลงเหลืออยู่หายไป คิ้วเรียวขมวดเข้าหากันในขณะที่ยังก้มหน้าอยู่กับฟูกเตียง

"อูย..."

เขากลืนน้ำลายอย่างยากลำบากและพยายามจะพลิกตัวนอนตะแคงเพื่อให้รู้สึกสบายขึ้นบ้าง เลสธีราห์ยังจำเสียงลมหายใจกระชั้นของอีกฝ่ายได้ติดหู และสัมผัสจากฝ่ามือแข็งด้านที่กดเฟ้นหยาบโลนไปทั่วร่าง ทั้งจังหวะเคลื่อนไหวดุดันไม่ออมแรง และเสียงของตัวเองที่ยังติดหูจนถึงตอนนี้ ชายหนุ่มหลับตาลงและพยายามส่ายหัวไล่ความทรงจำเหล่านั้นออกไป เขากลัวที่จะนึกถึงมัน... สิ่งที่เกิดขึ้นนั้นมันมากกว่าที่คาดเอาไว้เกินไป

แต่ก็เป็นตัวเขาเองก็เลือกจะไม่ต่อต้าน ...เพราะเหตุใดกัน

เหตุใดเขาจึงไม่นึกอยากต่อต้านเอเดรียนตั้งแต่เริ่มสัมผัสได้ว่าอีกฝ่ายคิดจะทำอะไรกับตน ทำไมเขาจึงยอมให้อีกฝ่ายสัมผัสและรุกล้ำเข้ามา เขาควรจะถามเอเดรียนหรือถามตัวเองมากกว่ากันหนอควรถามตัวเองว่าเหตุใดจึงไม่ต่อต้าน หรือถามเอเดรียนว่าเหตุใดจึงทำเช่นนั้น

'แต่ข้า... ก็ยังอยากครอบครองเจ้าไว้เพียงคนเดียว... อยู่ดี'

แม้ไม่ต้องการคิดเข้าข้างตนเองสักเท่าไหร่ แต่คำพูดที่บ่งบอกเจตนาเด่นชัดนั้นทำให้เลสธีราห์ว่าคิดว่าได้เข้ามาพัวพันกันเรื่องที่หนักหนากว่าความสนิมสนมฉันมิตรสหายเสียแล้ว แต่เพียงเพราะคำนั้นหรือที่ทำให้เขาใจอ่อน และยอมอยู่ใต้ร่างผู้ชายอีกคนหนึ่งโดยไม่ขัดขืนหรือต่อต้าน เพียงเพราะคำพูดที่ดูหว่านล้อมคำนั้นจริงๆหรือ

เอเดรียนอาจมัวเมาด้วยฤทธิ์สุรา แต่เลสธีราห์ก็รู้สึกได้ว่าเจ้าตัวไม่ได้ขาดสติถึงเพียงนั้น

ถ้าหากว่าอีกฝ่ายจดจำไม่ได้ว่าทำอะไรลงไปบ้าง เขาควรจะทำอย่างไรต่อไป ควรจะทำเสมือนไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้นอย่างนั้นหรือ เพื่อให้ความสัมพันธ์ของเพื่อนรวมงานดำเนินต่อไปอย่างที่ควรจะเป็น แต่ถ้าหากเอเดรียนเกิดจำเหตุการณ์เหล่านั้นได้ขึ้นมา เขาจะทำอย่างไรต่อไป ความสัมพันธ์ของพวกเขาควรจะเป็นอย่างไรในอนาคต มันจะมิเป็นการยากขึ้นหรอกหรือ หากเขาต้องการยุติเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมด

เอเดรียนควรจะลืมเรื่องนี้ไปเสีย และตัวเขาเองก็เช่นกัน...

...เพราะความรักไม่มีทางเกิดขึ้นได้ระหว่างผู้ชายสองคน

--------------------------------------------------

ดาวแห่งการเปลี่ยนแปลงได้เลือนหายไปจากท้องฟ้าแล้ว...

แม้ว่าเซนทอร์ทุกตนจะมีความสามารถในการอ่านอนาคตจากดวงดาว แต่นั่นก็ขึ้นอยู่กับการตีความเป็นการส่วนตัว บ้างอาจคิดว่าความพยายามในการเจรจาของท่านหญิงจะไม่สำเร็จ บ้างก็คิดว่าแอสทารอธจะไม่ได้รับประโยชน์จากการเข้าร่วมสงครามเย็นนี้ แต่สำหรับราชเลขาลีอาห์แล้ว นางเป็นห่วงชีวิตของบุตรชายเสียยิ่งกว่าอะไร

"มีความเป็นไปได้หรือไม่ว่าอาเดรียเสนอสิ่งที่ใหญ่เกินตัวจนเกินไป จึงยอมล้มการเจรจา"

เหนือหัวดาเรียสเองก็ได้เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นบนท้องฟ้าเมื่อคืนที่ผ่านมาแล้ว และด้วยความเป็นห่วงต่อความรู้สึกของราชเลขา เขาจึงเรียกนางเข้าพบในตอนเช้า "แต่ในเมื่อเลสธีราห์ไม่พูดอะไรออกมา เช่นนั้นก็แปลว่าไม่มีปัญหาอะไรใหญ่โต" จริงอยู่ว่าศาสตร์การต่อเรือจักรไอน้ำจะเป็นความรู้สูงค่าหายาก และเป็นสิ่งที่เซนทอร์ต้องการ แต่เหนือหัวดาเรียสก็ไม่คิดว่าพวกมนุษย์จะหาญกล้าหลอกลวงเพื่อให้เซนทอร์ยอมร่วมมือ ในเมื่อท่านหญิงลีอาห์เองก็ได้กล่าวดักทางเอาไว้ตั้งแต่แรกแล้วว่าแอสทารอธจะได้ต้องได้รับสิ่งตอบแทนก่อนเท่านั้น กองเรือเซเลสต์จึงจะยอมออกรบ

...และจะออกรบด้วยกำลังพลของกองทัพอาเดรียเท่านั้น

"หากเป็นเช่นนั้น เลสธีราห์ก็คงจะเตือนพวกเราตั้งแต่แรกว่าอาเดรียหลอกลวง" ท่านหญิงเองก็มุ่นคิ้วครุ่นคิด สิ่งที่บุตรชายของนางพูด กับสิ่งที่ดวงดาวบอกนั้นช่างขัดแย้งกันเหลือเกิน "และถ้าหากว่าอาเดรียมีการเปลี่ยนแปลงที่ใหญ่โตและกระทบถึงแอสทารอธจริง เลสธีราห์คงไม่รอช้า และรีบเดินทงกลับมายังเลาน์เรนแล้ว" ท่านหญิงพึมพำ แต่เมื่อนางได้พูดออกมาแล้ว เซนทอร์หญิงก็นึกถึงคำหนึ่งที่บุตรชายเคยบอกในยามที่พบกันครั้งสุดท้าย

'เขาชวนข้าไปพักที่คฤหาสน์... มันเป็นอุบายที่จะไม่ให้ข้าไปไกลจากสายตาของเขา'

ลีอาห์กลั้นใจก่อนจะเหลือบตาสายขึ้นมององค์เหนือหัวของนางที่กำลังมองอากัปกิริยาของราชเลขาอยู่เช่นกัน "เอเดรียนผู้นั้นมีไหวพริบ และฉลาดหลักแหลม ลางของดวงดาวในครั้งนี้อาจไม่ได้หมายถึงการเจรจาเพียงอย่างเดียว แต่อาจหมายถึงความปลอดภัยของผู้เจรจาด้วย" คนพูดเม้มปากครู่หนึ่งด้วยความลังเลก่อนจะพูดออกมา "ข้าเกรงว่าเลสธีราห์อาจมีภัย จึงอยากขออนุญาตเหนือหัว..."

ผู้นำแห่งแอสทารอธยกมือขึ้นปรามคนสนิทเมื่อเห็นว่านางเริ่มตระหนก "ข้าส่งเฟรดาไปอาเดรียแล้ว อาจจะช่วยได้บ้าง"

การกระทำอย่างลับๆของเหนือหัวทำให้ราชเลขาอ้าปากทักท้วงว่าเหตุใดจึงไม่บอกเรื่องนี้กับนางแต่เนิ่น แต่ก็พลันได้ว่าตนเป็นเพียงราชเลขาคนสนิทนั้น หากเหนือหัวต้องการจะทำอะไร อีกฝ่ายไม่จำเป็นต้องบอกนางเลยสักคำก็ย่อมได้ "ท่านหญิง... เลสธีราห์มีความสามารถในการเดินเรือและการอ่านทางทะเลก็จริง แต่นี่เป็นเรื่องของไหวพริบและการเอาตัวรอด ข้าเกรงว่าการส่งเขาไปเพียงลำพังจะนำพาอันตรายมาสู่เขา จึงได้ให้เฟรดาคอยสอดส่องดูแลอีกทางหนึ่ง"

เหนือหัวดาเรียสทอดยิ้มละมุน "แต่ข้าก็ไม่ได้สั่งให้เฟรดายุ่งย่ามกับภารกิจของเลสธีราห์หรอก"

"การตีความจากดวงดาวนั้นช่างหลากหลาย ข้าเองก็ไม่แน่ใจว่าควรปักใจเขื่อกับสิ่งใด ควรจะพะวงกับเรื่องผลประโยชน์ของแอสทารอธ และหันหน้าไปตกลงยอมรับข้อเสนอของธีสธรัลดีหรือไม่ หรือว่าควรเชื่อลมปากของพวกมนุษย์อาเดรีย ทว่าเป็นห่วงชีวิตของบุตรชายแทนดี" ราชเลขาถอนใจ "ข้าเองไม่น่าอนุญาตให้เลสธีราห์มีส่วนร่วมในเรื่องนี้ อันเป็นเรื่องที่เขาไม่ถนัดเอาเสียเลย"

"เลสธีราห์ต้องการจุดยืนในเผ่าพันธุ์เซนทอร์ ท่านหญิงเองก็ห้ามไม่ได้หรอก"

เหนือหัวดาเรียสถอนใจ "ทั้งวิชาฟังเสียงปลาและธนูแอควาเรียร์ก็ล้วนแล้วแต่มรดกจากบิดาของท่าน ท่านทูตธีโอแดร์ ทำให้เลสธีราห์คิดว่าตนเองไม่มีความสามารถใดโดดเด่นเป็นพิเศษ อีกทั้งแรงกดดันจากสภาขุนนางชั้นสูงซึ่งเขาเปรียบเทียบระหว่างเขากับซาฮาลที่มีอายุไล่เลี่ยกันยิ่งทำให้เขาหมดความศรัทธาในตนเอง และจำเป็นต้องใช้วิธีนี้เท่านั้นเพื่อจะพิสูจน์คุณค่าในตนเอง" ผู้นำเซนทอร์กล่าว "ไม่แปลกใจที่เขาซึ่งเกิดมาในร่างที่แตกต่างจากเซนทอร์จะรู้สึกว่าตนเองแตกต่างจากพวกพ้องไปด้วย แม้ว่าสุดท้ายแล้วเขาจะยังเป็นบุตรของเจ้าอยู่ดีก็ตาม"

ราชเลขาไม่ได้รู้สึกเบาใจขึ้นเมื่อได้ยินเช่นนั้น แต่อย่างน้อยนางก็ยินดีที่เหนือหัวเขาอกเข้าใจบุตรของนาง

"ข้าเกรงว่า... หากเอเดรียนผู้นั้นสืบรู้ว่าเลสธีราห์เป็นเซนทอร์ เขาอาจจะหาประโยชน์จากลูกข้า"

"เจ้าก็รู้ว่าเลสธีราห์มีความเด็ดเดี่ยวจึงได้เลือกวิธีการพิสูจน์ตนเองแบบนี้" ดาเรียสตอบ "แม้ว่าเหตุการณ์นั้นมีแนวโน้มที่จะเป็นจริงอยู่บ้าง แต่ข้าเชื่อว่าเลสธีราห์ไม่ยอมให้ใครหาประโยชน์จากตน หากเขาไม่เต็มใจ" เหนือหัวหยุดไปเล็กน้อยด้วยไม่แน่ใจว่าเขาควรจะพูดต่อไปหรือไม่... เพราะสิ่งที่เขาสัมผัสได้จากดวงดาวในครั้งนี้ คือความอ่อนไหว

หากเลสธีราห์อ่อนไหว... นั่นหมายถึงความเพลี่ยงพล้ำของแอสทารอธ

"แต่ถ้ามันเกิดขึ้นจริงๆ ข้าจะไม่ยอมให้อาณาจักรเราเสียประโยชน์เป็นอันขาด"

ราชเลขาค้อมหัวลงยอมรับการตัดสินใจผู้นำ และได้แต่ภาวนาอยู่ในใจไม่ให้เรื่องเหล่านั้นเกิดขึ้นจริง เพราท่านหญิงลีอาห์ก็คิดว่านั่นเป็นทางออกที่ถูกต้องเหมาะสม ในฐานะของเซนทอร์ตนหนึ่ง ในฐานะของอัศวิน... การเสียสละตนเพื่อส่วนรวมคือกฎขั้นพื้นฐาน และถ้าหากเลสธีราห์เป็นคนที่นำพาความเดือดร้อนมาให้แอสทารอธ...

ทางออกของนักรบนั้นย่อมหมายถึงความตาย...

--------------------------------------------------

แม่ทัพแห่งอาเดรียลืมตาขึ้นมาเพราะแสงแดดส่องหน้าจนรู้สึกร้อน และความรู้สึกปวดหัวอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน "...อูย" ร่างสูงยันกายขึ้นนั่งแต่ก็พบว่ามีน้ำหนักตัวของใครบางคนเกยทับอยู่บนร่างจนแขนข้างหนึ่งด้านชาไร้ความรู้สึก "เจ้า...!!" เอเดรียนอ้าปากค้างเมื่อเห็นว่ามีสตรีผมยาวผิวเข้มนางหนึ่งอิงแอบอยู่ข้างกาย

"อา ตื่นแล้วหรือคะ นายท่าน!"

หญิงสาวยิ้มตอบก่อนยืดตัวขึ้นอย่างรู้งาน แสงแดดที่ส่องเข้ามากระทบเสื้อผ้าทำให้เอเดรียนเริ่มรู้สึกคุ้นตาว่านางสวมใส่เครื่องแบบของหญิงรับใช้ประจำคฤหาสน์ "เจ้าเป็นใคร..." แต่ถึงกระนั้นเขาก็จดจำใบหน้าของคนรับใช้ทุกคนไม่ได้อยู่ดี และที่น่าแปลกใจกว่าการมีตัวตนของนางในห้องนอนของเขา นั่นคือการมีตัวตนของนางบนเตียงของเขา และบนตัวของเขา

เอเดรียนเป็นคนที่เมาแล้วไม่ค่อยได้สตินัก แต่เขาก็จำได้ไม่เคยทำรุ่มร่ามกับหญิงรับใช้มาก่อน

เหตุการณ์แรกในเช้าวันนี้จึงทำให้แม่ทัพอาเดรียกระอักกระอ่วนพูดไม่ออก

"ท่านจำไม่ได้หรอกหรือคะนี่ แต่ไม่เป็นไรหรอก ขุนนางระดับสูงไม่จำเป็นต้องจดจำหญิงรับใช้ระดับล่างหรอก แต่หากพอใจล่ะก็สามารถเรียกหาเฟรดาได้เสมอนะคะ" รอยยิ้มสดใสของนางนึกทำให้เอเดรียนสงสัยนักว่าเขาได้ทำอะไรลงไปบ้าง แต่นั่นก็ไม่ใช่สิ่งที่เอเดรียนควรสนใจสักเท่าไหร่ เขาเพียงแค่สงสัยว่าบุคคลอีกคนที่เข้ามาในห้องของเขาหายไปไหนเสียแล้ว และเหตุใดจึงไม่ห้ามที่เขาในการทำอะไรสักอย่างที่ทำให้หญิงผู้นี้ปรากฎตัวอยู่ในห้อง

...ทั้งชีวิตของเอเดรียนไม่เคยมีเหตุการณ์นี้เลยจริงๆ

"เจ้าเห็น... เลสธีราห์หรือไม่ เฟรดา"

"พ่อหนุ่มสูงโปร่ง ผมทองแต่งตัวประหลาดผู้นั้นน่ะหรือคะ" เลสธีราห์เพิ่งเข้ามาพักในคฤหาสน์ไม่นาน ไม่แปลกใจที่เขาจะยังไม่เป็นที่รู้จัก แต่เหล่าข้ารับใช้ก็พอจะคาดเดาได้กลายๆว่าบุคคลผู้นี้ค่อนข้างจะเป็น 'คนโปรด' ของแม่ทัพเอเดรียนเลยทีเดียว ทีแรกหญิงรับใช้ตั้งใจจะพองแก้มด้วยความไม่พอใจอยู่บ้างที่เอเดรียนถามหาคนอื่น แต่เมื่อขุนนางระดับสูงยอมเรียกชื่อนาง หญิงสาวก็ยิ้มร่าตอบคำถามอารมณ์ดี "ก็ท่านกอดเอวข้าเสียแน่น แล้วยังไล่เขากลับไปอีก เขาก็เลยกลับไปแล้วน่ะค่ะ" เฟรดาแลบลิ้นเล็กน้อยแทนการบอกว่านี่เป็นเรื่องช่วยไม่ได้

ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้ว เลสธีราห์เป็นคนขอให้นางมาช่วยเล่นละครบทนี้

ด้วยสีหน้าของชายสูงโปร่งผู้นั้น... เฟรดาพอจะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ทั้งท่าทางเหนื่อยอ่อนไร้เรี่ยวแรง และการพยุงตนเองเดินไปตามทาง บ่งบอกได้ดีว่าเลสธีราห์กำลังอ่อนล้า และบาดเจ็บ หญิงสาวไม่ได้ไถ่ถามให้มากความเนื่องจากอีกฝ่ายดูจะรีบร้อน เขายื่นเหรียญเงินให้นางพร้อมกับรายละเอียดงาน และรีบปลีกตัวออกไป "ท่านเอเดรียนดูสนิทสนมกับเขาจังนะคะ" ด้วยความอยากรู้ เฟรดาจึงเอ่ยเป็นเชิงถาม

"อืม... ก็อยากสนิทอยู่หรอก" เอเดรียนตอบเบา ก่อนจะส่ายหัวยิ้มๆ "เอาเถอะนะ"

หญิงสาวเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่งก่อนจะเอ่ยขึ้นทำลายความเงียบ "หิวหรือไม่คะ ข้าจะไปยกอาหารเช้ามาให้ ได้ยินว่าวันนี้มีซุปมะเขือเทศสูตรพิเศษนะคะ!"

"ไม่เป็นไร" แม่ทัพหนุ่มตัดบท "เจ้าไปเถอะ ข้าควรจะลงไปที่โถงด้านล่างเอง"

เมื่อออกปากไล่นางแล้ว แม่ทัพหนุ่มก็นึกขึ้นได้ "ถุงเงินอยู่บนโต๊ะนั่น เจ้าเอาไปก็แล้วกัน" ต่อให้ไม่เคยพาใครขึ้นห้องมาก่อน อีกทั้งยังจำไม่ได้ด้วยว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง แต่เอเดรียนก็รู้ว่านี่เป็นมารยาทที่เขาจะต้องจ่ายค่าตัวนางบ้าง แม้ว่านางจะแค่เป็นหญิงรับใช้ก็ตาม เฟรดาห่อปากคล้ายจะไม่พอใจครั้งหนึ่งแต่ก็ตัดสินใจกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงง้องอน "หากข้าต้องการแค่เงิน ข้าก็คงฉกฉวยเอาไปตอนที่ท่านไม่ได้สติแล้ว นี่ข้าพยายามสร้างความประทับใจอยู่นะคะ!"

"ข้าก็ประทับใจแล้วนี่ไง คนสวย..."

เพียงคำนั้น หญิงรับใช้ธรรมดาก็ร้อนหน้าขึ้นมาในชั่วอึดใจ เธอรีบถอยออกห่างแม่ทัพใหญ่ก่อนจะค้อมหัวแล้วเดินออกไปจากห้องด้วยใบหน้าร้อนผ่าวโดยไม่แตะต้องถุงเงินสักปลายนิ้ว "ยังไงก็เรียกหาเฟรดาได้เสมอนะคะ!"

--------------------------------------------------

ออฟไลน์ khaosap

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 165
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
    • Khaosap Writing
Re: ASTAROTH พันธนาการดวงดาว ตอนที่ 11.2
«ตอบ #31 เมื่อ02-11-2016 10:01:47 »

ตอนที่ 11.2

โดยทั่วไปแล้ว สามัญชนของอาเดรียจะอาศัยอยู่ในหมู่บ้านด้านนอกปราการหลวงซึ่งไม่เสียภาษี โดยแต่ละหมู่บ้านจะมีกำแพงเป็นเขตรั้วของตัวเองหรือไม่ก็ได้ และพวกเขาจะเดินทางเข้ามาในเขตปราการชั้นที่สามซึ่งเป็นปราการหลวงชั้นนอกสุดก็ต่อเมื่อต้องการซื้อขายสินค้าเท่านั้น และสามัญชนมักจะไม่มีสิทธิ์ผ่านเข้าไปในปราการชั้นที่สองซึ่งเป็นย่านพักอาศัยของขุนนาง และพ่อค้าอีกระดับที่ติดต่อซื้อขายกับต่างเมืองซึ่งจะเสียภาษีมากกว่า

ดังนั้น สามัญชนหญิงคนหนึ่งจึงได้แต่ยืนมองคฤหาสน์ราห์โมนาจากด้านนอกปราการหลวงที่นางไม่สามารถผ่านเข้าไปได้ จนกระทั่งคนที่นางต้องการพบเดินออกมาจากด้านใน และหลบซ่อนใบหน้าอยู่ใต้คลุมผ้าใหญ่ "ลางบอกเหตุที่ผ่านมาทำให้ข้ากังวลใจ และเชื่อว่าเจ้าเองก็คงรู้สึกเช่นนั้นไม่ต่างจากข้า เฟรดา..." น้ำเสียงของผู้รอคอยทุ่มต่ำและเรียบเฉย นางพิจารณาคู่สนทนาที่ค่อยๆเลิกผ้าคลุมขึ้นช้าๆ เผยใบหน้าอ่อนเยาว์สดใส

"เจ้าผิดเวลานัดไปมาก..." ผู้รอคอยคาดคั้น "ติดนิสัยพวกมนุษย์แล้วหรืออย่างไร"

"ท่านพี่..." คู่สนทนาลากเสียงประท้วง "ข้าใช้เวลาเพียงเท่านี้ในการเข้าไปเป็นหญิงรับใช้ในคฤหาสน์นั่นได้ก็นับว่าเก่งมากแล้ว ต่อให้พวกมนุษย์จะสะเพร่ากว่าพวกเรามากแต่พวกเขาก็คัดคนอย่างเข้มงวดในระดับหนึ่งเลยทีเดียว" คนเป็นน้องกอดอก และพองแก้มเล็กน้อยบ่งบอกถึงอาการ 'งอน' พี่สาว

"หึ เข้มงวดรึ... เจ้าอย่าพูดคำนั้นกับข้าเสียจะดีกว่า กับมาตรการรักษาความปลอดภัยหละหลวมเช่นนี้" ผู้เป็นพี่ตอบเสียงแข็ง นางกวาดสายตามองรอบตัวเพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีผู้ใดติดตามน้องสาวของนางมา "ช่างหละหลวม..." นางวิพากย์ไปถึงกระบวนการรับคนเข้าทำงานด้วย ในฐานะที่อาเดรียมีศัตรูรอบด้านเช่นนี้ กระรักษาความปลอดภัยขั้นสูงสุดจึงเป็นสิ่งที่ควรกระทำ แม้กระทั่งหญิงรับใช้ชั้นต่ำก็ยังต้องระวังระแวง แต่ก็ยังปลดปล่อยให้เซนทอร์ปลอมตัวเข้าไปทำงานได้ อีกทั้งยังเป็นคฤหาสน์ราห์โมนา... สถานที่พักของทูตระดับสูงของอาเดรียอีกด้วย

"ข้าได้รับหน้าที่เป็นคนล้างจานเท่านั้นแหละ ท่านพี่... ปวดแขนจะแย่อยู่แล้ว"

คนเป็นน้องบ่นอุบและยกแขนขึ้นเล็กน้อยเพื่อบิดไล่ความเมื่อยขบ "ข้าไม่ได้รับอนุญาตให้ขึ้นไปถึงชั้นบนหรอก เพียงแต่..." หญิงสาวลดเสียงลงเล็กน้อยและค่อยๆขยับเข้าไปใกล้พี่สาวเพราะกระซิบต่อ "ข้าบังเอิญพบเลสธีราห์เมื่อเช้านี้ ระหว่างลำเลียงจานไปยังห้องโถง" นางหยุดครู่หนึ่งเพื่อเรียบเรียงเหตุการณ์และเล่าให้พี่สาวฟัง "เขา... จ้างข้าให้ไปนอนกับมนุษย์หัวดำนั่น"

"...ว่าอย่างไรนะ!!"

ผู้เป็นพี่เสียงแข็งขึ้นมาทันทีและคำกร้าวของนางก็ทำให้คนบริเวณนั้นหันมาสนใจทั้งคู่ เฟรดาจึงคว้าข้อมือพี่สาวและดึงออกไปให้พ้นจากการเป็นจุดสนใจ "อย่าเพิ่งโวยวายจนกว่าข้าจะเล่าให้จบไม่ได้หรือ โมนา!!" เมื่อถูกน้องสาวเอ็ดบ้าง โมนาก็ชะงักและยอมเงียบเสียงลง แม้ว่านางจะรู้สึกขุ่นเคืองจนอารมณ์เสียแล้วก็ตาม เฟรดามีผิวสีเข้มต่างจากพี่สาวที่ดูขาวจนเกือบสว่าง นั่นเพราะพวกนางเป็นพี่น้องต่างมารดากัน แต่ถึงอย่างนั้นเซนทอร์ก็ไม่เคยแบ่งแยก และอีกเหตุผลก็คือทั้งคู่อาศัยอยู่ด้วยกัน และพึ่งพาอาศัยกันมาตลอด สำหรับกองทัพและโลกใบนี้แล้ว โมนาอาจเป็นแม่ทัพหญิงที่โหดเหี้ยมและดุดัน แต่สำหรับเฟรดาแล้ว นางเห็นคนตรงหน้าเป็นเพียงพี่สาวใจร้อน

"มันไม่ใช่การ 'นอน' อย่างที่ท่านคิด หยุดจิตไม่บริสุทธิ์ของพี่ได้แล้ว!"

"นี่เจ้าว่าข้าหมกมุ่นรึ!!" โมนาอ้าปากค้าง "เช่นนั้นก็รีบๆเล่ามา แล้วอย่าใช้คำว่า 'นอน' พร่ำเพรื่อแบบนั้นอีก!"

เฟรดาสูดหายใจลึกๆอีกครั้งแล้วจึงเล่าตามความรู้สึกของตนโดยไม่ลำดับเหตุการณ์ "ข้าไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นก่อนหน้านี้ แต่เลสธีราห์กล่าวว่า 'แม่ทัพเอเดรียน' ต้องการให้ใครสักคนอยู่เคียงข้าง ซึ่งเขาคงทำหน้าที่นั้นไม่ได้ รบกวนข้าไปอยู่ข้างๆชายคนนั้นสักพักจนกว่าเขาจะตื่นขึ้นมา" ท่านหญิงโมหามุ่นคิ้วอย่างไม่เข้าใจกับคำว่า 'แม่ทัพเอเดรียน' และยิ่งมุ่นคิ้วไม่เข้าใจยิ่งกว่าเมื่อได้ยินคำว่า 'คงทำหน้าที่นั้นไม่ได้'

"ชายคนนั้นไม่ใช่ทูตของอาเดรียหรอกหรือ"

"ข้าเองก็ได้ยินว่าคฤหาสน์ราห์โมนาเป็นที่พักของขุนนางที่จัดการดูแลความเรียบร้อยภายในอาณาจักร ซึ่งมีความเป็นไปได้สูง่าเขาจะเป็นแม่ทัพนะ" เฟรดาพยักหน้าเบา "ท่านพี่บอกว่าเขาเป็นขุนนางฝ่ายทูต เพราะเขาเป็นผู้นำคณะทูตไปเจรจาที่แอสทารอธ แต่ข้ากลับคิดว่า... เพราะเขาเป็นแม่ทัพของอาเดรียมากกว่า ผู้นำของเมืองนี้จึงได้ส่งเขาไปเจรจาแทน อีกทั้งยังเป็นการเจรจาที่ขอยืมกำลังพลจากแอสทารอธด้วย จึงใช้ทูตธรรมดาไม่ได้"

โมนากัดริมฝีปากของตนเองเบาๆด้วยความกังวล "แล้วเหตุใดเลสธีราห์จึงกล่าวเช่นนั้น..."

"ข้าคิดว่าเลสธีราห์คงเข้าไปพัวพันกับเรื่องยุ่งยากบางอย่างเสียแล้ว ไม่ว่าเจ้าตัวจะได้อ่านลางจากดวงดาวเมื่อคืนนี้หรือไม่ก็ตาม แต่เพียงครู่เดียวที่ข้าพบเขา ข้าสัมผัสได้" เฟรดาพึมพำ "พวกมนุษย์อาจไม่รู้ว่าเขาคือเซนทอร์ แต่สิ่งที่น่ากลัวกว่าการถูกเปิดโปงความลับนั่น นั่นคือการที่เลสธีราห์เลือกจะเผยความลับนั่นด้วยตนเอง"

"เซนทอร์มีใจเด็ดเดี่ยว แม้ว่าเลสธีราห์จะเป็นเซนทอร์เพียงครึ่งเดียวก็ตาม..."

"ท่านพี่..." เฟรดาเอ่ยเรียก "คนที่มีใจเด็ดเดี่ยว... จะไม่อ่อนข้อให้กับใครง่ายๆหรอกนะ โดยเฉพาะเมื่อคนผู้นั้นอาจต้องกลายเป็นศัตรูในอนาคต" น้องสาวจับมือพี่ของตนแน่น "ลางบอกเหตุเมื่อคืนนี้... กำลังเตือนว่าเราอาจสูญเสียเลสธีราห์ให้แม่ทัพเอเดรียนผู้นั้น ไม่ใช่ความพ่ายแพ้ของแอสทารอธต่ออาเดรีย"

โมนามุ่นคิ้ว "เจ้าหมายความว่าอะไร"

"ข้าคิดว่าพวกเขามีใจให้กัน เพียงแต่พยายามปกปิดเอาไว้..."

--------------------------------------------------

เลสธีราห์ไม่รู้ตัวเลยว่าหลับไปนานเต็มวันหลังจากกลับถึงห้องพักของตน

เมื่อสะลึมสะลือตื่นขึ้นมาอีกครั้งก็พบว่ามีทั้งหมอและผู้ช่วยอยู่ในห้องของเขา รวมทั้งเอเดรียนด้วย แม่ทัพใหญ่กำลังหารือกับหมอด้วยสีหน้าเคร่งเครียด แต่เมื่อเห็นว่าคนป่วยฟื้นแล้ว ร่างสูงก็ทอดยิ้มจางอย่างอ่อนโยนและตรงเข้ามาหา "อะไรกัน... เมาค้างได้ขนาดนี้เชียวหรือ เจ้าน่ะ" เอเดรียนยกมือขึ้นปัดไล่คนอื่นออกไปจากห้องก่อนจะนั่งลงที่เก้าอี้ข้างเตียง "นึกว่าเป็นอะไรไปเสียอีก"

น้ำเสียงของเอเดรียนฟังดูโล่งใจ เขาหยิบเหยือกน้ำมารินใส่แก้วให้คนป่วย "ดื่มเสีย เจ้าคงคอแห้ง"

เลสธีราห์ยันแขนขึ้นลุก และกล้ามเนื้อที่ผ่านการใช้งานมากอย่างหนักเมื่อคืนที่ผ่านมาก็อ่อนแรงจนไม่สามารถขยับได้รวดเร็วดังใจ "ข้าจะเป็นอะไรไปได้ล่ะ" ด้วยความปากไว้ ร่างโปร่งจึงตอบไปอย่างนั้น ก่อนจะรับแก้วน้ำมาจากเอเดรียนแล้วจึงยกขึ้นดื่มรวดเดียวจนหมด

"คนปกติที่ไหนเขาจะนอนหลับสลบไสลทั้งวันแบบนี้เล่า เรียกเท่าไหร่ก็ไม่ตื่นซะด้วย"

เลสธีราห์เหลือบมองคนพูดเล็กน้อยและคิดว่าอีกฝ่ายคงจำอะไรไม่ได้จริงๆ เมื่อนึกขึ้นได้ดังนั้น มือเรียวก็ยกขึ้นปิดคอของตนที่เคยปรากฎรอยฟันของอีกฝ่ายเป็นจ้ำ เลสธีราห์มองหากระจกเงาเพื่อจะส่องดูให้แน่ว่ารอยนั้นยังอยู่หรือไม่ ในระหว่างที่เขาหลับไปมีใครเห็นมันหรือเปล่า และร่องรอยที่หลงเหลือตามเนื้อตัวของเขามีใครสังเกตเห็นหรือไม่

เซนทอร์หนุ่มเพิ่งสังเกตว่าตนสวมเสื้อนอนสีอ่อนอยู่ คาดว่านี่คงเป็นชุดที่หญิงรับใช้จัดหามาให้

"ข้าไม่เป็นไร" เลสธีราห์ยืนยัน "อาจจะเพลียมากไป..."

"ไม่เป็นไรได้อย่างไร ไข้ก็ไม่มี ตัวก็ไม่ร้อน แต่หลับสนิทอย่างกับไปอดหลับอดนอนมาจากไหน ข้าป้อนยาขนานแรงแค่ไหนให้ก็ไม่รู้สึกตัว ต้องเรียกหมอหลวงมาจากมหาคฤหาสน์เพื่อจะยืนยันว่าเจ้ายังมีชีวิตอยู่" ใจความยืดยาวเหล่านั้นทำให้เลสธีราห์ประหลาดใจอยู่หลายอย่าง แม้เอเดรียนอาจจะบ่นเหมือนตนเองเป็นบิดาก็ไม่ปาน

"ให้คนอื่นทำก็ได้นี่..."

ร่างโปร่งพึมพำพลางยกมือขึ้นแตะปากตัวเอง รสชาติขมเฝื่อนของยายังติดลิ้นของเขาอยู่ นั่นเป็นข้อพิสูจน์ว่าเอเดรียนไม่ได้พูดเกินเลยความจริง แต่จู่ๆฝ่ายนั้นจะมานั่งป้อนยาให้เขาทำไม ทั้งที่เขาเป็นแค่ลูกน้องแท้ๆ คนเป็นแม่ทัพมีเวลาว่างมากพอจะมานั่งดูแลลูกน้องปลายแถวด้วยหรือไร หรือเอเดรียนจะรู้สึกผิดกับสิ่งที่เกิดขึ้น จึงได้พยายามไถ่โทษ "แล้วเจ้า... สร่างเมาแล้วหรือ" ร่างโปร่งถามอ้อมค้อม เขาไม่แน่ใจว่าเอเดรียนจะจำเรื่องที่เกิดขึ้นได้รึเปล่า หากจำได้อีกฝ่ายก็คงจะพูดออกมา แต่หากจำไม่ได้เขาก็ไม่ควรบอกให้อีกฝ่ายรู้ว่าตนเองทำอะไรลงไป

...มันเป็นแค่ความพึงพอใจที่เขาเลือกเท่านั้น ไม่ใช่ความผิดของเอเดรียนแม้แต่น้อย

"แค่ตอนเช้าก็หายแล้ว..." แม่ทัพใหญ่ตอบ "ข้าไล่เจ้ากลับหรือ เห็นเฟรดาว่าอย่างนั้น"

ผู้หญิงคนนั้นชื่อ เฟรดา หรอกหรือ... เลสธีราห์ไม่ทันได้ไถ่ถามกระทั่งชื่อของผู้หญิงที่เขาว่าจ้างให้ขึ้นไปดูแลเอเดรียน เขาเพียงแค่ชอบความมีน้ำใจของนางที่พยายามจะช่วยดูแลเขา จึงได้ออกปากว่าจ้างให้นางขึ้นไปช่วยเฝ้าแม่ทัพใหญ่สักพัก และเล่นละครสักเล็กน้อยเพื่อกลบเกลื่อนความจริงอันไม่น่าจดจำ

กายแกร่งที่ล่วงล้ำเข้ามาภายในไม่ยั้งแรงทิ้งความเจ็บปวดเอาไว้ในความทรงจำจนถึงตอนนี้

เลสธีราห์ผละตนเองออกมาทันทีหลังจากได้รับอิสระ ...นี่เป็นสิ่งที่เอเดรียนไม่สมควรจะรับรู้อย่างที่สุด นี่เป็นทางเลือกของเขา และเป็นการตัดสินใจของเขาทั้งหมด เอเดรียนไม่มีความผิดเลยแม้แต่น้อย เพราะอีกฝ่ายไม่ได้สติ และจมอยู่กับความผิดหวังที่อ้างว้างโดดเดี่ยวที่น่าเวทนา

"อืม ก็ไล่..." เซนทอร์หนุ่มตอบ "ข้าไม่อยากขัดคอ ก็เลยปล่อยให้นางรับช่วงต่อไปแทน" เขาพูดต่อราวกับทุกอย่างเป็นเรื่องปกติ แม้ในใจจะรู้สึกเจ็บแปลบขึ้นมาอย่างอธิบายไม่ได้ก็ตามที "นางดูแลเจ้าดีไหม" ร่างโปร่งถามต่อ แต่คู่สนทนาก็ไม่ตอบคำ เขากลับเอื้อมมือมาลูบเส้นผมสีอ่อนที่แผ่กระจายอยู่บนหมอนแทน

"ข้าไม่ควรดื่มเหล้าอีกกระมัง" เอเดรียนโคลงหัวน้อยๆ "ข้ามักจำอะไรไม่ได้ตอนเมา"

เลสธีราห์ไม่ปัดมือออกอย่างเคย แต่กลับหลับตาลงแทน "ถ้ามันช่วยให้เจ้ารู้สึกดีขึ้นก็ดื่มไปเถอะ"

"ไม่หรอก ที่ทำให้ข้ารู้สึกดีในตอนนี้คงเป็นเจ้ามากกว่า..."

นัยน์ตาสีฟ้าเหลือบขึ้นมองคนพูดทันทีแต่เซนทอร์หนุ่มก็ยังไม่พูดอะไร เขาอาจจะต้องการคำอธิบายเพิ่มเติม แต่อีกใจหนึ่งแล้วเลสธีราห์ก็ยังไม่พร้อมจะฟังความสับสนในจิตใจของใคร เพราะตัวเขาเองในตอนนี้ก็จับต้นชนปลายอะไรไม่ถูกมากพออยู่แล้ว "พูดจาแปลกๆ"

เอเดรียนกัดริมฝีปากตัวเองเล็กน้อยก่อนจะตอบ "ถ้าเป็นไปได้... ข้าอยากให้เจ้าเป็นสหายจริงๆ"

"ระดับแม่ทัพแล้วยังจะมาตัดพ้อเรื่องนี้อีก" คนฟังทอดยิ้มตอบจางๆ

เซนทอร์หนุ่มรู้สึกดีขึ้นมากแล้ว เขาไม่ครั่นเนื้อครั่นตัวและไม่รู้สึกหมดเรี่ยวหมดแรงอย่างเมื่อเช้า แต่หากลุกขึ้นยืนในตอนนี้ก็อาจจะโซเซเสียศูนย์อยู่บ้าง "ค่ำแล้ว เจ้าควรจะพักผ่อนต่อไป เพื่อให้แน่ใจว่าตัวเจ้าเองไม่เป็นอะไรจริงๆ" แม่ทัพหนุ่มดันบ่าคู่สนทนาให้นอนลงเมื่อรู้สึกได้ว่าอีกฝ่ายมีความคิดที่จะขยับตัว "ข้าจะอยู่เป็นเพื่อนเจ้าเอง"

"เห็นข้าเปราะบางขนาดนั้นเชียว..."

ร่างโปร่งยอกย้อน แต่ก็ต้องหยุดชะงักเมื่ออีกฝ่ายก้มลงมาจรดริมฝีปากจูบที่กลางหน้าผาก "เด็กดื้อ ฟังเสียบ้าง ที่เจ้าสลบไปนานขนาดนี้เพราะเจ้าฝืนกำลังตัวเองมากเกินไป ข้าควจะเข้มงวดเรื่องเวลาพักผ่อนของเจ้ามากขึ้น... ลูกน้องแบบนี้ข้าคงหาที่ไหนไม่ได้แล้วกระมัง"

"พูดเหมือนข้าเคยร่วมรบแล้วช่วยชีวิตเจ้าไว้อย่างนั้น"

"เลสธีราห์..." เอเดรียนเรียกชื่อคนตรงหน้าเป็นการปราม "จะไม่เถียงสักคำไม่ได้เชียวหรือ"

คนที่นอนอยู่หัวเราะในลำคอเบาๆและเป็นฝ่ายยอมแพ้ในที่สุด แต่ด้วยความที่ไม่รู้สึกง่วง เซนทอร์หนุ่มจึงมองคนตรงหน้าที่เคลื่อนมือขึ้นมาลูบผมของเขาแทนราวกับกล่อมให้นอน เอเดรียนเองก็รู้สึกได้ว่าอีกฝ่ายไม่ยอมหลับ เขาจึงก้มลงมองคนบนเตียงก่อนจะยิ้มด้วยความขบขัน "เจ้านี่ดื้อเหมือนเด็กไม่มีผิด"

"ข้านอนมาทั้งวันแล้วต่างหาก..." อีกทั้งยังเถียงคำไม่ตกฟากเหมือนเด็กจริงๆ

"เช่นนั้น... ลุกขึ้นมานั่งเฝ้าข้าแทนดีหรือไม่ เพราะข้าเหนื่อยมากแล้วในวันนี้" ร่างสูงแหย่ขณะที่ยังลูบผมยาวสีอ่อนเพลินมือ "ถ้าเจ้าอยู่เพื่อนสักพัก ก็คงจะไม่รู้สึกเหงาก็เป็นได้" เอเดรียนมองออกไปด้านนอกหน้าต่างอย่างที่ไม่ค่อยทำเวลาสนทนากับผู้อื่น ทว่าเลสธีราห์นั้นนอนค่อนขอดอยู่ในใจว่า เมื่อคืนที่ผ่านมาก็เพราะเขาอยู่เป็นเพื่อนอีกฝ่ายนี่เองจึงได้เจอเรื่องอย่างไรเล่า

"ไม่กลัวจะถูกข้าทำร้ายในภายหลังจริงๆเหรอ"

เอเดรียนทอดยิ้มจางแทนคำตอบ เขาเองก็กำลังทบทวนกับตัวเองอยู่ว่าคำตอบที่เขาควรจะให้คืออะไร เลสธีราห์ต้องการฟังคำพูดแบบใดจากเขา ฝ่ายนั้นอยากได้คำตอบที่น่าเลื่อมใสของแม่ทัพ หรือคำตอบธรรมดาของมนุษย์คนหนึ่ง

"กลัวสิ..." เอเดรียนตอบในที่สุด แต่ก็ยังลูบผมคนตรงหน้าอย่างอ่อนโยน "กลัวจะซ้ำรอยแทบตาย"

เซนทอร์เอียงหน้าซุกกับหมอนนุ่ม ก่อนจะหลับตาลงพร้อมกับฟังเสียงหัวใจที่เต้นแรงขึ้นอย่างผิดจังหวะของตน เขาพอจะรู้ว่าเอเดรียนมีอดีตที่ไม่ดีกับอดีตคนรักที่สุดท้ายแล้วก็เป็นสายสืบจากธีสธรัล ผู้หญิงคนนั้นหักหลังเอเดรียน และนำพาเขาไปสู่ความตายแต่ทว่าหนีรอดมาได้

"แต่สิ่งที่ข้ากลัวยิ่งกว่าความจริงที่ว่าเจ้าอาจเป็นศัตรู... คือการต้องลงมือกับเจ้า"

ร่างโปร่งมุ่นคิ้วเล็กน้อย ทว่าไม่ได้กล่าวอะไรตอบ เพราะตอนนี้ในใจของเลสธีราห์เองก็กำลังสั่นคลอนกับคำพูดของคู่สนทนา ไม่มีเหตุผลอะไรที่เอเดรียนจะต้องเชื่อเขา เลสธีราห์ไม่ได้สร้างผลงานใหญ่หลวงอะไร อีกทั้งยังเป็นคนโผงผางและทำเสียเรื่องอีกด้วย แต่อีกฝ่ายกลับเอ็นดูและให้อภัยเสมอ

เอเดรียนไม่ควรจะไว้ใจเขาเลย

และถ้าวันหนึ่ง แม่ทัพอาเดรียจะต้องรู้ความจริงว่าเลสธีราห์เป็นใคร รอยยิ้มที่อบอุ่นของผู้ชายคนนี้จะหายไปด้วยหรือไม่ ที่ผ่านมาเลสธีราห์พยายามทำให้เอเดรียนเชื่อใจเขา แต่เมื่ออีกฝ่ายเริ่มเชื่อขึ้นมาจริงๆ เซนทอร์หนุ่มก็เป็นฝ่ายอยากถอยห่างออกมาเสียเอง เพระความความรู้สึกที่เขามีต่อเอเดรียนมันมีค่าเกินว่าที่เขาจะทำลายได้

"เจ้าอาจจะหวังร้ายต่อข้าจึงได้พยายามเข้าหา... แต่ข้าก็จะเปลี่ยนให้เจ้ามายืนข้างข้า เขาให้เจ้าเท่าไหร่ ข้าจะให้มากกว่า... เขาจะตอบแทนเจ้าเท่าไหร่ ข้าจะตอบแทนให้มากกว่า... จะทำให้เจ้ารู้สึกว่าการอยู่กับข้าดีกว่าอยู่กับใคร..."

เลสธีราห์หลับตาลงพร้อมกับมุ่นคิ้วแน่น เอนเอียงหน้าไปอิงฝ่ามือที่เล่นผมของตนอยู่ช้าๆ

...สิ่งที่ซื้อข้าอยู่ หาใช่เงินทองหรือยศศักดิ์ แต่คือจุดยืนในสังคมที่ข้าควรจะอยู่

เอเดรียนเกลี่ยนิ้วกับเสี้ยวหน้าเนียนที่อิงแอบฝ่ามือ เขารู้ว่าคนตรงหน้าไม่ได้เข้ามาด้วยบริสุทธิ์ใจ แต่แทนที่จะขับไล่ไสส่ง แม่ทัพอาเดรียกลับต้องการจะดึงอีกฝ่ายมายืนอยู่เคียงข้างตนแทน "แต่จนตอนนี้... ข้าก็ยังซื้อใจเจ้าไม่ได้ใช่ไหม อมนุษย์"

ใจของคนฟังเจ็บแปลบราวกับถูกแทงด้วยมีดที่มองไม่เห็น "ยังมีอะไรที่ข้าให้เจ้าไม่ได้อีกหรือ"

...พอเถอะ เอเดรียน

เลสธีราห์พลิกตัวและพยายามจะซุกหน้ากับหมอนเพื่อหลบซ่อนความรู้สึกที่แสดงอยู่บนใบหน้าร้อนผ่าว ความอึดอัดนี้คืออะไรกันแน่ ความสับสน และไม่เข้าใจอะไรเลยสักอย่างประดังประเดเข้ามาพร้อมกันจนเซนทอร์หนุ่มเริ่มปวดหัว เขาไม่รู้ว่าควรจะคิดเรื่องใดก่อน และควรจะตัดสินใจเรื่องใดต่อ ไม่แน่ใจกระทั่งว่าตอนนี้ตนเองควรจะทำอะไร ควรจะนอนพักผ่อนเป็นคนป่วยที่ดีหรือว่าหนีกลับแอสทารอธไปให้รู้แล้วรู้รอด

เขาแทบจะทนความรู้สึกผิดต่อเอเดรียนไม่ได้แล้ว

"ไม่เป็นไร" เอเดรียนไม่รู้เลยว่าในใจของร่างโปร่งกำลังคิดอะไร แต่เขารู้สึกถึงความอึดอัดในลมหายใจของอีกฝ่าย และเขาก็คงทำได้เพียงแค่ปลอบอยู่ห่างๆเท่านั้น "ไม่เป็นไร... ข้าจะอยู่ข้างๆ จนกว่าเจ้าจะให้คำตอบ"

เลสธีราห์ยกมือข้างหนึ่งขึ้นปิดบังใบหน้าของตน...

อย่าทำให้ข้าหวั่นไหวมากไปกว่านี้ได้ไหม มนุษย์!

--------------------------------------------------
---------- TO BE CONTINUE ----------

ออฟไลน์ neverland

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 653
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-0
รู้สึกหวานอมขมกลืนไปด้วย จะรักกันช่างยากเย็น  :mew2:

ออฟไลน์ khaosap

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 165
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
    • Khaosap Writing
Re: ASTAROTH พันธนาการดวงดาว ตอนที่ 12.1
«ตอบ #33 เมื่อ03-11-2016 15:40:40 »

ตอนที่ 12.1

เอเดรียนจำไม่ได้ว่าเขาถูกขังอยู่ในเรือนจำหลวงของธีสธรัลในข้อหากบฎนานเท่าไหร่ เพราะเกือบจะลืมเลือนความมีชีวิตไปแล้ว หลังจากถูกจับได้ว่าเป็นผู้นำที่สั่งสมกำลังพลจำนวนมากเพื่อการกบฎแย่งชิงอิสรภาพของอาเดรีย

และผู้เปิดเผยความลับที่เขารักษาเอาไว้เหล่านั้นคือ เวห์เซีย... คนรักของเขาเอง

หลังจากถูกลงแส้ไปร่วมยี่สิบครั้งจนสลบ ผู้คุมคุกก็ยังใช้น้ำเกลือสาดที่บาดแผลเหล่านั้นเพื่อให้เขาตื่นขึ้นมารับรู้ถึงความเจ็บปวดอีกยี่สิบครั้ง สุดท้าย ขุนนางระดับสูงของอาเดรียก็ถูกทิ้งเอาไว้ให้ห้องขังเล็กแคบที่เหม็นอับของธีสธรัล แผ่นหลังที่ชุ่มโชกไปด้วยเลือดไม่ได้รับการเยียวยารักษาจนอักเสบปวดแสบปวดร้อนไปหมด และในอีกไม่อีกวัน เขาก็จะถูกลากตัวไปประหารด้วยการสู้กับกิ้งก่ายักษ์ที่ดุร้ายของธีสธรัลด้วยมือเปล่า... เพื่อเป็นความบันเทิงครั้งสุดท้ายให้กับเหล่าทหารบ้าเลือด

ในตอนนั้นเอเดรียนไม่นึกถึงอิสรภาพของอาเดรียอีกแล้ว แต่เขาคิดถึงอิสรภาพของตนเอง

ไม่มีใครจากบ้านเกิดยื่นมือเข้าช่วยเหลือ เพราะแม้แต่ตระกูลของเขาที่ค่อนข้างมีอิทธิพลในตลาดการค้าก็ยังไม่สูงส่งและมีอำนาจพอจะอ้อนวอนธีสธรัลผู้เป็นมหาอำนาจได้

ชะตากรรมของชายหนุ่มจึงมีแต่ความตายรออยู่

...แต่กลางลานประหารที่แสนกดดันนั้นเอง เรื่องวุ่นก็เกิดขึ้นในธีสธรัล ท่านหญิงโซเฟียแห่งทัพเวหาไอย์ชวลนำกำลังบุกโจมตีปราสาทฝั่งตะวันออกเนื่องจากความบาดหมางของธีสธรัลกับไอย์ชวลก่อนหน้านี้ ทำให้ผู้คนแตกตื่นและไม่สนใจการต่อสู้อีก เอเดรียนจึงได้จังหวะนั้นหลบหนีออกมา และได้รับการช่วยเหลือให้กลับบ้านเกิดอีกครั้งด้วยมือของท่านชายซินญอร์ผู้เป็นเจ้าเมืองอาเดรีย

แต่ก่อนที่จะหนีหัวซุกหัวซุนกลับบ้านเกิด... เอเดรียนก็ได้ฝากคมดาบเอาไว้กับเวห์เซีย

...ด้วยเหตุนี้ ชายหนุ่มจึงกลายเป็นคนที่เลือดเย็นที่สุดที่สังหารคนรักของตัวเอง

...

แต่จนถึงตอนนี้ เอเดรียนก็ยังคิดถึงนาง...

และใคร่ครวญกับตนเองอยู่วันว่าเหตุใดผู้หญิงคนนั้นจึงหันหลังให้ตนได้ลงคอ


--------------------------------------------------

การปกครองของแอสทารอธคล้ายจะเป็นระบอบกษัตริย์ แต่แท้จริงแล้วก็แทบไม่มีความเกี่ยวข้อง

ผู้นำสูงสุดของพวกเขาคือองค์เหนือหัวที่คัดเลือกด้วยวิธีประลองพละกำลัง ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในหมู่เซนทอร์เท่านั้นที่จะได้รับตำแหน่งผู้นำคนต่อไป โดยปกติแล้วเหนือหัวองค์ปัจจุบันจะต้องจัดการประลอง 'วาร์ดา' ขึ้นในฤดูใบไม้ร่วงในปีที่เขามีอายุครบสี่สิบห้าปี และหากไม่มีใครสามารถเอาชนะการประลองได้ ในอีกปีต่อไปก็จะต้องมีการประลองขึ้นอีกจนกว่าจะมีผู้ชนะ และเหนือองค์ปัจจุบันก็จะนั่งในตำแหน่งไปจนกว่าจะถึงเวลาที่เหมาะสม จึงจะส่งมอบมงกฏผู้นำแห่งเซนทอร์ต่อไป

และในปีนี้เองที่เหนือหัวดาเรียสมีอายุครบสี่สิบห้าปี...

เขาไม่ได้เสกสมรสกับหญิงใดเนื่องด้วยทั้งชีวิตอุทิศให้กับการพัฒนาความเป็นอยู่ของผู้คนใต้ปกครอง หากเปรียบเทียบวิถีชีวิตของเซนทอร์ในช่วงหนึ่งร้อยปีที่ผ่านมานี้ ในยุคที่เหนือหัวดาเรียสเป็นผู้นำสูงสุดนับว่าแอสทารอธมีความเจริญก้าวหน้ามากที่สุด

...ชื่อเสียงของกองเรือรบเซเลสต์ก็ถูกสร้างขึ้นในยุคของดาเรียสนี้เอง

และด้วยความที่ไม่มีทายาทโดยสายเลือดนี้เองที่ทำให้ตัวเต็งของการต่อสู้ครั้งนี้กลับกลายเป็นปุถุชนธรรมดาที่ไม่มีความเกี่ยวข้องกัน แต่คนผู้นั้นก็ไม่ใช่ใครอื่นไกล แต่เป็นซาฮาลผู้บัญชาการกองเรือพาณิชย์ ทายาทตระกูลอัศวินชั้นสูงของแอสทารอธนั่นเอง

การประลองวาร์ดาจึงมีกำหนดจัดขึ้นในวันแรกของฤดูใบไม้ร่วง ซึ่งก็นั่นคือในอีกสิบวันนับจากนี้ ในตอนนี้จึงเป็นช่วงเวลาของการลงชื่อเข้าร่วมประเพณีที่สำคัญที่สุดของอาณาจักร ไม่ว่าใครก็สามารถท้าชิงกับเหนือหัวดาเรียสได้ หากมีความมั่นใจในกำลังของตนมากพอ แต่เมื่อได้เห็นชื่อว่าซาฮาลได้เข้าร่วมการประลองด้วย ก็ทำให้ผู้ตั้งใจร่วมการต่อสู้หลายคนรู้สึกใจฝ่อไปบ้างตามๆกัน

ซาฮาลขึ้นชื่อว่าเป็นเซนทอร์รูปร่างดีโดยสายเลือด ร่างกายของเขามีลักษณะเด่นของอัศวินทุกประการอีกทั้งยังสมบูรณ์แบบไม่มีที่ติ ทั้งร่างกายส่วนมนุษย์ที่ดูแข็งแกร่งน่าเกรงขาม ท่อนขาของม้ากำยำแน่นไปด้วยมัดกล้าม กีบเท้าใหญ่แข็งแรง กระดูกหนาอันเป็นรากฐานที่มั่นคง อีกทั้งหางยาวพวงหนาที่ดูสง่างาม ...ผู้นำกองเรือกราเทียร์นับว่าเป็นคู่แข่งที่น่าจะสูสีกับเหนือหัวดาเรียสที่สุด

และเซนทอร์ทุกคนก็ล้วนยินดีที่จะก้มหัวให้กับผู้ที่แข็งแกร่งที่สุด

...แต่อาจยกเว้นท่านหญิงลีอาห์ที่ใจคอไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่

"ซาฮาลเอาชนะท่านได้ ด้วยกำลังของเขา ทักษะของเขา ข้าเห็นได้จากความมุ่งมั่นของเขาว่าเขาจะเป็นเหนือหัวแห่งแอสทารอธต่อไป" ราชเลขากล่าวกับเหนือหัวดาเรียส "ข้ายินดีที่จะก้มหัวให้ผู้แข็งแกร่ง แต่ก็มีบางสิ่งที่รบกวนจิตใจข้าเกี่ยวกับเรื่องของซาฮาล" ลีอาห์พูดตรงไม่อ้อมค้อม และนั่นก็ทำให้คนฟังทอดยิ้มออกมาอย่างรู้ทัน

"เรื่องความสัมพันธ์ที่ไม่ใคร่จะลงรอยกันนักของเลสธีราห์กับซาฮาลรึ"

"ลูกข้าเป็นผู้นำแห่งเซเลสต์ และแน่นอนว่าเขาจะอายุยืนกว่าข้าหรือท่าน การที่ทั้งสองคนนี้ไม่กินเส้นกันสักเท่าไหร่ทำให้ข้ารู้สึกเป็นห่วงนัก ซาฮาลเองก็ใช่คนยอมใคร เลสธีราห์เองก็ดื้อแพ่งไม่ต่าง แล้วมันสมควรหรือที่ผู้นำแห่งเซเลสต์จะตั้งตนเป็นปฏิปักษ์กับเหนือหัวเสียเอง"

"ท่านกำลังแช่งให้ข้าแพ้ตั้งแต่วันแรกหรือเปล่า ท่านหญิงลีอาห์" ดาเรียสหัวเราะ "ท่านไม่ต้องเป็นห่วงไป เพราะไม่ว่าข้าจะพ่ายแพ้แก่ผู้ใด... ก็คงยังไม่สละบัลลังก์ในตอนนี้หรอก" นัยน์ตาสีเข้มของผู้นำแห่งแอสทารอธมองออกไปด้านนอกพระราชวังและได้เห็นอาณาจักรทั้งหมดของอยู่ในสายตา "และเมื่อถึงเวลาที่ข้าจะต้องสละ เลสธีราห์ก็คงแข็งแกร่งพอที่จะยืนหยัดด้วยตนเองได้แล้ว"

ราชเลขาหญิงพยักหน้ายอมรับแม้จะยังมีความกังวลอยู่

บุตรชายของนางเป็นเด็กดื้อ แต่ในความหัวรั้นของเขาก็มีความปรารถนาแรงกล้าอยู่ และอีกฝ่ายคงไม่เลิกล้มความตั้งใจง่ายๆจนกว่าจะทำให้ความต้องการนั้นเป็นจริง ลีอาห์จึงได้แต่หวังให้เลสธีราห์บรรลุจุดประสงค์ เพราะนั่นอาจหมายถึงการเติบโตเป็นผู้ใหญ่มากขึ้นก็เป็นได้

"ท่านหญิง... แล้วราชทูตจากธีสธรัลว่าอย่างไรเล่า"

เซนทอร์หญิงสะดุ้งเล็กน้อย เพราะคำถามที่ดาเรียสโพล่งขึ้นมาคือสิ่งที่ลีอาห์ไม่ต้องการจะตอบมากที่สุดในตอนนี้ "พวกเขามายื่นข้อเสนอให้เรา..." นางกล่าว "เป็นข้อเสนอที่ยากจะปฏิเสธเหลือเกิน" ราชเลขามองตามสายตาของเหนือหัวแห่งตนไปและหยุดที่แม่น้ำธีนาที่ไม่ห่างจากพระราชวังอัสเธียร์นัก

"ธีสธรัลเสนอยกเรือจักรไอน้ำให้เราสิบลำ แลกกับการที่เราไม่ตกลงเข้าเป็นพันธมิตรกับอาเดรีย"

ข้อเสนอของธีสธรัลแตกต่างจากอาเดรีย แม้ว่าจะมุ่งเป้าไปที่เรือจักรไอน้ำเหมือนกัน แต่สิ่งที่อาเดรียเสนอมาคือการยกศาสตร์การต่อเรือจักรไอน้ำให้แอสทารอธ ในขณะที่ธีสธรัลยกเรือให้ทั้งลำ "จริงอยู่ว่าธีสธรัลเป็นเจ้าของศาสตร์การต่อเรือจักรไอน้ำ แต่การยกเรือให้เปล่าๆนั่นก็ขึ้นอยู่กับว่า ช่างต่อเรือจะสามารถทำความเข้าใจโครงสร้างของมันได้ละเอียดถี่ถ้วนพอจนสามารถสร้างเรือจักรไอน้ำของเราเองได้หรือไม่ แต่ในขณะที่อาเดรียเสนอยกบันทึกที่เป็นลายลักษณ์อักษรให้กับเราซึ่งนั่นแปลว่าเราสามารถต่อเรือได้เองโดยไม่ต้องทดลองทำความเข้าใจ" ดาเรียสวิเคราะห์

"เรือแค่สิบลำ... จะสมราคากับที่เรียกร้องให้เราวางตัวเฉยรึ ท่านหญิง"

หากเปรียบเทียบกันแล้ว แอสทารอธควรจะยอมเหนื่อยศึกษาโครงสร้างของเรือเองมากกว่าส่งเรือรบออกไปทำสงครามเพื่อแลกบันทึกเล่มเดียว "แต่เราก็ควรจะปรึกษารีดาห์ การถอดโครงสร้างเรือลำหนึ่งไม่ใช่เรื่องง่าย และเรือที่ธีสธรัลเสนอให้เราก็ไม่ใช่เรือพายธรรมดาเสียด้วย" ลีอาห์ว่า

"แต่การรอต่อไปเรื่อยแบบนี้ไม่ก่อให้เกิดผลดีต่แอสทารอธไม่ใช่หรือ"

ราชเลขาเงยหน้าขึ้นมองเหนือหัวของตนเล็กน้อยก่อนจะพยักหน้ายอมรับว่าตัวนางเองก็คิดเช่นนั้น "ข้าคิดจะตอบรับข้อเสนอของธีสธรัล ในเมื่ออาเดรียขอเวลาพวกเราเดือนหนึ่ง ก็จักกลายเป็นว่าเราไม่เข้าร่วมกับอาเดรียเป็นระยะเวลาหนึ่งเดือน ซึ่งคุ้มค่ากับเรือจักรไอน้ำสิบลำของธีสธรัล" ผู้นำเซนทอร์เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยด้วยรู้สึกแปลกใจในสีหน้าอึดอัดของราชเลขา

"แต่นั่นไม่ใช่วิสัยของเซนทอร์..." คนสนิทถอนใจ "ข้าไม่สามารถตลบแตลงเช่นนั้นได้"

เซนทอร์เป็นเผ่าพันธุ์ที่ขึ้นชื่อในเรื่องความซื่อตรงและซื่อสัตย์ แม้ว่าจะเห็นประโยชน์ของอาณาจักรอยู่ตรงหน้า และตนเองก็สามารถหาหนทางเพื่อให้ได้ประโยชน์นั้นมาได้ แต่มันกลับไม่ใช่หนทางของอัศวิน "ขออภัยด้วย องค์เหนือหัว... ข้าไม่อาจยื่นข้อเสนอแบบนี้ออกไปได้จริงๆ แม้ว่าจะอยากตอบตกลงมากสักเท่าไหร่ก็ตาม"

"เช่นนั้นก็แปลกที่ท่านหญิงกระวนกระวายถึงเพียงนี้แต่กลับไม่รีบรายงานข้าสักคำ"

ราชเลขาเงียบไปกับคำตำหนิของเหนือหัว และโดยไม่ต้องสบตา ผู้นำแห่งแอสทารอธก็รู้ว่าอีกฝ่ายคิดอะไรอยู่ "แต่ท่านไม่อยากให้ข้าเอนเอียงเข้าธีสธรัลมากเจอเกินไป เพราะยังอยากให้โอกาสเลสธีราห์อยู่ใช่หรือไม่" หากเทียบความน่าเชื่อถือแล้ว แน่นอนว่าธีสธรัลมีความน่าเชื่อถือมากกว่าอาเดรีย และไม่แน่ว่าทั้งอาณาจักรอาจเห็นดีเห็นงามกับเมืองมนุษย์บนเกาะนั่นจนลืมไปว่าขุนนางระดับสูงอีกคนหนึ่งกำลังทำงานอยู่เพื่อให้ได้มากซึ่งสิ่งที่สูงค่ากว่า

นางยังอยากให้บุตรชายได้ทำภารกิจต่อ...

หากแอสทารอธตกลงร่วมกับธีสธรัล แน่นอนว่าพวกเขาต้องตัดความสัมพันธ์ทุกอย่างกับอาเดรีย รวมทั้งเรียกให้เลสธีราห์กลับมานั่งตำแหน่งผู้บัญชาการกองเรือเซเลสต์ด้วย และความต้องการที่จะพิสูจน์ตัวเองของชายหนุ่มก็คงยังเป็นความฝันต่อไป "จริงอยู่ว่าการเข้าร่วมกับอาเดรียซึ่งเป็น 'เพื่อนบ้าน' จะเข้าท่ากว่าการไปร่วมมือกับอาณาจักรอยู่บนเกาะโพ้นทะเล แต่ถ้าอาเดรียจะไม่มีอะไรที่เป็นประโยชน์กับเราเลย เรายังต้องยืนยันในอุดมการณ์ของเซนทอร์ต่อไปหรือ ท่านหญิง"

"ข้าเข้าข้างลูกมากไปหรือเปล่า ...เหนือหัว"

คำตอบของดาเรียสคือการพยักหน้าเบาๆ "ท่านหญิงมองการณ์ไกล... ทั้งเรื่องแรงงานที่เซนทอร์ขาดแคลน จำเป็นต้องพึ่งพาต่างเมือง และศาสตร์การต่อเรือจักรไอน้ำที่เป็นนวัตกรรมใหม่ แต่ท่านอย่าลืมว่า อาเดรียเพียงแค่ใช้ลมปากเท่านั้น เขาไม่ได้นำสิ่งใดมาเป็นหลักค้ำประกันแม้แต่น้อย หากฝ่ายนั้นโป้ปด เรามิต้องสูญเสียโอกาสมากมายหรือ"

ราชเลขาก้มหน้านิ่งยอมรับคำตำหนิ และเริ่มคิดว่าเธอคงจะต้องเรียกตัวบุตรชายกลับมาเสียแล้ว

"แม้มันจะกลับกลอกตลบแตลง" ดาเรียสสูดลมหายใจเข้า "แต่ท่านจงบอกทูตแห่งธีสธรัลแบบนั้น หากเราไม่ยุ่งเกี่ยวกับอาเดรียเป็นระยะเวลาหนึ่งเดือน ก็ขอให้ธีสธรัลส่งมอบเรือจักรไอน้ำมาสิบลำได้เลย... เพราะมูลค่าของมันซื้อเวลาพวกเราได้เท่านี้"

--------------------------------------------------

เลสธีราห์ไม่รู้สึกปวดเมื่อยส่วนใดของร่างกายแล้วหลังจากได้นอนพักผ่อนอีกคืนหนึ่ง และเมื่อลุกขึ้นยืนได้ สิ่งแรกที่ชายหนุ่มทำก็คือการถอดเสื้อผ้าของมนุษย์ออกและเริ่มสำรวจตัวเองว่ามีร่องรอยผิดปกติหลงเหลืออยู่เหรือไม่ ซึ่งเป็นเรื่องน่ายินดีที่รอยฟันและรอยช้ำที่เคยปรากฎได้จางหายไปจนเกือบหมดแล้ว

แต่คำถามต่อมาก็คือ เอเดรียนได้เห็นสิ่งเหล่านั้นหรือไม่

...นานแค่ไหนกว่าอีกฝ่ายเข้ามาพบเขานอนหลับเป็นตายอยู่ในห้องพักของตัวเอง

ต่อให้ขาดสติเพราะสุรา แต่คนที่ไม่ได้คิดอะไรจริงๆจะหันมาสนอกสนใจคนข้างกายที่เป็นเพศเดียวกันได้หรือไร แต่แม้ในหัวของเขาจะเต็มไปด้วยคำถาม เซนทอร์หนุ่มก็ไม่อยากรื้อฟื้นเรื่องราวเหล่านั้นขึ้นมาด้วยตนเองอยู่ดี เพราะเกรงว่าคำตอบของคำถามจะนำพาเขาไปสู่เรื่องที่ยุ่งยากมากขึ้น

"เลสธีราห์..."

เสียงของจาเร็ตต์ดังขึ้นที่หน้าประตู และสักครู่เดียว ชายผมแดงก็เปิดเข้ามาในห้องโดยไม่รอคำตอบ จาเร็ตต์ถือตะกร้าผลไม้เข้ามาด้วย มีทั้งองุ่นเขียว เบอร์รี่ และลูกพลับ "เอเดรียนขอให้ข้าเอามาเยี่ยมเจ้า เห็นว่าเจ้าชอบกินพวกผัก ก็น่าจะชอบผลไม้..." ฝ่ายนั้นหยุดชะงักไปเมื่อเห็นว่าคนที่อยู่ในห้องไม่ได้สวมเสื้อ

"ข... ขออภัยด้วย..."

เลสธีราห์โคลงหัวไม่ทุกข์ร้อน แต่เมื่อนึกขึ้นได้ว่าเขายังไม่ได้สำรวจแผ่นหลังของตัวเอง ชายหนุ่มก็รีบสวมเสื้อคลุมทับ "จู่ๆก็ป่วยทรุดไม่มีสาเหตุแบบนั้น คนอื่นเขาก็เป็นห่วงแทบแย่" จาเร็ตวางตะกร้าใหญ่ลงบนโต๊ะ เลสธีราห์มองตามลูกพลับสีสดในตะกร้า... ด้วยความที่มันเป็นผลไม้ที่เขาชอบที่สุด

"ขนาดเอเดรียนมานั่งเฝ้าเจ้าด้วยตัวเองเลยเชียว"

คนฟังหน้าถอดสีเล็กน้อย ด้วยความกลัวว่าเอเดรียนจะจดจำอะไรได้ขึ้นมา

"แล้วเอเดรียนไปไหนเสีย..."

จาเร็ตต์พ่นลมหายใจเบาๆก่อนตอบ "ท่านชายซินญอร์เรียกพบ แม้ว่าการเจรจากับแอสทารอธจะเรียกได้ว่าประสบผลสำเร็จ แต่เราก็เหลือเวลาหนึ่งเดือนในการนำสิ่งตอบแทนไปมอบให้เซนทอร์ ดังนั้นจึงต้องรีบวางแผน และระดมความคิดจากขุนนางทุกฝ่าย เพื่อกำหนดแผนการโดยเร็วที่สุด" เลสธีราห์ประชดประชันอยู่ในใจหลังได้ยินคำตอบจากจาเร็ตต์ เพราะพวกขุนนางอาเดรียน่ะหรือกล้าใช้คำว่าระดมความคิด ในตอนที่ลีอาห์เปิดช่องให้พูดก็เห็นแต่ละคนอึกอักไม่มีใครเสนออะไรทั้งนั้น มีแต่เอเดรียนที่กล้าต่อรอง ในเวลาหารือเช่นนี้ก็เช่นกัน คงไม่พ้นแม่ทัพใหญ่ที่ต้องออกความเห็นเพื่อให้คนอื่นนำไปปฏิบัติ

...นี่ใช่หน้าที่ของแม่ทัพอย่างนั้นหรือ

"แล้วเจ้าไม่ไปเฝ้าท่านชายบ้างเหรอ" เลสธีราห์ถาม "หรือปกติแล้วเขาเรียกหาแต่เอเดรียน"

จาเร็ตต์พยักหน้าช้าๆแล้วหยุดคิดไปครู่หนึ่งก่อนจะขยายความคำตอบ "เอเดรียนมีความชำนาญพิเศษในการคาดเดาและอ่านใจคน ในภาวะที่อาณาจักรจะต้องใช้ไหวพริบและใช้ความระมัดระวังในการเคลื่อนไหวเพื่อเอาตัวรอดในฐานะเมืองใต้อาณานิคม ความชำนาญในด้านนี้ของเอเดรียนจึงมีความจำเป็น ไม่แปลกที่เขาจะเป็นคนโปรดของท่านชายซินญอร์ อาเดรียอยู่รอดปลอดภัยมาจนทุกวันนี้ส่วนหนึ่งเพราะความสามารถของเอเดรียน"

ตั้งแต่พูดคุยกับอีกฝ่ายมา เลสธีราห์ไม่เคยคิดว่าเอเดรียนมีความสามารถมากขนาดนั้นเลย

แต่เมื่อนึกถึงครั้งที่เขาเจรจากับราชเลขาแห่งแอสทารอธ และใช้คำพูดเฉียบคมในการเอาชนะนาง เซนทอร์หนุ่มก็เริ่มเชื่อขึ้นมาบ้างว่าเอเดรียนเป็นคนที่มีความสามารถในด้านการอ่านใจคนจริงๆ "กระทั่งรู้วิธีการชนะใจราชเลขาแห่งแอสทารอธ ก็ไม่น่าใช่คนธรรมดาหรอก" ร่างโปร่งพึมพำ ก่อนจะเด็ดองุ่นเม็ดหนุ่มแล้วโยนใส่ปากตัวเอง

"แต่ถึงจะสามารถอ่านใจคนได้มากมาย แต่เอเดรียนก็เคยอ่านพลาดมาแล้ว"

เลสธีราห์เลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่งแต่ด้วยความที่คำพูดนั้นค่อนข้างจะแทงใจเขาอยู่บ้าง ร่างโปร่งจึงไม่ถามต่อ และรอให้จาเร็ตต์เป็นฝ่ายเล่าเอง "เวห์เซีย... หญิงงามแดนใต้" คนสนิทแม่ทัพแค่นหัวเราะ "นางมาจากคัสนาห์ พวกเราจึงไม่คิดเอะใจ"

จาเร็ตต์หยุดพักครู่หนึ่งราวกับชั่งใจว่าเขาควรจะเล่าต่อไปหรือไม่ "เอเดรียนรักความสดใสของนาง"

ด้วยตำแหน่งของแม่ทัพใหญ่ที่ต้องหลบซ่อนและมีศัตรูรอบตัว ทำให้ชีวิตของเอเดรียนไม่ได้สัมผัสกับความสุขสบายอย่างคนธรรมดาทั่วไปสักเท่าไหร่ นั่นอาจเป็นเหตุผลที่เขาหลงรักบุคคลที่มีอิสระแทนเขา และเติมเต็มความรู้สึกที่ขาดหายไป "แต่กลับกลายเป็นว่า นางคือผู้ที่ถูกส่งมามาสอดแนมอาณาจักรของเรา เปิดโปงการมีตัวตนของเอเดรียน และจับเขากลับไปยังธีสธรัลเพื่อสำเร็จโทษคือการประหารชีวิต"

คนฟังกลั้นใจตามก่อนจะช้อนขึ้นมองคู่สนทนาเล็กน้อย "แล้วเกิดอะไรขึ้น"

"ท่านชายซินญอร์ตามไปช่วยเอเดรียน... ประจวบเหมาะกับเกิดความวุ่นวายในธีสธรัล ทำให้เอเดรียนสามารถหลบหนีออกมาได้ แต่ก่อนที่จะจากมา เอเดรียนก็เป็นคนสังหารเวห์เซียด้วยตัวเอง" แม่ทัพแห่งอาเดรียไม่เคยได้รับอิสระ อีกทั้งยังต้องใช้ชีวิตอยู่บนความกดดันและความรับผิดชอบต่อหน้าที่ จึงจำต้องสังหารใจของตนเองเพื่อความอยู่รอด

...ใจของเอเดรียนอ่อนแอเพลี่ยงพล้ำ แต่กายของเขายังต้องลุกขึ้นสู้เพื่อบ้านเมือง

ไม่แปลกเลยที่ชายหนุ่มต้องการใครสักคนมาเยียวยาบาดแผลบอบช้ำเหล่านั้น

"ข้าไม่อยากให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นอีก" จาเร็ตต์มุ่นคิ้วใส่คนตรงหน้า ก่อนจะยกมือขึ้นจับคือตัวเองราวกับส่งสัญญาณเตือนบุคคลตรงหน้า "ถ้าเจ้าสามารถทำให้เอเดรียนมีความสุขได้ก็คงดี แต่หากเจ้านำความทุกข์มาให้เขาภายหลัง..." เลสธีราห์ยกมือขึ้นจับลำคอของตัวเองบ้างและตระหนักได้ว่ายังหลงเหลือความรู้สึกเจ็บอยู่บนผิวเนื้อ มันอาจเป็นรอยฟันที่ยังหลงเหลืออยู่

"...ข้าจะลงมือด้วยตัวเอง"

--------------------------------------------------

ออฟไลน์ khaosap

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 165
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
    • Khaosap Writing
Re: ASTAROTH พันธนาการดวงดาว ตอนที่ 12.2
«ตอบ #34 เมื่อ03-11-2016 15:42:54 »

ตอนที่ 12.2

เหนือหัวดาเรียสเดินทางมายังเมืองท่าเพื่อตรวจสอบความเรียบร้อยด้วยตนเอง อันเนื่องจากการเริ่มต้นของฤดูค้าขายที่ชาวเอลฟ์จากแผ่นดินตะวันออกจะเดินทางเข้ามาเพื่อแลกเปลี่ยนข้าวของเครื่องใช้กับเสบียงอาหารซึ่งเป็นสินค้าหลักในการส่งออกของแอสทารอธ ดังนั้นในช่วงนี้อ่าวมารินาจึงคึกคักไปด้วยผู้คนมากมาย แต่สิ่งที่ทำให้ผู้นำอาณาจักรสนใจและต้องเดินทางออกจากพระราชวังมาด้วยตนเองนั้นไม่ใช่การแลกเปลี่ยนสินค้าธรรมดา แต่เป็นเพราะคำเชิญจากซาฮาล ผู้บัญชาการกองเรือพาณิชย์กราเทียร์ ผู้ควบคุมดูแลการแลกเปลี่ยนให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อย

"นี่คือ... เกือกร้อนรูปไข่ขอรับ"

ซาฮาลส่งเกือกม้ารูปวงรีเต็มรอบให้กับผู้นำอาณาจักร ก่อนจะค้อมหัวช้าๆเพื่อเป็นคำขออนุญาตในการพูดต่อ "ที่ผ่านมาเราสวมใส่สิ่งที่เรียกว่าเกือกเย็นมาโดยตลอด ซึ่งมีความทนทานมากกว่า อีกทั้งยังง่ายต่อการขึ้นรูป แต่ปัญหาของเกือกเย็นก็คือขนาดของเกือกที่ไม่สามารถปรับให้รับกับกีบเท้าของแต่ละตนได้ ดังนั้นจึงต้องยอมสวมเกือกที่มีขนาดใหญ่กว่าก่อนจะนำเชือกมัดรอบอุ้งเท้าซึ่งยิ่งทำให้เคลื่อนไหวไม่สะดวก"

"เช่นนั้นแล้ว เกือกร้อนนี่สามารถปรับขนาดให้พอดีกับกีบเท้าของเราได้อย่างนั้นรึ" เหนือหัวเลิกคิ้ว

"การใช้เกือกร้อนนั้นต้องนำไปเผาไฟให้เหล็กอ่อนตัวลงเสียก่อนแล้วจึงนับไปทาบกับกีบเท้าของเราแล้วจึงใช้หมุดตอกเข้าไปยึด และลักษณะรูปไข่นี้จะช่วยกระจายน้ำหนักที่เรากดลงไปบนกีบให้สม่ำเสมอมากกว่าเกือกแบบเดิมจึงทำให้รู้สึกสบายกว่า อีกทั้งยังปกป้อง 'กีบบัว' ได้อีกด้วย" แม้ว่าสิ่งที่ซาฮาลนำเสนอนั้นจะเป็นความก้าวหน้าของเกือกม้า แต่เมื่อเขาพูดถึงการ 'ตอกหมุด' ผู้ที่รับฟังอยู่ทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นเหนือหัวซาฮาล ท่านหญิงลีอาห์ หรือท่านหญิงโมนาก็ล้วนแล้วแต่กลั้นหายใจและเบือนหน้าหนีด้วยความรู้สึกหวาดเสียว

"แม้ว่าการใช้เชือกหนังผูกจะทำให้เราเคลื่อนไหวไม่สะดวกก็เถอะนะ แต่หากจะต้องเปลี่ยนเป็นใช้หมุดตอกแล้วล่ะก็..."

ซาฮาลค้อมหัวให้คนพูดก่อนจะผายมือไปยังแท่นวางเท้าที่มีช่างเกือกยืนอยู่ใกล้ๆ "ท่านหญิงโมนาสามารถทดสอบได้ด้วยตนเอง เกือกร้อนนี้พวกภูตไอย์ชวลนำมาเสนอแลกเปลี่ยน อีกทั้งยังสาธิตการใช้งานให้ดู และทดลองกับช่างเกือกที่ดีที่สุดของแอสทารอธแล้ว ข้ารับรองว่าการตอกหมุดนั้นไม่สร้างความเจ็บปวดใดๆตามที่เราเข้าใจเลย" ในยามปกติแล้ว ท่านหญิงโมนาเป็นสตรีที่พูดจาฉะฉานและตรงไปตรงมาอย่างที่สุด แต่เมื่อได้ยินดังนั้น เซนทอร์สีขาวได้แต่ส่ายหัวระรัว

"ไม่จะดีกว่า... ข้าเองเพิ่งเปลี่ยนเกือกเมื่อไม่กี่วันมานี้ การใช้เชือกผูกนั้นไม่ได้สร้างความลำบากมากมายสักเท่าไหร่"

เหนือหัวดาเรียสหันไปมองเลขาคนสนิทของตนก่อนจะโคลงหัว "ท่านหญิงลีอาห์..."

"ไม่จะดีกว่าค่ะ" ราชเลขาตอบสั้นและค้อมหัวลงอย่างนอบน้อม "ข้ามีความเห็นว่าซาฮาลเองควรจะเป็นผู้สาธิตให้พวกเราดูจึงจะเหมาะสม เพราะข้าได้ยินว่าตัวผู้บัญชาการเองมีปัญหาในเรื่องเกือกบ่อยครั้ง อันเนื่องมาจากขนาดกีบเท้าที่ใหญ่กว่าผู้อื่น หากเกือกร้อนนี้สามารถปรับขนาดได้จริง น่าจะเป็นประโยชน์ต่อเขามากที่สุด" เซนทอร์หญิงโยนภาระกลับมาให้ซาฮาลอย่างแนบเนียน และลอบส่งยิ้มหยอกเย้าให้เขาเล็กน้อย

ซาฮาลกลั้นใจเมื่อพบว่าตนอาจไม่สามารถโยนภาระต่อไปให้ใครได้อีกนอกเหนือจากเหนือหัวดาเรียส

แต่แล้วเสียงวิ่งเหยาะๆของใครบางคนก็เข้ามาใกล้โรงเกือกม้า พร้อมกับเสียงหอบเบาๆ "นายช่าง... พวกเอลฟ์ส่งทั่งตีเกือกแบบใหม่มาให้แล้วพร้อมกับอุปกรณ์เกือกม้าชุดใหม่ทั้งหมด แต่เรือพาณิชย์อื่นจอดเทียบเต็มไปหมดจึงต้องเข้าเทียบท่าฝั่งเรือรบ ข้าอยากให้ท่านส่งลูกน้องไปสักสามสี่คน..." รีดาห์หยุดชะงักเมื่อพบว่าขุนนางระดับสูงและผู้นำอาณาจักรอยู่กันพร้อมหน้าในโรงเกือกม้า

"ข... ขออภัยที่เสียมารยาทขอรับ"

ร่างโปร่งค้อมหัวลงแสดงความเคารพ แต่อึดใจต่อมาเขาก็พบว่าถูกซาฮาลคว้าแขนเอาไว้ "รีดาห์ เจ้ามาก็ดีแล้ว ข้าต้องการให้เจ้าทดสอบเกือกม้าชนิดใหม่ที่ไอย์ชวลส่งมาเสียหน่อย" ราวกับได้ยินเสียงถอนใจด้วยความโล่งอกของขุนนางระดับสูง ในขณะที่รองผู้บัญชาการเซเลสต์ถูกพาไปยังแท่นรองเกือก และยกขาหลังข้างหนึ่งขึ้นวางบนเบาะนุ่ม "อย่าดีดนายช่างเสียล่ะ"

"ห....หา...!"

โดยที่ยังไม่ได้ไถ่ถามอะไรเพิ่ม นายช่างก็หัวเราะเบาๆในคอแล้วจึงจับอุ้งเท้าข้างนั้นขึ้นมาเพื่อทำความสะอาดเสียก่อน "ท่านรีดาห์วิ่งบนพื้นไม้ของท่าเรือบ่อยกว่าพื้นดิน ดังนั้นจึงอาจเป็นผู้ที่เหมาะสมจะสวมใส่เกือกแบบใหม่นี้" ซาฮาลพยักหน้าอย่างเห็นด้วย อีกทั้งยังลอบหัวเราะอยู่ในใจว่ารีดาห์ชอบลื่นเกือกตัวเองล้มเสียด้วย "เกือกแบบใหม่มีน้ำหนักเบา สวมใส่สบาย และคล่องตัวกว่าแบบเดิมมาก แต่อาจต้องหักล้างกับความเชื่อเดิมๆของพวกเราว่าการ 'ตอกหมุด' คือความเจ็บปวด แท้จริงแล้วไม่ใช่เลยขอรับ"

"ต...ตอกหมุดเหรอ...!" รีดาห์อ้าปากค้าง และเมื่อเขาสัมผัสได้ถึงความเย็นของ 'เหล็กแคะกีบ' เซนทอร์หนุ่มก็เริ่มหลับตาแน่นด้วยความหวาดเสียว แม้ว่านายช่างของโรงเกือกแห่งนี้จะได้ชื่อว่าเป็นช่างเกือกที่มือเบาที่สุด และดีที่สุดในอาณาจักรแล้วก็ตาม "ไหนว่ามันเป็นวิธีการทรมานม้าอย่างไรเล่า..."

"เราเข้าใจมาเช่นนั้นขอรับ แต่ความจริงแล้วกระตอกหมุดไม่ได้เจ็บอย่างที่เข้าใจเลย"

ร่างโปร่งพยายามกลั้นใจ มือทั้งสองข้างกำเข้าหากันแน่นในขณะที่นายช่างตะไบขอบกีบให้เสมอเท่ากันก่อนจะทดลองวางเกือกลงไปเพื่อตรวจสอบว่ามันพอดีหรือไม่ ก่อนจะนำเกือกชิ้นนั้นไปเผาไฟในเตาะที่อยู่ไม่ไกลกัน "รีดาห์ เจ้าเจ็บหรือ" เหนือหัวดาเรียสสังเกตปฏิกิริยาของอีกฝ่ายอยู่ตลอด ด้วยความี่เขาเองก็ไม่แน่ใจว่านวัตกรรมที่ซาฮาลกล่าวมานั้นจะได้ผลดีจริงหรือไม่ เพราะอย่างไรการนำหมุดซึ่งเป็นเหล็กไปตอกเข้ากับส่วนหนึ่งของร่างกายดูจะไม่น่าเชื่อสักเท่าไหร่ว่ามันไม่เจ็บ

"ป... เปล่าขอรับ... ยัง... ข้าแค่หวาดเสียว"

ความรู้สึกต่อมาคือความอุ่นร้อนที่ไม่ได้มากมายเกินทน วางแนบกับกีบเท้า ควันและกลิ่นของเหล็กเผาไฟอบอวนไปทั่วโรงเกือก และนายช่างก็เริ่มวางหมุดตัวแรกลงบนช่องสำหรับตอก ใจของรีดาห์สั่นจนรู้สึกได้ กระทั่งมือที่เคยอุ่นก็เย็นขึ้นมาจนแทบจะไร้ความรู้สึก ร่างโปร่งกุมมือเข้าหากันแน่นและกลั้นใจเมื่อเสียงตอกหมุดแว่วมาเข้าหูของตน พร้อมกับการเบือนหน้าหนีด้วยความหวาดเสียวของขุนนางระดับสูงแะผู้นำอาณาจักร

"...ไม่เจ็บใช่ไหม" แต่จู่ๆเสียงทุ้มต่ำของซาฮาลก็ดังขึ้นใกล้ๆตัว รีดาห์ลืมตาขึ้นเล็กน้อยหมายจะมองหาที่มาของต้นเสียงและตวาดสักเบาๆสักครั้งที่อีกฝ่ายโยนเรื่องนี้มาให้เขา แต่จู่ๆมือใหญ่ของอีกฝ่ายก็วางลงบนมือที่กุมกันเองของรีดาห์ ความอบอุ่นจากมันทำให้เขาเบาใจขึ้นแทบจะในทันที และเมื่อเงยหน้าขึ้น ร่างโปร่งก็พบว่าคู่สนทนายืนอยู่ใกล้จนแทบจะชิดกัน "มือเย็นเชียว"

"ก็เพราะเจ้าคนเดียวนั่นแหละ!" เซนทอร์หนุ่มมุ่นคิ้ว "เหตุใดจึงไม่ลองเองเล่า ตอกหมุดเนี่ย!"

ซาฮาลบีบมือคู่นั้นเบาๆแล้วหัวเราะกับตัวเอง "เพราะถ้าข้าอาจอยู่ในสภาพเดียวกับเจ้า และมันคงจะน่าขันไม่น้อยเลย"

"เรียบร้อยแล้วขอรับ!" นายช่างร้องบอก และนั่นก็ทำให้ทุกคนหันมาสนใจเกือกแบบใหม่อีกครั้ง ผู้บัญชาการกองเรือกถอยออกไปเล็กน้อยและเดินกลับไปชื่นชมสิ่งประดิษฐ์ใหม่ของพวกภูต "การตอกหมุดจะต้องตอกให้ทะลุออกมาจากกีบแล้วจึงตัดปลายออก เพื่อป้องกันไม่ให้ปลายแหลมเหล่านั้นแทงเข้าไปในในส่วนเนื้อ ดังนั้นจึงปลอดภัย อีกทั้งยังแน่นหนากว่าเกือกแบบผูกเชือกแบบเดิมด้วยขอรับ" ทุกคนชะโงกหน้ามาดูเกือกรูปไข่แบบใหม่ที่เป็นสีเงินประกายวิบวับ

"ไม่เจ็บจริงหรือไม่ รีดาห์..." เหนือหัวเอ่ยถาม "ข้าเห็นเจ้าหลับตาเสียแน่น"

"ม... ไม่เจ็บขอรับ เพียงแค่หวาดเสียวกับเสียงหมุด" รีดาห์มองไม่เห็นเท้าหลังของตน ดังนั้นเขาจึงตอบไม่ได้ว่ามันสวยงามหรือไม่ แต่สิ่งที่รู้สึกได้ก็คือความเบาของเกือก และความคล่องตัวหลังจากยกขาข้างนั้นวางบนพื้น "แต่เบาและกระชับกว่าแบบเดิมจริงๆ" เมื่อเหนือหัวได้ยินดังนั้น เขาจึงหันไปพนักหน้าให้กับซาฮาลและช่างเกือก

"อีกข้างด้วยสิ นายช่าง... ทั้งสี่เท้าเลยนะ"

"เอ่อ... เดี๋ยวก่อน นายช่าง" ร่างโปร่งร้อง "ข้าขอเวลาสักครู่" ร่างโปร่งเอี้ยวหลังกลับเล็กน้อยและพบว่าเหนือหัวแห่งแอสทารอธถอยกลับไปยืนที่เดิมแล้ว เหลือแต่นายช่างและซาฮาลที่ยังอยู่ใกล้ เมื่อได้ยินดังนั้น นายช่างจึงถอยออกไปเล็กน้อยเพื่อให้อีกฝ่ายได้ยิดเส้นยืดสาย แต่แล้วรีดาห์ก็ยกขาข้างที่เพิ่งเปลี่ยนเกือก ดีดใส่ซาฮาลเต็มแรง

"โอ้ย!!"

"ข้อหาที่ลากข้ามาตอกหมุด!!"

--------------------------------------------------

ดวงจันทร์กลมโตคล้อยฟ้าไปแล้วในตอนที่แม่ทัพอาเดรียกลับมายังราห์โมนา เจ้าตัวจูงอัลธอร์กลับไปที่โรงม้า และปลดผ้าคลุมบ่าออกพาดแขนด้วยท่าทางเหนื่อยอ่อน แต่แทนที่จะรีบกลับไปยังห้องพักของตน ชายหนุ่มกลับสะดุดกับบุคคลที่นั่งอยู่ด้านหน้าประตูราวกับกำลังรอการกลับมาของเขา

ฝ่ายนั้นถือไปป์ยาวในมือและพ่นควันเอื่อยๆออกมาอย่างใจเย็น "นึกว่าจะกลับเสียพรุ่งนี้เลย"

เอเดรียนไม่แน่ใจว่านั่นเป็นการประชดหรือไม่ แต่ตอนนี้แม่ทัพหนุ่มเหนื่อยเกินกว่าจะต่อปากต่อคำกับใคร โดยเฉพาะกับคนปากจัดอย่างเลสธีราห์ "ข้าเหนื่อยแล้ว อย่าเพิ่งสนทนาตอนนี้เลย เจ้าเองก็เพิ่งฟื้นจากอาการป่วย ยังจะมาอดหลับอดนอนอีก"

...ข้าป่วยเพราะเจ้าไม่ใช่หรือไร

เลสธีราห์กลอกตาทีหนึ่งแล้วจึงตรงเข้าไปคว้าเสื้อคลุมของอีกฝ่ายมาถือเอาไว้เอง "ถ้าจะมาไล่ข้าไปนอนทั้งที่ข้านั่งรอมาค่อนคืนล่ะก็ คงต้องแสดงความเสียใจด้วย" เซนทอร์หนุ่มเดินนำขึ้นบันไดและมุ่งหน้าไปที่ห้องของเอเดรียนโดยไม่หันมามองว่าอีกฝ่ายจะปฏิเสธหรือไม่

"แล้วผลไม้ที่ข้าให้จาเร็ตต์เอาไปให้เป็นอย่างไรบ้าง สู้ไปหามาจากตลาดทางเหนือเชียว"

"หมดแล้ว" ร่างโปร่งพึมพำ "ลูกพลับอร่อย" เขาก้าวเข้าไปในห้องพักของเอเดรียน ซึ่งเต็มไปด้วยชั้นหนังสือจนเหมือนหอหนังสือมากกว่าจะเป็นห้องนอน โต๊ะไม้เรียบๆตั้งอยู่ในมุมที่แสงอาทิตย์ส่องถึง เอกสารจำนวนมากกองอยู่บนนั้นจนแทบมองไม่เห็นขวดหมึก และใกล้ๆกันเป็นมุมพักผ่อนซึ่งก็คือโซฟาและโต๊ะเล็กที่สามารถมองออกไปนอกหน้าต่างจนเห็นมหาคฤหาสน์ได้นั่นเอง

"ข้าจำได้ว่าเจ้าชอบลูกพลับมาก แต่ต้นโปรดของเจ้าก็ดูจะไกลเกินไป ข้าคงไปเก็บไม่ทัน"

เซนทอร์หนุ่มชะงักไปครู่หนึ่งด้วยความทึ่ง "ไม่เห็นจะต้องลำบากขนาดนั้น..."

"ถ้ารู้ว่าคนป่วยเข็งแรงจนลุกขึ้นมานั่งสูบยาได้แล้วก็คงไม่ต้องลำบากกระมัง" เมื่อถูกแดกดัน เลสธีราห์ก็มุ่ยหน้าตอบ "แล้วไปทำอะไรมา... ทำไมจู่ๆถึงนอนไม่ได้สติขนาดนั้น" คำถามนั้นทำให้คนฟังต้องกลืนน้ำลายกระอักกระอ่วน เพราะเขาไม่แน่ใจว่าตนรู้สึกดีใจหรือเสียใจที่เอเดรียนลืมหรือเรื่องที่เกิดขึ้น และลังเลว่าเขาควรจะบอกอีกฝ่ายตามความจริงหรือไม่

เขาไม่ควรรื้อฟื้นเรื่องที่ไม่เป็นประโยชน์แบบนั้น

แต่อีกใจก็อยากรู้ว่าถ้าเอเดรียนจดจำเหตุการณ์ทั้งหมดได้ อีกฝ่ายจะแก้ตัวว่าอย่างไร

แขนแกร่งทั้งสองเท้ายันกับเบาะโซฟา ในขณะที่ร่างรองรับพยายามขยับแอ่นขึ้นเพื่อให้อีกฝ่ายเคลื่อนไหวได้สะดวกยิ่งขึ้น เสียงหอบสะท้อนก้องไปทั่วห้องปะปนไปกับเสียงขยับกายเสียดสีกระแทกกระทั้น

"อึก...!"

มือเรียวสั่นระริกพยายามเหนี่ยวรั้งท่อนแขนของอีกฝ่าย จับยึดเอาไว้ด้วยเรี่ยวแรงที่เหือดหาย "อ... เอเดรียน..." น้ำเสียงสั่นเครือพยายามร้องเรียกหมายจะอ้อนวอนให้อีกฝ่ายอ่อนโยนขึ้นบ้าง "อา..." เลสธีราห์ไม่มีสติพอที่จะพูดต่อ เขาได้แต่เรียกชื่ออีกฝ่าย ความรู้สึกอึดอัดทางกายปะปนไปกับแรงอารมณ์ที่ไม่ได้ระบายออก ได้แต่ผ่อนลมหายใจถี่รัวด้วยความทรมาน

แต่ดูเหมือนว่าผู้รุกล้ำจะไม่ได้ยินเสียงของเขาเลย

พละกำลังของอีกฝ่ายบดขยี้ความรู้สึกนึกคิดให้แตกสลายจนภายในหัวมีแต่ความว่างเปล่า นัยน์ตาสีฟ้าเบิกกว้าง ทั้งร่างขยับเกร็งในจังหวะที่เบื้องบนล่วงลึกเข้ามา "อื้อ...!" แม้สิ่งที่ได้รับจะเรียกว่าเป็นความเจ็บปวด แต่ในความเป็นนักรบ เลสธีราห์ก็ไม่เคยถูกสอนให้โอดครวญ ดังนั้นจึงมีเพียงลมหายใจหอบสะท้านและเสียงอุทานครางเครือเท่านั้นที่หลุดรอดออกมา

คนปกติที่ไหนจึงมีอารมณ์กับคนเพศเดียวกันได้ หากอยู่ในอาการมึนเมา อีกฝ่ายก็ลงไม้ลงมือกับคนข้างกายได้ไม่ว่าจะเป็นชายหรือหญิงอย่างนั้นหรือ แล้วคำพูดของเอเดรียนนั้นหมายความว่าอะไร คำพูดที่ตัดพ้อเหนี่ยวรั้งเลสธีราห์เอาไว้... แม้ว่าจะไม่สามารถเชื่อใจได้ แต่ก็ยังอยากครอบครองเอาไว้อยู่ดี

มันหมายความว่าอย่างไรกัน เอเดรียน

"ข้าอาจจะแค่กินอะไรผิดสำแดง" ร่างโปร่งตัดสินใจโกหก เพราะเขารู้ดีว่าหากพูดความจริงออกไปจะไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ใดตามมา อีกทั้งอาจจะเป็นเรื่องราววุ่นวายใจต่อไปอีกก็เป็นได้ "ว่าแต่เจ้าเถอะ วันนี้ไปพบท่านชายมา เป็นอย่างไรบ้าง" เลสธีราห์พาดเสื้อคลุมของอีกฝ่ายไว้บนเสาใกล้โต๊ะทำงาน และพยายามมองหาที่นั่งที่อื่นซึ่งไม่ใช่โซฟาใหญ่ที่ทำให้เขานึกถึงเรื่องราวเมื่อคืนก่อนขึ้นมา

"นั่งลงก่อนเถอะ ข้าอยากจะอาบน้ำสักหน่อย ประเดี๋ยวค่อยพูดธุระกัน"

ร่างสูงเริ่มถอดเสื้อตัวนอกออกขณะเดินตรงไปที่ห้องอาบน้ำซึ่งมีถังน้ำขนาดใหญ่ตั้งอยู่ แผ่นหลังกว้างชื้นเหงื่อเต็มไปด้วยร่องรอยแผลเป็นมากมายกระจายทั่ว แต่มีอยู่รอยหนึ่งที่ปรากฎเด่นชัดเป็นรอยใหม่

...มันคือรอยเล็บของเขาเอง

"...!.."

เซนทอร์สะดุ้งเมื่อเห็นดังนั้น เขาเบือนหน้าหนีกลับมาก่อนจะนั่งลงช้าๆ และรอคอยจนกว่าอีกฝ่ายจะเสร็จกิจ เขาเพียงแค่อยากรู้ผลการหารือ อาเดรียคิดจะทำอย่างไรต่อไป และแอสทารอธจะได้รับประโยชน์จริงหรือไม่ หากรู้แนวทางการเคลื่อนไหวของอาเดรียมากเท่าไหร่ก็ยิ่งจะเป็นผลดีต่อแอสทารอธมากขึ้นเท่านั้น

เพื่อผลประโยชน์ของอาณาจักร...

เลสธีราห์หลับตาแล้วสูดลมหายใจเข้าลึกๆครึ่งหนึ่ง แต่ความรู้สึกต่อมาก็คือน้ำหนักของเอเดรียนที่นั่งลงบนโซฟาข้างกายในตำแหน่งเดียวกับเมื่อคืนก่อน "...!..." ร่างโปร่งสะดุ้งและขยับหนีตามสัญชาติญาณ ทำให้ความรู้สึกเจ็บแปลบที่สะโพกแล่นปราดขึ้นมาอีกครั้ง "อืม...!"

"เป็นอะไรรึเปล่า..."

แม่ทัพอาเดรียโคลงหัวด้วยความแปลกใจ "สีหน้าเจ้าไม่ค่อยสู้ดี ไม่ได้ป่วยเป็นอะไรจริงๆรึ"

ร่างโปร่งส่ายหัวเบาๆแทนคำตอบ ก่อนจะสูดหายใจเข้าลึกๆเพื่อรวบรวมสมาธิ "ข้าแค่อยากรู้ว่าเจ้าได้ความอะไรบ้างจากการหารือ จาเร็ตต์บอกว่าท่านชายเรียกเจ้าไปพบเพื่อวางแผนการ" นั่นอาจเป็นสิ่งที่เลสธีราห์อยากรู้ที่สุด แต่เมื่อไตร่ตรองดูอีกครั้งแล้ว คำพูดของเอเดรียนก็ผุดขึ้นมาในหัว และตอกย้ำสถานะ 'คนนอก' ของเขาจนทำให้ชายหนุ่มคิดว่าตนคงไม่ได้รับคำตอบ

"แต่ข้า... ไม่มีสิทธิ์รู้เรื่องพวกนี้ใช่ไหม"

เอเดรียนลูบหัวคนพูดเบาๆเป็นเชิงปลอบก่อนจะพยักหน้าน้อยๆครั้งหนึ่ง "ต่อให้ข้าไม่อยากทำให้เจ้าคิดว่าตัวเองด้อยค่า แต่ข้าจะไม่โกหกเจ้าหรอกนะ เลสธีราห์" ใบหน้าคมทอดยิ้ม "เจ้าอาจไม่มีสิทธิ์รู้ แต่ข้าจะพาเจ้าไปด้วยแน่นอน" แม่ทัพใหญ่ลดมือลง และพิจารณาสีหน้าของผู้ใต้บังคับบัญชาสักพักก่อนจะทอดยิ้ม

"หากเจ้ายังต้องการจะไปกับข้า... ข้าก็จะอยู่ข้างๆเจ้า ตกลงไหม"

เลสธีราห์มุ่นคิ้วด้วยไม่แน่ใจว่าอีกฝ่ายต้องการคำตอบแบบใดจากเขา "ข้าอยากเป็นกำลังให้เจ้า แต่หาก... เจ้าไม่บอกอะไรข้าเลยแบบนี้ จะให้ข้าวางใจติดตามเจ้าไปได้อย่างไร" แม้จะหวั่นไหวกับคำพูดของอีกฝ่าย แต่อย่างไรเขาก็จะไม่ลืมจุดประสงค์ที่ตนมาอยู่ที่นี่ในตอนนี้ "ต่อให้ข้าสามารถสละชีวิตให้เจ้าได้จริง ข้าจะ... วางใจได้อย่างไรว่าข้าค้นพบ... บุคคลที่มีค่าพอที่จะตายแทนได้"

แต่ยิ่งพูด... เซนทอร์หนุ่มก็ยิ่งจุกขึ้นมาในอก

เขาอาจจะพร้อมตายเพื่อแอสทารอธ แต่คำพูดของเขาในตอนนี้... มันคือการถามใจของเอเดรียน

แม่ทัพใหญ่ระบายลมหายใจช้าๆ และเงยหน้าขึ้นสบตาคู่สนทนาด้วยแววตาสงบนิ่ง "ข้าจะไม่ปล่อยให้เจ้าตาย" เสียงของอีกฝ่ายนุ่มนวลทว่ามั่นคงหนักแน่นเสมอ "หากต้องตาย ข้าจะล่วงไปก่อน... หรือตายตกไปพร้อมกัน" มือของคนพูดกำหมัดแน่นและยกขึ้นช้าๆราวกับให้สัญญา

"ข้าไม่มีเกียรติของอัศวินแบบเจ้า แต่ข้าสัญญาในฐานะ... คนธรรมดาคนหนึ่ง"

จู่ๆหัวใจของคนฟังก็อุ่นวาบอย่างที่ไม่ควรรู้สึกในยามนี้ เขาไม่ได้รับรู้อะไรเลย ไม่ได้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์อะไรเลย แต่แค่ได้ยินคำสัญญาในฐานะคนธรรมดา เลสธีราห์กลับรู้สึกเหมือนได้รับคำตอบบางอย่าง แม้ว่ามันจะเป็นคำตอบของคำถามในจินตนาการของเขาก็ตาม

.

...แต่เจ้ารักเขาไม่ได้ เลสธีราห์

--------------------------------------------------
---------- TO BE CONTINUE ----------

ออฟไลน์ neverland

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 653
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-0
ยิ่งอ่านยิ่งเจ็บ  :o12:
จำไว้นะเลสความลับไม่มีในโลก คิดว่าเดี๋ยวเอเดรียนก็รู้ แต่จะรู้ด้วยวิธีไหนน่ะสิ
แอสธารอทเนื้อหอมมาก ต้องเลือกข้างแล้วแหละ ขอให้การพิสูจน์ตัวเองของเลสสำเร็จนะ

ออฟไลน์ khaosap

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 165
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
    • Khaosap Writing
Re: ASTAROTH พันธนาการดวงดาว ตอนที่ 13.1
«ตอบ #36 เมื่อ04-11-2016 19:13:39 »

ตอนที่ 13.1

เรือใหญ่แห่งเธสซาลีย์นำพาทูตชาวเอลฟ์เดินทางกลับมายังแผ่นดินตะวันตกอีกครั้ง ความใหญ่โตโอ่อ่าของมันยังคงทำให้เซนทอร์แห่งแอสทารอธตกตะลึงได้แม้ว่าจะเป็นเรือลำเดียวกันกับเมื่อสิบกว่าปีที่แล้ว แต่สิ่งที่ทำให้เลสธีราห์ในวัยเก้าขวบรู้สึกตื่นเต้นยิ่งกว่าขนาดของลำเรือ นั่นคือบุคคลซึ่งเป็นผู้นำของคณะเดินทางนี้

ธีโอเดร บลังค์... เอกอัครราชทูตแห่งเธสซาลีย์ บิดาของเขานั่นเอง

เด็กชายเกิดมาในร่างที่แตกต่างจากเซนทอร์ อีกทั้งสีผิว ผมและดวงตาก็แตกต่างจากมารดาโดยสิ้นเชิง ดังนั้นนี่จึงอาจเป็นวันที่เลสธราห์รอคอย เพื่อจะได้พบกับบุคคลที่มีความคล้ายคลึงเขาบ้าง และอย่างน้อยท่านทูตธีโอเดรก็คงจะไม่มีสี่ขาหรือมีเท้าเป็นกีบ

แต่ความคิดแรกเมื่อได้เห็นหน้าบิดา เลสธีราห์ก็เกิดความรู้สึกกลัว

ด้วยร่างกายสูงใหญ่และใบหน้าที่ดุดัน อีกทั้งยังไร้ซึ่งรอยยิ้มใดๆปรากฎแม้ว่าฝ่ายนั้นจะย่อตัวลงนั่งบนเข่าตรงหน้าเขาเพื่อมองหน้าลูกให้ชัดๆเป็นครั้งแรกในชีวิตก็ตาม "ดวงตาของเขาเหมือนเจ้า... ลีอาห์" น้ำเสียงที่นุ่มนวลทว่าทุ้มต่ำยิ่งทำให้เด็กชายรู้สึกเกร็ง และมือที่ใหญ่จนสามารถยกตัวเขาขึ้นได้ด้วยแขนข้างเดียวก็วางลงลูบบนผมสีอ่อนช้าๆด้วยความเอ็นดู "แม้ว่านัยน์ตาจะเหมือนข้า..." ทูตแห่งใหญ่แอสทารอธยืนอยู่เคียงข้างบุตรชาย นางทอดยิ้มละมุนและพยายามขยับออกห่างคนทั้งคู่เพื่อให้พวกเขาสามารถใกล้ชิดกันได้มากขึ้น

แต่เลสธีราห์ก็ขยับตัวไปกอดมารดาเอาไว้แน่นด้วยความหวาดกลัว

เมื่ออยู่ต่อหน้าสามี ท่านหญิงลีอาห์จะละทิ้งร่างของเซนทอร์ ดังนั้นในตอนนี้พวกเขาจึงดูไม่ต่างจากครอบครัวธรรมดา เว้นเสียแต่ว่าผู้เป็นชาวเอลฟ์จะดูสูงมากไปเสียหน่อย "ระวังชนขอบประตูนะ" ท่านหญิงกล่าวเตือนเสียงเรียบ เมื่อเห็นว่าสามีของตนกำลังจะผละออกไปเพื่อหยิบของขวัญที่เตรียมมาจากแดนไกลให้บุตรชาย

"โอ้ย...!"

เซนทอร์ขำพรืดออกมาแล้วจึงยิ้ม "ท่านก็ไม่ได้สูงไปกว่าข้าในร่างเซนทอร์มากมาย เหตุใดจึงมีปัญหากับขอบประตูนักหนอ" หากเทียบในหมู่เซนทอร์แล้ว ท่านหญิงลีอาห์นับได้ว่าเป็นสตรีร่างเล็ก ดังนั้นท่านทูตธีโอเดรที่สูงกว่านางไม่มากจึงไม่น่ามีปัญหากับการเดินชนประตูเลย

"เช่นนั้นแล้ว เหตุใดเหนือหัวดาเรียสที่สูงกว่าข้าจึงไม่มีปัญหาเล่า"

ลีอาห์นิ่งไปครู่หนึ่ง และธีโอเดรก็ให้เวลานางคิดคำตอบในขณะที่ตนออกไปหยิบกล่องไม้สีเข้มขนาดใหญ่กลับมา "คงเป็นเพราะที่พักของเหนือหัวดาเรียสไม่ใช่ห้องหับแบบนี้กระมัง แต่เป็นห้องกว้างที่มีเพดานสูง อีกทั้งยังไม่มีประตูอีกด้วย" ทูตเอลฟ์หัวเราะร่วนก่อนจะนั่งลงข้างบุตรชายที่ยังเกาะอยู่ข้างมารดา

"อย่างนั้นคงเป็นปัญหาที่ห้องเจ้า หาใช่ความสูงของข้า..."

"เช่นนั้นท่านก็ทุบสร้างให้ข้าใหม่เสียสิ" เซนทอร์หญิงยิ้มเย้า

บิดาที่ดูจะเห่อลูกชายดูจะไม่มีเวลาคุยเล่นกับภรรยาสักเท่าไหร่ ชายหนุ่มเปิดกล่องไม้ และผายมือให้เด็กน้อยชื่นชมสิ่งที่เขานำมามอบให้ "แอควาเรียร์... ธนูแหวกสมุทร" คนที่อ้าปากค้างด้วยความตกตะลึงไม่ใช่เด็กน้อย แต่กลับเป็นท่านหญิงลีอาห์ ด้วยรู้ว่าสิ่งที่อีกฝ่ายนำมามอบให้นั้นมีมูลค่าสูงเกินกว่าจะเป็นของขวัญให้เด็กที่ตัวเล็กเพียงเท่านี้ "ข้าคงไม่ได้กลับมาหาเจ้าที่มหาทวีปบ่อยนัก... ดังนั้น มูลค่าของสิ่งนี้อาจชดเชยให้เจ้าได้บ้าง เลสธีราห์" เด็กชายลูบมือไปบนคันธนูไม้ที่แกะสลักอย่างปราณีตงดงาม แล้วจึงแหงนหน้าขึ้นมองมารดาราวกับกำลังถามว่า เขาสามารถรับของชิ้นนี้เอาไว้ได้หรือไม่

เซนทอร์หญิงสังเกตเห็นคำว่า 'เลสธีราห์ บลังค์' อยู่บนคันศร...

อังนั้นมันคงเปล่าประโยชน์ที่จะเอ่ยห้าม ในเมื่อของชิ้นนี้ตกเป็นของบุตรชายแล้ว

"แต่ตอนนี้เจ้ายังเด็กเกินไปที่จะใช้พลังของแอควาเรียร์ แต่หากเจ้ามีความหมั่นเพียร ฝึกฝนตนเองทั้งร่างกายและจิตใจอยู่เสมอ พลังของแอควาเรียร์จะทำให้เจ้าเติบโตเป็นนักรบที่มีความสามารถเหนือผู้ใด" ธีโอเดรยิ้ม "และจงใช้ความสามารถนั้นเพื่อทำประโยชน์ให้กับบ้านเกิดของเจ้า อาณาจักรแอสทารอธแห่งนี้" เมื่อมารดาพยักหน้า เด็กชายก็หันกลับไปมองบิดาด้วยดวงตาสีฟ้าน้ำทะเลที่สดใสก่อนจะยิ้มด้วยความยินดี

"ขอบคุณครับ"


--------------------------------------------------

ความสามารถที่เกิดจากการฝึกฝนพลังเพื่อให้สามารถควบคุมธนูแอควาเรียร์ได้ คือศาสตร์ของการฟังเสียง ซึ่งมันไม่ได้ทำให้เลสธีราห์มีความสามารถในการใต้ยินเสียงต่างๆใต้ทะเลเพียงอย่างเดียว แต่มันส่งผลถึงชีวิตประจำวันอีกด้วย ซึ่งทำให้ชายหนุ่มกลายเป็นคนหูไว และนอนหลับไม่ค่อยสนิทสักเท่าไหร่ อันเนื่องมาจากเสียงรบกวนของสิ่งแวดล้อมรอบข้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ...เสียงหัวใจของคนข้างๆ

"...!.." เซนทอร์หนุ่มสะดุ้งเมื่อรู้สึกตัว และได้ยินเสียงเต้นอย่างเป็นจังหวะของหัวใจใครบางคนที่ไม่ใช่ตัวเอง และเมื่อลืมตาขึ้น เขาก็พบว่าทั้งตนและแม่ทัพแห่งอาเดรียผล็อยหลับไปในท่าเดิมหลังจากนั่งสนทนากันจนดึกดื่นเมื่อคืนที่ผ่านมา

ไม่รู้จักเข็ดหนอ... เลสธีราห์

เซนทอร์หนุ่มมุ่นคิ้วใส่ตัวเองแล้วค่อยๆลุกขึ้นจากเบาะนุ่มเพื่อไม่ให้คนข้างตัวสะดุ้งตกใจ เพราะในตอนนี้ยังเช้าเกินกว่าจะตื่น และเอเดรียนเองก็คงเหนื่อยจากภารกิจที่ผ่านมามากพอตัว เลสธีราห์จึงคิดว่าเขาควรจะลงไปร่วมโต๊ะอาหารเช้าอย่างเงียบๆและทำเสมือนตนไม่เคยอยู่ในเหตุการณ์นี้จะดีกว่า

เว้นเสียแต่...

"เอเดรียน! เช้าแล้ว!!" นั่นเป็นเสียงของโจฮาล ที่ดังขึ้นพร้อมกับกำปั้นหนักๆทุบลงบนบานประตูไม้ และเดาได้ว่าเป็นมือข้างซ้ายของชายร่างยักษ์เนื่องจากมีเสียงแหวนกระแทกปะปนอยู่ด้วย "อูย..." และมันคงจะทำให้เจ้าตัวเจ็บอยู่ไม่น้อย จึงได้สบถออกมาเบาๆราวพูดกับหนวดเคราของตัวเอง

และแน่นอนว่าเสียงเอ็ดตะโรนั้นดังพอจะทำให้เอเดรียนสะดุ้งตื่น "อืม ข้าตื่นแล้ว..."

เลสธีราห์มองออกไปนอกหน้าต่างเล็กน้อย และพบว่าดวงอาทิตย์ยังไม่ขึ้นเลยด้วยซ้ำ มีเพียงแสงสลัวยามเช้าทำส่องเข้ามาในห้อง "มีอะไร... เหตุใจต้องรีบตื่น" เซนทอร์หนุ่มมุ่นคิ้ว และด้วยความที่กลัวโจฮาลจะทุบประตูอีกครั้งซึ่งอาจปลุกคนทั้งคฤหาสน์ได้ เขาจึงเดินไปเปิดห้องต้อนรับอีกฝ่ายด้วยตนเอง

"อ้าว เจ้าเองก็อยู่ที่นี่ด้วยรึ" ร่างสูงเลิกคิ้วดกหนาขึ้น "ดีแล้ว เจ้าควรรีบไปเตรียมตัว..."

"เตรียมตัวอะไรรึ"

"อา... ข้าลืมบอกเจ้าไป" เอเดรียนเดินมาที่ประตูขณะที่กำลังปลดกระดุมเสื้อของตน "มีคำสั่งให้คณะพรานออกล่าสัตว์เพื่อนำกลับมาแจกจ่ายให้ประชาชนที่เริ่มขาดแคลนเสบียงอาหารจากคำสั่งปิดท่าเรือ ดังนั้นเมื่อพวกเราไม่ค้าขายกับธีสธรัล ไอย์ชวลที่เป็นพันธมิตรของธีสธรัลซึ่งเคยขายเนื้อให้เราก็พลอยไม่ส่งของไปด้วย" แม่ทัพใหญ่ถอนใจ "กระทบกันไปหมด"

นี่ล่ะผลของการทำอะไรไม่คิดนัก...

เลสธีราห์บ่นด่าอยู่ในใจ แต่ก็ต้องยอมรับว่าการกระทำนี้เป็นผลดีต่อแอสทารอธไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง ดังนั้นเขาจึงควรเดินตามเกมการเมืองนี้ต่อไป "ยังไม่รีบไปเตรียมตัวอีกล่ะ! เราต้องไปถึงชายแดนในตอนสายนะ นี่พระอาทิตย์จะขึ้นแล้วยังไม่ออกเดินทางอีก!"

"เราจะไปที่ไหนนะ!" เซนทอรืหนุ่มอ้าปากค้าง

"ทุ่งอีแลนด์... ดินแดนรอยต่อของเมืองเลาน์เรนกับเมืองมารินาของแอสทารอธ"

--------------------------------------------------

ท่านชายซินญอร์เดินทางมายังท่าเรือทิศใต้ที่ค่อนข้างเงียบเหงา เพียงเพื่อมาตามหาบุคคลหนึ่งที่ได้ชื่อว่าไม่ค่อยปรากฎตัวให้ใครได้พบเจอโดยง่าย ผู้นำอาณาจักรปิดบังใบหน้าด้วยผ้าปิดปาก และผ้าคลุมหลัง เขาเดินผ่านตลาดค้าอาวุธที่เงียบสงัด และมุ่งตรงไปยังเขตที่พักอาศัยซึ่งส่วนใหญ่มักจะเป็นคฤหาสน์หลังมหึมา

"พี่ชาย... ที่ทางแถวนี้ไม่เหมาะให้ใครมาเดินเล่น" ชายฉกรรจ์ร่างสูงตวัดคมดาบของตนแตะที่คอของผู้มาเยือนซึ่งทำให้เขาหยุดชะงักและถอยเท้าออกมาด้วยความระมัดระวัง "ข้ามีหน้าที่ต้องเฝ้าระวังคนแปลกหน้าแถวนี้ เห็นว่าหมู่นี้มีขโมยชุกชุมเหลือเกิน" คนตรงหน้ามีผมสีดำยาวประบ่า ดวงตาข้างหนึ่งถูกปิดเอาไว้ผ้าดำชิ้นเล็ก และโพกศรีษะด้วยผ้าสีแดงที่มีลวดลาย แม้ว่าจะมองผ่านผิวเผิน ท่านชายกรู้ได้ว่าอีกฝ่ายเป็นโจรสลัด

"ข้ามาเพื่อพบผู้นำตระกูลฟลินทรัสต์"

ท่านชายซินญอร์ดึงเหรียญทองอันมีตราสัญลักษณ์ของอาเดรียออกมาและชูขึ้นให้คู่สนทนาเห็นชัดถนัดตาอีกฝ่ายหรี่ตาเล็กพิจารณาเหรียญตรงหน้าแล้วจึงลดดาบลง "ผู้นำตระกูลฟลินทรัสต์ไม่เคยพบใคร" เขาเก็บดาบลงฝักแล้วจึงถอยห่างออกจากผู้มาเยือน "พี่ชายควรกลับไปเสียจะดีกว่า"

"ข้ามีข้อเสนอที่เขาจะต้องสนใจ..."

อีกฝ่ายเลิกคิ้วเล็กย้อยก่อนจะเหยียดยิ้ม "หากไม่ใช่เงินทอง เขาก็คงจะไม่สน"

"ข้าไม่ได้เสนอเงินทอง" เจ้าเมืองไม่ย้อท้อ และพยายามข่มตัวเองไม่ให้ใจฝ่อเมื่อเห็นรอยยิ้มเหี้ยมเกรียมเย้ยหยันของอีกฝ่าย "ข้าจะให้เขาได้พบบุคคลที่เขาต้องการตัวที่สุดในมหาทวีปกอนด์วานาแห่งนี้ แลกกับกองเรือโจรสลัด" เขาเหลือบตาขึ้นมองสบกับอีกฝ่าย "พาข้าไปพบเขาเดี๋ยวนี้"

"พี่ชายคิดว่าวางอำนาจกับโจรสลัดได้หรือ" อีกฝ่ายยังคงยิ้มหยัน "...ใครกันที่มีค่าเท่านั้น"

"เอเดรียน..."

คู่สนทนาเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วจึงยอมถอยเท้า และเดินนำอีกฝ่ายไปยังเขตแดนของคฤหาสน์ฟลินทรัสต์ ตระกูลค้าอาวุธที่เก่าแก่ที่สุดแห่งอาเดรีย "ขุนนางระดับไหนกันที่โง่จะแลกชีวิตแม่ทัพกับกองเรือโจรสลัด" อีกฝ่ายหัวเราะร่วนในลำคอ "เกือบสามสิบปี... เอเดรียน"

เมื่อเข้ามาในเขตคฤหาสน์คนตรงหน้าก็ดึงผ้าโพกหัวออกก่อนจะหันกลับมายิ้มให้ผู้มาเยือน

"เอเรส ฟลินทรัสต์ ผู้นำโจรสลัดแห่งทะเลเทเทส... ยินดีต้อนรับท่านชายซินญอร์"

--------------------------------------------------

ออฟไลน์ khaosap

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 165
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
    • Khaosap Writing
Re: ASTAROTH พันธนาการดวงดาว ตอนที่ 13.2
«ตอบ #37 เมื่อ04-11-2016 19:14:34 »

ตอนที่ 13.2

โจฮาลยังคงเป็นผู้นำทางของคณะ แม้ว่าการเดินทางครั้งนี้พวกเขาจะมากับกลุ่มพรานที่มีความชำนาญพิเศษในการเดินป่าก็ตาม ทั้งคณะเดินทางขึ้นเหนืออีกครั้ง ข้ามแม่น้ำไอเรนาและล่วงเข้าไปในชายแดนของอาณาจักรแอสทารอธ เพื่อจะเดินทางไปยังทุ่งอีแลนด์ซึ่งเป็นทุ่งหญ้ากว้างใหญ่และเต็มไปด้วยฝูงสัตว์

"ทุ่งอีแลนด์เรียกได้ว่าอยู่ระหว่างเส้นทางที่เซนทอร์ใช้ข้ามจากเมืองเลาน์เรนไปยังเมืองมารินา จึงนับได้ว่ามันเป็นอาณาเขตของแอสทารอธ ทางที่ดีก็ควรจะยุติการล่าสัตว์ก่อนพระอาทิตย์ตกดินดีกว่า"

เอเดรียนวางแผน เขาถือแผนที่แสดงอาณาเขตคร่าวๆไว้ในมือ และแนะนำให้พวกพรานดูด้วยเพื่อทำความเข้าใจ "ข้าไม่รู้ว่าฝูงสัตว์ใด อาศัยอยู่ที่ใดบ้าง นั่นจึงเป็นหน้าที่ของพวกเจ้า เราอาจจะต้องออกล่าสัตว์อย่างนี้ไปอีกหลายวัน ถ้าสถานการณ์ทางการเมืองยังไม่ดีขึ้น ไอย์ชวลก็คงจะไม่ขายเนื้อสัตว์ให้เราอยู่ดี"

เหล่านายพรานพยักหน้ารับรู้และเริ่มคิดว่าควรจะวางแผนการล่าสัตว์อย่างไร เพราะทุ่งอีแลนด์ที่กว้างใหญ่นี้มีสัตว์อยู่มากมายหลายชนิดเหลือเกิน แต่ละพวกก็ออกหากินไม่พร้อมกันเสียด้วย "ตอนเช้าพวกกวางเอลก์จะมาดื่มน้ำที่แม่น้ำธีนา เราสามารถข้ามแม่น้ำไปล่าสักหกเจ็ดตัว" พรานหนึ่งเสนอ "ส่วนพวกอีแลนด์จะเลาะเล็มหญ้าที่ชายป่า หากต้องการจะจับพวกมัน เราจะต้องต้อนพวกมันให้ห่างป่า สัตว์พวกนี้หากกระโจนเข้าพงไม้แล้วก็คงจะหากันไม่เจอ"

เอเเรียนพยักหน้ารับรู้ก่อนจะหันไปหาจาเร็ตต์ "เจ้าว่าอย่างไร"

"ข้าได้สังเกตพฤติกรรมของพวกครึ่งม้าแล้ว พวกเขานิยมล่าสัตว์ในตอนบ่ายที่พวกสัตว์เริ่มพักผ่อนตามชายป่า และออกล่าอย่างเป็นทางการเดือนละสองครั้ง ซึ่งเมื่อวานนี้ก็เป็นครั้งสุดท้ายของเดือนนี้ ดังนั้นจึงมีความเป็นได้สูงว่าพวกเขาจะไม่เข้ามาในทุ่งอีแลนด์วันนี้"

คนสนิทมุ่นคิ้วเล็กน้อย "แต่การไปต้อนพวกอีแลนด์ถึงชายป่าเกรงว่าใกล้เมืองมารินามากไปหน่อย"

"เช่นนั้นเราก็ควรจะล่าอีแลนด์ในตอนที่พวกมันมาดื่มน้ำ น่าจะปลอดภัยกว่า"

เมื่อพวกพรานป่าตกลงกันได้แล้ว พวกเขาจึงเริ่มแบ่งกลุ่มกันตามอาวุธที่ถนัด และแลกเปลี่ยนพูดคุยเกี่ยวกับพฤติกรรมของสัตว์แต่ละชนิดซึ่งจะทำให้การล่าง่ายขึ้น โจฮาลดึงม้าเข้ามาใกล้เอเดรียนในจังหวะที่เลสธีราห์ชะโงกหน้าไปฟังการสนทนาของกลุ่มพรานด้วยความอยากรู้ "ทำไมเลสธีราห์ถึงไปอยู่ในห้องเจ้าได้" เอเดรียนที่โจฮาลรู้จักไม่ค่อยให้ความสนิทสนมกับใครมากนัก เขาดูจะปิดตัวเอง และเข้าหายากแม้ว่าจะมีท่าทางอ่อนโยนยิ้มง่ายใจดีกับทุกคนก็ตาม จริงแล้วเลสธีราห์อาจเป็นคนแรกที่ได้เข้ามานอนในห้องของแม่ทัพใหญ่

"ก็คุยเพลินน่ะ ทีแรกเจ้านั่นมีเรื่องจะปรึกษาข้า"

โจฮาลไหวไหล่ทีหนึ่ง "น่าแปลกที่เจ้ายอมให้เข้าห้องด้วย ปกติเห็นระวังระแวงจะเป็นจะตาย" ถึงลักษณะการแสดงออกของเลสธีราห์จะไม่น่าสงสัยเลยก็ตาม แต่ประวัติและภูมิหลังของอีกฝ่ายก็ยังดูไม่น่าไว้ใจสำหรับคนระดับเอเดรียนอยู่ดี "เจ้าไม่ระแวงเด็กนี่จริงรึ" ชายหนุ่มกระซิบถามแม่ทัพ

"จะมีสักกี่คนกัน... ที่ข้าสบายใจจะอยู่ด้วยแบบนี้" เอเดรียนยิ้มตอบ

โจฮาลถอนใจยาวแล้วจึงตบบ่าสหายสองสามครั้ง "เจ้าขี้ระแวงอย่างเดิมก็ดีแล้ว เอเดรียน ระวังตัวให้มาก อย่าบอกนะว่าเจ้าลืมเรื่องของเวห์เซียไปแล้วน่ะ" คำเตือนของคนสนิททำให้แม่ทัพใหญ่ขมวดคิ้วเข้าหากันและมองคนพูดอย่างไม่ค่อยพอใจนัก

"เลสธีราห์เป็นผู้ชาย..."

"จะผู้หญิงหรือผู้ชาย ถ้าเจ้ายังใจดีให้เข้าหาง่ายๆอยู่อย่างนี้มันน่ากลัวเหมือนกันนั่นล่ะ"

เอเดรียนพ่นลมหายใจไม่สบอารมณ์ "เจ้าก็น่าจะรู้จากบุคลิกของเขา เลสไม่มีอะไรเหมือนเวห์เซีย"

"เอเดรียน..." โจฮาลเรียกเหนื่อยใจ "ข้าไม่ได้ห้ามปรามอะไรเจ้า แต่ข้าแค่อยากจะเตือน เวห์เซียก็เข้าหาเจ้าในเวลาอันรวดเร็วไม่ใช่หรือ แล้วก็ได้รับความไว้ใจจากเจ้าในเวลาสั้นๆไม่ใช่หรือ เพราะเจ้าเป็นคนอ่อนโยนอย่างนี้ถึงได้ถูกหักหลังเอาไม่ใช่หรือไง"

เอเดรียนยอมรับว่าสิ่งที่โจฮาลพูดนั้นเป็นความจริง "หากข้าไม่ใช่แม่ทัพ... คงจะดีกว่านี้"

ก่อนที่โจฮาลจะพูดอะไรต่อ เสียงฝีเท้าของฝูงสัตว์ก็ทำให้ทั้งหมดเงียบฟังด้วยความตื่นเต้นระคนระวังตัว ดูเหมือนว่าฝูงกวางเอลก์ขนาดใหญ่จะมาถึงแม่น้ำธีนาแล้ว พวกมันกรูกันเข้ามาแย่งที่ดื่มน้ำ บ้างก็ลงไปแหวกว่ายในกระแสน้ำที่ค่อนข้างแรง "เราเล็งตัวที่ลงเล่นน้ำดีกว่า ขว้างหอกจากฝั่งนี้อย่างไรก็ไปถึงตัวพวกที่อยู่ริมน้ำยาก ขอแค่ทำให้พวกมันเสียการทรงตัวได้ เอลก์ก็จะไหลไปตามกระแสน้ำ ขอแค่ดักร่างของมันให้ทัน" หัวหน้าพรานให้คำแนะนำ "ไปตามกระแสน้ำนี้มีต้นไม้ล้มขวางอยู่ เราควรไปดักที่ตรงนั้น"

"เลสธีราห์... เจ้าเป็นคนเลือกเหยื่อ" เอเดรียนออกคำสั่ง "ข้าจะให้โจฮาลล์กับจาเร็ตต์แล้วก็พรานอีกสี่คนไปดักเหยื่อที่ไม้ล้มขวางแม่น้ำนั่น เจ้ายิงตัวที่ล้มยากที่สุดสามตัวให้มันไหลไปตามน้ำ แล้วที่เหลือก็แค่ให้มันบาดเจ็บ ข้ากับพรานที่เหลือจะข้ามไปจัดการพวกมัน"

"เจ้าเห็นข้าขึ้นสายเร็วกว่ากวางวิ่งหรือไร!"

ถึงจะประท้วง แต่เอเดรียนก็ตบบ่าร่างโปร่งและดึงให้อัลธอร์วิ่งไปที่ไม้ล้มขนาดยักษ์ที่กลายเป็นสะพานเชื่อมระหว่างสองฝั่งแม่น้ำ แม้ว่าสุดทางจะมีช่องว่างอยู่บ้างก็ตามที เลสธีราห์ส่ายหัวกับตัวเองและลงจากอานเพื่อขยับเข้าไปใกล้ฝูงสัตว์มากยิ่งขึ้น ลูเซียที่รู้งานยืนอยู่เฉยๆเพื้อไม่ให้เกิดเสียงเคลื่อนไหว

นัยน์ตาสีฟ้าครามเเหลือบมองเอเดรียนที่ปีนขึ้นไปบนซากไม้อย่างทุลักทุเลและไม่แน่ใจว่าอัลธอร์จะสามารถกระโดดข้ามช่องว่างระหว่างยอดไม้กับอีกฝั่งแม่น้ำได้หรือไม่ ร่างโปร่งจับสายธนูของตนดึงเล็กน้อยขณะมอง และทันใดนั้นน้ำที่อยู่เบื้องใต้ก็เคลื่อนไหลลดอย่างรวดเร็วจนซากไม้เอนลงใกล้ฝั่ง เอเดรียนรีบพาอัลธอร์กระโจนลงไปอย่างคล่องแคล่ว แม้จะไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นก็ตาม

"หึ... มนุษย์เอย" เลสธีราห์ลอบยิ้ม แล้วลูบคันธนูแอควาเรียร์ของตนเบาๆ

เมื่อพวกบนหลังม้าทยอยข้ามฝั่งไปแล้ว เซนทอร์ก็เริ่มมองหาเหยื่อขนาดพอเหมาะที่ไม่ใหญ่เกินไปหรือเล็กเกินไป พวกเอลก์ยังลงเล่นน้ำสนุกสนานขณะที่เอเดรียนเริ่มสั่งกระจายกำลังล้อมรอบฝูงสัตว์ ขนาดตัวของพวกมันเทียบเท่าหรือใหญ่กว่าม้าศึกขอพวกเขาด้วยซ้ำ และเขายาวใหญ่ก็เป็นอันตรายถึงชีวิต ดังนั้นการออกล่าครั้งนี้จึงต้องอาศัยความแม่นยำและความชำนาญอย่างยิ่งทีเดียว

เลสธีราห์ได้สัญญาณจากแม่ทัพใหญ่ เขาหยิบลูกดอกมาขึ้นสายและค่อยๆง้างมันออก

นัยน์ตาสีฟ้าครามเพ่งไปที่ตัวผู้หนึ่งที่เดินลงมาถึงกลางแม่น้ำโดยไม่กลัวเกรง

การจะยิงสัตว์พวกนี้ให้ถึงตายในครั้งเดียว เลสธีราห์จะต้องเล็งที่ลำคอหนาที่เต็มไปดัวยเส้นเลือด เส้นประสาท และมัดกล้าม เซนทอร์หนุ่มง้างธนูขึ้นสุดแขนและเพ่งที่จุดหมายอย่างแน่วแน่

...ผึง!!

อาวุธพุ่งออกจากสายอย่างรวดเร็วและแหวกอากาศไปถึงตัวเหยื่อในอึดใจ และเสียงร้องสั้นๆด้วยความเจ็บปวดก็ทำให้ฝูงสัตว์ตื่นตระหนก กวางที่เหลือวิ่งขึ้นจากน้ำ จังหวะเดียวกันที่เลสธีราห์ขึ้นสายเพื่อยิงให้ได้อีกสักตัว

"ไป!" แม่ทัพใหญ่ออกคำสั่งกับกลุ่มพราน พวกเขากระจายกำลังออก และเริ่มพุ่งคมอาวุธใส่เป้าหมาย เอเดรียนชักดาบคู่ใจของตนออกมาบ้าง เขามุ่งฟันท่อนขาที่วิ่งห้อสุดแรงเพื่อเอาชีวิตรอด เสียงร้องของฝูงสัตว์ดังระงมไปทั่วบริเวณ

"อ้าก!!!"

ฝูงสัตว์ตื่นตกใจวิ่งชนทุกสิ่งที่กีดขวางและเหยียบกระทืบซ้ำไม่สนใจ พรานหนุ่มเคราะห์ร้ายล้มลงพร้อมกับม้าของตนและหายไปใต้ฝีเท้าระรัว อัลธอร์วิ่งตีคู่ไปกับเอลก์เพศเมียขนาดใหญ่ตัวหนึ่ง ม้าศึกเร่งฝีเท้าเพื่อให้เจ้านายของตนฟาดฟันดาบไปที่ช่วงขาทรงพลังนั้น แต่จังหวะที่เอเดรียนเงื้อดาบขึ้นสุดแขนนั่นเอง... ลมกราดเกรี้ยวก็พุ่งเข้าปะทะร่างจนอัลธอร์ยังเซถลา

"เอเดรียน!!" จาเร็ตต์ตะโกนเรียก "พวกไอย์ชวล!"

...

สิ่งที่พัดผ่านแม่ทัพใหญ่ไปคือปีกมหึมาของม้าศึกขนาดยักษ์ที่มาพร้อมกับคนขี่บนหลังของมัน

"ถอย! ถอยออกมา!!!"

อัลธอร์เบี่ยงวิ่งออกจากฝูงสัตว์และกลับไปที่แม่น้ำใหญ่ แต่แล้วอาชาร่างยักษ์ก็ร่อนลงตัดหน้าพร้อมกับสะบัดปีกใส่จนขนนกร่วงหล่นออกมาหลายเส้น "ขยันกันแต่เข้าเลยเชียว พวกมนุษย์นี่" นัยน์ตาสีดำของผู้ควบขี่หันมองแม่ทัพใหญ่ ร่างกายกำยำแน่นไปด้วยมัดกล้ามหันมาเผชิญหน้าพร้อมกับธนูคันโตในมือ

"วันนี้ก็เป็นวันที่ข้าขยันผิดปกติเหมือนกัน"

พวกภูตบนหลังม้าพุ่งออกมาจากชายป่าและเผชิญหน้ากับคณะพรานจากอาเดรีย เอเดรียนรู้จักผู้นำทัพปราการของไอย์ชวลดี เขาเป็นหัวหน้าคณะนักล่าที่มีชื่อเสียงที่สุดของภูต และขึ้นชื่อว่ามีความชำนาญการในการล่าสัตว์มากที่สุด "...คูแรนน์"

การที่เอเดรียนมีชีวิตรอดอยู่ในตอนนี้ไม่ใช่เพราะโชคช่วย แต่เป็นเพราะคูแรนน์ไว้ชีวิตเขา

"เอเดรียน... แม่ทัพแห่งอาเดรีย" คูแรนน์ดึงม้าของตนมาประจันหน้าตรงๆ อัลธอร์เหยาะย่างเท้าอยู่กับที่ขณะประสานสายตากับม้าศึกร่างยักษ์ตรงหน้า การเคลื่อนไหวของทุกคนหยุดชะงักทั้งภูตจากไอย์ชวลและมนุษย์จากอาเดรีย พวกเขามองผู้นำของตนด้วยหัวใจที่แทบจะหยุดเต้น "เจ้าล่วงเข้ามาในเขตแดนของแอสทารอธ นี่เป็นความผิดพลาดครั้งใหญ่..."

"เจ้าเองก็ล่วงเข้ามาในเขตแดนของแอสทารอธ" เอเดรียนยอกย้อน

คูแรนน์แค่นหัวเราะสั้นกับประโยคนั้น และตบคอม้าคู่ใจของตนทีหนึ่ง "ฟังซิ ไคลเดสเดล พวกมนุษย์ที่ทำผิดแต่กลับไม่ยอมรับ ซ้ำยังพยายามหาคนร่วมกระทำผิดอีกด้วย" นัยน์ตาสีดำมองคู่สนทนานิ่ง "ข้าเป็นตัวแทนจากไอย์ชวล มุ่งหน้าไปยังมารินาหลังจากได้รับคำอนุญาตจากเหนือหัวให้สามารถติดต่อค้าขายกับพวกเอลฟ์ได้"

เอเดรียนพยายามจะดึงให้อัลธอร์ก้าวถอย แต่ไคลเดสเดลก็รุกเข้าหาอย่างรู้ทัน แม่ทัพใหญ่รู้ดีกว่าเพียงแค่พละกำลังของม้าสองตัว เขาก็ไม่อาจเอาชนะได้แล้ว และเขาก็ไม่ต้องการเสี่ยงชีวิตของม้าคู่ใจด้วย ไคลเดสเดลของคูแรนน์มีขนาดใหญ่เกินไป ทั้งโครงสร้าง และพละกำลัง เพียงกระแทกแค่ครั้วเดียว อัลธอร์อาจจะซี่โครงหักและถึงชีวิตได้

ผู้นำกลุ่มพรานของไอย์ชวลมองความสงบนิ่งของคนตรงหน้าดัวยความสนุกลึกๆ

"สุขุมอย่างที่เขาว่า... แต่โทษทีที่ข้าไม่ชอบความเงียบนานๆ"

อึดใจที่ไคลเดสเดลขยับปีกใหญ่ เอเดรียนก็ชิงชักม้าวิ่งเบี่ยงออกมาให้พ้นช่วงแขนของคูแรนน์ "ถอย!!!" พวกเขาไม่มีสิทธิ์จะต่อสู้กับเจ้าของอาณาเขตหรือผู้ที่ได้รับอนุญาตให้เข้ามาอย่างถูกต้อง ดังนั้นการถอยกลับจึงเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด คณะพรานของอาเดรียรับคำสั่งนั้นด้วยการบังคับม้าให้หันกลับไปยังแม่น้ำ แต่ในระยะทางที่ต้องล่าถอยนั้นก็จำต้องมีการปะทะอย่างช่วยไม่ได้

...เคร้ง!

เสียงดาบสองเล่มประสานกันรุนแรงจนฝูงนกแตกฮือจากพุ่มไม้ อัลธอร์พยายามก้มตัวลงขณะผู้ควบขี่บ่ายเบี่ยงวิถีดาบของศัตรูออกสุดแรง "นี่รึ แม่ทัพแห่งอาเดรีย!!" ไคลเดสเดลยกสองขาหน้าขึ้นตะกายอากาศและกระทืบลงดินด้วยความหงุดหงิด ก่อนจะออกวิ่งไล่ผู้รุกรานที่พยายามจะถอยหนีกลับไปในเขตตน

เอเดรียนไม่ตอบคำปรามาส เพราะเขารู้ดีว่าตนอยู่ในสถานะอะไร

ในวันนี้เขารุกรานแอสทารอธ และไม่มีเหตุผลใดจะกล่าวอ้างให้เห็นใจ อีกทั้งการปะทะกับคนอย่างคูแรนน์ก็ไม่ใช่หนทางที่ฉลาด พวกเขาอาจต้องต่อสู้เพื่อเอาตัวรอด แต่เอเดรียนก็พยายามภาวนาไม่ให้มีภูตถูกฆ่า เพราะไม่อย่างนั้นอาเดรียอาจจะต้องรับศึกหนักจากไอย์ชวลด้วย

ด้วยความที่มีขนาดใหญ่กว่าและน้ำหนักมากกว่า ฝีเท้าของไคลเดสเดลจึงเทียบอัลธอร์ไม่ได้ แต่นายของมันก็เปลี่ยนมือจากดาบเป็นหอกเล่มยาวแทน

...ฉึก!

ภูตหนุ่มไม่เจตนาจะเอาชีวิต ดังนั้นหอกเล่มยาวจึงพุ่งลงปักพื้นข้างตัวอัลธอร์แทน และนั่นก็ทำให้ม้าศึกตื่นตระหนกและเสียความเร็วในการวิ่ง

...พลั่ก!!

จังหวะนั้นเองที่ไคลเดสเดลไล่ถึง มันทุ่มน้ำหนักกระแทกม้าศึกข้างเคียง และนั่นก็ทำให้ม้าตัวเล็กกว่าเสียหลักล้มพร้อมกับเหวี่ยงคนขี่ตกจากหลังด้วย "เอเเรียน!!" เลสธีราห์ตะโดนเรียก ร่างของแม่ทัพหนุ่มร่วงลงกระแทกพื้นและไถลออกไปอีกตามแรง ชายหนุ่มรีบวิ่งขึ้นไปที่ซากไม้เพื่อไปช่วยสหายของตน ขณะที่ม้าตัวอื่นของอาเดรียกำลังกรูกันกลับมา

โจฮาลหันกลับเมื่อได้ยินเสียงอัลธอร์ร้อง เขาพุ่งเข้าไปขวางระหว่างคูแรนน์กับเอเดรีย และยกขวานในมือขึ้นข่มขู่ ผู้นำทางของอาเดรียอาจมีขนาดตัวไม่ต่างจากผู้นำคณะพรานของไอย์ชวลมากนัก แต่ด้วยขนาดของม้า ทำให้โจฮาลคิดว่าตนดูตัวเล็กไปถนัดตา ไคลเดสเดลยังคงกางปีกออกกว้าและย่างเดินเข้าหาศัตรูเชื่องช้าเอาเรื่อง

"ถอยรึ... ช่างเป็นแม่ทัพที่ไม่มีศักดิ์ศรี"

โจฮาลตั้งท่าพร้อม และภาวนาให้เอเดรียนลุกขึ้น "ศักดิ์ศรีของแม่ทัพข้า ยิ่งใหญ่กว่าอะไรทั้งสิ้น"

...โครม!!

ไคลเดสเดลกระะทืบเท้าอีกครั้งและพุ่งเข้าโถมใส่คู่ต่อสู้ คูแรนน์เหวี่ยงดาบลงฟาดประสานกับขวานใหญ่และกันศัตรูออกไปด้วยพละกำลังทั้งหมด จังหวะเดียวกับที่ภูตอีกตนพุ่งเข้ามาใช้ดาบจ่อโจฮาลเอาไว้ไม่ให้ขยับเขยื้อนไปไหนอีก

เอเดรียนยังเจ็บจนลุกไม่ขึ้นถึงตอนนี้... ขณะที่คูแรนน์ก้าวเข้าไปใกล้ทุกที

"เอเดรียน ลุกสิ..." เลสธีราห์อยู่อีกฝั่งฟากแม่น้ำ และกำหมัดโดยไม่สนใจสายตาของภูตตนอื่นที่มองตนอยู่ด้วยความสนใจ เพราะทั้งรูปร่างและการแต่งตัวของเลสธีราห์นั้นดูไม่เหมือนมนุษย์เอาเสียเลย

คูแรนน์ไม่ได้คิดจะเอาชีวิตเอเดรียน... แต่เขาก็คงปล่อยฝ่ายนั้นกลับไปไม่ได้เช่นกัน

แต่ภูตหนุ่มแค่ไม่พอใจการกระทำที่ไม่มีศักดิ์ศรีของมนุษย์ตรงหน้า

"ความเป็นผู้นำของเจ้าไปไหนเสียหมด แม่ทัพใหญ่" เสียงทุ้มถามเรียบ "แม่ทัพไม่ใช่สักแต่รับคำสั่งผู้นำที่ไม่ได้เรื่อง แต่แม่ทัพมีหน้าที่ต้องประคองบ้านเมืองให้อยู่รอด" แต่ก่อนที่ปลายดาบยาวจะแตะกับคอของคู่สนทนา เอเดรียนก็หยัดตัวขึ้นยืนและเงื้อดาบขึ้นพร้อม "แม่ทัพไม่จำเป็นต้องกู้หน้าให้ผู้นำที่นำพาความเดือดร้อนมาให้ประชาชนของตัวเอง"

"เจ้าจะไปเข้าใจอะไร คูแรนน์"

นัยน์ตาสีเข้มมองประสานกันดุดัน คูแรนน์กระชับดาบในมือมั่น และตั้งใจว่าจะลองประมือด้วยสักครั้ง "ความสุขุมของเจ้ามันน่าโมโหชะมัด" เอเดรียนกลั้นใจเล็กน้อย หัวใจของเขาบีบเกร็งด้วยความรู้สึกกลัวขึ้นมาชั่วขณะ คูแรนน์เป็นนักรบแถวหน้าของไอย์ชวล และขึ้นชื่อว่าเลือดเย็นที่สุดในบรรดาผู้นำสี่เหล่าทัพ... และการกระทำของอีกฝ่ายในตอนนี้ก็ทำให้ชายหนุ่มไม่สามารถคาดเดาได้ว่าอีกฝ่ายต้องการอะไร

การถูกเหวี่ยงตกจากหลังม้าครั้งนี้ทำให้เอเดรียนรู้สึกมึนชาไปครึ่งซีก และเขาไม่มั่นใจว่าจะสามารถสู้กับคนที่อยู่บนม้าตัวโตขนาดนั้นได้หรือไม่ "เจ้าไม่ใช่ชาวอาเดรีย... เจ้าไม่มีวันเข้าใจ" คูแรนน์กระตุกบังเหียน และพุ่งเข้าใส่คู่ต่อสู้ เออเดรียนได้ยินเสียงหวีดลม เขายกอาวุธในมือตนขึ้นรับแม้จะรู้ว่าอาจไม่สามารถทัดทานได้

...เคร้ง!!!

เสียงปะทะนั้นดังใกล้หู แต่กลับไม่มีแรงกระแทกใดๆส่งผ่านมาถึงตัวเขา กลับเป็นคูแรนน์เองที่เสียหลัก "เลสธีราห์!!" ทั้งที่เตรียมใจไว้อย่างนั้น แต่เมื่อเอเดรียนดึงตัวเองกลับมาเขาก็พบว่าร่างโปร่งของตนใช้คันธนูรับคมดาบเอาไว้ และเหวี่ยงกลับอย่างกราดเกรี้ยว

"ย้าก!!"

ฝ่ายนั้นผงาดร่างขึ้นเหนือไคลเดสเดลและฟาดคันธนูเข้าใส่ม้าศึกจนอาชาร่างยักษ์ต้องวิ่งถอย... ชายชุดหนังสีดำพลิ้วไหวสะบัดตามแรงปะทะ และร่างกายช่วงล่างที่กลับคืนเป็นอาชาก็ยกขาสองข้างขึ้นตะกุยอากาศอย่างดุร้าย

ไคลเดสเดลยขาขึ้นสู้... แต่กลับไม่อาจทานแรงของเซนทอร์ได้

เช่นเดียวกับคูแรนน์ที่เหวี่ยงดาบเข้าใส่ แต่ก็ถูกกันออกไป

เซนทอร์สีขาวทองปราดร่างผ่านผู้นำพรานไอย์ชวลไป และยกขาหลังขึ้นกระแทกกีบเท้าใส่สีข้างม้าศึกจนเสียหลัก ไคลเดสเดลกางปีกพยุงตัว แต่ก็ล้มคว่ำลงกับพื้นไม่เป็นท่า คูแรนน์ถูกเหวี่ยงตกจากหลังม้าตาม แต่เขาก็แข็งแรงพอที่จะหยัดตัวขึ้นทันทีเพื่อตั้งรับการโจมตีของเซนทอร์

มือใหญ่คว้าคันธนูคู่ใจมาขึ้นสายโดยปราศจากลูกดอก ทันใดนั้นสายลมรอบตัวก็แปรเปลี่ยนทิศทางมารวมกันเป็นอาวุธในมือของผู้นำพรานแห่งไอย์ชวล เช่นเดียวกับเลสธีราห์ที่ง้างธนูของตนด้วยความเร็วไม่แพ้กัน และนั่นก็ทำให้น้ำในแม่น้ำต้องกลับทิศ ผงาดขึ้นสูงในอากาศและพร้อมที่จะโถมเข้าใส่คู่ต่อสู้

"ธนูลมอัลซาโตเกียร์..." เซนทอร์หนุ่มมุ่นคิ้ว "คูแรนน์!"

คนที่ดูเหมือนจะคุ้นเคยกันดีจรดยิ้มเหยียดที่มุมปากตอบ "ไง... เลสธีราห์ ผู้บัญชาการกองเรือเซเลสต์แห่งแอสทารอธ..."

--------------------------------------------------
---------- TO BE CONTINUE ----------


---------- WRITER's TALK ----------

สวัสดีค่ะ ดราม่า(...)
ฮาาา... มีเรื่องดราม่าหลายเรื่องในตอนนี้(?) ทั้งเอเรส แอสทารอธ เลสธีราห์

ขอแจ้งความดราม่าที่สำคัญที่สุดก่อนนะคะ
...ตอนนี้อัพทันที่ลงในอีกเว็บแล้ว ความเร็วในการอัพตอนต่อไปจะช้าลง(พอสมควร) จากที่อัพทุกวัน วันละ 1 ตอน จากนี้จะเป็นอาทิตย์ละ 1 ตอน (หรือ 2 ตอนถ้ามีแรงเขียน) แฮ่ะๆ (แล้วจะต้องมา down speed ช่วงที่เรื่องกำลังดราม่าด้วยนะ << มันใช้แรงเยอะมากอะ ในการเขียนแต่ละฉาก ซับซ้อนเหลือเกิน OTL)

ไม่รู้จะคุยอะไร ฮา... กรี้ดตัวละครได้ไหม 555
อาจจะมีงงบ้าง... ขออธิบายเกี่ยวกับตัวละคร "คูแรนน์" (ที่เรียกอย่างสนิทสนมซะเหลือเกินทั้งเพิ่งมีบทแค่ 2 ฉาก) เน้อะ



ชื่อเต็มๆของนางคือ คูแรนน์ บลังค์ ค่ะ (เป็นตัวละครจากเรื่อง "REVERSED ปลายศรธนูเพลิง" และมีเมียชื่อเรียฟ)
...เป็นญาติลูกพี่ลูกน้องของเลสธีราห์ แต่ตัวคูแรนน์เป็นครึ่งภูตนะคะ เป็นเผ่านกที่สามารถกางปีกออกมาจากหลังได้ (ตระกูลบลังค์นี่เป็นอะไรกัน ชอบแต่งข้ามพันธุ์ 555) คูแรนน์ใช้ธนูลม ในขณะที่เลสธีราห์ใช้ธนูน้ำ... คุณสมบัติของธนูลม (อัลซาโตเกียร์) คือสามารถดึงลมมาขึ้นสายได้ ถือเป็นธนูระดับเมพที่สุดในตระกูลธนูสี่ธาตุ (แต่เลสธีราห์ก็กลัวที่ไหนล่ะ)
ส่วนไคลเดสเดลเป็นชื่อม้าของคูแรนน์... เป็นม้าพันธุ์ Clydesdale (มีปีก) ตัวสูงใหญ่มาก (คูแรนน์เองก็สูงประมาณ 196 เซน)

พูดถึงม้าก็ต้องบอกหน่อยว่าม้าอัลธอร์ของเอเดรียนเป็นพันธุ์ Alter-Real ค่ะ ตัวเล็กกว่า Clydesdale มากกกกก (รู้สึกเหมือนเป็นสารคดีม้า 555 นี่ถึงขนาดมีสอนเรื่องเกือกร้อนเกือกเย็นด้วย << แค่จะให้ซาฮาลกับรีดาห์ได้จับมือกันเมื่อตอนที่แล้ว...)
.
.
เห็นที่นี่ไม่ค่อยมีแนวแฟนตาซี(อันนี้ดูเป็นทั้งสารคดีม้า สารคดีปลาวาฬ สารพัด...)
แอบแป้วๆใจนิดหน่อย OTL แต่เห็นมีกดเป็ดให้ทุกตอนเลยก็... เอาน่ะ!! มีคนอ่าน!!! สู้ค่าา...

ขอบคุณที่ติดตามมาจนถึงตอนนี้นะคะ ,;, 3 ,;, ยาวมากเลย
เพิ่งได้กันไปครั้งเดียวแบบเมาๆด้วย //หึ่ยยย

ปล. เพจ >> https://www.facebook.com/khaosapNOVEL/ || ทวิตเตอร์ >> https://twitter.com/KhaosapWriting
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 04-11-2016 19:41:19 โดย khaosap »

ออฟไลน์ neverland

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 653
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-0
ตามอ่านอยู่ค่ะ ขอบคุณมากที่เอามาลงเล้าเป็ดเพราะแฟนตาซีที่เขียนได้สนุกค่อนข้างหายากสำหรับเรา
ตอนนี้เปิดเผยเรื่องหลายๆอย่าง เลสกลายร่างสู้กับคนในตระกูล ทำไมรู้สึกว่าเท่กว่าพระเอกจมเลย ฮ่าาา
จะอัพแบบอาทิตย์ละครั้งสองครั้งเราไม่มีปัญหานะคะ(นอกจากจะแอบงอแงคิดถึงบ้างเพราะชอบเรื่องนี้มาก)แต่ว่าถ้าจะหายไปนานๆมาแจ้งข่าวบ้างนะคะ  :mew1:

ออฟไลน์ kokoro

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1089
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +138/-2
สนุกดีค่ะ แฟนตาซีมาก
ลุ้นบทสรุปหลังเอเดรียนรู้ความจริง ที่เลสยอมคืนร่างม้าเพื่อสู้ในตอนนี้ค่ะ
รอติดตามตอนต่อไปนะคะ
เนื้อหาค่อนข้างเยอะ เดี๋ยวเราคงต้องวนอ่านอีกสัก1-2รอบ 555

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
รอตอนต่อไปค่ะ

ออฟไลน์ khaosap

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 165
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
    • Khaosap Writing
Re: ASTAROTH พันธนาการดวงดาว ตอนที่ 14.1
«ตอบ #41 เมื่อ05-11-2016 20:36:58 »

ตอนที่ 14.1

สายน้ำเอื่อยรินในแม่น้ำปั่นป่วนและเปลี่ยนวิถี มันบิดมวนเป็นเกลียวขึ้นเหนือฟ้า ยิ่งมือเรียวตึงสายธนูมากยิ่งเท่าไหร่ มวลน้ำก็ยิ่งผงาดง้ำขึ้นจนบังเกือบแสงอาทิตย์ เอเดรียนมองดูสิ่งที่เกิดขึ้นด้วยหัวใจที่แทบจะหยุดเต้น เขามองเห็นฝูงปลาที่หมุนวนเวียนว่ายอยู่ในคลื่นน้ำตรงหน้า และมองกลับไปยังร่างโปร่งสูงตระหง่านที่ยืนขวางอยู่ระหว่างเขากับภูตจากไอย์ชวล คูแรนน์เองก็มีสายลมอยู่เบื้องหลัง แต่ไหนเลยจะน่าเกรงขามเท่ากับผู้ที่สามารถยกแม่น้ำขึ้นได้

...นี่คือพลังของแอควาเรียร์ ธนูแหวกสมุทรในตำนาน

และคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขาก็คือ... ผู้บัญชาการกองเรือเซเลสต์แห่งแอสทารอธ

แม่ทัพหนุ่มรู้สึกเหมือนถูกตนฟ้าผ่า ความรู้สึกมึนงงตื้อชาแล่นไปทั่วร่าง ความสับสน และความตกตะลึงทำให้ร่างสูงขยับตัวไม่ได้ ยิ่งมองเห็นร่างปราดเปรียวของเซนทอร์หนุ่มตรงหน้า เอเดรียนก็ยิ่งคิดอะไรไม่ออก เลสธีราห์ที่เขาชักชวนมาเป็นคนสนิท... คือเซนทอร์ที่แฝงตัวเข้ามาอย่างนั้นหรือ เจ้าเด็กหนีออกจากบ้านที่เขาเรียกนี้ คือผู้บัญชาการกองเรือรบเซเลสต์เสียเองด้วย

ที่ผ่านมา คนที่อยู่ข้างกายเขาคือคนที่อาจจะเป็นศัตรูของเขาหรือไร...

"เลส..." ไม่มีเสียงใดหลุดรอดออกมาจากริมฝีปากของแม่ทัพหนุ่ม สิ่งที่เขาปรารถนามากที่สุดในตอนนี้คือการตื่นจากความฝันนี่เสียที เขาจะต้องมองภาพนี้ไปอีกนานเท่าไหร่ กว่าใครสักคนจะเข้ามาเขย่าตัวเขาและปลุกให้ตื่นนอน

บอกเขาทีว่านี่ไม่ใช่เรื่องจริง...

...

ดวงตาสีฟ้ายังคงมองสบกับนัยน์ตาสีเข้มของลูกพี่ลูกน้องตัวเอง โดยปราศจากความคิดที่จะลดมือลง เลสธีราห์ยิ่งง้างสายธนูจนตึงทำให้เหล่าภูตบนหลังม้าเริ่มล่าถอยอย่างไม่แน่ใจ และท่ามกลางความเงียบงันสักครู่ใหญ่นั่นเองคูแรนน์ก็เป็นฝ่ายออกปากก่อน

"คิดว่าน้ำจะไวกว่าลมหรือ เลสธีราห์"

ดวงตาสีฟ้าสดฉายแววดุดันตอบ "เราไม่ยิงกันเองหรอก คูแรนน์" โดยไม่ลดมือลง เลสธีราห์กล่าวออกมาเช่นนั้น และนั่นก็เป็นสิ่งที่คูแรนน์ยอมรับ พวกเขามีสายเลือดตระกูลบลังค์ อันเป็นตระกูลนักเวทศักดิ์สิทธิ์ของชาวเอลฟ์ โลหิตทุกหยดล้วนแล้วแต่มีเวทมนตร์ ดังนั้นพวกเขาจะไม่มีวันเข่นฆ่ากันเอง ไม่ว่าจะเกลียดชังกันมากแค่ไหนก็ตาม

...คนตระกูลบลังค์จะไม่มีวันลบหลู่คนสายเลือดเดียวกัน

"เด็กเมื่อวานซืน" ภูตหนุ่มสบถสั้น และเป็นฝ่ายลดคันศรในมือลงก่อน ปล่อยให้สายลมที่วนเวียนอยู่รอบตัวค่อยๆจางหายไป คืนสภาพอากาศยามเช้าให้ทุ่งหญ้ากว้างดังเดิม ไคลเดสเดลที่ลุกขึ้นตั้งหลักได้รีบเดินเข้ามาหาเจ้านายพร้อมกับค้อมหัวลงต่ำ ดวงตากลมโตของมันช้อนมองเซนทอร์หนุ่มที่ยังไม่วางมือเป็นเชิงอ้อนวอน

หากม้ามีปีกเป็นม้าชั้นสูงแล้ว... เซนทอร์ก็คือผู้ที่อยู่ในฐานันดรเกือบสูงสุดของเผ่าอาชา

ดังนั้นจึงไม่มีม้าตัวหน้าหาญกล้าต่อกรกับอมนุษย์เผ่านี้

เลสธีราห์รู้สึกตนใจเย็นลงบ้างแล้วหลังจากเห็นญาติผู้พี่เป็นฝ่ายเลิกราก่อน ซึ่งนั่นไม่ใช่นิสัยปกติของคูแรนน์ บลังค์... "เพิ่งกลับเข้าตระกูลได้อย่างนั้นรึ จึงได้ลบล้างเวทมนตร์ของอัลซาโตเกียร์ได้" ร่างโปร่งคลายมือออกช้าๆ ปล่อยให้คลื่นน้ำที่ม้วนเกลียวอยู่ด้านหลังไหลกลับลงไปตามทิศทางที่มันเป็นอยู่ "อัลซาโตเกียร์ที่เคยเป็นของท่านหญิงโซเฟียแห่งทัพเวหาไอย์ชวล"

"ไม่ใช่กงการอะไรของเจ้า..."

"เจ้าแอบอ้างสิทธิ์อีกทั้งรุกล้ำเข้ามาในเขตของแอสทารอธ!" เซนทอร์หนุ่มแยกเขี้ยว "แอสทารอธไม่เคยอนุญาตให้ผู้ใดเดินทางมาเจรจาค้าขายกับชาวเอลฟ์โดยตรง หากได้รับอนุญาต... เจ้าควรจะมากับพวกขุนนางจากเลาน์เรนไม่ใช่ผู้ติดตามของตนเองแบบนี้!!" เมื่อม่านน้ำตรงหน้าหายไป พรานอาเดรียที่อยู่อีกฝั่งแม่น้ำจึงได้เห็นว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง และแน่นอนว่าทุกคนย่อมตกใจกับร่างกายสูงโปร่งของเซนทอร์สีขาวทอง

ดวงตาเรียวยาวของคูแรนน์หรี่ลงมองคู่สนทนา "แล้วคนที่อยู่ข้างหลังเจ้านี่ มันมีค่าพอที่เจ้าจะต้องกระโดดออกมาปกป้องมันหรือไร" หากเป็นเรื่องแทงใจดำใครแล้ว เลสธีราห์เชื่อว่าคูแรนน์คงไม่เป็นรอง เพราะเมื่อได้ยินคำนั้น มือเรียวก็กำคันธนูแน่นอย่างหาคำตอบไม่ได้ "มันมีค่าพอที่เจ้าจะขึ้นศรแอควาเรียร์ใส่ข้ารึ เลสธีราห์!"

คูแรนน์เป็นญาติฝ่ายพี่... และมีอายุมากกว่าเลสธีราห์นับร้อยปี การทำเช่นนี้นับว่าเหิมเกริมนัก

แต่คำว่า 'ใช่' ก็ไม่อาจหลุดออกมาจากปากของเซนทอร์หนุ่มได้อยู่ดี

เขาเองก็ตอบไม่ได้ว่าใช่เอเดรียนหรือเปล่าที่ทำให้เขายอมสละความลับที่สำคัญที่สุดของตนและพุ่งออกมาเอาตัวขวางไว้เช่นนี้ แต่ก็เพราะเขารู้ว่าคูแรนน์จะไม่ทำอะไรตนแน่จึงได้ออกมาต่อกรด้วยตนเอง ไม่อย่างนั้น ความชำนาญของอีกฝ่ายก็อาจฆ่าเอเดรียนได้ในการลงดาบเพียงครั้งเดียว

เพียงแค่คิดว่าเอเดรียนอาจจะตาย...

เลสธีราห์ก็อยู่เฉยไม่ได้อีกต่อไป เขาแทบไม่หยุดคิดเลยว่าความลับที่ตนรักษาอยู่เป็นเรื่องสำคัญสำหรับเซนทอร์มากแค่ไหน ไม่มีมนุษย์คนใดรู้ว่าพวกครึ่งม้าสามารถแปลงเป็นคนได้ และนั่นก็อำนวยความสะดวกให้สายลับของแอสทารอธหลายคนแฝงตัวเข้าไปอยู่ในอาณาจักรอื่นได้ง่ายยิ่งขึ้น

เลสธีราห์ไม่ได้หยุดคิดเลยว่าสิ่งที่เขากำลังจะทำคือการสร้างกำแพงอุปสรรคให้กับแอสทารอธ

เพราะในใจของเขา มีเพียงความคิดที่จะปกป้องเอเดรียน... เท่านั้น

คูแรนน์ยอมล่าถอดด้วยเห็นว่าเซนทอร์ตรงหน้าก็คงไม่ลดราวาศอก ร่างสูงปีนขึ้นหลังของไคลเดสเดล และดึงม้าถอยห่างออกไปด้วยอับจนคำพูด พวกไอย์ชวลบุกรุกทุ่งหญ้าแห่งนี้จริง แต่ก็ไม่นึกฝันเลยว่าเจ้าถิ่นตัวจริงจะมาพบเข้าแบบนี้ "ถ้าเจ้าเลือกข้างแล้ว ก็ยืนหยัดให้มั่นเสียล่ะ" เสียงทุ้มบอก ก่อนที่ผู้ควบขี่จะดึงม้าหันกลับ

"เพราะพวกมนุษย์... มันเปลี่ยนข้างได้ตลอดเวลา"

พวกภูตล่าถอยออกไป... แต่ยังไม่ทันที่เลสธีราห์จะถอนใจให้โล่งอก เขาก็ได้ยินเสียงเอเดรียนขยับตัว ร่างโปร่งหันกลับไปมองฝ่ายนั้น และพบว่าแม่ทัพใหญ่พยายามจะถอยห่างจากตนด้วยแววตาที่อ่านความรู้สึกไม่ได้

...อย่ามองข้าแบบนั้นได้ไหม เอเดรียน

เซนทอร์หนุ่มรีบคืนร่างกลับเป็นมนุษย์ดังเดิม เพื่อที่จะได้เงยมองคู่สนทนาอย่างที่ตนเคยทำ ไม่ใช่ก้มลงพิจารณาด้วยส่วนสูงของเซนทอร์ แต่เอเดรียนกลับยิ่งขมวดคิ้วอย่างไม่เข้าใจ และโดยไม่พูดอะไรออกมาสักคำ "เอเดรียน..." เสียงที่เปล่งออกมานั้นแผ่วเบาจนแทบจะมีเพียงลมหายใจ ความหวั่นเกรงที่ปรากฎอยู่ในแววตาสีเข้มตรงหน้าเขาคืออะไรอย่างนั้นหรือ "ข้า..." เลสธีราห์ไม่มีอะไรจะพูด เพราะเขาไม่รู้ว่าอีกฝ่ายคิดอะไรอยู่ เขาควรจะแก้ตัว ควรจะอธิบาย หรือควรจะถามถึงอาการบาดเจ็บของอีกฝ่าย

เขายังมีสิทธิ์เป็นห่วงเอเดรียนอยู่อีกไหม...ในเมื่อทั้งหมดที่ผ่านมาก็คือการหลอกลวงอีกฝ่ายทั้งนั้น

...เขามีสิทธิ์ไถ่ถามอยู่หรือเปล่าว่าอีกฝ่ายได้รับบาดเจ็บตรงไหนบ้าง

"เจ้าเป็นเซนทอร์จริงหรือ" แม่ทัพใหญ่เป็นฝ่ายพูดก่อนด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา และเมื่อคู่สนทนาพยักหน้ารับ แม่ทัพหนุ่มก็กลั้นใจถามต่อ "และเป็นผู้บัญชาการเซเลสต์จริงใช่ไหม" เลสธีราห์หลับตาลงและพยักหน้าอีกครั้งพร้อมกับความรู้สึกเจ็บแปลบที่แล่นเข้ามาในอก

เอเดรียนมีท่าทางผิดหวัง... ผิดหวังที่มอบหมายความไว้ใจให้เขา และเชื่อในสิ่งที่เขาพูด

เจ้าบอกข้าได้ทุกเรื่องจริงๆนะ... เลสธีราห์

คำพูดของแม่ทัพใหญ่ยังดังก้องอยู่ในหัว เช่นเดียวกับความรู้สึกอบอุ่นอ่อนโยนหลังจากอีกฝ่ายแนบริมฝีปากจูบหน้าผากมน ความหวังดีของอีกฝ่ายที่ส่งผ่านมายังตัวเขายิ่งทำให้รู้สึกผิดมากขึ้นไปอีก ราวกับว่าตนเป็นผู้บดขยี้ความรู้สึกดีๆเหล่านั้นให้แหลกคามือตัวเอง

ยังมีอะไรที่ข้าให้เจ้าไม่ได้อีกหรือ...

"เอเดรียน..." นัยน์ตาสีฟ้าช้อนขึ้นมองคนตรงหน้า เขาพยายามจะจับท่อนแขนกำยำของอีกฝ่ายเป็นการเหนี่ยวรั้ง แต่เอเดรียนก็เบี่ยงตัวหลบอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน "ข้า..." เขาแก้ตัวไม่ออก เขาพูดไม่ได้ เลสธีราห์ทำได้เพียงอ้าปากอยู่อย่างนั้นแต่กลับไม่มีคำพูดใดหลุดรอดออกมา เขาอยากให้เอเดรียนเข้าใจ และไม่ต้องการให้อีกฝ่ายออกปากไล่ให้เขาไปไหน แม้ว่าจะไม่สามารถทำภารกิจนี้ได้อีกแล้ว แต่เลสธีราห์ก็ยังอยากอธิบายเพื่อไม่ให้คู่สนทนาผลักไสไล่ส่งเขากลับไปแอสทารอธ

แต่คงไม่มีคำใดที่น่าฟังหลุดออกจากปากของเขาเลย

...จุดประสงค์ของเลสธีราห์คือการสืบหาความลับของอาเดรีย โดยใช้ความเชื่อใจที่เอเดรียนมีให้

ที่เขาเฝ้าถามหาความไว้ใจจากฝ่ายนั้น ก็เพื่อจะได้ถามความลับของอาเดรีย

นี่คือสิ่งที่เขาควรจะพูดอย่างนั้นหรือ เขาควรจะขอให้เอเดรียนอภัยให้กับเหตุผลที่แสนจะเห็นแก่ตัวนั่นหรือไร ท้ายที่สุดแล้ว เขาก็เข้าหาอีกฝ่ายเพื่อหาประโยชน์อยู่ดี ดังนั้นการอธิบายสิ่งใดก็ไม่อาจช่วยทำให้ความรู้สึกของอีกฝ่ายดีขึ้นได้ เพราะท้ายที่สุดแล้ว เขาก็หลอกลวงเอเดรียนอยู่ดี

หัวใจของเลสธีราห์บัดนี้รู้สึกเจ็บแปลบราวกับถูกบีบรัดด้วยมือที่มองไม่เห็น สายตาของเอเดรียนที่เคยมองเขาด้วยความเอ็นดู และอ่อนโยน บัดนี้มันกลับกลายเป็นความคลางแคลง พรั่งพรึง และไม่ไว้วางใจ ระยะห่างระหว่างกายที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อยเมื่อแม่ทัพใหญ่เลือกจะถอยเท้าหนีจากคนตรงหน้า ...มันกลับไม่กว้างเท่าระยะห่างทางใจที่ทำให้พวกเขาไม่สามารถเปิดปากพูดอะไรกันได้อีก

"เอเดรียน..."

ร่างโปร่งเรียกซ้ำ แต่ก็ไม่สามารถควบคุมตัวเองให้พูดเรื่องใดเรื่องหนึ่งได้อย่างแน่วแน่ ในใจของเขาตอนนี้สับสน ระส่ำระส่าย ไม่สามารถจับต้นชนปลายอะไรได้อีก ทั้งที่อยากจะถามเหลือเกินว่าอีกฝ่ายได้รับบาดเจ็บบ้างหรือไม่ แต่นั่นก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญสักเท่าไหร่เทียบกับเรื่องที่เขาจะต้องอธิบายว่าเหตุใดจึงปกปิดตัวตนเอาไว้ "ข้า..." คิ้วเรียวขมวดมุ่นก่อนที่เปลือกตาบางจะปิดลงอย่างอับจน

"ข้าขอโทษ..."

...การหันหลังให้กับใครสักคนมันเจ็บปวดขนาดนี้เชียวหรือ

...ควับ!

ความรู้สึกอึดอัดมลายหายไปในทันทีเมื่อตาข่ายเชือกขนาดใหญ่ถูกโยนมาครอบร่างที่ยืนนิ่งไม่มีการเคลื่อนไหว เลสธีราห์ยกมือขึ้นจับสิ่งแปลกปลอมตรงหน้าเพื่อสลัดมันออก กลุ่มพรานที่เมื่อครู่ยังอยู่อีกฟากแม่น้ำบัดนี้ข้ามกลับมาเกือบทั้งหมด และโยนตาข่ายดักสัตว์ใส่เซนทอร์ในร่างมนุษย์หมายจะจับครึ่งม้าที่ยังมีชีวิตอยู่นี้กลับไป

"ดึงตาข่ายไว้! หยิบเชือกมา! อ้อมไปอีกข้าง!!"

ร่างโปร่งเบิกตาความตระหนก เมื่อสถานการ์ดูจะเลวร้าย เขาจึงคืนร่างกลับเป็นครึ่งอาชา เรี่ยวแรงมหาศาลสะบัดตาข่ายหลุดออก และเริ่มออกวิ่งตรงไปยังป่า แต่ไหนเลยจะทันบ่วงเชือกที่ถูกโยนเข้ามาคล้องร่างของไว้ "อั่ก!" เอวคอดถูกพันธนาการไว้ด้วยเรี่ยวแรงของคนสองคนและเชือกสองเส้น จนร่างโปร่งเสียหลักเซลงล้มไม่เป็นท่า

พลั่ก...!

ในความคิดของเลสธีราห์แล้ว... ร่างเซนทอร์ล้มเจ็บยิ่งกว่าการตกม้า และนอกจากสีข้างจะกระแทกกับพื้นอย่างแรงแล้ว ข้อเท้าทั้งสี่ข้างก็ถูกพันธนาการด้วยเชือกอย่างรวดเร็ว "โอ้ย!" ท่อนขากำยำขยับดิ้นอยู่สักพักอย่างหมดหนทาง แต่ก็ถูกเชือกตรึงเอาไว้จนแทบขยับไม่ได้ การจับม้าป่าต้องทำให้ม้ายอมสยบอย่างไร พวกพรานก็ทำเช่นนั้นกับเซนทอร์ด้วย และการดึงให้ขาพันกันจนลุกไม่ขึ้นก็ทำให้เลสธีราห์รู้สึกเจ็บจนไม่อาจลุกขึ้นสู้

...และนั่นก็ทำให้คำพูดของคูแรนน์เมื่อครู่กลับเข้ามาในหัว

ถ้าเจ้าเลือกข้างแล้ว ก็ยืนหยัดให้มั่นเสียล่ะ เพราะพวกมนุษย์... มันเปลี่ยนข้างได้ตลอดเวลา

--------------------------------------------------

ผู้นำตระกูลฟลินทรัสต์นิ่งไปพักใหญ่หลังจากฟังข้อเสนอของผู้นำแห่งอาเดรีย เพราะข้อเสนอนั้นดูจะเป็นภาระที่ต้องรับผิดชอบเสียมากกว่า แม้ว่าสิ่งตอบแทนมันจะเป็นสิ่งที่เขาปรารถนามาตลอดก็ตาม "ในที่สุด... แม้แต่ผู้นำสูงสุดของอาณาจักรก็ต้องมาพึ่งโจรสลัดชั้นต่ำ" เอเรสแค่นหัวเราะ "แต่แม้ว่าสิ่งตอบแทนจะน่าสนใจสักเพียงใด แต่ท่านไม่คิดว่านั่นเป็นการโยนภาระให้ผู้อื่นหรือ"

"ท่านเป็นบุตรของผู้นำคนก่อนก็จริงแต่ท่านก็ไม่ได้มีความเป็นผู้นำเอาเสียเลยนะ"

เมื่อถูกแทงใจดำ ท่านชายซินญอร์ก็ได้แต่มุ่นคิ้ว แต่เพราะรู้ตัวว่าเป็นรองอีกฝ่ายจึงได้ยอมสงบนิ่ง "แม้ว่าจะเป็นการผลักภาระอย่างขลาดเขลาเบาปัญญา แต่อย่างน้อยก็ยังฉลาดพอที่จะรู้ว่าอำนาจการปกครองควรตกอยู่ในมือใครสินะ" ผู้นำโจรสลัดยิ้มเยาะอีกครั้งก่อนจะลุกขึ้นจากที่นั่งในห้องรับแขกของในคฤหาสน์ฟลินทรัสต์ และเดินไปยังหน้าต่างที่สามารถมองเห็นท่าเรือทิศใต้ได้ทั้งหมด และมันคือย่านที่เต็มไปด้วยอิทธิพลของตระกูลฟลินทรัสต์ซึ่งในตอนนี้ปกครองโดยชายที่ชื่อเอเรส

"แม่ทัพของท่านปกป้องความผิดพลาดของท่านด้วยการเสี่ยงต่อรองในสิ่งที่ไม่น่าเป็นไปได้มากที่สุด แล้วก็มีชัยเสียด้วย" เอเรสหันกลับมามองผู้นำอาณาจักรอีกครั้งก่อนจะถามซ้ำ "แล้วท่านแน่ใจหรือว่าต้องการทำร้ายเขาแบบนี้น่ะ"

"จิตใจของเอเดรียนเป็นอย่างไร เจ้าเองก็น่าจะรู้ดี แม้ว่าเขาจะมีความภักดีและเสียสละแค่ไหน แต่ความอ่อนแอนั้นก็เป็นอุปสรรค" ซินญอร์เหลือบตาขึ้นมองคู่สนทนา "และเจ้าเป็นคนเดียวที่ช่วยเหลือข้าได้ ทั้งความสามารถของเจ้า ฐานะของเจ้า และความสัมพันธ์ของเจ้ากับเขา"

"จึงเสนอให้ข้าเป็นแม่ทัพแทนเขา..." เอเรสกลอกตา "ถ้าเอเดรียนโมโหฆ่าข้าทิ้งขึ้นมาล่ะก็นะ"

"เอเดรียนไม่ฆ่าเจ้าหรอก"

เอเรสหันมามองคู่สนทนาและยกมือที่สั่นเทาด้วยโทสะขึ้นชี้หน้าอย่างไม่รักษากิริยา "อย่า... ทำเป็นรู้ดีเรื่องของข้า... เกือบสามสิบปีมานี้... ข้ารู้ดีว่าจิตใจของเอเดรียนทำด้วยอะไร..." ร่างสูงสูดหายใจเข้าลึกๆเพื่อควบคุมอารมณ์ของตนเอง "จะว่าท่านขลาดเขลาก็คงจะไม่เหมาะ เช่นนั้นข้าขอถอนคำพูดนั้น... ท่านมันช่างแยบยลและร้ายกาจ"

"เอเรส ฟลินทรัสต์... นี่เป็นสิ่งแรกและสิ่งสุดท้ายที่ข้าจะขอจากเจ้า"

"..."

ผู้นำอาณาจักรลุกขึ้นยื่น แล้วจึงก้มหัวให้กับคนตรงหน้าอย่างที่ผู้นำอาณาจักรไม่เคยปฏิบัติกับใครมาก่อน "รับตำแหน่งแม่ทัพใหญ่ของอาณาจักรอาเดรีย" ซินญอร์หลับตาลง "แลกกับการลบล้างความผิดและโทษทัณฑ์ทั้งหมดของกองเรือโจรสลัดแห่งทะเลเทเทส"

--------------------------------------------------

ความกดดันทั้งหมดของธีสธรัลพุ่งเป้าไปที่ราชินีองค์ใหม่

เนื่องจากพวกเขาค้าขายกับอาเดรียมาเป็นเวลานาน และอาจเรียกได้ว่าอาเดรียเป็นประตูเพียงบานเดียวที่เคยเปิดรับพวกเขาให้เดินทางกลับแผ่นดินใหญ่ การปิดท่าเรือจึงส่งผลกระทบต่อวิถีชีวิตของผู้คนทั้งหมดในระยะยาว และต่อให้ทางการจะหันไปพึ่งพาแผ่นดินตะวันออกด้วยการส่งเรือออกไปยังติดต่อค้าขายกับชาวเอลฟ์เป็นการชั่วคราว แต่นั่นก็ไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้

แผ่นดินตะวันออกของชาวเอลฟ์ถูกเรียกว่าเป็นดินแดนที่มีแต่ความเจริญ แต่ชาวเอลฟ์ส่วนใหญ่ก็ยังประสบปัญหาเกี่ยวกับเสบียงอาหาร แผ่นดินตะวันออกมีความอุดมสมบูรณ์ไม่ได้สักครึ่งหนึ่งของมหาทวีปตะวันตก ดังนั้นชาวเอลฟ์ต่างหากที่เป็นฝ่ายต้องเดินทางกลับมาพึ่งพายังแผ่นดินใหญ่

อาเดรียยังผูกมิตรอยู่กับชาวเอลฟ์ แต่กับมนุษย์จากธีสธรัล ขอเพียงมีเรือสักลำแล่นเข้าใกล้ ปืนใหญ่ที่อยู่บนปราการทั้งสามชั้นก็เตรียมพร้อมที่จะจมเรือลำนั้นลงทะเล ไม่ว่านั่นจะเป็นเรือพาณิชย์หรือเรือรบก็ตาม แต่อย่างน้อยก็มีเรือของธีสธรัลลำหนึ่งที่อาเดรียยอมให้แล่นผ่านเข้ามาในน่านน้ำของตนได้

...เรือรบหลวงคาร์เธียร์

เพราะนั่นหมายความว่าราชินีแห่งธีสธรัลเดินทางมายังอาเดรียเพื่อขอเจรจาด้วยตนเองแล้ว

"พวกเอลฟ์อัสคาห์เองก็ไม่ได้มีเสบียงอาหารเหลือมากมายพอที่จะขายให้เรา" ราชินีสาวถอนใจเมื่อมองสารตอบกลับจากแผ่นดินตะวันออกในมือของตน "ก็คงจะเหลือทางเดียวที่พอจะเยียวยาความเดือดร้อนให้กับชาวเมืองได้" เลขาคนสนิทของพระนางยืนอยู่ใกล้ๆ ราชินีแห่งธีสธรัลกำลังหารืออยู่กับกัปตันเรือรบหลวงคาร์เธียร์ และแม่ทัพเรือแห่งธีสธรัล

"อาเดรียปิดการเจรจาทุกช่องทาง และไม่ตอบสารยอมความใดๆทั้งสิ้นของธีสธรัล อย่างกับว่าต้องการให้พระนางเดินทางไปเจรจาด้วยตนเอง นี่เป็นการดูหมิ่นเกียรติของราชินีแห่งธีสธรัลอย่างที่สุด" บาร์เวน แม่ทัพใหญ่ของกองเรือรบเวเรนเซียสบถบ่นและพยายามไม่แสดงความหงุดหงิดของตนออกมาต่อหน้าผู้นำอาณาจักร "พระนางเองก็ไม่น่ายอมพวกมันโดยเร็วเพียงนี้"

"เราเป็นฝ่ายเสียเปรียบ บาร์เวน... ยิ่งรั้งรอ ประชาชนของเราเองที่จะเป็นฝ่ายเดือดร้อน"

ราชินีไวลด์ตอบอย่างใจเย็นและมองออกไปทางหน้าต่างนอกลำเรือซึ่งเห็นเงารางๆของแผ่นดินมหาทวีป "และการรักษาเกียรติแห่งตนเอาไว้จะเป็นการดีได้อย่างไร หากชาวเมืองยังเดือดร้อนอยู่เช่นนี้" ธีสธรัลเป็นเมืองบนเกาะ แน่นอนว่าพวกเขาสามารถเพาะปลูกพืชพันธุ์และทำการปศุสัตว์ได้บ้าง แต่นั่นก็ไม่เพียงพอกับความต้องการของประชาชนที่มากขึ้นทุกวัน อีกทั้งพวกเขายังต้องคอยหวาดระแวงสัตว์ป่าโบราณหลายชนิดที่ชอบแวะเวียนเข้ามาในตัวเมืองอีกด้วย การเลี้ยงสัตว์ก็เป็นเหตุผลหนึ่งที่ดึงดูดนักล่าเข้ามา และแม้แต่การเพาะปลูกก็ไม่ปลอดภัยเนื่องจากฝูงสัตว์จะเข้ามาย่ำยี ดังนั้นธีสธรัลจึงมีผลผลิตทางการเกษตรต่อปีน้อยมาก พวกเขาจำต้องพึ่งพาเมืองอื่น และเมืองอื่นที่ว่านั่นก็คืออาเดรีย

น่าแปลกใจที่อาเดรียคิดทำการใหญ่เช่นนี้โดยไม่มีแผนการที่รัดกุมพอ จริงอยู่ว่าเมื่อปิดท่าเรือแล้ว ธีสธรัลจะตกเป็นรองโดยสมบูรณ์ แต่แทนที่อาเดรียจะเตรียมข้อเสนอมาใช้เจรจาเพื่อหาประโยชน์ให้ตนเองอย่างที่ควรจะทำ พวกเขากลับระแวงว่าธีสธรัลจะไปติดต่อกับแอสทารอธแทนและพุ่งเป้าไปที่การผูกสัมพันธ์กับเมืองเซนทอร์

...ไม่รู้ว่าท่านชายซินญอร์คิดการใดอยู่

จริงอยู่ว่าแอสทารอธมีกองเรือรบที่ถูกขนานนามว่าเป็นจ้าวมหาสมุทร แต่ปัญหาที่เกิดขึ้นนี้มีความจำเป็นแค่ไหนที่จะต้องเปิดศึกสงครามกัน ที่ผ่านมาพวกเขายังรบกันไม่พออีกหรือ "บาร์เวน... ท่านมีความเห็นอย่างไรเรื่องที่สองพี่น้องผู้นำคัสนาห์-อาเดรียไม่ยอมติดต่อเราก่อน" ด้วยความที่เป็นราชินีที่ยังด้อยประสบการณ์ ผู้นำแห่งธีสธรัลจึงเห็นควรว่าจะต้องขอคำแนะนำผู้มีความเชี่ยวชาญมากกว่า

"โดยมากผู้คนในเมืองท่านั่นก็เป็นพ่อค้ากันทั้งนั้น ข้าได้ยินมาว่าพวกเอลฟ์อัสคาห์ยังติดต่อกับอาเดรียอยู่ การตัดการซื้อขายจากเราก็เสมือนหักเสาเรือออกไปสักต้นจากสามต้น แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้เรืออาเดรียต้องจมเสียทีเดียว"

การเปรียบเทียบในแบบนักเดินเรือทำให้คนฟังต้องมุ่นคิ้วเล็กน้อยหลังจากพยายามนึกภาพตาม

เรือเดินสมุทรลำหนึ่งมักมีเสาเรือใหญ่สักสามหรือสี่ต้น ซึ่งหากล้มไปสักต้นก็ไม่ได้ทำให้เรือลำนั้นต้องจมทะเล เพียงแต่ชะลอความเร็วเท่านั้น "พวกเขาอาจต้องการแสดงอำนาจให้เราได้รู้ว่า... การตัดขาดจากเราไม่ทำให้พวกเขาเดือดร้อน แต่พวกเราต่างหากที่ตัดขาดจากแผ่นดินใหญ่ไม่ได้เลย"

"นี่เป็นความคิดที่จะเอาชนะของเด็กนัก" ผู้นำหญิงมุ่นคิ้วบ่น "และซินญอร่าคิดจะเอาชนะธีสธรัลด้วยการปิดท่าเรือน่ะรึ พวกเขาดูถูกกองทัพของเรามากไปหรือเปล่า"

เลขาคนสนิทค้อมหัวลงน้อยๆเพื่อขออนุญาตออกความเห็น "ข้าได้ยินมาว่าอาเดรียมีกองทัพ"

"ใต้คำสั่งห้ามจัดตั้งกองทัพของธีสธรัลน่ะหรือ อาเดรียจะมีกองทัพได้!"

"แม่ทัพเอเดรียน... หากข้าจำไม่ผิด" บาร์เวนนึกขึ้นได้บ้าง "เขาเคยถูกจับได้ในข้อหาซ่องสุมกำลังพลเพื่อคิดการกบฎต่อธีสธรัล ถูกนำมาถึงลานประหารของเราเพื่อให้สู้กับพวกสัตว์ป่า แต่วันนั้นกลับมีเรื่องวุ่นวายเกิดขึ้นจนเขาหายตัวไป บ้างก็ว่าตายในลานประหารนั่นไปแล้ว บ้างก็ว่าหนีกลับอาเดรียไปแล้ว"

เลขาคนสนิทพยักหน้าเห็นด้วยกับแม่ทัพเรือ "แต่ตอนนี้เขาว่าผู้ชายคนนั้นยังมีชีวิตอยู่ขอรับ และยังคงเป็นผู้นำทางการทหารของอาเดรียอยู่ เรียกได้ว่าเป็นคนสนิทของผู้นำอาณาจักรอาเดรียเลยก็ว่าได้" ฟลินกอร์นกล่าวเสริม "เอเดรียนมีชื่อเสียงในเรื่องของความซื่อสัตย์และรักบ้านเมือง เขาจึงอาจเป็น... เขี้ยวเล็บที่มีพลังมากของอาเดรีย"

ผู้นำหญิงมุ่นคิ้วเล็กน้อยเมื่อได้ยินดังนั้น "เช่นนั้นก็ซื้อตัวเขามาให้ได้!"

--------------------------------------------------

ออฟไลน์ khaosap

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 165
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
    • Khaosap Writing
Re: ASTAROTH พันธนาการดวงดาว ตอนที่ 14.2
«ตอบ #42 เมื่อ05-11-2016 20:57:49 »

แม่ทัพใหญ่ยังเหม่อมองท้องฟ้าอยู่อย่างนั้นแม้ว่าเหตุการณ์รอบตัวจะสงบลงแล้ว นักล่าจากไอย์ชวลล่าถอยกลับไปเช่นเดียวกับกลุ่มพรานจากอาเดรียที่ถอยร่นกลับไปยังเมืองหลวงพร้อมกับเซนทอร์ที่จับได้ แต่เอเดรียนดูเหมือนจะไม่ได้รับรู้สิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้าเลย

สายตาของเขาว่างเปล่า และจ้องมองท้องฟ้าที่ว่างเปล่าด้วยความรู้สึกเคว้างคว้าง

"...เอเดรียน" จาเร็ตต์ร้องเรียก ค่อยๆแตะมือที่ต้นแขนของผู้นำทัพ "พวกพรานจับเลสธีราห์ไป" แม้จาเร็ตต์เองจะตกใจและตกตะลึงไม่แพ้กัน แต่เขาก็ไม่อาจเข้าใจความรู้สึกของอีกฝ่ายได้เลยว่าตอนนี้แม่ทัพใหญ่คิดอะไรอยู่ หรือเจ็บปวดแค่ไหนกับความจริงที่เพิ่งรับรู้ สำหรับจาเร็ตต์แล้ว... เลสธีราห์เป็นเพื่อนร่วมงานคนใหม่ที่ดูจะมีความลับไปเสียทุกเรื่อง แต่ถึงอย่างนั้น ฝ่ายนั้นก็ดูจะเป็นห่วงเป็นใยและถูกคอกับเอเดรียน ดังนั้นเขาจึงพอจะวางใจไปได้บ้าง

แต่สำหรับเอเดรียนแล้ว... เลสธีราห์เป็นมากกว่าเพื่อนร่วมงาน

"..." ร่างสูงถอนใจออกมาในที่สุดหลังจากเงียบไปพักใหญ่ "ข้ารู้ จาเร็ตต์"

โจฮาลล์เดินมาหยุดข้างน้องชายและมองอีกฝ่ายด้วยความไม่เข้าใจว่าเหตุใดแม่ทัพใหญ่จึงยอมให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นได้ต่อหน้าต่อตา "เช่นนั้น ทำไมเจ้าถึงไม่ห้ามปราม" เอเดรียนหลับตาลงกับคำถามพร้อมกับมุ่นคิ้วเหมือนกำลังต่อสู้กับตัวเองอยู่ในใจ "เลสธีราห์... ช่วยเจ้าจากพวกไอย์ชวล"

เอเดรียนเม้มปากครู่หนึ่งของก่อนให้คำตอบ "หากข้าปล่อยเขาไป เขาก็จะไม่กลับมาอีก"

สิ้นคำตอบนั้นเองที่จาเร็ตต์เข้าใจทุกอย่าง "นี่เจ้า..." ร่างโปร่งบีบแขนพี่ชายของตัวเองเล็กน้อยเพื่อไม่ให้เขาถามอะไรให้มากความ และขยิบตาให้ครั้งหนึ่งเป็นสัญญาณว่าจะเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟังในภายหลัง แต่แล้ว แม่ทัพใหญ่ก็ทรุดเข่าลงกับพื้นและกำมือแน่นราวกับก่นด่าตัวเอง

"แต่ข้ายอม.... ให้พรานพวกนั้นทำกับเลสเหมือนสัตว์ได้ยังไง"

"เอเดรียน" จาเร็ตต์ย่อตัวลงพร้อมกับวางมือลงบนบ่า "มันไม่ใช่ความผิดเจ้าที่เกิดเรื่องแบบนี้"

มือของเอเดรียนกำแน่นสั่นเทิ้ม เช่นเดียวกับฟันที่ขบกันแน่นด้วยความรู้สึกอัดอั้นที่ไม่มีทางอธิบายได้ ความคิดหลากหลายแล่นประดังประเดอยู่ในหัวจนเจ้าตัวไม่รู้ว่าควรจะทำอะไรต่อไป ทุกสิ่งทุกอย่างมันมากมายเกินกว่าเขาจะรับมือได้ และเขาต้องการหยุดพักเหลือเกิน "เอเดรียน" เลขาคนสนิทลูบบ่ากว้างเบาๆเป็นเชิงปลอบ "ข้าเองก็ตกใจเหมือนเจ้า แต่เราต้องลงมือทำอะไรสักอย่างก่อนที่มันจะ..."

"เจ้าจะไปเข้าใจอะไร!" แม่ทัพใหญ่ตวาดออกมาอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน "...เจ้าจะรู้อะไร"

ใช่... เขาจะไปเข้าใจอะไร

จาเร็ตต์รู้ถึงความสัมพันธ์ของทั้งสอง แม้มันจะยังไม่เด่นชัดแต่เขาก็ค่อนข้างมั่นใจ ดังนั้นในตอนนี้เขาจึงไม่เข้าใจความรู้สึกของทั้งสองฝ่ายว่ามันจะเจ็บปวดทรมานสักแค่ไหน เลสธีราห์จะรู้สึกอย่างไรที่สุดท้ายแล้วคนที่เขาเอาตัวเข้าปกป้องกลับไม่ลงมือทำอะไรเพื่อช่วยเหลือตนเลย และความรู้สึกของเอเดรียนจะพังทลายสักแค่ไหนที่ได้รับรู้ว่าคนที่เคยคิดจะเชื่อใจกลับกลายเป็นคนนอกเช่นนี้

จู่ๆคนที่รักกลับกลายเป็นคนที่ไม่สามารถรักได้... ความทรมานนี้ใครจะเข้าใจ

แม้เอเดรียนจะเคยถูกคนรักหักหลัง แต่มันไม่เหมือนกันกับกรณีของเลสธีราห์ ฝ่ายนั้นปกป้องเขา... ต่อสู้แทนเขา... และกล่าวขอโทษที่ทำลายเยื่อใยและความรู้สึกดีๆที่เคยมีต่อกันมา เพียงเพราะต้องการจะรักษาชีวิตของเอเดรียนเอาไว้

"ข้า... จะต้องทำยังไง..." แม่ทัพใหญ่โอดครวญ "จะต้องทำยังไงเพื่อรักษาไว้ทั้งเลสทั้งอาเดรีย!"

--------------------------------------------------

ท่านชายซินญอร์กลับมาที่คฤหาสน์และพบว่าหัวหน้าพรานป่ากลับมารายงานเรื่องสำคัญ “อย่างไรก็น่าแปลกที่พวกเจ้าไปล่าสัตว์ ทว่าจับเซนทอร์กลับมาได้ ซ้ำยังเป็นเซนทอร์ที่สามารถแปลงเป็นมนุษย์ได้อีกด้วย” ที่ผ่านมาพวกเขาไม่เคยรู้มาก่อนว่าครึ่งม้าเปลี่ยนร่างกลับเป็นมนุษย์ได้ ดังนั้นนี่จึงเป็นการค้นพบครั้งสำคัญ และท่านชายซินญอร์ก็คิดว่าเซนทอร์ที่พวกเขาจับได้ในวันนี้ก็มีความสำคัญต่อแอสทารอธเช่นกัน

“ไปตามเอเดรียนมาพบข้า...”

“ท่านแม่ทัพยังไม่กลับมาจากการล่าสัตว์ขอรับ" หัวหน้าพรานกล่าวตามตรง เขาเองก็เห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ดังนั้นจึงพอจะรู้สึกเอเดรียนอยู่ในอาการตกตะลึงอย่างไร แต่หากเขารอให้อีกฝ่ายตัดสินใจ อาเดรียอาจต้องเสียโอกาสนี้ไป ...โอกาสในการถือไพ่เหนือกว่าแอสทารอธ

 “ส่งคนไปตามเขามา" ซินญอร์หันไปสั่งผู้ติดตามอีกคนหนึ่ง "ส่วนเซนทอร์ตนนั้น นำไปขังไว้ที่ข้างพักด้านบนก่อน แต่อย่างไรก็ต้องใส่โซ่ตรวนเอาไว้ พละกำลังของเซนทอร์มีมากกว่าม้าและคนรวมกัน พวกเจ้าต้องระวังเขาให้ดี”

ข่าวการจับเซนทอร์ได้แพร่สะพัดไปทั่วอาณาจักรอาเดรียในเวลาอันรวดเร็ว และไม่นานหลังจากที่คณะพรานเดินทางไปถึงมหาคฤหาสน์ ผู้คนจำนวนมาก็เดินทางเข้ามาในปราการชั้นในและพยายามจะมองผ่านประตูรั้วเหล็กแหลมเข้าไปเพื่อให้เห็นอมนุษย์ครึ่งม้าอันเป็นตำนานซึ่งยังนั่งอยู่บนเกวียนลากและถูกพันธนาการด้วยเชือกหลายเส้น

เสียงพูดคุยระงมของฝูงชนทำให้เลสธีราห์ที่เอียงหัวพิงขอบไม้ของรถเกวียนอยู่ด้วยความอ่อนล้าต้องลืมตาขึ้นมองผู้คนจำนวนมากที่เข้ามามองดูเขาด้วยความอยากรู้อยากเห็น และเพียงแค่นัยน์ตาสีฟ้าครามลืมขึ้นเท่านั้น เสียงพูดคุยเซ็งเซ่ก็แปรเปลี่ยนเป็นคำอุทานด้วยความตื่นตะลึง

“นั่นเซนทอร์จริงๆหรือ”

“เซนทอร์ที่ยังมีชีวิตอยู่ด้วย...”

“สวยจัง ข้าไม่เคยเห็นใกล้ขนาดนี้มาก่อนเลย”


ร่างโปร่งถอนใจและข่มตาลงขับไล่ความรู้สึกอับอายออกไป แต่ตอนนี้เขาไม่มีเรี่ยวแรงจะลุกขึ้นมาต่อกรกับใคร เพราะจิตใจของเซนทอร์หนุ่มกำลังบอบช้ำเหลือเกิน ร่างกายท่อนล่างตอนนี้ไม่สามารถแปลงกลับเป็นมนุษย์ได้เนื่องจากเชือกหลายเส้นที่พันธนาการข้อเท้าไว้แน่นหนาเกินกว่าจะดิ้นให้หลุด

การถูกมนุษย์จับได้ไม่ใช่เรื่องน่าอายสำหรับเลสธีราห์ แต่สิ่งที่ทำให้เขาเจ็บใจที่สุดในตอนนี้กลับเป็นมนุษย์ที่เขาเคยคิดว่าไว้ใจได้กลับไม่ยื่นมือเข้าช่วยเหลือเขาเลยสักนิดเดียว เอเดรียนไม่สบตาร่างโปร่งอีกเลยหลังจากนั้น และตอนนี้ชายหนุ่มก็ไม่ปรากฎตัว อีกทั้งปล่อยให้หัวหน้าพรานยื่นอกรับความดีความชอบที่จับเซนทอร์ได้

“มนุษย์ช่างแปรเปลี่ยนง่ายเหลือเกิน”

ร่างโปร่งรำพึงกับตัวเอง เขาอาจจะเคยได้ยินเรื่องราวด้านมืดของเผ่าพันธุ์นี้อยู่บ้าง มนุษย์เป็นเผ่าที่ไม่มีสัจจะ ไม่มีความน่าไว้ใจ ไม่มีความน่าเชื่อถือ ทุกคนล้วนแล้วแต่กลับกลอก ปลิ้นปล้อนและล้วนแล้วแต่หาประโยชน์เข้าตัว แต่ไม่คิดเลยว่าคำเตือนของคูแรนน์จะเป็นความจริงขึ้นมาในเวลาอันรวดเร็วเช่นนี้

แต่เลสธีราห์ก็โกรธเอเดรียนไม่ลงเลย...

เพราะฝ่ายนั้นถูกเขาหลอกก่อนไม่ใช่หรือไร จึงได้ทอดทิ้งเขาในตอนนี้

แต่ที่เรื่องทุกอย่างกลายเป็นอย่างนี้ ก็เพราะต้องการจะช่วยชีวิตอีกฝ่ายไม่ใช่หรือไร หากเลสธีราห์ไม่กระโดดออกไปตอนนั้น เอเดรียนอาจถูกคูแรนน์ทำร้ายจนปางตายไปแล้ว และร่างโปร่งก็รู้ดีว่าลูกพี่ลูกน้องของตนมีพละกำลังมากแค่ไหน อีกทั้งม้าที่อีกฝ่ายควบขี่ก็ได้ชื่อว่าเป็นม้าที่มีแรงมากกว่าปกติ หากไม่ใช่ร่างเซนทอร์แล้วเขาจะทัดทานกำลังของผู้นำคณะพรานแห่งไอย์ชวลได้อย่างไร

...ถ้าไม่ใช่ธนูแอควาเรียร์ จะสามารถข่มขู่อัลซาโตเกียร์ได้อย่างไร

มือสองข้างที่ถูกรวบมัดเอาไว้ด้วยกันยกขึ้นปาดหยาดเหงื่อที่ไหลลงมาตามกรอบหน้า ความหยาบกร้านของเส้นเชือกเริ่มบาดข้อมือเรียวจนเป็นรอยแดง แสงแดดเจิดจ้ายามกลางวันอาบทับผิวเนื้อเปลือยอยู่เนิ่นนานทำให้รู้สึกแสบจนแทบไหม้ และท่อนขาของอาชาที่งอขดอยู่นานเกินไปก็เริ่มร้องอุทรณ์

หากคาดเดาในเบื้องต้นแล้ว อาเดรียอาจจะใช้เขาเป็นตัวประกันเพื่อต่อรองกับแอสทารอธ ฝ่ายนั้นต้องการความร่วมมือจากเมืองเซนทอร์ ทว่าตัวเองกลับไม่มีสิ่งใดไปแลกเปลี่ยนตอบแทน อีกทั้งเอเดรียนยังเสนอเรื่องของเรือจักรไอน้ำซึ่งเป็นงานที่ท้าทายเกินตัวอีกด้วย ดังนั้นการจับเซนทอร์ได้สักตัวหนึ่งก็นับเป็นข้อแลกเปลี่ยนที่พอจะมีมูลค่าอยู่บ้าง

เลสธีราห์นับถือหัวหน้าพรานที่คิดการณ์ไกลถึงเพียงนี้

...แล้วเอเดรียนเองก็คิดเช่นนี้หรือเปล่า จึงได้ไม่ยื่นมือเข้าช่วยเหลือ

หัวใจของร่างโปร่งเกร็งรัดจนเจ็บในอก เพราะเมื่อคิดว่าหากเอเดรียนสนับสนุนการกระทำครั้งนี้ของอาเดรีย นั่นก็หมายความว่าความสัมพันธ์ที่ผ่านมาของพวกเขาไม่มีความหมายอะไรเลยสำหรับอีกฝ่ายอย่างนั้นหรือ

เขาไม่ได้มีค่าอะไรสำหรับเอเดรียนเลยจริงหรือเปล่า...

ไม่ใช่เรื่องแปลกที่ฝ่ายนั้นจะเห็นบ้านเมืองของตนมาก่อนเรื่องอื่น แต่เลสธีราห์ก็ยังแอบหวังว่าเขาจะมีคุณค่าอะไรในสายตาของอีกฝ่ายบ้าง แม่ทัพแห่งอาเดรียตีค่าความสัมพันธ์ที่ผ่านมาเป็นศูนย์จริงๆหรือ แม้ว่ามันจะผ่านมาไม่นานก็ตาม แต่พวกเขาทั้งสองก็สนิทสนมกันมากขึ้นในเวลาอันรวดเร็ว... เอเดรียนไม่คิดอย่างนั้นบ้างหรือไร

และคำพูดในคืนนั้นหมายความว่าอย่างไร หากอีกฝ่ายเป็นคนเลือดเย็นเช่นนี้

แต่ข้า... ก็ยังอยากครอบครองเจ้าไว้เพียงคนเดียว... อยู่ดี

เป็นของข้าไม่ได้เหรอ เลสธีราห์...


...

ใครกันแน่ที่เป็นฝ่ายละทิ้งข้าไปก่อน เอเดรียน !

--------------------------------------------------
---------- TO BE CONTINUE ----------


---------- WRITER's TALK ----------

...อัพทันอีกเว็บจริงๆแล้วค่ะ 555

พอดีเมื่อคืนเขียนจบตอน 5 ทุ่ม เลยเพิ่งอัพ... โอเค๊... เตรียมตัว(เอเดรียน)โดนด่า... ตอนลงเด็กดีคือโดนเละมาก (โถ่ พระเอก) แต่เราคิดว่า... เราควรให้เวลาเขาหน่อย แฮะๆ ความรู้สึกของทั้งคู่ตอนนี้จริงๆคือพังไม่แพ้กันเลย ถึงเลสจะดูเจ็บกว่า แต่เอเดรียนออกแนวช็อค (เพราะเลสเป็นฝ่ายหลอกมาแต่แรกอ่ะเน้อะ)
แต่ในขณะเดียวกันที่ดราม่า อาณาจักรอื่น คนอื่นเขาก็ไม่มีเวลามานั่งรอเน่อะ... เพื่อไม่เป็นการเสียเวลายืดยาว ฮาา

มีคอมเม้นท์จากอีกเว็บบอกว่าอ่านชื่อเมืองไม่ออก เลยไม่จำเลย... (แงง ขอโทษ ตอนตั้งคิดอะไรอยู่ก็ไม่รู้...)
มันจะมีเมืองหลัก 3-4-5 เมือง (เยอะเน้อะ) แบ่งฝ่ายได้ 2 ฝ่ายดังนี้
- กลุ่มพระเอก(?) >>> คัสนาห์(Castnah) อาเดรีย(Adria)
- กลุ่มไม่ใช่พระเอก >>> ไอย์ชวล(Aysual) ธีสธรัล(Thestral)
- กลุ่ม(ยัง)ไม่เลือกข้าง >>> แอสทารอธ(Astaroth)

ตามแผนที่ดังแนบ (ถ้าดูตามแผนที่จะเข้าใจกลยุทธ์ง่ายขึ้นมากกก)


คือคัสนาห์-อาเดรียเขาเป็นเมืองเดียวกัน แต่อาเดรียพี่ท่านคุมอ่าวออโรราอยู่... ซึ่งมันเป็นทางใกล้ที่สุดที่ธีสธรัลจะเข้ามาแผ่นดินใหญ่ได้ ส่วนแอสทารอธเป็นเมืองติดกันทางเหนือของอาเดรีย คุมอ่าวมารินาอยู่ แอสทารอธไม่เน้นขายกับธีสธรัล แต่เน้นออกทะเลไปอีกทวีปเลยยย

แต่เดิมนี่ธีสธรัล(ซึ่งเก่งกว่า)ล่าอาณานิคมเอาไว้เยอะ รวมถึงอาเดรียด้วย แต่พอดีว่าไอย์ชวล(ซ้ายของแผนที่)ไปตีแตก เอาพวกตัวเองขึ้นเป็นกษัตริย์แทน(ราชินีไวลด์) พวกเมืองที่เคยอยู่ใต้อำนาจเลยดิ้นกันหมดประมาณว่าจะพลิกเป็นโอกาสในการแยกตัวออกมา ซึ่งก็คือคัสนาห์กับอาเดรีย... อาเดรียก็ปิดอ่าวออโรราซะเลย แต่มันก็เหลืออ่าวมารินาอีกที่ เลยพยายามจะไปชวนพวกแอสทารอธมาเป็นพวกอย่างที่เห็น...

เป็น BL ที่แฟนตาซีและการเมืองมากเลยค่ะ OTL
จริงๆอยากเขียนฉากละมุนๆมากกว่านี้นะ ชอบเวลาเอเดรียนอยู่กับเลสธีราห์ ...แต่จัดดราม่ามาขนาดนี้แล้วคงละมุนกันยากล่ะนะ - -" ช่วงนี้เอเดรียนอาจจะโดนด่าตามระเบียบพระเอกที่ไม่ค่อยจะเท่เอาซะเลย แต่ถ้าเขาคิดได้เมื่อไหร่ ก็คงจะกลับมาเป็นพระเอกเอง ฮาาา

ขอบคุณที่ติดตามค่า *0*
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 06-11-2016 08:38:53 โดย khaosap »

ออฟไลน์ punnicha

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 108
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-1
สนุกมากค่ะะะ :impress2:  สารคดีม้าจริงๆ555555  รอตอนต่อไปนะคะ :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ khaosap

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 165
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
    • Khaosap Writing
Re: ASTAROTH พันธนาการดวงดาว ตอนที่ 15.1
«ตอบ #44 เมื่อ07-11-2016 08:31:07 »

ตอนที่ 15.1

"ท่านเอเดรียน ท่านชายซินญอร์เรียกพบขอรับ..."

เอเดรียนยังอยู่ในดรงเก็บม้าของคฤหาสน์ราห์โมนา เมื่อม้าเร็วจากมหาคฤหาสน์เดินทางมาพบ ร่างสูงยังคงแปรงขนให้อัลธอร์อย่างช้าๆ และรู้สึกมึนตึงอ่อนล้าจนแทบจะคิดอะไรไม่ออก และกระทั่งม้าเองก็สลดใจไม่แพ้คน อาชาก้มหน้าคอตกด้วยความรู้สึกหนักอกหนักใจอย่างประหลาดกับสิ่งที่เกิดขึ้น

"ท่านเอเดรียน..."

"ข้ารู้แล้ว" แม่ทัพใหญ่ตอบเสียงเรียบ และโดยไม่หันไปมองอีกฝ่าย พรานป่าคงนำเลสธีราห์ไปพบท่านชายซินญอร์แล้ว และอีกฝ่ายก็คงจะเรียกหาเขาเพื่อดำเนินการต่อไป "นี่... อัลธอร์" เอเดรียนจับกรามของม้าคู่ใจแล้วดันให้มันเงยหน้าขึ้นมองตน "เจ้ารู้มาตลอดใช่ไหม... ว่าเลสธีราห์เป็นแบบนั้น" เขาไม่ถือโทษโกรธม้า และรู้เหตุผลดีว่าทำไมมันจึงรู้สึกสลดที่เห็นเซนทอร์ถูกจับแบบนั้น

"เจ้าคุยกับเลสธีราห์ได้ใช่ไหม"

เมื่อคิดถึงครั้งแรกที่พบกัน เลสธีราห์ก็ช่างเอาอกเอาใจอัลธอร์เหลือเกิน และเจ้าม้าจอมดื้อนี่ก็ยอมให้จับแต่โดยดีไม่มีงอแงเหมือนที่เป็นกับคนอื่น อีกทั้งยังยอมให้แปรงขน ลูบหลัง กระทั่งขึ้นขี่ได้ง่ายๆอีกด้วย "ลูเซียเองก็รู้ใช่ไหม" ไม่แปลกเลยที่เซนทอร์จะสื่อสารกับม้าได้ แต่อย่างไรเอเดรียนก็รู้สึกว่าตนเองโง่เง่าอยู่ดี ทั้งที่สัตว์เลี้ยงของเขารู้เกือบทุกตัวว่าเลสธีราห์เป็นใคร แต่ตัวเขาที่เป็นเจ้านายกลับไม่เคยรู้เลย

เขาไม่เคยเอะใจเลยว่าทำไมเลสธีราห์ถึงชอบกินแต่ผักและไม่แตะเนื้อ

ไม่เคยสงสัยเลยว่าทำไมอีกฝ่ายจึงดูขัดใจนักหนาเมื่อเห็นม้าถูกพันธนาการ

...

...เขาไม่เคยสงสัยอะไรเลยทั้งเลสธีราห์เองก็ปกปิดไม่เก่ง

อัลธอร์เหลือบมองเจ้านายที่แนบหน้าผากกับสันหน้าของมัน "จะให้ข้าทำยังไง..." อุ้งมือใหญ่ออกแรงดึงขนคอของม้าศึกด้วยควมรู้สึกอดกลั้น เอเดรียนไม่รู้ว่าตนควรจะทำอะไร หรือทำอย่างไร การจับเซนทอร์ได้จะทำให้อาเดรียได้เปรียบในการเจรจาก็จริงอยู่ แต่เซนทอร์ที่ว่านั่นก็คือเลสธีราห์ผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นคนของเขา ...ต่อให้แท้จริงแล้วอีกฝ่ายจะเป็นถึงผู้บัญชาการกองเรือเซเลสต์เองก็ตาม

"ทำไม... จะต้องให้ข้าเสียสละ... สิ่งสุดท้ายที่ข้าอยากเก็บเอาไว้เป็นของตัวเองด้วย"

บุคคลเดียวที่ทำให้เขาสบายใจทุกครั้งที่อยู่ใกล้ บุคคลที่แทบจะรู้ใจเขาและรู้ทันเขาทุกอย่าง บุคคลที่แตกต่างจากใครอื่นที่เอเดรียนเคยพบเจอมา เหตุใดเรื่องแบบนี้จะต้องเกิดขึ้นกับตัวเขาอีกเป็นครั้งที่สอง และเป็นเรื่องที่เจ็บปวดหนักหนามากกว่าครั้งแรกอีกด้วย แม่ทัพอาเดรียสูดลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อควบคุมอารมณ์ของตนเอง ตามปกติแล้วชายหนุ่มไม่ใช่คนหวั่นไหวอะไรง่ายนักเนื่องจากอายุอานามและประสบการณ์ทำให้เขาเป็นคนแบบนี้ แต่ตอนนี้เอเดรียนรู้สึกได้ว่ามือของเขาทั้งสองข้างกำลังสั่น และความรู้สึกที่ถ่าโถมก็ทำให้ชายหนุ่มเริ่มควบคุมตัวเองไม่ได้

เขาอธิบายไม่ได้ความสั่นคลอนนี้คืออะไร... มันไม่ใช่ทั้งความกลัวและความตื่นเต้น

อัลธอร์เองก็รู้ดีจากความร้อนที่ส่งผ่านมาจากมือของผู้เป็นนาย มันจึงได้ยืนนิ่งเป็นหลักพยุงอยู่อย่างนั้นโดยไม่หันหนีทั้งที่ในใจของม้าศึกนึกขุ่นเคืองที่เจ้านายไม่ช่วยเหลือเซนทอร์... พวกม้าอ่านใจกันเองได้ และมันรู้ว่าสิ่งที่เลสธีราห์ทำไปคือความบริสุทธิ์ใจอย่างแท้จริง ไม่ว่าเจตนาแต่แรกเริ่มของเซนทอร์หนุ่มคืออะไร แต่อึดใจที่เขากระโจนออกไปโรมรันกับศัตรู สิ่งเดียวที่เลสธีราห์คิดในตอนนั้นก็คือการปกป้องชีวิตของเอเดรียน

เอเดรียนเองก็รู้ถึงความจริงนั้น แต่ด้วยสถานะและภาระที่เขาต้องแบกรับทำให้ชายหนุ่มไม่สามารถตัดสินใจทำอะไรได้ในช่วงเวลาคับขัน หากเขาปกป้องเลสธีราห์ ชายหนุ่มก็ไม่มั่นใจว่าเลสธีราห์จะยันยืนหยัดอยู่เคียงข้างเขาหรือไม่ จะยังคงยืนยันทำตามคำสัญญาที่เคยให้กับเขาไว้หรือเปล่า หากเซนทอร์หนุ่มตัดสินใจหนีกลับไปยังแอสทารอธและไม่หันกลับมาอีก เอเดรียนก็ไม่สามารถตอบได้ว่าตัวเขาเองจะรู้สึกอย่างไร แต่หากเขาไม่ช่วยเหลือเลสธีราห์ ท่านชายซินญอร์จะต้องใช้เซนทอร์หนุ่มเป็นตัวประกันในการต่อรองกับแอสทารอธ ซึ่งเป็นสิ่งที่เอเดรียนยอมไม่ได้อยู่ดี

เขาจะไม่ยอมให้เลสธีราห์เป็นเครื่องมือของใครทั้งสิ้น

...แต่ในความสับสนลังเลนั้นเองที่ทำให้เอเดรียนเลือกหนทางที่เขาไม่เคยคิดจะเลือก

.

นั่นคือการทอดทิ้งเลสธีราห์

เขาปล่อยให้พวกพรานปฏิบัติกับเซนทอร์ตนนั้นประหนึ่งสัตว์ได้อย่างไรกัน เขาได้แต่ยืนเฉยๆและปล่อยให้พวกมันพาร่างโปร่งไปจากสายตาของเขาได้ลงคอเชียวหรือ และมาจนถึงตอนนี้ เอเดรียนก็ยังไม่มีความกล้าพอที่จะไปยังมหาคฤหาสน์เพื่อยืนคำขาดในการนำตัว 'คนของเขา' กลับมา

...แม่ทัพแห่งอาณาจักรใดจะขลาดเขลาได้เท่านี้อีก

ทั้งที่รักมากขนาดนี้ แต่เขากลับไม่มีความกล้าที่จะทำอะไรเลยอย่างนั้นหรือ

"เอเดรียน" เสียงของจาเร็ตต์เรียกผู้นำของตน "ท่านชายซินญอร์ส่งคนมารายงานข้าว่าเขาไม่อนุญาตให้เจ้านำเรือออกเพื่อลอบเดินทางไปธีสธรัล" ตามกำหนดการณ์เดิม เอเดรียนร้องขอเรือเร็วเพื่อเดินทางไปยังธีสธรัลและขโมยศสตร์การต่อเรือจักรไอน้ำกลับมาให้แอสทารอธ และการขออนุญาตินำเรืออกในช่วงเวลานี้จะต้องปรึกษากับผู้นำอาณาจักร นั่นคือท่านชายซินญอร์เท่านั้น

"นั่นก็แปลว่าอาเดรียจะผิดคำพูด" แม่ทัพใหญ่ว่า "และหันไปใช้ตัวประกันในการต่อรองแทน"

เลขาของเขาพยักหน้าครั้งหนึ่ง และไม่พูดอะไรต่อ ด้วยตัวจาเร็ตต์เองก็อยากจะรู้เช่นกันว่าเอเดรียนเห็นตรงกับผู้นำอาณาจักรหรือไม่ และหากไม่เห็นตรงกันแล้วพวกเขาจะต้องทำอย่างไรต่อไปเพื่อให้อาณาจักรมีหนทางรอดจากความขัดแย้งนี้ "หากเราขัดกับแอสทารอธ ...อาเดรียจะไม่เหลือใครนอกจากคัสนาห์" เอเดรียนสูดลมหายใจเขา และค่อยๆปล่อยมือจากอัลธอร์ "และข้าจะไม่ยอมให้ใครก็ตามใช้เลสธีราห์เป็นเครื่องมือในการหาประโยชน์" แววตาของผู้นำทัพมุ่งมั่นไม่สั่นคลอน

"แม้ว่าคนผู้นั้นจะเป็นราชาของข้าก็ตาม"

--------------------------------------------------

“ข้าแปลกใจว่าทำไมเจ้าถึงไม่ช่วยเขา”

คูแรนน์ที่กลับมายังเมืองหลวงแล้วเหลือบมองคนพูดที่นั่งอยู่ข้างกันก่อนจะไหวไหล่อย่างไม่สนใจในคำถากถางที่กำลังจะออกจากปากอีกฝ่าย "เขาเป็นลูกพี่ลูกน้องของเจ้า... เซนทอร์ผู้นั้น" หัวหน้าพรานแห่งไอย์ชวลเอนเหยียดกายสบายๆกึ่งนั่งกึ่งนอนและพูดคุยกับคนที่เขายอมพูดคุยด้วยทุกเรื่อง... เรียฟ หนึ่งในผู้นำสี่เหล่าทัพของไอย์ชวล

“…ช่างมันเถอะ”

เรียฟถอนใจ เขารู้ดีว่าตนคงพูดอะไรมากไม่ได้ เพราะไม่ว่าจะดุด่าอย่างไร คนอย่างคูแรนน์คิดจะทำอะไรแล้วก็คงไม่มีทางเปลี่ยนใจ อีกฝ่ายเป็นคนแบบนี้มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว …ตัวเขาเองรู้ดีที่สุด

“น่าแปลกที่เจ้าด่าข้าน้อยกว่าปกตินะ” ร่างสูงว่า “เอือมระอาแล้วหรือไง”

“อย่างกับว่าข้าพูดมากแล้วเจ้าจะฟังอย่างนั้น” คิ้วเรียวเลิกขึ้นพร้อมกับรอยยิ้มจางจรดที่มุมปาก “พูดไม่เข้าหูขึ้นมาเจ้าจะหันมาบีบคอข้าเสียอีก” เรียฟว่าอย่างนั้นก่อนจะหัวเราะแห้งๆ “แล้วข้าก็เอือมเจ้ามานานแล้ว... เป็นร้อยปีแล้วด้วย”

หัวหน้าพรานยันกายลุกขึ้นนั่งดีๆและหันไปหาคู่สนทนาที่ดูเกร็งขึ้นมาทันทีที่เขาขยับกาย

“เช่นนั้นข้าก็คงมีเสน่ห์พอตัวที่ทำให้เจ้าซึ่งเบื่อข้ามานับร้อยปีหันกลับมารักข้าได้”

“…”

เมื่อถูกพูดด้วยเช่นนั้น เรียฟก็ถึงกับเงียบอย่างอับจนด้วยคำพูด และเขาก็ค่อนข้างตกใจกับความหน้าด้านของคู่สนทนามากกว่า “ไอย์ชวลไม่ควรยื่นมือเข้ายุ่งในตอนนี้” คูแรนน์พูดต่ออย่างเป็นการเป็นงานเพื่อไม่ให้เรียฟรู้สึกตื้อตันในหัวมากเกินไปจนทำอะไรไม่ถูก “เราไม่ได้ติดต่อกับตะวันออกมานานแล้ว ดังนั้นการปิดท่าเรือจึงกระทบกับเราน้อยมาก อีกทั้งเราก็แค่เสียการค้ากับคัสนาห์และอาเดรีย แต่เมืองอื่นๆก็ยังเป็นพันธมิตรอยู่นี่จึงเป็นสงครามประสาทของคัสนาห์-อาเดรียและธีสธรัล”

ร่างสูงจรดยิ้มเจ้าเล่ห์ที่มุมปาก “และการที่อาเดรียเล่นไม้นั้นกับแอสทารอธ... ข้าไม่คิดว่าท่านหญิงลีอาห์จะยอมอยู่เฉย ไอย์ชวลควรอยู่เฉยๆ ดูพวกเขากัดกันจะดีกว่า” เรียฟเหลือบมองคู่สนทนาเล็กน้อยด้วยความเลื่อมใสในการอ่านสถานการณ์ของอีกฝ่าย เพราะตามปกติแล้วคูแรนน์ไม่มีความสนใจในด้านนี้ ฝ่ายนั้นนิยมแค่การฆ่าเพื่อความอยู่รอด แต่ไม่ค่อยจะสนใจการวางแผนสักเท่าไหร่ นี่จึงอาจเรียกว่าเป็นพัฒนาการอย่างหนึ่งที่น่าชื่นชม

“เจ้ารอบคอบมากขึ้นแล้ว...”

“ข้าจำมาจากวิกเตอร์น่ะ”



คนฟังชะงักไปพักใหญ่ก่อนจะกลอกตาขึ้นอย่างเอือมระอา และนั่นก็เรียกเสียงหัวเราะจากหัวหน้าพรานได้ “ข้าคิดได้น่ะ เรียฟ… แค่ไม่พูดออกมาดังๆแบบวิกเตอร์เท่านั้นล่ะ” และด้วยความขี้เกียจผสมกับความงัวเงียง่วงงุนที่ต้องออกไปล่าแต่เช้า และกลับมาพร้อมกับเรื่องราวน่าปวดหัว คูแรนน์จึงล้มตัวลงนอนบนตักของคนข้างๆดื้อๆ

“คูแรนน์...!” เรียฟพยายามจะยันอีกฝ่ายออก แต่ก็ไม่กล้าใช้กำลังมากเพราะเกรงจะถูกโกรธเข้าจริงๆ “นี่มันไม่ใช่ที่นอน หรือเวลานอน และข้าไม่ใช่หมอนของเจ้านะ!” นัยน์ตาสีดำดุดันของฝ่ายนั้นเหลือบขึ้นมองคนพูดนิ่งๆทำให้เรียฟต้องชะงักไป และหลังจากนั้นคูแรนน์ก็ยิ้มเล่นหัวออกมา

“แต่เจ้าก็ชอบนอนหนุนแขนข้านักไม่ใช่รึ หนุนคืนบ้างไม่ได้รึไง”

“…”

ลมหายใจแรงๆของม้าศึกพ่นใส่คนทั้งคู่ที่กำลังพูดคุยกับราวกับพวกเขากำลังพักผ่อนอยู่ในสวนสีเขียวที่มีแต่ความสงบและมีน้ำพุสวยอยู่ใกล้ๆช่วยสร้างบรรยากาศผ่อนคลายให้ แต่เปล่าเลย... แม่ทัพใหญ่ของไอย์ชวลจูงม้าร่างยักษ์ของตนมายืนตรงหน้าพร้อมกับยกแขนขึ้นกอดอกราวกับบิดาที่เจอบุตรชายหนีเรียน “ห้องพวกเจ้าก็มี …นี่มันลานฝึกนะ”

เสียงดาบไม้และโล่ห์ปะทะกันดังเอ็ดตะโรไปทั่ว และเสียงพูดคุยเซ็งเซ่รอบตัวดังระงมจนหนวกหู เรียฟเองก็แปลกใจที่เขากับคูแรนน์หาที่นั่งคุยที่ดีกว่าข้างลานฝึกไม่ได้ ทั้งที่รู้ว่าทหารใต้บัญชาของตนต้องมองเป็นตาเดียวด้วยความรู้สึกประหลาดใจแต่ไม่กล้าออกปากพูดถึง

แต่คูแรนน์กลับตอบสบายๆโดยไม่ยอมลุกขึ้น “ถ้าสนใจการฝึกกันจริงๆ ใครจะมาทันเห็นเล่า”

--------------------------------------------------

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
ตอนท้ายบทนี่ตัดอารมณ์กันชัด ๆ เลยอ่ะ
ช่วยเลสธีราห์เถอะนะเอเดรียน (แต่จะช่วยได้แค่ไหนนี่สิ เพราะดูท่าพี่น้องเจ้าปัญหานี่ไม่น่าไว้ใจพอกัน)

ออฟไลน์ khaosap

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 165
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
    • Khaosap Writing
Re: ASTAROTH พันธนาการดวงดาว ตอนที่ 15.2
«ตอบ #46 เมื่อ07-11-2016 13:00:41 »

ตอนที่ 15.2

ห้องพักที่กว้างขวางไม่ใช่สิ่งที่เลสธีราห์ต้องการ... ต่อให้เตียงกว้างใหญ่จะนุ่มและน่านอนสักแค่ไหนก็ไม่ได้ดึงดูดให้เลสธีราห์ล้มตัวลงนอนเลยสักนิด ตรงกันข้ามเสียอีก ร่างโปร่งกลับยืนนิ่งๆอยู่กลางห้องพักใหญ่โดยไม่รู้สึกเมื่อยเลยแม้แต่น้อยและมองทุกสิ่งทุกอย่างตรงหน้าด้วยสายตาว่างเปล่า

สิ่งที่เขาต้องการในตอนนี้ไม่ใช่ความสะดวกสบาย ไม่ใช่การต้อนรับอย่างเป็นมิตร

...อาจจะไม่ใช่อิสรภาพด้วยซ้ำ

ข้อมือทั้งสองข้างถูกล่ามด้วยโซ่ตรวนเส้นหนัก ผู้นำของอาเดรียไม่ลงมาพบเขาด้วยซ้ำ ฝ่ายนั้นเพียงแค่ออกคำสั่งให้ใส่ตรวนพวกนี้ไว้ และให้เขาพักในห้องพักรับรองขนาดใหญ่ที่มีไว้ต้อนรับแขกบ้านแขกเมือง

อาเดรียก็ยังพอไว้หน้าเขาบ้างด้วยการทำแบบนี้ แต่ก็ไม่ไว้ใจที่จะปล่อยให้เขาเคลื่อนไหวอิสระอยู่ดี เลสธีราห์เองก็ไม่คิดจะอยู่ที่นี่อีกต่อไป หากเขาเป็นอิสระได้ เขาจะกลับบ้านเมืองของตนและไม่หันกลับมาที่นี่อีกเลยด้วยซ้ำ

มนุษย์... น่ารังเกียจเกินไปสำหรับเขา

โจฮาลล์กับจาเร็ตต์ไม่ได้ทำให้เขารู้สึกขยาด สองพี่น้องคู่นั้นติดจะดีกับเขาด้วยซ้ำไป เลสธีราห์ถอนใจยาวและหลับตาลงด้วยหัวใจหดหู่ ที่เขาพูดอย่างนั้นได้เพราะยังไม่รู้จักสองพี่น้องดีพอกระมัง เพราะคนที่ดีที่สุดกับเขาอย่างเอเดรียนก็ยังกลายเป็นคนเช่นนั้นได้

นัยน์ตาสีฟ้าเหม่อมองออกไปด้านนอกหน้าต่าง ท้องฟ้าผลัดเปลี่ยนเวลาจากกลางวันเป็นกลางคืนแล้ว และเลสธีราห์ก็จำไม่ได้ว่าเขาได้กินอะไรรองท้องไปบ้างหรือยัง ตอนนี้เซนทอร์หนุ่มรู้สึกด้านชาไปทุกส่วน และไม่รู้ว่าเขาจะยืนอยู่ที่เดิมไปอีกนานแค่ไหน ภายนอกห้องพักนี้เต็มไปด้วยเวรยามแน่หนา อีกทั้งเบื้องล่างของมหาคฤหาสน์ก็เพิ่มกำลังพลเป็นสองเท่า และคงเป็นเช่นนี้อีกต่อไปสักพักจนกว่าอาเดรียจะได้เจรจากับแอสทารอธอีกครั้ง และครั้งนี้คงจะเป็นการเจรจาแลกเปลี่ยนตัวเขากับสิ่งที่มีมูลค่าสมกัน

พวกมนุษย์ไม่รู้เลยว่าโทษทัณฑ์ของอัศวินที่นำความเดือดร้อนมาให้เผ่าพันธุ์ของตัวเองคือความตาย

ตัวเขาในตอนนี้ไม่มีค่าใดกับแอสทารอธอีกแล้ว...

หากอาเดรียยื่นข้อเสนอ ก็เท่ากับเป็นการยื่นคำตัดสินประหารชีวิตให้กับเลสธีราห์ แต่ถ้าเขาสามารถหนีออกไปได้ก่อนถึงเวลานั้น เขาก็จะเป็นอิสระ และจะไม่ขอเกี่ยวข้องอะไรกับเผ่าพันธุ์มนุษย์อีก แม้ว่านั่นจะเปรียบได้กับการคว้านมีดลงไปในหัวใจของตัวเองก็ตามที เลสธีราห์ไม่รู้ว่าเขาเสียใจหรือรู้สึกอย่างไรกับสิ่งที่เกิดขึ้นในตอนนี้ เขารู้ดีถึงเหตุผลในการกระทำของทุกคน แต่มันก็ยากที่จะยอมรับเหตุผลเหล่านั้น

"เลสธีราห์"

เสียงที่คุ้นหูจนเกินไปดึงให้ร่างโปร่งสะดุ้งสุดตัว ใบหน้าที่อิดโรยอยู่แล้วยิ่งเผือดซีดไร้สีเลือดยิ่งกว่าเดิม ร่างโปร่งหันกลับไปมองประตูบานใหญ่ที่ปิดกั้นระหว่างเขาและเจ้าของน้ำเสียงด้วยความไม่แน่ใจว่าตนควรจะกล่าวอะไรตอบไปหรือวางตัวอย่างไร แม้ว่าเมื่อครู่นี้จะคิดได้ว่าตนอยากทำอะไรก็ตาม

แต่เพียงแค่ได้ยินเสียง หัวใจของเขาก็อุ่นวาบขึ้นมา...

เอเดรียนไม่มีความกล้าพอจะเปิดประตูเข้าไปในห้องนั้น แม้ว่าเขาจะมีอำนาจมากพอที่จะไล่เวรยามด้านหน้าออกไปก็ตาม แต่ชายหนุ่มไม่สามารถสู้หน้าคู่สนทนาได้ แม้จะอยากเอ่ยปากถามสักเท่าไหร่ว่าอีกฝ่ายได้รับบาดเจ็บตรงไหนหรือเปล่า ทว่าเอเดรียนกลับพูดไม่ออก ด้วยรู้ดีว่าตัวเขาเองเป็นคนปล่อยให้อีกฝ่ายได้รับอันตรายนี้

...สาเหตุของเรื่องทั้งหมดในวันนี้มันมาจากตัวเขาทั้งนั้น

เลสธีราห์ไม่มีสิทธิ์ลงกลอนประตู แต่เขาก็ไม่เข้าใจว่าเหตุใดอีกฝ่ายจึงไม่เข้ามาเผชิญหน้ากับเขาสักที เซนทอร์หนุ่มจึงค่อยๆก้าวออกไปและหยุดอยู่ตรงหน้าประตูราวกับต้องการฟังว่าเอเดรียนยังยืนอยู่ที่เดิมหรือไม่ และอีกฝ่ายมาที่นี่ด้วยจุดประสงค์ใด

ร่างโปร่งวางมือลงบนบานประตูไม้ก่อนจะหลับตา เขารู้สึกได้ว่าเอเดรียนหยุดมือไว้ที่บานจับประตู

และเสียงหัวใจของอีกฝ่ายก็ระสับระส่ายไม่สุขเอาเสียเลย "เลสธีราห์" ร่างสูงเอ่ยเรียกอีกครั้งด้วยน้ำเสียงสั่นเทา ก่อนจะเอนตัวอิงหน้าผากเข้ากับประตูอย่างหมดหนทางจะเอ่ยคำพูด "ข้าขอโทษ..." เพียงแค่คำนั้น เซนทอร์หนุ่มก็ดึงมือออกจากบานประตูราวกับไม่ต้องการได้ยิน แต่มันก็ยากเกินกว่าจะถอยเท้าหนีและเดินจากไปอย่างที่ตั้งใจจะทำ

เขาได้ยินเอเดรียนสูดหายใจเข้าอีกครั้งและพยายามเปล่งเสียงให้ดังกว่าเดิม "ข้าขอโทษ เลสธีราห์"

"พอแล้ว..." เซนทอร์หนุ่มเบือนหน้าหนี เขาไม่อยากจะอยู่ใกล้อีกฝ่ายอีกต่อไป แม้ว่าเอเดรียนจะเป็นคนที่อ่อนโยนสักเพียงใด และบรรยากาศรอบตัวฝ่ายนั้นจะอบอุ่นสักแค่ไหน ตอนนี้เลสธีราห์ไม่ต้องการสัมผัสมันเลยสักอย่างเดียว ร่างโปร่งกำหมัดแน่นและตวาดออกมาอย่างอดกลั้น "กลับไปซะ!"

ความอบอุ่นนั้นไม่ได้มีไว้ให้เขา... ความอ่อนโยนเองก็มีไว้สำหรับผู้อื่น

มันไม่ใช่สิ่งที่มีไว้สำหรับเซนทอร์!

เอเดรียนรับรู้ในอึดใจนั้นว่าคู่สนทนาได้ยินสิ่งที่เขาพูด ร่างสูงจับบานประตูแน่นและรวบรวมความกล้าทั้งหมดที่จะเปิดเข้าไปในห้องนั้น แต่มันก็ช่างยากราวกับประตูบานเดียวมีน้ำหนักมากยิ่งกว่าภูเขาทั้งลูก "เลสธีราห์" ร่างสูงเรียกชื่อนั้นอย่างอับจน แต่มันก็เป็นสิ่งเดียวที่เขาสามารถพูดออกมาได้ในตอนนี้ เป็นสิ่งเดียวที่เขาสามารถสื่อออกมาได้ว่าเขายังมีเยื่อใยต่ออีกฝ่าย

"กลับไป..." เซนทอร์หนุ่มดันตัวเองพิงกับประตูไม้ แม้ว่าเขาจะอยากไปให้พ้นจากตรงนี้ อยากจะลงกลอนเอาไว้และไม่พบใครอีกเลยจนกว่าเรื่องราวทั้งหมดจะจบลง แต่เพียงแค่ได้ยินเสียงของเอเดรียน ใจที่เคยเด็ดขาดก็หวั่นไหว ความคิดที่เคยแน่วแน่ก็สั่นคลอน

"เป็นคนเลวอีกสักครั้งได้ไหม ข้าจะได้ตัดใจจากเจ้าได้ง่ายขึ้น"

น้ำเสียงของเขาสั่นเครือ และน้ำตาก็เอ่อขึ้นมาจนภาพตรงหน้าพร่าเบลอ "ปล่อยข้าไปจากเจ้าได้ไหม เอเดรียน" เขารู้สึกถึงแรงที่พยายามจะดันประตูเข้ามา แต่เลสธีราห์ก็ใช้กำลังของตนปิดกั้นเอาไว้แบบนั้น "บอกว่าไปให้พ้นยังไงเล่า!!" สุดท้ายแล้ว ร่างโปร่งก็อดทนต่อไม่ได้ เขายืนพิงประตูอยู่อย่างนั้นและปล่อยให้น้ำตาไหลพรั่งพรูออกมาอาบแก้มทั้งสองข้าง

เจ้าคนโง่เลสธีราห์...

เอเดรียนไม่ดื้อดึงที่จะเข้ามา แต่ก็ไม่ถอดใจกลับไปอยู่ดี เขาได้ยินเสียงสะอื้นของอีกฝ่าย และมันบาดลึกเข้าไปจนทั้งอกเจ็บแปลบ เขาไม่เคยคิดเลยว่าคนอย่างเลสธีราห์จะร้องไห้ และไม่เคยคิดเลยว่าสาเหตุความเสียใจเจ็บปวดที่ทำให้ร่างโปร่งอดกลั้นต่อไปไม่ได้นั้นมันคือการกระทำของตัวเขาเอง

...ทั้งที่อยากจะปกป้องเอาไว้แท้ๆ

"อย่างน้อยให้ข้า..." แม่ทัพใหญ่พยายามอีกครั้ง "เป็นที่พักพิงของเจ้าอีกสักครั้ง"

เลสธีราห์ไม่ตอบคำ อีกทั้งยังไม่ละไปจากจุดที่ยืน ซึ่งนั่นหมายความว่าอีกฝ่ายไม่อนุญาตให้เขาเข้าไปพบหน้า ไม่ว่าจะด้วยจุดประสงค์อะไรก็ตาม เขาทำได้แค่ยืนอยู่ตรงนั้น ฟังเสียงลมหายใจขาดห้วง และฟังความพยายามในการกลั้นเสียงสะอื้นของอีกฝ่ายด้วยหัวใจที่หนักอึ้งและบอบช้ำไม่แพ้กัน

"ข้าไม่ได้ต้องการให้มันเป็นแบบนี้" เอเดรียนพยายามพูด "ข้าขอโทษ..."

"ข้าบอกให้หุบปาก!"

เซนทอร์หนุ่มไม่ต้องการฟัง แม้น้ำเสียงของเอเดรียนจะเป็นสิ่งที่เขาอยากได้ยิน เขาไม่ต้องการพบหน้า แม้ว่ารอยยิ้มของอีกฝ่ายจะเป็นสิ่งที่เขาอยากเห็น แต่สิ่งที่เขาพบเจอมันทำให้เขาหลาบจำและหวาดกลัวที่จะลุ่มหลงไปกับมัน "ข้า..." ร่างโปร่งสูดลมหายใจเข้าลึก "ข้าไม่อภัยให้"

พอกันที...

เขาจะไม่ใจอ่อนกับพวกมนุษย์อีกแล้ว และไม่ว่าเขาจะมีชีวิตรอดออกไปหรือไม่ เลสธีราห์ก็ไม่คิดจะยื่นมือเข้าช่วยเหลือมนุษย์อีก "พอที... ไม่ว่าเจ้าจะเอาข้ออ้างอะไรมาพูด ข้าก็ไม่ให้อภัย" ร่างโปร่งพยายามเสียงแข็ง เขาไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไรแล้วในตอนนี้ แต่นี่คือการตัดสินใจที่ดีที่สุด

...ไม่ว่าเขาจะรักอีกฝ่ายมากแค่ไหนก็ตาม

เอเดรียนเองก็ใช่จะแข็งแกร่งอย่างที่ตนเองเข้าใจ เพราะเพียงแค่ได้ยินคำนั้น แม่ทัพหนุ่มก็หลับตาลงอย่างสิ้นหวัง และได้ก่นด่าตนเองในอดีตที่ไม่กล้าตัดสินใจหรือลงมือทำสิ่งที่ตนควรจะทำ ซึ่งมันเป็นการปิดประตูโอกาสที่เหลืออยู่น้อยนิดของตนเอง ...เพียงแค่อึดใจเดียว เอเดรียนก็สูญเสียสิ่งที่เขาต้องการจะปกป้องไปตลอดกาล

แต่ในเมื่อนี่คือวิธีที่ดีที่สุด... เขาก็ควรจะตัดใจ

เมื่อรู้ตัวอีกที เอเดรียนก็รู้สึกได้ว่าน้ำตาอุ่นร้อนไหลผ่านแก้มของตน แม่ทัพหนุ่มไม่พูดต่อ ด้วยไม่รู้ว่าจะหาคำพูดใดมาเอ่ยอ้าง เลสธีราห์ไม่ให้อภัยเขา และเอเดรียนรู้ดีว่าอีกฝ่ายเด็ดขาดที่จะทำ สิ่งที่เขาควรจะทำตอนนี้คือการหันหลังกลับไปที่พักของตนเงียบๆเท่านั้น แต่นั่นกลับไม่ใช่สิ่งที่เอเดรียนต้องการเลยแม้แต่น้อย

"หากข้ากลับไป..." แม่ทัพใหญ่พยายามอีกครั้ง "เจ้าจะตัดใจจากข้าได้ใช่ไหม"

"ใช่..."

คำตอบที่สวนกลับมารวบเร็วและแน่วแน่ทำให้เขาต้องชะงักไปพักหนึ่ง "เช่นนั้นแล้ว... ข้าจะต้องทำอย่างไร เพื่อจะตัดใจจากเจ้าบ้าง เลสธีราห์" เซนทอร์หนุ่มหักห้ามใจไม่ให้ตนเองกระชากบานประตูเปิดออก แต่เพียงแค่คำนั้น ความคิดที่เคยเด็ดขาด และใจที่เข้มแข็งกลับแปรเปลี่ยนในอึดใจ เลสธีราห์หันกลับไปหาประตูไม้อีกครั้ง และค่อยๆเอียงหน้าผากแตะกับแผ่นไม้ ฟังเสียงลมหายใจของคู่สนทนาที่อยู่อีกฝั่งฟาก แม้ว่าอีกใจหนึ่งจะอยากให้เอเดรียนเข้ามาและกอดเขาเอาไว้ให้แน่นก็ตามที

"ถ้าความรู้สึกของข้ามันหักหาญได้อย่างเจ้าก็คงดี"

ในตอนนี้เลสธีราห์เกลียดวิธีการพูดแบบนี้ของเอเดรียนเหลือเกิน เพราะมันยิ่งทำให้เขาใจอ่อน และลืมไปว่าเมื่อครู่นี้โกรธเคืองอีกฝ่ายมากแค่ไหน "แต่ก่อนที่จะทำแบบนั้น... ให้ข้าพบเจ้าอีกสักครั้งได้ไหม เลสธีราห์" อีกฝ่ายอ้อนวอน และกระซิบผ่านประตูไม้ราวกับรู้ว่าเซนทอร์หนุ่มยังอยู่ตรงนั้นและรับฟังทุกคำพูดอย่างใจจดใจจ่อ

มือเรียวที่กอบกำบานจับประตูจนขาวซีดค่อยๆคลายออก และร่างโปร่งก็ถอยเท้าออกห่างช้าๆ เสียงก้าวเท้าถอยหลังของเลสธีราห์เป็นสัญญาณแทนคำอนุญาตให้เอเดรียนเข้ามาในห้องได้ ดังนั้นแม่ทัพใหญ่จึงค่อยๆดันประตูเข้าไป และกลั้นใจนิ่งเมื่อได้เห็นใบหน้าของคู่สนทาอีกครั้งหนึ่ง

ดวงตาสีฟ้าครามสดสวยแดงก่ำเช่นเดียวกับจมูกรื้นน้ำ ทว่ากลับไม่มีน้ำตาสักหยดปรากฎให้เห็น

เอเดรียนปิดประตูห้องลงไร้เสียง ก่อนจะก้าวเข้ามาใกล้กับเซนทอร์ แม้จะรู้ตัวดีว่าไม่มีสิทธิ์ไถ่ถาม แต่มือใหญ่ก็ค่อยๆยกขึ้นแตะรอยช้ำบนโหนกแก้มของคนตรงหน้า ดวงตาสีน้ำตาลเคลื่อนลงมองข้อมือทั้งสองข้างที่ถูกพันธนาการด้วยโซ่ตรวนหนักอึ้งและผิวกายที่เต็มไปด้วยรอยขีดข่วน

ทั้งหมดนี้เป็นความผิดของเขาคนเดียวแท้ๆ

"ข้าขอโทษ..." คนฟังหลับตาลงราวกับปฏิเสธ แต่ก็ยินยอมให้เอเดรียนประคองใบหน้าเอาไว้ด้วยมือทั้งสองข้าง ความอบอุ่นและอ่อนโยนที่เขาคุ้นเคยทำให้เซนทอร์ต้องใจอ่อน แม้ว่าใจหนึ่งจะยังคงย้ำเตือนว่าอีกฝ่ายทำอะไรเอาไว้บ้าง "ข้าขอโทษ" เอเดรียนอิงหน้าผากของตนกับอีกฝ่ายอย่างที่เคยทำมาตลอด สัมผัสอบอุ่นจนแทบละลายทำให้เลสธีราห์ขมเม้มริมฝีปากของตนอย่างอดกลั้น อีกฝ่ายยังคงกล่าวเช่นเดิมซ้ำๆด้วยไม่รู้ว่าควรจะพูดสิ่งใดต่อไป

"พอใจหรือยัง" ร่างโปร่งใจแข็งเอ่ยถาม "ออกไปจากห้องข้าได้หรือยัง"

เซนทอร์หนุ่มออกปากไล่ แต่ตัวเขาเองต่างหากที่ทนอยู่ในบรรยากาศแบบนี้ไม่ไหวอีกต่อไป เลสธีราห์อยากนั่งพัก อยากทรุดตัวลงกับพื้นและนั่งนิ่งอยู่เช่นนั้นเพื่อให้จิตใจสงบกว่านี้ และเขาคงจะทำไม่ได้หากเอเดรียนยังอยู่

"...เลสธีราห์"

"ออกไป..." เจ้าของชื่อย้ำอีกครั้งพร้อมกับหลับตาลง อุ้งมือเรียวขยับกำหมัดแน่นเพื่อระบายความอัดอั้นตันใจ แต่ไม่นาน มือที่ใหญ่กว่าของเอเดรียนก็แตะสัมผัสมือของเขาแผ่วเบา จนเลสธีราห์ยอมคลายหมัดออกในที่สุด และมือของเอเดรียนก็กอบกุมมือของเขาข้างนั้นไว้ ส่งผ่านความอ่อนโยนทั้งหมดไปช่วยปลอบโยนจิตใจที่บอบช้ำ เลสธีราห์หลับตาลงแน่น แต่ก็ยอมให้อีกฝ่ายทำตามใจ เขาสัมผัสได้ถึงบรรยากาศผ่อนคลายรอบตัว ความรู้สึกดีๆที่อีกฝ่ายเคยมองให้กลับมาในความทรงจำ ความรู้สึกที่แสนมีค่าที่เขาไม่เคยได้รับจากใครมาก่อนไหลเวียนกลับมาเด่นชัดในความทรงจำราวกับมันเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อครู่นี้ ความกลัว ความกังวล และความสิ้นหวังทั้งหมดทั้งปวงถูกขับไล่ออกไป และแทนที่ด้วยความอบอุ่นของเอเดรียน

"หันหลังไปจากข้าสักที"

เซนทอร์หนุ่มพยายามจะหนักแน่น แต่ปลายจมูกโด่งก็เอียงแนบสันจมูกของเขาช้าๆ ก่อนที่ริมฝีปากบางจะค่อยๆแตะสัมผัสกันเป็นครั้งแรก "..." เลสธีราห์เผลอกลั้นหายใจและเผยอกลีบปากออกรับจุมพิตจากอีกฝ่ายอย่างไม่อาจห้ามตัวเองได้ ปลายลิ้นของเอเดรียนอุ่นร้อนยิ่งกว่าอุณหภูมิจากฝ่ามือใหญ่ ทว่าแผ่วเบานุ่มนวลยิ่งกว่าลมหายใจที่รดรินอยู่

คิ้วเรียวขมวดมุ่นเข้าหากันขณะที่เปลือกตาบางปิดแน่นเพื่อกดกลั้นความรู้สึกที่อธิบายไม่ได้ เอเดรียนรุกริมฝีปากจูบเนิบช้าเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายตื่นตระหนกจนเกินไป เขาไม่เอื้อมแขนออกไปพันธนาการฝ่ายนั้น แต่รอให้เลสธีราห์วางมือลงบนบ่ากว้างด้วยตนเอง เสียงโซ่ตรวนแว่วมาเข้าหู และร่างสูงก็รับรู้ถึงน้ำหนักของมันเมื่อมือทั้งสองเหนี่ยวรั้งเขาไว้พร้อมกับตอบรับอย่างไม่แน่ใจ

เพียงเท่านี้ก็คงไม่ต้องพูดอะไรกันอีกแล้วกระมัง...

 “อือ…!” แขนแกร่งรวบเอวคอดเข้ามากอดแนบกาย ทั้งคู่ถอยออกจากกันเล็กน้อยเพื่อสูดอากาศเข้าปอด ลมหายใจของเลสธีราห์สั่นพร่าบ่งบอกถึงความสับสน  ร่างโปร่งขบริมฝีปากตัวเองและก้มลงมองต่ำอย่างขัดใจ “…” แต่เขาก็ไม่สามารถกล่าวคำใดออกมา เขาไม่สามารถยืนกรานเสียงแข็งได้ดังเดิม ไม่ว่าจะอยากสบถออกมาให้ดังสักแค่ไหน หรืออยากตวาดคนตรงหน้าให้สาแก่ใจอย่างไรก็พูดไม่ออก …นี่ช่างเป็นความอ่อนแอที่น่าอัปยศเหลือเกิน

…มนุษย์ช่างโลเล เขารู้อยู่แก่ใจไม่ใช่หรือไร

โดยเฉพาะเอเดรียนผู้นี้



แต่แค่อีกฝ่ายสัมผัสเขาแบบนี้ เลสธีราห์ก็ไม่อยากจะคิดอะไรอีกต่อไป “ปล่อย…” จิตใจของชายหนุ่มก็ยังต่อต้านความรู้สึก เหตุผลทั้งหมดทั้งมวลรวมตัวกันอยู่ในหัวและพยายามออกคำสั่งให้ร่างกายขืนออกจากวงแขนคนตรงหน้า เพราะเอเดรียนไม่ใช่หรือไรที่ทำให้เขาต้องอยู่ในสภาพนี้ เพราะเอเดรียนไม่ใช่หรือไรที่ทำให้เซนทอร์ที่ควรจะแข็งแกร่งถูกกำหราบพยศได้ง่ายดายเช่นนี้

แต่ก็เพราะเอเดรียนไม่ใช่หรือไรที่ทำให้เขาสละทุกอย่างเพียงเพื่อปกป้องชีวิตฝ่ายนั้นเอาไว้

คู่สนทนาไม่ตอบคำ เขาเพียงแค่ชะโงกมาอิงหน้าผากด้วยอีกครั้ง และสักพักหนึ่งกว่าเอเดรียนจะพูดอะไรออกมาด้วยเสียงต่ำเบาจนแทบไม่ได้ยิน “คิดว่าข้าจำไม่ได้หรือ... ว่าเคยทำอะไรเอาไว้” คำนั้นทำให้เลสธีราห์ต้องมุ่นคิ้ว การเคลื่อนไหวดิ้นรนทั้งหมดชะงักงันรอฟังคำต่อไป

“เป็นของข้าไม่ได้เหรอ เลสธีราห์”

“…”

เอเดรียนจำได้หรือ... แม้จะมึนเมาในรสสุรามากขนาดนั้น อีกฝ่ายก็พูดย้ำคำเดิมได้ไม่ผิดเพี้ยน อีกฝ่ายจำได้มาตลอดอย่างนั้นหรือว่าเขาทำอะไรบ้าง “แต่ข้า…” ร่างโปร่งอึกอัก “ข้าคือ เลสธีราห์ …ผู้บัญชาการกองเรือเซเลสต์แห่งแอสทารอธ”

“ข้ารู้...” ร่างสูงซบหน้ากับลาดไหล่อีกฝ่าย จากอ้อมกอดที่แสดงความเป็นเจ้าของในตอนแรก บัดนี้แปรเปลี่ยนเป็นการอ้อนวอนเหนี่ยวรั้ง และยิ่งออกแรงกอดรัดมากขึ้นเมื่อมือเรียวแตะเส้นผมสีเข้มแทนการปลอบโยน “ถึงตอนนี้ ข้าจะรู้แล้วว่าเจ้าเป็นใคร” น้ำเสียงของร่างสูงอ้อนวอน ลมหายใจอุ่นร้อนรินรดลำคอขาว "แต่ข้าก็ยังอยากครอบครองเจ้าไว้เพียงคนเดียวอยู่ดี"

เล็บคมจิกบ่ากว้างต่อต้าน แต่ก็ยอมผ่อนแรงลงในที่สุด

…เขาคิดอะไรไม่ออกอีกแล้ว

--------------------------------------------------
---------- TO BE CONTINUE ----------

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
ถึงเลสธีราห์จะใจอ่อนให้ง่าย ๆ แต่เรื่องอื่นคงไม่ง่ายนะเอเดรียน
รอตอนต่อไปค่ะ

ออฟไลน์ neverland

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 653
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-0
โอ้โหเจ็บปวด ถ้าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเจ้าคิดเจ้าแค้นสักนิดเรื่องจะไม่มีทางลงเอยแบบนี้เลย

ออฟไลน์ khaosap

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 165
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
    • Khaosap Writing
Re: ASTAROTH พันธนาการดวงดาว ตอนที่ 16.1
«ตอบ #49 เมื่อ08-11-2016 20:20:19 »

ตอนที่ 16.1

หญิงรับใช้ผู้มีหน้าที่ล้างจานทราบเรื่องทั้งหมดจากคนงานเลี้ยงม้า แต่เธอยังต้องล้างจานกองโตตรงหน้าให้เสร็จเสียก่อนจึงจะสามารถปลีกตัวออกไปจากคฤหาสน์ราห์โมนาได้ แต่แน่นอนว่าจิตใจของเฟรดาในตอนนี้ไม่ได้อยู่กับจานตรงหน้าเลย

เพล้ง...!

"ว้าย!" แต่แทนที่คนทำจานแตกจะตกใจ กลับเป็นหญิงรับใช้คนอื่นที่เสียขวัญและหันมาตำหนิเพื่อนร่วมงานคนใหม่ "ใบที่สามของสัปดาห์นี้แล้วนะเฟรดา!!" เซนทอร์หญิงในร่างมนุษย์ก้มหน้ารับคำตำหนิและเริ่มเก็บเศษจานกระเบื้องที่กระจัดกระจาย "เป็นอะไรของหล่อน เหม่อมาตั้งแต่เมื่อครู่นี้แล้ว"

"ข้าเหม่อหรือ" เฟรดาทวนคำเบาๆ "ขอโทษด้วย"

"นางอาจจะมีความรักอยู่ก็ได้ เจ้าก็อย่าไปถือสาเลย นี่ดีนะยังเป็นแค่จานเปล่า วันก่อนโน้นจินนาทำโถเครื่องปรุงแตก ถูกเอ็ดเอายกใหญ่แล้วก็ถูกตัดเบี้ยด้วยนะ" พวกหญิงรับใช้หันไปซุบซิบพูดคุยกันต่อโดยไม่ได้สนใจเฟรดา เซนทอร์สาวเองก็รู้สึกดีที่ไม่ถูกเซ้าซี้ให้มากความ เธอรีบนำเศษจานไปทิ้งและเดินกลับมายังกะละมังตรงหน้าต่อ

"นี่... พวกเจ้าเห็นท่านเอเดรียนกลับมาหรือยัง"

"เห็นว่าไปพบท่านชายซินญอร์ ตั้งแต่มีเรื่องเมื่อวานมานี้ มหาคฤหาสน์ก็คงจะวุ่นวายน่าดู"

เฟรดาเหลือบตาขึ้นมองและแอบฟังบทสนทนาเล็กน้อยเพื่อเป็นการเก็บข้อมูล ถึงแม้ว่าหัวข้อพูดคุยของหญิงรัลใช้เหล่านี้ส่วนมากจะไร้สาระและจินตนาการเป็นตุเป็นตะก็ตาม "ก็จับเซนทอร์ได้ทั้งทีนี่นะ แถมเป็นคนที่ปลอมตัวเข้ามาตีสนิทท่านเอเดรียนอีกต่างหาก"

"อย่างนั้นก็คงดีแล้วที่จับได้ ไม่อยากนั้นท่าเอเดรียนก็ต้องมีอันตรายอีก แบบคราวที่แล้วน่ะ"

"ก็ท่านเอเดรียนชอบพอใครง่ายจะตายไป ไม่กี่เดือน ไม่กี่วันก็หลงหัวปักหัวปำ"

"เฮอะ! ข้าทำงานที่นี่มาตั้งแต่ยังเด็ก ไม่เห็นท่านเอเดรียนจะชายตามองเลย!"

เฟรดากระพริบตาถี่ๆกับบทสนทนานั้น ด้วยประหลาดว่าไม่ใช่นางคนเดียวที่มีความเห็นว่าแม่ทัพเอเดรียนกับเลสธีราห์มีความสัมพันธ์แปลกประหลาดต่อกัน "เจ้าหมายความว่า..." เซนทอร์หญิงพูดบ้าง "ท่านเอเดรียนกับ... กับ... เซนทอร์ตนนั้น" เฟรดารู้ดีว่านางควรจะทำเป็นไม่รู้จักเลสธีราห์ ดีกว่าเรียกชื่ออย่างสนิทสนม

"ท่านเอเดรียนเห่อเขาจะตายไป..." หญิงรับใช้ว่า "นี่ขนาดเป็นเซนทอร์ และเป็นผู้ชายด้วยเนี่ยนะ!"

"เจ้าไม่รู้สึกประหลาดหรือไง" เฟรดาสงสัย "ข้าหมายถึง..."

หญิงรับใช้ทั้งสี่คนที่นั่งล้างจานอยู่หันมามองเฟรดาเป็นตาเดียวกันจะตอบพร้อมกัน "ประหลาด!" และแน่นอนกว่ากระพูดพร้อมกันทำให้เสียงของพวกดังไปทั่วบริเวณราวกับตะโกน ดังนั้นพวกนางจึงพยายามลดเสียงลงและแย่งกันพูดความคิดเห็นของตัวเอง "จริงอยู่ว่าคนผมทองแบบนั้นหายากมากในอาเดรีย และผู้ชายคนนั้นก็สง่างามราวกับรูปปั้น แต่..."

"ท่านเอเดรียนอาจจะเห่อคนสวย แต่ข้าก็คิดว่าอย่างไรก็หลงแค่รูป ผู้ชายกับผู้ชายมันจะทำอะไรได้!"

"ยิ่งมารู้เอาตอนนี้ว่าเขาคนนั้นเป็นเซนทอร์ ข้าคิดว่าท่านเอเดรียนคงเลิกชอบได้ไม่ยากนักหรอก" เฟรดามุ่นคิ้วกับสิ่งที่ได้ยิน นางพอจะรู้ว่าคืนนั้นเกิดอะไรขึ้นบ้าง และนางก็พอจะรับรู้ถึงความรู้สึกของเลสธีราห์ ดังนั้นการคาดเดาของเหล่าหญิงรับใช้จึงเป็นเรื่องที่น่าห่วง เพราะพวกนางรับใช้แม่ทัพเอเดรียนมาเป็นเวลนาน มีหรือจะไม่เข้าใจนิสัยใจคอของอีกฝ่าย

และหากเลสธีราห์เป็นฝ่ายเปิดเผยตัวตนก่อนเช่นนี้ ข้อสันนิฐานของเฟรดาจึงไม่น่าคลาดเคลื่อน

แต่การกระทำของแม่ทัพเอเดรียนต่างหากที่น่าห่วง เพราะหากฝ่ายนั้นเพียงแค่ 'หลงใหล' เลสธีราห์เพียงชั่วครู่ แน่นอนว่าจะสามารถหักหาญความรู้สึกนั้นได้ในเวลาไม่นาน และจะใช้ประโยชน์จากความรู้สึกของเลสธีราห์ในภายหลังเป็นแน่ ซึ่งนั่นอาจหมายถึงพลังของธนูแอควาเรียร์

"ข้าทำในส่วนของข้าเสร็จแล้ว ข้าคงต้องขอตัวก่อน" เฟรดาล้างมือก่อนจะลุกขึ้น "นึกได้ว่าพี่สาวข้าจะมาเยี่ยมจากคัสนาห์ในวันนี้และข้ายังไม่ได้เตรียมอาหารไว้ให้นางเลย พรุ่งนี้เช้าข้าจะมาทำชดเชยให้ก็แล้วกันนะ!" และโดยไม่ฟังเสียงทักท้วงจากเพื่อนร่วมงาน เฟรดาก็หันหลังกลับและรีบเดินออกไปจากเขตแดนของคฤหาสน์ราห์โมนา มุ่งหน้าออกไปจากปราการชั้นสอง สู่เขตตลาดกลางและย่านที่พักอาศัยของประชาชนธรรมดา

เซนทอร์มีเรี่ยวแรงมากกว่ามนุษย์ ดังนั้นหญิงสาวจึงสามารถวิ่งเหยาะๆมาได้ตลอดทางโดยไม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อย ก่อนจะตรงไปที่ชายป่าทางเหนือและคืนร่างกลับเป็นเซนทอร์เพื่อเดินทางกลับไปยังเมืองเลาน์เรนแห่งแอสทารอธ

...นางจะต้องแจ้งเรื่องนี้แก่พี่สาว แม่ทัพหญิงโมนา!

--------------------------------------------------

เมื่อเลสธีราห์ลืมตาขึ้นมา แสงอาทิตย์ก็ส่องจ้าเข้ามาถึงเตียงที่พักในห้องแล้ว

ความรู้สึกหนักที่ข้อมือเตือนให้เซนทอร์หนุ่มจำได้ว่าเขาอยู่ที่ไหน และอยู่ในสถานการณ์แบบไหน ร่างโปร่งขยับมือขึ้นมาขยี้ตาอย่างที่เคยทำทุกครั้งหลังตื่นนอน ก่อนจะถอนใจและหลับตาลงอีกครั้งเนื่องจากเขาไม่เห็นแม่ทัพอาเดรียอยู่ในสายตา

...ไม่รู้ว่าตอนนี้เขาควรจะตัดสินอีกฝ่ายว่าอย่างไรกันแน่

แล้วตัวเขาเองเล่าควรจะตัดสินใจอย่างไร ชายหนุ่มคิดว่าเขาควรจะเข้าใจโลกความเป็นจริงนี้นานแล้ว เลสธีราห์นึกโทษตัวเองอยู่ลึกๆที่ยอมให้ความรู้สึกอยู่เหนือเหตุผลจนการกระทำทุกอย่างแสดงออกมาผิดเพี้ยนไปหมด ต่อให้เขาตัดสินเอเดรียนไม่ได้ เขาก็ควรจะตัดสินใจของตัวเองได้ ตัวเขาที่เป็นแม่ทัพเรือของแอสทารอธกับเอเดรียนที่เป็นแม่ทัพใหญ่ของอาเดรียอยู่ห่างกันเกินไป

ห่างกันเกินกว่าทุกอย่างที่เขาคาดหวังจะเป็นไปได้...

แต่เขาก็ยังปรารถนาความอบอุ่นเหล่านั้น ความอ่อนโยนพวกนั้น และความรู้สึกแสนหวานที่เขาไม่เคยได้รับจากใครมาก่อน ทุกสิ่งนี้... เลสธีราห์รู้ดีว่าเขาครอบครองมันไม่ได้ หากเขายังได้ชื่อว่าเป็นเซนทอร์อยู่ และเอเดรียนก็คงไม่สามารถเลือกเขาได้เช่นกัน เพราะคำว่าหน้าที่ที่ค้ำคออยู่แบบนี้

นิ้วมือหยาบของเอเดรียนค่อยๆปัดปอยผมที่ปรกหน้าออกช้าๆ ทำให้คนที่นอนอยู่สะดุ้งสุดตัวและหันไปมองด้วยความตกใจ "...!" แม่ทัพหนุ่มแปลกใจเล็กน้อยเมื่อเห็นท่าทางของคนตรงหน้า ในขณะที่เลสธีราห์ยันตัวลุกขึ้นนั่งและพยายามขยับหนีด้วยความที่ไม่รู้จะวางตัวอย่างไร

"ไม่ต้องตกใจขนาดนั้นนี่" เอเดรียนเอ่ยเสียงเรียบ "หรือไม่อยากให้ข้าเข้าใกล้แล้ว"

เลสธีราห์ถอนใจยาวแล้วส่ายหัว "ข้าไม่คิดว่าเจ้าจะยังอยู่" ร่างโปร่งชอบนอนตะแคง และไม่ทันคิดว่าการที่เอเดรียนไม่อยู่ในสายตาไม่ได้จะแปลว่าเขาไม่อยู่ แม่ทัพหนุ่มหัวเราะสั้นๆกับตัวเองแล้วลูบผมยาวสีอ่อนของคนตรงหน้าอย่างอ่อนโยน

"คิดว่าข้าจะไปจากเจ้าได้ลงคอเชียว"

"ใครจะรู้ใจเจ้า..." เซนทอร์หนุ่มสวน และความเงียบก็ปกคลุมห้องด้วยความที่ทั้งคู่ไม่รู้จะพูดอะไร เอเดรียนมองออกไปนอกหน้าต่างด้วยท่าทางสงบนิ่งราวกับกำลังครุ่นคิดหาวิธีสื่อสารสิ่งที่อยู่ในจิตใจ เมื่อเลสธีราห์เห็นดังนั้นจึงรีบพูดขึ้นมาก่อน

"เจ้าไม่ต้องทำอะไรหรอก..." เขาว่า "ข้าอาจจะถูกเนรเทศจากแอสทารอธแล้วก็ได้"

"..." เอเดรียนมุ่นคิ้วตอบประโยคนั้น "ข้าจะไม่ยอมให้เรื่องแบบนั้นเกิดขึ้น" แม่ทัพใหญ่ว่า "ข้ารู้ว่าท่านชายคิดอะไร และทุกคนคิดอะไร แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่ข้าจะทำกับเจ้า" เอเดรียนได้ชื่อว่ามีความสามารถในการวางแผน ดังนั้นจึงไม่แปลกที่เขาจะรู้ว่าแต่ละคนที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้จะคิดอะไรอยู่ในใจบ้าง ผู้นำอาณาจักรต้องการใช้เลสธีราห์เป็นเครื่องมือต่อรองกับแอสทารอธแทนเรือจักรไอน้ำ เนื่องจากเลสธีราห์เป็นบุคคลสำคัญคนหนึ่งของแอสทารอธ และมีความเป็นไปได้สูงว่าเซนทอร์เองก็อาจต้องยอมตาม แต่นี่ก็เป็นวิธีที่สร้างศัตรูที่ง่ายที่สุดวิธีหนึ่ง อาเดรียต้องการแอสทารอธมาเป็นพันธมิตร หาใช่ศัตรู ดังนั้นเอเดรียนจึงต้องคิดหาวิธีไกล่เกลี่ยเรื่องนี้ให้เร็วที่สุด

"ข้าจะไม่มีวันยอมให้เจ้าอับอายขายหน้า"

เลสธีราห์ไม่ออกความเห็นในทันทีแต่กลับมองถาดอาหารเช้าที่วางอยู่ที่โต๊ะหัวเตียงสักพัก

"แล้วทำไม... เจ้าถึงไม่ช่วยข้าในตอนนั้น"

คนถูกถามเผลอกลั้นใจเมื่อได้ยินประโยคแทงใจนั้น ซึ่งเขาเองก็ไม่แน่ใจในเหตุผล เขาคิดได้แต่แรกแล้วว่าสิ่งที่หัวหน้าพรานทำเป็นเรื่องผิด คิดได้แต่แรกว่าตนควรยื่นมือเข้าปกป้องเลสธีราห์ที่เป็นคนของตน แต่เขากลับนิ่งเฉย ตกตะลึง เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นทำให้เขานึกถึงเหตุการณ์เก่าๆในอดีต ความรู้สึกเจ็บเหมือนหัวใจถูกบีบอย่างรุนแรงเหมือนกันกับตอนที่เขารู้ว่าตนถูกคนรักหักหลัง

...ตอนที่เขารู้ว่าถูกผู้หญิงคนนั้นหลอกมาตลอด เอเดรียนก็ยอมถูกจับโดยดีเพราะไม่อาจขยับตัวได้

"ข้าโลเล เลสธีราห์..." แม่ทัพหนุ่มตอบ

"นั่นไม่ใช่คำตอบที่หนักแน่นพอจะพูดกับเซนทอร์ เอเดรียน"

นัยน์ตาสีเข้มหลือบขึ้นมองประสานกับคนพูด เลสธีราห์ไม่ได้โกรธ ไม่มีโทสะอยู่ในสายตาและน้ำเสียงของฝ่ายนั้น แต่สิ่งที่คนครึ่งม้าต้องการที่สุดในตอนนี้คือความชัดเจน เซนทอร์ชอบความตรงไปตรงมา พวกเขาซื่อสัตย์และยึดมั่นในคำพูดเสมอ ดังนั้นการสนทนากับเผ่าพันธุ์นี้จะมีความโลเลไม่ได้

"เจ้าทำให้ข้านึกถึงอดีต..." เอเดรียนตอบอีกครั้ง "นึกถึงหญิงที่ข้าเคยรัก และสัญญาจะปกป้องนาง แต่ท้ายที่สุดแล้ว นางก็เป็นเพียงนกต่อจากธีสธรัลที่เขามาสืบเรื่องกองกำลังลับของอาเดรีย" คิ้วของคนพูดขมวดมุ่น "ข้าเกือบตายเพราะเหตุการณ์นั้น เลสธีราห์... และข้าไม่คิดว่ามันจะเกิดขึ้นกับข้าอีกหลังจากผ่านเหตุการณ์นั่นมาไม่ถึงปี"

"..." ถึงคราที่เลสธีราห์เป็นฝ่ายเงียบบ้าง ชายหนุ่มไม่รู้ว่าเขาควรจะตอบอะไร เขาควรจะขอโทษอีกฝ่ายหรือไม่ที่ทำให้นึกถึงอดีตที่ไม่ดีขึ้นมา เพราะการกระทำของเขาเองก็แทบไม่ได้ต่างจากผู้หญิงคนนั้นเลย แต่อาจจะดีกว่าอยู่บ้างที่เขามีเจตนาปกป้อง หาใช่เข่นฆ่า

แต่ทำให้เอเดรียนเสียความรู้สึกแบบนี้จะเรียกว่าดีกว่าได้อย่างไร

"และถ้าข้าปล่อยเจ้าไป... เจ้าจะกลับมาหาข้าอีกไหม เลสธีราห์" มือใหญ่เอื้อมไปลูบผมยาวสีอ่อน และร่างสูงก็ก้มลงอิงหน้าผากแนบอีกครา "ข้าต้องทำอย่างไร เพื่อให้เจ้ายังอยู่ตรงนี้" อีกฝ่ายพึมพำซ้ำไปมาอย่างไม่เข้าใจ และคนถูกถามได้แต่หลับตารับฟังเพราะเขาเองก็ไม่สามารถอธิบายทุกอย่างได้

เอเดรียนผละตัวออกเล็กน้อย และแนบริมฝีปากอุ่นจูบที่ผากหน้ามน ถ่ายทอดความรู้สึกที่ไม่อาจพูดออกมาได้ให้เซนทอร์หนุ่มรับรู้ ก่อนจะกอดเอาไว้อย่างนั้น อิงแอบไออุ่นของอีกฝ่าย และปรารถนาให้ช่วงเวลานี้คงอยู่ต่อไปเป็นนิรันดร์ แม้จะรู้ว่าไม่อาจทำได้ก็ตาม

แต่หากหลุดพ้นจากสถานการณ์นี้ไปได้มันจะดีแค่ไหน...

หากพวกเขามีเพียงกันและกันมันจะดีแค่ไหน...

เอเดรียนขบริมฝีปากของตนและกลืนคำว่า 'หนี' ลงคอไปด้วยรู้ว่าตนอยู่ในสถานะที่ไม่สามารถทำได้ เขามีภาระหน้าที่สำคัญจะต้องรับผิดชอบ หากหนีไปก็คงเป็นได้แค่คนเห็นแก่ตัว และคงไม่มีศักดิ์ศรีอะไรที่น่าภูมิใจ มีแต่สร้างความอับอายไปทั่วเท่านั้น สำหรับเซนทอร์แล้ว พวกเขายึดถือในความเป็นอัศวิน และเกียรติอันสูงสุดของอัศวินคือการได้ปกป้องบ้านเมือง

หากเขาปรารถนาเซนทอร์... เอเดรียนจะต้องมีเกียรติมากพอที่จะทำให้อีกฝ่ายภูมิใจ

แม้ว่าการได้มาซึ่งเกียรตินั้นอาจจะทำให้เขาไม่สามารถมีความสัมพันธ์แบบนี้กับเลสธีราห์ได้

ร่างสูงประคองมือเรียวของคนที่นอนอยู่ขึ้นจรดริมฝีปากลงไปบนฝ่ามือช้าๆ ...มันช่างเป็นความมุ่งมั่นที่เจ็บปวดเหลือเกิน การที่รู้ว่าตนเองต้องต่อสู้อย่างไร และต่อสู้ไปเพื่ออะไร แต่สุดท้ายก็อาจไม่ได้ครอบครองสิ่งที่ปรารถนา เอเดรียนหลับตาลงช้าๆ ในขณะที่เลสธีราห์ค่อยๆเคลื่อนมือขึ้นไปแตะสัมผัสเสี้ยวหน้าเย็นเฉียบ และประคองตัวเองลุกขึ้นนั่งช้าๆเพื่อจะมองคู่สนทนาให้ชัดขึ้น

"เราไม่ควรทำแบบนี้เลยจริงๆ" เซนทอร์หนุ่มว่า แล้วแนบหน้าผากตัวเองกับอีกฝ่ายอย่างที่ชอบทำ

...เราไม่คู่ควรกันเลยจริงๆ

--------------------------------------------------



ปล. กระดึ้บๆมาทีละครึ่งตอน OTL
ปล.2 จริมๆตอนที่แล้วเขามีซัมติงกันนะ แต่หาแทรกไม่ได้เลย ดูอารมณ์มันดราม๊าาาาไปหมดดดดด O]---[
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 08-11-2016 21:07:57 โดย khaosap »

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: ASTAROTH พันธนาการดวงดาว ตอนที่ 16.1
« ตอบ #49 เมื่อ: 08-11-2016 20:20:19 »





ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
อ่านตอนเริ่ม ๆ บทก็คิดอยู่ค่ะ ก็ดันเริ่มบทบนเตียงเสียอย่างนั้น
แต่ว่าทหารที่เฝ้าหน้าห้องจะไม่ได้ยินเสียงเหรอ
แล้วเลสธีราห์แปลงเป็นคนได้แล้วเหรอ
รอตอนต่อไปค่ะ

ออฟไลน์ khaosap

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 165
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
    • Khaosap Writing
Re: ASTAROTH พันธนาการดวงดาว ตอนที่ 16.2
«ตอบ #51 เมื่อ09-11-2016 19:45:27 »

ตอนที่ 16.2

ผู้นำอาณาจักรทอดมองคู่สนทนานิ่งๆเมื่อพบว่าแม่ทัพคนสนิทของตนปฏิเสธจะเข้าพบและส่งเลขาส่วนตัวมาแทนซึ่งนั่นก็คือจาเร็ตต์ "เมื่อไหร่กันที่แม่ทัพสามารถปฏิเสธคำสั่งของข้าได้" ซินญอร์เสียงแข็งอย่างไม่ค่อยสบอารมณ์นัก แต่เขาก็รู้ดีว่าจาเร็ตต์เป็นคนสนิทของเอเดรียนและมีความจงรักภักดีไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน ดังนั้นจึงนับว่าเป็นผู้ที่ไว้ใจได้คนหนึ่ง

"ทั้งที่รู้ว่านี่เป็นเรื่องสำคัญ..."

จาเร็ตต์ค้อมหัวลงรับคำตำหนิของผู้นำอาณาจักร "ท่านแม่ทัพเองก็กำลังสะสางเรื่องสำคัญอยู่ ดังนั้นจึงส่งข้ามาพบท่านชายแทนขอรับ" คำตอบที่ติดจะตรงไปตรงมาอยู่สักหน่อยทำให้ซินญอร์หัวเราะลงคอแม้ว่าจะรู้สึกขุ่นเคืองอยู่บ้าง แต่ก็คิดได้ว่ามีเรื่องที่สำคัญกว่าการต่อล้อต่อเถียงกับคนใต้บัญชาจึงหันมาสนใจสิ่งที่อยู่บนโต๊ะตรงหน้าแทน ...ซึ่งนั่นก็คือธนูแอควาเรียร์

"ได้ยินว่าเซนทอร์ที่ถูกจับได้เป็นคนสนิทของเอเดรียน" ผู้นำอาณาจักรมองคู่สนทนา "เหตุใดข้าจึงไม่รู้จัก"

"เลสธีราห์เพิ่งเข้ามาร่วมกับคณะของเราได้ไม่นาน แต่ข้าได้ยินว่าท่านแม่ทัพรู้จักสนิทสนมกับชายผู้นั้นมาสักพักใหญ่แล้ว" จาเร็ตต์ตอบตรง "พวกเราไม่เคยรู้มาก่อนว่าเซนทอร์สามารถแปลงกายเป็นมนุษย์ได้ ดังนั้นจึงไม่ได้เอะใจว่าเขาจะเป็นชาวแอสทารอธ แต่ข้าเป็นผู้ที่จับตาดูพฤติกรรมของเขาอยู่โดยตลอด พบว่าชายผู้นั้นไม่มีเจตนาร้ายใดๆ" ท่านชายซินญอร์ไม่ตอบคำ เพียงแต่พิจารณาคันธนูตรงหน้าอันเป็นศิลปะการแกะสลักของชาวเอลฟ์ที่หาดูได้ยาก

"แม้จะบอกว่าเขาไม่มีพิษภัย... แต่อย่างไรก็ไม่ใช่ชาวเมืองเรา"

"แต่หากมองหาสหายที่เติบโตมาด้วยกัน อยู่ด้วยกันจนไว้เนื้อเชื่อใจ... เราล้มตายกันไปมากเท่าไหร่แล้ว ท่านชาย" จาเร็ตต์มุ่นคิ้ว "เหลือเพียงข้า ท่านพี่โจฮาล และท่านแม่ทัพเท่านั้น ที่เรียกได้ว่าเติบโตมาด้วยกันจนไม่มีความลับต่อกัน เราจำเป็นต้องเปิดโอกาสให้คนใหม่ๆเข้ามา" แต่เดิมพวกเขาคือกลุ่มองครักษ์คนสนิทของท่านชายซินญอร์ แม้จะอายุอานามห่างกันไปบ้าง แต่ก็เข้ามาทำหน้าที่ในเวลาที่ไล่เลี่ยกัน และใช้เวลานับสิบปีในการหล่อหลอมความสัมพันธ์ ถึงอย่างนั้นก็ยังมีการสูญเสียไปกับสงครามและความไม่สงบ ดังนั้นกลุ่มองครักษ์คนสนิทในปัจจุบันจึงเหลือเพียงเท่านี้ โดยไม่มีผู้ร่วมงานใหม่ๆเข้ามา

"แล้วเอเดรียนไม่เข็ดหลาบหรืออย่างไร ด้วยการเอาคนนอกมาอยู่ใกล้ชิดแบบนี้!"

"เพราะเลสธีราห์ไม่เหมือนเวห์เซีย!" จาเร็ตต์ขึ้นเสียงตอบแทนผู้เป็นนาย ก่อนจะสูดลมหายใจเข้าลึกและอธิบายต่อ "เลสธีราห์มีความลับอยู่มาก ข้าเองก็ระวังระแวงไม่ต่าง... ในฐานะเพื่อนร่วมงาน แต่ในเมื่อเขาไม่ได้สร้างความเดือดร้อนให้อาเดรีย ข้าก็ไม่จำเป็นจะต้องหักหาญ" เลขาหนุ่มกำหมัดแน่น "และเหตุผลที่เขาถูกจับได้ในร่างเซนทอร์ ...ก็เพราะเขาพยายามจะช่วยเอเดรียนจากพวกไอย์ชวล" พรานป่าไม่ได้เล่ารายละเอียดเกี่ยวกับการ 'จับ' เซนทอร์ให้ผู้นำอาณาจักรฟัง ฝ่ายนั้นมองเพียงแค่ผลประโยชน์ของอาณาจักร เพราะพวกเขาจับ 'คนสำคัญของแอสทรอธ' มาได้

นี่ไม่ใช่วิธีการที่ซินญอร์ชอบใจนัก แต่เขาก็พอจะเห็นประโยชน์จากมันบ้างเมื่อได้ฟังเรื่องราวจากจาเร็ตต์

"ท่านชาย... ปล่อยเซนทอร์ตนนั้นเถอะ แล้วดำเนินแผนการตามเดิม"

"ส่งพวกเจ้าไปขโมยศาสตร์การต่อเรือมาจากธีสธรัลน่ะหรือ" ผู้นำอาณาจักรว่า "นั่นเป็นการฆ่าตัวตาย แม้แต่เด็กเล็กฟังเรื่องนี้ก็ยังรู้" เขามองออกไปนอกหน้าต่างซึ่งสามารถเห็นท่าเรือออโรราที่เงียบเหงาได้จากห้องทำงานในมหาคฤหาสน์นี้ "เสี่ยงตายถึงเพียงนั้น เพื่อจะนำสิ่งที่มีมูลค่ามหาศาลมามอบให้คนอื่น" ซินญอร์มุ่นคิ้ว "ข้ามองคนผิดไปหรืออย่างไร จาเร็ตต์ เหตุใดแม่ทัพของเจ้าจึงได้ยื่นข้อเสนอที่โง่เง่าเช่นนั้นไปได้"

"แต่หากเราไม่ยื่นสิ่งที่มีมูลค่า แอสทารอธอาจจะเข้าข้างธีสธรัล และนั่นคงจะทำให้เราตกที่นั่งลำบากกว่า"

ซินญอร์หลับตาลง "อาเดรียเราอาจจะไม่มีสิ่งที่มีมูลค่านั่นจริงๆก็ได้" เขาหันกลับมาหาคู่สนทนาอีกครั้ง "แต่ในเมื่อตอนนี้เราได้ตัวบุคคลสำคัญของแอสทารอธมาแล้ว ข้าคิดว่าเราคงไม่ต้องลงแรงมากขนาดนั้น ต่อให้แอสทารอธจะเคร่งครัดในกฎระเบียบมากแค่ไหนก็ตาม แต่ด้วยความหยิ่งทระนงในเผ่าพันธุ์ของตนเอง ข้าคิดว่าพวกเซนทอร์คงไม่ยอมอยู่เฉยและปล่อยให้.... เลสธีราห์... คนนั้นถูกจับอยู่ในอาเดรียหรอก"

"ท่านชาย...!" จาเร็ตต์เสียงแข็ง

"ถ้าไม่เห็นแก่ท่านแม่ทัพ ก็ขอให้เห็นแก่ความปลอดภัยของอาเดรียที่อาจจะมีศัตรูเพิ่มเป็นแอสทารอธ"

"ตอนนี้เจ้าแค่ทำตามวิธีการของข้า เราไม่ได้มีเวลามากนัก" ซินญอร์หรี่ตาลง "และหากจะพูดเรื่องของความสัมพันธ์ของแม่ทัพใหญ่กับเซนทอร์ตนนั้น เจ้าเองก็น่าจะคาดเดาได้ว่าอีกฝ่ายเป็นถึงแม่ทัพกองเรือเซเลสต์ ซึ่งไม่มีความเป็นไปได้ที่พวกเขาจะกลับมามีความสัมพันธ์แบบเดิมต่อกันอย่างที่วาดฝัน การดิ้นรนดื้อรั้นไปก็เป็นได้เพียงแค่การถ่วงเวลา" คำพูดของเขาทำให้จาเร็ตต์หมดหนทางจะตอบโต้ เพราะสิ่งที่ซินญอร์กล่าวนั้นคือความจริง เพียงแต่เป็นความจริงที่พอจะมีข้อดีอยู่บ้าง ต่างจากความจริงในปัจจุบันที่ดูจะเลวร้ายไปเสียหมด

"มันไม่มีประโยชน์ที่จะต่อสู้ จาเร็ตต์... ทำได้เพียงแค่ตัดใจ"

"เช่นนั้น..." คนสนิทกัดฟันและค้อมหัวลงน้อยๆเป็นการรับคำสั่ง "ท่านชายมีสิ่งใดจะบัญชา"

"เรือรบหลวงคาร์เธียร์จะเทียบท่าในช่วงบ่ายนี้ ข้าต้องการให้เอเดรียนออกไปรับหน้า" หากพูดถึงชื่อเรือรบหลวงคาร์เธียร์ ไม่ว่าใครก็รู้ดีว่านั่นหมายถึงการมาเยือนของผู้นำแห่งอาณาจักรธีสธรัล และนั่นก็ทำให้จาเร็ตต์เงยหน้าขึ้นมองผู้นำของตนอย่างไม่เชื่อหู "เราอาจจะไม่ต้องยื้อเซนทอร์ตนนั้นไว้นาน เพียงแต่ให้นานพอก็เท่านั้น"

"เช่นนั้น ข้าจะรีบแจ้งท่านแม่ทัพ" จาเร็ตต์ลุกขึ้นยืนและค้อมหัวให้กับผู้นำก่อนออกไปจากห้อง

ซินญอร์ยังคงมองตามอีกฝ่ายแม้ว่าจาเร็ตต์จะออกไปจากห้องสักพักแล้วก่อนจะถอนใจออกน้อยๆ ในขณะที่บุคคลอีกคนหนึ่งที่อยู่ในห้องเดียวกันก้าวออกมาจากอีกมุมห้องและนั่งลงบนโต๊ะทำงานอย่างไม่ค่อยจะรักษามารยาทเท่าไหร่ "นั่นจะเป็นเลขาของข้าด้วยหรือเปล่า หากข้าตอบรับคำเชิญให้นั่งตำแหน่งแม่ทัพแทนเอเดรียน" เจ้าของห้องลุกขึ้นยืนและเดินตรงไปที่หน้าต่างเนื่องจากไม่ต้องการให้คู่สนทนานั่งค้ำหัวตน

"อย่าทำเป็นเล่นไป เอเรส..."

"เมื่อวานนี้ยังแทบจะคุกเข่าอ้อนวอนข้าอยู่เลย ตอนนี้ออกคำสั่งเสียแล้วรึ ท่านชาย" เอเรสแค่นหัวเราะ "หรือมั่นใจแล้วว่าข้าจะเข้าร่วมแน่ถึงได้กล้าเสียงแข็งแบบนั้น" นัยน์ตาสีเข้มมองจ้องแผ่นหลังคู่สนทนา ก่อนจะยกเท้าขึ้นวางบนเก้าอี้ที่ว่าง "ข้ามาที่นี่ด้วยผลประโยชน์ อย่าเพิ่งได้ใจไปเสียล่ะ"

"เจ้าเห็นหรือยังว่าเอเดรียนอ่อนแอขนาดไหน" ซินญอร์เบื่อหน่ายจะฟังคำขู่ของโจรสลัด จึงได้พูดแทรกขึ้นมา เขารู้ว่าเอเรสไม่เคยปฏิเสธการสนทนาเรื่องเกี่ยวกับเอเดรียน "จะให้ข้าวางใจได้อย่างไรว่าเขาจะสามารถประคับประคองอาณาจักรต่อไปได้ในสถานการณ์เช่นนี้ กับแค่เรื่องเล็กๆแค่นี้ยังหวั่นไหว"

"ถ้าท่านชายยังยืนยันข้อเสนอเดิม ข้าก็คงจะรับ..." เอเรสเหยียดยิ้ม "แต่ข้าต้องการเขาตอนมีชีวิตเท่านั้นนะ ตายแล้วไม่เอา"

--------------------------------------------------

เฟรดาหาพี่สาวของนางไม่พบเมื่อกลับมาถึงแอสทารอธ และได้คำตอบว่าแม่ทัพหญิงเดินทางกลับไปยังบ้านที่เมืองมารินาเพื่อดูแลอาการป่วยของบุตรชายซึ่งยังอยู่ในวัยทารก แม้ว่าโมนาจะเป็นบุคคลขี้โมโห อารมณ์เสียได้ง่ายกว่าใคร อีกทั้งยังเป็นถึงแม่ทัพใหญ่ที่ได้ชื่อว่าเลือดเย็นที่สุด แต่ใครจะรู้ว่านางมีครอบครัวแบบคนทั่วไปเหมือนกัน แต่เหตุผลที่นางต้องกลับไปยังมารินาในตอนนี้นั่นก็น่าจะเป้นเพราะสามีของนางนั้นดูแลเด็กเล็กไม่ถูกวิธีนั่นเอง

"เมื่อเช้ารึ!!" เฟรดาทอดถอนใจอย่างหมดเรี่ยวแรงเมื่อเห็นตัวเองคลาดกับแม่ทัพหญิงไปนิดเดียว

"อะไรกัน เฟรดา..." รีดาห์ตรงเข้ามาหาเซนทอร์หญิงที่หยุดพูดคุยกับทหารยาม ก่อนจะมองชุดกระโปรงที่นางสวมใส่ซึ่งเป็นชุดของหญิงรับใช้ในคฤหาสน์ราห์โมนา "เหตุใดจึงแต่งตัวประหลาดเช่นนี้" ตามปกติแล้วเซนทอร์จะสวมกระโปรงเพื่อใช้ปิดบังร่างกายท่อนล่าง ในส่วนของสตรีอาจมีเสื้อหนังบ้าง แต่ก็ไม่ใช่ชุดของมนุษย์เต็มยศแบบนี้

"ข้าเพิ่งกลับมาจากอาเดรีย..."

เฟรดาเริ่มเล่า แต่เมื่อเห็นบุคคลที่เดินเข้ามาด้านหลังรีดาห์ หญิงสาวก็ชะงักไป

"ได้ยินว่าเหนือหัวส่งเจ้าไปอาเดรีย..." เสียงเข้มของคนคุ้นเคยดังขึ้น พร้อมกับเสียงฝีเท้าอันคุ้นหูของซาฮาลที่ตรงเข้ามาร่วมบทสนทนา "ได้ความว่าอย่างไรล่ะ" ซาฮาลเดินเข้ามาหาคนที่ยืนนิ่งๆอย่างผิดปกติและกอดอกมองคาดคั้น “หน้าเจ้าบอกอย่างนั้น เฟรดา”

“อา…” เซนทอร์หญิงลังเล จริงอยู่ว่าซาฮาลเองก็เป็นคนที่พึ่งพาได้ และเป็นคนที่เก็บความลับเก่ง แต่สำหรับเลสธีราห์แล้ว เซนทอร์ร่างสูงผู้นี้เป็นคนน่ารำคาญมากคนหนึ่ง และหากเป็นไปได้ เฟรดาเชื่อว่าเลสธีราห์ไม่อยากบอกเรื่องอะไรกับซาฮาลเลยสักเรื่องเดียว

“เจอเลสธีราห์หรือไม่” อีกฝ่ายถามย้ำ และยิ่งเห็นท่าทางกระอักกระอ่วนของคนตรงหน้า ซาฮาลก็ยิ่งมั่นใจว่ามีเรื่องไม่ชอบมาพากลเกิดขึ้นแล้ว “หรือจะให้ข้าไปอาเดรียด้วยตัวเอง”

“เลสธีราห์ถูกพวกอาเดรียจับได้...”

เมื่อถูกไล่ต้อนอย่างนั้นแล้ว เฟรดาจะมีทางเลือกอื่นใดนอกจากต้อนยอมบอก เพราะหากปล่อยให้ซาฮาลไปถึงอาเดรียด้วยตัวเอง เรื่องคงจะบานปลายกว่านี้เป็นแน่ นางรู้ดีว่าซาฮาลเป็นคนอย่างไร ฝ่ายนั้นเด็ดขาดและดุดันแค่ไหน ความเป็นเซนทอร์ของอีกฝ่ายอาจจะทำให้ปัญหานี้กลายเป็นเรื่องใหญ่โตจนมีผลกระทบต่อการประลองวาร์ดาได้

…การประลองวาร์ดาคือการคัดเลือกเหนือหัวคนใหม่เข้ามาปกครองแอสทารอธ

ดังนั้นมันจึงสำคัญกว่าเรื่องของเลสธีราห์

“เลสธีราห์ทำงานพลาด” ซาฮาลเอ่ยเสียงเรียบ “ข้าน่าจะรู้ตั้งแต่กลุ่มดาวแห่งความเปลี่ยนแปลงดับแสง” ร่างสูงว่า “และโดยนิสัยของเจ้านั่นแล้วก็ไม่หนักแน่นพอที่จะทำภารกิจนี้ได้ตั้งแต่แรก” รองผู้บัญชาการเซเลสต์เหลือบตามองคนพูดด้วยความไม่พอใจ

เพราะซาฮาลชอบพูดแบบนี้ ถึงถูกเลสธีราห์เกลียดเอาไม่ใช่หรือ

“ถ้าเจ้าพูดอะไรออกมาแล้วไม่มันไม่ช่วยให้เรื่องดีขึ้นก็ไม่จำเป็นต้องพูดกระมัง ซาฮาล”

คนถูกตำหนิจ้องมองคนพูดกลับด้วยดวงตาสีดำดุดัน แม้คำพูดนั้นจะแทงใจจนทำให้ซาฮาลมีโทสะขึ้นมาบ้าง แต่เขาก็เลือกที่จะไม่ตอบโต้เนื่องด้วยในความคิดของเขาแล้ว รีดาห์ก็มีนิสัยคล้ายเลสธีราห์ ดังนั้นจึงไม่แปลกใจที่ทั้งสองคนจะเข้าข้างกันเองบ่อยครั้งให้สมเป็นผู้บัญชาการและรองผู้บัญชาการ

…แต่เซเลสต์จะมีผู้นำที่ไม่หนักแน่นแบบนี้จริงหรือ

กองเรือรบเซเลสต์ที่มีชื่อเสียงของแอสทารอธ

“โทษทัณฑ์สำหรับความผิดพลาดครั้งนี้อาจเป็นความตายก็ได้” ร่างสูงพูดต่อ “อาเดรียก็จ้องจะบีบบังคับให้เราเป็นพันธมิตรอยู่แล้ว หากรู้ว่าเลสธีราห์คือลูกของราชเลขา พวกมันจะต้องใช้ข้อนี้มาเล่นงานท่านหญิง และต่อให้นางเป็นคนหนักแน่นเท่าไร หากนำเรื่องบุตรชายขึ้นมาพูดแล้ว คนเป็นแม่ก็คือคนเป็นแม่อยู่ดี” นัยน์ตาสีเข้มหรี่ลงอย่างครุ่นคิด “หากแอสทารอธยอมตามอาเดรียเพียงเพื่อช่วยชีวิตเซนทอร์ตนเดียว... เราอาจจะต้องสูญเสียมากกว่าได้ประโยชน์”

“เลสธีราห์เป็นผู้บัญชาการเซเลสต์ เขามีความสามารถในการคาดเดาท้องทะเลที่แม่นยำที่สุดในหมู่เซนทอร์ เราจะไม่เสียดายคนเช่นนี้หน่อยเลยหรือไร หรือเจ้าต้องการตำแหน่งเสียเองลาะ ซาฮาล!” รีดาห์ตวาดถามอกมาอย่างทนฟังไม่ได้อีกต่อไป แต่นั่นก็ทำให้ผู้บัญชาการแห่งกราเทียร์มองกลับด้วยสายตาสงบนิ่งเท่านั้น

ซาฮาลเป็นคนเช่นนี้... เงียบขรึมทว่าเด็ดขาด

“ข้าต้องการยิ่งกว่าตำแหน่งผู้บัญชาการเซเลสต์”

“…”

“ข้าจะต้องชนะประลองวาร์ดา...” ร่างสูงกล่าวเสียงเรียบ ทว่าเป็นคำประกาศหนักแน่น “และคำพูดของข้าก็จะมีน้ำหนักมากกว่าเซนทอร์ตนใดในแอสทารอธ” กีบเท้าใหญ่ออกก้าวเดินผ่านร่างของรีดาห์ไป และมุ่งกลับไปที่คลังอาวุธของอาณาจักร “ทางเดียวเท่านั้นที่จะปรามไม่ให้เหนือหัวดาเรียสตัดสินประหารใคร”

เหนือหัวดาเรียสเด็ดขาดที่สุดในตอนนี้... และเห็นผลประโยชน์ของแอสทารอธเป็นที่ตั้งเสมอ

“ตามมา... เลือกเอาว่าจะช่วยผู้บัญชาการของเจ้าด้วยการยอมให้ข้าเป็นเหนือหัวคนต่อไปรึเปล่า”

รีดาห์หันมองแผ่นหลังกว้างของอีกฝ่ายพร้อมกับขมวดคิ้วอย่างเลือกไม่ได้ แม้ซาฮาลจะไม่ใช่คนเลวร้าย และอาจจะเหมาะสมกับตำแหน่งยิ่งกว่าใครในตอนนี้ แต่เลสธีราห์อาจจะตกที่นั่งลำบากได้หากอีกฝ่ายได้เป็นเหนือหัวแห่งแอสทารอธขึ้นมาจริงๆ “จะให้ข้าช่วยอะไร”

แต่เขามีทางเลือกอื่นที่จะช่วยเพื่อนหรือไร...

“เป็นลูกมือข้า” ร่าสูงเดินห่างออกไปแล้ว แต่ก็ยังได้ยินเสียงของรีดาห์ชัดเจน และได้ยินเสียงกีบเท้าที่บางกว่าของอีกฝ่ายวิ่งเหยาะๆตามมาอีกด้วย “แล้วก็เป็นคู่ซ้อมให้ข้าด้วย” รีดาห์มุ่นคิ้วไม่พอใจเล็กๆที่คำขอของอีกฝ่ายมีมากเกินกว่าที่เขาคิดเอาไว้ อีกทั้งยังประท้วงอยู่ในใจลึกๆด้วยว่า จะให้เขาเป็นคู่ซ้อมของอีกฝ่ายได้อย่างไร ในเมื่อขนาดตัวก็ต่างกันเพียงนี้แล้ว รีดาห์สูงเกินไหล่ซาฮาลมาเพียงเล็กน้อยด้วยซ้ำ

“จะขออะไรก็ให้มันน้อยๆหน่อย...”

ซาฮาลหันมองคนข้างกายนิ่งๆก่อนจะกล่าวตอบ “นั่นเป็นคำสั่ง”

--------------------------------------------------
---------- TO BE CONTINUE ----------

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
ไม่ชอบท่านชายซินญอร์และท่านหญิงซินญอร่าเลย (ตอนที่อ่านจากมุมนี้น่ะนะ)

ออฟไลน์ neverland

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 653
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-0
เราว่ามันเป็นสีเทาๆนะสำหรับความคิดของตัวละคนที่อยากจะได้สิ่งที่ดีที่สุดเพื่อตัวเอง แต่ท้ายที่สุดแล้วก็ทำให้คนอื่นเดือดร้อนแบบสาหัส

ออฟไลน์ khaosap

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 165
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
    • Khaosap Writing
Re: ASTAROTH พันธนาการดวงดาว ตอนที่ 17.1
«ตอบ #54 เมื่อ10-11-2016 08:48:47 »

ตอนที่ 17.1

'เจ้าไม่ต้องทำอะไรหรอก'

เหตุผลที่เลสธีราห์พูดแบบนั้นออกไป ด้วยรู้อยู่แล้วว่าหากเรื่องนี้ดังไปถึงหูแอสทารอธเมื่อไหร่ บทลงโทษที่แสนจะชัดเจนของพวกเขาก็มีผลทันที มันจึงเปล่าประโยชน์ที่จะดิ้นรนต่อสู้ เว้นเสียแต่อาเดรียจะปล่อยตัวเขากลับไปและทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

แต่มีหรือทางอาเดรียจะยอม...

เอเดรียนอาจจะเห็นด้วยกับเขาด้วยความสิเน่หา แต่หากกระทั่งหัวพรานยังคิดใช้ประโยชน์จากเขาได้ มีหรือระดับผู้นำอาณาจักรจะคิดไม่ออก แม้ว่าพวกเขาจะคิดเข้าข้างตัวเองโดยไม่รู้ถึงกฎระเบียบของเซนทอร์เลยก็ตาม แต่หากไปพูดเอาตอนนี้ พวกมนุษย์ก็คงจะไม่เชื่ออยู่ดี มีทางเดียวก็คือการรอให้เอเดรียนจัดการเรื่องราวทุกอย่างตามที่อีกฝ่ายสัญญาไว้

แต่อย่างไรเอเดรียนก็เป็นมนุษย์ เผ่าที่ขึ้นชื่อได้ว่าผิดสัญญาบ่อยที่สุด

...จะเชื่อถือได้แค่ไหนเชียว

"เช่นนั้นเจ้าคงรู้แล้วว่าอาเดรียไม่มีสิ่งมีค่าอื่นใดที่สมน้ำสมเนื้อกับสิ่งที่เราร้องขอ" เอเดรียนยังอยู่ในห้องพักรับรองซึ่งมีไว้เพื่อต้อนรับแขกบ้านแขกเมือง อันเป็นสถานที่ที่ดีที่สุดที่จะต้อนรับผู้มาเยือนจากแอสทารอธ แม้ว่าผู้มาเยือนผู้นั้นจะถูกใส่โซ่ตรวนเอาไว้ที่มือก็ตาม "ข้าจึงต้องไปธีสธรัลให้ได้เพื่อหาสิ่งนั้นมาให้เจ้า"

"แล้วสิ่งที่เจ้าเคยพูดถึงก่อนหน้านี้เล่า... ทั้งเรื่องแรงงานฝีมือ เรื่องที่เราอยู่แผ่นดินเดียวกัน..."

"การส่งคนไปทำงานที่ต่างเมืองจะต้องถามความเห็นชอบจากขุนนางอีกฝ่าย และข้าไม่มีอำนาจที่จะถาม มันคงเป็นแค่การก้าวก่ายหน้าที่ของผู้อื่น ข้ามีหน้าที่ดูแลความสงบเรียบร้อยของบ้านเมืองเท่านั้น" เอเดรียนกลืนน้ำลายเมื่อคิดถึงอะไรบางอย่าง "ผู้ที่สามารถออกคำสั่งได้คือท่านชายซินญอร์ ต่อให้ข้าเป็นคนสนิทของเขา แต่ก็ใช่ว่าจะโน้มน้าวได้ทุกเรื่องเสมอไป อีกทั้งยังมีท่านหญิงซินญอร่าอีกคนที่คอยควบคุมท่านชายอยู่ หากต้องการทำเช่นนั้นจริงๆ อาเดรียต้องเป็นอิสระจากการควบคุมของคัสนาห์ก่อน" เมื่อคิดต่อไปถึงจุดนั้น แม่ทัพหนุ่มก็เบือนหน้าหนีราวกับไม่ต้องการจินตนาการต่อ

"นั่นคือการทำลายความสัมพันธ์ของผู้นำแฝด" แม่ทัพใหญ่ถอนใจ "ซึ่งข้าทำไม่ได้ เลสธีราห์"

ในสายตาของเซนทอร์หนุ่มแล้ว เขาคิดว่าเอเดรียนมีความคิดแปลกใหม่ก้าวหน้าพอที่จะเป็นผู้นำ เพียงแต่ติดขัดในบางเรื่องเท่านั้น ซึ่งบางเรื่องที่ว่านั่นก็คือความรักเคารพและความกตัญญูต่อผู้มีพระคุณอย่างท่านชายซินญอร์ "เมื่อครั้งที่เขาส่งข้าไปเจรจากับแอสทารอธ ท่านชายบอกให้ข้าเสนอเรื่องป่าเวทมนตร์ให้เซนทอร์ แต่ในความคิดของข้า มันคือการยกส่วนหนึ่งของคัสนาห์ให้แอสทารอธซึ่งเป็นไปไม่ได้ยิ่งกว่าเรื่องของเรือจักรไอน้ำ"

เลสธีราห์เบิกตาขึ้นเล็กน้อยเมื่อได้ยินเรื่องของป่าเวทมนตร์ ด้วยเซนทอร์ทุกตนรู้ดีว่ามีสิ่งใดอยู่ในป่านั้น และเป็นสิ่งที่เผ่าอาชาปรารถนามาโดยตลอด "ถึงอย่างนั้น ข้าก็ไม่เห็นเหนือหัวกล่าวถึงเรื่องป่าเวทมนตร์สักเท่าไหร่" ร่างโปร่งพึมพำ "อาจเป็นเพราะว่า... พวกเรา 'พลัดหลง' กับพวกยูนิคอร์นมานานแล้วจนแทบจะจดจำกันไม่ได้อีกต่อไป หากได้กลับมาพบกันอีกมันคงเป็นเพียงความยินดีทว่าหาประโยชน์อันใดไม่ได้" ที่ผ่านมาเอเดรียนขบคิดเรื่องนี้เพียงคนเดียวมาตลอด และคาดเดาไปต่างๆนานาด้วยไม่รู้ว่าควรจะปรึกษาใคร และที่ผ่านมา เลสธีราห์เป็นเพียงที่พักใจสำหรับเขาทว่าไม่ได้ช่วยเหลือเรื่องงานการสักเท่าไหร่ ดังนั้นจึงเป็นเรื่องที่น่ายินดีอย่างปละหลาดที่ในที่สุดเขาก็สามารถปรึกษาเรื่องเหล่านี้กับเซนทอร์จริงๆได้สักที

...แม้ว่าจะไม่ได้ยินดีกับสถานะปัจจุบันของเลสธีราห์ก็ตาม

"เอเดรียน!!" เสียงของจาเร็ตต์ที่ดังขึ้นหน้าประตูทำให้คนในห้องสะดุ้งสุดตัวด้วยความตกใจพร้อมกับขยับออกห่างกันตามสัญชาติญาณ เอเดรียนลุกขึ้นไปที่ประตูก่อนจะเปิดออกเพื่อจะพบว่าจาเร็ตต์มีสีหน้าตื่นตกใจราวกับเห็นผีอยู่ก็ไม่ปาน "เจ้า..." อีกฝ่ายหอบฮัก และยังไม่สามารถพูดเรื่องที่ทำให้เขาต้องวิ่งมาถึงที่นี่ออกมาได้

"มีอะไรกัน เหตุใดจึงต้องรีบร้อนขนาดนี้"

เอเดรียนเหลือบตามมองออกไปด้านนอกมหาคฤหาสน์ทางหน้าต่าง ซึ่งเบื้องล่างนั้นดูเหมือนจะมีความวุ่นวายมากกว่าปกติ พวกทหารยามเดินกันขวักไขว่ และเสียงเซ็งเซ่ของผู้คนที่ดังขึ้นมาจากท่าเรือที่อยู่ในส่วนของปราการชั้นนอกทำให้แม่ทัพหนุ่มเริ่มคาดเดาว่าจะต้องมีเรือมาเทียบท่าอย่างแน่นอน จะเป็นเรือของพ่อค้าชาวเอลฟ์หรืออย่างไร เพราะเขาออกคำสั่งให้ยิงเรือของธีสธรัลหากก้าวล่วงเข้ามาในน่านน้ำของอาเดรีย

"ท่านชายซินญอร์ว่าอย่างไรบ้าง เรื่องเรือเร็วที่ข้าขอ..."

"นั่นไม่ใช่เรื่องที่เราต้องตกใจในตอนนี้" จาเร็ตต์สูดหายใจลึกๆครั้งหนึ่งแล้วถือวิสาสะเข้ามาในห้องเพื่อจะลากแม่ทัพหนุ่มไปที่หน้าต่างทิศตะวันออก "ท่านชายปฏิเสธการนำเรือเร็วออกจากท่า เพราะมีภารกิจที่สำคัญกว่ารอเจ้าอยู่" เมื่อเอเดรียนไปถึงหน้าต่างและมองออกไปยังอ่าวออโรราแห่งอาเดรีย แม่ทัพหนุ่มก็ทำได้เพียงเบิกตาขึ้น

"ราชินีไวลด์... จากธีสธรัล มาถึงอาเดรียด้วยตัวเองแล้ว!"

--------------------------------------------------

อาวุธที่ซาฮาลถนัดที่สุดคือหอกสองคม แต่อาวุธที่รีดาห์ถนัดที่สุดกลับเป็นดาบอัศวิน ดังนั้นการฝึกซ้อมของพวกเขาจึงค่อนข้างลำบาก เนื่องจากรีดาห์ไม่คุ้นเคยกับหอกที่ทำจากไม้เลย “สนับเหล็กจะทำให้เจ้าย่อเข่าได้ยาก การต่อสู้ด้วยหอกจะต้องอาศัยความเร็วและความยืดหยุ่นในการขยับร่างกาย” ผู้นำกราเทียร์เปรยสอนเมื่อเห็นคู่ซ้อมของตนใส่สนับเหล็กไว้ที่ขาซึ่งต่างจากเขาที่ใช้สนับที่ทำจากหนัง

“อย่างกับว่าในสนามรบเจ้าสามารถเลือกได้ว่าจะประมือกับหอกหรือดาบ”

รีดาห์ที่ไม่เคยย้อมแพ้ในการถกเถียงสวนกลับเป็นการยืนยันว่าจะไม่เปลี่ยนเครื่องป้องกันที่ตนสวนใส่อยู่ แต่ซาฮาลก็มุ่นคิ้วดุกลับทำให้เซนทอร์หนุ่มต้องเงียบปากและจำใจฟังต่อไป “เพราะนี่เป็นการประลองตัวต่อตัว เจ้ามีสิทธิ์เลือกเครื่องป้องกันและอาวุธที่จะส่งเสริมความสามารถของเจ้าได้ดีที่สุด ไม่จำเป็นจะต้องคำนึงถึงสนามรบ ในตอนนี้คู่ต่อสู้ของเจ้ามีคนเดียว”

“อย่างกับว่าเจ้าให้โอกาสข้าเลือก ข้าถนัดดาบ เจ้าก็ยัดหอกใส่มือข้าแบบนี้”

ซาฮาลเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยแล้วถ่นลมหายใยาวๆเหนื่อยหน่าย “เพราะข้าถนัดหอก และคนที่จะลงประลองวาร์ดาคือข้า ไม่ใช่เจ้า” ร่างสูงหมุนตัวเดินกลับไปยังที่ของตนเพื่อตั้งต้นการประลอง โดยมีรีดาห์แอบแยกเขี้ยวตามหลังไปและเบ้หน้าล้อเลียน “อย่าดื้อนัก รีดาห์... นับวันเจ้าจะยิ่งเหมือนเลสธีราห์มากขึ้น กองเรือเซเลสต์มีเจ้านั่นคนเดียวก็เกินพอแล้ว”

“ทำไมเจ้าจะต้องคอยเหน็บแนม... เขาก็เป็นผู้นำทัพคนหนึ่ง เจ้าจะให้เกียรติเขาบ้างไม่ได้รึไง”

ซาฮาลหันกลับมาเผชิญหน้ากับรีดาห์และยกหอกไม้ขึ้นเตรียมพร้อม “เขาให้เกียรติคนที่มีเกียรติทัดเทียมกับข้า” เสียงเข้มบอกแน่วแน่ “ถ้าเลสธีราห์ยังดันตัวเองขึ้นมาเทียบเคียงข้าไม่ได้ เขาก็ไม่สมควรได้รับความเกรงใจจากข้า”

“เจ้านี่มัน...!”

ดวงตาสีดำดุดันของซาฮาลเพ่งมองคู่สนทนาเป็นเชิงปรามให้เงียบ “เจ้าก็เช่นกัน รีดาห์”

…เซนทอร์สองนกระโจนเข้าโรมรันกันหลังจากนั้น เสียงอาวุธไม้กระทบกันดังไปทั่วบริเวณ และด้วยพละกำลังที่มากกว่า อีกทั้งความชำนาญที่เหนือกว่า ซาฮาลจึงสามารถทำให้คู่ซ้อมของตนเพลี่ยงพล้ำได้ง่ายๆ “อ่อนซ้อมหรือไร รองผู้บัญชาการ!”

พลั่ก…!

ร่างโปร่งยกอาวุธขึ้นตั้งรับ แต่แรงกระแทกที่เหวี่ยงเข้าใส่ก็มากเกินกว่าเขาจะต้านไหว ขาทั้งสี่ของเซนทอร์จึงเอนย่อลงเพื่อถ่ายเทน้ำหนัก และจังหวะนั้นเองที่สนับขากดลงกับข้อเท้าอย่างผิดรูป “อั่ก!” รีดาห์กัดฟันด้วยความเจ็บปวด ขาข้างที่บาดเจ็บยกขึ้นพัก และมือที่ถือหอกก็เหวี่ยงอาวุธเข้าใส่คู่ต่อสู้เพื่อกันซาฮาลออกไปให้พ้นทาง

โครม…!

โล่หนักยกขึ้นรับการจู่โจม ก่อนจะเหวี่ยงกลับกระแทกกับร่างโปร่งจนเสียหลักล้มลงกับพื้นที่สุด “โอ้ย! เบาหน่อยไม่ได้รึไง...” เซนทอร์ล้มมักเจ็บกว่าร่างมนุษย์ รีดาห์ที่ลงไปนอนกับพื้นยันตัวขึ้นและแยกเขี้ยวใส่ซาฮาลที่ยังถืออาวุธวนเวียนอยู่ใกล้ๆ “นี่เจ้าจะผึกซ้อม รึแค่อยากอัดข้ากันแน่!”

ซาฮาลเหวี่ยงหอกของตนลงปักกับพื้นทราย และเดินตรงเข้ามาหาร่างโปร่งที่ยังลุกไม่ขึ้น “เหนือหัวดาเรียสก็ถนัดดาบอัศวินเหมือนเจ้า แต่เขาคงจะมีทักษะมากกว่า” คนพูดโน้มตัวลงมาส่งมือให้คนเจ็บโดยไม่ย่อเข่าลงมา ทำให้รีดาห์ต้องเอื้อมสุดแขนเพื่อจับมือนั้น

“อุก…!!”

แต่ข้อเท้าข้างที่เจ็บก็ทำให้เซนทอร์หนุ่มต้องเสียลักล้มไม่เป็นท่าลงไปอีก “ข้าบอกเจ้าว่าอย่างไร เกี่ยวกับเรื่องสนับเหล็ก” น้ำเสียงของซาฮาลเย็นชา และสายตาที่มองมายังคนเจ็บก็ดูสมเพชมากกว่าจะสงสาร แต่แล้วเซนทอร์ที่ไม่ใคร่จะแปลงกายก็กลับร่างเป็นมนุษย์ และทิ้งโล่ของตนลงวางกับพื้นสนาม “เปลี่ยนร่างซะ จะได้เห็นชัดๆว่าบาดเจ็บตรงไหน”

ซาฮาลเดินอ้อมไปและก้มตัวลงถอดเครื่องป้องกันออกให้รีดาห์อย่างช่วยไม่ได้ “สนับขาหลังทำให้เจ้าเคลื่อนไหวไม่สะดวก ไม่จำเป็นต้องสวมใส่ในตอนนี้” ร่างสูงโยนสิ่งที่อยู่ในมือไปกองรวมกับโล่ของตน และหันกลับมาหารีดาห์ที่คืนร่างเป็นมนุษย์แล้ว เจ้าตัวค่อยๆถอดเกราะออกเพื่อตรวจดูอาการช้ำที่เกิดขึ้น

“ข้อเท้าเป็นสิ่งสำคัญสำหรับม้า... บวมขนาดนี้แล้วเจ้าจะวิ่งได้อย่างไร”

“เพราะใครเล่าที่ฝึกซ้อมแบบไม่ประเมินกำลังข้าแบบนี้” คนเจ็บโวยกลับ แต่แม้จะอยากปาเกราะใส่หน้าซาฮาลอย่างไรก็ต้องข่มใจไว้ เพราะเขาเชื่อว่าอีกฝ่ายคงมีวิธีเอาคืนอย่างแน่นอน “ไม่ต้องอ้างเลยว่าเหนือหัวดาเรียสจะพละกำลังมากกว่าข้าแน่นอน ข้าก็บอกเจ้าแต่แรกแล้วว่าข้าไม่มีปัญญาไปต่อสู้กับเจ้าหรอก”

คนถูกตำหนิทำหน้านิ่งไม่รู้สึกรู้สา และโดยไม่ย่อเข่าลงกับพื้น เขาคว้าแขนของรีดาห์แล้วดึงให้เจ้าตัวลงลุกขึ้นยืนบนขาข้างที่ไม่บาดเจ็บ “กลับไปพัก...”

“เหวอ!!”

แขนเรียวคล้องกับบ่ากว้างที่เต็มไปด้วยมัดกล้าม และน้ำหนักตัวของรีดาห์ก็ถ่ายเทไปยังร่างกายสูงใหญ่ ซาฮาลพาอีกฝ่ายเดินกะเพลกมุ่งกลับไปยังที่พักโดยไม่สนใจเสียงโวยวาย “แค่ย่อเข่าลงมามันเสียเกียรติเจ้ามากเลยหรือไง กระชากแบบนี้แขนข้าหักขึ้นมาอีกข้างจะเป็นอย่างไรกัน”

“ถ้าหักก็ให้มันรู้ไป...” เซนทอร์หนุ่มตอบย็นชา “ข้าไม่ย่อเข่าให้ใครนอกจากเหนือหัวดาเรียส”

รีดาห์กลอกตากับสิ่งที่ได้ยิน แต่ก็ต้องยอมรับว่าเซนทอร์ส่วนมากเป็นเช่นนี้ พวกเขามักไม่ย่อเข่าให้ใครนอกจากผู้นำ เพราะการกระทำเช่นนั้นหมายถึงการให้เกียรติอย่างนอบน้อมที่สุด “เดินช้าๆหน่อยได้ไหม”

“ถ้าปัญหามากนัก ข้าควรปล่อยให้เจ้ากลับเองจะดีกว่า”

ซาฮาลหันมองร่างโปร่งที่ยังบ่นกระปอดกระแปดตลอดการเดินกลับที่พักซึ่งก็คือที่พักของผู้นำกองเรือของแอสทารอธ “ขอโทษนะ ที่ข้าไม่เอาอ่าว วันๆข้าก็เอาแต่ซ่อมเรือ เบิกจ่ายเบี้ยซื้อไม้ ซื้ออุปกรณ์ ตรวจสภาพเรือ ไม่ได้ถือหอกถือดาบฝึกซ้อมแบบเจ้า” ร่างโปร่งอดประชดไม่ได้ “เจ้าเลือกคู่ซ้อมผิดเองต่างหาก”

“จะมีใครอีกที่ยอมเป็นคู่ซ้อมให้คนที่ลงประลองวาร์ดา” ซาฮาลตอบกลับเสียงเรียบ “ผู้ร่วมการประลองไม่มีทางฝึกซ้อมด้วยกันอยู่แล้ว เพราะเกรงว่าคู่ต่อสู้จะทำให้สภาพร่างกายของพวกเขาไม่พร้อมในการประลองจริง และนักรบแนวหน้าส่วนใหญ่ก็ร่วมการประลองวาร์ดาทั้งนั้น”

“ข้าจึงบอกว่าเจ้าเลือกคู่ซ้อมผิดไปไงเล่า”

“เจ้าก็เองก็เป็นนักรบ รีดาห์” ซาฮาลว่า “เพียงแค่อ่อนซ้อม และไม่ได้ให้ความสำคัญกับสภาพร่างกาย แต่ก็ยังหยิบจับอาวุธได้ดีกว่าเซนทอร์ทั่วไป” นั่นจะเรียกว่าคำชมก็ไม่เชิง เพราะการพูดของซาฮาลนับเป็นการวิเคราะห์เสียมากกว่าจะชื่นชม

“พูดอะไรดีๆก็เป็นนี่ เจ้าน่ะ...”

นัยน์ตาสีเข้มหรี่มองร่างโปร่งก่อนจะสนใจเส้นทางตรงหน้าตามเดิม “คำเยินยอทำให้คนลืมตัว”

“แต่คำปรามาสของเจ้าทำให้คนเกลียดชัง ซาฮาล”



“เจ้าเกลียดชัง หรือแค่หมั่นไส้ข้ารีดาห์”

“เออ หมั่นไส้”

--------------------------------------------------


รู้สึกเหมือนจะราบรื่น แต่ความรักของเอเดรียนกับเลสนี่มันหน่วงๆเน้อ OTL
แต่ซาฮาลกับรีดาห์คือไปตรงๆ ทื่อๆ เหมือนไม่มีอะไร แต่โมเม้นท์พวกนางดูจะเยอะนะ 555

ปล. ท่านชายแกซับซ้อนนะ... จริงๆแกเป็นตัวละครที่กดดันแบบไม่แสดงออกยิ่งกว่าเอเดรียนอีก
ท่านชายอายุ 42 ค่า โจฮาลล์ 38 เอเดรียน 34 จาเร็ตต์ 28 เลสธีราห์ 23 ซาฮาล 23 รีดาห์ 20 (อ้าว เด็กสุด)

ออฟไลน์ neverland

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 653
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-0
ท่านชายซินญอเหมือนวัยรุ่นเลยค่ะ ไม่รู้อายุนี่คิดว่ายี่สิบกลางๆ ฮ่าาาา
เราอ่านข้ามไปหรือเปล่าฉาก  :oo1: กัน หรือว่าคนเขียนไม่ได้ใส่ เพราะอ่านไปก็เจอแต่ความหวานอมขมกลืนของทั้งคู่
รีดาห์กับซาฮาลนี่ทื่อมาก ตรงไป แต่แอบจิ้นอยู่นะ 555555555555

ออฟไลน์ khaosap

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 165
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
    • Khaosap Writing
ท่านชายซินญอเหมือนวัยรุ่นเลยค่ะ ไม่รู้อายุนี่คิดว่ายี่สิบกลางๆ ฮ่าาาา
เราอ่านข้ามไปหรือเปล่าฉาก  :oo1: กัน หรือว่าคนเขียนไม่ได้ใส่ เพราะอ่านไปก็เจอแต่ความหวานอมขมกลืนของทั้งคู่
รีดาห์กับซาฮาลนี่ทื่อมาก ตรงไป แต่แอบจิ้นอยู่นะ 555555555555

ม... ไม่ได้ใส่ค่า OTL มันหน่วงจนไม่รู้จะใส่ตรงไหนดีถึงจะไม่ดึงอารมณ์... แต่เขามีซัมติงกันนะคะ 5555555

ออฟไลน์ khaosap

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 165
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
    • Khaosap Writing
Re: ASTAROTH พันธนาการดวงดาว ตอนที่ 17.2
«ตอบ #57 เมื่อ10-11-2016 20:53:43 »

ตอนที่ 17.2

ราชินีแห่งธีสธรัลไม่เคยเดินทางเข้ามาในอาเดรียอย่างเป็นทางการมาก่อน เพราะนางเองก็เพิ่งแย่งชิงราชบัลลังก์มาจากพี่ชาย และก่อนหน้านี้ก็เคยลักลอบเข้ามาเท่านั้น แต่จะเรียกครั้งนี้ว่าเป็นการเยือนอย่างเป็นทางการก็คงจะไม่ถูกนัก เนื่องจากว่าในตอนนี้ ความสัมพันธ์ระหว่างอาเดรียกับธีสธรัลก็ไม่ได้เป็นไปในทางที่ดีสักเท่าไหร่ การเดินทางมาเยือนของพระนางก็มาโดยมิได้รับเชิญ แต่อย่างน้อยพวกอาเดรียก็ยังแสดงความเคารพธงประจำราชวงศ์แห่งธีสธรัลบนเสาเรือหลวงบ้างด้วยการยินยอมให้พระนางเทียบท่า

โจฮาลพยายามต้อนรับผู้มาเยือนเพื่อสร้างความผ่อนคลาย แต่ราชินีก็ไม่ได้อยู่ในอารมณ์ยิ้มแย้มแจ่มใสเลย "ข้าต้องการพบทั้งซินญอร์ และซินญอร่า" แม้น้ำเสียงแท้จริงของพระนางจะหวานใส แต่ด้วยความที่เปล่งออกมาราบเรียบไร้อารมณ์ทำให้มันกลายเป็นประโยคที่เย็นชาที่สุดประโยคหนึ่ง แต่คนสนิทแม่ทัพก็ยิ้มประนีประนอมตอบ

"พระนางเดินทางมาไกลนัก ข้าให้คนจัดห้องรับรองเตรียมไว้แล้ว"

เหตุผลหนึ่งที่โจฮาลไม่รีบรุดไปตามผู้นำของอาเดรีย เนื่องจากท่านชายซินญอร์กล่าวชัดว่าไม่ประสงค์พบราชินีแห่งธีสธรัล แต่กลับให้แม่ทัพของตนออกหน้าแทน และเจรจาแทนทุกอย่าง ซึ่งแน่นนอนว่าทั้งเขาและจาเร็ตต์ต่างรู้ดีว่าเอเดรียนผู้เป็นตัวแทนของท่านชายเองก็สะสางปัญหาส่วนตัวอยู่กับเซนทอร์ที่ถูกกักบริเวณอยู่ภายในห้องพัก

“ข้านามว่าโจฮาล... อยู่ฝ่ายผังเมืองขอรับ” ชายผมแดงยิ้มการค้าและแนะนำตำแหน่งที่ถูกต้องของตนเองให้อีกฝ่ายได้รับรู้ เขาเริ่มก้าวนำพาอาคันตุกะจากต่างแดนเดินตรงไปยังเส้นทางที่จะพาพวกเขาไปถึงมหาคฤหาสน์อันถือเป็นพระราชวังแห่งอาเดรีย

แต่ด้วยความที่พวกเขาไม่มีราชวงศ์ และไม่มีกษัตริย์ ทำให้ที่พักของผู้นำถูกเรียกได้แค่มหาคฤหาสน์

“น่าแปลกที่ขุนนางฝ่ายบริหารต้องออกมาต้องรับข้าแบบนี้” ราชินีกล่าวเสียงเรียบทว่าประชดประชัน “น่าแปลกที่ไม่ใช่ผู้นำอาณาจักรเอง” นัยน์ตาสีฟ้าครามสดใสของนางช้อนขึ้นมองคู่สนทนา “น่าแปลก... ที่อาเดรียต้องการแยกตัวออกจากธีสธรัลทั้งที่ยังไม่มีความพร้อมใดๆ”

“…” โจฮาลไม่ถนัดการพูดคุยแบบนี้ แต่เขาก็ต้องถ่วงเวลาเอาไว้เพื่อรอให้เอเดรียนมาถึง

“ข้าเองก็อยากจะให้อิสระกับเมืองในอาณานิคมอยู่แล้ว แต่ในเมื่ออาเดรียคิดตีตนออกห่างก่อนก็คงต้องว่ากันตามความสัมพันธ์ เพราะนี่นับเป็น 'วีรกรรม' อย่างหนึ่งที่จะต้องมีการพูดคุยกันให้ดี” โจฮาลพยายามคิดหาคำตอบ เสียงม้าที่ดังใกล้เข้ามาทำให้ทุกคนหันไปสนใจ อัลธอร์วิ่งเหยาะๆออกมาจากเขตปราการชั้นสอง และมุ่งตรงมาหากลุ่มอาคันตุกะ ก่อนที่คนขี่จะกระโดดลงจากหลังม้าและยืนตรงหน้าราชินีแห่งธีสธรัลพอดิบพอดี

พระนางไม่ขยับหลบอย่างผู้ติดตามของตน และมันก็ไม่ได้เข้าไปใกล้หญิงสาว

"ราชินีแห่งธีสธรัล.." นัยน์ตาสีดำขลับที่สุขุมเยือกเย็นรับกับผมสีเข้มที่ยาวประบ่าบ่งบอกราชินีได้ว่าบุคคลตรงหน้านี้คือคนใหญ่คนโตคนหนึ่งของอาเดรีย "เอเดรียน ผู้นำฝ่ายผังเมือง... ขออภัยแทนท่านผู้นำที่เสียมารยาทโดยการไม่ลงมาต้อนรับด้วยตนเองแต่แรก แต่ท่านชายซินญอร์ติดภารกิจ..."

ราชินีมองคู่สนทนาเยือกเย็น "หากจะพูดถึงเรื่องเสียมารยาท... ก็คงจะเสียมาตั้งนานแล้วกระมัง"

"ท่านชายซินญอร์ออกไปยังคัสนาห์ ต้องขออภัยอีกครั้งเนื่องด้วยทางเราไม่ทราบมาก่อนว่าพระนางจะเดินทางมา" เอเดรียนปล่อยให้อัลธอร์เป็นอิสระ และม้าศึกก็รู้งานดีจึงได้ถอยออกจากกลุ่มคน ราชินีธีสธรัลเห็นดังนั้นจึงจรดยิ้มจางที่มุมปากด้วยความเอ็นดู "นี่คงเป็นม้าศึกชั้นเลิศ... ของแม่ทัพเอเดรียนใช่หรือไม่" เพียงแค่เห็นบุคลิกที่น่าเกรงขาม อีกทั้งการแต่งกายกึ่งลำลองกึ่งทางการ หญิงสาวก็พอจะคาดเดาได้ว่าบุคคลตรงหน้าเป็นขุนนางที่มีความเกี่ยวข้องกับงานภาคสนาม

และขุนนางที่ต้องทำงานภาคสนามจะเป็นฝ่ายใดได้อีกหากไม่ใช่ฝ่ายทหาร

"ไม่ต้องปิดบังข้าหรอก ธีสธรัลผลัดบัลลังก์แล้ว ข้าเองไม่ได้ติดใจเรื่องที่อาเดรียจะจัดตั้งกองทัพของตนเองบ้าง" หญิงสาวกล่าวเสียงเรียบ "แต่หากมันเป็นกองทัพที่ตั้งขึ้นมาเพื่อสั่นคลอนบัลลังก์ของข้า เห็นทีว่าจะยอมไม่ได้เช่นกัน"

เอเดรียนไม่เห็นความจำเป็นที่จะต้องปิดบังอีกเช่นกัน เพราะตอนนี้อาเดรียก็ได้แสดงเจตนาชัดเจนว่าต้องการเป็นอิสระจากมหาอำนาจ "เราไม่มีความต้องการจะทำศึกสงครามกับผู้ใดหากไม่มีความจำเป็น ไม่ว่าใครก็ไม่ต้องการส่งผู้คนของตนเองออกไปตายกลางสนามรบทั้งนั้น"

"ดูเหมือนว่าเจ้าจะคิดต่างจากผู้นำของเจ้านะ"

ราชินีตอบพร้อมเหยียดยิ้ม นางเป็นฝ่ายก้าวเดินก่อนและมุ่งไปยังเส้นทางที่น่าจะพาพวกเขาไปถึงมหาคฤหาสน์ เอเดรียนตัดสินใจเดินอยู่เคียงข้างผู้นำแห่งธีสธรัลโดยเว้นระยะตามหลังสักสองก้าวเพื่อแสดงความเคารพและให้เกียรติ "ตอบข้าสิเอเดรียน... ท่านแม่ทัพใหญ่ คิดว่าการปิดท่าเรือแบบนี้มันต่างอะไรจากการปิดประตูใส่ข้า แต่ก็ยังพูดออกมาได้ว่าไม่ต้องการจะเปิดศึก"

เอเดรียนไม่มีวันกล่าวโทษผู้นำของตนเอง แต่เขาก็ยอมรับว่านี่เป็นการกระทำที่บุ่มบ่ามจนเกินไปของท่านหญิงซินญอร่า

"เราเพียงต้องการจะแสดงเจตจำนง เราต้องการการเจรจา... เหตุผลที่อาเดรียเดือดร้อนจากการเป็นเมืองขึ้นของธีสธรัลไม่ใช่เพราะธีสธรัลกดขี่เราเรื่องเบี้ยเงินค่าผ่านทางหรอกหรือ เมืองท่าที่ใหญ่ที่สุดในมหาทวีปตะวันตกกลับไร้ซึ่งความเจริญรุ่งเรืองเพราะต้องงดเว้นค่าผ่านทางให้กับเรือทุกลำของธีสธรัลที่เข้าออกวันละหลายร้อยครั้ง"

"ข้าเห็นด้วยเรื่องนั้น ท่านแม่ทัพ... แต่ท่านไม่คิดว่ามันตลกหรอกหรือ ที่แทนที่ท่านจะส่งคนมาเจรจากับข้า ท่านกลับส่งคนไปผูกมิตรกับแอสทารอธ" ผู้นำแห่งธีสธรัลหยุดเดินอีกครั้งและหันมาเผชิญหน้ากับแม่ทัพหนุ่ม "ผู้นำของท่านเอง... ที่นำพาความเดือดร้อนมาให้ท่าน ตัวข้านับว่ามีเมตตามากแล้วที่ยังใจเย็นพูดกับท่านได้แบบนี้"

จริงของพระนาง... พวกเขาเดินทางไปเจรจากับแอสทารอธ ก่อนจะคิดยื่นข้อเสนอให้ธีสธรัล

นั่นก็เพราะพวกเขาไม่คิดว่าธีสธรัลจะใจเย็นถึงเพียงนี้ และคาดเอาไว้ว่าอาจจะมีสงครามเกิดขึ้น อาเดรียจึงต้องการกองเรือรบของแอสทารอธมาสนับสนุนก่อน "อย่ามัวแต่ขอโทษขอโพยเลย อย่างไรก็คงช่วยปากท้องที่เดือดร้อนของประชาชนไม่ได้" ผู้นำหญิงตัดบท "ถ้าอาเดรียมีข้อเสนออะไรจะยื่นแก่ข้า... นี่คือโอกาสที่ข้าให้พวกเจ้า"

พวกเขาเดินไปถึงห้องพักรับรอง และเชิญให้ผู้นำแห่งธีสธรัลนั่งลงก่อนที่หญิงรับใช้จะนำน้ำชาและอาหารว่างมาเสิร์ฟ

เอเดรียนไม่รีรอที่จะตอบโต้เมื่อได้ยินเช่นนั้น "เราต้องการอิสรภาพ... การแลกเปลี่ยนที่เท่าเทียม เราต้องการจะ 'เลิก' การยกเว้นค่าธรรมเนียมท่าเรือให้กับธีสธรัล ไม่ว่าจะเป็นเรือลำไหน มีจุดประสงค์ใด แต่หากเทียบท่าแล้วจะต้องถูกปฏิบัติอย่างเท่าเทียมเหมือนกัน"

ที่ผ่านมาอาเดรียถูกบังคับให้ยกเว้นค่าจอดเรือให้กับธีสธรัล และเรือของอาณาจักรบนเกาะนี้ก็มีมากมายและใช้บริการท่าเรือของอาเดรียไม่ต่ำกว่าวันละร้อยลำ ซึ่งทำให้ท่าเรือที่ทรุดโทรมลงทุกวันไม่สามารถบูรณะซ่อมแซมได้เนื่องจากขาดเม็ดเงินหมุนเวียน ในขณะเดียวกันที่ธีสธรัลก็มีนโยบายยกเว้นค่าธรรมเนียมท่าเรือให้กับชาวเอลฟ์ ส่งผลให้พวกเอลฟ์ที่ไม่ได้ต้องการความรวดเร็วสนใจเทียบเรือที่ท่าของธีสธรัลมากกว่า และเงินสะพัดจากกิจการท่าเรือที่ควรจะเป็นของอาเดรียก็ตกเป็นของธีสธรัลแทน

ชาวเอลฟ์ที่เป็นนักเดินเรือได้ชื่อว่าเป็นกลุ่มคนที่มีรายได้สูง และมีรายจ่ายสูง พวกเขาเที่ยวเต็มที่และจ่ายไม่อั้นให้กับทั้งสินค้า สุรา และสตรี เมื่อชาวเอลฟ์เทียบท่าที่ธีสธรัลมากกว่า ค่าผ่านทางที่อาเดรียควรจะหาได้ก็หายไปด้วย อีกทั้งสินค้าบางอย่างเช่นวัสดุ ผลิตภัณฑ์ และสิ่งของที่ไม่เน่าเสียก็จะถูกเพิ่มราคาขึ้นเนื่องจากชาวเอลฟ์จะขายให้ธีสธรัล และธีสธรัลก็จะมาขายต่อให้อาเดรียในราคาที่มากกว่าเดิม

ราชินีแห่งธีสรัลถอนใจเบาและชั่งใจเรื่องค่าธรรมเนียมท่าเรือของอาเดรียที่ได้ชื่อว่ามีมูลค่าสามในห้าของค่าผ่านทางที่แอสทารอธเก็บจากผู้มาเยือน ...ท่าเรือของแอสทารอธแข็งแรงกว่า และมีสิ่งอำนวยความสะดวกมากกว่า ทว่าพวกคนครึ่งม้าจะไม่จำหน่ายสุรา และไม่มีสถานเริงรมย์ซึ่งเป็นสิ่งที่นักเดินเรือชื่นชอบ

"ข้าคงจะใจดีมากไปหากตอบตกลงในอึดใจ" หญิงสาวเริ่ม

"ค่าธรรมเนียมท่าเรืออาเดรียคิดเป็นสามในห้าของค่าธรรมเนียมท่าเรือแอสทารอธ ซึ่งนับว่าสูงไม่เบา... และมันคงจะโหดร้ายกับคนซึ่งแต่เดิมมีรายได้ไม่มาก แล้วยังจะเก็บค่าธรรมเนียมพวกเขาอีก ธีสธรัลอาจจะต้องเลิกการยกเว้นค่าธรรมเนียมท่าเรือให้ชาวเอลฟ์เพื่อหารายได้คืนมา และค่าธรรมเนียมท่าเรือของเราก็คิดเป็นสามในหกของค่าธรรมเนียมแอสทารอธ" เมื่อเริ่มพูดถึงการคำนวน โจฮาลก็พบว่านี่เป็นความสามารถอย่างหนึ่งของเอเดรียนที่ขุนนางฝ่ายทหารคนอื่นไม่มี "แปลว่าหากแอสทารอธเก็บสิบเหรียญต่อเรือหนึ่งลำ... อาเดรียก็จะเก็บหกเหรียญ ธีสธรัลก็จะเก็บห้าเหรียญ ตัวเลขส่วนต่างเท่านี้ไม่อาจจูงใจให้ชาวเอลฟ์เทียบท่าเรือเราได้ ดังนั้นรายได้ของเราคงไม่มากนัก"

เอเดรียนรู้ว่าคนตรงหน้ากำลังจะปฏิเสธของเสนอของเขา เพราะจริงอย่างที่อีกฝ่ายพูด ผู้นำอาณาจักรจะรับข้อเสนอที่ทำให้ประชาชนของตนเดือดร้อนทำไม "เช่นนั้นอาเดรียควรจะเก็บสักเจ็ดเหรียญหรือไม่ เพื่อจูงใจให้ชาวเอลฟ์ลงเรือที่ท่าเรือของธีสธรัลมากขึ้นบ้าง" มุมปากของผู้นำหญิงเหยียดยิ้มด้วยความสนุก

"...อาเดรียเรามีอัตราค่าธรรมเนียมเรือที่แตกต่างกัน นับตามจำนวนดาดฟ้าของเรือลำนั้นๆ หากเป็นเรือหนึ่งดาดฟ้าก็หกเหรียญ สองดาดฟ้าก็สิบสองเหรียญ แต่หากเป็นสามดาดฟ้าจะเก็บเพียงสิบห้าเหรียญ" การเจรจาอย่างพ่อค้าของเอเดรียนทำให้คู่สนทนาเกิดความสับสนเล็กน้อย ผู้นำแห่งธีสธรัลจึงเงียบไปสักพักเพื่อชั่งใจว่าสิ่งที่อีกฝ่ายเสนอขึ้นมาเป็นประโยชน์ต่ออาณาจักรของนางมากน้อยแค่ไหน

เรือพาณิชย์ของธีสธรัลมักเป็นเรือสองดาดฟ้า ดังนั้นหากนางยอมรับข้อเสนอนี้ พวกเขาก็ต้องจ่ายค่าธรรมเนียมสองเท่าเป็นปกติอยู่ดี และการจะนำเรือใหญ่ออกมานั้น พวกพ่อค้าจะต้องแน่ใจว่าสินค้าที่บรรทุกมาต้องเต็มลำเรือ ... นี่เป็นการเชื้อเชิญให้การค้ารุ่งเรืองขึ้นนี่เอง

และเรือของชาวเอลฟ์ก็มักเป็นเรือสามดาดฟ้า เนื่องจากพวกเขาเดินทางมาไกล และต้องใช้เรือที่แข็งแรงใหญ่โตมากกว่าปกติ นี่จึงเอื้อผลประโยชน์ให้ชาวเอลฟ์อีกด้วยอย่างไม่ต้องสงสัย การเจรจานี้แม้ว่าธีสธรัลจะดูเหนือกว่าอยู่บ้างในเรื่องความเป็นมหาอำนาจ แต่เอเดรียนก็สามารถกดให้เมืองคู่ค้าถือไพ่ต่ำกว่าได้ด้วยความสามารถในการเจรจาทางการค้าของตน

...เพราะมีคนแบบนี้อยู่ข้างกายผู้นำแห่งอาเดรีย เมืองนี้จึงแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ

และความเกลียดชังในจิตใจของผู้นำก็ยิ่งทำให้แม่ทัพหนุ่มเป็นปรปักษ์กับธีสธรัลมากยิ่งขึ้น

...

ผู้นำหญิงมุ่นคิ้วแน่นขึ้นขณะครุ่นคิด... ภารกิจอีกประการของนางคือการทำให้เอเดรียนเอียงเอนมาเป็นพันธมิตรให้ได้ เพราะต่อให้เป็นพันธมิตรไม่ได้ แต่อย่างน้อยนางก็ไม่คิดว่าการเป็นศัตรูทางการค้ากับคนแบบนี้จะเป็นเรื่องดีนัก

...แม้ว่าตอนนี้เอเดรียนจะดูกระด้างกระเดื่องกับนางเสียเหลือเกินก็ตาม

"ข้าอยากเสนอให้เจ้าร่วมมือ... เราอาจจะต้องร่วมกันการเจรจาการค้ากับพวกเอลฟ์จากตะวันออก หากต้องการผลประโยชน์ที่เท่าเทียม" หญิงสาวกล่าวขึ้นพร้อมรอยยิ้มที่ปั้นแต่งขึ้น "อย่างไรอาเดรียก็อยากจะขายของให้ธีสธรัล ธีสธรัลเองก็อยากซื้อของจากอาเดรีย ข้าไม่เห็นเหตุผลที่เจ้าจะไม่ตกลงร่วมมือกับข้า"

"อาเดรียตกเป็นเมืองขึ้นมายี่สิบแปดปี ยี่สิบแปดปีที่เราต้องสูญเสียเงินที่ควรจะได้รับจากธีสธรัล และมาถึงตอนนี้ที่เรามีความต้องการจะลืมตาอ้าปากบ้าง ท่านกลับพูดเช่นนี้หรือไร พระนางไวลด์..." อันที่จริงผู้นำหญิงกำลังคิดเรื่องการละเว้นภาษีสำหรับพ่อค้าที่เดินเรือ เพื่อไม่ให้พวกเขาโอดครวญและส่งนางกลับมาเจรจาเพื่อเรียกข้อตกลงเดิมกลับมา หญิงสาวเพิ่งจะขึ้นนั่งบัลลังก์ นางมีความเห็นใจ และเข้าใจอาเดรีย แต่อย่างไรก็คงไม่อาจละทิ้งประชาชนของตนเองได้

การยอมตามข้อตกลงทั้งหมดอาจทำให้ผู้คนในธีสธรัลลุกฮือขึ้นต่อต้านนาง

"เช่นนั้นแล้วอาเดรียจะค้าขายกับผู้ใด... อัสเซเดธอย่างนั้นหรือ อย่าลืมล่ะว่าเมืองนั้นค้าขายอยู่กับไอย์ชวล ซึ่งไอย์ชวลเป็นพันธมิตรกับข้า หากเจ้าแข็งข้อต่อข้า เจ้าก็คงจะเปิดสงครามเย็นกับไอย์ชวลเช่นกัน" นัยน์ตาเรียวหรี่ลงอย่างข่มขู่ "การที่ข้ายอมเดินทางมาเจรจากับพวกเจ้านับว่ามีเมตตามากพอแล้ว เอเดรียน... อย่าเรียกร้องความเมตตาจากข้าด้วยการให้ข้าหักหลังประชาชนของตนเอง"

เอเดรียนเองก็ไม่ยอมแพ้เพียงคำพูดนั้น...

เพราะสิ่งที่อาเดรียตัดสินใจทำลงไปมันไกลเกินกว่าจะยอมความโดยง่ายแล้ว

"ข้าให้สิ่งนี้เป็นสัญญายี่สิบแปดปี... เท่ากับจำนวนปีที่อาเดรียตกเป็นเมืองขึ้นของธีสธรัล และหลังจากนั้น ข้าจะยอมหารืออีกครั้งเพื่อให้ 'พวกเรา' มีผลประโยชน์ร่วมกัน" เอเดรียนยืนยันที่จะเก็บค่าธรรมเนียมหกเหรียญสำหรับเรือหนึ่งดาดฟ้า สิบสองเหรียญสำหรับเรือสองดาดฟ้า และสิบห้าเหรียญสำหรับเรือสามดาดฟ้าเป็นเวลายี่สิบแปดปี ซึ่งนั่นมากพอที่จะทำให้ชาวเมืองอาเดรียตั้งตัวได้

แต่แน่นอนว่าข้อตกลงนี้จะทำให้ผู้คนของธีสธรัลไม่พอใจมากแน่นอน

"เจ้าอาจเหนือกว่าในการเจรจา แต่ความเป็นมหาอำนาจของเจ้ามันเทียบเคียงข้าได้หรือ ท่านแม่ทัพ..." คิ้วเรียวเลิกขึ้นข้างหนึ่ง ในใจที่สงบนิ่งมานานของพระนางเริ่มเกิดโทสะขึ้นมา "พวกเจ้าต้องซื้อเนื้อสัตว์จากไอย์ชวล ข้าจะขอให้พวกเขาขึ้นราคากับอาเดรียเป็นพิเศษก็ย่อมได้... นี่จะเป็นการเพิ่มค่าครองชีพให้ชาวเมืองของเจ้าอย่างแน่นอน และข้าจะสั่งกองเรือลาดตระเวนของข้าให้เข้มงวดบนน่านน้ำมากขึ้นก็ย่อมได้ และอาณาเขตหาปลาของพวกเจ้าก็จะไม่เสรีอีกต่อไป ...เพียงเพราะเจ้าไม่ยอมเจรจาอย่างเท่าเทียมกับข้าน่ะหรือ เอเดรียน"

ราชินีแห่งธีสธรัลจรดยิ้มเจ้าเล่ห์จางๆ "จะให้ข้ายกกองเรือเวเรนเซียมาโจมตีพวกเจ้าเพื่อให้กลับไปเป็นเมืองขึ้นอีกครั้งก็ย่อมได้" ผู้นำแห่งธีสธรัลมีอำนาจมาก และยิ่งพวกเขาเป็นพันธมิตรของพวกภูตด้วยแล้ว อาเดรียก็ดูจะตกอยู่ในที่นั่งลำบากพอตัว ดังนั้นเอเดรียนจึงต้องหยุดคิดอีกครั้ง เพื่อหาข้อสรุปที่ลงตัวว่าเขาควรจะเรียกร้องจากธีสธรัลเท่าไหร่กันแน่

แต่สิ่งหนึ่งที่แน่นอนนั่นก็คือ... ธีสธรัลยอมรับข้อเสนอเก็บค่าธรรมเนียมท่าเรือของพวกเขาแล้ว

ทว่าหากพวกเขาตกลงกับธีสธรัลแล้ว เขาจะต้องหันหลังให้แอสทารอธอย่างนั้นหรือ

.

.

พวกเซนทอร์จะไม่ยอมเป็นแน่

--------------------------------------------------
---------- TO BE CONTINUE ----------


อาจจะงงนิดนึงเรื่องค่าผ่านทางนะคะ ฮาา... เอเดรียนเขามาจากตระกูลพ่อค้าอ่ะ ดูจะถนัด(??)
(ใบ้ว่ามาจากท่าเรือใต้นั่นแหละ ย่านอิทธิพล)

ออฟไลน์ khaosap

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 165
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
    • Khaosap Writing
Re: ASTAROTH พันธนาการดวงดาว ตอนที่ 18.1
«ตอบ #58 เมื่อ12-11-2016 21:46:11 »

ตอนที่ 18.1

ราชินีแห่งธีสธรัลเดินทางมาอาเดรียด้วยตนเองหรือ

เลสธีราห์มองดูความเคลื่อนไหวที่ท่าเรือออโรราด้วยความกังวล ชายหนุ่มรู้จักเรือรบหลวงคาร์เธียร์ดี เพราะมันเป็นเรือที่จะออกทะเลต่อเมื่อกษัตริย์แห่งธีสธรัลต้องการเดินทางเท่านั้น และแน่นอนว่าการมาเยือนอาเดรียครั้งนี้หมายถึงความพยายามในการเจรจาของราชินีองค์ใหม่ ซึ่งเป็นเรื่องน่ายินดีสำหรับอาเดรียที่พระนางไม่สั่งเคลื่อนกำลังพลกองเรือเวเรนเซียมาโจมตีให้รู้แล้วรู้รอด แต่สำหรับเซนทอร์อาจไม่ใช่เรื่องดีนัก เพราะพวกเขาต้องการมีส่วนร่วมอยู่บ้าง หากอาเดรียสามารถตกลงเจรจากับธีสธรัลได้ แอสทารอธอาจไม่ได้อะไรตอบแทนดังที่หวังเอาไว้เลย

อีกทั้งตัวเขาที่ควรจะเป็นสายสืบให้อาณาจักรก็กลับถูกขังอยู่แบบนี้อีก

...ช่างน่าสมเพช

แต่ถ้าอาเดรียไม่สามารถตกลงกับธีสธรัลได้ อีกฝ่ายอาจใช้ความแข็งแกร่งของกองเรือเวเรนเซียบุกโจมตีอาเดรียและทำให้เป็นเมืองขึ้นอีกคราก็ได้ เลสธีราห์เคยได้ยินชื่อของกองเรือรบเวเรนเซียมาบ้าง และเขาไม่คิดว่าอาเดรียจะได้ชัยชนะจากการโจมตีของกองเรือนี้ ต่อให้ตนเองมีกำแพงปราการปกป้องอยู่ถึงสามชั้นก็ตาม ซึ่งหากอาเดรียถูกโจมตีจริงๆ ทั้งสองพี่น้องผู้นำอาจถูกกำจัดทิ้งเลยก็เป็นได้

แล้วเอเดรียนเล่า... ฝ่ายนั้นเป็นแม่ทัพซึ่งเป็นตำแหน่งที่ธีสธรัลไม่อนุญาตให้มี

เอเดรียนจะเป็นอย่างไรต่อไป

เมื่อคิดแบบนี้ ใจของเลสธีราห์ก็บีบรัดขึ้นมาจนรู้สึกเจ็บ เอเดรียนอาจไม่ใช่คนประเภทวิ่งหนีปัญหา เพียงแต่ไม่รู้วิธีเผชิญหน้ากับมัน แต่เซนทอร์หนุ่มก็พอจะเดาได้ว่าอีกฝ่ายคงจะไม่ขัดขืนหากธีสธรัลจะสำเร็จโทษตัวเขาไปด้วย ไม่ว่าเมืองใดก็คิดทำเช่นนั้น หากต้องการให้เมืองใต้ปกครองไม่เหิมเกริมลุกฮือขึ้นมาต่อต้าน

แล้วเขาควรจะปล่อยให้เอเดรียนเผชิญหน้ากับชะตากรรมแบบนั้นหรือ

...ใจอีกฝ่ายเพียงแค่รักบ้านเมืองของตัวเอง หาใช่ช่วงชิงบัลลังก์ใคร

เขาควรจะปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไอย่างที่มันควรเป็นจริงหรือ แล้วภารกิจที่เหนือหัวดาเรียสมอบให้เขาเล่า เขาสามารถทำอะไรได้บ้าง เลสธีราห์คิดว่าเขาก้าวเข้ามาพบกับความว่างเปล่ามากกว่า เขาเข้ามาค้นพบว่าแท้จริงแล้วอาเดรียไม่มีอะไรที่เป็นประโยชน์ต่อพวกเขาเลย และหากอาเดรียไม่มีสิ่งใดที่แอสทารอธต้องการ เลสธีราห์ก็คิดว่าเขาควรจะถอยหลังกลับไปยังแอสทารอธ เขาควรจะอยู่กับเซนทอร์ เพราะธุระของมนุษย์ไม่ใช่เรื่องที่เขาควรจะสนใจ แต่เมื่อคิดเช่นนี้ ความทรงจำที่มีภาพของเอเดรียนก็ลอยวนซ้ำไปมาอยู่ในหัว ทั้งความเอ็นดูและอ่อนโยนที่เอเดรียนมอบให้ที่เขาไม่เคยได้รับจากใครอื่น

...รวมทั้งช่วงเวลาที่ได้อยู่ใกล้ชิดกับอีกฝ่าย

เสียงลมหายใจของฝ่ายนั้นยังดังสะท้อนอยู่ในหู และสัมผัสที่อ่อนโยนทว่าร้อนรุ่มดั่งไฟก็ยังสัมผัสได้ราวกับเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อครู่นี้ สิ่งเหล่านี้ทำให้เลสธีราห์ไม่อาจปล่อยมือจากเอเดรียนได้ ยังมีสายใยบางๆทว่าเหนียวแน่นที่ยังพันธนาการเขาเอาไว้ และเขาเองก็ไม่ปรารถนาจะตัดมันให้ขาดเช่นกัน

เซนทอร์หนุ่มทรุดตัวลงนั่งบนเตียงนอนและถอนใจยาวขณะเหม่อมองโซ่ตรวนที่พันธนาการมือของตนเอาไว้ และคิดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อคืนนี้ ริมฝีปากบางเม้มเข้าหากันอย่างครุ่นคิด เลสธีราห์กำลังถกเถียงในใจอย่างดุเดือดถึงวิธีการที่เขาจะรับมือกับสิ่งที่เกิดขึ้น ร่างโปร่งยอมรับว่าเขาพอใจกับสัมผัสของอีกฝ่าย แต่ก็ไม่ได้คิดว่ามันเป็นทุกสิ่งที่เขาปรารถนา ทว่าในตอนนี้มันกำลังทำให้เขาเกือบต้องสละทุกอย่าง

ก๊อก... ก๊อก...

เสียงเคาะประตูดังขึ้นโดยที่ไม่ได้เอ่ยชื่อเรียกคนข้างใน ทำให้เซนทอร์หนุ่มเดาว่าเป็นหญิงรับใช้นำอาหารเข้ามาให้ เขาจึงไม่เดินไปเปิดประตู แต่เมื่ออีกฝ่ายก้าวเข้ามาในห้อง ร่างโปร่งก็พบว่าผู้มาเยือนเป็นชายวัยกลางคนที่น่าจะมีอายุพอๆกับเหนือหัวดาเรียสแห่งแอสทารอธ พร้อมกับผู้ติดตามหนุ่มร่างสูงที่คุ้นหน้า ทว่าไม่เคยรู้จักกัน

"..." ความเงียบแผ่ปกคลุมทั้งห้องเนื่องจากเลสธีราห์เองก็ไม่ใช่คนประเภทที่ชอบพูดกับใคร

แทนที่ผู้มาเยือนจะเป็นฝ่ายเดินไปนั่ง แต่กลับเป็นผู้ติดตามเสียเองที่วิสาสะเดินไปยังหน้าต่างห้อง เลสธีราห์มองตามบุคคลผู้นั้นไปอย่างไม่ค่อยชอบใจนัก แม้ว่านี่จะไม่ใช่ห้องของเขาก็ตาม "ข้าคือซินญอร์... ผู้นำแห่งอาณาจักรอาเดรีย" แต่แล้วชายหนุ่มก็ต้องหันกลับมาหาคนที่ยังยืนอยู่ที่เดิม และพิจารณาอีกฝ่ายอย่างไม่ค่อยเชื่อสิ่งที่ได้ยิน

ท่านชายซินญอร์เดินไปนั่งที่โซฟารับรอง "ข้าขอให้เจ้าช่วยปลดโซ่ตรวนก่อนไม่ใช่หรือ เอเรส"

ชายหนุ่มเดาะลิ้นเบาๆราวกับถูกขัดใจ แม้ว่าจะพอใจที่ผู้นำอาณาจักรใช้คำพูดเชิงขอร้องกับตนก็ตาม ร่างสูงเดินไปหาเลสธีราห์ที่ขยับตัวถอยด้วยความระแวงก่อนจะไขกุญแจปลดตรวนเส้นหนักออกจากข้อมือ "ข้าไม่เคยรู้มาก่อนว่าเซนทอร์สามารถแปลงกายเป็นมนุษย์ได้" ผู้นำอาณาจักรเริ่มบทสนทนาโดยไม่สนใจว่าผู้ติดตามร่างสูงจะละออกไปและเริ่มเดินสำรวจห้องอีกครั้งด้วยความอยากรู้อยากเห็น

"ข้าคงไม่ต้องถามกระมังว่า เจ้ามีเหตุผลอะไรในการเข้าใกล้แม่ทัพใหญ่แห่งอาเดรีย"

เลสธีราห์กลั้นหายใจเมื่อได้ยินอย่างนั้น และเขารู้สึกได้ถึงสถานะของตนเองต่อหน้าผู้นำอาเดรีย แม้ว่าเอเดรียจะมองเขาอย่างไร มันก็ไม่อาจลบล้างภาพในหัวของผู้นำอาณาจักรได้ สำหรับซินญอร์แล้ว เลสธีราห์เป็นเพียงสายสืบของแอสทารอธ และมีฐานะเป็นนักโทษเท่านั้น "แต่ข้าจะถามว่าเหตุใด... เจ้าจึงเปิดเผยตนเองง่ายดายเพียงนั้น"

จาเร็ตต์บอกเขาว่าเซนทอร์ตนนี้ยอมเปิดเผยตัวเองเพื่อปกป้องเอเดรียน

...ดังนั้นความสัมพันธ์ของคนทั้งคู่ย่อมไม่ธรรมดาแน่นอน และมันอาจเป็นประโยชน์ต่ออาเดรีย

"ในเมื่อเจ้ามั่นใจว่าเจ้ารู้จุดประสงค์ของข้า... ทำไมจึงมาถามหาเหตุผลในเรื่องนี้ได้" แม้ว่าเขาอยู่ที่นี่ในฐานะนักโทษ แต่แน่นอนว่าความดื้อรั้นของเลสธีราห์ก็ยังเหมือนเดิม ต่อให้อยู่ตรงหน้าผู้นำอาณาจักรที่มีสิทธิ์สั่งประหารเขาเมื่อไหร่ก็ได้ "ทำไมจึงต้องมาพูดคุยในเมื่อมั่นใจว่าตัวเองทำในสิ่งที่ถูกต้องแล้ว"

"เพราะเหตุผลของเจ้าอาจเป็นประโยชน์ต่ออาเดรีย" ซินญอร์ตอบเรียบ

"ไม่สิ... เป็นประโยชน์ต่อเอเดรียนต่างหาก"

 

"เช่นนั้นข้าคงไม่มีอะไรจะตอบเจ้า เพราะข้าจะไม่ให้อาเดรียได้ประโยชน์ใดๆจากข้า" นัยน์ตาสีฟ้ามองคู่สนทนาอย่างเดือดดาล "และหากเจ้าไม่รู้กฎของเซนทอร์ ก็ขอให้รู้เอาไว้... ความผิดพลาดของข้าเป็นสิ่งที่ข้าจะต้องรับผิดชอบเพียงผู้เดียว เจ้าไม่สามารถใช้ข้าเป็นเครื่องมือในการต่อรองใดๆกับแอสทารอธได้ เพราะความรับผิดชอบของอัศวินที่ทำให้อาณาจักรได้รับความเดือดร้อน... มันคือความตายเท่านั้น"

ซินญอร์เหยียดยิ้มเล็กน้อย "ได้ยินเพียงเท่านั้นก็เป็นประโยชน์สำหรับอาเดรียมากแล้ว เลสธีราห์"

"ข้าไม่อนุญาตให้เจ้าเรียกชื่อข้า มนุษย์..."

"จริงอยู่ว่าพวกเซนทอร์เคร่งครัดในเรื่องของกฎระเบียบ แต่เจ้าเป็นถึงผู้นำกองเรือเซเลสต์ ผู้ครอบครองธนูแหวกสมุทรแอควาเรียร์ เจ้าแน่ใจหรือว่ามูลค่าชีวิตของตัวเองมันต่ำต้อยเพียงนั้น" ผู้นำอาณาจักรว่า "เจ้ายอมเปิดเผยความลับของตัวเองเพื่อปกป้องเอเดรียน เพียงแค่นั้นก็มีประโยชน์ต่ออาเดรียมากแล้ว" เซนทอร์หนุ่มเบิกตาขึ้นก่อนจะลุกยืนด้วยโทสะ แต่แล้วมือใหญ่ของผู้ติดตามก็กดบ่าของเขาลงเพื่อให้นั่งตามเดิม

"ชู่ว... คนสวย ไม่เอาน่า" อีกฝ่ายหัวเราะเบาๆในคอ และเสียงนั่นก็ทำให้เลสธีราห์มุ่นคิ้วอย่างสับสน

"ข้ามีเรื่องจะให้เจ้าช่วยเหลือ..."

"ท่านชายก็แหย่เขาอยู่นั่น เล่นกับหัวใจคนอื่นมันไม่สนุกนะ" อีกฝ่ายยืนอยู่ด้านหลังโซฟาที่ร่างโปร่งนั่งอยู่ และยังกดน้ำหนักไว้บนบ่าผอมเพื่อไม่ให้เลสธีราห์ลุกขึ้น "แค่พูดไปตรงๆแบบที่บอกข้า มันจะเป็นอะไรนักเชียว" อีกฝ่ายว่าก่อนจะก้มลงกระซิบข้างหูเบาๆสองสามประโยค ซึ่งทำให้เลสธีราห์เบิกตาขึ้นอีกครั้งและหันกลับไปมองผู้พูดพร้อมกับอ้าปากค้าง แต่คนพูดก็เพียงส่งยิ้มเล่นหัวกลับมาให้ก่อนจะยกนิ้วขึ้นแตะปากตัวเองอย่างยียวน

"ข้าจะรอคำตอบนะ"

ท่านชายซินญอร์ถอนใจเบาแล้วจึงลุกขึ้น "ไปเถอะ เอเรส" เขาหมุนตัวเดินกลับไปยังประตูบานใหญ่ แต่ก่อนที่จะออกไป ผู้นำอาณาจักรก็หันมาหาเลสธีราห์อีกครั้ง "ขออภัยที่เสียมารยาท ไม่ได้แนะนำ... นี่คือเอเรส ฟลินทรัสต์ ว่าที่แม่ทัพใหญ่ของอาณาจักรอาเดรีย"

--------------------------------------------------

ราชินีแห่งธีสธรัลต้องการเห็นความหวั่นไหวเมื่อนางเอ่ยถึงกองเรือเวเรนเซียอันแข็งแกร่ง

แต่เอเดรียนกลับไม่สะทกสะท้านเลยสักนิด ซ้ำแล้วยังมองพระนางด้วยสายตาเรียบเฉยไร้ความรู้สึกอีกด้วย "ข้าต้องการเพียงความยุติธรรม พระนาง... ประชาชนของเราเดือดร้อนมากเนิ่นนานเหลือเกิน" แม่ทัพหนุ่มพยายามโน้มน้าว "จริงอยู่ว่าธีสธรัลมีอำนาจพอที่จะบีบอาเดรียได้ด้วยวิธีการต่างๆนานา แต่ท่านอย่าลืมว่าทั้งคัสนาห์และอาเดรียมีขนาดใหญ่ และช่วยเหลือเกื้อกูลกันมาโดยตลอด คัสนาห์มีผลผลิตทางการเกษตร ส่วนอาเดรียมีความสามารถในการค้าขายและส่งออก แม้ไม่ต้องติดต่อกับใคร เราก็สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ด้วยตัวของเราเอง"

ราชินีมุ่นคิ้วเล็กน้อยในขณะที่คิดตาม และพระนางคิดว่าสิ่งที่เอเดรียนพูดเป็นความจริง

"ท่านจะให้ไอย์ชวลมาโจมตีเราหรือ เมืองนั้นสูญเสียกำลังพลไปมากเท่าไหร่ในสงครามที่ผ่านมา ต่อให้สามารถจัดทัพและยกพลมาบุกอาเดรียได้ก็ต้องรออย่างน้อยสองหรือสามเดือน" ไวลด์เม้มปากสนิทเพื่อคิดหาคำตอบโต้... นางไม่อาจเถียงสิ่งที่อีกฝ่ายกล่าวถึง ทั้งกองทัพธีสธรัลและไอย์ชวลต่างบอบช้ำอยู่แล้วจากสงครามก่อนหน้า และเหล่าทหารก็คงจะไม่ยินยอมให้เปิดสงครามอีกครั้งเช่นกัน "และประชาชนของท่าน..." เอเดรียนทอดยิ้มบาง "กำลังเดือดร้อนจากการกีดกันการค้านี้ การรอคอยอย่างไร้จุดหมายเพียงหนึ่งวันก็ทำให้ประชาชนเดือดร้อนได้ทุกหัวระแหง"

"อย่าดูถูกกองกำลังของข้าให้มากนัก ท่านแม่ทัพ..."

"จริงอยู่ว่าอาเดรียไม่มีกำลังพลหรือกองทัพที่แข็งแกร่งพอที่จะต่อสู้กับกองเรือเวเรนเซียของธีสธรัล แต่ท่านอย่าลืมว่า ในครั้งที่ธีสธรัลตีปราการของเราจนแตกได้ไม่ใช่เพราะอาเดรียไร้สามารถ แต่เพราะมีคนทรยศอยู่ข้างกายกษัตริย์คนก่อน... คอยชี้ทางและให้คำแนะนำผิดๆ มันไม่ใช่ความพ่ายแพ้ของอาเดรีย แต่มันคือคนทรยศที่ยอมขายวิญญาณให้เงินทองของศัตรู"

ผู้นำอาณาจักรชะงักนิ่งไปอีกสักพัก ด้วยใคร่ครวญถึงเหตุการณ์ที่ไม่อยู่ในความทรงจำ

พระนางไวลด์แห่งธีสธรัลมีอายุเพียงยี่สิบห้าปีเท่านั้น ดังนั้นนางจึงไม่เคยได้เห็นสงครามของอาเดรีย "หรือหากสัญญายี่สิบแปดปีนั้นเป็นคำขอร้องที่มากเกินไป" เอเดรียนพูดช้าๆ เพื่อให้แน่ใจว่าอีกฝ่ายคล้อยตามสิ่งที่เขากำลังจะขอ ซึ่งมันอาจมีมูลค่ามากกว่าเดิม "ข้าจะยอมลดค่าธรรมเนียมจอดเรือให้ตามที่ท่านขอได้ แต่ต้องแลกกับ... ศาสตร์การต่อเรือจักรไอน้ำของชาวเอลฟ์"

ทั้งผู้ติดตาม และผู้นำแห่งธีสธรัลแต่งเบิกตาขึ้นและอ้าปากค้างด้วยความตกใจในสิ่งที่เอเดรียนพูด ด้วยต่างรู้ดีว่าศาสตร์การต่อเรือจักรไอน้ำของชาวเอลฟ์นั้นมีมูลค่าสูงกว่าเม็ดเงินในสัญญายี่สิบแปดปีเสียอีก หากพระนางไวลด์ตอบตกลง ประชาชนของธีสธรัลก็แค่ไม่เดือดร้อนในทันทีและไม่ด่าทอถึงตัวพระนาง แต่อนาคตต่างหากที่ธีสธรัลจะต้องสูญเสียอีกไม่รู้เท่าไหร่

ช่างร้ายกาจนัก แม่ทัพใหญ่...

"ศาสตร์การต่อเรือจักรน้ำไอน้ำมีค่าแลกเปลี่ยน... กับอิสรภาพของอาณาจักรอาเดรียเท่านั้น!"

--------------------------------------------------

"เจ้าไม่ควรพูดอะไรให้มากเกินควร" ท่านชายซินญอร์กลับมายังห้องทำงานของตนโดยมีเอเรสเดินตามกลับมาด้วย แม้ว่าอีกฝ่ายจะเป็นถึงผู้นำตระกูลฟลินทรัสต์ผู้มีอิทธิพลในแถบท่าเรือทางใต้ และผู้นำกลุ่มโจรสลัดแห่งเทเทส แต่นับจากวันแรกที่เขาก้มหัวขอร้องให้เอเรสร่วมมือ เขาก็ไม่รู้สึกถึงความน่าเกรงขามเหล่านั้นอีกเลย ภายนอกของเอเรสดูเหมือนจะเป็นเพียงคนธรรมดาที่พูดมากคนหนึ่งเท่านั้น

"ท่านชายเองก็เอาแต่แหย่เขา ข้าเตือนว่าอย่าทำให้เซนทอร์โกรธจะดีกว่า ข้าเชื่อว่าเองก็ยังไม่อยากถูกคนสวยกระโดดเตะด้วยร่างของเซนทอร์ จริงไหม... พละกำลังของพวกเขนามากกว่าเราตั้งเท่าไหร่ ท่านก็น่าจะรู้" แม้เอเรสจะเป็นเหมือนคนพูดมากธรรมดา แต่แน่นอนว่าการมาถึงตำแหน่งผู้นำตระกูล และผู้นำโจรสลัดได้ด้วยวัยเพียงสามสิบ ย่อมหมายความว่าชายหนุ่มมีความคิด ความอ่าน และประสบการณ์มากกว่าที่เห็นแน่นอน

"ข้าไม่เห็นว่าเซนทอร์ตนนั้นจะเยื่อใยอะไรกับเอเดรียน" ซินญอร์ว่า

"เป็นครั้งแรกที่เอเดรียนกล้าขัดคำสั่งไม่มาพบท่านตามที่เรียกหาไม่ใช่หรือ" เอเรสเลิกคิ้ว "นั่นก็เป็นการประท้วงกลายๆของเขาแล้ว อีกอย่าง... สำหรับเรื่องนี้ ไม่ต้องรอฟังความจากเซนทอร์หรอก เพียงแค่เอเดรียนคนเดียวก็พอแล้ว" ดวงตาสีดำขลับของคนพูดหรี่ลงเล็กน้อย

"เห็นได้ชัดว่าเขามีใจให้คนสวยมากแค่ไหน..."

"เจ้าเรียกผู้ชายด้วยคำนั้นได้ลงรึ เอเรส" ท่านชายเลิกคิ้วเล็กน้อย ก่อนจะถอนใจออกมา "จริงอยู่ว่าบุคคลที่มีผมสีทองและผิวพรรณที่สวยขนาดนั้นจะหาได้ยากมากที่นี่ แต่... ก็เห็นมาตั้งแต่ต้นว่าเจ้านั่นเป็นผู้ชาย" คนพูดเม้มปากตนในขณะที่หาคำจำกัดความมาอธิบายสิ่งที่ทำให้เขากระอักกระอ่วน "ผู้ชาย..."

"คนสวย ยังไงก็เป็นคนสวยน่า..." เอเรสยักไหล่

"เจ้านั่นพูดเองว่าไม่อนุญาตให้เรียกชื่อ ข้าจะไปกล้าหือเรียกชื่อเขาได้อย่างไร แม้ว่าจะชื่อเพราะอีกก็เถอะนะ" คนหนุ่มหัวเราะลงคอ "เอาเถอะ... การชอบพอกันของผู้ชายไม่ทำให้ข้าแปลกใจสักเท่าไหร่ บางทีพวกโจรสลัดมองหน้ากันทั้งวันจนคิดแบบนั้นมันก็มีอยู่หรอก ดีเสียอีกที่ลดคู่แข่งลงด้วยเวลาไปจอดเทียบท่าที่ไหนแล้วเจอสาวสวยในร้านเหล้าเข้า"

"เจ้ามันพูดมาก..."

ซินญอร์ส่ายหัวน้อยๆแล้วหันกลับไปมองท่าเรือออโรราอีกครั้ง และหยุดพิจารณาเรือรบหลวงคาร์เธียร์ที่ทอดสมออยู่เพียงลำพัง "ต่อให้ธีสธรัลจะยอมอ่อนข้อเจรจากับเรา แต่ข้าก็รู้ว่ามันไม่ง่าย..." ราวรำพันกับตัวเอง ซินญอร์กำหมัดแน่นครั้งหนึ่งเสมือนตัดสินใจบางอย่าง

"จะไปย้ำคิดย้ำทำอีกทำไมกัน การที่ข้าอยู่ที่นี่แล้วมันไม่มีทางให้ท่านถอยกลับแล้ว ท่านชาย"

เอเรสนั่งลงกับโซฟาแล้วยกขาขึ้นวางบนโต๊ะอย่างไม่รู้สึกรู้สา "ท่านมาก้มหัวให้ข้าผู้เป็นโจรต่ำต้อย เสนอข้อเสนอที่ข้าไม่อาจปฏิเสธได้สามประการ การล้างความผิดให้คนของข้า ตำแหน่งแม่ทัพแห่งอาเดรีย และตัวแม่ทัพคนปัจจุบันที่ยังมีชีวิตอยู่" ชายหนุ่มเหยียดยิ้ม "ถึงอยากยกเลิกข้อตกลงตอนนี้ ข้าก็ไม่อนุญาตหรอก"

"ข้าไม่คิดจะล้มเลิกแผนอยู่แล้ว..."

เอเรสหัวเราะร่วน "หลังจากได้เห็นปฏิกิริยาของคนสวย ข้าคิดว่าสิ่งที่ท่านต้องการน่าจะง่ายขึ้นกว่าเดิมมากทีเดียว" เมื่อพูดถึงความสัมพันธ์กับเอเดรียน เซนทอร์หนุ่มถึงกับบัลดาลโทสะ และนั่นก็เป็นประโยชน์มากพอสำหรับเอเรส ความรักที่มั่นคงเช่นนี้เท่านั้นที่มีพลังมากพอในการบีบคั้นให้ใครทำอะไรก็ได้เพื่อมัน "ถ้าท่านคิดว่าความสัมพันธ์ของชายกับชายมันแปลกประหลาด แต่ในกรณีนี้ต่อให้มันประหลาด แต่มันก็มีประโยชน์... จริงไหม"

--------------------------------------------------

เจอฉากเจรจา 2 ฉากติด แถมไปกันคนละทางด้วย จะงงไหมน้า ^^'
ฝั่งเอเดรียนไม่น่างง... นางดูหยอดตรงๆ

แต่ฝั่งเอเรสนี่ความลับเยอะ ฮาา... เดี๋ยวเฉลยๆ ไม่นานนน นางคนนี้สำคัญ...

ปล. แต่เอเรส... แกไปเรียกเลสแบบนั้นคืออยากโดนดีดเร่อะ...

ออฟไลน์ khaosap

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 165
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
    • Khaosap Writing
Re: ASTAROTH พันธนาการดวงดาว ตอนที่ 18.2
«ตอบ #59 เมื่อ13-11-2016 20:10:31 »

ตอนที่ 18.2

เสียงกลองเป็นสิ่งหนึ่งที่ขาดไม่ได้ในงานที่เกี่ยวข้องกับการต่อสู้ อาจเป็นเพราะมันสร้างความฮึกเหิมให้กับเหล่านักรบ และแน่นอนว่างานประลองที่ใหญ่ที่สุดของแอสทารอธก็จะขาดเสียงกลองไปไม่ได้เช่นกัน ทว่าแทนที่มันจะสร้างขวัญและกำลังใจให้กลุ่มคนที่ได้ชื่อว่าเป็นอัศวินตั้งแต่กำเนิด แต่เซนทอร์ร่างโปร่งอย่างรีดาห์กลับตื่นเต้นจนยืนอยู่กับที่ไม่ได้

"คนที่จะลงประลองคือข้า ไม่ใช่เจ้าสักหน่อย เลิกเดินไปมาให้ข้าตาลายได้แล้ว"

การบาดเจ็บที่ข้อเท้าของรีดาห์หายแล้ว และตอนนี้เขาก็มาช่วยเตรียมความพร้อมให้ซาฮาลในการลงสนาม ฝ่ายนั้นฝากเขาถือโล่ห์อันใหญ่และหอกเล่มยาวเอาไว้ ในขณะที่ตัวเองใส่เกราะหนังอย่างใจเย็น "การประลองวาร์ดาเรียงลำดับตามคะแนนสอบจากสูงสุดไปจนถึงต่ำที่สุด เซนทอร์ที่ได้คะแนนสอบมากกว่าเจ้ามีสี่คน..." รีดาห์ละล่ำละลัก "และสามคนก็พ่ายแพ้ให้แก่เหนือหัวง่ายๆเลยนะ!"

ในตอนนี้เหนือหัวของพวกเขากำลังประมือกับผู้ท้าชิงคนที่สี่ และดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะเพลี่ยงพล้ำได้ง่ายๆเสียด้วย อีกทั้งผู้ท้าชิงก่อนหน้านี้ก็ได้ชื่อว่าเป็นผู้มีความรู้ระดับสูงซึ่งอยู่ในเกณฑ์เหมาะสมจะเป็นผู้นำเผ่าอาชา แต่ก็ยังพ่ายแพ้ต่อพละกำลังของเหนือหัวปัจจุบันอยู่ดี

"ในวันหนึ่ง เหนือหัวจะประมือกับบุคคลเพียงห้าคนเท่านั้น..."

ซาฮาลยืดตัวขึ้นหลังจากสวมสนับขาเสร็จ "เจ้าคิดว่าข้าจะต้องพ่ายแพ้เหมือนสี่คนที่ผ่านมาหรือ" เสียงเฮจากสนามแข่งดังขึ้นเป็นสัญญาณว่าผู้เข้าร่วมการประลองคนที่สี่พ่ายแพ้แก่ผู้นำคนปัจจุบันแล้ว และต่อไปก็เป็นโอกาสของผู้ท้าชิงคนที่ห้า ซึ่งก็คือซาฮาล ผู้บัญชากรกองเรือพาณิชย์กราเทียร์แห่งแอสทารอธ

"ถ้าแพ้ขึ้นมาล่ะข้าจะหัวเราะให้"

ซาฮาลเหลือบมองคนที่ค่อนขอดเพราะไม่พอใจคำตอบของเขา และพบว่าคู่สนทนากำลังปั้นหน้าหมั่นไส้ใส่อย่างอดไม่ได้ "เจ้าไม่อยากให้ข้าแพ้หรอก รีดาห์" เมื่อใส่สนับมือเสร็จ ซาฮาลก็เดินตรงไปหารีดาห์เพื่อรับอาวุธมาถือไว้ "เพราะอนาคตของสหายเจ้า... อาจอยู่ในมือข้า!" หากซาฮาลชนะการประลอง แน่นอนว่าเขาจะกลายเป็นบุคคลที่มีอำนาจมากที่สุดรองจากเหนือหัวดาเรียส และแน่นอนว่าย่อมมีสิทธิ์ในการตัดสินเรื่องของเลสธีราห์ด้วย

แต่รีดาห์ก็อดประหลาดใจไม่ได้อยู่ดี "เจ้าไม่ได้ชิงชังเลสธีราห์หรือไร"

"ข้าสนใจ..." อีกฝ่ายว่าและเหลือบมองคู่สนทนาที่สูงแค่ไหล่ของตน "เลสธีราห์ถูกเลี้ยงอย่างตามใจเพราะเป็นลูกของราชเลขา อีกทั้งยังมีบิดาเป็นเอลฟ์ เจ้านั่นอาจจะไม่มีความแข็งแกร่งหรือความสามารถที่จะนั่งตำแหน่งผู้นำของเซเลสต์" นัยน์ตาสีเข้มหรี่ลงมองรีดาห์ที่เตรียมอ้าปากแย้ง "แต่พรสวรรค์ด้านการคาดเดาท้องทะเลของเจ้านั่นก็ไม่มีใครเทียบได้เช่นกัน ข้าจึงได้สนใจ"

"แค่นั้นเหรอ" รีดาห์โคลงหัว "เจ้าไล่กัดกับเขาจนโดนเกลียดขี้หน้าน่ะ"

"ความทะเยอทะยานดื้อด้านหัวชนชนฝา..." ซาฮาลยอมรับว่าเขาหลงใหลมัน จะมีเซนทอร์สักกี่ตนในอาณาจักรนี้ที่เผชิญหน้ากับเขา ปะทะคารมกับเขา แต่ก็ไม่เคยยอมแพ้เขาเลยสักครั้งแม้ว่าตนเองจะด้อยกว่าอย่างไร เลสธีราห์เพียงคนเดียวเท่านั้นที่ต่อสู้ไม่เคยท้อถอย และสิ่งที่ซาฮาลอยากเห็นนั่นก็คือ เลสธีราห์จะสามารถทะเยอทะยานได้อีกเท่าไหร่เพื่อจะเอาชนะเขา เขาจึงเฝ้ามองมาตลอด ไม่ว่าจะอ่านดาวประจำตัวหรือรับรู้ความเคลื่อนไหวผ่านคนอื่น เขาก็เฝ้ามองมาตลอด...

แต่ความรู้สึกหนึ่งที่เกิดขึ้นควบคู่กับความอยากรู้อยากเห็นก็คือความอยากเอาชนะกลับคืน

ถ้าได้สยบความถือดีนั่นเอาไว้ใต้อำนาจของตน ...ซาฮาลอยากรู้นักว่าเขาจะยินดีมากเท่าใด

รีดาห์ไม่มีคำตอบโต้ให้กับคำพูดของซาฮาล เขาไม่มีเหตุผลที่จะห้ามปรามความคิดของฝ่ายนั้น แม้จะไม่เห็นด้วยที่ร่างสูงชอบแหย่เลสธีราห์เพื่อความสะใจส่วนตัว เขาเองก็ต้องการช่วยผู้นำของตนจากสถานการณ์ที่กำลังเผชิญอยู่ และเขาก็เห็นด้วยว่าการช่วยให้ซาฮาลชนะการประลองนั้นเป็นหนทางที่ดีที่สุด

เพราะซาฮาลคือเซนทอร์ที่แข็งแกร่งที่สุดในสายตาของเขา

แม้ว่าเหตุผลที่ซาฮาลต้องการช่วยเลสธีราห์จะเป็นเหตุผลคนละแบบกับเขาก็ตามที "เจ้าไม่บอกเขาบ้างว่าเจ้าสนใจ... เลสธีราห์เกลียดเจ้าจะตายไป" ร่างโปร่งพยายามให้คำแนะนำ เพื่อทำลายความเงียบที่เกิดขึ้น "คนที่เจ้าสนใจเกลียดแบบนี้ ไม่รู้สึกน้อยใจบ้างหรือไร"

"ให้เขารู้ด้วยตัวเองในสักวันว่าข้าสนใจเขามากกว่าใครจะดีกว่า..." ร่างสูงตอบ

"..."

"วิถีของนักรบเซนทอร์คือการเอาชนะ ถ้าข้าบอกด้วยตัวเอง ข้าก็แพ้ไม่ใช่หรือไร"

รีดาห์เดินนำคู่สนทนาออกไปตามทางเดินเพื่อมุ่งสู่สนามประลองที่อยู่ใจกลางที่พักของเหนือหัวแห่งแอสทารอธ เสียงกลองเป็นจังหวะดังขึ้นเรื่อยๆเมื่อพวกเขาเข้าไปใกล้ และเมื่อถึงประตูบานหนึ่งที่มีผ้าเนื้อบางขวางปิดอยู่ ซาฮาลก็หันมาหาคนข้างๆอีกครั้ง "น่าแปลกที่เจ้าไม่ห้ามปรามข้าอย่างที่เคยทำ"

รีดาห์เงยมองคนที่กำลังจะลงสนามรอมร่อแล้วหัวเราะเบาพร้อมกับตบแขนอีกฝ่าย

"เพราะข้าเชื่อว่าเจ้าปรารถนาดีกับเลสธีราห์"

"...เชื่อคนง่ายนะ"

"หุบปาก แล้วรีบลงสนามไปซะ!"

--------------------------------------------------

เลสธีราห์นั่งนิ่งๆอยู่พักใหญ่เพื่อพิจารณาข้อเสนอที่เอเรส ฟลินทรัสต์มอบให้


แล้วเขาควรจะทำอย่างไร...

เป็นที่แน่นอนว่าแอสทารอธจะไม่ได้ศาสตร์การต่อเรือจักรไอน้ำจากอาเดรียอย่างที่คาดหวัง แต่หากเขานั่งรอให้เอเดรียนจัดการเรื่องราวทุกอย่างแบบนี้ ชายหนุ่มก็คิดว่าคงไม่มีประโยชน์อะไรเช่นกัน แล้วถ้าเขาตอบรับข้อเสนอของเอเรสเล่า... เลสธีราห์คิดว่าแอสทารอธจะได้รับอะไรตอบแทนอยู่บ้างไม่มากก็น้อย แต่เรื่องการตกลงแลกเปลี่ยนนั้นต้องได้รับความเห็นชอบจากเหนือหัวดาเรียสด้วย เลสธีราห์ไม่มีอำนาจในการตัดสินใจผลประโยชน์ของอาณาจักร แต่ในตอนนี้เขามีอำนาจที่จะเลือกได้ว่าตนจะยอมร่วมมือกับว่าที่แม่ทัพคนใหม่หรือเปล่า

'เจ้ารู้จัก... ปืนคาบศิลาไหม คนสวย'

จริงอยู่ว่าแอสทารอธต้องการเรือจักรไอน้ำเพื่อนำมาใช้ประโยชน์ในการค้าขายกับแผ่นดินตะวันออกไกล แต่หากมองในเรื่องของความมั่นคงทางการทหารแล้ว สิ่งที่เอเรสเสนอมานั้นก็ไม่ได้ด้อยค่าหรือไร้ความสำคัญ แต่เขาจะแน่ใจได้อย่างไรว่าอีกฝ่ายนั้นครอบครอง 'ปืนคาบศิลา' จริงๆ ไม่ใช่การโน้มน้าวด้วยลมปากอย่างที่เอเดรียนเคยทำเมื่อครั้งเจรจากับท่านหญิงลีอาห์

นี่เขาจะต้องเดินทางไปขโมยปืนคาบศิลามาจากไหนด้วยหรือเปล่าหนอ

เลสธีราห์คิดว่าเขาต้องการคำอธิบายเพิ่มจากเอเรส แต่อีกฝ่ายก็ไม่ใยดีจะสนทนากับเขาสักเท่าไหร่ รวมทั้งกิริยามารยาทและการเรียกเขาว่า 'คนสวย' ก็ทำให้เซนทอร์หนุ่มหงุดหงิดมากพอจนไม่อยากสนทนาต่อเช่นกัน "มีอะไรไม่สบายใจหรือเปล่า" น้ำเสียงอ่อนโยนเอ่ยถามเมื่อเห็นว่าคนตรงหน้าเงียบดสียงไปเป็นเวลานานจนเกินควร เอเดรียนเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยขณะใช้มือสางผมให้กับเลสธีราห์ซึ่งนั่งแช่อยู่ในอ่างน้ำกว้าง ผมยาวสีอ่อนเปียกลู่แนบไปกับผิวเนื้อที่แน่นไปด้วยกล้ามเนื้อสมส่วน แม่ทัพอาเดรียนั่งอยู่บนขอบอ่าง เขาลากมือผ่านขมับซ้ายที่สากเพราะไรผมเล็กๆ เลยไปยังกระหม่อมที่กลางหัว และสอดนิ้วสางเส้นไหมนุ่มเบาๆ

เซนทอร์หนุ่มโกนผมออกครึ่งหนึ่ง ส่วนอีกข้างก็ปล่อยยาว "เลสธีราห์..."

"อืม" ร่างโปร่งตอบรับในลำคอแทนการบอกว่าตนยังรู้สึกตัวดี "วันนี้ไปพูดคุยกับราชินีแห่งธีสธรัลมาเป็นอย่างไรบ้าง" แม่ทัพหนุ่มหัวเราะลงคอเบาๆเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายเลี่ยงตอบคำถามของเขาด้วยการถามย้อนในหัวข้อที่เคร่งเครียดยิ่งกว่าที่เอเดรียนไม่สามารถปฏิเสธการใช้คำตอบได้ "ตกลงกันได้ดีหรืออย่างไร เจ้าถึงมีอารมณ์มานั่งสระผมให้ข้าแบบนี้"

"ไม่..." ร่างสูงถอนใจ "แต่ก็ถือว่ายังมีโอกาสอยู่"

เลสธีราห์อยากรู้รายละเอียดการเจรจาทั้งหมดเหลือเกิน ทั้งด้วยความเป็นห่วงในตัวเอเดรียน และผลประโยชน์ของแอสทารอธ ฝ่ายนั้นคำนึงถึงเขาและพวกพ้องเซนทอร์บ้างหรือไม่หรือสนใจแค่เอาเพียงแค่ตัวเองให้รอดก่อน "ข้ามีสิทธิ์รู้ไหม" อันที่จริงเขาควรจะถามออกไปตรงๆตามนิสัยของเซนทอร์มากกว่าอ้อมค้อมตัดพ้อแบบนี้ แต่ช่างน่าแปลกที่ความรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจก็ผุดขึ้นมาดื้อๆทั้งที่เขาก็รู้ถึงสถานะของตัวเองดี

"ข้าเสนอให้ธีสธรัลจ่ายค่าผ่านทางในอัตราปกติที่พวกเราเรียกเก็บจากชาวเอลฟ์" เอเดรียนตอบ "หลังจากที่อาเดรียต้องงดเว้นค่าธรรมเนียมจอดเรือให้กีบธีสธรัลมาถึงยี่สิบแปดปี ข้าแค่ขอความยุติธรรมกลับคือมาให้พวกเราบ้าง แต่เหมือนพระนางเองก็ไม่ต้องการถูกประชาชนด่าทอเหมือนกันจึงได้ขอเวลาพิจารณาข้อเสนอก่อน"

"ถ้านางยอมรับข้อเสนอ จะทำให้ค่าครองชีพสูงขึ้น อาจมีการลุกขึ้นต่อต้าน" เลสธีราห์วิเคราะห์

"ใช่ สำหรับกษัตริย์ที่เพิ่งครองราชย์ด้วยวิธีการล้มราชบัลลังก์เก่า การขัดใจประชาชนเป็นเรื่องที่ไม่น่าทำ" เอเดรียนว่า "แต่ข้าก็ไม่อยากอ่อนข้อให้กับธีสธรัลที่เอาเปรียบเรามาเนิ่นนาน" ชายหนุ่มเห็นคู่สนทนามุ่นคิ้ว และสีหน้าของเลสธีราห์ก็บอกได้ว่ากำลังคิดหาวิธีถามเรื่องเกี่ยวกับผลประโยชน์ของแอสทารอธ "ตอนนี้การเจรจายังไม่ลงตัว ข้าจึงไม่สามารถรับรองผลประโยชน์ที่แอสทารอธจะได้รับ" ว่าแล้วเขาก็เชยคางเรียวให้แหงนขึ้นสบตากับตนซึ่งนั่งอยู่บนขอบอ่างด้านหลัง ก่อนจะก้มลงจรดริมฝีปากลงบนหน้าผากมนแทนคำปลอบโยน

"เจ้ามีสิทธิ์ที่จะถามถึงผลประโยชน์" เอเดรียนยิ้มบาง "เพราะข้าจะไม่ทอดทิ้งแอสทารอธ"

มันควรเป็นคำตอบที่น่าพอใจ แต่เลสธีราห์ลอบกัดริมฝีปากตัวเองเล็กน้อยราวกับว่าอยากได้ยินอะไรที่น่าพอใจยิ่งกว่านั้น เซนทอร์หนุ่มหลับตาลงและผ่อนลมหายใจช้าๆเพื่อขับไล่ความคิดฟุ้งซ่านไร้สาระของตนออกไปจากหัว เขารู้ดีว่าตอนนี้ตนกำลังสนทนาในฐานะของขุนนางระดับสูง และกำลังหารือกลายๆเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของอาณาจักรอันเป็นสิ่งสำคัญ

แต่ลึกๆแล้ว เขาก็อยากได้ยิน... ว่าตนเป็นคนพิเศษของอีกฝ่ายบ้าง

การเป็นคนพิเศษของเอเดรียนจะเป็นการทำร้ายอีกฝ่ายหรือไม่หนอ ในเมื่อคำพูดของท่านชายซินญอร์เมื่อกลางวันกล่าวเอาไว้ ว่าความสัมพันธ์ของเขากับเอเดรียนในตอนนี้ถือว่าเป็นประโยชน์ต่ออาเดรีย แปลว่าอีกฝ่ายคิดจะใช้ความรู้สึกของเอเดรียนเป็นเครื่องมือหรืออย่างไร

"เจ้า... ชอบข้าบ้างไหม"

คำถามที่ไม่เกี่ยวข้องกับบทสนทนาก่อนหน้าทำให้คนฟังเลิกคิ้วขึ้นด้วยความฉงน เซนทอร์หนุ่มสูดหายใจเข้าและเอ่ยถามออกมาด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบเกินกว่าจะบอกความรู้สึกได้ ต่อให้ใจของคนพูดจะเริ่มเบาโหวง และเงียบงันประหนึ่งหัวใจหยุดเต้นไปแล้วก็ตาม "ข้าอยู่ในฐานะใดสำหรับเจ้า แม่ทัพจากเมืองอื่น หรือว่าอะไร"

"มาถามอะไรเอาป่านนี้"

เอเดรียนล้างยาสระผมออกจนหมดและเริ่มใช้สบู่ถูฟอกไปบนผิวเนื้อที่ยังปรากฎรอยแผลและรอยช้ำอยู่บ้าง "เจ้าเป็นเพียงเลสธีราห์สำหรับข้า..." มือสากลากเฟ้นไปตามท่อนแขนแข็งแรงช้าๆ ราวกับต้องการสัมผัสผิวขาวของคนตรงหน้าให้นานขึ้นอีกนิด "รักมากเสียจนอยากจะพาเจ้าหนีไปไกลๆด้วยซ้ำ" แม่ทัพใหญ่อิงหน้าผากของตนกับท้ายทอยที่เปียกชื้น ขณะมุ่นคิ้วเข้าหากันด้วยความรู้สึกอึดอัด

"แต่หากข้าปรารถนาเซนทอร์... ข้าควรจะมีเกียรติให้เขาภูมิใจไม่ใช่หรือ"

ลมหายใจอุ่นร้อนที่เป่ารอดอยู่บนผิวเนื้อทำให้ร่างโปร่งต้องห่อไหล่ขึ้นเล็กน้อยด้วยความรู้สึกแปลกประหลาด แทนที่คำบอกรักจะเป็นคำพูดแสนหวาน แต่เขากลับสัมผัสได้เพียงความเจ็บปวดของคนพูด แทนที่มันจะเป็นพลังอันอบอุ่นดังในจินตนาการ แต่สำหรับทั้งคู่แล้วมันกลับเป็นความทรมานที่ไม่สามารถละทิ้งได้ "แม้จะรู้ว่าดิ้นรนอย่างไรก็ไม่มีทางสมหวัง แต่ข้าก็ไม่อาจปล่อยมือจากเจ้าได้อยู่ดี"

เลสธีราห์ยกมือขึ้นลูบผมสีเข้มช้าๆ ก่อนจะหันไปเผชิญหน้ากับแม่ทัพแห่งอาเดรีย

"..."

แต่เขาบอกอีกฝ่ายไม่ได้... ว่าตนรู้สึกอย่างไร ด้วยเกรงว่าจะถูกนำไปใช้เป็นเครื่องมือ

มือใหญ่เชยคางเรียวขึ้นสบตา ก่อนจะประคองใบหน้าเอาไว้และก้มลงแนบริมฝีปากอีกครั้งแทนคำอธิบายทั้งหมดที่ไม่สามารถพูดออกมาได้ และแม้จะดูเจ็บปวด แต่เอเดรียนก็กล่าวต่อหนักแน่น "ต่อให้ไม่มีสิทธิ์จะครอบครอง แต่ข้าจะไม่ยอมทำให้เจ้าขายหน้าในเรื่องใดๆ"

ฝ่ามือของเอเดรียนอบอุ่นเสมอมา และจุมพิตของฝ่ายนั้นก็อ่อนโยนไม่เคยเปลี่ยนแปลง

เลสธีราห์หลับตาลงหลังจากตัดสินใจได้ เขายกมือขึ้นโอบกอดคนตรงหน้า เผยอริมฝีปากเพื่อตอบรับจูบที่เนิบช้าอ้อยอิ่ง สัมผัสถึงความอุ่นร้อนผ่านปลายลิ้นเกี่ยวพัน ทั้งรสชาติของมันเต็มไปด้วยความโหยหา หยาดน้ำจากผิวกายเปียกชิ้นหยดซึมผ่านผ้าเนื้อดี แต่แทนที่เอเดรียนจะพยุงให้อีกฝ่ายขึ้นจากน้ำ เซนทอร์หนุ่มกลับเหนี่ยวร่างเบื้องบนให้ลงมาอยู่ในอ่างเดียวกับตนแทน

"...!..."

"เช่นนั้น..." เลสธีราห์เลื่อนมือขึ้นวางบนเสื้อที่เปียกชุ่ม ทาบลงที่อกซึ่งเขาสามารถได้ยินเสียงหัวใจแทนคำสัญญาของอัศวิน "ก็ทำให้ข้าภูมิใจ" เขาจูบเอเดรียนอีกครั้ง และจูบซ้ำไปมาไม่รู้เบื่อ ปล่อยให้แขนแกร่งกอดรัดร่างจนแนบชิดไม่มีช่องห่างจากกัน "ข้าจะรอ"

...และเขาจะตกลงร่วมมือกับเอเรส ฟลินทรัสต์

--------------------------------------------------
---------- TO BE CONTINUE ----------


คราวนี้มี new item แพลมๆ... ที่มาเหนือ steam ship (เรือจักรไอน้ำ) นั่นคือ flintlock guns (ปืนคาบศิลา)
พอจะเดาได้ไหมว่ายุคสมัยของนิยายเรื่องนี้อ้างอิงประมาณศตวรรษที่เท่าไหร่.............
.
.
.
โอเค เฉลย
...ปลายศตวรรษที่ 18 ค่ะ 555555555

//นับวันยิ่งไม่เหมือนนิยายวาย << คืออยากให้เขาจูบกัน ยังลากเข้ามายากเลย << อยากเขียนฉากเรทแต่ปลง OTL

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด