ASTAROTH พันธนาการดวงดาว [จบแล้ว] - แจ้งข่าวรวมเล่ม
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ASTAROTH พันธนาการดวงดาว [จบแล้ว] - แจ้งข่าวรวมเล่ม  (อ่าน 43820 ครั้ง)

ออฟไลน์ neverland

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 653
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-0
อื้อหื้อ คำพูดสุดท้ายคมกริบหั่นผักได้ฉั่บๆเลยค่ะ ให้รีดาห์ปลอบนะคะว่าที่เหนือหัวของบ่าว  o18
เลสเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้ตัวเองแล้ว เราว่าใครก็คงมาขวางไม่ได้
ไม่ได้คอมเมนต์หลายตอน คิดถึงคนเขียนจังเลย เราสอบไฟนอลค่ะ  :mew1:

ออฟไลน์ khaosap

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 165
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
    • Khaosap Writing
Re: ASTAROTH พันธนาการดวงดาว ตอนที่ 24.2
«ตอบ #91 เมื่อ19-12-2016 07:23:32 »

ตอนที่ 24.2

ประตูเมืองอาเดรียเปิดออกเพื่อต้อนรับกำลังพลสนับสนุนจากคัสนาห์ ผู้นำอาณาจักรอาเดรียกลับมาพร้อมกับกำลังเสริมที่ท่านหญิงซินญอร่าส่งมาช่วย แม้ว่าการที่เจ้าเมืองละทิ้งอำนาจเอาไว้ให้แม่ทัพจะเป็นโอกาสทองที่ไม่น่าปล่อยให้หลุดมือ แต่เอเดรียนรู้ดีว่านี่ไม่ใช่เวลาเหมาะสมที่จะกระทำการบุ่มบ่าม "ข้าจะให้จาเร็ตต์ลงเรือไปกับเอเรส อยู่ให้ห่างจากเรื่องที่เขาไม่ถนัด" จาเร็ตต์เป็นเลขาของเอเดรียน และฝ่ายนั้นถนัดการใช้สมองวางแผนมากกว่าการใช้กำลัง ดังนั้นสำหรับปฏิการที่ต้องการความคล่องตัวครั้งนี้ เอเดรียนจึงเลือกใช้แต่คนสนิทที่ไว้ใจได้และมีความสามารถพอที่จะปฏิบัติการเท่านั้น

"ส่วนเรื่องทางบก ข้าจะจัดการเอง"

แม่ทัพใหญ่มองดูการกลับมาของผู้นำอาณาจักรจากหน้าต่างห้องแผนที่ของคฤหาสน์ราห์โมนา และกองทัพที่ติดตามกลับมาสักแปดร้อยนาย ทั้งคัสนาห์และอาเดรียไม่ได้รับอนุญาตให้จัดตั้งกองทัพ จะมีก็แต่หน่วยอารักขาส่วนตัวของท่านชายและท่านหญิงเท่านั้น ดังนั้น กำลังพลที่มีจึงน้อยจนน่าใจหายหากเทียบกับกองทัพของเมืองใกล้เคียงอย่างไอย์ชวลหรือแอสทารอธที่มีกำลังพลหลายพันไปจนถึงหลักหมื่น

"ข้าไม่เข้าใจเลย โจฮาลล์... ทำไมเขาถึงเลือกสงครามทั้งที่เราไม่มีความพร้อมเช่นนี้"

คนสนิทร่างยักษ์เหลือบมองแม่ทัพของตนก่อนจะถอนใจ และเลือกที่จะไม่พูดอะไรต่อ

"แอสทารอธเองก็ส่งเรือรบเพียงลำเดียวเข้าร่วม แม้ศึกครั้งนี้จะไม่มีหนอนบ่อนไส้ แต่ท่านชายแน่ใจได้อย่างไรว่าปราการแห่งอาเดรียจะสามารถทัดทานกองทัพเรือเวเรนเซียได้ อีกทั้งกำลังพลบนบกที่มีเพียงหยิบมือเช่นนี้ ท่านชายแน่ใจได้อย่างไรว่าเราจะสามารถเอาชนะได้" น้ำเสียงเอเดรียนเจือไปด้วยความผิดหวัง แม้ว่าหน้าที่การทำศึกจะเป็นของแม่ทัพ แต่แม่ทัพผู้นี้ก็ไม่เข้าใจผู้นำของตนเลยแม้แต่นิดเดียว

"นี่เอเดรียน..." ชายร่างสูงพึมพำผ่านหนวดเคราด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ "ถ้าคนบนเรือเซเลสต์นั่นไม่ใช่เลสธีราห์... เจ้าจะคิดการกบฎไหม" เอเดรียนพยายามที่จะเจรจาหาทางออกที่นุ่มนวลละมุนละไมมาตลอด แต่ซินญอร์กลับไม่เห็นดีกับวิธีการเช่นนั้น และสุดท้ายแล้วเขาก็ยอมสร้างความบาดหมางที่ใหญ่ที่สุดระหว่างตนเองกับแม่ทัพใหญ่เพื่อให้บ้านเมืองได้มีหนทางดำเนินต่อไป

"ข้าพยายามแล้ว โจฮาลล์... ข้าพยายามยื้อทุกสิ่งเอาไว้" เอเดรียนหลับตาลง

"แต่หากยังปล่อยให้ท่านชายมีอำนาจต่อไป ภายภาคหน้าคงไม่ได้มีแค่เลสธีราห์ที่ต้องสังเวยชีวิต"

...เช่นนั้น นี่คงเป็นความหลักแหลมแยบยลของท่านชายแล้ว

"พวกขุนนางระดับสูงได้มีการวางตัวผู้สืบทอดอำนาจของท่านชายซินญอร์เอาไว้แล้ว แต่ในขณะที่สถานการณ์บ้านเมืองเป็นเช่นนี้ ข้าคงยอมให้คนไม่รู้อิโหน่อิเหน่ขึ้นปกครองอาเดรียไม่ได้" เอเดรียนหันไปหาคนสนิท "ข้าจะดูแลเขตปราการชั้นหนึ่ง กำลังพลหน่วยอารักขาซึ่งอยู่ในคำสั่งข้าจะอยู่ที่นั่น ส่วนเจ้าดูแลเขตสองซึ่งเป็นส่วนของกองกำลังจากคัสนาห์..."

"ท่านเอเดรียนคะ" หญิงรับใช้เอ่ยเรียกที่หน้าประตูห้อง "ท่านชายซินญอร์ต้องการหารือร่วมค่ะ"

โจฮาลล์เบิกตาขึ้นเล็กน้อยและหันไปมองแม่ทัพใหญ่ที่ยังคงมีสีหน้าเรียบเฉย "เชิญท่านชาย" สิ้นเสียง ซินญอร์ก็เปิดประตูเข้ามาอย่างรีบร้อน โดยมีหญิงรับใช้อีกคนเดินตามและช่วยถอดผ้าคลุมไหล่ออก "ข้ากำลังหารือเรื่องการวางทัพอยู่ เตรียมที่จะไปรายงานท่านชายในวันนี้พอดี" เอเดรียนผายมือไปยังเก้าอี้หน้าโต๊ะ โดยไม่เคลื่อนสายตาขึ้นมองผู้ฟังเลยแม้แต่น้อย ซึ่งโจฮาลล์เองยังสังเกตได้ว่านี่คือการแสดงออกถึงความไม่พอใจผู้นำของตนอย่างที่สุด

"คัสนาห์อยู่ในฤดูล่าสัตว์ ดังนั้นทหารรับจ้างจึงมีไม่มาก ข้าจึงได้กำลังพลมาเพียงหนึ่งพันสามร้อยกว่านาย" ซินญอร์ไม่สนใจท่าทางกระด้างกระเดื่องนั้นแม้จะสัมผัสได้ถึงความเย็นชาจากเอเดรียนก็ตาม แต่นั้นก็เป็นสิ่งที่สมควรจะเกิดขึ้น และท่านชายก็ยินดีด้วยซ้ำที่เอเดรียนตัดสินใจได้สักที "กำลังพลหน่วยอารักขาของเจ้ามีเท่าไหร่"

โจฮาลล์ค้อมหัวลงเล็กน้อยและตอบแทนในฐานะคนสนิท "สี่ร้อยยี่สิบแปดนายขอรับ"

"ข้าจะวางหน่วยอารักขาเอาไว้ที่ปราการชั้นหนึ่ง พวกเขาล้วนแล้วแต่มีฝีมือเป็นเลิศ..." เอเดรียนเริ่ม

"กระจายหน่วยอารักขาออกเป็นหลายส่วน" ซินญอร์ตัดบทแม่ทัพ "คอยควบคุมดูแลกองทัพคัสนาห์แต่ละส่วนให้อยู่ในความเรียบร้อย อย่างไรที่นี่ก็ไม่ใช่ถิ่นของเขา ทหารคัสนาห์ไม่มีความชำนาญพอ และการต่อสู้อย่างไม่รู้ที่ทางอาจทำให้เสียกระบวนทัพ" เอเดรียนคิดว่าท่านชายของตนพอจะรู้แล้วว่าตัวเองคิดจะทำการใหญ่ จึงได้ออกคำสั่งกระจายคนใต้บัญชาของเอเดรียนออกไปเพื่อไม่ให้แม่ทัพใหญ่มีกำลังพลในมือ

กองทัพคัสนาห์รับคำสั่งจากท่านหญิงซินญอร่า และคงไม่ปล่อยให้ท่านชายมีอันตรายแน่นอน

"ส่วนกำลังพลอารักขาที่ปราการชั้นหนึ่งและสองก็ให้เป็นทหารคัสนาห์ให้โจฮาลล์คอยดูแล" ซินญอร์กล่าวเสียงเรียบ "ส่วนตัวเจ้าซึ่งเป็นถึงแม่ทัพย่อมต้องเป็นผู้นำทัพในการออกรบอยู่แล้ว จึงเหมาที่จะอยู่ปราการชั้นสามมากที่สุด และให้กองกำลังอารักขาของเจ้าอยู่ที่นั่นด้วยเพื่อรับหน้าศัตรู" คำสั่งของอีกฝ่ายทำให้เอเดรียนต้องมุ่นคิ้วต่อต้าน เพราะมันไม่ใช่แค่ทำให้ชายหนุ่มเสียแผน แต่มันคือคำสั่งที่เลือกส่งคนของตัวเองออกไปรับศึกก่อน

"ท่านชาย... ตามหลักแล้ว ทหารของเราจะต้องอยู่ที่ปราการชั้นหนึ่ง ทหารจากคัสนาห์จะต้องอยู่ปราการชั้นนอกสุด คำสั่งแบบนี้เท่ากับว่าส่งคนของเราออกไปตายก่อนชัดๆ" แม่ทัพเสียงแข็ง "อีกทั้งปืนใหญ่บนปราการชั้นหนึ่งก็มีพิสัยไกลที่สุด ดังนั้น..."

"อย่าให้ข้าพูดว่าข้าเห็นอะไรในตัวเจ้า เอเดรียน!" ผู้นำอาณาจักรตวาด "เจ้าไม่ใช่แม่ทัพคนเดิมที่ข้าเชื่อใจ... ไม่ใช่นับตั้งแต่เจ้าเลือกจะปกป้องเซนทอร์ตนนั้นก่อนช่วยเหลือบ้านเมืองตัวเอง" เสียงคนพูดสั่นเครือด้วยโทสะ แม่ทัพใหญ่พยายามมองข้ามสิ่งที่ซินญอร์พูด และพยายามไม่แสดงว่าเขาตกใจกับคำพูดของอีกฝ่ายมากแค่ไหน แม้ว่ามันจะแทงใจเสียจนจุกก็ตาม

"ข้าไม่เชื่อเจ้า เอเดรียน..."

--------------------------------------------------

ต่อให้เป็นฝ่ายเสียหาย แต่รีดาห์ก็ยังพยายามเข้าใจคนก่อเรื่อง และไม่อยากให้เลสธีราห์ตั้งแง่กับอีกฝ่ายมากกว่านี้ อย่างไรในอนาคตนั่นก็คือเหนือหัวสูงสุดของแอสทารอธซึ่งเลสธีราห์ไม่ควรจะมีปัญหาด้วย แต่เลสธีราห์ในตอนนี้ก็โกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยงเกินกว่าจะอธิบายด้วยเหตุผลได้ ดังนั้นรีดาห์จึงคิดว่าเขาควรไปพบซาฮาลเพื่อไกล่เกลี่ยด้วยตัวเองจะเป็นการดีกว่า

ซึ่งร่างโปร่งจำได้ว่าสถานที่ที่สงบสำหรับซาฮาลก็คือห้องทำงานของเจ้าตัวเอง

ฝ่ายนั้นทอดกายอยู่บนแท่นที่นั่งประจำของตัวเองและเหม่อมองเอกสารหลายฉบับตรงหน้าด้วยสายตาว่างเปล่า โดยว่าที่ผู้นำแห่งแอสทารอธไม่แน่ใจว่าตนนั่งอยู่ที่เดิมมานานเท่าไหร่ อันที่จริงเขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตนคิดจะทำอะไร หรือมีเหตุผลอะไรที่นั่งอยู่เฉยๆแบบนี้ นัยน์ตาสีเข้มเหลือบขึ้นมองดวงจันทร์ที่คล้อยหายไปจากสายตา และแสงดาวริบหรี่ที่ทำให้การอ่านอนาคตยากยิ่งขึ้น เซนทอร์หนุ่มองหาดวงดาวของตน มองหาเส้นทางของมัน และพยายามจะอ่านความเคลื่อนไหวจากเบื้องบน แต่สมาธิของเขากลับไม่สามารถจดจ่อกับอะไรได้เลย ตราบใดที่เสียงของเลสธีราห์ยังดังก้องอยู่ในหัวอย่างหนักแน่น

'ข้ามีคนที่ให้เกียรติข้าแล้ว... เจ้าไม่จำเป็นต้องหยิบยื่นอะไรให้อีก'

ซาฮาลคาดหวังให้เลสธีราห์ต่อสู้... เขาชอบสายตาเด็ดเดี่ยวคู่นั้นซึ่งเปี่ยมไปด้วยพลังและความต้องการเอาชนะ เซนทอร์ครึ่งเอลฟ์ตนนี้มักต่อสู้อย่างไม่ยอมแพ้ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เลสธีราห์มักจะหาทางออกได้และต่อสู้จนสุดตัวเสมอ นั่นคือสิ่งที่ตรึงอยู่ในความทรงจำของซาฮาล

แต่วันนี้เซนทอร์ครึ่งเอลฟ์ตนนั้นกลับปฏิเสธที่จะต่อสู้กับเขา ปฏิเสธที่จะเอาชนะเขา ด้วยเหตุผลที่ว่าอีกฝ่ายมีสิ่งอื่นที่สำคัญกว่า โดยไม่คิดจะอธิบายให้คู่สนทนาเข้าใจเลยว่าสิ่งที่สำคัญกว่าอีกสิ่งหนึ่งนั้นคืออะไร สำหรับเซนทอร์แล้วยังมีอะไรสำคัญไปกว่าการต่อสู้ การได้เป็นผู้ชนะอีกหรือไร ยังจะมีอะไรที่มีเกียรติไปกว่านั้นอีกหรือ

'การปกป้องคนรักเอาไว้ได้... คือเกียรติของข้า'

ครึ่งอาชาถูกเรียกว่าเป็นเผ่าพันธุ์ของอัศวิน เซนทอร์ทุกตนเป็นนักรบที่ดูแลปกป้องตัวเองได้ ดังนั้นซาฮาบจึงไม่เข้าใจเหตุผลของเลสธีราห์เลย... คนประเภทใดที่ต้องการการปกป้องจากผู้อื่น หากพวกมนุษย์อ่อนแอถึงเพียงนั้น เหตุใดเซนทอร์จึงต้องสงสาร แม้กระทั่งตนเองยังดูแลไม่ได้ แล้วเหตุใดผู้อื่นจะต้องดูแลด้วยเล่า

"แปลกดีที่ข้าเดาถูกว่าเจ้าอยู่ที่นี่..."

เสียงของรีดาห์ดึงคนที่กำลังเหม่อลอยให้หันกลับมา เซนทอร์ร่างโปร่งก้าวเข้ามาหาผู้ที่นั่งอยู่พร้อมกับวางมือลงบนโต๊ะทำงานของอีกฝ่าย "แต่ละคนเหมือนจะมีจุดยืนเหม่อแต่ละที่ชัดเจนนะ อย่างเลสก็คงเป็นท่าเรือ เหนือหัวดาเรียสก็เป็นสวนด้านหลัง ท่านหญิงลีอาห์มักจะอยู่ลานน้ำพุ ส่วนว่าที่เหนือหัวซาฮาลกลับชอบห้องทำงานของตัวเอง"

ซาฮาลไม่ตอบโต้ประโยคนั้น ว่าที่ผู้นำมองคนที่เข้ามายืนเบื้องหน้าและรอให้อีกฝ่ายพูดออกมาเองว่ามีจุดประสงค์ใดจึงได้เข้ามาพบเขา ทั้งที่เพิ่งถูกเขาผลักตกทะเลไปเมื่อบ่ายนี้ เมื่อนึกถึงเหตุการณ์นั้น ความขุ่นเคืองที่มีก็แทนที่ด้วยความรู้สึกผิด ยิ่งมองเห็นแขนของรีดาห์ที่ยังมีรอยช้ำจากการปะทะกำลังกับเขา ซาฮาลก็ลดโทสะในใจลงทีละน้อย

"เจ้ารู้ว่าสู้ข้าไม่ได้.. เหตุใดจึงยังเอาตัวเองเข้าขวาง"

มือใหญ่ค่อยๆเอื้อมไปแตะรอยช้ำนั้นช้าๆ และสังเกตสีหน้าของรีดาห์ที่ดูเหมือนจะไม่ได้เป็นอะไรมากอย่างที่เขาคิด "ไม่ได้เจ็บมากใช่หรือไม่" เซนทอร์สีน้ำตาลพยักหน้าตอบและพยายามเคลื่อนแขนของตนหลบสัมผัสนั้นช้าๆด้วยกลัวว่าซาฮาลจะทำอะไรรุนแรงอีก ต่อให้แปลกใจที่อีกฝ่ายใช้น้ำเสียงที่อ่อนลงอย่างเห็นได้ชัดก็ตาม "เจ้าอาจจะผิวบาง... จึงได้ดูช้ำขนาดนี้"

"ถ้าข้าเป็นอะไรมาก คงไม่กล้ามาพบเจ้าหรอก" รีดาห์ตัดบท

"ข้าขอโทษ" และเมื่อได้ยินคำนั้น รองผู้บัญชาการก็เหลือบตาขึ้นมองคนพูดอย่างไม่นึกเชื่อว่าคำแบบนี้จะมีวันหลุดออกจากปากของซาฮาล ว่าที่เหนือหัวแห่งแอสทารอธ "เจ้าเจ็บตัวหลายครั้งคราเมื่ออยู่ใกล้ข้า" เขาเห็นรีดาห์เป็นเพื่อนร่วมงาน เป็นคนสนิทของเลสธีราห์ และโดยสถานะทั้งสองอย่างนี้ รีดาห์ไม่ควรเจ็บตัวจากเรื่องไม่เป็นเรื่องแบบนี้ด้วยซ้ำ

"เจ้าเป็นเช่นนี้ไม่เคยเปลี่ยนเลยจริงๆ ซาฮาล"

รีดาห์ถอนใจใส่อีกฝ่าย ความเถรตรง เด็ดเดี่ยว และดุดันสมเซนทอร์เป็นข้อดีอย่างหนึ่งที่ทำให้ซาฮาลถูกเรียกว่าเป็นยอดอัศวิน แต่นั่นก็เป็นข้อเสียที่ทำให้เซนทอร์หนุ่มถูกเลสธีราห์เกลียดขี้หน้าแม้ว่าเจ้าตัวจะพยายามทำอะไรเพื่อฝ่ายนั้นมากมายก็ตามที

รีดาห์เข้าใจซาฮาล... แต่เขาเข้าใจเลสธีราห์ยิ่งกว่า

แต่ไม่ว่าจะเข้าใจหรือไม่เข้าใจใคร รีดาห์ไม่คิดว่าตอนนี้เขาควรจะมาสนใจเรื่องยิบย่อยแบบนี้

"ข้าแค่มาดูว่าเจ้าไม่เป็นไร" ร่างโปร่งว่า "ข้าเข้าใจเจ้า..."

"เจ้าไม่เข้าใจหรอก" ซาฮาลตอบเสียงเรียบ "แล้วข้าก็ไม่เป็นอะไรเพราะเรื่องแค่นี้อีกด้วย ข้าเป็นถึงว่าที่เหนือหัวไม่ใช่รึไง เจ้าควรกลับไปพักผ่อนได้แล้ว" แม้จะอยากพูดอะไรต่อ แต่ซาฮาลก็ตัดบททิ้งและหันไปมองทางอื่น "ไม่ต้องทำหน้าเห็นใจข้าแบบนั้น รีดาห์"

คู่สนทนามองตามใบหน้าที่เบือนหนีนั่นก่อนจะมุ่นคิ้วและส่ายหัวกับตัวเอง "จากสายตาของข้า เจ้าเป็นอะไรแน่ๆ ว่าที่เหนือหัว... มองจากจุดที่ข้ายืนตรงนี้ ข้าเห็นเจ้าไล่ตามคนที่เอาแต่พยายามหนีไปให้ไกล คิดว่าข้าไม่รู้สึกหรือ ว่าเจ้าทรมานแค่ไหน"

"รีดาห์..." ซาฮาลปรามเสียงเข้มขึ้น "กลับไปซะ"

ร่างโปร่งถอนใจและยอมเลิกราแต่โดยดี "ข้าแค่เป็นห่วงเจ้า พรุ่งนี้ข้าจะต้องออกเรือไปแล้ว"

นี่เป็นครั้งแรกที่ซาฮาลเคยได้ยินว่ามีใคร 'เป็นห่วง' เขา ว่าที่เหนือหัวเคลื่อนสายตาของมองคนตรงหน้าช้าๆ และพบว่าสิ่งที่รีดาห์พูดนั้นไม่ใช่การเสแสร้งเลยแม้แต่น้อย "เลสธีราห์จะไม่ทำตามคำสั่งของเหรือดาเรียสใช่ไหม" แม้ว่าจะอยากถามซ้ำให้แน่ใจเพื่อให้ได้ยินคำนั้นอีกสักครั้ง แต่ซาฮาลรู้ดีว่ามีสิ่งที่สำคัญกว่าเรื่องนั้น "จะขัดมติของสภาขุนนางใช่ไหม"

"ข้าเชื่อว่าเลสธีราห์จะทำทุกอย่างที่เป็นประโยชน์ต่ออาณาจักร" ร่างโปร่งว่า

"เจ้ารู้โทษทัณฑ์ของการขัดคำสั่ง" ซาฮาลมุ่นคิ้ว "และต่อให้เป็นข้าก็ไม่สามารถช่วยพวกเจ้าได้"

"นั่นขึ้นอยู่กับผลประโยชน์สุดท้ายที่แอสทารอธจะได้รับ ว่ามันมีน้ำหนักมากพอจะเปลี่ยนใจสภาขุนนางได้หรือเปล่า" รีดาห์ยิ้มเย็น "แล้วเจ้าต้องการให้ข้าทำตามมติของสภา แลกกับเรือสิบลำ และส่งเพื่อนสนิท... ไปฆ่าคนรักของตัวเองอย่างนั้นรึ" น้ำเสียงของคนพูดสั่นไหว และเจ้าของก็พยายามสูดหายใจเข้าเพื่อควบคุมอารมณ์ "ข้าภูมิใจในความเป็นอัศวินเซนทอร์ ซาฮาล... แต่คำว่าอัศวินไม่ได้หมายความว่าจะต้องเลือดเย็นขนาดนั้น"

"หากเลสธีราห์ต้องการจะขัดคำสั่งนั่นก็เป็นเรื่องของเขา เจ้าไม่ควรเอาตัวเองเข้าไปเสี่ยงด้วย"

"เซนทอร์ทุกตนมีสิทธิ์ที่จะเลือกทางของตนเอง ซาฮาล หากข้าต้องการไปรบ ข้าก็จะไป" รองผู้บัญชาการเซเลสต์ยืดอกขึ้น "จริงอยู่ว่าการต่อสู้ด้วยตนเองคือความเด็ดเดี่ยวของเซนทอร์ แต่ถ้าข้าอยากจะสู้หลังชนกับเพื่อน... ข้าจะไม่ใช่เซนทอร์เลยหรือไร"

"พวกเจ้าทั้งคู่ช่างดื้อด้าน หาเรื่องปวดหัวมาให้ข้าไม่เว้นแต่ละวัน"

"เช่นนั้นเจ้าก็ควรดีใจ... เพราะนี่อาจเป็นโอกาสที่ทำให้เจ้าไม่ต้องเจอเรื่องปวดหัวอีกเลย"

"..."

"เพราะถ้าข้ากับเลสไม่รอดขึ้นมา เจ้าก็คงไม่ต้องวุ่นวายอีก เหนือหัวซาฮาล"

--------------------------------------------------
---------- TO BE CONTINUE ----------


จริงๆรีดาห์นี่หยอดได้ร้ายนะ... คือนางชอบแซะให้คิด แล้วก็ได้ผลด้วย 555
ไป... ไปรบกันเถิดดด อยากเขียนอะไรบู๊ๆแล้ว... (คือซาฮาลยังไม่เคลียร์ไง เลยต้องเคลียร์นางก่อน)

ปล. เห็นนิยายที่มีตอนใกล้เคียงกัน (23-24 ตอน) เขาอยู่หน้า 20-30 กันแล้ว... ก็... อาห์... แนวเราคงอ่านยาก แต่ขอบคุณทุกคนที่ติดตามนะคะ คือเห็นนะว่า +เป็ด อยู่ ฮ่าาา  :katai2-1:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 19-12-2016 07:28:29 โดย khaosap »

ออฟไลน์ neverland

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 653
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-0
ทำไมเหมือนอ่อยแบบเนียนๆอยู่เลยล่ะรีดาห์ลูกกก มีการบอกว่าอาจจะไม่เจอกันอีกเป็นนัยๆด้วย  :hao3:
//
อย่าคิดมากนะคะ เราอ่านอยู่นะ แถมนักอ่านเงาอีก งือ

ออฟไลน์ RenaBee

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 257
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-0
รีดาห์อ่อยแบบเนียนๆ ลุ้นทุกตอนที่อ่าน ยังยืนยันว่าเดาไม่ได้เลยค่า!!!

อย่าคิดมากนะคะ เราตามอ่านอยู่ บางทีไม่ค่อยได้เข้าเล้า พอเข้ามาอ่านทีก็เม้นท์ทีเดียว อยากบอกว่าเป็นนิยายแนวที่เราเฝ้ารอค่ะ อ่านไปคิดไปด้วยว่าต่อไปจะเกิดอะไรขึ้น มีความเข้มข้นซับซ้อนน่าติดตามค่ะ เลิฟยูวววว

ออฟไลน์ plugie

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 100
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
เพิ่งมาอ่านค่ะ รายงานตัว
อยากบอกว่าตอนแรกเกือบเลิกอ่านแล้วเพราะงง พวกชื่อตัวละคร ชื่ออาณาจักร
แต่พอตั้งใจอ่านไปเรื่อยๆ เริ่มจำได้เริ่มโอเคเริ่มสนุก ดีใจที่ตัวเองไม่เลิกอ่านไปก่อน
ชอบความรักของคู่หลักมากถึงจะม่าเหลือเกินก็เถอะ แต่แบบแพ้คำพูดเวลาเขาอยู่กันสองคน :-[
ส่วนคู่รองก็น่ารักดี ดูมีความห่วงใยผสมหลอกด่ากันตลอด :laugh:

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
ตามแบบห่าง ๆ ค่ะ ยังไม่กล้าอ่าน  :o12:

ออฟไลน์ khaosap

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 165
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
    • Khaosap Writing
Re: ASTAROTH พันธนาการดวงดาว ตอนที่ 25.1
«ตอบ #96 เมื่อ21-12-2016 16:30:55 »

ตอนที่ 25.1


เอเรสมองท้องฟ้าที่เป็นสีแดงฉานแปลกไปจากทุกที "มรสุม..."

ร่างสูงพึมพำกับตนเองก่อนจะมองไปที่ท่าเรือใหญ่ของอาเดรีย เรือพาณิชย์ที่มักจะทอดสมอจอดเกะกะอยู่ที่ท่าเล็กท่าน้อยพากันถอยกลับเข้าไปในโรงเก็บเรือจนหมด แทนที่ด้วยเรือรบของกองทัพอาเดรียที่ดัดแปลงด้วยการติดตั้งปืนใหญ่บนเรือพาณิชย์ตั้งแถวหน้ากระดานซ้อนหลั่นกันไปเพื่อกระจายกำลังออกป้องกันท่าเรือและปราการชั้นสามของอาณาจักร โดยเรือที่เล็กกว่าจะอยู่ด้านหน้า และเรือที่ใหญ่กว่าจะคอยดูแลด้านหลัง และควบคุมดูแลโดยโจฮาลล์

"พวกธีสธรัลอาจจะมาถึงเร็วขึ้น" จาเร็ตต์มีสีหน้าเป็นกังวล "ข้ายังไม่เห็นวี่แววของเลสธีราห์เลย"

"เจ้ายังจะหวังพึ่งเซนทอร์อีกหรือ ทั้งที่รู้ว่าข้ายื่นมือเข้าช่วยแล้วเนี่ยนะ" เอเรสหัวเราะลงคอ "ช่างไม่มีความเชื่อใจกันเอาเสียเลย น่าเสียใจจริงๆ" คนพูดแกล้งถอนใจ แต่เมื่อเห็นว่าคำตัดพ้อที่เสแสร้งของตนทำให้คนข้างกายยิ่งมุ่นคิ้วใส่ ราชาโจรสลัดก็ยักไหล่ยอมแพ้ "ก็ได้ ข้าไม่แกล้งเจ้าแล้ว"

"ถ้าเลสธีราห์เปลี่ยนใจ... ไม่ช่วยเราแล้ว แต่ทำตามคำสั่งของเหนือหัวดาเรียสเล่า"

"เจ้าคิดว่าคนสวยใจแข็งขนาดนั้นหรือไง" เอเรสหัวเราะ "จริงๆอยู่ว่านี่อาจจะเป็นการเลือกระหว่างเผ่าตัวเองกับเผ่าอื่น แต่ข้าไม่เชื่อว่าเซนทอร์จะไม่สนใจข้อเสนอของข้า เพราะนอกเหนือจากปืนคาบศิลาแล้ว ข้ายังให้อะไรที่มากกว่านั้น" ทั้งคู่ยังอยู่ที่คฤหาสน์ฟลินทรัสต์ และเฝ้ามองการจัดทัพเรือของอาเดรียอยู่ห่างๆ "พวกเขาอาจจะเปลี่ยนใจยกทัพมาช่วยพวกเราเลยก็เป็นได้"

"ท่านชายเอเรส..." พ่อบ้านชราเคาะประตูห้องทำงาน และเปิดเข้ามาพร้อมกับแผ่นกระดาษยับย่นที่ผูกติดมากับขาของเหยี่ยวส่งข่าว "มีข่าวด่วนส่งมาขอรับ" เจ้าของชื่อรับสิ่งนั้นมาพิจารณาครู่หนึ่ง และพบว่ามันเป็นสัญลักษณ์เตือนภัยสูงสุดที่เขาใช้ในหมู่โจรสลัด

"จาเร็ตต์..."

"ข... ข้าเหรอ..." คนถูกเรียกมีสีหน้างงงวยเล็กน้อยพร้อมกับชี้นิ้วไปที่ตัวเอง

"ข้าต้องไปพบโจฮาลล์ ส่วนเจ้าไปกับพ่อบ้าน ข้าจะตามไปสมทบทีหลัง" เอเรสออกคำสั่งเรียบสั้นด้วยน้ำเสียงที่มีความเป็นผู้นำขึ้นมาจนคนฟังต้องกลั้นหายใจ "เอาเรือของข้าออกมา" คนพูดกำกระดาษในมือก่อนจะหมุนตัวเดินออกไปจากห้องด้วยสีหน้าเคร่งเครียด จาเร็ตต์เห็นดังนั้นจึงรีบถาม

"จะไม่บอกข้าหน่อยเหรอว่าใครเขียนอะไรมาถึงเจ้า!"

เอเรสเหลือบมองอีกฝ่ายเล็กน้อยพร้อมกับสูดหายใจลึก "เรือบรรทุกน้ำมัน..."

--------------------------------------------------

'ถ้าข้าอยากจะสู้หลังชนกับเพื่อน... ข้าจะไม่ใช่เซนทอร์เลยหรือไร'

คำพูดของรีดาห์ยังคงสะท้อนอยู่ในหัวของซาฮาลมาตลอดตั้งแต่เมื่อคืน จนบัดนี้อาจเรียกได้ว่าบ่ายคล้อย แต่เซนทอร์ร่างสูงก็ยังไม่อาจถอนตัวเองขึ้นจากภวังค์และอารมณ์ขุ่นมัว เขายังยืนอยู่ที่เดิมที่ท่าเรือมารินา และคิดแต่เรื่องเดิมซ้ำแล้วซ้ำเล่าอย่างไม่อาจปล่อยวางหรือหาทางออกได้ ซาฮาลคิดว่ามันกระทบกระเทือนจิตใจอย่างที่ไม่ควรจะเป็นเสียเหลือเกิน

ว่าที่เหนือหัวอย่างเขา... ไม่ควรจมอยู่กับเรื่องแบบนี้เลยแท้ๆ

'ข้ามีคนที่ให้เกียรติข้าแล้ว ซาฮาล ...เจ้าไม่จำเป็นต้องหยิบยื่นมันให้ข้าอีก'

มุมปากของชายหนุ่มเหยียดยิ้มเย้ยหยันเมื่อคิดถึงคำพูดเหล่านั้น ใบหน้าคมเข้มที่ดูดุดันแสดงออกถึงความผิดหวังและสมเพช นี่คือสิ่งที่เขาควรได้รับอย่างนั้นหรือ ทั้งที่เขาหยิบยื่นทุกสิ่งให้ฝ่ายนั้นมาโดยตลอด มีแต่เขาเท่านั้นที่คอยปกป้องฝ่ายนั้น แล้วเหตุใดเลสธีราห์กลับไม่เคยพอใจหรือเห็นดีเห็นงามเลยสักครา มันไม่ใช่เพื่อเลสธีราห์หรือ เขาจึงยอมรามือจากการช่วงชิงตำแหน่งผู้นำเซเลสต์ และยอมเป็นผู้นำกองเรือพาณิชย์แทน มันไม่ใช่เพื่อเลสธีราห์หรือ เขาจึงฝึกฝนตนเองเพื่อเป็นอัศวินที่แข็งแกร่งพอจะปกป้องฝ่ายนั้น มันไม่ใช่เพื่อเลสธีราห์หรือ เขาจึงทะเยอทะยานจนสามารถมาถึงตำแหน่งว่าที่เหนือหัวแห่งแอสทารอธได้

ไม่ใช่เพื่อฝ่ายนั้นเลยหรือไร...

เซนทอร์หนุ่มกำหมัดแน่นด้วยความโกรธขึ้งที่ไม่มีทางระบายออก เพราะทุกสิ่งที่เขาทำไปมันกลับสูญเปล่า ความพยายามทั้งหมดของชายหนุ่มไม่มีค่าอะไรเลยในสายตาของเลสธีราห์ คนแบบไหนกันที่หยิบยื่นเกียรติให้เซนทอร์ตนนั้นได้ คนอย่างแม่ทัพอาเดรียอย่างนั้นหรือ... คนที่ไม่สามารถดูแลตัวเองได้แบบนั้น คือคนที่สามารถให้สิ่งที่เลสธีราห์ต้องการได้หรือไร

...ซาฮาลไม่เข้าใจเลย

"เจ้ามาอยู่ที่นี่เองรึ" เสียงกีบเท้าหนักๆของเหนือหัวดาเรียสดังขึ้นพร้อมกับเสียงทุ้มต่ำ เกือกเหล็กกระทบกับพื้นแข็งเป็นจังหวะการก้าวเดินช้าๆทว่ามั่นคงบ่งบอกได้ว่าอีกฝ่ายเข้ามายืนเคียงข้างแล้ว "ว่าที่เหนือหัวไม่ไปส่งพลทหารแบบนี้ใช้ได้ที่ไหนกัน"

ดาเรียสพูดถึงเมื่อเช้านี้ และกำลังตำหนิผู้สืบทอดของตนที่บกพร่องในหน้าที่

"กำลังใจเป็นสิ่งสำคัญที่สุดของนักรบ หากผู้นำไม่ใยดี ขุนพลที่ไหนจะมีเรี่ยวแรงไปทำศึก"

"อภัยข้าด้วย เหนือหัว" ผู้น้อยกว่าหันกลับมาและย่อเข่าลงอย่างสำนึกผิด "ข้าตกอยู่ในภวังค์ที่ไร้ทางออก ถูกครอบงำด้วยอารมณ์ที่ผู้นำอาณาจักรไม่ควรมี อีกทั้งยัง..." ดาเรียสกระแอมในลำคอเป็นเชิงปรามคนพูด และทอดมองร่างที่ยังย่อเข่าจนติดพื้นอีกสักพักก่อนจะถอนใจออกมา

"อารมณ์ใดที่ชี้ทางผิดให้เจ้า ซาฮาล... อารมณ์ใดที่เหนือหัวแห่งแอสทารอธไม่ควรมี"

"..."

"หากผู้นำอาณาจักรตกอยู่ในวังวนแห่งความทุกข์ แล้วจะนำพาความสงบสุขมาให้อาณาจักรได้อย่างไร" เหนือหัวดาเรียสว่า "สิ่งที่ครอบงำเจ้าไม่ใช่อารมณ์ที่เหนือหัวไม่ควรมี ซาฮาล... แต่มันเป็นอารมณ์ที่เจ้าเอาชนะไม่ได้ต่างหาก" เซนทอร์หนุ่มเงยหน้าขึ้นมองคนพูดอย่างไม่เข้าใจ และเมื่อเห็นอีกฝ่ายพยักหน้า เขาก็ยืดตัวขึ้นยืนบนขาตนเองอีกครั้ง

"เมื่อเจ้าเอาชนะอารมณ์นั้นไม่ได้ หน้าที่ที่ควรทำก็จะถูกลืมไปเท่านั้นเอง"

เหนือหัวดาเรียสไม่แน่ใจว่าเรื่องที่ทำให้คนอย่างซาฮาลทุกข์ใจได้นั้นคือเรื่องใด เพราะอีกฝ่ายเป็นคนหนักแน่น ดุดัน และแข็งแกร่งเสมอต้นเสมอปลาย อีกทั้งยังมีความคิดที่เฉียบคมและการตัดสินใจที่เฉียบขาด แต่หากพิจารณาสิ่งที่เกิดขึ้นในตอนนี้แล้ว ดาเรียสค่อนข้างมั่นใจว่าเรื่องที่กวนใจซาฮาลคงไม่พ้นเรื่องของเลสธีราห์

"เรื่องบางเรื่อง... พูดออกมาเสียบ้าง ซาฮาล นั่นคือเหตุผลว่าทำไมเหนือหัวต้องมีคนสนิท"

ผู้นำแอสทารอธตัดสินใจเดินนำคู่สนทนาออกไปจากโรงเก็บเรือที่ว่างเปล่า เพราะเขาไม่ใคร่จะชอบใจอากาศภายในนั้นสักเท่าไหร่ เสียงฝีเท้าของซาฮาลก้าวตามมาช้าๆและดูพินิจพิจารณาไม่เหมือนเคย "เมื่อเช้านี้ท้องฟ้าเป็นสีแดงฉาน ลมทางตะวันออกคงจะแรงกว่าที่เคย เลสธีราห์จึงได้รีบร้อนออกไปแบบนั้น"

"เหนือหัวดาเรียส ท่านเคยสงสัยหรือไม่ว่าเหตุใดข้าจึงอยากได้ตำแหน่งนี้"

ผู้นำแอสทารอธเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่งและเหลียวกลับมามองคนถามช้าๆ "มันเป็นเกียรติของเซนทอร์ทุกตนไม่ใช่หรือไร การได้เป็นเหนือหัวสูงสุด ผู้นำเผ่า ผู้ปกครองอาณาจักร โดยเฉพาะคนที่ถือเรื่องเกียรติและศักดิ์ศรีอย่างเจ้าแล้ว มันย่อมเป็นสิ่งที่ปรารถนาที่สุดในชีวิตไม่ใช่หรือไร"

..เขาดูเป็นคนอย่างนั้นหรอกหรือ

ซาฮาลถอนใจกับตัวเอง "ท่านไม่คิดว่าข้าจะเป็นเหนือหัว... เพื่อใครเลยหรือ"

"เพื่อตัวเจ้าเอง ซาฮาล" ดาเรียสหรี่ตาลงเล็กน้อย "เจ้าเกิดในตระกูลที่มีฐานะ ลักษณะดี และเป็นอัศวินโดยสายเลือด มันอาจเป็นภาระบนบ่าที่เจ้าต้องแบกรับโดยไม่รู้ตัว และจากสิ่งที่ข้าเห็น... เจ้าทะเยอทะยานเพื่อเกียรติแก่ตัวเอง"

"ข้า... มาถึงจุดนี้เพื่อเลสธีราห์"

"..." สิ่งที่ออกมาจากปากของซาฮาลทำให้ดาเรียสชะงักไปครู่หนึ่งเนื่องจากคาดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะกล่าวเช่นนี้ แต่เมื่อปะติดปะต่อเรื่องราวเข้าด้วยกันแล้ว ดาเรียสก็พอจะรู้ว่าเหตุใดอีกฝ่ายจึงมีอาการซึมเศร้าอย่างที่ไม่เคยเป็น และดูอ่อนแอลงอย่างเห็นได้ชัดเช่นนี้

"ท่านหญิงลีอาห์จะหมดอำนาจในหมู่ขุนนางเมื่อเหนือหัวดาเรียสสละตำแหน่ง แต่เลสธีราห์ก็จะยังเป็นผู้นำเซเลสต์ต่อไป เซนทอร์ครึ่งเอลฟ์เช่นเขา... ไม่เคยได้รับการยอมรับจากใครมาก่อน และถ้ายิ่งหมดอำนาจของท่านหญิงลีอาห์แล้ว เลสธีราห์จะใช้ชีวิตอยู่ในวงขุนนางแอสทารอธตามลำพังได้อย่างไร"

"เจ้าจึงพยายามหาหนทางให้เขาพิสูจน์ตัวเองอย่างนั้นหรือ"

ดาเรียสถาม และคำตอบของซาฮาลคือการพยักหน้า "แต่เมื่อเขาบอกข้าว่า เขาไม่เคยต้องการความหวังดีจากข้าเลย... ไม่เคยรู้ซึ้งถึงความรู้สึกของข้าเลย... จนคำพูดเหล่านั้นย้ำอยู่ในหัวข้ามาตลอดนับตั้งแต่ได้ยินมัน นี่คือความรู้สึกที่เหนือหัวควรมีอย่างนั้นหรือ!" ซาฮาลที่ดูเป็นผู้ใหญ่เสมอมาถามด้วยน้ำเสียงที่ขาดความมั่นใจอย่างไม่เคยเป็น "ข้าก้าวมาถึงจุดนี้ก็เพื่อเขา แต่เมื่อเขาปฏิเสธ ข้ากลับท้อถอยและไม่คิดถึงเซนทอร์ตนอื่นเลย... นี่คือสิ่งที่เหนือหัวคงคิดอย่างนั้นหรือ!"

"ซาฮาล" ดาเรียสเรียกอีกฝ่าย "การเป็นเหนือหัวไม่ได้หมายความว่าจะรักใครไม่ได้"

"..."

"แต่หากผิดหวังในรักแล้วก็ต้องเข้มแข็งต่อไป อย่าได้จมปลักอยู่กับความทุกข์หรือความเศร้า นั่นคือสิ่งที่เหนือหัวแห่งแอสทารอธควรจะทำ" ดาเรียสไม่คิดว่าเขาจะต้องเอื้อมมือไปลูบหัวคนอย่างซาฮาล ผู้นำกองเรือกราเทียร์ผู้แข็งแกร่งคนนั้นไม่เคยต้องการใคร และไม่เคยแสดงความอ่อนแอใดๆออกมาให้เห็น แต่เมื่อสิ่งที่ทำให้ซาฮาลแข็งแกร่งมาตลอดแตกสลายไป ดาเรียสก็เห็นเพียงเด็กหนุ่มธรรมดาคนหนึ่งยืนอยู่ตรงหน้าเท่านั้น

"ข้าก็เคยผิดหวังในรักเหมือนเจ้า" ผู้นำอาณาจักรหัวเราะเบาๆกับตัวเอง "ข้าก็เคยชอบสตรีนางหนึ่ง"

คนฟังยืนนิ่งอยู่อย่างนั้น ปล่อยให้ดาเรียสลูบหัวตนเองเหมือนเด็กๆ ชายหนุ่มกำลังพยายามรวบรวมสติ และดึงความเป็นตัวเองกลับมาโดยที่ฟังเรื่องราวของดาเรียสไปด้วย "แต่ผู้หญิงคนนั้นก็เห็นข้าเป็นแค่สหาย แต่ข้าก็เพียรเฝ้ามองนาง... นับตั้งแต่เป็นลูกของเหนือหัว จนกระทั่งได้เป็นเหนือหัวในที่สุด ข้าก็เลือกสารภาพกับนางหวังให้นางมาเป็นยอดดวงใจ"

นัยน์ตาของเหนือหัวดาเรียสส่ายไหวเล็กน้อยด้วยความรู้สึกที่อธิบายไม่ได้

"แต่นางก็ตอบว่านางมีคนที่นางรักแล้วและไม่อาจตอบรับข้าได้... แต่ถึงอย่างนั้นข้าก็รักนางอยู่ดี จึงได้คอยดูแล ปกป้องมาจนถึงทุกวันนี้ โดยไม่หวังจะได้อะไรตอบแทน" ดาเรียสทอดยิ้ม "ผู้หญิงคนนั้นคือแม่ของเลสธีราห์"

--------------------------------------------------


อ้าว เหนือหัว... 555
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 23-12-2016 10:35:28 โดย khaosap »

ออฟไลน์ khaosap

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 165
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
    • Khaosap Writing
Re: ASTAROTH พันธนาการดวงดาว ตอนที่ 25.2
«ตอบ #97 เมื่อ23-12-2016 10:38:27 »

ตอนที่ 25.2


เอเดรียนค่อนข้างมั่นใจว่าผู้นำแห่งอาเดรียล่วงรู้ความคิดของเขาแล้ว แต่ไม่สามารถหาหลักฐานใดมาพิสูจน์ได้ อีกทั้งในเวลานี้ยังไม่เหมาะสมที่จะมาจับผิดกันอีกด้วย ดังนั้นอีกฝ่ายจึงเดินทางไปขอความช่วยเหลือจากพี่สาวที่คัสนาห์เพื่อเป็นการเตือนเอเดรียนว่าหากเปิดสงครามกับท่านชายซินญอร์ก็เท่ากับตั้งตนเป็นศัตรูของคัสนาห์ด้วย

...แต่ถึงกระนั้น แม่ทัพใหญ่ก็ไม่รู้สึกหวาดกลัวแต่อย่างใด

แม้ว่าหน่วยอารักขาฝีมือดีของเขาจะต้องกระจายกำลังออกเป็นหลายส่วนเพื่อควบคุมดูแลกำลังพลของคัสนาห์ที่ถูกส่งมาช่วย และเอเดรียนอาจเข้าถึงตัวท่านชายซินญอร์ได้ยากขึ้น แต่เขาก็ไม่คิดว่ามันจะเป็นอุปสรรค ขอเพียงแค่ถึงเวลาที่เหมาะสมเท่านั้น ขอแค่ถึงช่วงเวลาที่แน่ใจว่าอาเดรียจะปลอดภัย

นี่เป็นสงครามทั้งภายในและภายนอกจริงๆ ...อีกทั้งไม่มีทางใดให้เขาถอยอีกด้วย

กองทัพของอาเดรียไม่เคยรับรู้ถึงแผนการกบฎนี้ และต่อให้ความสัมพันธ์ของเอเดรียนกับกองทัพอาเดรียจะแน่นแฟ้นสนิทสนมกันมากกว่าท่านชายซินญอร์ แต่อย่างไรคนที่เขากำลังต่อสู้ด้วยก็คือผู้นำอาณาจักรที่ได้ชื่อว่ามีสายเลือดของกษัตริย์องค์สุดท้าย สำหรับเมืองที่เคยปกครองด้วยระบอบกษัตริย์มาก่อน อย่างไรการเปลี่ยนผู้นำก็เป็นเรื่องยากอยู่ดี และตัวเอเดรียนเองก็ไม่เคยคิดด้วยว่าเขาจะสามารถตั้งตนเป็นกษัตริย์แทนได้จริงหรือไม่

เขาจะสามารถใช้ชีวิตอยู่ต่อไปได้หรือเปล่า... ในฐานะของผู้นำก่อการกบฎนี้

...คนที่ตัดสินใจทรยศผู้มีพระคุณอย่างเขา จะสามารถทนความอัปยศและมีชีวิตต่อไปได้หรือเปล่า

อัลธอร์พาคนบนหลังวิ่งขึ้นไปด้านบนกำแพงที่ซึ่งพลธนูของคัสนาห์ประจำการอยู่ "ท่านแม่ทัพเอเดรียน กองเรือของอาเดรียพร้อมแล้ว แต่ข้ายังไม่เห็นวี่แววของพวกแอสทารอธเลย" กองเรือของอาเดรียกระจายกำลังทั่วอ่าวตรงหน้า โดยมีเรือสั่งการลอยลำอยู่กลางกองทัพ แม้จะไม่มีวี่แววของแอสทารอธ แต่เองเดรียนก็คิดว่ากองทัพเรือของเขาพร้อมในการต่อสู้แล้ว

เว้นเสียแต่เส้นขอบฟ้าสีส้มแดงจะปรากฎแถวแนวของกองเรือ และเสียงแตรอันเป็นเอกลักษณ์ของกองทัพเรือที่เรียกได้ว่าแข็งแกร่งเป็นอันดับสองของในท้องทะเลนี้ มันนำพาทั้งความตึงเครียดและความกดดันมาสู่ทุกคนที่อยู่ในที่นั้นได้โดยไม่ต้องสงสัย

ฝูงนกทะเลส่งเสียงร้องระงมแตกตื่นขณะบินวนทั่วท้องฟ้า เอเดรียนกลั้นหายใจเมื่อเห็นจำนวนข้าศึก ลมแรงในยามเช้าพัดกระพือให้ใบเรือสีขาวนำพาเรือไม้ขนาดใหญ่แล่นข้ามทะเลมา ผนวกแรงกับฝีพายที่ประสานจังหวะกันอย่างลงตัว ทำให้พวกเขาเคลื่อนที่ด้วยความเร็วสูงสุด

"เรือสั่งการ..."

โจฮาลล์ที่อยู่บนเรือรบด้านหน้าสุดกลั้นใจ ขณะปราดสายตาประเมินกำลังศัตรูที่คืบคลานเข้ามา ชายหนุ่มไม่ได้รู้สึกพรั่งพรึงหรือตกใจอย่างพลทหารและลูกเรือคนอื่น แต่เขากำลังคำนวนทางหนีทีไล่อย่างรอบคอบ "เรือสั่งการของพวกมันอยู่ด้านหลัง... ด้านหน้าสุดเป็นเรือเร็วไม่มีปืนใหญ่"

"เรือเหล็ก..."

ธีสธรัลใช้เรือใบพายขนาดใหญ่สองลำนำหน้ามุ่งตรงเข้ามาโดยไม่มีสัญญาณเตือน ตามมาด้วยเรือเหล็กที่มีขนาดใหญ่กว่าหลายเท่า "เรือบรรทุกน้ำมัน!!" เสียงตะโกนที่ไม่มีใครคุ้นเคยดังขึ้นพร้อมกับการมาถึงของม้าสีดำตัวเขื่องที่ร่อนลงมาจากฟ้าด้วยปีกมหึมา

ตึง!

ลูกเรือที่อยู่บนดาดฟ้าแตกฮือเพื่อหลีกทางให้ม้าใหญ่ โดยที่ผู้ควบขี่กระโดดลงจากหลังของมันและตรงเข้ามาหาโจฮาลล์อย่างเร่งรีบ "จัดขบวนใหม่... พวกมันส่งเรือน้ำมันพุ่งเข้ามาในกลุ่มเรา เรือรบทั้งหมดแหวกทางออกไปให้ไกลที่สุด" ม้ามีปีกเป็นสายพันธุ์ม้าป่าที่หายากและมีราคาสูง ดังนั้นจึงเป็นการบอกฐานะของผู้มาถึงได้อย่างดี อีกทั้งรูปร่างหน้าตาและน้ำเสียง โจฮาลล์มั่นใจว่าเขากำลังเผชิญหน้ากับเอเรส ฟลิสทรัสต์ น้องชายของเอเดรียน

แม้น้ำเสียงของเอเรสจะดุดันและน่าเกรงขามไม่ต่างจากพี่ชาย แต่คำสั่งของเอเรสก็ค่อนข้างกำกวม ระบุจุดประสงค์ไม่ได้ อีกทั้งยังไม่มีที่มาที่น่าเชื่อถือพออีกด้วย ดังนั้นทุกคนจึงลังเลที่จะทำตาม "เราจะเสียเรือรบไปเปล่าประโยชน์ถ้ายังขวางหน้าพวกมัน"

โจฮาลล์มองภาพที่เกิดตรงหน้าและพยักหน้าเห็นด้วย "จัดขบวนใหม่! เรือรบปะทะด้านข้าง!"

ธงสัญญาณที่อยู่บนเรือสั่งการเปลี่ยนสี และแตรอาเดรียก็ดังขึ้นเรียกความสนใจจากเรือลำอื่น ก่อนที่เหล่ากัปตันจะแปรแถวจากหน้ากระดานมาเป็นการจับกลุ่ม "พวกมันไหวตัว..." แม่ทัพกองเรือเวเรนเซียว่า "แปรขบวน! เราจะตั้งรับการปะทะของพวกมันอยู่ที่นี่!"

เอเดรียนมองดูการจัดทัพของทั้งสองฝ่ายด้วยสีหน้าเคร่งเครียด สายตาของชายหนุ่มเพ่งมองไปที่เรือเหล็กลำใหญ่ของธีสธรัลที่ถูกลากมา "เรือเหล็ก..." ร่างสูงพึมพำ "ไม่มีแม้แต่หางเสือเพื่อจะบังคับทิศทาง..." เรือพายที่ลากนำหันหัวกลับไปยังเวเรนเซียพร้อมกับตัดโซ่เส้นยาวให้ขาดสะบั้น ปล่อยให้เรือเหล็กพุ่งผ่านเกลียวคลื่นเข้าหาแผ่นดิน

"ท่านแม่ทัพ!" เสียงตะโกนมาจากกำแพงด้านบนทำให้แม่ทัพใหญ่ต้องหันกลับไปมองต้นเสียง พลทหารชี้มือออกไปทางทะเลเปิดเบื้องหน้าพร้อมกับพูดอะไรสักอย่างที่เขาไม่สามารถจับความได้เนื่องจากเสียงฮือระงมของพลทหาร

"เรือเซเลสต์! ท่านแม่ทัพ!"

ปากอ่าวอาเดรียนั้นเป็นหน้าผาสูง และเรือที่โผล่พ้นผาหินออกมาก็คือเรือสามเสาที่มีธงสัญลักษณ์ของเซนทอร์ แผ่นไม้มหึมาขยับพายพาเรือรบเข้ามาขวางระหว่างเรือเหล็กและปากอ่าวอาเดรีย ร่างโปร่งที่บังคับทิศทางอยู่ท้ายเรือปราดสายตามองไปยังข้าศึกจากตะวันออก

"เก็บพายทั้งหมดเข้ามา..."

เลสธีราห์ถ่ายทอดคำสั่งไปยังรีดาห์ โดยที่ตนเองก้าวขึ้นไปบนกราบเรือและมองดูประตูปืนฝั่งซ้ายค่อยๆเปิดออกทีละบาน "เรือเหล็ก..." ท่อนเหล็กลอยน้ำเคลื่อนผ่านเข้ามาในกองทัพอย่างเชื่องช้า เซนทอร์หนุ่มได้ยินเสียงโหวกเหวกด้วยความตื่นตระหนกของลูกเรืออาเดรีย กองทัพอาเดรียกำลังจัดขบวนใหม่โดยเปิดทางให้เรือเหล็กของธีสธรัลผ่านเข้ามาในน่านน้ำเพื่อลดความเสี่ยงในการสูญเสียเรือรบ และใช้เรือพายขนาดใหญ่หลายลำเรียงแถวขึ้นเป็นแนวป้องกันที่ปากอ่าวแทน

"เรือรบดัดแปลง... ติดตั้งปืนใหญ่บนเรือพาณิชย์ขนาดกลาง" แม่ทัพหนุ่มมุ่นคิ้วมองในระยะไกล "จะว่าไปก็แก้ปัญหาได้ไม่เลวหรอกนะ เอเรส" เลสธีราห์จรดยิ้มที่มุมปากเล็กน้อย ก่อนจะหันไปมองข้าศึกที่จัดกระบวนขึ้นมาโดยให้เรือขนาดใหญ่อยู่ที่ปลายแถวด้านหน้าสุดเพื่อหวังโอบล้อมอ่าวออโรรา "กระบวนรบแบบจันทร์เสี้ยว... ต้องใช้ปืนใหญ่พิสัยไกล"

"กระบวนรบแบบจันทร์เสี้ยวทำให้ปืนใหญ่พิสัยไกลหมดความหมาย" รีดาห์เดินตามมาสมทบและร่วมวิเคราะห์สถานการณ์ "มันเป็นการตั้งรับอย่างสมบูรณ์แบบ ก่อนจะไล่กลับเข้ามาเช่นเดียวกับลักษณะเขากระทิงป่า เราต้องทำลายรูปขบวนของพวกมันให้ได้ก่อน แล้วจึงแยกตีเรือที่กระจัดกระจาย เพียงแต่เราไม่มีกำลังมากพอ" รองผู้บัญชาการขบริมฝีปากตนเองเบาๆ "หากมีเรือใต้บัญชามากกว่านี้ก็คงดี"

"ข้าคิดว่าเอเรสอ่านเกมพวกมันออก" เลสธีราห์ว่า และกลับมาสนใจเรือเหล็กลำใหญ่ที่ลอยเข้ามาเพียงลำพัง "ข้าจะยิงเจ้านี่เอง" นัยน์ตาสีฟ้าเขม้นมองสิ่งที่กำลังพุ่งตรงเข้ามา มือเรียวหยิบคันธนูคู่ใจขึ้นมาและแตะนิ้วขึ้นสายเปล่าอย่างที่เคยทำ เซนทอร์หนุ่มกำลังจะง้างสาย แต่แล้วพลทหารคนหนึ่งก็วิ่งเข้ามาหาพร้อมกับอาการตื่นตระหนก

"ท่านเลสธีราห์!!"

แม่ทัพเรือเสียสมาธิกับเป้าหมาย "มีอะไรกัน..."

"พายทุกเล่มได้รับความเสียหายหมดเลยขอรับ!" แม่ทัพหนุ่มมุ่นคิ้ว และยอมละสายตาจากเรือเหล็กเพื่อตามอีกฝ่ายไปที่ท้องเรือ ที่ซึ่งลูกเรือกำลังแตกตื่นเมื่อดึงท่อนไม้พายขนาดใหญ่กลับเข้ามาในท้องเรือและพบว่ามีของเหลวสีดำลื่นติดมาด้วย

"ทะเลอาเดรียนี้มีพิษ!"

"มันคือมลพิษที่จะแผ่กระจายออกไปถึงน่านน้ำของเรา!"

เลสธีราห์ก้าวลงมาชั้นล่าง และพบว่าน้ำทะเลที่เจิ่งนองอยู่ที่ท้องเรือกลายเป็นของเหลวสีดำที่ส่งกลิ่นฉุนร้ายกาจ อีกทั้งใบพายทุกเล่มที่ดึงกลับเข้ามาเปรอะเปื้อนไปด้วยคราบเหล่านี้เต็มไปหมด "ท่านเลสธีราห์ ทะเลนี้มีพิษ! ถ้าเรายังลอยลำเซเลสต์อยู่ละก็..."

แม่ทัพหนุ่มยกมือปรามคนพูด "เหลวไหล"

ร่างโปร่งก้มพิจารณาใบพาย และสัมผัสของเหลวนั้นด้วยมือของตน "เลสธีราห์..." รีดาห์ตามลงมาจากด้านบน "เราอยู่ใต้ลม หากเข้าไปใกล้จะยิ่งเสียเปรียบ..." รองผู้บัญชาการสะดุดกับสิ่งที่พบ ก่อนจะย่นจมูกกับกลิ่นอันไม่น่าพึงประสงค์ที่กระจายไปทั่วท้องเรือ

"หยุดปืนใหญ่ทุกกระบอก..."

แม่ทัพหนุ่มยื่นมือของตนให้คนสนิทเห็นคราบสีดำเปียกลื่นบนนิ้ว "นี่คือน้ำมันดิบ... รีดาห์ เรือเหล็กนั่นปล่อยน้ำมันลงทะเล ถ้ามันเจอประกายไฟเมื่อไหร่ก็จบกัน" ร่างโปร่งวิ่งขึ้นบันไดนำหน้าไปพร้อมกับตะโกนออกคำสั่ง "ดึงปืนใหญ่กลับเข้ามา! ห้ามจุดไฟ!! พวกท้องเรือรีบขึ้นมาให้หมด! หันพังงาไปทางขวา!"

เมื่อแม่ทัพใหญ่เปลี่ยนคำสั่ง เซนทอร์บนเรือก็ได้แต่ชะโงกชะเง้อมองตามด้วยความไม่เข้าใจ

เลสธีราห์กลับขึ้นมายังด้านบนและมองดูเรือเหล็กลำใหญ่เคลื่อนตัวผ่านไปช้าๆ มุ่งหน้าสู่ด้านในอ่าวอาเดรีย โดยที่ข้างลำเรือยังปล่อยน้ำมันสีดำออกมาไม่ขาดสาย "หันหัวเรือไปให้พ้นเรือลำนั้น..."

...บรึ้ม!

ตะเกียงไฟหลายดวงถูกเหวี่ยงออกมาจากเรือของธีสธรัลที่ด้านหน้า และเมื่อมันตกกระทบผิวน้ำที่เต็มไปด้วยคราบน้ำมัน เปลวไฟก็ลุกโชนขึ้นกลางทะเล เรือรบแถวหน้าเปลี่ยนทิศทางเพื่อเลี่ยงลูกไฟ แต่แล้วมันก็ไปเบียดเส้นทางของเรือที่แล่นตามมาทำให้ขบวนทัพสับสนและประสานงาชนกันเองอย่างรุนแรง

โครม!

ตูม!

"ธนูไฟ..." แม่ทัพเวเรนเซียสั่งเสียงเย็น "ยิงธนูไฟลงน้ำ!"

แตรสัญญาณของธีสธรัลดังขึ้น พลธนูก้าวมาที่กราบเรือทั้งสองข้างพร้อมกับลูกธนูที่ติดไฟ ขณะที่กองเรืออาเดรียตรงหน้าอยู่ในความโกลาหล เปลวไฟที่มอดไหม้อยู่บนผิวน้ำเริ่มลามไปทั่วบริเวณ และไม่ว่าเรือจะเคลื่อนไปทางใดก็จะลากเอาคราบน้ำมันตามไปด้วย

เอเดรียนอ้าปากค้างมองสิ่งที่เกิดขึ้นเบื้องหน้าอย่างไม่รู้ว่าควรจะรับมืออย่างไร "...โจฮาลล์" ความตื่นตระหนกทำให้เรือหลายลำพุ่งเข้าชนกันเอง กระทั่งเรือสั่งการเองก็ยังพยายามเบนหัวออกไปอย่างไร้ทิศทางให้พ้นกองไฟและรักษาเรือเอาไว้ กลุ่มธนูไฟที่พุ่งออกมาจากกองเรือธีสธรัลยิ่งทำให้ท้องสมุทรลุกโชนเป็นทะเลเพลิง ทว่าแม่ทัพใหญ่แห่งอาเดรียก็ทำให้แค่ยืนมอง

โครม...!!!

เรือเหล็กพุ่งเข้าชนกลางกลุ่มเรือใบพายที่ขวางทาง และพุ่งต่อไปอย่างไม่มีทีท่าว่าจะหยุด

"...ต้องระเบิดเรือนั่นทิ้ง" เอเรสพึมพำขึ้นหลังจากใช้เวลาสักพักในการตั้งสติ "โจฮาลล์! สั่งให้เรือพุ่งเข้าเทียบกันเป็นขบวนแล้วถ่ายกำลังคนกลับมาให้มากที่สุด!" ร่างบนหลังม้าคว้าธนูคันใหญ่ขึ้นมาถือพร้อมกับแตะปลายลูกดอกหนึ่งกับไฟเพื่อจุดธนูเพลิง แล้วกระทุ้งสีข้างม้าคู่ใจแรงๆทีหนึ่ง "เอาชีวิตคนกลับมาให้มากที่สุด!!"

"เอเรส!!"

ถ้าเรือเหล็กยังไม่หยุดเคลื่อน อ่าวอาเดรียก็จะกลายเป็นทะเลเพลิงอย่างแท้จริง

ม้าสีดำกระโจนขึ้นบนกราบเรือและดีดตัวออกไปพร้อมกับกางปีกออกเพื่อพาคนบนหลังออกไปยังท้องฟ้าเบื้องหน้า "เทียบเรือ!! เทียบเรือลำหน้า พาคนกลับมา!!" เสียงของโจฮาลล์ตะโกนสั่งการอยู่เบื้องหลัง ในขณะที่เอเรสพาม้าของตนบินออกไปที่กลางทะเล โดนเว้นระยะห่างจากเรือน้ำมัน แต่ก็ใกล้พอที่จะยิง เขาง้างลูกดอกขึ้นสายเล็งไปที่น้ำมันจำนวนมากที่กำลังทะลักทลายออกมาจากลำเรือ และโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง ผู้นำโจรสลัดก็ยิงลูกดอกติดไฟไปที่เป้าหมาย

บรึ้ม...!!!

เสียงระเบิดดังสนั่นเกิดขึ้นพร้อมประกายไฟที่พุ่งสูงขึ้นในอากาศ ตามมาด้วยกลุ่มควันสีดำคละคลุ้ง ความรุนแรงที่สามารถเปลี่ยนทิศทางของเกลียวคลื่นทำให้เรือที่อยู่ใกล้เคียงเสียหลักทรงตัว สะเก็ดไฟจำนวนมากปลิวมาตามแรงลมและติดบนใบเรือลุกโชนโหมขึ้นอีกระรอก

"ไฟไหม้ใบเรือ!!"

"ไฟไหม้ดาดฟ้าเรือ!!"

โจฮาลล์เงยหน้าขึ้นมองกลุ่มควันบนฟ้ามืดครึ้มแม้จะเป็นยามกลางวัน และมองศัตรูที่ยังสงบนิ่งอย่างใจเย็นเพื่อดูความวินาศของกองทัพเรืออาเดรีย "สละเรือ..." น้ำมันดิบยังลามเข้ามาไม่ถึงด้านในของอ่าวออโรรา ดังนั้นโอกาสรอดของพวกเขายังคงมีอยู่ "สละเรือ!! เรือที่ติดไฟ สละเรือ!!" เรือรบแต่ละลำมีคลังแสงของตนที่ใช้เก็บดินปืนและอาวุธทั้งหลาย หากปล่อยให้ไฟไหม้ต่อไปเช่นนี้ อีกไม่นานก็จะเกิดการระเบิดในที่สุด กองทัพเรือของอาเดรียมีเพียงยี่สิบลำ และอย่างน้อยสิบลำในตอนนี้ก็ติดไฟแล้ว

แต่แตรของแอสทารอธกลับถูกเป่าขึ้นจนความโกลาหลวุ่นวายหยุดเคลื่อนไหวไปชั่วขณะ เรือเซเลสต์แล่นออกมาจากม่านควันดำกับเรือที่ไม่ได้รับอันตรายใด เว้นเสียแต่ลูกไฟเล็กๆที่ติดอยู่บนผิวทะเลโดยรอบเท่านั้น

เลสธีราห์กระโจนขึ้นมายืนหน้าด้านของหัวเรือที่เคลื่อนเข้าใกล้เรือของโจฮาลล์

"ตามข้ามา!" ลมยามกลางวันส่งให้เรือรบขนาดใหญ่เคลื่อนนำไปเบื้องหน้าแม้ว่าจะเป็นทะเลเพลิง ใบเรือสีขาวทั้งหมดถูกกางออกโดยไม่กลัวเกรงสะเก็ดไฟ พวกเซนทอร์เป่าแตรของตนพร้อมกับระดมพลที่มีอาวุธครบมือขึ้นมาบนดาดฟ้า "ใช้เรือไฟพุ่งชน!"

โจฮาลล์มองตามอีกฝ่ายไปสักพักจึงได้เข้าใจสิ่งที่เลสธีราห์ต้องการ

"บอกกัปตันทุกลำ!! เราจะใช้เรือไฟเข้าชนธีสธรัล!"

--------------------------------------------------

แม้ว่าการบาดเจ็บที่ข้อเท้าจะเป็นเรื่องใหญ่สำหรับเซนทอร์ แต่มันกลับเป็นโอกาสหนึ่งที่ทำให้แม่ทัพหญิงโมนาสามารถใช้เวลาพักฟื้นอยู่กับบุตรชายได้อย่างเต็มที่ ก่อนจะกลับไปร่วมประชุมในสภาขุนนางวันรุ่งขึ้นอันหมายถึงการกลับไปทำหน้าที่แม่ทัพตามเดิมโดยสมบูรณ์ ในวันนี้เซนทอร์หญิงจึงได้แต่เอนกายนอนอยู่บนแท่นและเฝ้ามองบุตรของตนซ้อมดาบไม้อยู่กับบิดาของตน ซึ่งนั่นก็คือตาของเขานั่นเอง

ตระกูลของนางนับเป็นตระกูลที่เก่าแก่ตระกูลหนึ่งซึ่งมีชื่อเสียงในเรื่องการทำศึก ดังนั้นพวกเขาจึงต้องฝึกฝนให้มีความชำนาญด้านการต่อสู้ตั้งแต่ยังเด็กเพื่อในภายภาคหน้าจะเติบโตขึ้นไปเป็นอัศวินเซนทอร์ต่อไป

"โมนา" หญิงสาวหันตามเสียงเรียกของน้องสาวต่างมารดา ผู้ที่คอยนำข่าวสารบ้านเมืองมารายงานให้ฟังทุกวัน และแน่นอนว่าโมนาย่อมรู้เรื่องคำตัดสินของเหนือหัวดาเรียส เรื่องความสัมพันธ์ของเลสธีราห์และเอเดรียน อีกทั้งยังรู้ถึงความคิดจะขัดคำสั่งสภาขุนนางของรีดาห์อีกด้วย แต่ในเมื่อไม่มีคำสั่งมาถึงนาง โมนาคิดว่าตนควรจะวางตัวสงบเอาไว้และรอดูสถานการณ์ต่อไป

ทว่าในวันนี้ เฟรดากลับเดินทางมาพร้อมซาฮาล ว่าที่เหนือหัวแห่งแอสทารอธ

"ว่าที่เหนือหัว..."

แม่ทัพใหญ่เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยแล้วจึงขยับร่างเพื่อลุกขึ้นและทำความเคารพอีกฝ่ายตามธรรมเนียมปฏิบัติ ทั้งบุตรชายและบิดาของนางหันมามองการมาเยือนนั้นและหยุดการฝึกซ้อมเอาไว้ด้วยความแปลกใจ "เดินทางมาถึงนี่ แปลว่าจะต้องมีเรื่องใดเป็นกรณีพิเศษอย่างแน่นอน" โมนาเป็นหญิงฉลาด แม้ว่านางจะเป็นคนใจร้อน โมโหร้าย และรับมือได้ยากเย็น

ซาฮาลรู้ดีว่าไม่ควรอ้อมค้อมกับแม่ทัพใหญ่แห่งแอสทารอธจึงได้แกะซองหนังในมือออกและเผยให้อีกฝ่ายเห็นถึงสัญญาข้อตกลงของตระกูลฟลินทรัสต์แห่งอาเดรีย "เลสธีราห์ปฏิเสธคำสั่งของสภาขุนนาง และทิ้งสิ่งนี้เอาไว้ก่อนจะออกเรือไปอาเดรีย"

โมนาก้าวไปหาอีกฝ่ายแล้วจึงรับสิ่งนั้นมาพิจารณา "เอเรส... โจรสลัดแห่งทะเลเทเทสรึ"

"จริงอยู่ว่าการขัดคำสั่งของสภาขุนนางนับเป็นเรื่องใหญ่หลวง และเรื่องนี้ก็ไม่สามารถรอให้ถึงวาระประชุมครั้งต่อไปได้ เลสธีราห์ออกเรือไปสู้กับธีสธรัล ในขณะที่แม่ทัพใหญ่ก็หันหน้าสู้กับผู้นำของตนเอง" ซาฮาลไม่เอ่ยชื่อเอเดรียน เพราะเขาคิดว่าตนเองรู้สึกเจ็บปวดกับมันจนไม่อยากจดจำ "หากสำเร็จ แอสทารอธจะได้รับประโยชน์จากสัญญาฉบับนี้ แต่หากล้มเหลว ผู้ที่สูญเสียก็คือเลสธีราห์"

โมนาเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่งก่อนเหยียดยิ้ม "เช่นนั้นแล้ว ว่าที่เหนือหัวต้องการให้ข้า..."

"ข้าต้องการหน่วยองครักษ์ส่วนตัวของท่านแม่ทัพ ในนามของว่าที่เหนือหัว ข้าสามารถรับผิดชอบการกระทำของเจ้าได้" ซาฮาลเอ่ยเสียงเรียบขณะที่มองสบตากับแม่ทัพหญิง "ไปช่วยทำให้สัญญาฉบับนี้มีผล ไปช่วยคนสนิทของข้ากลับมา"

"ไปช่วยเลสธีราห์กลับมารึ" โมนาประหลาดใจ ด้วยความที่นางรู้จากน้องสาวแล้วว่าคนที่เลสธีราห์มีใจให้นั้นไม่ใช่ว่าที่เหนือหัว ดังนั้นคนตรงหน้านางจึงอยู่ในภาวะ 'ถูกทิ้ง' อย่างไม่ต้องสงสัย ดังนั้นจึงเป็นเรื่องแปลกหากอีกฝ่ายจะยังยืนยันหนักแน่นอยู่

ซาฮาลนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยตอบ "...รีดาห์"

--------------------------------------------------
---------- TO BE CONTINUE ----------


เฮฮฮ... คู่รอง...

รบแล้วๆ ในที่สุดก็ออกเรือ ฮ่าาา
รู้สึกว่าโมนานี่เป็นผู้หญิงที่เท่ดีจัง OTL โอเค นางไปขั้นมีลูกแล้ว นางไม่นก 555555

เอ้อ... จริงๆไม่เคยเกริ่นในเรื่องมาก่อนว่าม้าในเรื่องนี้มี 2 ไทป์คือม้ามีปีกกะม้าธรรมดา... ส่วนใหญ่ม้ามีปีกจะเป็นของพวกไอย์ชวล (พวกที่ทำให้เลสธีราห์ต้องคืนร่างกลับเป็นเซนทอร์เพื่อช่วยเอเดรียน) ส่วนฝั่งมนุษย์นี่ใช้ม้าธรรมดา แต่ม้าของเอเรสมีปีก เพราะเอเรสมันรวย---

ยุทธศาสตร์เรือไฟนี่เราเอามาจากสงครามอาร์มาดาของอังกฤษ-สเปนล่ะค่ะ... กระบวนทัพแบบจันทร์เสี้ยว ปืนใหญ่พิสัยไกลอะไรงี้ด้วย (แต่เอาเรือน้ำมันไปเผาทะเลเขาเลยนี่เป็นอะไรที่โหดมากนะเจ๊ไวลด์ << แต่มันทำลายศัตรูได้โดยที่ตัวเองแค่ยืนมองอะนะ)


เอเดรียนล่ะ เอเดรียน...
นี่ยังไม่เสร็จนะ ไม่รู้ถึง 50% หรือยัง... คือนักวาดคนนี้บ้าพลังมากค่ะ นางบอกไม่ได้ว่างานเสร็จเมื่อไหร่ แต่นางจะทำไปเรื่อยๆ แล้วจะโหดขึ้นเรื่อยๆ นี่ก็พยายามเบรกอยู่ 555


ออฟไลน์ khaosap

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 165
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
    • Khaosap Writing
Re: ASTAROTH พันธนาการดวงดาว ตอนที่ 26.1
«ตอบ #98 เมื่อ24-12-2016 17:28:19 »

ตอนที่ 26.1

"แบ่งกองทัพออกเป็นสองส่วน... ส่วนหน้าเป็นเรือที่มีปืนใหญ่พิสัยไกล กระจายจัดทัพแบบจันทร์เสี้ยว ส่วนหลังเป็นเรือที่มีปืนใหญ่พิสัยใกล้จัดทัพหน้ากระดาน ส่วนด้านหน้าสุดให้ใช้เรือน้ำมันแหวกทางเข้าไป" บาร์เวน แม่ทัพเรือแห่งเวเรเนเซียพูดกับเหล่ากัปตันที่รายล้อมอยู่รอบโต๊ะประชุม "ถ้าพวกอาเดรียคิดจะขวาง อย่างไรก็ถูกชนจนขาดเป็นสองท่อนได้อยู่ดี เราจะปล่อยน้ำมันในอ่าวของพวกมัน จากนั้นก็เผาให้ทะเลติดไฟ แค่นี้ พวกมันก็ทำอะไรไม่ได้แล้ว"

"ท่านแม่ทัพ... แต่ถ้าพวกแอสทารอธมาช่วย เราจะรับมืออย่างไรขอรับ"

"แม่ทัพกองเรือเซเลสต์ครอบครองธนูแหวกสมุทรแอควาเรียร์ และถ้าหากเขาใช้ธนูนั่น น้ำมันและเปลวไฟก็จะกระจายตัวไปทั่วได้เร็วยิ่งขึ้นเท่านั้น" ลาร์เวนตอบรวบรัด "ให้เรือของพวกมันติดไฟ ไม่ช้าคลังแสงก็จะระเบิด และพวกมันก็จะไม่มีอะไรให้ใช้ต่อสู้กับเรา"

"ย้อมทะเลของพวกมันให้เป็นสีเลือดและจมอยู่ในกองเพลิง!"


...

เบื้องหน้ากองทัพธีสธรัลคือทะเลเพลิง เปลวไฟที่กำลังเผาไหม้น้ำมันดิบจำนวนมหาศาลลุกโชนและแผ่ขยายออกเป็นวงกว้าง เบื้องหลังกองเพลิงเหล่านั้นคือความพินาศของกองเรืออาเดรียที่เรียกได้ว่าเป็นแค่เหยื่อ "อาเดรีย... ที่คิดจะต่อกรกับกองเรือเวเรนเซียรึ" แม่ทัพเรือกำหมัด "ให้มันมอดไหม้จนหมด แล้วเราจะเหยียบเข้าไปในแผ่นดินของพวกมันกัน" เวเรนเซียหวังให้เรือน้ำมันเข้าไปถึงภายในอ่าวที่มีทั้งท่าเรือและเมืองขนาดย่อม เพื่อที่จะใช้ไม้เป็นเชื้อเพลิงชั้นดีในการเผาไหม้

แต่เรือเหล็กลำใหญ่ก็เกิดระเบิดกลางทาง ทว่านั้นก็ไม่ได้ทำให้พวกเขาเสียแผนแต่อย่างใด

"ท่านแม่ทัพ... พวกมันตอบโต้แล้วขอรับ"

"เป็นการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า..." บาร์เวนว่า "แต่มันก็ไม่ได้พลิกสถานการณ์ให้พวกมันได้เปรียบหรอก" แม่ทัพเรือเขม้นมองที่ม่านเพลิง คิ้วดกหนาขมวดมุ่นเมื่อเห็นเงาลำเรือดาหน้าผ่านเปลวไฟออกมา "เรือติดไฟ!!" แม้ว่าบาร์เวนจะย้ำให้กองทัพรักษาระยะห่างจากสนามรบ แต่มันก็ใกล้เกินไปที่จะสั่งให้ถอยหลัง เรือรบของอาเดรียหลายลำที่ติดไฟมุ่งหน้าเข้ามาโดยมีเป้าหมายที่กองเรือเวเรนเซีย

"ถอย!! หักขวาให้หมด ถอยกลับ!! ปืนใหญ่ยิงพวกมันเข้า!!"

ตูม!!

ปืนใหญ่ที่อยู่หน้าลำเรือเริ่มเปิดฉากยิงใส่เรือไฟที่ดาหน้าเข้ามา แต่นั่นก็ทำได้แค่สร้างความเสียหายเล็กน้อย ถ้าเทียบกับใบเรือติดไฟลุกโชนจนน่ากลัว ดาดฟ้าที่ไม่มีที่ว่างสำหรับการต่อสู้ใดๆ กองเรืออาเดรียพุ่งเข้าหาคู่ต่อสู้และปักหัวเรือเข้าหาเนิบช้า "เสากลางล้ม!! ระวังเสากลางล้ม!!"

โครม!

ท่อนไม้ที่มอดไหม้เป็นเวลานานเอนล้มลงพร้อมกับใบเรือหนักทำให้สะเก็ดไฟปลิวกระเด็นไปติดเรือลำอื่นของธีสธรัล "ยิงเข้าไปในกองเพลิง!! ยิงเข้าไป!!" แม่ทัพเวเรนเซียตวาดลั่น ขณะมองเรือไฟอีกหลายลำที่แล่นตรงเข้ามาโดยไม่มีผู้บังคับทิศทาง กองเรือของเขากำลังติดไฟ และคราบน้ำมันที่เรือของอาเดรียนำมาด้วยก็กำลังจะลามมาถึงฝ่ายธีสธรัล

บรึ้ม...!!!

ตูม...!!!

คลังแสงหนึ่งระเบิดดังสนั่นพร้อมกับประกายไฟพุ่งขึ้นฟ้าลามไปยังเรืออีกลำ ก่อนที่จะระเบิดตามกันโดยหลีกเลี่ยงไม่ได้ "ถอย!! ถอยออกมา!!" บาร์เวนคำรามสั่ง เขาหันไปแยกเขี้ยวใส่เงาของเรือลำใหญ่ที่อยู่หลังม่านเพลิง "เรือสั่งการ... ฝ่ากองเพลิงนั่นเข้าไป!"

"ท่านบาร์เวน...!"

"ข้าจะฆ่าแม่ทัพเซเลสต์!!"

--------------------------------------------------

ผู้นำแห่งอาเดรียมองความโกลาหลที่เกิดขึ้นและพยายามคิดหาทางออกแม้ว่าใจของเขาจะเริ่มสั่นด้วยความกลัว ท้องทะเลเบื้องหน้าลุกเป็นไฟเผาไหม้น้ำมันสีดำจำนวนมากที่ธีสธรัลปล่อยทิ้งเอาไว้ราวกับวางยาพิษไว้ในอ่าวอาเดรีย ไม่ต้องสงสัยว่าสัตว์น้ำจะได้รับผลกระทบมากน้อยเพียงใด อาเดรียคงไม่สามารถทำการประมงได้อีกนาน และแน่นอนว่านี่ส่งผลกระทบถึงรายได้ที่ต่ำอยู่แล้วให้ตกต่ำลงมากไปอีก เพราะชาวประมงทั้งหมดอาจไม่สามารถประกอบอาชีพเดิมได้ อีกทั้งน่านน้ำของแอสทารอธก็ไม่เปิดให้ใครเข้าไปโดยง่ายอีกด้วย

นี่คือความคิดของธีสธรัล... หากเขาไม่จำนนต่อมหาอำนาจ อีกฝ่ายก็จะทำลายทุกสิ่งที่เขามี

ควันสีดำคละคลุ้งไปทั่ว แต่ก็พอจะมองเห็นเรือรบไม่กี่ลำที่ล่าถอยกลับมา ฝ่ายธีสธรัลเองก็สูญเสียไปไม่น้อย แต่กองเรือเวเรนเซียแนวหลังก็ยังเรียงตัวลอยลำอย่างสงบนิ่งเพื่อดูปฏิกิริยาต่อไป ท่านชายซินญอร์กำหมัดแน่นระหว่างถกเถียงกับตนเองอยู่ในใจว่าควรจะทำอย่างไร ต่อให้เขาขอกำลังจากคัสนาห์มาช่วย แต่ธีสธรัลอาจไม่คิดจะยกพลขึ้นฝั่งเลยก็ได้ หากปล่อยให้เวเรนเซียเข้ามาใกล้อีกสักนิด กองเรือที่ยิ่งใหญ่นั้นอาจสร้างความเสียหายจนพอใจแล้วเดินทางกลับไปก็เป็นได้

...อย่างไรศึกนี้พวกเขาก็ไม่ชนะ

ต่อให้มีธนูแหวกสมุทรแอควาเรียร์ พวกเขาก็ไม่อาจเอาชนะความโหดร้ายอันเยือกเย็นของธีสธรัลได้ กษัตริย์องค์ก่อนของธีสธรัลมีนิสัยอย่างไร ซินญอร์รู้ดี และหากเป็นผู้นั้น อาเดรียก็คงเอาชนะได้ไม่ยากเย็นนัก แต่ราชินีองค์ใหม่นี้ช่างเป็นสตรีที่เยือกเย็นและเด็กเดี่ยว นางมิได้กระหายในสงคราม และไม่ได้ต้องการชัยชนะ ทว่านางกลับสามารถพลิกสถานการณ์ให้ตนเองอยู่เหนือกว่าได้ แม้ว่าฝ่ายที่ควรชนะจะเป็นอาเดรียก็ตาม

หากธีสธรัลทำลายอาเดรียแล้ว อาเดรียจะหันหน้าไปพึ่งใครได้...

คัสนาห์ผู้เป็นเมืองพี่ก็ใช่ว่าจะสมบูรณ์พูนพร้อม พวกเขาเองก็เป็นเมืองเล็กๆไม่ต่างกัน ไอย์ชวลก็เป็นพันธมิตรของธีสธรัล ทั้งที่อาเดรียเป็นเมืองท่าเพียงหนึ่งเดียวของมหาทวีปนี้ แต่จากผู้ที่อยู่สูงสุดกลับต้องกลายเป็นผู้อยู่ต่ำสุดในพริบตาเดียว

ซินญอร์คิดว่าเขาคงต้องยอมรับ... ว่าการเดินหมากของตนและพี่สาวนั้นไม่ถูกต้องจริงๆ

และมันเกิดจากการขาดประสบการณ์ ความไร้สามารถที่จะเป็นผู้นำอาณาจักร

...เพราะธีสธรัลเลี้ยงดูให้พวกเขาไร้สามารถ เพื่อจะได้แข็งข้อต่อต้านไม่ได้

"ท่านชายซินญอร์... ท่านแม่ทัพเอเดรียนออกจากปราการไปแล้วขอรับ" ทหารคนหนึ่งเข้ามารายงานด้วยสีหน้าที่หวั่นไหวและไม่แน่ใจในชะตากรรมของตนเอง "เขาลงไปที่อ่าวอาเดรีย..." นายทหารคนนั้นว่า "ตอนนี้ไม่มีคนสนิทของแม่ทัพใหญ่อยู่ที่นี่เลย แล้วเราจะสื่อสารกับเขาได้อย่างไรขอรับ"

ประโยคนั้นบอกซินญอร์ได้มากพอว่าทหารของอาเดรียเชื่อใจเอเดรียนมากแค่ไหน เมื่อเจ้าตัวไม่อยู่ที่นี่ ทุกคนก็ระส่ำระส่ายกระวนกระวายอย่างเห็นได้ชัด "ข้าจะสั่งการเอง..." ผู้นำสูงสุดว่า แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้คนใต้บัญชาวางใจแม้แต่น้อย "กว่าพวกมันจะมาถึงปราการชั้นนี้ได้ เรามีพลทหารคัสนาห์รับมืออยู่ก่อนแล้ว"

ถึงจะกล่าวเช่นนั้น แต่คำถามมากมายก็ยังอยู่ในใจ... พวกเขาไม่ได้ห่วงชีวิตตัวเอง

แต่กำลังห่วงบ้านที่พวกเขาใช้พักพิง และคิดถึงครอบครัวที่รออยู่ แต่พวกเขากลับทำได้แค่คอยป้องกันปราการชั้นในที่อาจเรียกได้ว่าเป็นใจกลางเมือง และเป็นบ้านของผู้นำอาณาจักร กับศัตรูที่ไม่อาจรู้ได้ว่ามีความคิดอะไรอยู่ในใจบ้าง กำแพงสูงทำให้สายตาหลายคู่ไม่เห็นสิ่งที่เกิดขึ้น แต่เสียงระเบิดดังสนั่นที่ผ่านมาก็บอกได้ถึงความร้ายกาจของกองเรือเวเรนเซีย

พวกเขาทำได้แค่รออย่างนั้นหรือ

...พวกเขาควรจะติดตามผู้นำคนนี้ไปจริงๆอย่างนั้นหรือ

--------------------------------------------------

เลสธีราห์ละจากพังงาเรือมาหยุดที่ระเบียงด้านหน้าเพื่อวิเคราะห์สถานการณ์ เรือรบดัดแปลงของอาเดรียมีเพียงหยิบมือเท่านั้น และต้องสละทิ้งอย่างช่วยไม่ได้ด้วยการปล่อยให้มันล่องไปตามน้ำเพื่อพุ่งชนแนวเรือรบของธีสธรัล "ลมเปลี่ยนทิศแล้ว..." แม่ทัพใหญ่พึมพำ จากเมื่อครู่นี้ที่กระแสลมเป็นใจให้ข้าศึก แต่ตอนนี้มันกลับเปลี่ยนทิศทางและหนุนให้เหล่าเรือไฟพุ่งไปหาคู่ต่อสู้เร็วขึ้นแทน

"เลสธีราห์" รีดาห์เดินเข้ามาพร้อมกับรายงานความเคลื่อนไหว

"เรือของอาเดรียมีทั้งหมดยี่สิบแปดลำ ติดไฟสิบสองลำพุ่งเข้าใส่พวกธีสธรัลและระเบิดจนเกือบหมดแล้ว สิบลำพร้อมต่อสู้ อีกสองลำคอยติดตามเรา และอีกสี่ลำกำลังถอยกลับอ่าวออโรรา" รองผู้บัญชาการว่า "ข้ารอคำสั่งโจมตีของเจ้าอยู่"

ทว่าเซนทอร์ครึ่งเอลฟ์กลับส่ายหัวช้า "เราไม่มีกำลังพอที่จะตีกองเรือเวเรนเซีย"

"เราควรจะถอยกลับเข้าไปในอ่าว พวกเวเรนเซียคงจะรอให้ไฟมอดแล้วจึงบุกเข้ามา เราจะมีเวลาเข้าไปยึดป้อมปราการ ยึดอำนาจจากผู้นำอาเดรีย และใช้มันเป็นที่มั่นในการตั้งรับครั้งใหม่" รีดาห์เสนอ "ถ้าเรายังตั้งรับกลางทะเลต่อไป เราไม่มีกำลังพลมากพอที่จะต่อกรกับพวกมัน" เลสธีราห์หันไปมองม่านเพลิงด้วยความลังเล และกลับมามองคนของตนที่ทยอยขึ้นมาจากดาดฟ้าชั้นล่าง

"แต่เราอยู่ห่างจากชายฝั่งมากเกินไป แล้วก็ยังไม่ได้รับสัญญาณจากเอเดรียนอีกด้วย"

ถึงจะว่าอย่างนั้น แต่เลสธีราห์ก็หันกลับไปมองชายฝั่งและกำแพงสูงของอาเดรียเพื่อคำนวนระยะเวลา "เราต้านทานลม... การยึดมหาคฤหาสน์จะต้องใช้เวลา ถ้าไม่มีกำลังกองเรืออื่นมาเสริม ข้าเกรงว่ามันจะเป็นศึกสองด้าน"

"ท่านเลสธีราห์!!"

ตูม...!!!

กระสุนปืนใหญ่ลูกหนึ่งพุ่งเข้าใส่ด้านข้างลำเรือโดยที่พวกเซนทอร์ไม่ได้ตั้งตัว ระเบียงไม้ที่กราบซ้ายแตกกระจายออกเป็นเสี่ยงๆและสมอใหญ่ก็ไหลตกลงทะเล เลสธีราห์ย่อตัวลงตามสัญชาติญาณก่อนจะมองหาต้นทางของปืนและพบว่ามันคือเรือสั่งการของเวเรนเซียที่แล่นฝ่าเปลวเพลิงออกมา

"ประจำที่ปืนใหญ่!!" เซนทอร์หนุ่มออกคำสั่ง "ยกสมอขึ้นมา!!"

เรือเวเรนเซียหันหน้าพุ่งเข้าหาเซเลสต์หมายจะใช้หัวเรือขึ้นเกยเทียบ แต่รีดาห์ก็บังคับให้เรือหันข้างเข้าหาคู่ต่อสู้ก่อนจะเปิดฉากยิงโดยไม่รอคำสั่งแม่ทัพ "กราบซ้ายทั้งหมด ยิง!!"

ตูม...!!!

เซเลสต์ตอบโต้ว่องไวกว่า ดังนั้นเรือเวเรนเซียจึงเสียหลักไปเมื่อถูกแรงระเบิดจากปืนใหญ่ บาร์เวนมองเห็นกลุ่มเซนทอร์บนเรือคู่ต่อสู้ จึงได้หยิบคันธนูของตนออกมาขึ้นสาย "เซนทอร์...!" แม่ทัพหนุ่มมองหาผู้นำของเซเลสต์ ผู้นำที่คอยออกคำสั่งอยู่บนดาดฟ้า และเขาก็พบครึ่งม้าตนหนึ่งที่อยู่ในร่างมนุษย์ "แม่ทัพเซเลสต์!!"

ผู้นำเวเรเซียง้างศรจนสุดแขนแล้วปล่อยลูกดอกออกไปโดยไม่รอคำตอบรับใดๆ

"เลสธีราห์!!"

คนถูกเรียกหันตามเสียง เขาเห็นลูกธนูพุ่งเข้ามาหาตน เห็นวิถีของมันที่จะเสียบเข้าที่กลางอกในอึดใจ แต่เขาก็ไม่สามารถปัดป้องมันได้ทันการ แอควาเรียร์ยังอยู่บนบ่าของเขาหาใช่มือ และกระบอกธนูก็อยู่ที่สะโพก อีกทั้งเกราะหนังที่สวมใส่ก็ใช่ว่าจะป้องกันคมลูกดอกของธีสธรัลได้

ฉึก...!!

เลือดสีแดงกระเซ็นออกจากบาดแผลที่ถูกยิงเข้าอย่างจัง แต่แทนที่เลสธีราห์จะรู้สึกถึงความเจ็บปวด เขากลับสัมผัสได้ถึงแรงผลักของฝครบางคนที่เผ่นเข้ามากระแทกสีข้างตนอย่างจัง คมเหล็กแหลมปักเข้าไปที่แขนซ้ายอันแข็งแกร่ง เรียกเสียงครางด้วยความเจ็บปวดของเจ้าของร่างได้ แต่ร่างสูงก็กัดฟันสะบัดมือขวาของตนขึ้น และเล็งอาวุธกลับไปที่คู่ต่อสู้อย่างแม่นยำ

เปรี้ยง...!!

"เอเดรียน...!" เลสธีราห์ถูกผลักจนล้มลงกับพื้น เช่นเดียวกับคนตรงหน้าที่ทรุดตามมา ทว่าหยุดตัวเองอยู่เหนือร่างของเขา แม่ทัพใหญ่กัดฟันด้วยความเจ็บปวด และยันมือค้ำตัวเองเอาไว้เพื่อไม่ให้ล้มทับร่างโปร่ง มือขวายังคงถืออาวุธคู่ใจเอาไว้มั่น เช่นเดียวกับสายตาที่มองกลับไปยังคู่ต่อสู้บนเรืออีกลำที่ค่อยๆปล่อยคันธนูร่วงหล่นลงพื้นและกุมช่วงท้องที่ถูกยิงด้วยปืนเอาไว้

"เจ้า..." เลสธีราห์อ้าปากค้าง และรีบประคองร่างเบื้องบนเอาไว้ "เอเดรียน..."

เอเดรียนปล่อยมือจากอาวุธ และยันร่างของตัวเองขึ้นพร้อมกับแม่ทัพเซนทอร์ เขาสัมผัสได้ถึงปลายแหลมของลูกดอกที่ยังฝังอยู่ในร่าง และแรงปะทะของมันก็ทำให้เขามึนงงจนภาพตรงหน้าสั่นพร่าอย่างที่ไม่ควรจะเป็น "ข้าไม่เป็นไร..." คำแรกที่ออกจากปากแม่ทัพหนุ่มเป็นเสียงแหบแห้งที่บ่งบอกได้ถึงอาการบาดเจ็บ  "เจ้าปลอดภัยก็ดีแล้ว เลสธีราห์..."

"พวกมันมีปืนคาบศิลา!"

ม้าศึกสีดำสะบัดปีกครั้งหนึ่งขณะร่อนลงพื้น มันหยุดการเคลื่อนไหวเพื่อเปิดโอกาสร่างผู้ควบขี่สามารถเล็งอาวุธปืนยิงซ้ำได้ ทว่าความแม่นยำของเอเรสกลับเป็นรอง กระสุนกลมกลับพลาดไปโดนไหล่แม่ทัพบาร์เวนแทนที่จะเป็นกลางอก

เอเดรียนกัดฟันและเงยหน้าขึ้นมองน้องชายของตนบนหลังม้า "ไปได้แล้ว เอเรส!!"

เสียงปืนใหญ่ยังดังต่อเนื่อง และเศษไม้ที่กระจัดกระจายก็บ่งบอกได้ถึงความเสียหายของเรือ

"ใช้ธนูไฟ!! เผาพวกมัน!!" และต่อให้ถูกลูกปืนเหล็กเข้าที่กลางท้อง แต่ผู้นำเวเรนเซียก็ยังออกคำสั่ง "เผาเรือเซเลสต์ซะ!!" เลสธีราห์เบิกตาขึ้นกับคำสั่งของอีกฝ่าย เขาถอยห่างจากเอเดรียนแม้จะไม่ต้องการละจาก แต่ก็ต้องวิ่งกลับขึ้นไปยังพังงาที่ซึ่งรีดาห์ควบคุมอยู่

ลูกดอกติดไฟจำนวนมากพุ่งเข้าใส่ใบเรือสีขาวและลุกไหม้ต่อหน้าต่อตา

"เก็บใบเรือ! เก็บใบเรือทั้งหมด!" ร่างโปร่งดันไหล่สหายออกแล้วเข้าควบคุมทิศทางเรือด้วยตนเอง "ปิดประตูปืน ดึงปืนใหญ่กลับเข้ามา!" การเก็บใบเรือทำให้เซเลสต์สูญเสียความเร็ว แต่ถึงอย่างนั้นเลสธีราห์ก็ดึงดันที่จะพาเรืออกไปยังทะเลเปิด เขากระแทกพาหนะของผู้รุกรานด้วยสีข้างลำเรือ และเอียงเบียดจนรูปสลักม้าที่หัวเรือเวเรนเซียหักโค่น ธนูไฟหลายเล่มยังคงปลิวมาตามแรงลมและปักลงบนแผ่นไม้ทั่วลำเรือ แต่นั่นก็ใช่สิ่งที่ผู้นำเซเลสต์สนใจ เขากลับมุ่งหน้าไปยังกลางสนามรบอย่างแน่วแน่

"จะหนีไปไหนกัน เรือเซเลสต์!"

ต่อให้หัวเรือหักโค่น แต่เรือเวเรนเซียก็ยังคงไล่ตาม และกระแทกเบียดตัวเองกับเซเลสต์อย่างไม่ยอมแพ้ เสียงไม้แตกหักและมอดไหม้ด้วยเปลวเพลิงดังระงมไปทั่ว และเปลวเพลิงเริ่มลุกไหม้จนผ้าใบขาดวิ่นเป็นรูโหว่หลายจุด "เลสธีราห์! เราหนีด้วยสภาพแบบนี้ไม่ได้ สั่งเปิดประตูปืนแล้วเกยเรือสู้กับพวกมันเถอะ!" รีดาห์กระโจนกลับขึ้นมาที่ท้ายเรือ

"ไม่ต้องห่วงเรือเซเลสต์ แต่ถ้าเราไม่สู้ ทุกคนจะจมไปกับเรือ!!"

ทว่าเลสธีราห์กลับหันมามองสหายของตนด้วยแววตาดุดันอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน

"...แค่กลั้นหายใจเอาไว้ก็พอ รีดาห์"

ร่างโปร่งตวัดคันธนูของตนขึ้นมาถือแล้วค่อยๆง้างสายออกช้าๆ ส่งผลให้น้ำทะเลที่รายล้อมค่อยๆแหวกออกจนกลายเป็นแอ่งน้ำขนาดใหญ่ "จับเชือกเอาไว้ให้ดี!!" เปลวไฟและคราบน้ำมันเริ่มหมุนตามแรงน้ำที่ไหลมารวมกัน เรือทุกลำที่อยู่ในบริเวณไหลมาตามกระแสคลื่นที่ถูกสร้างขึ้น เกลียวน้ำทะเลยกสูงขึ้นในอากาศอย่างรวดเร็วและน่ากลัว สิ่งนั้นทำให้กองเรือเวเรนเซียตระหนักได้ดีว่า ผู้นำเซเลสต์กำลังจะใช้อำนาจของธนูแหวกสมุทร

"นี่เขาจะจมทุกอย่างลงไปในทะเลหรืออย่างไร!!"

"เลสธีราห์!!"

"กลับลงไป เอเดรียน!"

เลือดสดๆย้อมเสื้อสีเขียวอ่อนกลายเป็นดวงสีเข้มน่ากลัว แม้เจ้าของร่างจะกัดฟันและลุกขึ้นสู้ต่ออย่างลืมเจ็บ "รีดาห์... พาเขาลงไปที่ใต้ท้องเรือ!!" แม้จะตั้งใจกลับไปต่อสู้ แต่เอเดรียนกลับถูกแขนของเซนทอร์ตนหนึ่งรั้งร่างเอาไว้ และกึ่งลากกึ่งพยุงเขากลับเข้าไปที่ใต้ท้องเรือกันหมด

"เอเดรียน!" น้ำเสียงที่ไม่คุ้นเคยตวาดใส่จนแม่ทัพใหญ่ชะงักนิ่ง "กลั้นใจ... กลั้นให้สุดปอดเลย"

รีดาห์สูดลมหายใจลึก ขณะที่เรือทั้งลำเริ่มสั่นตามแรงคลื่นที่เคลื่อนเข้ามาโอบล้อม ประตูปืนหลายบานที่ปิดสนิทสั่นคลอนต้านแรงกระแทกภายนอกอย่างสุดกำลัง น้ำทะเลกอดรัดลำเรือและกระแทกเอาเศษไม้ที่ผุพังจากการต่อสู้เมื่อครู่ปลิวหายไปในกระแสคลื่นถ่าโถม เสียงดังน่ากลัวราวฟ้าถล่มทำให้ต้องใช้เสียงตะโกนเท่านั้นจึงจะสื่อสารได้

"เซเลสต์กำลังจะพุ่งลงใต้ทะเล กลั้นใจให้สุด..."

เลสธีราห์ดึงสายธนูจนสุดแขนและยกผืนน้ำขึ้นจนเรือของเขาอยู่ในจุดที่ต่ำสุดของทะเล ในม่านน้ำที่โอบล้อมยังมีฝูงปลาตื่นตระหนกแหวกว่ายอยู่ไหวๆ ฉลามตัวเขื่องมึนงงอยู่กลางทะเลหลังจากถูกพัดพาจนเสียทิศทาง และเมื่อใต้สมุทรถูกแหวกออก ซากเรือจำนวนมากก็ปรากฎให้เห็นในสายตา ท้องเรือเซเลสต์บรรจงลงแตะทรายนุ่มเบื้องล่าง ขณะที่เรือลำอื่นในบริเวณนั้นทั้งของธีสธรัลและอาเดรียไหลคว่ำลงมากระแทกกับพื้นรุนแรงจนยับเยิน คราบน้ำมันและเปลวไฟปลิวหายไปและดับมอดลงด้วยพ่ายแพ้ต่อน้ำทะเล

เลสธีราห์ปล่อยมือจากสายธนูโดยไม่มีสัญญาณใดๆ

...ตูม!!!

มวลน้ำมหาศาลตกร่วงลงมาจากที่สูงเมื่อสิ้นอำนาจของธนูเอลฟ์ ถ่าโถมเป็นเกลียวคลื่นไหลวนและดูดทุกสิ่งที่อยู่ในบริเวณนั้นให้จมลงก้นทะเล ทะเลที่เมื่อครู่ยังลุกเป็นไฟมลายหายไปในพริบตาพร้อมกับลำเรือจำนวนมากที่ถอยกลับไปไม่ทัน ทัพแนวหลังของธีสธรัลที่อยู่ไกลออกไปมองภาพที่เกิดขึ้นด้วยแววตาพรั่งพรึง หัวใจของพวกเขากระตุกสั่นด้วยความหวาดกลัว แม้ว่าอาเดรียผู้เป็นศัตรูจะไม่เหลือรบแถวหน้าสักเพียงลำ แต่การเข้าใกล้เรือเซเลสต์ก็เป็นเรื่องน่ากลัวเกินจินตนาการ

นี่คืออำนาจอันลือเลื่องของธนูแหวกสมุทรแอควาเรียร์

--------------------------------------------------


กลยุทธที่ใช้ในศึกส่วนใหญ่เอามาจากสงครามกลางทะเลของอังกฤษ-สเปน ค.ศ. 1588 (สงครามอาร์มาดา)

การจัดทัพตั้งรับแบบจันทร์เสี้ยว (crescent formation) ซึ่งเป็นการจัดทัพของฝ่ายสเปน หลักการก็คือจะวางเรือที่มีปืนใหญ่พิสัยไกลไว้ด้านนอกสุด ไม่ว่าข้าศึกจะโจมตีมายังไงก็จะต้องเข้าไปวงล้อมของจันทร์เสี้ยวและถูกโจมตีอยู่ดี ส่วนการตอบโต้ของเลสธีราห์ที่ใช้เรือไฟ (fireship) ก็เป็นการตอบโต้แบบเดียวกับที่อังกฤษใช้ในตอนนั้น เป้าหมายก็คือการทำลายแนวทัพ เพื่อให้สามารถโจมตีได้ง่ายขึ้น เพราะการเอาเรือไฟชนคือทำให้ข้าศึกแตกกระจายแล้วหันไปชนกันเอง

แต่เรื่องเรือน้ำมันนี่แต่งเน้อ คือนิสัยเซนทอร์... คงไม่คิดแผนเผาเรือแบบฟรานซิส เดรกอ่ะ น่าจะชนเองมากกว่า

อันนี้การจัดทัพสมัยสงครามอาร์มาดา
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 24-12-2016 17:49:55 โดย khaosap »

ออฟไลน์ neverland

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 653
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-0
ทำไมเลสนางเท่แบบนี้คะ อยากได้ๆๆๆ 55555 อิจฉาเอเดรียนมากๆ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ khaosap

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 165
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
    • Khaosap Writing
Re: ASTAROTH พันธนาการดวงดาว ตอนที่ 26.2
«ตอบ #100 เมื่อ25-12-2016 17:06:00 »

ตอนที่ 26.2

การเฝ้ารอเป็นเวลานานทำให้เกิดความตึงเครียดขึ้นในหมู่ทหาร บวกกับการที่พวกเขามองไม่เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นในทะเลเบื้องหน้าด้วยแล้ว ต่อให้เป็นผู้ที่ฝึกเรื่องระเบียบมามากแค่ไหนก็ไม่อาจทนอยู่เฉยได้อยู่ดี ทว่าตอนนี้พลทหารที่ประจำหน้าปืนใหญ่ต่างก็อ้าปากค้างหลังจากเห็นสิ่งที่เกิดขึ้น ทั้งความรู้สึกตกตะลึงไม่เชื่อสายตาตนเอง และความหวาดกลัวพรั่งพรึงที่ก่อขึ้นมาในจิตใจทำให้ไม่มีใครพูดอะไรออกมาได้

กองเรือที่ต่อสู้พัลวันอยู่เมื่อครู่จมลงทะเลไปกับตาพร้อมกับเปลวไฟที่ไม่มีใครคิดว่ามันจะดับลงโดยง่าย เหลือเพียงความว่างเปล่า และเค้าลางของความพ่ายแพ้ ทุกคนเคยได้ยินเรื่องเล่าของธนูแหวกสมุทรแอควาเรียร์ แต่ไม่มีใครเคยได้เห็นอำนาจของมันกับตา เพราะน้อยคนนักที่จะมีชีวิตรอดจนสามารถมาเล่าเรื่องต่างๆได้ แต่วันนี้เองที่พวกเขาได้เห็นท้องสมุทรแหวกออก และเห็นเรือรบร่วมร้อยลำจมลงก้นทะเล

...สิ่งที่เกิดขึ้นนี้น่ากลัวเกินกว่ามนุษย์ธรรมดาจะรับไหว

เรื่องราวในวันนี้อาจเป็นเรื่องเล่าสืบไปชั่วลูกชั่วหลาน หากเหล่านักรบได้มีชีวิตรอดกลับไปพบครอบครัว ผู้นำสูงสุดของอาเดรียเองก็อยู่ในอาการตกตะลึง มือของเขาเย็นเฉียบ หูแทบจะไม่รับรู้ และสายตาก็มองเห็นเพียงภาพเหตุการณ์น่ากลัวนั้นซ้ำไปซ้ำมา ท่านชายคิดอะไรไม่ออก และไม่รับรู้เลยว่าบัดนี้มีกองทัพที่น่ากลัวบุกประชิดถึงประตูเมืองอาเดรีย แม้ว่าคนสนิทข้างกายจะพยายามเรียกแล้วก็ตาม

"ท่านชาย! พวกเซนทอร์ขอรับ!"

พวกเขาสนใจแต่การศึกทางตะวันออก จึงได้ละเลยทิศอื่นซึ่งเป็นด้านในแผ่นดิน เปิดโอกาสให้ผู้รุกรานจากทางเหนือขยับเข้าประชิดได้โดยง่าย และสิ่งที่ทหารยามทิศเหนือเพิ่งสังเกตเห็นก็คือ กลุ่มของเซนทอร์ที่วิ่งเข้ามาถึงหน้าประตูเมืองพร้อมกับโล่ขนาดใหญ่และดาบในมือ

"พลธนู!!"

ปราการรบของอาเดรียถูกออกแบบมาเพื่อป้องกันเมืองโดยสมบูรณ์ โดยพลธนูจากกำแพงปราการทั้งสามชั้นสามารถโจมตีไปที่เป้าหมายเดียวกันได้ ดังนั้นเมื่อได้รับคำสั่ง พลธนูจากปราการทั้งสามชั้นก็หันไปหากองทัพเซนทอร์ด้านล่างที่ยกโล่ขึ้นป้องกันตัวเอง

ฉึก!

ฝนลูกดอกระรัวใส่ผู้รุกรานที่สามารถป้องกันตัวเองได้ด้วยโล่เหล็กขนาดใหญ่ อาวุธเหล่านี้ไม่อาจเข้าถึงตัวพวกเขา แต่มันก็สามารถหยุดความคิดที่จะพังประตูเมืองอาเดรียได้ชั่วคราว "ในเมื่อเรือเซเลสต์เข้ามาช่วยเรา แต่เหตุใดพวกเซนทอร์จึงยกทัพมาโจมตีเราได้" ซินญอร์ผละจากการศึกในทะเลมายังกำแพงทิศเหนือ และพิจารณากองกำลังขนาดย่อมนั้นเพื่อประเมินจำนวนคน ผู้นำอาเดรียอ้าปากน้อยๆเมื่อเริ่มจะเข้าใจความคิดของแอสทารอธ

...พวกเขาตกลงในสัญญาของเอเรสแล้วอย่างนั้นหรือ

ซินญอร์มุ่นคิ้วเล็กน้อยก่อนจะยกมือขึ้นปรามพลธนู "ไม่ต้องตกใจ พวกมันเข้ามาไม่ได้หรอก ถล่มยิงไปก็เปลืองลูกดอกอยู่ดี" คนพูดสูดลมหายใจเข้า แม้จะรู้สึกโหวงอยู่ในลึกๆทั้งที่สิ่งที่เขาต้องการกำลังคืบคลานมาถึงตัวตามที่ปรารถนา "บางทีเซเลสต์ก็อาจคิดไม่ซื่อเช่นกัน" ผู้นำอาณาจักรพยายามเบี่ยงประเด็น

"เรียกเรือรบกลับมา เราจะยิงถล่มข้าศึกด้วยปืนใหญ่!"

"ท่านชาย พวกมันพาดบันไดที่ประตูฝั่งตะวันตก!!" ทหารบนปราการร้องเสียงหลง เมื่อสังเกตเห็นสิ่งผิดปกติบนกำแพงของปราการชั้นสาม ทำให้ทหารยามรีบวิ่งไปยังทิศที่ว่า แต่เมื่อไปถึงจุดที่บันไดกลวางพาด ร่างโปร่งในขุดเกราะสีเงินก็กระโจนขึ้นมาพร้อมกับเงื้ออาวุธในมือของตน ผมยาวสีขาวที่ถักเปียสะบัดตามแรงลม ก่อนจะฟาดฟันคมดาบเข้าใส่ทหารยามจนเลือดสาดกระเซ็นเป็นฝอย และกระโดดลงยืนบนกำแพงปราการของอาเดรียอย่างสมบูรณ์

นัยน์ตาสีน้ำตาลกลมโตตวัดขึ้นมองข้าศึกที่วิ่งกรูกันเข้ามาก่อนจะเหยียดมุมปากขึ้นยิ้ม

ชายฉกรรจ์ร่างใหญ่อีกหลายคนกระโดดตามขึ้นมาพร้อมกับตั้งโล่ขึ้นรับการโจมตีอยู่ด้านหลังของนาง และรอคอยคำสั่ง "คุ้มกันธนูให้ข้า ข้าจะเปิดประตูอาเดรียด้วยตัวเอง!" ผู้ติดตามยกโล่ขึ้นอย่างพร้อมเพรียงเพื่อป้องกันลูกดอกที่อาจโจมตีจากเบื้องบน น้ำเสียงทรงพลังที่ออกคำสั่งทำให้ทหารอาเดรียหวั่นเกรง

...ด้วยรู้ดีว่าตอนนี้พวกเขากำลังเผชิญกับท่านหญิงโมนา ขุนพลใหญ่แห่งแอสทารอธ

--------------------------------------------------

เรือรบที่เก่าแก่ของแอสทารอธจมนิ่งอยู่ที่ก้นทะเล ซากเรือที่ได้รับความเสียหายหลายลำค่อยๆจมลงมาอยู่เคียงข้าง ข้าวของเครื่องใช้ชิ้นเล็กๆลอยเคว้งคว้างไร้ทิศทาง และบรรยากาศโดยรอบก็มีแต่ความเงียบภายใต้แสงสลัวที่ส่องลงมาถึงพื้นทราย พวกเขาแค่รอเวลาที่เลสธีราห์จะขึ้นสายธนูอีกครั้งเท่านั้น แล้วเรือเซเลสต์ก็จะผงาดกลับขึ้นไปเบื้องบนอย่างที่ไม่มีเรือลำใดในโลกนี้ทำได้

เพียงแต่ผู้บัญชาการเซเลสต์ในตอนนี้ไม่มีกำลังพอที่จะรั้งสายแอควาเรียร์

การต่อสู้ทำให้เลสธีราห์อ่อนแรงลง อีกทั้งแรงน้ำที่ถ่าโถมเข้าใส่เมื่อครู่ทำให้เขาไม่สามารถสูดหายใจลึกได้ และการกลั้นหายใจโดยมีอากาศสำรองน้อยเช่นนี้ทำให้เซนทอร์หนุ่มรู้สึกมึนงง และสายตาพร่าลาย ร่างโปร่งทรุดลงกับพังงาเรือและยึดมันเอาไว้เป็นหลักพยุง แต่อาการสำลักในตอนนี้ทำให้ผู้นำเซเลสต์ไม่สามารถจดจ่อสมาธิกับสิ่งตรงหน้าได้

...ไม่น่ามาสำลักน้ำแบบนี้เลยจริงๆ

ยิ่งอ้าปากหายใจ ฟองอากาศอันมีค่าก็ยิ่งไหลออก และแทนที่ด้วยน้ำทะเลที่ทำให้แสบปอด เลสธีราห์กุมอก แต่มันก็ไม่ได้ช่วยทำให้อาการดีขึ้น เซนทอร์หนุ่มรวบรวมสติสุดท้าย และดึงสายธนูด้วยกำลังทั้งหมดที่เหลือของตน แต่แอควาเรียร์ก็แข็งแกร่งเกินกว่าที่เขาในตอนนี้จะบงการมันได้

หากเป็นเช่นนี้... เซเลสต์อาจจะต้องจบตำนานลงจริงๆ

แต่แล้วมือของใครบางคนก็ประคองใบหน้าของเขา ก่อนที่ริมฝีปากจะแนบจูบเนิบช้า และส่งต่ออากาศที่กลั้นเอาไว้มาให้ พร้อมกับกดมือเข้าที่ช่วงอกเพื่อดันน้ำทะเลที่คั่งค้างอยู่ภายในออกมา และเมื่อได้สติอีกครั้ง เซนทอร์หนุ่มก็ดึงสายธนูของตนจนสุดแขน เรียกน้ำทะเลให้กลับมาโอบอุ้มเรือรบในตำนานของแอสทารอธ และผลักดันพวกเขาขึ้นสู่ผิวน้ำ

น้ำมันนั้นมวลเบากว่าน้ำ ดังนั้นคราบน้ำมันดิบจึงค่อยๆลอยกลับขึ้นมาหลังคลื่นสงบ เช่นเดียวกับเศษไม้ และเศษซากอื่นๆที่หลงเหลืออยู่ ความเงียบปกคลุมทั่วบริเวณอยู่หลายอึดใจ เวเรนเซียสูญเสียผู้นำทัพและเรือสั่งการ แต่ถึงกระนั้นพวกเขาก็ไม่ได้ล่าถอยต่อหน้ากองทัพอาเดรียที่หลบอยู่หลังปราการ เพราะเรือสั่งการลำที่สองซึ่งลอยลำอยู่เบื้องหลังค่อยๆชักธงสีน้ำเงินของธีสธรัลขึ้นยอดเสาเพื่อเตรียมพร้อม

คาร์เธียร์... เรือประทับของราชินีผู้นำ

"บาร์เวน..." หญิงสาวในชุดเกราะนักรบก้าวขึ้นมาที่หน้าเรือและมองหาผู้นำทัพของตนด้วยสายตาที่ไร้ซึ่งความหวัง ผู้นำเวเรนเซียอาจเป็นผู้ชายใจร้อน และวู่วามเกินตัวจนทำให้พระนางเบื่อหน่ายหลายครั้ง แต่เขาก็อุทิศตนให้อาณาจักรเสมอมา ดังนั้นการสูญเสียเขาไปจึงทำให้ผู้นำหญิงเจ็บใจราวกับเสียมือไปข้างหนึ่ง "หากไม่มีเซเลสต์แล้ว ใครจะคุ้มครองเจ้าได้อีก อาเดรีย..."

ครืน...!!

แต่ก่อนที่พระนางจะออกคำสั่ง กลางทะเลก็ปั่นป่วนอีกครั้ง คลื่นลมผันผวนรวดเร็ว และท้องน้ำก็เปิดทางออก เผยให้เห็นเงาดำของเรือใหญ่ที่โผล่ขึ้นมากลางเกลียวคลื่น หัวเรือพุ่งพ้นขึ้นมาตามด้วยลำเรือที่แตกหักจากการต่อสู้ ผ้าใบสีขาวขาดวิ่นและมีรอยไหม้สะบัดกางรับลม น้ำทะเลที่ขังอยู่ภายในลำเรือพุ่งไหลออกทางประตูปืนที่เปิดออกอีกครั้งหนึ่ง

ครึ่งม้าที่รู้งานวิ่งกลับขึ้นมาบนดาดฟ้า แม้ว่าพื้นไม้เปียกชุ่มจะทำให้พวกเขารู้สึกลื่นอยู่บ้าง แต่เนื่องจากน้ำทะเลทำให้ดินปืนทั้งหมดชื้นและใช้งานไม่ได้ หากจะต้องสู้รบต่อไป เซนทอร์อาจต้องเข้าประชิดตัวแทน

ผู้นำหญิงปราดสายตามองเรือเซเลสต์ที่สามารถแหวกสมุทรกลับขึ้นมาได้อย่างน่าอัศจรรย์

นางตัดสินใจว่าไม่ควรเซ้าซี้กับแอสทารอธอีกต่อไป ...แต่ก็ใช่ว่านางจะยอมอ่อนข้อให้อาเดรีย

ราชินียกมือขึ้นปรามคนสนิทเพื่อยกเลิกคำสั่งโจมตี ก่อนใช้เวลาครุ่นคิดอยู่เนิ่นนาน "เราเสียเรือไปเท่าไหร่แล้ว" หญิงสาวเหลือบมองคนสนิท และส่งเสียงขึ้นจมูกให้อีกฝ่ายหาคำตอบมาให้โดยด่วน ก่อนจะยกกล้องส่องทางไกลขึ้นมาเพื่อสำรวจความเคลื่อนบนเรือเซเลสต์

แม้จะเปียกโชกไปทั้งตัว แต่เผ่าพันธุ์อัศวินก็ถืออาวุธครบมือแล้ว ทั้งพลธนูบนดาดฟ้า พลหอกที่รออยู่ด้านหลัง ทุกคนดูพร้อมที่จะโจมตีหากธีสธรัลยังรุกเข้าไป เวเรนเซียังมีเรือปืนอีกมาก และราชินีก็คิดว่าเรือปืนเพียงไม่กี่ลำก็คงเอาชนะเซเลสต์ได้ไม่ยาก ตอนนี้เซเลสต์ยืนหยัดอยู่เพียงลำพังต่อหน้ากองเรือเวเรนเซียจำวนมาก

"เราเสียเรือไปสามสิบสองลำ... ส่วนทางอาเดรียเสียไปยี่สิบสามลำขอรับ"

ท่าทางอิดโรยของเลสธีราห์ที่อยู่หลังพังงาของเซเลสต์ทำให้ผู้หญิงจรดยิ้มที่มุมปากน้อยๆ จริงอยู่ว่าธนูเอลฟ์นั้นมีอำนาจที่น่ากลัว แต่ด้วยความที่ผู้นำเซเลสต์เลือกจะจมเรือตัวเองลงชั่วคราวเพื่อดึงเรือลำอื่นลงก้นทะเลไปด้วย ทำให้เขาต้องกลั้นหายใจนานอีกทั้งยังออกแรงดึงสายธนูควบคู่ไปด้วย จากท่าทางที่ต้องใช้คันธนูค้ำตัวเองเอาไว้ และเอนร่างพิงคนอื่นเพื่อพยุงกายแบบนี้บอกได้ดีว่าอีกฝ่ายอยู่ในภาวะเดียวกับคนจมน้ำที่ขาดอากาศจนรู้สึกมึนงงไปชั่วขณะ

"คาร์เธียร์ เปิดประตูปืนใหญ่..."

ราชินีลดกล้องส่องทางไกลลงส่งให้คนข้างกาย "สั่งเรือปืนออกมาให้หมด!" แม้ใจลูกเรือยังพรั่งพรึง แต่เมื่อเป็นคำสั่งของผู้นำ ใบเรือก็ถูกปลดลง ให้แรงลมส่งลำเรือเคลื่อนไปเบื้องหน้า โดยเรือปืนที่มีขนาดเล็กกว่าอีกหลายลำติดตามมาด้วย "ทั้งแม่ทัพของแอสทารอธ... ทั้งแม่ทัพของอาเดรีย... ไม่มีแรงจะสู้หรอก"

"ท่านเลสธีราห์ เรือของธีสธรัลเปิดประตูปืน!"

เอเดรียนหันมองตามเสียงรายงานของลูกเรือเซนทอร์ เขาประคองร่างโปร่งที่ยังหอบหายใจหนักไว้ และให้ฝ่ายนั้นคล้องแขนข้างหนึ่งกับบ่าตัวเอง แม้ว่าจะยังเจ็บแผลอยู่มากก็ตาม เลสธีราห์เงยหน้าขึ้นบ้างแม้ว่าภาพตรงหน้าจะยังพร่าเลือนไม่เด่นชัด "เราใช้ปืนใหญ่ไม่ได้..." เซนทอร์หนุ่มตอบเสียงแผ่ว

"ถอยทัพ" เอเดรียนว่า "ถอยกลับไปที่แผ่นดิน"

เลสธีราห์มองลูกเรือที่หันมาจับอาวุธแข็งขัน  ตัวเอเดรียนเองที่ควรจะอยู่บนแผ่นดินก็ต้องมาบาดเจ็บเพื่อช่วยเขา เซนทอร์หนุ่มถอนใจออกมาเฮือกใหญ่ด้วยอับจนหนทาง เขาไม่รู้ว่าตนควรจะทำอย่างไรต่อไปเพื่อให้ได้ชัยชนะมา เพราะตอนนี้มันช่างห่างไกลเสียเหลือเกิน

เรือคาร์เธียร์เคลื่อนเข้ามาใกล้โดยยังไม่ให้สัญญาณโจมตี แต่ประตูปืนที่เปิดกว้างและลูกเรือซึ่งประจำที่ก็เป็นคำตอบที่แน่ชัดว่าต้องการข่มขู่ และหากแอสทารอธเป็นฝ่ายเปิดฉากก่อนก็จะถูกยิงถล่มอย่างไม่ต้องสงสัย ต่อให้เรือเซเลสต์จะสร้างด้วยไม้ที่มีความแข็ง และความหนาเป็นพิเศษจนสามารถอดทนต่อแรงดันมหาศาลใต้ท้องสมุทรได้ แต่นั่นก็ไม่ได้แปลว่ามันจะไม่มีวันแตกหัก

"ยอมแพ้เถอะ อาเดรีย" ดวงตาเรียวหรี่ลงขณะที่ทัพเวเรนเซียเรียงหน้ากระดานรุกรานอย่างเอาเรื่อง แต่แล้วลูกเรือบนคาร์เธียร์ก็รู้สึกได้ถึงบรรยากาศกดดันที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว ซึ่งคืบคลานเข้ามาพร้อมกับเงาดำที่ทาบทับทั้งลำเรือ

ตูม...!!

สมอขนาดใหญ่ทิ้งลงในน้ำเบื้องหน้าลำเรือที่แล่นใบด้วยแรงลม และเฉี่ยวเข้ากับเชือกล่ามสมอเส้นมหึมา คาร์เธียร์สั่นโคลงอย่างรุนแรงจนคนบนเรือเสียการทรงตัว พาลให้ราชินีธีสธรัลเซล้มไปด้วยก่อนจะแหงนหน้าขึ้นมองฟ้า และพบกับเรือลำหนึ่งที่ลอยอยู่กลางอากาศ ท้องเรือที่อยู่ใกล้เหวี่ยงชนปลายเสาธงของธีสธรัลจนหักร่วงตกลงบนดาดฟ้า และค่อยๆลดระดับลงมาจนทั้งลำทอดตัวลงลอยบนผิวน้ำพอดิบพอดี

ลำเรือเป็นไม้ทาด้วยสีน้ำเงินและคาดด้วยขอบสีขาวซึ่งเป็นการตกแต่งที่แปลกกว่าเรือลำใดของมหาทวีป และบนดาดฟ้าที่ควรจะมีเสาไม้กับใบเรือสักสองหรือสามต้นกลับถูกแทนที่ด้วยผ้าผืนใหญ่ที่ถักทอเข้าด้วยกันจนเป็นทรงกระบอกหัวแหลมที่มีขนาดใหญ่กว่าลำเรือและอัดลมเข้าไปจนพองโต

"เรือเหาะ..." ผู้นำหญิงเบิกตาขึ้นด้วยไม่เคยเห็นเรือรูปร่างแบบนี้แต่ก็พอจะเดาได้ว่าเป็นของฝ่ายใด

"...เอลฟ์"

--------------------------------------------------
---------- TO BE CONTINUE ----------


เผื่อใครไม่เก็ท... พ่อเลสธีราห์เป็นเอลฟ์นะจุ๊ อย่าลืม  :hao6: :hao6: :hao6:

ออฟไลน์ khaosap

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 165
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
    • Khaosap Writing
Re: ASTAROTH พันธนาการดวงดาว ตอนที่ 27.1
«ตอบ #101 เมื่อ19-01-2017 14:47:57 »

ตอนที่ 27.1

เหนือหัวแห่งแอสทารอธยืนอยู่เพียงลำพังในบริเวณสวนกลางพระราชวังอัสเธียร์ และขบคิดสิ่งต่างๆไปเรื่อยเปื่อยในขณะที่เฟลิเซีย คนสนิทของท่านหญิงลีอาห์มาขอเข้าพบพร้อมกับสาส์นที่ควรจะส่งไปถึงราชินีแห่งธีสธรัล "เป็นการตัดสินใจของซาฮาลรึ"

ผู้นำอาณาจักรมองซองหนังในมือ และเอกสารอีกฉบับซึ่งเป็นสัญญาของตระกูลฟลินทรัสต์

"เมื่อช่วงสายที่ผ่านมา ว่าที่เหนือหัวได้เดินทางไปพบกับท่านแม่ทัพโมนาเพื่อขอกำลังจากหน่วยองครักษ์ส่วนตัวของนางซึ่งมีฝีมือดีที่สุดในกองทัพ และเดินทางไปยังอาเดรียแล้วเจ้าค่ะ" เฟลิเซียกล่าวเรียบ "ข้าได้รับมอบหมายให้นำความเคลื่อนไหวนี้มาแจ้งแก่เหนือหัว"

ดาเรียสหัวเราะเบากับตนเอง "แปลว่าเป็นประโยคบอกเล่าสินะ"

ทั้งหมดนี้ไม่ใช่การตัดสินใจของซาฮาล แต่เป็นการตัดสินใจของเลสธีราห์ต่างหาก

"อย่างไรอำนาจในการปกครองแอสทารอธก็จำต้องตกอยู่ในมือของซาฮาล ดังนั้นข้าเชื่อว่ามันคือการตัดสินใจเพื่อแอสทารอธแล้ว" ดาเรียสกล่าวเสียงเรียบ "แต่ต่อให้เป็นถึงเหนือหัวแห่งแอสทารอธ เขาก็คงไม่สามารถช่วยเหลือเลสธีราห์ได้ เด็กคนนั้นคงต้องลงจากตำแหน่งผู้บัญชาการกองเรือเซเลสต์ในที่สุด"

เฟลิเซียเม้มปากเล็กน้อยระหว่างชั่งใจว่าควรจะถามเหตุผลหรือไม่

"เพราะนั่นคือโทษทัณฑ์ที่เขาต้องรับในฐานะที่สร้างความเดือดร้อนและอับอายขายหน้าให้อาณาจักร ซึ่งต่อให้มีสัญญาฉบับนี้ มันก็ไม่อาจซื้อตำแหน่งของเลสธีราห์คืนมาได้" ดาเรียสมองดูสัญญาของเอเรส "มันคือผลประโยชน์ของอาณาจักรที่ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับตัวเขาเลยแม้แต่น้อย"

"ข้ามิขัดข้องในคำสั่งของสภาขุนนาง หากแต่เป็นห่วงท่านหญิงลีอาห์" เฟลิเซียกล่าว

ดาเรียสถอนหายใจยาวๆครั้งหนึ่ง ขณะนึกถึงคำขอร้องสุดท้ายของราชเลขาก่อนที่นางจะเดินทางออกไปยังดินแดนตะวันออก เพื่อขอความช่วยเหลือให้ชาวเอลฟ์ยอมรับและให้ที่พักพิงกับบุตรชายของนาง หากเขาถูกเนรเทศออกจากดินแดนเซนทอร์

"นางเป็นเซนทอร์..." เหนือหัวหลับตาลง "และนางพร้อมยอมรับในกฎของเซนทอร์เสมอ"

และตัวเขาเองก็เช่นกัน ที่แม้ใจอยากจะยื่นมือเข้าช่วยเหลืออย่างไร แต่กฎย่อมต้องเป็นกฎ

"เฟลิเซีย" ดาเรียสเหลือบมองคนข้างกาย "พรุ่งนี้จะมีการประชุมของสภาขุนนาง เจ้าควรจะเตรียมตัวชี้แจงเรื่องนี้ต่อทุกคน และชี้แจงโทษทัณฑ์ของเลสธีราห์ด้วย" เหนือหัวกำหมัดเล็กน้อย "เขาจะต้องถูกเนรเทศออกจากแอสทารอธตามกฎของอัศวินเซนทอร์"

'ข้าจะไม่ขออยู่ดูลูกของตัวเองตายในสนามรบ'

เพราะท่านหญิงลีอาห์รู้ นางจึงตัดสินใจเดินทางไปพบธีโอเดร บลังค์... บิดาของเลสธีราห์

--------------------------------------------------

แม้เลสธีราห์จะเคยเห็นเรือลำนั้นเพียงครั้งเดียวในชีวิต แต่สัญลักษณ์บนธงผืนนั้น ในฐานะผู้ที่มีสายเลือดตระกูลบลังค์ เซนทอร์หนุ่มไม่เคยลืม ในขณะที่เอเดรียนมุ่นคิ้วมองเรือลำใหญ่ที่ขวางอยู่ระหว่างเซเลสต์และคาร์เธียร์ด้วยความไม่เข้าใจ อีกทั้งยังแปลกใจกับสิ่งที่เรียกว่า 'เรือเหาะ' ไม่ต่างจากพวกเซนทอร์บนเรือเซเลสต์ที่เริ่มชะเง้อมองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

ความเงียบเกิดขึ้นเนิ่นนานโดยไม่มีใครรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น กระทั่งเซนทอร์ตนหนึ่งกระโดดข้ามจากเรือเหาะกลับมาที่เซเลสต์ และนั่นก็ยิ่งทำให้ทุกคนวางท่าทีไม่ถูก "ท่านหญิงลีอาห์!" นานสักครั้งที่พวกเขาจะเห็นราชเลขาผู้สงบเสงี่ยมวิ่งผาดโผนแบบนี้ แต่ก็ไม่เคยลืมว่าครั้งหนึ่งนางก็เคยเป็นนักรบมาก่อนที่จะเป็นคนสนิทของเหนือหัว ราชเลขากวาดสายตามองเซนทอร์ทั้งหมดในเรือด้วยท่าทางเรียบเฉย และหยุดมองที่บุตรชายของตนบนดาดฟ้าท้ายเรือ คนเป็นแม่ไม่พูดพร่ำทำเพลงใด แต่รีบปราดตรงเข้าไปหาบุตรชายอย่างรวดเร็วจนเกือบจะเป็นการวิ่ง ด้วยสีหน้าซีดเซียวของอีกฝ่ายทำให้ใจของนางเจ็บยอกเสมือนถูกบีบด้วยแรงมหาศาล

"เลสธีราห์!"

ลูกเรือแหวกทางให้ท่านหญิง และเมื่อนางขึ้นไปถึง เอเดรียนก็ยอมถอยออกห่างแต่โดยดี เซนทอร์หนุ่มพยายามจะพยุงตัวเอาไว้ด้วยการจับพังงาเรือเพื่อไม่ให้มารดาเป็นห่วง หรือทำให้ภาพลักษณ์ของเขาดูอ่อนแอมากกว่าเดิม แต่ด้วยความที่ยังไม่ฟื้นตัวดีทำให้ชายหนุ่มจุกจนพูดอะไรไม่ออก "สภาขุนนางสั่งให้เจ้าหันหน้าสู้กับธีสธรัลหรือไร..." ลีอาห์เสียงสั่น ด้วยรู้ว่ามติที่แท้จริงของสภาสูงคืออะไร เพราะนางเองก็เป็นส่วนหนึ่งในที่ประชุมนั้นด้วยเช่นกัน

แต่แล้วหางตาของนางเหลือบไปเห็นเอเดรียนเข้า "เจ้า...!"

เพี๊ยะ!

นี่อาจเป็นครั้งแรกที่เซนทอร์แห่งแอสทารอธได้เห็นท่านหญิงลีอาห์อดกลั้นความรู้สึกไม่ได้อีกต่อไป กีบเท้ากระทืบอย่างกราดเกรี้ยวและร่างโปร่งก็พุ่งเข้าใส่มนุษย์ที่ไม่ห่าง ก่อนจะเหวี่ยงหลังมือฟาดเสี้ยวหน้าของเอเดรียนอย่างแรงจนร่างสูงกระเด็นไถลลงไปกับพื้นจนกระแทกขอบไม้ระเบียงเรือ

"อั่ก...!!"

แม่ทัพใหญ่ไม่ตอบรับหรือปฏิเสธความกราดเกรี้ยวของท่านหญิง ชายหนุ่มสูดหายใจเข้าลึกและยืดตัวลุกขึ้นเพื่อรับฟังทุกอย่างแต่โดยดี ลีอาห์หลับตาครั้งหนึ่งพร้อมกับสูดลมหายใจเข้าเพื่อเรียกความเป็นตัวเองกลับมา "เพราะเจ้าทั้งนั้น เอเดรียน..." เอเดรียนสงบนิ่ง แม้ว่าแขนของเขาจะเจ็บร้าวและหลังที่กระแทกกับราวไม้ก็เจ็บปวดไม่ต่างกัน แต่ชายหนุ่มก็ไม่โกรธเคืองเลยหากราชเลขาแห่งแอสทารอธจะยกเท้ากระทืบอีกสักครั้ง

เลสธีราห์เองก็ไม่ขัดโทสะมารดา แม้ว่าเขาจะเป็นห่วงเอเดรียนอย่างไร

เขารู้ว่าคนอย่างท่านหญิงลีอาห์ไม่ลงไม้ลงมือกับใครหากไม่สุดทน "ข้าเลือกที่จะหันหลังให้อาเดรียแล้ว แอสทารอธเลือกที่จะช่วยเหลือธีสธรัลแล้ว และคำสั่งของเหนือหัวคือการแก้แค้นของแอสทารอธ แต่เหตุใดจึงเป็นคนเช่นเจ้า... ที่ทำให้เลสธีราห์เลือกขัดคำสั่งสภาสูงเซนทอร์!" เอเดรียนไม่ปริปากพูด ไม่แม้แต่จะอธิบายหรือตอบคำถามของคนตรงหน้า เพราะเขาเชื่อว่าท่านหญิงลีอาห์รู้คำตอบนั้นแก่ใจ "...แม้แต่ชีวิตเจ้าก็ชดใช้สิ่งที่เกิดขึ้นนี้ไม่ได้"

เอเดรียนรู้สึกได้ถึงรสเค็มปร่าของเลือดที่มุมปาก และความรู้สึกเจ็บเมื่อออกเสียง

"ท่านราชเลขา..." เขาไม่ควรกล่าวอะไรในตอนนี้ ไม่ว่าจะเป็นคำแก้ตัวหรือคำโฆษณาที่เชื่อถือไม่ได้ ในตอนนี้เอเดรียนมีแต่จะต้องทำทุกอย่างให้สำเร็จเป็นไปตามแผนเท่านั้น และเมื่อถึงตอนนั้น เขาจึงจะสามารถพูดกับท่านหญิงได้อีกครั้งว่าเขาสามารถทำอะไรได้บ้างเพื่อเลสธีราห์

...เมื่อถึงตอนนั้นเท่านั้น ที่เขาจะมีเกียรติพอจะสามารถพูดกับเซนทอร์ได้

เซนทอร์หญิงเม้มปากและมุ่นคิ้วแน่น... นางอยากจะถามอีกฝ่ายเหลือเกินว่า หากเอเดรียนเป็นมนุษย์ธรรมดา คิดหรือว่าจะยังมีลมหายใจอยู่ได้หากทำให้นางโกรธจนเสียการควบคุมตนเองแบบนี้ แต่เพราะเอเดรียนคือคนที่บุตรชายของนางรักไม่ใช่หรือ นางจึงได้ยั้งมือเอาไว้

"ลีอาห์...!"

ลีอาห์หันตามเสียงเรียก และทันเห็นชายร่างสูงโหนตัวข้ามมาจากอีกลำเรือก่อนจะเข้ามาหานาง "ธีสธรัลจะให้เวลาเซเลสต์ล่าถอยออกไปให้พ้นทาง..." เสียงทุ้มต่ำของเขากล่าวบอก และก้มลงมองเลสธีราห์ที่ดูจะหายมึนจากอาการขาดอากาศแล้ว ก่อนจะจรดยิ้มที่มุมปากเล็กน้อยด้วยความเอ็นดู "ไง... คนเก่ง" คนถูกเรียกแบบนั้นเงยหน้าขึ้นมองคนที่สูงกว่าตรงหน้า และด้วยน้ำเสียงที่เขาคุ้นเคย ทว่าไม่ได้ยินมาเนิ่นนานนับสิบปีทำให้เลสธีราห์ต้องเบิกตาขึ้นอย่างไม่อยากเชื่อสายตา เพราะคนตรงหน้านั้นมีผมสีอ่อนซีดแบบเดียวกับตน อีกทั้งดวงตาที่เป็นสีเดียวกันทว่าดุดันกว่า โครงหน้าที่ละม้ายคล้ายกันหลายอย่าง ยกเว้นใบหูปลายแหลมที่ต่างกันอย่างชัดเจน

"ท่านพ่อ..."

ชาวเอลฟ์สูงกว่ามนุษย์ปกติ ทว่าธีโอเดรก็เป็นเอลฟ์ที่สูงมากสักหน่อย เพราะแม้เขาจะมีรูปร่างเหมือนมนุษย์ แต่ก็สูงพอๆกับท่านหญิงลีอาห์ในร่างเซนทอร์เลยทีเดียว "เขามีดวงตาเหมือนแม่" ทูตเอลฟ์เปรยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนเพียงแค่นั้น แล้วจึงหันไปหาเอเดรียนที่อยู่ไม่ไกล "เจ้าใช่ไหม ต้นเหตุของเรื่องวุ่นวายนี่..."

"เจ้าทำให้เขาทรยศแอสทารอธ" ลีอาห์มุ่นคิ้วด้วยความโกรธขึ้ง "ออกไปจากเรือเซเลสต์ ข้าไม่ต้อนรับเจ้า!"

เอเดรียนรู้ดีว่าเขาไม่ได้รับการต้อนรับจากทั้งคู่ แต่นี่ก็ไม่ใช่เวลาที่จะรู้สึกท้อแท้ หากธีสธรัลจะให้เวลาเซเลสต์ในการล่าถอย นั่นก็เป็นสัญญาณที่ดีว่าเลสธีราห์จะปลอดภัยจากสงคราม และตัวเขาเองก็ควรจะกลับไปที่ปราการอาเดรียเพื่อจัดการเรื่องทุกอย่างให้เสร็จสิ้น "เช่นนั้น..."

แต่แล้วธีโอเดรก็ยกมือขึ้นปรามภรรยาของตน "แอสทารอธส่งทัพมาถึงอาเดรียแล้ว"

"..." เอเดรียนกลั้นหายใจในทันทีเมื่อได้ยินเช่นนั้น เขาหันกลับไปมองปราการที่ตนควรจะอยู่ดูแล และพบกับกลุ่มควันขาวที่เกิดจากกองเพลิง ไหม้โหมอยู่ไกลๆ "แอสทารอธหรือ..." ไม่มีใครเข้าใจ กระทั่งเลสธีราห์และรีดาห์ก็หันมองหน้ากันด้วยความฉงนว่าผู้ใดเป็นคนส่งทัพมายังอาเดรีย และมาด้วยจุดประสงค์หรือเจตนาใดกันแน่

"เจ้าไม่ได้ยินหรือ... เลสธีราห์" ทูตเอลฟ์เหยียดยิ้มช้าๆ "วิชาฟังเสียงของเจ้าไม่พัฒนาหรืออย่างไร"

ผู้บัญชาการเซเลสต์หลับตาลงบ้าง และสิ่งที่ได้ยินแทบจะในทันคือเสียงการต่อสู้บนแผ่นดิน เสียงของอาวุธที่ฟาดฟันเข้าหากัน เสียงฝีเท้าอันเป็นเอกลักษณ์ของเซนทอร์ และเสียงร้องระงมของทหารที่ปราศจากผู้นำ แอสทารอธยกทัพมาถึงอาเดรียแล้วจริงๆ และกำลังต่อสู้กับพลทหารที่พยายามปกป้องปราการของตนอย่างสุดกำลัง "รีดาห์ มากับข้า" ธีโอเดรกล่าวเสียงเรียบ

"เจ้าจะต้องเป็นคนพูด... กับว่าที่เหนือหัว ซาฮาล"

"ซาฮาลรึ!"

เลสธีราห์อ้าปากค้าง ด้วยความกังวลว่าซาฮาลจะเข้ามาวุ่นวายกับเรื่องนี้ เพียงลำพังสถานการณ์ในตอนนี้ก็บานปลายยุ่งเหยิงเพียงพอแล้ว หากจะต้องรับมือกับว่าที่เหนือหัวที่แสนดื้อรั้นของแอสทารอธอีกคน เซนทอร์หนุ่มคิดว่าหากเขาหนีหายไปอาจจะง่ายกว่า แต่แล้วท่าทีของบิดาก็เปลี่ยนไปอีกครั้ง นัยน์ตาสีฟ้าแบบเดียวกับบุตรชายหันไปเขม้นมองไปในความว่างเปล่าของมหาสมุทร กองเรือของธีสธรัลหยุดยั้งการเคลื่อนไหวเอาไว้อย่างนั้น แต่เสียงของอะไรบางอย่างกลับดังชัดขึ้นเรื่อยๆ และเมื่อทูตใหญ่ไม่พูดต่อ เลสธีราห์ก็รู้ในทันทีว่าบิดาของตนกำลังเงี่ยหูฟังอะไรบางอย่าง

...เสียงถอนสมอของเรือจำนวนมากดังก้องอยู่ในท้องน้ำ

เอลฟ์ร่างสูงขบริมฝีปากช้าๆ "เรือแองเจลิกา... โจรสลัดเทเทสใต้" นัยน์ตาสีฟ้าเคลื่อนกลับมามองแม่ทัพใหญ่ที่ยืนอยู่ตรงหน้า ผู้ที่ซึ่งไม่เอาอ่าว มีเพียงลมปาก และไร้สามารถในสายตาของราชเลขาแห่งแอสทารอธ "น้องชายของเจ้าใช่ไหม... เอเดรียน ฟลินทรัสต์"

....

"...ช่างแยบยล"

--------------------------------------------------

ผู้นำแห่งธีสธรัลสูดหายใจเข้าลึกก่อนจะทอดถอนออกมาด้วยความรู้สึกที่บอกไม่ได้ว่าเป็นความโล่งใจหรือว่ากลัดกลุ้มกันแน่ สำหรับมนุษย์หญิงที่เรียกได้ว่าเป็นสตรีตัวคนเดียวอย่างนาง ต้องมาเผชิญหน้ากับทูตเอลฟ์ระดับสูงจากแผ่นดินตะวันออกอย่างธีโอเดร ...แน่นอนว่าราชินีสาวย่อมหายใจไม่ทั่วท้องเอาเสียเลย

"พระนาง... เรา..."

แม้ข้าราชบริพานจะภักดีสักเท่าไหร่ แต่พวกเขาก็ทำได้เพียงยืนมองอยู่โดยห่าง และจับตาเพื่อให้แน่ใจว่าเอลฟ์จากเธสซาลีย์จะไม่ทำอันตรายผู้นำของพวกเขาเท่านั้น แต่ก็ไม่มีใครหาญกล้าพอที่จะก้าวเข้าไปขวางการสนทนาเมื่อครู่ ซึ่งเป็นคำขอเชิงบังคับให้ธีสธรัลหยุดการรุกรานไว้ชั่วคราว

ราชินีธีสธรัลยกมือขึ้นปรามคนสนิทที่กำลังจะเอ่ยปาก "ข้าอยู่ตรงหน้าความพ่ายแพ้ของอาเดรีย..."

"แต่ไม่อาจยื่นมือออกไปคว้ามันมาได้" หญิงสาวลดมือลงข้างกายและคลายกำหมัดออกอย่างหมดแรง "เธสซาลีย์เป็นเมืองใหญ่ เราไม่ควรจะแข็งข้อด้วยประการใดทั้งปวง" ดวงตาเฉียบคมของนางหรี่มองสิ่งที่เกิดขึ้นเบื้องหน้า ทั้งกองเรืออาเดรียที่บอบช้ำจนไม่สามารถส่งผู้ใดมาทัดทานได้อีก เรือที่ล่าถอยอย่างจนตรอก และข้าศึกที่ดูตื่นตระหนกอย่างเห็นได้ชัด

ชัยชนะของนาง... อยู่เบื้องหน้าแล้ว แต่นางกลับไม่สามารถไขว่คว้ามันมาเป็นของตนได้

"มีเหตุผลอะไรกันที่เธสซาลีย์จะเข้ามาขวางการศึก... ข้าคิดว่าอาเดรียเป็นพวกอัสคาห์"

"อาเดรียเป็นพันธมิตรกับอัสคาห์" ราชินีกดเสียงต่ำ "แต่ผู้ที่เป็นพันธมิตรกับเธสซาลีย์คือแอสทารอธ ธนูที่อยู่ในมือของผู้นำเซเลสต์คือแอควาเรียร์ ธนูแหวกสมุทร ซึ่งเป็นหนึ่งในสมบัติวิชาของตระกูลบลังค์แห่งเธสซาลีย์" หญิงสาวอธิบายให้คนใกล้ตัวฟัง "และท่านทูตใหญ่แห่งเธสซาลีย์คือธีโอเดร บลังค์..."

พวกมนุษย์ไม่ได้สนิทชิดเชื้อกับชาวเอลฟ์มากเท่าอมนุษย์อย่างภูตหรือเซนทอร์ ดังนั้นความรู้นี้จึงเป็นเรื่องใหม่สำหรับพวกเขา และจากการบอกเล่าเพียงเท่านี้ ผู้นำระดับสูงหลายคนที่อยู่บนเรือคาร์เธียร์ก็สรุปความได้ง่ายๆว่า ผู้นำเซเลสต์ของแอสทารอธเกี่ยวดองกับทูตระดับสูงของเธสซาลีย์

นั่นเป็นเหตุผลหนึ่งที่ราชินีของพวกเขาหยุดการเคลื่อนไหวทุกอย่างลงก่อน

...เพราะนางจะต้องไตร่ตรองการกระทำของตนให้มากขึ้นกว่าเดิม

"ข้าเสียแม่ทัพเรือไปคนหนึ่งแล้ว จะไม่เดินทางกลับมือเปล่าอย่างแน่นอน!"

องค์ราชินีเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าที่สว่างจ้าด้วยแสงอาทิตย์ยามกลางวัน กระแสลมที่เป็นใจให้นางรุกเข้าหาแผ่นดินที่อยู่ไม่ไกลเกินเอื้อม ทว่ากลับต้องทอดสมอลงและหยุดการเคลื่อนไหวทุกอย่างราวกับสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นทั้งหมดเป็นความฝันและภวังค์ที่นางจะต้องตื่นจากมัน

แต่ไม่มีวันเสียหรอก...

"แม่ทัพรอง..." หญิงสาวเอ่ยขึ้นลอยเรียกหาผู้ใต้บัญชา "ละเว้นเรือเซเลสต์เอาไว้ เมื่อเธสซาลีย์จากไปแล้ว นำเรือเร็วเข้าประชิดท่าเรือออโรรา" แม้ใจของนางจะอยากเก็บรักษาท่าเรือที่สำคัญของแผ่นดินตะวันตกเอาไว้ แต่หากใจดีจนเกินไปไม่รู้จักสั่งสอนกันเสียบ้าง ไม่ช้าก็เร็ว อาเดรียก็ต้องเหิมเกริมต่อนางอีกครั้ง ...วันนี้นางจะต้องได้ชีวิตของผู้นำกบฎ

วันนี้นางจะต้องได้เลือดของซินญอร์มาปูทางเดิน

"ยิงถล่มมันให้สิ้น..."

--------------------------------------------------

ออฟไลน์ khaosap

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 165
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
    • Khaosap Writing
Re: ASTAROTH พันธนาการดวงดาว ตอนที่ 27.2
«ตอบ #102 เมื่อ19-01-2017 14:49:00 »

ตอนที่ 27.2

"ท่านแม่ไปเธสซาลีย์เพื่อการนี้หรือ!"

เลสธีราห์อ้าปากค้างเมื่อได้สอบถามเรื่องราวจากปากมารดา เพราะการกลับมายังแผ่นดินตะวันตกของธีโอเดรผู้เป็นบิดานั้นสร้างความประหลาดใจให้เขาอยู่มาก เพราะเขาได้ยินมาตลอดว่าทูตใหญ่ของเธสซาลีย์ไม่เคยมีเวลาว่าง ดังนั้นนับสิบปีที่ผ่านมา เลสธีราห์จึงไม่ได้พบหน้าบิดาของตัวเองเลย

"ธีโอเดรไม่กล้าขัดคำสั่งมหาราชาแห่งเธสซาลีย์ เขาจึงไม่มีเวลากลับมาที่นี่ เนื่องจากต้องติดต่อกับเมืองอื่นอยู่ตลอดเวลา แต่ในเมื่อเรื่องนี้เกี่ยวพันถึงชีวิตของเจ้า... ลูกชายคนเดียวของเขา ข้าจึงต้องเดินทางไปถึงเมืองเอลฟ์ และขออนุญาตมหาราชาด้วยตนเอง"

บางครั้ง เลสธีราห์ก็คิดว่าความรักของมารดานั้นยิ่งใหญ่และหนักแอึ้งจนเกินกว่าเขาจะรับไหว

แต่ก็ด้วยความรักและเป็นห่วงทั้งนั้นที่ผลักดันให้เซนทอร์หญิงต้องทำแบบนี้...

"ข้าจะไม่ทน... เห็นเจ้าตาย เข้าใจไหมเลสธีราห์ แม้ว่านั่นจะเป็นการหักหาญเจตนาที่จะพิสูจน์ตนเองของเจ้าก็ตาม" ราชเลขายกมือขึ้นลูบหัวบุตรชาย "โอกาสหน้ายังมีอีกตั้งมาก ลูกข้า เจ้าไม่จำเป็นจะต้องเสี่ยงตายแบบนี้"

เซนทอร์หนุ่มถอนใจเบาๆก่อนจะทอดยิ้มออกมาพร้อมกับส่ายหัว "ท่านแม่..."

"ท่านเลสธีราห์!" ลูกน้องคนหนึ่งร้องเรียก และชี้มือไปที่กองเรือเวเรนเซียที่เริ่มเคลื่อนตัวช้าๆ "เรือปืนของธีสธรัลกำลังเคลื่อนไหวขอรับ" เลสธีราห์มุ่นคิ้ว และเดินตามอีกฝ่ายมาที่กราบเรือบ้าง หน่วยเรือเร็วซึ่งเป็นเรือรบติดปืนใหญ่ของธีสธรัลกำลังเคลื่อนพล และโดยที่ไม่เหลียวมองเรือเซเลสต์ พวกเขากำลังมุ่งผ่านไปเพื่อเข้าใกล้แผ่นดินมากที่สุด

"พวกมันรุกอ่าวออโรราอีกครั้งแล้ว"

"ข้าคิดว่าเอเรสจะจัดการเรื่องนี้!"

เซนทอร์หนุ่มอ้างปากค้าง ก่อนจะหลับตาลงเพื่อฟังเสียงความเคลื่อนไหว สิ่งที่เขาได้ยินเป็นเสียงเปิดประตูปืนของกองเรือรบเวเรนเซีย แต่ทว่าเพียงครู่เดียว เลสธีราห์ก็สัมผัสได้ถึงบรรยากาศรอบตัวที่แปรเปลี่ยนไป เสียงลุกฮือของผู้คนที่เขาไม่คุ้นหู ท่านหญิงลีอาห์เหลือบมองรอบกายด้วยสามารถสัมผัสถึงความผิดปกติได้เช่นกัน

และบนเส้นขอบฟ้าที่มองไม่เห็นนั่นเอง เงาของเรือรบหลายร้อยลำก็ค่อยๆปรากฎเด่นชัดขึ้น

นำโดยแองเจลิกา... เรือบัญชาการของเอเรส ฟลินทรัสต์

--------------------------------------------------

ปราการอาเดรียบัดนี้เต็มไปด้วยความชุลมุนวุ่นวาย เมื่อแอสทารอธโจมตีและเปิดประตูเมืองชั้นแรกสำเร็จ อัศวินครึ่งม้าก็บุกเข้ามาต่อสู้และเข่นฆ่ากำลังพลของคัสห์นาโดยไม่พูดพร่ำทำเพลงใดๆ พลทหารบนปราการชั้นสองสาดธนูลงมาจากกำแพงเพื่อหยุดยั้งการรุกราน แต่ด้วยรูปแบบขบวนการเคลื่อนพลของเซนทอร์ทำให้ลูกดอกเล็กๆไม่สามารถทำอันตรายได้ และพวกเขาก็ไปถึงประตูปราการชั้นสองในเวลาอันรวดเร็ว

"แอสทารอธ... เธสซาลีย์..."

ซินญอร์พึมพำทวนคำกับตัวเองโดยที่ยังละสายตาจากท้องทะเลเบื้องหน้าไม่ได้ เขารู้จากสัญลักษณ์ที่อยู่ใบเรือรูปร่างประหลาด อีกทั้งการตกแต่งที่ต่างจากอัสคาห์โดยสิ้นเชิง ผู้นำอาเดรียรู้ในทันทีว่านั่นคือเอลฟ์แห่งเธสซาลีย์ ผู้เป็นพันธมิตรของแอสทารอธ

...และรู้ว่าการมาเยือนครั้งนี้ไม่มีผลดีกับเขาอย่างแน่นอน

น่าแปลกที่ผู้นำอาเดรียรู้สึกได้ถึงความตายและความหายนะกำลังคืบคลานเข้ามาหาตนช้าๆ ทว่าเขาเองก็ไม่คิดจะปัดป้องหรือต่อสู้กับมัน ราวกับรู้แก่ใจว่าอย่างไรเรื่องแบบนี้ก็ต้องเกิดขึ้น "เอเดรียนสินะ" ไม่มีความโกรธขึ้งหรืออาฆาตก่อตัวขึ้นมาในจิตใจของผู้นำอาเดรียแม้แต่น้อย เพราะเขารู้ดีว่าหากบุคคลที่เขาคิดถึงคือเอเดรียนจริงๆ เขารู้ว่าเอเดรียนไม่ใช่คนกระหายในอำนาจ เอเดรียนไม่ใช่คนทะเยอทะยานจนหน้ามืดตามัว ...เขารู้ว่าเอเดรียนรักอาเดรียอันเป็นบ้านเกิดของตน

และรู้ว่าเอเดรียนรักเซนทอร์ที่อยู่บนเรือลำนั้น... จนสามารถลงมือทำเรื่องใหญ่ขนาดนี้ได้

"ข้าไม่น่าปล่อยให้เจ้าว่างพอจะไปหาคนรักใหม่เลย เอเดรียน..." ผู้นำบนหลังม้าแค่นหัวเราะกับตัวเอง แต่ก็ปลงตกกับชะตาของตัวเอง "แต่หากไม่มีคนรักคนนี้ เจ้าคงไม่หาญกล้าทำอะไรแบบนี้หรอก" ชายหนุ่มดึงบังเหียนบังคับม้าให้หันหัวกลับมาหากองทัพที่อยู่หลังกำแพง

"ข้าศึกกำลังจะประชิดตัวเมืองแล้ว!!"

คำประกาศนั้นทำให้กองทหารต้องเงยหน้าขึ้นมองผู้นำของพวกเขาอย่างไม่แน่ใจ พวกเขาไม่รู้ว่าสิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อไปคืออะไร หรือตอนนี้สถานการณ์เป็นอย่างไร ตอนนี้พวกเขาทำได้เพียงจับอาวุธคู่ใจของตนให้มั่น และปกป้องมหาคฤหาสน์ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นหัวใจของอาเดรียเท่านั้น แต่สิ่งที่ท่านชายซินญอร์พูดออกมามันหมายความว่าอย่างไร พวกเขาพ่ายแพ้ในสงครามกลางทะเลหรืออย่างไร

...และตอนนี้แม่ทัพใหญ่ของพวกเขาอยู่ที่ใดกัน!

...บรึ้ม!!

เสียงระเบิดดังสนั่นดังขึ้นพร้อมกับลูกปืนที่พุ่งเข้าใส่กำแพงปราการ เสียงแตกตื่นที่ดังมาจากปราการชั้นสองด้านล่างอธิบายเหตุการณ์ได้ว่ากำแพงหินถูกโจมตีด้วยปืนใหญ่ และแน่นอนว่าปืนใหญ่ที่มีระยะยิงสูงเท่านี้ ย่อมเป็นปืนของเรือเหาะจากเธสซาลีย์เท่านั้น

"ท่านชาย!! เธสซาลีย์โจมตีเรา!!"

เรือเหาะที่เมื่อครู่ยังลอยลำอยู่ทะเล บัดนี้แล่นอยู่ในอากาศเบื้องหน้าอาณาจักร แต่ด้วยความที่ไม่ต้องการตกเป็นเป้าของปืนใหญ่บนกำแพงอาเดรีย ธีโอเดรจึงลอยลำรั้งรออยู่อย่างนั้น และถล่มยิงไปทางประตูปราการชั้นสองแทนเพื่อเปิดทางให้กองทัพเซนทอร์เข้าไปด้านใน "ทำไมซาฮาลถึงบุกมาอาเดรียได้..." รีดาห์ที่บัดนี้เปลี่ยนมาขึ้นเรือเหาะมุ่นคิ้วอยู่ข้างทูตแห่งเธซาลีย์และเขม้นมองกลุ่มอัศวินครึ่งม้าผ่านม่านควันของปืนใหญ่ว่าเป็นคนกลุ่มใด

"พวกเจ้าไม่ได้คุยกันหรอกรึ" ทูตเอลฟ์หัวเราะร่วน "ข้าได้ยินเสียงฝีเท้าของท่านหญิงโมนาด้วย"

"เหตุใดท่านจึงได้ยินกระทั่งเสียงฝีเท้า ท่ามกลางความวุ่นวายขนาดนี้!"

"เจ้าไม่รู้หรอกว่ามันหนวกหูแค่ไหนกับการมีความสามารถแบบนี้ติดตัว" ธีโอเดรไหวไหล่  เขาเป็นผู้คุมพังงาเรือด้วยตนเอง และบังคับให้หันปืนใส่กำแพงหนาตรงหน้าก่อนจะระดมยิงเข้าไปเพื่อทำลายประตูเมืองที่ทำจากเหล็ก "ข้าจะไม่เข้าไปใกล้กว่านี้" ร่างสูงว่า "เจ้าไปคุยกับว่าที่เหนือหัวแทนก็แล้วกัน" เรือเหาะร่อนลงต่ำมากพอที่เซนทอร์สามารถยกกำลังพลขึ้นบนทางเดินยาวที่เชื่อมกับประตูปราการชั้นสอง และเป็นระยะที่ปลอดภัยที่สุดที่ปืนใหญ่ของอาเดรียจะไม่สามารถทำอันตรายบอลลูนยักษ์ซึ่งพยุงเรือเหาะไว้ได้

"เจ้าเห็นซาฮาลหรือเปล่า" รีดาห์เอ่ยกับคนข้างตัว ซึ่งก็คือเอเดรียนที่ได้รับอนุญาตให้ขึ้นเรือมาด้วย ทว่าคำตอบที่ได้รับก็เป็นความเงียบ อันเป็นสัญลักษณ์แทนคำปฏิเสธ "ในศึกแบบนี้ จะวิ่งทันเซนทอร์ได้อย่างไร... ไม่มีใครให้เจ้าขี่หลังหรอกนะ" แม่ทัพใหญ่กวาดสายตาไปยังท่าเรือ และเห็นร่างของสัตว์ตัวหนึ่งวิ่งไหวอยู่เบื้องล่าง

"ข้ามีม้าของข้า... ต้องขออนุญาตเซนทอร์ด้วย"

คนพูดไม่รีรอ เขากระโดดขึ้นไปบนกราบเรือที่กำลังลดระดับลงต่ำ คว้าเชือกเส้นหนึ่งและโหนตัวลงไปเบื้องล่างตามด้วยเสียงประท้วงของเหล่าครึ่งม้าบนเรือที่ไม่สามารถทำเช่นนั้นด้วยด้วยเกรงว่าความสูงจะทำให้พวกเขาบาดเจ็บที่ข้อเท้า อัลธอร์วิ่งกลับมาที่ท่าเรือราวกับรู้สึกถึงการกลับมาของเจ้านาย และพาเขาวิ่งเข้าไปในประตูเมืองที่ถูกทำลาย ตามด้วยกลุ่มเซนทอร์ที่เพิ่งลงมาจากเรือ

กองทัพเล็กๆวิ่งผ่านประตูเข้าไปอย่างรวดเร็ว ครึ่งอาชากระโจนเข้าไปในกลุ่มคนและเริ่มฟาดฟันอาวุธในมือเข้าใส่ศัตรูไม่เลือกหน้า แต่ด้วยความที่พวกเขาเป็นครึ่งม้า ช่วงขาจึงเป็นจุดเสี่ยงอันตรายที่สุดของเซนทอร์ "อ้าก!!" เอเดรียนดันม้าจนมันหยุดชะงักเมื่อได้ยินเสียงร้อง และเขาก็รู้ในทันทีว่าตนคงรักษาชีวิตเซนทอร์ทุกคนเอาไว้ไม่ได้...ขอแค่เข้าถึงตัวท่านชายซินญอร์เท่านั้น

"อย่าให้ขบวนขาดตอน!"

เอเดรียนตะโกนบอกรีดาห์ที่วิ่งตามมาติดๆ ขณะที่สองมมือกำลังช่วยกรุยทางให้ด้วยการเหวี่ยงอาวุธไปรอบตัวอย่างดุเดือด "อย่ามาถือโอกาสออกคำสั่งกับข้านะ มนุษย์เอเดรียน!" รีดาห์เหวี่ยงด้ามธงในมือเพื่อป้องกันขาของตัวเองจากคมอาวุธ "ข้าคือรองผู้บัญชาการกองเรือรบเซเลสต์! เหตุใดข้าจะต้องมาวิ่งนำทัพกับเจ้าด้วย...!!"

"เจ้าจะเรียกเอเดรียนห้วนๆข้าก็ไม่ว่าหรอก เซนทอร์"

เอเดรียนหัวเราะเบากับคำเรียกแปลกๆของอีกฝ่าย "เพราะข้ารู้เส้นทางภายในปราการนี้อย่างดียังไงเล่า" ชายหนุ่มเหลียวหลังไปมองกองทัพที่ยังติดตามเขามา อัลธอร์กระโจนเข้าไปถึงด้านหน้าประตูในที่สุด แต่ด้วยความที่ประตูเหล็กลงกลอนจากด้านในทำให้มันไม่สามารถขยับได้ด้วยแรงของมนุษย์ธรรมดา

"เอเดรียน!!" หอกเล่มหนึ่งพุ่งเข้าใส่แม่ทัพใหญ่ด้วยประสงค์ร้าย และจังหวะเดียวกันที่รีดาห์เหวี่ยงโล่ของตนขึ้นรับแทน

...เคร้ง!!

แต่แทนที่จะเป็นโล่ไม้ที่แขนของรีดาห์ซึ่งคุ้มกันให้เอเดรียน กลับเป็นโล่เหล็กที่แข็งแกร่งกว่าของใครอีกคนแทน เซนทอร์หนุ่มอ้าปากค้างเล็กน้อยขณะมองร่างเงาที่ยืดขาหน้าทั้งสองข้างขึ้นจนบนบังตนเสียมิด ก่อนจะลดแขนลงเพื่อให้แสงแดดส่องกระทบใบหน้า "เจ้านี่มันช่างหาเรื่องจริงๆ รีดาห์!"

"แล้วข้าเชิญเจ้ามาที่นี่ตั้งแต่เมื่อไหร่ ซาฮาล!"

--------------------------------------------------
---------- TO BE CONTINUE ----------


เขาอาร์ต... เขาเขียนไม่ออก... เขาหายไป... เขาขอโทดดดดดดดดด  :m15: :m15: :m15:
แต่เขากลับมาพร้อมดราฟต์ปกนะ  :hao7: :hao7: :hao7:

ปล. เอเดรียนก็ยังถือปืนในจินตนาการของนางต่อไป  :ling1:



« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 19-01-2017 14:52:11 โดย khaosap »

ออฟไลน์ neverland

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 653
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-0
วุ่นวายมากกก คนนั้นก็จะทำแบบนึงคนนี้ก็จะทำแบบนึง
แต่มันส์มาก

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
จิ้มจ้า
ให้กำลังใจคนเขียนนะคะ

ออฟไลน์ khaosap

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 165
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
    • Khaosap Writing
Re: ASTAROTH พันธนาการดวงดาว ตอนที่ 28.1
«ตอบ #105 เมื่อ21-01-2017 22:36:48 »

ตอนที่ 28.1

จาเร็ตต์กลั้นใจเมื่อเรือของตนเริ่มเคลื่อนตัว เนื่องด้วยเป้าหมายของเขาคือการเข้าเผชิญหน้ากับเรือคาร์เธียร์ ซึ่งเป็นเรือรบที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดในน่านน้ำนี้ก็ว่าได้ และต่อให้พ่อบ้านชราของ 'คุณชายเอเรส' จะยืนยันว่าเรือลำนี้มีความปลอดภัยมากพอ แต่การที่ราชาโจรสลัดไม่ปรากฎตัวออกมาให้เห็นหน้าเลย ก็ทำให้ร่างโปร่งหวั่นใจ

"จะไม่รอเอเรสก่อนหรือ..."

จาเร็ตต์ผู้ยืนไม่ติดที่ เดินวนรอบพังงาเรือเป็นครั้งที่สาม ในขณะที่พ่อบ้านชรายิ้มตอบอย่างอ่อนโยน แม้ว่าเขาจะเป็นคนออกคำสั่งเคลื่อนพลก็ตาม "คุณชายสั่งไว้น่ะขอรับ ว่าไม่ต้องรอ" จาเร็ตต์หันกลับมามองข้าศึกตรงหน้าอย่างไม่พอใจในคำตอบนัก เนื่องจากเอเรสไม่บอกอะไรกับเขาเลย ทั้งที่เขาถูกส่งมาเพื่อช่วยเหลืออีกฝ่ายแท้ๆ

"แล้ว 'คุณชาย' ไปไหนเสียแล้วล่ะ" ร่างโปร่งบ่นอุบ "แค่มีม้าบินเลยจะไปไหนก็ได้ตามใจชอบรึ"

กองเรือเวเรเซียหันหน้าไปทางตะวันตก และส่งเรือปืนทั้งหมดออกไปเบื้องหน้าเพื่อจัดการถล่มท่าเรือออโรราตามคำสั่งของผู้นำ ในขณะกองทัพโจรสลัดกระจายกำลังรุกเข้ามาจากด้านหลังช้าๆ โดยมีเป้าหมายอยู่ที่เรือสั่งการ และเรือสนับสนุนที่ไร้อาวุธ

"พระนาง! พวกโจรสลัดเทเทส!!"

ราชินีธีสธรัลรีบรุดมายังท้ายเรือ เพื่อจะพบว่ากองเรือปริศนามุ่งหน้าเข้ามาใกล้ ซึ่งในตอนนี้เวเรนเซียมีเพียงเรือสั่งการคาร์เธียร์เท่านั้นที่มีปืนใหญ่ แต่เรือสนับสนุนลำอื่นมีอาวุธน้อยมาก ดังนั้นหากถูกโจมตี พวกเขาก็ไม่มีทางสู้ได้ "พวกโจรสลัดใช้เรือเร็วทั้งนั้น" หญิงสาวอ้าปากค้าง "ระดมพลกลับมา! เรียกกลับมา!! คุ้มกันเรือสนับสนุน เรือเสบียงทั้งหมด!"

แตรของธีสธรัลถูกเป่าขึ้นในทันที ทว่ามันก็ไม่ดังพอที่จะทำให้เรือเร็วซึ่งแล่นออกไปไกลแล้วได้ยิน

เพราะกลางทะเลเช่นนี้ หากกองทัพแยกห่างจากกันแล้วจะไม่สามารถรวมตัวกันได้โดยง่ายอีก "มีพลุไฟอยู่ในคลังแสงบ้างหรือเปล่า!" ผู้นำหญิงตวาดถามร้อนรน "นำคาร์เธียร์พุ่งเข้าไป พุ่งเข้าไปสมทบกับเรือเร็ว! กางใบเรือให้หมด!!"

"พระนาง... ลมแรงไม่พอขอรับ เราระดมฝีพายทั้งหมดแล้ว"

"หาพลุไฟ! สื่อสารกับพวกเรือเร็ว บอกให้พวกเขากลับมา" เรือโจรสลัดหลายลำทยอยพุ่งเข้าเทียบเรือสนับสนุนที่ใหญ่กว่า และเริ่มทำสิ่งที่โจรสลัดถนัดที่สุด นั่นคือการปล้นเอาทุกสิ่งอย่างมาเป็นของตน "ระดมฝีพายทุกลำเรือ คาร์เธียร์เปิดประตูปืนใหญ่!!"

"ยิงไปก็เท่ากับจมเรือตัวเองนะ พระนาง"

ไวลด์หันตามเสียงพูดที่ตนไม่คุ้นหู และพบกับชายร่างสูงที่เดินตรงเข้ามาหาตนพร้อมกับม้าสีดำตัวเขื่อง องครักษ์ของราชินีรีบกรูเข้ามาขวางด้วยเกรงว่าอีกฝ่ายจะชักดาบที่บั้นเอวออกมาทำร้ายผู้นำอาณาจักร จนอีกฝ่ายยกมือขึ้นตนขึ้นทั้งสองข้าง และยอมรักษาระยะห่างเอาไว้แต่โดยดี "ข้าไม่ได้มาเพื่อมีเรื่องน่ะนะ"

"เจ้าเป็นใคร..." สายตาของไวลด์เหลือบไปมองม้าที่อยู่ด้านหลังผู้มาเยือน "ม้ามีปีกรึ"

"ข้าคือเอเรส"

เอเรสแนะนำตัวเท่านั้น แล้วล้วงมือเข้าไปในเสื้อเพื่อหยอบซองหนังออกมา "ข้ามาทวงสัญญาของท่าน..." ชายหนุ่มคลี่แผ่นหนังออกก่อนจะหยิบแว่นกลมอันเดี่ยวออกมากระเป๋าเสื้อ และวางบนสันจมูกของตน "ยี่สิบแปดปีที่คลังหลวงธีสธรัลจะต้องแบกรับภาระค่าธรรมเนียมท่าเรือในการติดต่อค้าขายกับเรา หากเอเดรียนยินดีทำตามข้อเสนอ... ด้วยการขึ้นเป็นผู้นำแห่งอาเดรีย" เอเรสแสร้งมองผ่านแว่น แล้วค่อยๆหันเอกสารในมือตนให้ราชินีธีสธรัลเห็นกับตาว่ามันคือสัญญาที่เขียนด้วยลายมือของพระนางเอง

"แลกกับความสงบสุขของอาเดรีย..."

สัญญาที่เอเดรียนไม่แม้แต่จะมองในตอนนั้น... บัดนี้อยู่ในมือของเอเรส และปรากฎลายมือชื่อของแม่ทัพเอเดรียนเรียบร้อยแล้ว ซึ่งนั่นหมายความว่าเจ้าตัวตกลงที่จะทำตามข้อเสนอ "เรียกเรือปืนของท่านกลับมา หากไม่อยากเป็นผู้ผิดสัญญาเสียเอง" เอเรสกดเสียงลงต่ำเป็นเชิงข่มขู่ แต่แล้วราชินีก็เป็นฝ่ายชักดาบประจำกายออกมาและชี้ตรงไปที่คนตรงหน้าอย่างไม่กลัวเกรง

"เจ้าขโมยสิ่งนี้ออกมาจากห้องของข้า ถ้าข้าฆ่าเจ้าที่นี่... จะไม่มีใครรู้ด้วยซ้ำว่าสัญญานั่นมีอยู่จริง"

บรึ้ม...!!

ท้ายเรือคาร์เธียร์ก็ถูกโจมตีจนลำเรือสั่นไหวและเหล่าทหารเสียหลักยืน เอเรสอาศัยจังหวะนั้นกระโดดขึ้นม้าของตนและดึงบังเหียนให้มันบินออกไปจากคาร์เธียร์ กลับไปยังเรือบัญชาการของตนที่แล่นเข้ามาใกล้ ทว่าไม่อยู่ในระยะปืนใหญ่

"ตาเฒ่า! ท่านมาได้ถูกจังหวะตลอดเลยนะ!"

ออร์เดนร่อนลงบนดาดฟ้าเรือ คุณชายแห่งฟลินทรัสต์ส่งยิ้มให้พ่อบ้านคนสนิทก่อนจะหันมาเผชิญหน้ากับคนที่กำลังโกรธจัดกับการหายตัวไปของเขา "เอเรส!" จาเร็ตต์พุ่งลงมาจากดาดฟ้าด้านหลัง และแหงนมองคู่สนทนาที่เพิ่งกระโดดลงจากหลังม้าพร้อมกับซองหนังสีดำ "เจ้านี่มัน!!"

"ถามสิว่าข้าบาดเจ็บไหม" ชายหนุ่มยิ้มกว้าง "ข้าเตรียมคำตอบรอแล้ว"

"ไม่ถาม!!"

"อา... เลขาใจร้าย" ร่างสูงหัวเราะ และยัดซองหนังสือใส่มืออีกฝ่าย ก่อนจะผละไปยังกราบเรือ "ตาเฒ่า... หันหัวเรือออกมาหน่อย เรายังต้องนำพวกที่เหลือตามไปถล่มด้านในอ่าว" เรือบัญชาการกางใบเรือรับลม และมุ่งตรงเข้าไปในอ่าวออโรรา ประตูปืนใหญ่ทั้งหมดถูกเปิดออกเป็นสัญญาณพร้อมที่จะโจมตี

"นี่มัน... สัญญา..." จาเร็ตต์มุ่นคิ้ว "เอเดรียนยอมรับข้อเสนอนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่!"

"นั่นลายมือข้าเอง" เอเรสหัวเราะ "ถ้ารอพี่ข้าเขียนคงไม่ได้สงบศึกกันหรอกวันนี้"

--------------------------------------------------

เซนทอร์ที่ไม่ใคร่จะถูกกันสนทนากันได้เพียงเท่านั้น เมื่อพบว่าพวกเขามีภารกิจที่สำคัญกว่าการเถียงกันไปมาในเรื่องที่หาสาระไม่ได้ ซาฮาลหันกลับไปหาทหารมนุษย์ที่ดาหน้าเข้ามาเมื่อครู่นี้ แต่ก็พบว่าหน่วยรบพิเศษของแม่ทัพโมนากระจายกำลังควบคุมพื้นที่ทั้งหมดแล้ว

"โมนา..."

"เจ้าทำอะไร เหตุใดแม่ทัพโมนาถึงได้มาที่นี่ได้ แล้วยังหน่วยพิเศษของนางอีก นี่จะเปิดสงครามฆ่าล้างบางพวกมนุษย์กันหรือไร!" รีดาห์ดึงแขนซาฮาลกลับมาเมื่อเห็นว่าโดยรอบตัวไม่มีศัตรูที่จะทำอันตรายพวกเขาได้ โดยประโยคคำถามของเขาก็ดึงความสนใจจากเอเดรียนเช่นกัน

"นางมาตามคำสั่งข้า" ร่างสูงตอบกลับ "เจ้าให้ข้าดูสัญญานั่นก็เพื่อให้ข้าช่วยไม่ใช่รึ"

"ข้าไม่ได้..."

"เจ้าต้องการสู้หลังชนกับเพื่อน..." ซาฮาลหันไปมองอีกฝ่ายตรงๆ "แล้วข้าเป็นเพื่อนเจ้าได้ไหม"

รีดาห์อ้าปากค้างอยู่อย่างนั้นด้วยไม่รู้ว่าควรจะตอบว่าอะไร แต่แล้วก็นึกได้ว่านี่ไม่ใช่เวลาที่เขาควรจะมาอ้ำอึ้งอยู่กับความรู้สึกที่ไม่แน่ใจว่าขัดเขินหรืองุนงง "ได้!!" ร่างโปร่งพยักหน้าพร้อมกับยกโล่ขึ้นมา

"จะเอายังไงก็เอาเลย!"

เอเดรียนยังคิดหาวิธีเปิดประตูปราการชั้นสุดท้าย ประตูสูงใหญ่ทำจากเหล็กหนาที่ปิดล็อคได้หลาย ดังนั้นจึงเปล่าประโยชน์หากคิดจะใช้มือเปล่าในการทำลาย เดิมทีเขาคิดจะให้คนของตนที่ปราการชั้นในทำหน้าที่นี้ แต่ในเมื่อเหตุการณ์บานปลายวุ่นวายจนควบคุมไม่ได้ แม่ทัพใหญ่ก็คิดว่าเขาคงไม่สามารถให้สัญญาณใดๆกับคนของตนได้

"อา... ให้ตาย"

ร่างสูงมุ่นคิ้ว และเริ่มคิดถึงกลไกของประตูบานนี้ที่เขารู้จักมันดี มันอาจเป็นความภูมิใจสูงสุดของอาเดรีย ป้อมปราการที่ไม่มีใครตีแตกนี้คือจุดแข็งของเมืองท่าแห่งแผ่นดินตะวันตก หากไม่มีไส้ศึก ก็ไม่มีใครสามารถเอาชนะอาเดรียได้

"รอช้าอะไรอยู่ เจ้าจะบอกว่าไม่สามารถเปิดประตูได้อย่างนั้นรึ"

รีดาห์เร่งเร้า ทหารเซนทอร์ที่ติดตามทยอยมาสมทบหลังจากกำจัดศัตรูที่ขวางอยู่ตรงหน้าจนหมด พวกเซนทอร์วิ่งผ่านย่านร้านค้าที่ร้างผู้คน บ้านเรือนของชนชั้นสูงที่ปิดตาย และสำรวจทุกพื้นที่ในปราการชั้นสองเพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีศัตรูที่มีชีวิตหลงเหลืออยู่

กำลังพลทั้งหมดของคัสนาห์... ไม่มีใครได้กลับบ้านเกิดของตนเอง

คิดเพียงเท่านั้น ใจของเอเดรียนก็หนักอึ้งด้วยความรู้สึกผิด

ทั้งที่พวกเขาเป็นมนุษย์เหมือนกันแท้ๆ ทั้งที่พวกเขาไม่รู้เรื่องอะไรด้วยซ้ำ แต่กลับถูกส่งมาตายแบบนี้ด้วยน้ำมือของมนุษย์ที่ทรยศบ้านเมืองตัวเองด้วยการร่วมมือกับเซนทอร์ "ท่านชายซินญอร์!!" ร่างสูงดึงม้าถอยหลังก่อนตะโกนออกมาสุดเสียงเพื่อเรียกหาเจ้าเมือง

"ข้ามีเรื่องที่จะต้องพูดกับท่าน..."

แน่นอนว่าเบื้องหลังประตูใหญ่ได้ยินเสียงของเอเดรียนชัดเจน และนั่นยิ่งทำให้พลทหารที่ละล้าละหลังไม่มั่นใจอยู่แล้วยิ่งรู้สึกสับสนมากกว่าเดิม เมื่อครู่ยังมีเสียงของทหารคัสนาห์โห่ร้องด้วยความฮึกเหิม แต่บัดนี้กลับมีแต่ความเงียบและกลิ่นคาวเลือดคลุ้งอยู่ด้านนอก อีกฟากประตูคือแม่ทัพใหญ่ที่คอยประคับประคองกองทัพ ส่วนด้านหลังของพวกเขาคือผู้นำที่คอยปกปักษ์รักษาบ้านเมือง ทหารธรรมดาอย่างพวกเขาไม่สามารถตัดสินใจได้ว่าควรจะลดอาวุธลงหรือไม่

...ไม่มีใครรู้ด้วยซ้ำว่าพวกเขาสามารถเลือกข้างได้หรือเปล่า

แต่หากต้องเลือกขึ้นมาจริงๆ พวกเขาควรจะอยู่เคียงข้างใคร หากยืนหยัดอยู่ข้างผู้นำอาณาจักรตามธรรมเนียมปฏิบัติ ท่านชายซินญอร์ผู้นี้จะสามารถปกป้อง และหาทางออกในทุกปัญหาได้หรือเปล่า ในเมื่อคนที่คอยแก้ปัญหาทุกอย่างก็คือแม่ทัพเอเดรียน ผู้ที่ยืนอยู่อีกฝั่งฟากประตูนี้ แต่ถ้าเข้าข้างแม่ทัพใหญ่ ก็เท่ากับว่าพวกเขาหันหลังให้ผู้นำอาณาจักรไม่ใช่หรือ ผู้นำอาณาจักรที่เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของอดีตกษัตริย์ผู้ล่วงลับ

ท่านชายซินญอร์มีท่าทีสงบนิ่งเสมือนไม่รู้สึกรู้สา แต่ใครจะรู้ว่าผู้นำอาเดรียในตอนนี้หวาดกลัวจนแทบลืมหายใจ "เอเดรียน..." เขารู้แก่ใจว่าสิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อไปคืออะไร แต่ถึงกระนั้นมันก็ยังเร็วเกินไป ทั้งที่เขาตั้งใจให้เรื่องราวลงเอยเช่นนี้แท้ๆ

ราชินีหัวดื้อของธีสธรัลจะไม่ยอมปล่อยเมืองท่านี้ให้เป็นอิสระอย่างแน่นอนตราบใดที่เขายังปกครอง และจะต้องยึดอาเดรียกลับคืนไปเป็นอาณานิคมอีกครั้งให้ได้เพื่อรักษาความเป็นมหาอำนาจของตนเอาไว้ ตราบใดที่เขายังเป็นผู้นำอาณาจักรอยู่เช่นนี้ ซินญอร์ก็จะถูกจับนั่งในตำแหน่งของวีรบุรุษผู้สามารถแข็งข้อกับจักรภพได้

ทั้งที่พวกเขาไม่สามารถทำได้...

มีทางเดียวที่อาเดรียจะอยู่รอดปลอดภัยต่อไปก็ต่อเมื่อเขาลงจากอำนาจเท่านั้น

แต่ใครจะเป็นผู้นำอาเดรียคนต่อไป ในเมื่อท่านชายก็ไร้ซึ่งทายาท ดังนั้นความหวังของเขาจึงมอบให้เอเดรียน แม่ทัพใหญ่ผู้โดดเด่นในเรื่องของความเยือกเย็น ต่อให้เอเดรียนคิดการกบฎด้วยตนเอง ซินญอร์ก็มั่นใจว่าอีกฝ่ายทำเพื่ออาณาจักรมากกว่าอำนาจ และต่อให้เอเดรียนคิดเนรคุณเขา ท่านชายก็ไม่รู้สึกเสียใจ ...เพียงแต่คนอย่างเอเดรียนขาดเพียงความกล้าหาญเท่านั้น

จึงเป็นหน้าที่ของเขาที่จะต้องทำให้แม่ทัพของเขาแข็งแกร่งขึ้น...

แข็งแกร่งพอ และมีอำนาจบารมีพอที่จะปกป้องอาเดรียต่อจากเขา ท่านชายซินญอร์หลับตาลงแล้วค่อยๆดึงบังเหียนให้ม้าของตนเดินนำไปด้านหน้าประตูใหญ่ที่ยังปิดสนิท เอเดรียนไม่เอ่ยเรียกซ้ำ แต่ซินญอร์เชื่อว่าอีกฝ่ายอดทนรออยู่ด้านนอกอย่างใจเย็น และไม่มีความคิดจะพังประตูเข้ามา

เพราะปราการชั้นสุดท้ายของอาเดรียแข็งแกร่งแค่ไหน... เอเดรียนรู้ดีที่สุด

"เปิดประตู..." ท่านชายสั่ง "ถ้าแม่ทัพของพวกเจ้าพาเซนทอร์มาฆ่าเผ่าพันธุ์ตัวเองได้ก็จงให้เขาทำ"

"ท่านชาย...!"

ประโยคที่ออกจากปากของผู้นำทำให้ทุกคนในที่นั้นเบิกตาขึ้นด้วยความตกตะลึง "ท่านชาย... แต่ว่า... พวกคัสนาห์ด้านนอก!" พลทหารมั่นใจว่าเสียงของกองทัพคัสนาห์ที่ประจำอยู่ด้านนอกเงียบไปแล้ว และคงถูกพวกเซนทอร์เข่นฆ่าจนหมดสิ้นอย่างไม่ต้องสงสัย "ท่านชาย... แม่ทัพเอเดรียนจะสามารถ..."

"ข้าสั่งให้เปิดประตู!" ร่างสูงตวาด

"เอเดรียน ฟลินทรัสต์!! นี่เจ้านำหายนะมาสู่บ้านเมืองตัวเองหรืออย่างไร!"

มนุษย์ที่ไม่ใช่ชนชั้นขุนนางมักไม่มีนามสกุล ดังนั้นพลทหารจึงเข้าใจว่าแม่ทัพของพวกเขาเป็นคนธรรมดามาโดยตลอด แต่เมื่อผู้นำอาณาจักรเรียกขานสกุลอีกฝ่าย มันก็เป็นเรื่องน่าตกใจยิ่งกว่าการที่เอเดรียนพาเซนทอร์มาบุกถึงอาเดรีย

เพราะตระกูลฟลินทรัสต์คือตระกูลที่เคยมีอิทธิพลมากในอดีต

...และตอนนี้ก็เป็นตระกูลที่คอยปกป้องพวกโจรสลัดด้วย

กลอนหนักๆหลายตัวค่อยๆถอดถอน และโซ่ใหญ่ก็ดึงบานประตูเลื่อนเปิดช้าๆ เบื้องหน้าของกองทัพอาเดรียในตอนนี้กำลังเผชิญหน้ากับคนครึ่งม้า และผู้นำทัพของตัวเอง เอเดรียนสูดลมหายใจลึกเมื่อเห็นท่านชายของตนดึงม้ามาหยุดด้านหน้ากองทัพ และลูกทัพที่จับอาวุธเตรียมพร้อม แม้ว่าสีหน้าของพลทหารจะไม่สู้ดีเอาเสียเลยก็ตาม

พวกเซนทอร์ยอมหยุดอยู่เบื้องหลัง ขณะมองแม่ทัพใหญ่ลงจากหลังม้าของตน และเดินตรงไปหาผู้นำอาณาจักรโดยปราศจากอาวุธติดตัว ซินญอร์มองอีกฝ่ายด้วยสายตาสงบนิ่ง และเลื่อนสายตาขึ้นมองอมนุษย์ครึ่งม้าเบื้องหน้า มองความรู้สึกชิงชังที่อยู่ในสายตาของพวกเขา แล้วจึงกลับมาสนใจคนตรงหน้าดังเดิม

"เจ้าทำอะไร เอเดรียน..." ประโยคที่ดูใจเย็นผิดปกติทำให้เอเดรียนรู้สึกเหมือนกำลังถูกสอบสวนจากญาติผู้ใหญ่ก็ไม่ปาน "เจ้าปกป้องอาเดรียด้วยการยกทัพจากต่างเมืองมารุกรานบ้านเมืองตนเองหรือไร"

"เจ้าคิดว่าฆ่าข้าแล้วพวกธีสธรัลจะยอมล่าถอย ไม่ไล่ต้อนเราอีกต่อไปหรือไร"

เอเดรียนเงยหน้าขึ้นมองร่างบนหลังม้า ใบหน้าของท่านชายในตอนนี้เป็นสิ่งที่เขาไม่ต้องการจะมองมากที่สุด เพราะยิ่งเห็นก็ยิ่งรู้สึกผิดเสียจนเจ็บแปลบไปทั้งอก แต่อย่างไรเขาก็ต้องอธิบาย เพื่อให้สิ่งที่เขากลัวที่สุดไม่เกิดขึ้น "ข้าไม่ได้ทำเพื่อเอาอกเอาใจธีสธรัล..." นัยน์ตาสีเข้มส่ายไหวเล็กน้อยขณะเสียงสั่นพูดต่อ "แต่ข้าทำเพื่ออาเดรีย"

"..." ซินญอร์ไม่ตอบคำ แต่ฟังการอธิบายของอีกฝ่ายต่อ

"ราชินีไวลด์ให้สัญญากับข้า หากข้าขึ้นเป็นผู้นำอาเดรีย นางจะยอมล่าถอย" แม่ทัพใหญ่ว่า "ท่านชายซินญอร์... หนีไปเถอะ" คำที่ออกจากปากเอเดรียนทำให้ผู้นำอาณาจักรประหลาดใจอยู่บ้าง เขาก้มลงมองคู่สนทนาที่มีตำแหน่งเป็นถึงผู้นำทัพ ทว่ากลับเป็นคนใจอ่อนไม่เด็ดขาดไม่เคยเปลี่ยน

"ข้าเอาชีวิตท่านไม่ได้... แต่ข้าต้องใช้อำนาจของท่าน"

"เจ้าควรจะฆ่าข้า ตามประเพณีของการล้มล้างราชบัลลังก์" ซินญอร์ตอบเสียงเย็น "ถ้าเจ้าคิดแบบนั้นได้ตั้งแต่แรก ข้าคงไม่ต้องเสียเวลาเอาตัวเองมาเดิมพันเช่นนี้" ชายหนุ่มพูดเรียบๆ "จงฆ่าข้าให้แล้วมันเป็นตราบาปในใจเจ้าต่อไปเถอะ ต้องเป็นเช่นนี้เท่านั้น... เจ้าจึงจะปกป้องอาเดรียได้ดีกว่าใคร"

"ท่านชาย...!"

"ข้าให้เจ้าไปเจรจากับแอสทารอธ เจ้าทำให้ข้าผิดหวัง... เจ้าในฐานะขุนนางที่จงรักภักดีต่ออาณาจักรที่สุดกลับไม่สามารถแก้ปัญหาให้อาณาจักรได้" ร่างบนหลังม้าตำหนิ "เจ้าไม่สามารถเจรจาเพื่อให้ได้คำตอบว่าแอสทารอธต้องการอะไรเป็นสิ่งแลกเปลี่ยนเพราะเจ้าไม่มีความกล้ามากพอ ไม่สามารถตัดสินใจได้ดีพอ ดังนั้น... ถ้าให้พวกมันต้องการชีวิตข้าคงจะง่ายกว่ารอเจ้า"

เอเดรียนเบิกตาขึ้นเมื่อได้ยินเช่นนั้น เรื่องราวในหัวค่อยๆปะติดปะต่อทีละน้อยและสิ่งที่เขาคิดไม่ถึงมาก่อนก็ผุดขึ้นมาในหัว "ข้าคิดเช่นนี้ได้เมื่อหัวหน้าพรานจับเซนทอร์ของเจ้ากลับมา... ในเมื่อเจ้าหาสิ่งที่แอสทารอธต้องการไม่ได้ ข้าก็คงต้องทำแบบนี้" เอเดรียนอ้าปากค้างและส่ายหัวอย่างไม่อยากเชื่อหู ตลอดเวลาที่ผ่านมา สาเหตุที่ท่านชายผู้นำของเขาดูไร้เหตุผลและเสียสติ ก็เพื่อสร้างความเกลียดชังให้เขา เพื่อให้เขาอดรนทนไม่ได้จนต้องหันหลังให้ และหักใจทำแบบนี้น่ะหรือ

"และที่ข้าไม่เจรจากับธีสธรัล เพราะยิ่งเจรจาไป พวกมันก็มีแต่จะเอาเปรียบ..."

"ท่านถึงได้ดึงดันที่จะติดต่อแอสทารอธ แม้ว่าจะทำให้พวกเขาเกลียดชังอย่างนั้นหรือ"

"เซนทอร์อ่านไม่ยาก... เจ้าคบกับพวกมันไม่รู้เลยหรือไร เผ่าพันธุ์นี้ตรงไปตรงมาและซื่อสัตย์ เจ้าควรเลือกผูกมิตรกับแอสทารอธมากกว่าธีสธรัล" ซินญอร์เหลือบมองครึ่งม้าที่ยังยืนอยู่เบื้องหน้าอย่างเป็นระเบียบแลละอดทน "เอเดรียน... ลงมือเสีย"

คำสั่งแบบนี้เท่านั้นที่บีบหัวใจของผู้ใต้บัญชาที่สุด... สิ่งที่น่าตกตะลึงยิ่งกว่าการที่แม่ทัพใหญ่เป็นฝ่ายก่อกบฎ นั่นคือเจตนาของผู้นำอาณาจักรที่บีบให้เอเดรียนทำเช่นนี้แต่แรก "เจ้าก็รู้... เรื่องนี้ไม่มีทางจบหากข้ายังเป็นผู้นำ แต่ข้าลงจากตำแหน่งไม่ได้หากยังมีลมหายใจ"

"ข้าขอให้ท่านหนีไป... กลับไปยังคัสนาห์ก็ได้ อย่าบังคับให้ข้าลงมือเช่นนี้!"

ซินญอร์เหยียดมุมปากขึ้นอย่างนึกสมเพช "เจ้ามันอ่อนแอ... หากข้าร้องขอสิ่งนี้กับน้องชายเจ้า เขาคงตัดสินใจง่ายกว่า" ร่างบนหลังม้าชักดาบออกจากฝัก การกระทำนั้นทำให้เหล่าเซนทอร์หยิบอาวุธมาเตรียมพร้อม โดยไม่สนใจว่าเอเดรียนจะเคยขอให้เว้นชีวิตทหารอาเดรียอย่างไร "ถ้าเจ้าไม่รีบ... ข้าจะสู้กับพวกเซนทอร์ และเจ้าคงรู้ดีว่าอัศวินเหล่านั้นเด็ดขาดกับศัตรูอย่างไร"

เอเดรียนหันกลับไปมองอมนุษย์เบื้องหลังตน และเห็นเซนทอร์สีขาวปลอดก้าวมายืนเบื้องหน้าคนของตนแล้ว แม่ทัพหญิงแห่งแอสทารอธมีชื่อเสียงในเรื่องของความดุเดือดและเด็ดขาด ดังนั้นหากท่านชายซินญอร์สั่งโจมตี พลทหารเบื้องหน้าของเขาทั้งหมดนี้อาจต้องตาย

...ทำไมจะต้องทำถึงขนาดนี้ด้วย ท่านชาย

"ถ้าข้าลงมือ ข้าคงไม่ให้อภัยตัวเองไปตลอดชีวิต"

"ก็จงจมอยู่กับความผิดนั้นไปให้ตลอด..." ท่านชายย้ำ "โทษฐานที่เจ้าทำให้ข้าผิดหวังอย่างที่สุด"

เอเดรียนยืนนิ่งอยู่ตรงนั้นด้วยไม่สามารถตัดสินใจได้ บุคคลตรงหน้ามีบุญคุณกับเขามากจนเกินไป อีกฝ่ายเอ็นดูเขา และคอยช่วยเหลือเขามาตลอด ในเหตุการณ์ครั้งนี้อีกฝ่ายก็มีเจตนาทำเพื่อเขา แล้วจะให้เขาหันอาวุธให้ผู้นำของตนได้อย่างไร ...เขาจะมอบความตายให้คนที่เป็นเหมือนพี่ชายตัวเองได้อย่างไร

--------------------------------------------------
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 23-01-2017 07:18:51 โดย khaosap »

ออฟไลน์ khaosap

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 165
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
    • Khaosap Writing
Re: ASTAROTH พันธนาการดวงดาว ตอนที่ 28.2
«ตอบ #106 เมื่อ21-01-2017 22:38:22 »

ตอนที่ 28.2

เด็กหนุ่มตรงหน้าแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าที่ดูมีราคาทว่ากลับเปรอะเปื้อนไปด้วยฝุ่นและโคลน ทั้งผมเผ้าที่น่าจะเคยเรียบบัดนี้ก็ยุ่งเหยิงไม่เป็นทรง รูปหน้าที่บ่งบอกถึงชาติตระกูลมีรอยช้ำเขียวตามโหนกแก้มและขมับ ลายมือที่เป็นระเบียบสวยบรรจงยิ่งกว่าขุนนางหลายคนในอาณาจักรบอกได้ดียิ่งกว่าอะไรว่าอีกฝ่ายมีฐานะแค่ไหน วัยของอีกฝ่ายไม่น่าจะเกินสิบห้า ทว่าดวงตากลับเศร้าหมอง และทรมานราวกับสูญเสียสิ่งสำคัญไปจากชีวิต ท่านชายซินญอร์แห่งอาเดรียก้มอ่านใบสมัครองครักษ์ติดตามในมืออีกครั้งแล้วจึงเงยหน้าขึ้นพิจารณาเจ้าของลายมืออีกที

"เอเดรียน... รึ"

ท่านชายหนุ่มในวัยสิบแปดปีขมวดคิ้วอีกครั้ง โดยปกติแล้วใบสมัครเหล่านี้จะถูกกรอกโดยเลขาของอาณาจักรธีสธรัลที่ถูกส่งมาช่วยงานและดูแลเขาอย่างใกล้ชิด ทว่าเด็กหนุ่มตรงหน้าเขากลับเขียนทุกอย่างด้วยตนเอง ซ้ำยังเป็นการเขียนที่เป็นระเบียบอย่างน่าตกใจ

"เจ้าไม่มีสกุลหรือไร"

"ไม่มี... ขอรับ" อีกฝ่ายตอบหนักแน่น แต่มีหรือที่ซินญอร์จะไม่เห็นความเศร้าหมองที่ฉายอยู่ในแววตาสีเข้มคู่นั้น แต่ถึงอย่างนั้นนี่ก็อาจไม่ใช่เรื่องที่เขาต้องสนใจ เพราะสิ่งสำคัญคือเขาต้องการหน่วยอารักขาที่จงรักภักดี บางทีหากได้คนที่ไม่มีครอบครัวให้ห่วงใยก็อาจเป็นการดี "ข้าเป็นลูกพ่อค้าธรรมดาๆในตลาด"

และเอเดรียนผู้นี้โกหกไม่เป็นเอาเสียเลย... ซินญอร์เลิกคิ้วขำๆ

จะมีลูกพ่อค้าธรรมดาที่ไหนอ่านออกเขียนได้เช่นนี้ พ่อค้าที่มีอายุมากบางคนยังทำได้แค่บวกราคาสินค้าเท่านั้น แต่ก็อ่านหนังสือกันไม่ออกอยู่มากมาย "อืม แล้วเจ้า... อายุสิบขวบรึ!" ซินญอร์เดาว่าอีกฝ่ายน่าจะสักสิบสามหรือสิบห้าจากใบหน้าที่สุขุมจริงจัง ดังนั้นจึงประหลาดใจไม่น้อยที่เห็นตัวเลขสิบขวบอยู่บนใบสมัคร

"..." เจ้าเด็กเอเดรียนไม่ตอบคำ ได้แต่ก้มหน้านิ่งและสร้างบรรยากาศกดดันขึ้นมาอย่างนั้น

"เจ้าถนัดอะไรล่ะ หืม... เคยใช้ดาบหรือไม่ หรือว่ายิงธนู หอก หรือขวาน"

"ข้ายิงป..." เด็กหนุ่มอ้าปากตอบ แต่ก็ชะงักไปกลางครัน ก่อนจะกำมือทั้งสองของตนแน่น "ข้าถนัดธนูขอรับ" ซินญอร์คิดว่าตอนนี้คงไม่เหมาะสมนักที่จะซักไซ้ไถ่ถามเรื่องส่วนตัวของอีกฝ่าย เนื่องจากนี้ไม่ใช่สถานที่ส่วนตัวนัก อันที่จริงก็แทบไม่มีสถานที่ใดเป็นส่วนตัวของเขาเลย เพราะเขาถูกจับตามองอยู่แทบทุกฝีก้าว แทบทุกการกระทำ และแทบทุกคำพูด เขาต้องอยู่ใต้การควบคุมของกษัตริย์แห่งธีสธรัล เพราะเขาคือผู้นำที่เป็นได้แค่หุ่นเชิด

...ดังนั้นเขาจึงอยากมีเพื่อนที่ไว้ใจได้บ้าง ในภาวะที่พึ่งใครไม่ได้เช่นนี้

"เจ้ารู้ใช่ไหมว่าหน่วยอารักขาจะต้องอยู่กับข้าตลอด และคงไม่ได้กลับบ้านอีกนาน"

"ข้าไม่มีบ้านให้กลับขอรับ"

ท่านชายแห่งอาเดรียเลิกคิ้วน้อยๆกับคำตอบแรงกล้าของคู่สนทนา เขาเหลือบตามองเลขาของธีสธรัลที่ยืนฟังการสนทนาอยู่ใกล้ๆและคิดว่าควรจะปิดการสนทนาเพียงเท่านี้ก่อน "อาเดรียเป็นบ้านของเจ้าเสมอ เอเดรียน"

"ข้าจะภักดีต่ออาเดรียอย่างแน่นอนขอรับ"

.

ดีแล้ว... ไม่ต้องภักดีต่อข้า แต่ขอให้รักอาเดรียก็พอ


--------------------------------------------------

มันมาถึงขนาดนี้แล้ว... อย่ารีรออีกเลย เอเดรียน

ซินญอร์กำดาบในมือแน่น ละสายตาจากแม่ทัพคนสนิทไปยังกองทัพเบื้องหลังแทน และท่ามกลางความสับสนลังเลทั้งของทหารอาเดรีย และแม่ทัพใหญ่ ท่านชายก็กระตุกบังเหียนพาม้าของตนกระโจนผ่านร่าสูงและพุ่งเข้าหากองทัพครึ่งม้าตรงหน้า

"ท่านชาย...!!"

แม่ทัพหญิงเข่นเขี้ยวและชักดาบของนางออกอย่างรวดเร็วเสียจนมองแทบไม่ทัน และแน่นอนว่าเซนทอร์สาวก็เป็นคนแรกที่ตอบรับการโจมตี ขาหน้าก็ยกขึ้นตะกุยกายกลางอากาศ ก่อนที่กีบใหญ่กระแทกกับพื้นหิน ทั้งสองพุ่งเข้าหากันในจังหวะที่ทุกคนกลั้นหายใจ และสิ่งที่เกิดขึ้นต่อมาก็คือเสียงดาบฟาดฟันเข้าหากันอย่างรุนแรง

...เคร้ง!

"ท่านชาย!" เอเดรียนหมุนตัวกลับ เขาทันเห็นม้าสองตัวยกขึ้นตะกุยขาใส่กัน และร่างเบื้องบนที่จ้วงทึ้งดาบเข้าหากันอย่างไม่มีใครยอมใคร แม่ทัพใหญ่วิ่งกลับไปที่ม้าของตนในอึดใจนั้น โดยมีความคิดที่จะหยุดห้ามการต่อสู้ เขายังต้องการให้ซินญอร์หนี เขายังต้องการให้ผู้มีพระคุณมีชีวิตต่อไป แม้ว่าคนที่สู้กับแม่ทัพหญิงจะต้องพ่ายแพ้เสียทุกทีก็ตาม

"โมนา!!"

ซาฮาลตะโกนห้าม แม้ว่าเขาจะไม่เคยชื่นชอบมนุษย์ แต่เมื่อได้ฟังคำของผู้นำอาเดรียแล้ว เซนทอร์หนุ่มก็ไม่คิดว่าอีกฝ่ายสมควรต้องตาย... เพราะซินญอร์เอาชีวิตตัวเองเข้าเสี่ยงเพื่อบังคับให้คนที่จงรักภักดีที่สุดแข็งแกร่งขึ้นต่างหาก เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องที่เซนทอร์จะต้องเข้าไปยุ่งย่ามด้วย นี่ไม่ใช่เรื่องที่ถูกต้องเลยสักนิดที่โมนาจะเป็นผู้ลงมือ

ม้าของซินญอร์มีขนาดใหญ่พอที่จะกระแทกให้แม่ทัพหญิงเสียหลักได้ มันกระโจนทุ่มร่างเข้าใส่เซนทอร์สีขาวอย่างรุนแรง จังหวะเดียวกับที่ร่างบนหลังฟาดฟันดาบลงอีกครั้งด้วยพละกำลังทั้งหมดที่รวบรวมได้ แรงปะทะที่เกิดขึ้นจึงทำให้เซนทอร์หญิงเอนร่างล้มกระแทกพื้นอย่างแรง

โครม!!

"อั่ก...!!"

ความว่องไวของนางนับเป็นจุดเด่น แม่ทัพหญิงหยัดกายขึ้นลุกอย่างรวดเร็ว ก่อนที่กีบเท้าของม้าจะกระทืบลงในจุดที่นางเคยเพลี่ยงพล้ำ หญิงสาวหมุนดาบในมือ และฟันเข้าใส่อย่างแรงโดยไม่สนใจเป้าหมาย

เคร้ง...!!

คนที่เข้ามารับดาบนั้นแทนคู่ต่อสู้คือแม่ทัพอาเดรียที่อยู่บนหลังม้า เอเดรียนยกดาบของตนด้วยมือซ้าย กีดกันเจตนาของมันให้ออกห่างผู้นำอาเดรีย ขณะที่มือขวาก็ถืออาวุธคู่ใจเอาไว้มั่น และหันปลายกระบอกปืนคาบศิลาเข้าจ่อที่อกของนาง

"อย่าแตะต้องผู้นำของข้า ท่านแม่ทัพ"

โมนาค่อยๆลดดาบลงอย่างเสียไม่ได้ อย่างน้อยนางก็ไม่วู่วามจนเป็นเรื่อง เพราะหากเอเดรียนลั่นอาวุธใส่นาง คงจะเกิดสงครามขึ้นจริงๆระหว่างแอสทารอธกับอาเดรีย "เจ้าลงทุนเขียนสัญญาฉบับนั้นให้เซนทอร์เพื่อให้ได้มาซึ่งวันนี้... และเปลี่ยนเจตนาในอึดใจสุดท้ายหรืออย่างไร แม่ทัพใหญ่" หญิงสาวถลึงตามองคนตรงหน้า เอเดรียนยังไม่ลดมือลงแม้แต่น้อยอีกทั้งยังวางนิ้วบนไกปืนอีกด้วย

"เจตนาของข้ายังเหมือนเดิม..." เอเดรียนตอบ "เพียงแต่เจ้าไม่มีสิทธิ์จะตัดสินแทนข้า"

ทุกคนในที่นั้นกลั้นใจ ทั้งเซนทอร์ที่เป็นห่วงแม่ทัพของคน ทั้งมนุษย์ที่ตกตะลึงในเหตุการณ์ตรงหน้า กระทั่งท่านชายซินญอร์เองที่ไม่แน่ใจว่าเอเดรียนคิดจะทำอะไร ...ต่อให้อีกฝ่ายใจอ่อนแค่ไหน แต่เขามั่นใจว่าเอเดรียนสามารถฆ่าตัวเองได้หากอีกฝ่ายต้องการ

และเอเดรียนก็มีแรงมากพอที่จะทำเช่นนั้นอีกด้วย

"นึกถึงเซนทอร์ของเจ้า... นึกให้ดีว่าเจ้ามาถึงจุดนี้เพื่ออะไร" ท่านชายว่า "เจ้ารักใคร... เจ้าเป็นเช่นนี้เสมอ เอเดรียน เจ้าไม่ใช่คนอ่านยากเลยสักนิด" แม่ทัพหนุ่มไม่ตอบคำ เขาฟังเสียงปืนใหญ่ที่ดังต่อเนื่องอยู่ในสงครามกลางทะเล ฟังเสียงนกที่แตกตื่น และได้กลิ่นดินปืนเหม็นคลุ้ง เอเรสเปิดฉากต่อสู้กลางทะเลโดยไม่ปริปากบ่น ทั้งหมดนี้เพื่อซื้อเวลาให้เขาได้จบสิ้นทุกอย่างกับผู้นำอาเดรีย

แต่ท่านชายซินญอร์ก็เป็นผู้มีพระคุณ... เป็นเสมือนพี่ชาย และพ่อที่เอ็นดูเขามาโดยตลอด

มือที่ถืออาวุธค่อยๆละปลายกระบอกจากอกอวบอูมของเซนทอร์หญิง และหันไปหาคนที่อยู่ด้านหลังอย่างยากลำบาก เอเดรียนไม่หันมองอีกฝ่าย เขาไม่ต้องการเห็นแววตาของซินญอร์ เขาไม่ต้องการรับรู้อะไรทั้งนั้น ไม่ต้องการเล็งที่เป้าหมาย และไม่ได้อยากรู้ตัวเลยสักนิดว่ากำลังจะทำอะไร

"เพื่ออาเดรีย..."

.

.

.

...เปรี้ยง!

ฝูงนกแตกฮือเมื่อเสียงแหวกอากาศดังขึ้น และความเงียบก็ปกคลุมทั่วทั้งอาณาจักรอาเดรีย ทุกการเคลื่อนไหวหยุดนิ่งราวกับอยู่ในภวังค์ ทุกสายตามองตรงไปที่จุดเดียวกัน จุดที่ลูกปืนแล่นออกจากปากกระบอก และทิ้งไว้เพียงควันกับกลิ่นไหม้ ท่านชายซินญอร์เองก็มองที่จุดนั้นเช่นกัน ก่อนจะยกริมฝีปากขึ้นยิ้มจางๆ ร่างสูงสูดลมหายใจเข้าสั้นๆ ก่อนจะหลับตาลงสู่ความมืดมิด

สิ่งที่เด็กสิบขวบคนนั้นต้องการบอก...

นั่นคือเขาสามารถยิงปืนได้แม่นยำแม้ได้ยินเพียงแค่ลมหายใจของเป้าหมาย

--------------------------------------------------
---------- TO BE CONTINUE ----------


 :hao7: :hao7: :hao7: :hao7: :hao7:
//นักเขียนเสียสติ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 22-01-2017 19:16:12 โดย khaosap »

ออฟไลน์ khaosap

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 165
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
    • Khaosap Writing
Re: ASTAROTH พันธนาการดวงดาว ตอนที่ 29.1
«ตอบ #107 เมื่อ23-01-2017 13:22:42 »

ตอนที่ 29.1

กองทัพธีสธรัลเป็นฝ่ายยอมล่าถอยในที่สุดหลังจากถูกโจรสลัดโจมตีเรือสนับสนุนจนจมลงก้นทะเลไปถึงแปดลำโดยที่พวกเขาไม่สามารถตอบโต้อะไรได้เลยเนื่องจากอุปสรรคทางการสื่อสาร อีกทั้งยังถูกปล้นเสบียงและเงินทองไปอีกด้วย ซึ่งแน่นอนว่าสิ่งนี้สร้างความขุ่นเคืองให้มหาอำนาจอย่างธีสธรัลอย่างที่สุด แต่ราชินีไวลด์ก็รู้ดีว่านางควรจะถอยไปตั้งหลักก่อน

"ส่งข่าวไปยังสายสืบของเรา ให้รายงานสถานการณ์ในอาเดรียกลับมาวันต่อวัน"

ดวงตาเรียวตวัดมองชายฝั่งเป็นครั้งสุดท้ายด้วยความขุ่นเคืองก่อนจะหมุนตัวเดินกลับเข้าไปในห้องพักใต้ท้องเรือ "ถอยทัพ!" การล่าถอยครั้งนี้อาจทำให้นางเสียหน้าครั้งยิ่งใหญ่ แต่หญิงสาวก็คิดว่านางยอมให้เป็นเช่นนั้นดีกว่าจะต้องสูญเสียทรัพย์สมบัติที่มีอยู่จำกัดของธีสธรัลไปอีก ความพ่ายแพ้ครั้งนี้สอนผู้นำอาณาจักรในเรื่องหนึ่ง นั่นคือความกระหายในชัยชนะอย่างหน้ามืดตามัวของนาง หากนางไม่ดึงดันที่จะส่งเรือเร็วเข้าไปบุกอ่าวอาเดรียจนเรือสนับสนุนถูกทิ้งอยู่เบื้องหลัง เรือโจรสลัดลำใดบ้างจะกล้าบุกเข้ามาปล้นกองทัพเวเรนเซียอย่างอุกอาจเช่นนี้

"วุ่นวายจริงๆ"

ราชินีเก็บดาบลงฝัก ทว่าก่อนที่นางจะปิดประตูห้องพัก เหยี่ยวสื่อสารตัวหนึ่งก็โผบินเข้ามาหาและเกาะเข้าที่ราวบันไดพร้อมกับส่งเสียงดังลั่นราวกับร้องเรียกราชินี "พระนาง... เหยี่ยวเทาสื่อสารของไอย์ชวลขอรับ" คนสนิทของผู้นำรายงาน พร้อมกับยกแขนให้เหยี่ยวตัวเขื่องเกาะแทนราวบันได มันเปลี่ยนที่ยืนสักพักหนึ่งแล้วจึงยื่นขาที่ผูกกระบอกใส่สารอันเล็กๆให้

"ไอย์ชวลรึ... ป่านนี้ส่งข่าวอะไรมากัน"

เมื่อพูดถึงเมืองที่เป็นพันธมิตร ราชินีก็ดูจะสดชื่นขึ้นเล็กน้อย เพราะนั่นหมายความว่าลูกพี่ลูกน้องของนางส่งข่าวบางอย่างมา ซึ่งมันอาจจะเป็นเรื่องน่ายินดีสักเรื่องหนึ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้ หญิงสาวรับม้วนกระดาษเล็กๆมาดูและคลี่ออกอ่านก่อนจะเบิกตาขึ้นด้วยความตกใจกับเนื้อความ

'สัญญาของธีสธรัลต่ออาเดรียส่งถึงไอย์ชวลแล้ว'

ลักษณะลายมือที่ติดไปในทางหวัด และห้วนสั้นบอกคนอ่านได้ว่านี่ไม่ใช่สารเป็นทางการนัก แต่มันคือการรายงานอย่างรีบร้อนจากหัวหน้าหน่วยลาดตระเวนของไอย์ชวล ซึ่งนั่นก็คือผู้นำพรานป่าที่มีชื่อเสียงที่สุด... คูแรนน์ บลังค์ ผู้นำทัพปราการต้านศัตรู

เอเดรียนไม่ได้ลงนามในสัญญาฉบับนั้นต่อหน้านาง ไวลด์จึงเก็บสิ่งนั้นเอาไว้ในลิ้นชักในห้องทำงานซึ่งอยู่บนเรือคาร์เธียร์ และเมื่อสักครู่นี้ ชายนามเอเรสก็ปรากฎตัวขึ้นพร้อมกับสัญญานั้น อีกทั้งลงชื่อตกลงเรียบร้อยเสร็จสรรพ ในความตั้งใจแรกของราชินี พระนางตั้งใจจะยกเลิกสัญญาด้วยความขุ่นเคืองที่เอเดรียนตัดสินใจช้า แต่หากอาณาจักรพันธมิตรของนางรู้เรื่องนี้เข้าแล้ว แปลว่าเอเรสคงจะได้สัญญาฉบับนั้นไปนานแล้ว

หากคิดจะมากลับคำตอนนี้... นางคงได้ชื่อว่าเป็นกษัตริย์ที่ไม่มีวาจาสัตย์เอาเสียเลย

"ส่งเรือสนับสนุนและเรือเร็วกลับธีสธรัล" ราชินีเปลี่ยนคำสั่ง "ลดธงลง เราจะเข้าไปที่อาเดรีย"

"พระนาง..." คนใต้บัญชางุนงงกับการตัดสินใจกลับไปกลับมา ดังนั้นพวกเขาจึงยังไม่ลงมือทำอะไรจนกว่าจะได้รับคำตอบที่แน่ชัดและแน่นอน "ปราการอาเดรียมีปืนใหญ่ หากเข้าไปใกล้ เราอาจถูกยิงได้ อีกทั้ง..."

"แม่ทัพเอเดรียนขึ้นเป็นผู้นำอาเดรียแล้ว ข้าจะต้องไปเจรจาในฐานะพันธมิตร"

ไวลด์สูดหายใจเข้าลึกๆแล้วถอนออกเพื่อรวบรวมความสุขุมกลับมา "คนที่ชื่อเอเรสนั่น ได้สัญญาของข้าไปนานมากแล้ว และบัดนี้ฉบับที่ถูกคัดลอกก็ส่งถึงอาณาจักรไอย์ชวลเรียบร้อยแล้ว" พระนางกัดฟัน "บัดนี้อาเดรียถือว่าอยู่ในตำแหน่งเจรจาเสมอเรา ดังนั้นข้าจึงต้องไปจัดการเรื่องราวทั้งหมดด้วยตนเอง" เรือเซเลสต์ที่ลอยลำอยู่เบื้องหน้าค่อยๆหันหัวเรือกลับ เช่นเดียวกับกองทัพโจรสลัดที่ล่าถอยหายไปในเส้นขอบฟ้า ทิ้งให้ท้องทะเลกลับสู่ความสงบราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นมาก่อน แม้ว่าผิวน้ำจะยังมีคราบน้ำมันหลงเหลืออยู่ก็ตาม

ราชินีหันไปหาคนสนิท "ข้าเกรงว่าเอเรสผู้นี้จะน่ากลัวกว่าที่คิด"

--------------------------------------------------

แตรแห่งอาเดรียที่มีเสียงแหลมแปลกหูถูกเป่าขึ้นพร้อมกันทั่วทั้งเมืองหลังจากเหตุการณ์กลับเข้าสู่ความสงบ มันเป็นเสียงที่ทำให้ประชาชนที่หลบซ่อนตัวอยู่ภายในห้องโถงใต้ดินของมหาคฤหาสน์คลายความกังวลใจ และโล่งอกหลังจากตกอยู่ในสถานการณ์กดดันมาร่วมวัน แต่ไม่มีใครเลยที่รู้ว่าผู้นำอาณาจักรของพวกเขาถูกโค่นล้มอำนาจลงแล้ว

เอเดรียนยังคงนั่งอยู่บนหลังม้าคู่ใจ นัยน์ตาสีเข้มที่เคยมองไปเบื้องหน้าด้วยความหวังอยู่เสมอหลุบลงมองพื้นนิ่งๆด้วยความว่างเปล่า มือขวาที่ยังไม่ปล่อยมือจากปืนคู่ใจห้อยอยู่ข้างตัว นิ้วที่เคยเหนี่ยวไกปล่อยทิ้งไร้เรี่ยวแรง ร่างกายที่ยังชื้นน้ำทะเลเริ่มรู้สึกหนาวจากลมแรงที่พัดผ่านกาย บาดแผลที่เกิดจากลูกดอกของธีสธรัลยังส่งความรู้สึกเจ็บไปที่สมองเป็นระยะ แต่แม่ทัพหนุ่มไม่มีกะใจแม้แต่จะขยับตัว เขาไม่กล้าหันกลับไปมองสิ่งที่เกิดขึ้นด้วยซ้ำ

ความรู้สึกหนักอึ้งในอกนี้ทำให้เอเดรียนรู้สึกว่าการขยับตัวแม้เพียงนิดมันก็ช่างยากเย็น

"เอเดรียน..." จาเร็ตต์เป็นคนแรกที่เดินเข้ามาหาแม่ทัพใหญ่ อีกฝ่ายลงจากม้าของตนแล้ว และค่อยๆใช้มือลูบหัวอัลธอร์ที่ดูจะตกใจเสียงปืนจนยืนนิ่งแข็งทื่อ "ยังมีเรื่องให้เราจัดการอีกมาก" พวกเซนทอร์เป็นกลุ่มแรกที่ขยับตัวหลังจากเสียงปืนนัดสุดท้ายดังขึ้น พวกเขากระจายกำลังออกไปค้นหาผู้บาดเจ็บ และยกร่างเซนทอร์ที่เสียชีวิตมารวมกันเพื่อนับจำนวนรายงานต่อผู้นำทัพ

"นับจำนวนคนเจ็บกับคนตายมารายงานข้า" เอเดรียนสั่งเสียงแผ่ว "ต้อนรับท่านทูตเธสซาลีย์ด้วย"

ร่างสูงค่อยๆก้าวลงจากหลังม้า และเก็บปืนในมือไว้ที่สายสะพายข้างตัว "ข้าจะไปปลอบขวัญคนในโถงใต้ดิน" จาเร็ตต์ใช้มือของตนยันอกแม่ทัพใหญ่เอาไว้ก่อนมุ่นคิ้วใส่ "หน้านี่นั้นข้าจัดการเอง เจ้าควรจะไปต้อนรับท่านทูตกับท่านราชเลขา... เจ้าเป็นคนฆ่าท่านชายซินญอร์ ชาวเมืองบางคนอาจโกรธแค้น และทำร้ายเจ้าได้"

"แต่นี่เป็นหน้าที่ของผู้นำไม่ใช่รึ"

จาเร็ตต์ส่ายหัว "เจ้ายังไม่ใช่ผู้นำ เอเดรียน... จนกว่าจะมีพิธีแต่งตั้ง"

"จาเร็ตต์..."

คนสนิทผมแดงยิ้มเล็กน้อย "คนรักของเจ้า... จะไม่ไปต้อนรับด้วยตัวเองหน่อยหรือ"

เอเดรียนรู้ดีว่าตัวเองไม่ได้รับเยื่อใยหรือความเอ็นดูจากบุคคลทั้งสองสักเท่าไหร่ แต่นั่นก็ไม่ใช่เหตุผลที่เขาควรนำมาอ้างในการหลีกเลี่ยงการพบหน้า ในเมื่อทั้งสองคนเป็นบิดาและมารดาของเลสธีราห์ เซนทอร์ที่เข้ามาพัวพันกับเรื่องวุ่นวายทั้งหมดนี้เพราะความผูกพันธ์กับเขา "ข้าเพิ่งรู้ว่าเหนือหัวดาเรียสสั่งให้เขาทำลายอาเดรีย แต่เลสธีราห์ขัดคำสั่งนั้น"

จาเร็ตต์เลิกคิ้วขึ้นด้วยความฉงน "แต่ว่าตามประกาศ..."

"ข้าได้ยินราชเลขาพูดเองกับตัว จาเร็ตต์" เอเดรียนว่า "พวกเขาเลือกธีสธรัล แต่เลส..."

...เลสธีราห์เลือกเขา

"ข้าสิเหนื่อย...!" เอเดรียนมองตามเสียงด้วยหางตา เนื่องจากเขาจำได้ดีว่าสำเนียงการพูดที่ติดจะกวนประสาทนิดๆนี้เป็นของใคร แม่ทัพใหญ่ยกมุมปากขึ้นยิ้มจางๆอย่างฝืดฝืนเมื่อเห็นน้องชายของตนกอดอกพิงประตูเมืองราวกับกำลังรอให้พี่ชายหันมาทางตนเสียที "ข้าเป็นคนยื่นประโยชน์ทั้งหมดให้กับแอสทารอธ ทั้งปืนคาบศิลา ทั้งสัญญาน่านน้ำ เพื่อให้เขายืนยันที่จะต่อสู้เพื่อพี่" เอเรสตรงมาหาพี่ชายก่อนจะถอนใจใส่หน้าคนเตี้ยกว่า

"ชมคนอื่นได้เสมอ... ยกเว้นน้องตัวเอง"

ถึงจะว่าอย่างนั้น แต่แล้วน้องชายตัวโตก็ซบหน้าลงกับบ่าคนเป็นพี่ ก่อนจะอ้าแขนออกกอดคนตรงหน้าแน่น "ถ้าพวกเจ้าหนีไปด้วยกันตั้งแต่แรก ข้าคงไม่เหนื่อยขนาดนี้" เสียงของเอเรสมีสำเนียงประท้วง และตัดพ้อ สีหน้าที่อีกฝ่ายเก็บซ่อนเอาไว้กับบ่ากว้างทำให้คำพูดงึมงำอู้อี้มากกว่าเดิม "แต่ถ้าพี่หนีไป ชาตินี้เราคงไม่ได้พบกันอีก"และอาการเช่นนี้เองที่ทำให้เอเดรียนพอจะยิ้มออกจริงๆบ้าง

"เด็กนี่..." พี่ชายตบแผ่นหลังอีกฝ่ายแรงๆสองสามครั้ง แล้วจึงขยี้หัวซ้ำอย่างสนิทสนม

เอเรสไม่ถือสาคำเรียกที่ทำให้เขารู้สึกว่าตนเองเป็นเด็ก ซ้ำยังกอดเอวพี่ชายเสียแน่นราวกับตนเป็นน้องเล็กนักหนา "จะไม่พูดอะไรกับข้าหน่อยเหรอ จะไม่ถามว่าข้าบาดเจ็บตรงไหนเลยเหรอ..." อีกฝ่ายยังคงตัดพ้องึมงำอยู่กับพี่ชาย "...ทั้งที่ข้าทำเพื่อพี่ทั้งนั้น"

ที่เขาเข้ามายุ่งเรื่องการปกครองอันแสนวุ่นวายของอาเดรีย

ที่เขาเสียสละสิ่งที่เป็นของตัวเองในการเจรจากับแอสทารอธ

...ก็เพื่อพี่ชายของเขา เอเดรียน ฟลินทรัสต์ทั้งนั้น

เอเดรียนสูดหายใจเข้าลึกๆก่อนจะกอดอีกฝ่ายตอบ "ขอบใจมาก เอเรส" เขาเพิ่งรู้เมื่อครู่นี้ว่าการที่ตนเองมาจนถึงจุดนี้ได้ก็ด้วยความปรารถนาของท่านชายซินญอร์ อีกฝ่ายต้องการผลักันให้เขาเป็นผู้นำของอาเดรีย และทำให้เขาแข็งแกร่งขึ้นในทุกวิถีทางที่เป็นไปได้ ซึ่งแน่นอนว่าการที่เอเรสยอมยื่นมือเข้าช่วยในครั้งนี้ก็เพราะซินญอร์เสนอโอกาสที่เขาจะได้พบพี่ชายอีกครั้ง...

"แค่ขอบใจเหรอ!"

เอเรสโวยก่อนจะปล่อยมือและยืดตัวขึ้นจนความสูงเลยคนเป็นพี่ "เจ้านี่มัน...!" เอเรสปัดมือผ่านหางตาตัวเองครั้งหนึ่งโดยไม่ให้ใครสังเกตเห็นว่านั่นเป็นการปาดน้ำตา แต่มีหรือที่คนเป็นพี่แท้ๆจะไม่รู้ แต่เขาก็ได้แต่วางมือลงบนหัวคนตัวโตกกว่าด้วยความเอ็นดู

"ทำดีมาก และต่อไปนี้ข้าคงต้องการความช่วยเหลือจากเจ้าแล้ว... แม่ทัพคนใหม่"

เอเรสปั้นหน้างอครู่หนึ่งแล้วเสียงแข็งตอบ "คิดว่าข้าจะปล่อยตำแหน่งนั้นให้หลุดมือไปเหรอ!"

--------------------------------------------------

ออฟไลน์ khaosap

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 165
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
    • Khaosap Writing
Re: ASTAROTH พันธนาการดวงดาว ตอนที่ 29.2
«ตอบ #108 เมื่อ24-01-2017 09:53:04 »

ตอนที่ 29.2

เลสธีราห์ยังไม่ลงจากเรือเซเลสต์ เขายังเดินสำรวจความเสียหายโดยรอบอย่างละเอียด และคำนวนเวลาที่ต้องบูรณะซ่อมแซมเรือเก่าอันเป็นตำนานลำนี้ เขาคงจะคืนเรือเซเลสต์ให้แอสทารอธ เพราะมันคือเรือรบที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเซนทอร์ เขาคงพรากมันไปจากแอสทารอธไม่ได้ แม้ว่าเหนือหัวดาเรียสจะพูดกลายๆเสมือนยกมันให้แล้วก็ตาม

การศึกครั้งนี้เหมือนไม่ได้พิสูจน์อะไรในตัวเขาเลย...

เลสธีราห์ไม่คิดว่าตนคู่ควรจะเป็นกัปตันของเซเลสต์ด้วยซ้ำ

นิ้วเรียวลูบไปตามกราบเรือที่แตกหักเสมือนเป็นบาดแผลอันเกิดจากแรงระเบิดของปืนใหญ่ ใบเรือขาดวิ่นเบื้องบนปลิวไหวกลายๆตามแรงลมอ่อนๆ ยังโชคดีนักที่เสากลางยังแข็งแรงไม่ได้รับอันตรายใดๆ ในประวัติศาสตร์ร้อยปีของเรือรบเซเลสต์นี้ มันถูกซ่อมแซมหลายครั้ง เพราะทุกสงครามทางทะเลของแอสทารอธ เซเลสต์จะมีบทบาทเสมอ แต่เลสธีราห์อาจเป็นกัปตันเรือเซเลสต์คนแรกที่พาเรือรบในตำนานดำลงใต้ทะเลและผุดผงาดกลับขึ้นมาสู่ชัยชนะอย่างสวยงาม

จากการกระทำนั้นทำให้เรือไม้ที่ไม่ได้ถูกออกแบบมาให้ทานทนต่อแรงกดอัดใต้ทะเลได้รับความเสียหายมากกว่าที่ควรจะเป็น แต่นั่นก็เป็นวิธีการสู้รบของเลสธีราห์ และยังเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้เซนทอร์ครึ่งเอลฟ์คิดว่าตัวเองคือคนที่ทำลายตำนานอันยิ่งใหญ่ของเซเลสต์

แม้ชัยชนะของเลสธีราห์มักจะแลกมาด้วยชื่อเสียง ทำให้ไม่มีใครกล้าต่อกรกับแอสทารอธก็ตาม

ตอนนี้เขาควรจะคืนเซเลสต์ให้บ้านเมือง และปลีกตัวเองออกไปจากเมืองเซนทอร์

"เลสธีราห์..." ลีอาห์เรียกบุตรชาย นางคืนร่างกลับเป็นนุษย์ดังเดิมและเดินเข้ามายืนเคียงข้างอีกฝ่ายก่อนจะเอียงหน้าแหงนขึ้นมองคู่สนทนา "ลูกจะทำอย่างไรต่อไป" จะเรียกว่าแอสทารอธเป็นฝ่ายได้รับชัยชนะก็คงจะไม่ถูกเสียทีเดียว เพราะหากไม่ได้รับความร่วมมือจากเธสซาลีย์ ป่านนี้พวกเขาก็คงจะยังสู้รบกันต่อไปอย่างไม่รู้ชะตากรรม

ข้อแม้ของเหนือดาเรียสนั่นคือเลสธีราห์จะต้องเป็นผู้ชนะอย่างเด็ดขาด

...ถึงนั่นจะเป็นการเปิดโอกาสให้ลูกได้พิสูจน์ตัวเอง แต่คนเป็นมารดาอย่างลีอาห์นั้นไม่สามารถทนมองได้ นางยอมให้บุตรชายถูกเนรเทศออกจากเมืองเลยจะดีกว่าทนมองอีกฝ่ายตายไปต่อหน้าต่อตาโดยที่ตนเองไม่ได้ทำอะไร อย่างน้อยบิดาของเลสธีราห์ก็เป็นเอลฟ์ เขายังเป็นส่วนหนึ่งของตระกูลบลังค์ที่ยิ่งใหญ่และมีอำนาจในเธสซาลีย์ ...เลสธีราห์สามารถกลับไปพำนักกับบิดาได้ที่แผ่นดินตะวันออก

"ข้าขัดคำสั่งของเหนือหัว คำตัดสินก็คงแน่ชัดอยู่แล้ว"

"เช่นนั้นก็กลับไปกับพ่อของเจ้า... เจ้าเป็นคนของตระกูลบลังค์"

เลสธีราห์เข้าใจความห่วงใยของมรดา และเข้าใจว่านางเจ็บปวดมากแค่ไหนที่จะต้องเอ่ยคำนั้นออกมา เขาอยู่กับลีอาห์มาตลอด มาจนถึงตอนนี้จะต้องปลีกตัวออกไปนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเอาเสียเลย คนเป็นแม่จะรู้สึกอย่างไร นางต้องใจแข็งถึงเพียงใดกว่าจะกล่าวเช่นนั้นออกมาได้

...แต่นี่ก็เป็นความเด็ดเดี่ยวของหญิงเซนทอร์

เลสธีราห์หันไปมองคนข้างกายที่สูงเพียงไหล่ของเขา "แต่ข้าไม่อยากทอดทิ้งท่าน"

"เมื่อเหนือหัวดาเรียสลงจากอำนาจ ข้าก็จะลงจากตำแหน่งเช่นกัน หลังจากนั้นจึงจะตามไปพบเจ้าได้" ลีอาห์เอื้อมมือขึ้นแตะเสี้ยวหน้าบุตรชาย "มันไม่นานเท่านั้น ลูกข้า... แม่รอได้" เสียงของเซนทอร์หญิงสั่นเครือ เช่นเดียวกับสัมผัสจากมือหยาบกร้านของนางที่สั่นคลอน เลสธีราห์ยกมือขึ้นจับมือของนางเอาไว้ ก่อนจะเอียงหน้าไปจูบฝ่ามือขาวซีดของมารดา

"ท่านแม่... ข้าอับจนเหลือเกิน" เปลือกตาบางปิดตาพร้อมกับคิ้วเรียวที่ขมวดมุ่น

"เส้นทางที่ขีดอยู่ตรงหน้าชัดเจนและเหมาะสม ทว่าข้ากลับ... อยากเดินในอีกเส้นทางที่ใจข้าอยากไป" เมื่อได้ฟังเช่นนั้น ลีอาห์ก็ถอนใจออกมายาวด้วยเข้าใจเจตนาของคนพูด เลสธีราห์ไม่อยากไปจากแผ่นดินใหญ่ ไม่ใช่เพราะศักดิ์ศรี หรือความทะเยอทะยานอันใด แต่เป็นเพราะใจของเจ้าตัวยังอยู่ที่แผ่นดินนี้

ที่ยอมขัดคำสั่งของเหนือหัวและสภาขุนนาง และเกือบจะฉีกหน้าแอสทารอธ

ที่ยอมต่อสู้อย่างสุดความสามารถแม้จะรู้ว่าผลที่ได้รับอาจจะสูญเปล่า

...

ก็เพื่อแม่ทัพเอเดรียนทั้งนั้น

"หากเขาไร้เยื่อใย ข้าคงหักห้ามตนเองได้ง่ายกว่านี้" เซนทอร์หนุ่มว่า "ถ้าเขาปฏิเสธ ข้าคงตัดสินใจได้ง่ายกว่านี้" ร่างสูงบีบมือเรียวที่อยู่ในมือตนช้าๆ "แต่เขากลับ... ตอบรับข้า ทั้งที่รู้ว่าความสัมพันธ์แบบนี้ไม่มีทางไปต่อ" ในบริบทของความเป็นแม่ทัพแล้ว ลีอาห์เข้าใจถึงเหตุผลของเอเดรียน เหตุผลที่อีกฝ่ายไม่สามารถตอบรับความรักได้หมดใจ เหตุผลที่อีกฝ่ายไม่สามารถสาบานภักดีได้แน่นอน ลีอาห์เข้าใจเกือบทุกอย่าง

...เพียงแต่ทำไมความสัมพันธ์นี้จะต้องเกิดกับบุตรของนาง

ทำไมคนที่ต้องเจ็บอยู่เสมอจึงเป็นเลสธีราห์ที่นางหวงแหนนักหนา

"แผ่นดินตะวันออกยังมีคนอีกมากหน้า..." ราชเลขาพยายามพูด "เจ้าไม่จำเป็นต้องทน..."

ไหล่กว้างของบุตรชายสั่นเครือ มือข้างที่ว่างกำแน่นอย่างอดกลั้น คนเป็นแม่ทัพไม่สามารถแสดงความอ่อนแอออกมาได้ แม้ว่าตอนนี้เลสธีราห์จะอยากซบหน้ากับอกมารดาแล้วร้องไห้มากสักแค่ไหนก็ตาม ...ทุกคนที่ผิดหวังกับความรักมักได้รับคำปลอบเช่นนี้ื ปลอบว่าเบื้องหน้ายังมีความหวังเสมอ ไม่จำเป็นจะต้องอดทนกับความรักที่ขมขื่นเลยสักนิด

แต่ทำไม... เลสธีราห์ถึงไม่คิดจะปล่อยมือสักครั้งเดียว

เขารักอีกฝ่ายมากขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน

เสียงฝีเท้าที่คุ้นเคยแว่วมาเข้าหูของเซนทอร์หนุ่ม เลสธีราห์มุ่นคิ้วและเริ่มกวาดสายตามองหาต้นทาง ก่อนจะผละออกจากมารดา "เอเดรียนมาที่นี่..." ร่างโปร่งสูดหายใจเข้าลึกๆครั้งหนึ่งและกลั้นเอาไว้โดยไม่รู้ตัว เมื่อเห็นเจ้าของฝีเท้านั้นก้าวขึ้นมาบนเรือ เสื้อผ้าของอีกฝ่ายยังเปียกชื้นจากน้ำทะเล เช่นเดียวกับผมเผ้าที่ไม่ใคร่จะเป็นทรงนัก รอยเลือดโชกโชนหลายจุดบนร่างบอกเล่าถึงการต่อสู้ที่เพิ่งผ่านมา

"ท่านแม่... ข้าขอเวลาส่วนตัวสักครู่ได้ไหม"

ลีอาห์ดูไม่พอใจกับผู้บุกรุกสักเท่าไหร่ แต่เมื่อบุตรชายของนางออกปาก เซนทอร์หญิงก็ถอยเท้าออกไป เพื่อไปสมทบกับทูตเอลฟ์จากเธสซาลีย์บนเรือรบของอีกฝ่ายที่จอดอยู่ไม่ไกลจากกัน เสียงแตรอาเดรียที่ดังระงมไปทั่วบอกเลสธีราห์ได้ว่า ในที่สุดความปรารถนาของท่านชายซินญอร์ก็เป็นความจริง อาเดรียจะสามารถก้าวไปข้างหน้าได้อีกครั้งภายใต้การนำของอดีตแม่ทัพใหญ่ ผู้อยู่เบื้องหน้าเขานี้ และแอสทารอธจะได้รับสิ่งตอบแทนเป็นตามสัญญาของตระกูลฟลินทรัสต์ ในแต่ในส่วนตัวเขานั้น เลสธีราห์เองก็ยังไม่กล้าพูดถึงอนาคตของตนเอง

"เจ้าบาดเจ็บ..."

เขาไม่รู้จะพูดสิ่งใดกับเอเดรียน นับตั้งแต่พบกันเป็นการส่วนตัวครั้งที่แล้ว เซนทอร์หนุ่มรู้สึกว่ามันเนิ่นนานห่างเหินเสียเหลือเกิน นับตั้งแต่พบกันครั้งแล้ว... พวกเขาต่างก็คิดว่าการพบกันครั้งต่อไปจะไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว แต่เมื่อได้ยินเผชิญหน้ากันอย่างนี้ เลสธีราห์กลับคิดว่าเขายังรู้สึกเหมือนเดิมทุกประการ ทั้งสองมองสบตากันเล็กน้อย ก่อนที่เอเดรียนจะเป็นฝ่ายก้าวเข้ามาหาร่างโปร่ง และรวบกอดเอาไว้แนบกาย "เลสธีราห์!" เอเดรียนบาดเจ็บจากลูกดอกของธีสธรัล แต่อ้อมแขนของอีกฝ่ายก็ไม่ได้อบอุ่นน้อยไปกว่าเดิม เซนทอร์หนุ่มเพียงหลับตา และยกมือขึ้นกอดตอบช้าๆเท่านั้น

"..."

เซนทอร์อยากไล่อีกฝ่ายไปทำแผล หรือจัดการเรื่องราวทุกอย่างให้เสร็จสรรพเรียบร้อย อาจจะไล่ให้ผู้นำคนใหม่ไปทำหน้าที่ของตนให้สมบูรณ์ เพื่อให้คู่ควรกับตำแหน่งที่ผู้นำคนก่อนเสียสละชีวิตให้ แต่อีกใจหนึ่งของเลสธีราห์ เขาก็อยากหยุดเวลานี้เอาไว้เพื่อให้อีกฝ่ายอยู่กับตนตลอดไป แม้เขาจะเจ็บปวดกับความรักที่ไม่สมหวัง แต่ความอบอุ่นของอีกฝ่ายก็เรียกได้ว่าคุ้มค่าที่จะรอ

เลสธีราห์หลับตาลงพลางเอียงหน้าซบกับบ่ากว้าง "ทั้งที่คิดว่าจะปล่อยมือจากเจ้าได้แล้วแท้ๆ"

หากบรรจบกันไม่ได้ การจากกันด้วยดีก็คงจะดีกว่า พวกทั้งทั้งคู่คิดแบบนั้น แต่สุดท้ายแล้วก็กลายเป็นทั้งสองฝ่ายที่ไม่มีใครตัดใจจากกันได้ และโหยหาซึ่งกันและกันอยู่เรื่อยไป "ถ้าเราหนีไปด้วยกันตั้งแต่แรก... คงจะไม่เจ็บปวดแบบนี้" คำนั้นออกมาจากปากของเลสธีราห์ และเขาจำได้ว่าเอเดรียนเคยคิดแบบนั้น หากพวกดขาทอดทิ้งทุกสิ่งเพื่อกันและกัน พวกเขาก็คงจะมีความสุขมากกว่านี้ "แต่มันเป็นการตัดสินใจเราทั้งคู่... ที่จะใช้ชีวิตอย่างมีเกียรติและศักดิ์"

เอเดรียนกระชับวงแขนแน่นขึ้นอีกและรอฟังต่อไป "ข้าภูมิใจ... ที่เจ้าไม่ละทิ้งหน้าที่มาเพื่อข้า"

"แต่ข้าก็จะไม่ทิ้งเจ้าเพราะหน้าที่เช่นกัน" อีกฝ่ายตอบกลับแทบจะในทันที "เจ้าเป็นของข้า เลสธีราห์" เมื่อเอเดรียนกล่าวคำนั้น เซนทอร์หนุ่มก็ขบริมฝีปากของตัวเองเพื่อกลั้นเสียงเอาไว้ อีกทั้งยังพยายามสุดความสามารถเพื่อฝืนไม่ให้น้ำตาไหลออกมา มือที่วางอยู่บนแผ่นหลังกว้างขยำกำเสื้อที่เปียกชื้นแน่นขึ้นอีกนิด ก่อนจะสูดหายใจเข้าลึกๆเพื่อเรียกสติของตัวเองกลับมา

"ใจข้า... เป็นของเจ้า"

"ทั้งหมดของเจ้า..." เอเดรียนแก้ไขคำพูดของอีกฝ่าย เขาค่อยๆลดมือลง และกอบกุมมือของเลสธีราห์เอาไว้ ขณะที่ผละออกมาเพื่อมองสบตา "ข้าจะไม่ปล่อยให้เจ้าไปไหนทั้งนั้น ไม่ว่าใครจะว่าอย่างไร เลสธีราห์" เซนทอร์หลับตาลงและขบกัดริมฝีปากตัวเอง ก่อนจะนิ่วหน้าช้าๆ

"จะให้ข้าทนอยู่ที่นี่ต่อไปได้อย่างไร"

คนพูดลืมตาขึ้นมองคู่สนทนาอีกครั้ง และดวงตาสีฟ้าครามก็เอ่อท้นฝ้ามัวด้วยหยาดน้ำตา "ข้า... หันหลังให้กับแอสทารอธเพื่อเจ้า ข้ายินดีที่เจ้าไม่ทิ้งหน้าที่เพื่อข้า ยินดีที่เจ้าเป็นวีรบุรุษที่มีเกียรติ... ที่คู่ควรกับเซนทอร์ แต่กลับเป็นตัวข้าเองที่ไร้ซึ่งความน่าภูมิใจใดๆและไม่คู่ควรกับเจ้า!"

"เลสธีราห์!" เอเดรียนไม่ชอบใจนักที่อีกฝ่ายดูแคลนตัวเองแบบนั้น แต่ก็รู้ดีว่าเขาไม่ควรใช้อารมณ์ในการสนทนาเรื่องนี้ "แล้วจะไม่ให้โอกาสข้าช่วยอะไรเลยหรือไร เจ้าเสียสละให้ข้าเพื่ออะไร เจ้าคาดหวังสิ่งใดจากข้า เลสธีราห์... หากไม่ใช่ความรัก ทำไมเจ้าถึงทำอะไรบ้าๆ หากไม่เคยต้องการความรักตอบแทน"

เซนทอร์หนุ่มหลบตาลงมองพื้นเรืออยู่อย่างนั้นสักพักก่อนตอบคำถาม "ข้าอยากให้เจ้ามีชีวิต"

"เท่านั้นหรือ... แล้วเจ้าไม่คิดว่าข้าเองก็อยากให้เจ้ามีชีวิตหรือไร"

"..."

"ถ้ารักข้า เหตุใดจึงไม่อยากอยู่กับข้า... บอกข้าซิ เซนทอร์"

ทำไมเขาจะไม่อยากอยู่ที่นี่เล่า... มีเหตุผลอะไรที่ทำให้เลสธีราห์อยากจะไปที่นี่กันเล่า เพียงแต่เซนทอร์หนุ่มไม่มั่นใจว่าเขาจะอยู่ในเมืองที่มีแต่มนุษย์ได้อย่างไร และเขาจะอยู่ในสถานะอะไร อีกทั้ง... เขาจะสามารถเป็นส่วนหนึ่งของที่นี่ได้หรือไม่

...กระทั่งเผ่าพันธุ์ของเขาเอง เลสธีราห์ยังไม่สามารถมีตัวตนได้ นับประสาอะไรกับอาเดรีย

ต่อให้ใจของเขาร่ำร้องจะอยู่เคียงข้างอีกฝ่ายมากแค่ไหน แต่เลสธีราห์คิดว่ามารดาของตนพูดถูก แม้แผ่นดินตะวันตกออกจะเป็นดินแดนของเอลฟ์ แต่อย่างน้อยเขาก็เป็นคนของตระกูลบลังค์ ตระกูลที่ได้ชื่อว่ามีชื่อเสียงกว้างขวางที่สุดตระกูลหนึ่งของชาวเอลฟ์

"ยังมีสิ่งใดที่ข้าให้เจ้าไม่ได้อีก เลสธีราห์"

เอเดรียนปาดหยดน้ำตาอุ่นๆออกจากพวงแก้มของคนตรงหน้า ก่อนจะแนบหน้าผากเข้าหาและแตะปลายจมูกของตนกับอีกฝ่าย "บอกข้าได้ไหม... ข้ายังขาดอะไรอีก ทำไมเจ้าถึงอยากไปจากข้า" มือทั้งสองประคองเสี้ยวหน้าเรียวเอาไว้อย่างอ่อนโยน "คิดว่าข้าปกป้องเจ้าเอาไว้ไม่ได้หรือ"

เลสธีราห์ชอบน้ำเสียงของเอเดรียน และติดใจในสัมผัสอ่อนโยนนี้เสมอ

...เพราะเหตุนี้หรือเปล่าที่ทำให้เลสธีราห์ใจอ่อน

ความอ่อนโยนที่ชายหนุ่มไม่เคยสัมผัสจากเซนทอร์ตนไหนกระทั่งมารดาของตนเอง

พวกเขาเป็นเผ่าพันธุ์ที่ต้องเข้มแข็ง และหนักแน่น ดังนั้นเซนทอร์จึงไม่มอบความรักให้กันมากจนเกินพอ เพราะความรู้สึกเหล่านี้ถือเป็นจุดอ่อนสำหรับอัศวิน แม้ท่านหญิงลีอาห์จะมีเมตตา และรักบุตรชายคนเดียวของนางอย่างสุดใจ แต่ราชเลขาก็ไม่เคยเข้าไปกอดปลอบให้กำลังใจอย่างที่มารดาชาวมนุษย์ชอบทำ นางเพียงหาหนทางให้ลูกได้พิสูจน์ตนเอง ได้พิสูจน์ความสามารถของตนเอง และไขว่คว้าเอาความสำเร็จมาได้ด้วยตนเอง นี่คือวิถีของเซนทอร์

...แต่วิถีของมนุษย์นี่คืออะไรกัน

ว่าที่ผู้นำแนบริมฝีปากตัวเองจูบคนตรงหน้าช้าๆ รอให้อีกฝ่ายยกแขนขึ้นกอดรั้งลำคอหนา ตอบรับสัมผัสของเขาด้วยความคิดถึงและโหยหา หากเลสธีราห์จะต้องจากไปจริงๆ เขาเองก็ไม่แน่ใจว่าจะต้องใช้เวลาสักเท่าไหร่กว่าจะลืมเอเดรียนได้ลง แม้ว่าเขาจะไม่มีที่ให้ไป ไม่มีเกียรติหรือศักดิ์ศรีใดหลงเหลืออยู่ แต่อย่างไรเอเดรียนผู้นี้ก็ยังยอมรับเขาเสมอ

เพราะสำหรับเอเดรียนแล้ว เขาเป็นเพียงเลสธีราห์... เท่านั้น

--------------------------------------------------

ท่านหญิงลีอาห์ดูไม่ค่อยพอใจนักที่ต้องปล่อยบุตรชายเอาไว้กับเอเดรียนเพียงลำพังสองต่อสอง แม้ว่านางจะรู้อยู่แก่ใจว่าพวกเขาต้องการเวลาและความเป็นส่วนตัวในการพูดคุยกันก็ตาม "ไม่รู้เอาเวลาที่ไหนไปจีบกัน" เมื่ออยู่ต่อหน้าสามี ลีอาห์ก็แปลงกลับเป็นร่างมนุษย์ซึ่งเป็นหญิงตัวเล็กๆ ที่สูงเพียงไหล่ของสามี นางกลับมาที่เรือรบอาคาเซียของเธสซาลีย์และตรงมาหาสามีที่กำลังยืนมองเรือของผู้อื่นอยู่

"แองเจลิกา..."

ร่างสูงพึมพำกับตัวเองและเหลือบมองคนข้างกายเล็กน้อยหลังจากได้ยินเสียงฝีเท้าของนางเดินเข้ามาหา "เรือบัญชาการของกองโจรสลัดเทเทสใต้" ธีโอเดรชี้ไปที่เรือของเอเรสที่จอดเทียบท่าเป็นลำสุดท้ายก่อนที่กองทัพโจรสลัดจะหายไปจากน่านน้ำของอาเดรีย "หากไม่นับเรือของข้า แองเจลิกาก็เป็นเรือที่มีประสิทธิภาพมากพอที่จะต่อสู้กับเรือคาร์เธียร์ได้"

ลีอาห์กอดอกนิ่งและมุ่นคิ้วด้วยความกังวล "ผู้ชายคนนั้นมีคารมที่ทำให้เลสธีราห์ใจอ่อน"

และนั่นคือความกังวลของมารดาในตอนนี้ หากเลสธีราห์ใจอ่อนและย่อมอยู่กับเอเดรียนที่อาเดรียแห่งนี้จะเป็นอย่างไร อีกฝ่ายจะสามารถดูแลบุตรชายนางได้หรือไม่ และเลสธีราห์จะสามารถมองหน้าเหนือหัวดาเรียสติดได้อย่างไร ในเมื่อการกระทำของเขาเป็นสิ่งที่ไร้ซึ่งความรับผิดชอบและขาดคุณสมบัติของการเป็นผู้นำขนาดนี้ "เพราะเจ้านั่นคนเดียวแท้ๆ"

"แม่หญิง เจ้าห่วงมากเกินไปกระมัง เรามีลูกชายนะ"

ธีโอเดรยิ้มมองสตรีที่สูงเพียงไหล่ของ "ข้าคิดว่ามันเป็นความผิดของเราทั้งคู่ด้วย ...ที่ไม่สามารถให้ความรักในแบบที่เลสธีราห์ต้องการได้" ธีโอเดรคิดว่าท่านหญิงเป็นสตรีที่น่ารักสำหรับเขา แม้เขาจะไม่เข้าใจว่าเหตุใดนางจึงไม่เคยฉอเลาะ หรือเอาอกเอาใจเขาอย่างที่เอลฟ์หญิง หรือภูตหญิงทำ ทูตใหญ่จึงได้แต่ปลอบตนเองว่านั่นคือวิถีของเซนทอร์ แต่เลสธีราห์ยังเป็นเด็ก... จะให้เด็กปลอบใจตนเองได้อย่างไรว่านี่คือวิถีเซนทอร์ ทั้งที่ตัวเขาไม่ได้เกิดมาเป็นเซนทอร์ และยากที่จะได้รับการยอมรับในสังคมแอสทารอธ

"แล้วท่านจะพูดว่ามนุษย์นั่นทำได้อย่างนั้นรึ! เห็นกันอยู่ว่าเจ้านั่นเห็นหน้าที่เป็นสำคัญ เรื่องของเลสธีราห์เป็นประเด็นรองด้วยซ้ำ เหตุใดเรื่องแบบนี้จะต้องเกิดกับลูกของข้าด้วย!" ราชเลขากระฟัดกระเฟียด ซึ่งเป็นสิ่งที่นางไม่ได้แสดงออกมาล่อยนัก แต่เนื่องจากคนข้างกายในตอนนี้คือสามีของนาง เซนทอร์หญิงจึงสามารถแสดงออกถึงสิ่งที่ผู้อื่นไม่เคยเห็นออกมาได้

"ข้าคิดว่าเขามีความรับผิดชอบพอที่จะเป็นผู้นำ" ธีโอเดรนิ่งไปสักพักราวกับกำลังคิดหาคำพูด

"การที่เขารักบ้านเมืองนั้นเป็นเรื่องที่ถูกต้อง แต่สิ่งที่ข้ากังวลคือความรักของเขาที่มีต่อเลสธีราห์ มันจะไปน่าวางใจได้อย่างไร..." ทูตเอลฟ์ยกมือขึ้นเพื่อปรามให้คนข้างกายเงียบเสียงลงสักครู่ ก่อนจะหันมามองภรรยาของตนแล้วยิ้มออกมา

"ข้าคิดว่าชีวิตของเลสธีราห์ไม่ได้อับจนหนทางเสียทีเดียว"

ลีอาห์อ้าปากค้างไปเล็กน้อยด้วยความงุนงง "ท... ท่านหมายถึงอะไร"

"เจ้าเป็นราชเลขา และเป็นทูตแห่งแอสทารอธ เจ้าก็หว่านล้อมเหนือหัวดาเรียสเอาเองเถิด" ทูตใหญ่หัวเราะร่วน "เจ้าเอเดรียนผู้นั้นก็ไม่ได้ดูดายลูกเราอย่างที่เจ้าคิดหรอก เขาเองก็พอจะมีทางออกให้กับเลสธีราห์ และไม่ใช่ทางออกที่สิ้นคิดเสียด้วย เจ้าเลิกกังวลเรื่องอะไรต่อมิอะไรได้แล้ว ประเดี๋ยวจะแก่ก่อนวัยนะ"

"ข้าแก่แล้ว!" ลีอาห์พ้นลมหายใจด้วยความคิดหงุดหงิด "ท่านจะไปรู้ได้ยังไง"

 แต่แล้วนางก็นึกได้ว่าสามีของตนมีพรสวรรค์ในด้านการฟังอย่างที่ไม่มีใครสามารถทำได้ "หรือว่า... นี่ท่าน..." นางอ้าปากค้างไปครู่หนึ่งก่อนจะชี้นิ้วกลับไปนังเรือเซเลสต์ที่จอดอยู่ที่ท่าถัดไป และธีโอเดรก็พยักหน้ารับพร้อมกับยิ้ม

"ข้าฟังเขาคุยกันอยู่น่ะ..."

--------------------------------------------------
---------- TO BE CONTINUE ----------


พอเขียนแม่อยู่กับพ่อแล้ว... ไม่น่าเชื่อว่าแม่จะ 50+
ส่วนพ่อนั้น........... อายุเป็นเพียงตัวเลข (มากกว่า 200)(คือนางเป็นผู้ชายบ้างาน)

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
พอท่านหญิงอยู่กับสามีแล้วนางมีความเจ้าแง่เจ้างอนแสดงออกมากขึ้นนะนี่

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ khaosap

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 165
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
    • Khaosap Writing
Re: ASTAROTH พันธนาการดวงดาว ตอนที่ 30.1
«ตอบ #110 เมื่อ25-01-2017 17:29:08 »

ตอนที่ 30.1

รีดาห์ยืนมองกองซากศพของมนุษย์ที่ถูกลากมารวมกันด้วยสายตาเวทนา เท่าที่เขารู้มา พลทหารพวกนี้เป็นของคัสนาห์ และมารบตามคำสั่งของผู้นำหญิงแห่งคัสนาห์ ผู้เป็นพี่สาวของผู้นำอาเดรีย โดยที่พวกเขาไม่ได้มีความแค้นเคืองเป็นส่วนตัวกับใครเลยสักนิด ทว่ากลับต้องสังเวยชีวิตทั้งหมดแบบนี้ รีดาห์เองก็อยากรู้ว่าในอนาคตเอเดรียนมีแผนการอะไรในการจัดการกับความบาดหมางของท่านหญิงซินญอร่าที่กำลังจะมีต่อตน แม้ว่านั่นจะไม่ใช่สิ่งที่เซนทอร์ต้องสนใจก็ตาม

แต่เอเดรียนคิดจะทำอะไรต่อไป และอีกฝ่ายเป็นที่พึ่งให้กับสหายของเขาได้จริงหรือไม่

นั่นคือสิ่งที่รีดาห์อยากรู้...

แต่อีกสิ่งที่เซนทอร์หนุ่มอยากรู้ไม่แพ้กัน นั่นคือความหมายในคำพูดของซาฮาล ผู้ที่จู่ๆก็นำท่านหญิงโมนาและองครักษ์ส่วนตัวของนางซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นยอดฝีมือเดินทางมายังอาเดรีย โดยอ้างว่าต้องการยื่นมือเข้าช่วย แต่รีดาห์จำได้ว่าเขาไม่เคยขอร้องอะไรจากซาฮาล และไม่ได้ต้องการให้อีกฝ่ายทำอะไรเลย

เขายอมให้ว่าที่เหนือหัวเห็นสัญญาฉบับนั้นเพื่อให้เข้าใจเจตนารมณ์ของเลสธีราห์

หรือว่าซาฮาลมาที่นี่เพราะต้องการจะช่วยเลสธีราห์กันหนอ

เช่นนั้นแล้ว ประโยคนั้นหมายความอย่างไรเล่า 'แล้วข้าเป็นเพื่อนเจ้าได้ไหม' ประโยคทำนองนี้ไม่เคยหลุดจากปากคนอย่างซาฮาล อีกทั้งน้ำเสียงที่แตกต่างออกไปจนสังเกตได้ มันไม่ใช่เสียงที่เต็มไปด้วยอำนาจ หรือออกคำสั่งเหมือนเคย แต่กลับให้ความรู้สึกเว้าวอนอย่างประหลาด เขาจำได้ว่าอีกฝ่าย 'อกหัก' จากเลสธีราห์ แต่เพียงเท่านั้นก็ทำให้ว่าที่เหนือหัวแห่งแอสทารอธเปลี่ยนไปได้เชียวหรือ

...แต่เหตุผลใดกันที่ทำให้ว่าที่เหนือหัวซาฮาลเดินทางมาด้วยได้

เสียกีบเท้าที่หนักแน่นและเป็นจังหวะดังใกล้เข้ามาจากด้านหลัง แม้ได้ฟังเพียงเท่านั้น รีดาห์ก็รู้ดีว่าใครเป็นผู้มาเยือน ร่างโปร่งหันกลับไปพบหน้าเซนทอร์ร่างสูง ก่อนจะเลิกคิ้วขึ้นแสดงออกถึงความประหลาดใจและแทนคำเซ้าซี้ให้อธิบายสิ่งที่เกิดขึ้น

"เลสธีราห์ยังไม่ลงมาจากเรือ เท่าที่เซนทอร์ตนอื่นบอกข้า"

คำแรกก็ว่าถึงเลสธีราห์ ช่างสมเป็นซาฮาลเหลือเกิน... รีดาห์หัวเราะอยู่ในใจ

"เจ้าไม่ได้รับบาดเจ็บตรงไหนใช่ไหม" แต่สิ่งที่น่าประหลาดใจคือคำถามต่อมาที่รีดาห์ไม่คิดมาก่อนว่าะได้ยินจากปากอีกฝ่าย เพราะที่ผ่านมา ในสายตาของซาฮาลจะมีเพียงเลสธีราห์เท่าานั้น ไม่ว่าสายตานั้นจะเป็นสายตาของความดูหมิ่น ดูแคลน ชื่นชม หรือท้าทายก็ตามที "ข้อเท้าพลิกไม่เข็ดหรือไร ใส่เกราะหุ้มข้อแบบนั้นอีกแล้ว" สำนวนการพูดของซาฮาลมักเป็นไปในเชิงตำหนิราวเป็นพ่อก็ไม่ปานอยู่แล้ว ดังนั้นรีดาห์จึงเลิกจะใส่ใจ

"ไม่ได้พลิก... ไม่ได้ล้มด้วย"

เซนทอร์หนุ่มถอยเท้าก้าวหนึ่งก่อนจะเลี่ยงเดินห่างออกมาเพื่อไปดูที่เรือเซเลสต์ว่าเลสธีราห์ยังไม่ลงมาจริงหรือไม่ เพราะด้วยความเป็นเพื่อนแล้ว รีดาห์ก็อดห่วงสหายไม่ได้ แต่เมื่อก้าวเดิน ซาฮาลก็ก้าวเข้ามาเดินข้างๆอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน และเงาของอีกฝ่ายก็บังแสงอาทิตย์ที่กำลังตกดินให้รีดาห์จนมิด "เลสธีราห์ไม่ชอบเจ้า เจ้าก็รู้..."

"จะออกไปที่ท่าเรือนั่นมันไกล อาจจะยังมีศัตรูหลงเหลืออยู่ เจ้าจะเป็นอันตราย"

เหตุใดคนจองหองอย่างซาฮาลจึงได้เปลี่ยนไปได้ขนาดนี้ ทั้งที่เมื่อวันก่อนยังเป็นซาฮาลคนเดิมอยู่แท้ๆ รีดาห์เลิกคิ้วด้วยความงุนงงและพยายามจะนึกหาสาเหตุ ก่อนหน้านี้ซาฮาลก็ยังคงเป็นซาฮาล ทว่าเมื่อวันก่อนอีกฝ่ายถูกเลสธีราห์ปฏิเสธอย่างรุนแรงจนสูญเสียการควบคุมตนเองไปพักหนึ่ง

ถึงอย่างนั้นรีดาห์ก็ไม่คิดเลยว่าซาฮาลจะเปลี่ยนไปได้ถึงขนาดนี้

รู้อย่างนี้น่าจะอกหักตั้งนานแล้วกระมัง

"ข้าดูแลตัวเองได้น่า"

"ทั้งที่ไม่ได้พกอาวุธมาสักชิ้นน่ะหรือ ท่านรองผู้บัญชาการ"

รีดาห์พยายามก้าวหนี แต่ด้วยความที่ขาของซาฮาลยาวกว่าทำให้เขาไม่รู้สึกอะไรในการก้าวตามให้ทัน "ไปกินอะไรมา ทำไมวันนี้ถึงใจดีเสียได้" เมื่อสลัดอีกฝ่ายไม่ได้ รีดาห์ก็เริ่มคิดก่อกวนแทน ด้วยความที่เขารู้ดีว่าซาฮาลขี้รำคาญและไม่พูดคุยไร้สาระ ดังนั้นการกวนประสาทอีกฝ่ายไปเรื่อยๆคงจะทำให้เซนทอร์หนุ่มยอมหันกลับไปเอง

"ยังไม่ได้กินอะไรทั้งนั้น ยกเว้นใบไม้ข้างทาง"

คนที่ไม่น่าจะพูดเล่นกลับหยอดด้วยใบหน้าราบเรียบเสียจนรีดาห์ต้องหยุดเดินและมองแผ่นหลังกว้างด้วยดวงตาที่เบิกโพลง "เจ้าเป็นอะไรแน่ๆ ซาฮาล..." เซนทอร์กำยำเอี้ยวร่างกลับมามองบ้าง ทำให้แสงอาทิตย์ที่อยู่ด้านหลังพวกเขาฉาบฉายบนใบหน้าคมคร้ามของอีกฝ่าย คัดเครื่องหน้าคมขึ้นมาด้วยแสงและเงา และเป็นอึดใจแรกที่รีดาห์คิดว่าอีกฝ่ายช่างสง่างามเหลือเกิน

"เจ้ามารบกับเลสธีราห์เพราะเจ้าตายเคียงข้างเพื่อนได้ใช่ไหม รีดาห์"

"..." เมื่ออีกฝ่ายพูดเรื่องนี้ขึ้นมาดื้อๆ คนที่ยังอยู่ในความงุนงงจึงไม่สามารถกล่าวอะไรตอบได้

"ข้าแค่คิดว่า ถ้าข้าเป็นเพื่อนกับเจ้าบ้าง... เจ้าจะตายข้างข้าได้รึเปล่า"

ความร้อนในร่างกายที่ไม่ได้เกิดจากการยืนตากแดดทำให้รีดาห์อ้าปากพะงาบอย่างปลาขาดน้ำและเบิกตาขึ้นเสียจนรู้สึกปวดเบ้า แต่เมื่อรู้สึกตัวว่ากำลังทำหน้าตลกๆอยู่ เซนทอร์ที่ตัวเล็กกว่าก็ได้แต่ก้าวเท้าผ่านร่างสูงไปพร้อมกับถองข้อศอกเข้ากับกล้ามเนื้อช่วงท้องเพื่อแก้อาการขัดเขินอันไร้สาเหตุ

"พูดจาแปลกๆ... ไปเรียบเรียงมาเสียใหม่นะ ว่าที่เหนือหัว"

นี่เขาพูดกับว่าที่ผู้นำแห่งแอสทารอธแบบนี้หรอกหรือ...

อนิจจาที่ทางเดินไปท่าเรือนั้นเป็นทางหินเล็กแคบ และกีบเท้าของม้าก็ไม่มีความสามารถยึดเกาะใดๆ ทำให้การเดินผ่านไปของรีดาห์เบียดร่างที่ใหญ่กว่าออกจากเส้นทาง และพลาดตกจากทางเดินอย่างรวดเร็วสู่อ่าวเบื้องล่าง

"ซาฮาล!"

"เหวอ! "

...ตูม!!!

น้ำทะเลเบื้องล่างส่งเสียง และแตกกระจายเป็นฝอยขาวเมื่อร่างของเซนทอร์หนุ่มตกลงไป ทว่าไม่กี่อึดใจต่อมา ว่าที่เหนือหัวแห่งแอสทารอธก็โผล่กลับมาอีกครั้งพร้อมกับหัวเราะเบาๆอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน "อย่าให้ข้าขึ้นไปได้เชียว!" เซนทอร์หนุ่มคืนร่างเป็นมนุษย์ และเริ่มมองหาหนทางที่จะกลับขึ้นไป รีดาห์ที่ยังตกใจอยู่เบื้องบนได้แต่มองหาเชือก โดยหวังจะให้อีกฝ่ายได้ปีนขึ้น และไม่ทันสังเกตถึงการมาถึงของท่านหญิงลีอาห์

"รีดาห์... เจ้าทำอะไร!" เซนทอร์หญิงที่บัดนี้อยู่ในร่างของมนุษย์แหงนพูดกับเซนทอร์ร่างเพรียวที่ดูจะตกใจจนทำอะไรไม่ถูก ก่อนจะก้มลงไปมองพื้นทะเลเบื้องล่างซึ่งซาฮาลกำลังว่ายเข้าฝั่งด้วยตัวเอง "ซาฮาล!"

"ท่านหญิง...!" รีดาห์เบิกตาขึ้น "ข้าไม่ได้... เขาตัวใหญ่กว่าข้า ข้าไม่คิดว่าแค่เบียด เขาก็..."

"เจ้าตั้งใจผลักเขาตกลงทะเลอีกด้วยหรือ รีดาห์!"

ราชเลขาคืนร่างกลับเป็นเซนทอร์ก่อนจะวิ่งห้อเข้าไปในเมืองเพื่อลงไปรอรับการกลับมาของว่าที่เหนือหัวพร้อมกับออกคำสั่งด้วยน้ำเสียงอันทรงพลัง "ว่าที่เหนือหัวตกทะเล! พวกเจ้าไปหาผ้ามา! เตรียมน้ำอุ่นด้วย!!" รองผู้บัญชาการเซเลสต์ที่ไม่รู้ว่าควรจะวางตัวอย่างไรจึงหันหัวกลับบ้าง และคิดว่าควรจะปล่อยเลสธีราห์เอาไว้ในเรือเซเลสต์ก่อน เพราะหากเขาไม่แสดงความรับผิดชอบกับเรื่องนี้ขึ้นมาล่ะก็...

ราชเลขาลีอาห์คงมีบทลงโทษเขาอย่างแน่นอน

--------------------------------------------------

เป็นเวลาเย็นแล้วในยามที่ม้าเร็วเดินทางกลับไปถึงที่พักของผู้นำหญิงพร้อมกับข่าวที่ทำให้ซินญอร่าไม่อภัยตัวเองอย่างที่สุด และหลังจากทราบถึงความพ่ายแพ้และความสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่แล้ว ท่านหญิงผู้นำก็สั่งไล่เหล่าคนรับใช้ใกล้ชิดออกไป "ไปให้พ้นให้หมด!!" น้ำเสียงของนางสั่นเครือ และจ้องมองผู้แจ้งข่าวซึ่งคุกเข่าอยู่บนพื้นด้วยอาการห่อเหี่ยวสิ้นหวัง

"เหลือแค่เจ้าอยู่ที่นี่ก่อน..."

"ข้าย้ำเตือนซินญอร์กี่ครั้งกี่หนแล้วว่าแม่ทัพใหญ่คิดการไม่ซื่อ แต่เจ้าเคยฟังบ้างหรือไม่!"

ท่านหญิงทุบมือลงกับเท้าแขนเก้าอี้จนรู้สึกเจ็บ แต่ความโกรธขึ้งและความโศกเศร้าทำให้นางไม่มีเวลาใส่ใจ "ในเมื่อเอเดรียนยึดอำนาจได้ในตอนนี้ สถานการณ์ทุกอย่างจะพลิกผันไปหมด อาเดรียจะเป็นผู้ได้เปรียบทันที ซึ่งนั่นก็เป็นสิ่งที่เขาพึงกระทำ" สายตาของหญิงสาวเหลือบไปมองภาพวาดของน้องชายที่แขวนอยู่บนผนังห้อง "แต่สำหรับคัสนาห์ซึ่งเป็นเมืองผู้พี่แล้ว นี่คือสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุด" แต่เดิมแล้ว คัสนาห์และอาเดรียเป็นเมืองพี่น้องซึ่งกันและกัน โดยคัสนาห์นั้นเป็นผู้ให้ความช่วยเหลืออาเดรียในเรื่องของปัจจัยการดำรงชีพ ในขณะที่อาเดรียก็อุ้มชูคัสนาห์ในเรื่องเงินทองที่ขัดสน หากเทียบกับพวกมนุษย์ด้วยกันแล้ว อาเดรียอาจเรียกได้ว่าเป็นเมืองที่มีความร่ำรวยมากที่สุดเลยก็เป็นได้...

ถ้าพูดถึงช่วงก่อนหน้าที่จะถูกธีสธรัลยึดครองอำนาจ

ท่านหญิงซินญอร่าเล็งเห็นโอกาสที่จะให้อิสระกับอาณาจักรของนางและของน้องชาย จึงได้วางแผนเหล่านี้ขึ้นมา แต่แล้วมันก็พังลงไม่เป็นท่าด้วยฝีมือของคนที่อยู่ใกล้ตัวผู้นำอาเดรียมากที่สุด "นี่มันซ้ำรอยเดิมชัดๆ... ข้าจะต้องใช้ใคร ถึงจะภักดี และไม่เห็นแก่อำนาจเงินทองแบบนี้ บอกข้าซิ"

นางหันไปมองพลทหารที่รอดชีวิตกลับมาซึ่งยังคุกเข่านิ่งที่อยู่ที่พื้น

"ข้าไม่เชื่อหรอกว่าพวกเขาจะตายทั้งหมด หากเจ้ายังรอดกลับมาได้"

"ท่านหญิง..."

ผู้นำหญิงแห่งคัสนาห์ลุกพรวดขึ้นพร้อมกับวาดดาบเล่มยาวที่อยู่ข้างเก้าอี้ออกมาจากฝักและชี้ตรงไปยังคู่สนทนา "อย่าคิดว่าข้าไม่รู้ว่าเอเดรียนส่งเจ้ามาเอาชีวิต โจฮาลล์!" โดยไม่รอให้คมดาบได้เข้าใกล้ตน พลทหารก็ยืดตัวลุกขึ้นยืนแม้ปราศจากอาวุธ และดึงผ้าคลุมหน้าออก ปล่อยให้แสงจากตะเกียงส่องกระทบใบหน้าของตนที่ยังเปรอะเปื้อนคราบเลือด

"...ท่านหญิงซินญอร่า"

ซินญอร่าเผชิญหน้ากับคนที่สูงกว่านางโดยปราศจากความหวาดกลัว เพราะสิ่งที่นางหวาดกลัวยิ่งกว่าได้เกิดขึ้นแล้วโดยที่นางไม่สามารถทำอะไรได้เลย "บอกข้าซิ... พวกเจ้าขายอะไรให้แอสทารอธ เพียงเพื่อชัยชนะของตัวเอง!"

คนถูกถามเม้มปากแน่นครู่หนึ่งราวกับครุ่นคิด ก่อนจะให้คำตอบ

"ท่านชายซินญอร์ตั้งใจจะยกป่าเวทมนตร์ให้กับแอสทารอธ" โจฮาลล์ว่า "และเพื่อให้ได้พบพี่ชายของตัวเองอีกครั้ง เอเรส ฟลินทรัสต์... จึงยอมมอบปืนคาบศิลาในครอบครองของเขาให้แอสทารอธอีกเช่นกัน เพื่อให้ภารกิจนี้สำเร็จ" คนฟังยกมือขึ้นปิดปากด้วยความสะเทือนใจพร้อมกับหลับตาลงเพื่ออดกลั้นความรู้สึกเสียใจที่เกินจะระบายออกมาเป็นน้ำตา

"ซินญอร์... ใจคอเจ้า... จะทอดทิ้งคัสนาห์เลยหรือไร"

"ท่านหญิง..."

ซินญอร่าเหลือบมองร่างที่นั่งอยู่ที่พื้นครู่หนึ่งอย่างพิจารณา "หากไม่มีซินญอร์แล้ว คัสนาห์กับอาเดรียคงสิ้นความเป็นพี่น้อง" นางเปรย "คัสนาห์ที่ยากจนและขัดสนจะมีอะไรไปสู้อาเดรียผู้ร่ำรวยและชาญฉลาด ไม่นานประชาชนก็คงจะอพยพ แยกย้ายไปจากเมือง ทอดทิ้งป่าเวทมนตร์แห่งนี้ไป... จนล่มสลายในที่สุด"

คัสนาห์มีอาณาเขตครอบครองป่าเวทมนตร์ทั้งหมด...

ป่าเวทมนตร์ที่มียูนิคอร์นอยู่จริง มีสมุนไพรวิเศษที่รักษาโรคได้ แต่เหตุผลที่มนุษย์แห่งคัสนาห์ไม่แสวงหาประโยชน์จากมัน นั่นเพราะพวกเขาไม่มีความสามารถพอที่จะสัมผัสสิ่งวิเศษเหล่านั้นได้

...ผู้ที่เคยไล่ล่ายูนิคอร์นได้นั้นล้มตายจากไปแล้ว

...ผู้ที่สามารถแยกแยะสมุนไพรพิษและสมุนไพรวิเศษก็ไม่เหลืออีกแล้ว

พวกเขานั่งอยู่บนความรุ่งเรืองที่สัมผัสไม่ได้มาตลอด แต่ถึงกระนั้น คัสนาห์ก็ไม่ต้องการให้ใครเข้ามาจับจองผืนป่าเก่าแก่แห่งนี้อยู่ดี "ข้าไม่คิดว่าตัวเองจะต้องยอมยกบ้านเมืองให้เอเดรียนผู้เสแสร้งแกล้งภักดีคนนั้น" ซินญอร่าว่า "แต่หากข่าวความพ่ายแพ้แพร่สะพัดออกไป ไม่น่าประชาชนก็จะลุกฮือขึ้นต่อต้านข้า และแก่งแย่งชิงอำนาจความเป็นใหญ่กันจนคัสนาห์สั่นคลอนและคงล่มสลายเข้าจริง"

สายตาคมของท่านหญิงจ้องร่างเงาที่นั่งนิ่งไม่ไหวติงนั้น

"นี่คือแผนที่เอเดรียนบีบให้ข้าลงจากบัลลังก์ใช่ไหม โจฮาลล์!"

หลังจากช่วยเหลือลูกเรือและทหารขึ้นมาจากน้ำและแน่ใจว่าพวกเขาปลอดภัยแล้ว โจฮาลล์ก็รีบกลับไปยังตัวเมืองหลวงเพื่อจะช่วยเหลือคนอื่น จนพบกับแม่ทัพใหญ่ของอาเดรียที่มอบภารกิจสำคัญให้เขาอีกครั้ง นั่นก็คือการกลับมาแจ้งข่าวความพ่ายแพ้และความสูญเสียของผู้นำอาเดรียต่อผู้นำคัสนาห์ ...และชิงตำแหน่งผู้นำอาณาจักรมาจากนางให้ได้

เพราะมันคือวิธีเดียวเท่านั้นที่เมืองผู้น้องจะสามารถยื้อเมืองผู้พี่เอาไว้กับตัวได้โดยไม่มีใครล่มสลาย

"ท่านหญิง..." แววตาของโจฮาลล์แฝงด้วยประกายของความแน่วแน่ "หากแม่ทัพเอเดรียนต้องการจะทอดทิ้งคัสนาห์... ข้าคงไม่มาอยู่ที่นี่ในตอนนี้แน่" ร่างสูงไม่ขยับเขยื้อนหรือปัดป้องคมอาวุธที่อยู่ตรงหน้าเขาด้วยความเคารพผู้นำแห่งคัสนาห์ "ได้โปรด ท่านหญิง หนีไป... นั่นคือสิ่งที่ท่านชายซินญอร์ขอร้อง"

"แล้วสิ่งที่ข้าขอร้องกับเขาเล่า!! ข้าขอให้เขาสู้กับข้า เพียงแค่ผ่านพ้นศึกนี้ไปได้... ทำไม..."

โจฮาลล์ถอนใจเบาก่อนให้คำตอบ "เพราะเขารู้ว่ามันเปล่าประโยชน์ที่จะสู้"

ซินญอร่าแค่นหัวเราะกับตัวเองก่อนจะปล่อยเสียงร้องไห้ออกมา "เจ้าเด็กบ้านี่!" ดาบเล่มยาวอันเป็นอาวุธคู่บัลลังก์ปักลงกับพื้นไม้ "ถ้าซินญอร์ตายแล้ว... ก็ส่งข้าตามไปสั่งสอนเจ้าเด็กนั่นที่อีกโลกด้วยก็แล้วกัน" ท่านหญิงแห่งคัสนาห์หลับตาลง "ข้ายกตำแหน่งผู้นำให้กับแม่ทัพเอเดรียน"

--------------------------------------------------

ออฟไลน์ khaosap

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 165
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
    • Khaosap Writing
Re: ASTAROTH พันธนาการดวงดาว ตอนที่ 30.2
«ตอบ #111 เมื่อ26-01-2017 07:50:25 »

ตอนที่ 30.2

ว่าที่เหนือหัวแห่งแอสทารอธมีแผลถลอกเล็กน้อยที่แขนหลังจากเสียหลักตกจากทางเดินหินที่เชื่อมไปยังท่าเรือที่ใหญ่ที่สุดของอาเดรีย โดยมีคู่กรณีนั่งอยู่ตรงข้ามในห้องรับรองอีกห้องหนึ่งของมหาคฤหาสน์ "สงสัยนักว่าทำไมพวกมนุษย์ถึงชอบแบ่งห้องตั้งมากมายขนาดนี้ ทำให้พื้นที่ภายในแต่ละห้องไม่กว้างขวางเอาเสียเลย" รีดาห์เงยหน้าขึ้นมองเพดานห้องที่ไม่คุ้นตาก่อนจะถอนใจ "หากข้าคืนร่างเซนทอร์ ยกขาสองข้างขึ้นก็คงจะแตะเพดานได้แล้วกระมัง"

ซาฮาลมองคนที่พยายามจะสร้างบรรยากาศการสนทนาก่อนจะจรดยิ้มที่มุมปากอย่างขบขันกึ่งเอ็นดู

"นี่คือวิธีสำนึกผิดของเจ้าหรือ รีดาห์"

เมื่อถูกจับทางได้ เซนทอร์หนุ่มก็มุ่ยหน้าเล็กน้อยแล้วกอดแขนขึ้นกอดอกอย่างไม่ค่อยสบอารมณ์ "ข้าไม่ได้ผิดสักหน่อย" สาเหตุจริงๆของอุบัติเหตุนั่นก็เพราะซาฮาลพูดอะไรแปลกๆออกมาก่อนไม่ใช่หรือ เขาก็เพียงแค่เดินเลี่ยงหนีไปเท่านั้น และมันก็เป็นความผิดของคู่สนทนาที่ดันตัวใหญ่และก้าวพลาดจนลื่นตกลงไปเอง "เจ้านั่นแหละเป็นฝ่ายเริ่ม"

"แต่คนที่ตกลงไปคือข้าไม่ใช่รึ"

เมื่ออยู่ในที่พักรับรองของพวกมนุษย์ เซนทอร์จึงต้องปรับตัวให้เขากับสถานที่ด้วยการใช้ร่างมนุษย์แทนร่างปกติ เนื่องจากขนาดตัวที่ใหญ่เกินกว่าจะผ่านประตูเข้ามาได้ และนั่นทำให้รีดาห์ที่เป็นเซนทอร์ร่างเล็กอยู่แล้วยิ่งดูเล็กยิ่งกว่าเดิมในร่างมนุษย์ "ดีที่ด้านล่างไม่มีกองหินโสโครก ไม่อย่างนั้นเจ้าคงมีโทษหนักแน่" สิ่งที่ซาฮาลพูดนั้นไม่เกินความจริงเลย เพราะอีกฝ่ายคือว่าที่เหนือหัวแห่งแอสทารอธ และผู้ใดก็ตามที่ประทุษร้ายต่อเหนือหัวย่อมมีความผิดฐานกบฎ

"แม้ว่าข้าจะยังไม่ใช่เหนือหัว แต่ก็มั่นใจว่าใครก็ตามที่ทำร้ายข้าย่อมมีโทษไม่ต่าง..."

"เลิกขู่ข้าได้แล้ว! อยากให้ทำอะไรก็ว่ามาเร็วๆ" ร่างโปร่งสวนตอบด้วยความอึดอัด "แค่แผลถลอกแค่นี้ ถ้าจะจับข้าฐานกบฎก็ให้มันรู้ไปสิ..." รีดาห์พึมพำเถียงไม่ยอมแพ้ แม้จะรู้ว่าอย่างไรตนก็เป็นฝ่ายผิดอยู่ดีก็ตาม และท่าทางก้มหน้าก้มตาเถียงงึมงำนั่นก็ทำให้ซาฮาลต้องหัวเราะอีกครา

"ข้าตัดสินใจมาที่นี่เพื่อทำให้สัญญานั่นเป็นจริง รีดาห์"

นัยน์ตาสีเข้มมองออกไปด้านนอกมหาคฤหาสน์ที่มืดสนิท และน้ำเสียงที่ริงจังของซาฮาลก็ทำให้คนฟังยืดตัวขึ้นและดึงตัวเองกลับมาสู่การพูดคุยอันเคร่งขรึม "แม้ข้าจะเป็นว่าที่เหนือหัวแห่งแอสทารอธ แต่ข้าก็ออกหน้าช่วยพวกเจ้าทั้งสองคนพร้อมกันไม่ได้" เมื่อได้ยินดังนั้น รีดาห์ก็ตระหนักได้ว่าการกระทำของเขาก็นับเป็นความผิดมหันต์ที่ขัดคำสั่งสภาขุนนาง

"ข้าช่วยออกหน้าให้พวกเจ้าได้เพียงแค่หนึ่งคนเท่านั้น"

รองผู้บัญชาการเซเลสต์เงยหน้าขึ้นมองคู่สนทนา ด้วยแววตาที่รู้ชะตากรรมของตนเอง "เพราะมันบ้าบิ่นเกินไปที่นำพลทหารออกไปสู้รบกลางทะเลซึ่งขัดต่อคำสั่งของสภาอย่างร้ายแรง ข้าก็คงจะถูกปลดจากตำแหน่งรองผู้บัญชาการเซเลสต์ด้วยเช่นกัน" ส่วนเลสธีราห์ที่ถูกปลดไปแล้ว รีดาห์คิดว่าอีกฝ่ายคงถูกเนรเทศ แต่ถ้าซาฮาลช่วยออกหน้าให้ อย่างน้อยพวกเขาสองคนก็ยังได้รับโอกาสในการไปหาอาชีพอื่นทำ ซึ่งนั่นอาจจะเป็นอาชีพเดิมของทั้งคู่ นั่นก็คือการทำงานกับเรือล่าวาฬ

อย่างน้อยพวกเขาก็ยังเป็นเพื่อนกัน... มันก็เพียงพอ

"ข้าจะออกหน้าให้เจ้า..."

"เอ๋...!"

ซาฮาลมองปฏิกิริยาของคนตรงหน้าด้วยใบหน้าเรียบเฉย ทว่าในใจของเขากลับรู้สึกเอ็นดูอีกฝ่ายขึ้นมาอย่างประหลาด ด้วยไม่เคยสังเกตเลยว่ารีดาห์จะเป็นคนที่สามารถแสดงสีหน้าได้หลากหลายอารมณ์เช่นนี้ "ถึงช่วยเลสธีราห์เอาไว้ เขาก็คงทำประโยชน์อะไรให้สภาขุนนางไม่ได้ ดังนั้นข้าควรจะออกหน้าช่วยเจ้าจะดีกว่า อย่างน้อยเจ้าก็เป็นถึง 'วิศวกรรม' ประจำกองทัพเรือ"

ซาฮาลตั้งใจล้อเลียนการใช้คำผิดๆของรีดาห์...

ร่างโปร่งมุ่ยหน้าเล็กน้อยและแล้วก็ก้มรับคำตัดสินของว่าที่เหนือหัวโดยดี แต่ถึงอย่างนั้น มิตรภาพระหว่างเขาและเลสธีราห์ก็ไม่ใช่สิ่งที่จะขาดสะบั้นได้โดยง่ายเพียงเพื่อเอาตัวรอด "เอเดรียนผู้นั้น... ไม่ใช่คนธรรมดาที่เจ้าจะมองข้ามได้" ร่างโปร่งพึมพำ "น้องชายของเขา คือราชาโจรสลัดแห่งเทเทส ซึ่งมีอิทธิพลอย่างมากในทะเลทางใต้"

"เส้นทางการค้าของแอสทารอธอยู่ทางเหนือ เราแทบจะไม่ข้องแวะกับทะเลใต้ด้วยซ้ำ"

"แต่เอ... เรียส... เป็นผู้เดียวที่สามารถต่อกรกับโจรสลัดวาเลสคาได้" รีดาห์เริ่ม แม้จะไม่แน่ใจในชื่อของคนที่ตนพูดถึง แต่รีดาห์ก็เรียกออกมาเต็มปากเต็มคำด้วยน้ำเสียงขึงขังที่สุด "ต่อให้มนุษย์จะไม่น่าคบหา แต่คนอย่างเอเดรียนคือบุคคลที่แอสทารอธจะมองข้ามไปไม่ได้"

"..." ซาฮาลนิ่งฟังโดยไม่ตอบอะไรและปล่อยให้รีดาห์ออกความเห็นไปเรื่อยๆ

"ข้าคิดว่าอิทธิพลทางทะเลของเอเรียสจะเป็นประโยชน์ต่อเรา และในอนาคตอาเดรียจะเป็นมหาอำนาจในแผ่นดินใหญ่เรื่องของการขนส่ง..." รีดาห์หยุดคิดครู่หนึ่งก่อนจะพูดต่อ "เราจะแข็งข้อกับอาเดรียไม่ได้ มีแต่ต้องประนีประนอมเท่านั้น" คนพูดสูดลมหายใจเข้าลึกเพื่อจะพูดในสิ่งที่ตนคิด และพยายามลากเรื่องมาตั้งนานแสนนาน "คนเดียวที่จะต่อรองกับเอเดรียนได้ ก็คือเลสธีราห์"

"..."

"ดังนั้นเราจึงต้องให้เลสธีราห์กลับแอสทารอธ... ไม่อย่างนั้นเราจะไม่มีสิ่งใดเจรจาได้เลย"

"รีดาห์ นี่เป็นแค่เมืองท่าเล็กๆเท่านั้น ไหนจะต้องรับมือกับคัสนาห์อีกเล่า"

เซนทอร์หนุ่มไม่กล่าวตอบว่าที่ผู้นำ แต่กลับมองออกไปด้านนอกหน้าต่างในทิศตะวันตก "คนอย่างเอเดรียนน่ะหรือจะปล่อยให้คัสนาห์ลุกขึ้นมาแก้แค้น" ดวงตาสีอ่อนหรี่ลงเล็กน้อย "ผนวกกับความคิดของเอเรียสแล้ว ป่านนี้หัวของท่านหญิงแห่งคัสนาห์จะยังอยู่บนบ่าหรือไม่ ข้าก็ไม่แน่ใจหรอก"

"รีดาห์... เมื่อข้าเป็นผู้นำอาณาจักร เจ้าจะเป็นที่ปรึกษาให้ข้าได้หรือไม่"

คนถูกถามที่เมื่อครู่ยังมีท่าทางเคร่งขรึมกลับหันมามองคนพูดพร้อมกับอ้าปากหวอทันทีอย่างเก็บอารมณ์ไม่อยู่ "เจ้าว่าอะไรนะ... เจ้าพูดอะไรน่ะ... จะให้ข้าเป็นเลขารึ... แบบท่านหญิงลีอาห์... แต่ข้าเป็นแค่วิศวกรรม... แล้วถ้าข้าไปแล้วจะ... ใครจะมาซ่อมเรือแทน..." ร่างโปร่งตะกุกตะกักและถามคำทุกคำถามที่อยู่ในหัวออกมา ทำให้ว่าที่ผู้นำแอสทารอธต้องหัวเราะออกมา

"อืม ใช่... เป็นแบบท่านหญิงลีอาห์... คิดไปขนาดนั้นแปลว่าตกลงใช่หรือเปล่า"

"อะไร... ข้ายังไม่ได้พูดสักคำว่าตกลง" ร่างโปร่งแหว "ข้าแค่คิดให้รอบคอบ ยัง... ข้ายังไม่..."

"ก็เพราะแบบนี้ เจ้าจึงควรเป็นที่ปรึกษาให้ข้าอย่างไรเล่า" ว่าที่เหนือหัวยิ้มเอ็นดู "ช่างอ่านคนเก่งนัก... และไม่ว่าเจ้าจะตกลงรึเปล่า ข้าก็เลือกราชเลขาของข้าแล้ว อย่าได้ขัดคำสั่งเหนือหัวเชียวล่ะ" คนถูกบังคับได้แต่อ้าปากพะงาบเหมือนต้องการจะเถียงแต่ก็ไม่สามารถหาเหตุผลมาพูดได้

"ว่าต่อสิ รีดาห์... ถ้าข้าจะตัดความสัมพันธ์จากอาเดรีย เจ้าเห็นว่ายังไง"

"เอ่อ..."

"ถ้าเจ้าสู้ท่านหญิงลีอาห์ไม่ได้ ชาวบ้านชาวเมืองจะว่าอย่างไรนะ"

ร่างโปร่งลุกพรวดขึ้นก่อนชี้นิ้วสั่นเทามาที่ซาฮาลด้วยความรู้สึกขุ่นเคืองระคนตื่นเต้น "ก็ใครใช้ให้เอาข้าไปเป็นที่ปรึกษา คนเก่งมีตั้งมากมาย ดันมาเลือกช่างซ่อมเรือ! ข้าไม่ได้มีพรสวรรค์ในด้านการฟังแบบเลสธีราห์หรือท่านทูตธีโอเดรหรอกนะ ที่จะได้ยินทุกเรื่อง และรู้ทุกเรื่องน่ะ! "

ซาฮาลเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่งและมองนิ้วเรียวที่ชี้อยู่ตรงหน้า "เจ้าน้อยใจข้ารึ"

"ไม่ใช่ว้อย!"

ร่างโปรงกระฟัดกระเฟียด ก่อนจะเดินออกมาจากโซฟาและตรงไปที่ประตู รีดาห์พยายามจะบิดกลอนออก แต่แล้วร่างเงาสูงใหญ่ก็ทาบทับจากด้านหลัง เสียงกีบเท้ากระทบพื้นบอกได้ดีว่าคู่สนทนาคืนร่างกลับเป็นเซนทอร์แล้ว ก่อนที่ท่อนขาทรงพลังข้างหนึ่งจะเอื้อมมากดยันประตูเอาไว้ และเมื่อเขาหันกลับไปก็พบว่าซาฮาลยืนกอดอกอยู่ด้วยท่าทางข่มเหง

"อย่าใช้กำลังกับข้านะ!" จะพูดว่ารีดาห์กับเลสธีราห์นิสัยคล้ายกันจึงเป็นเพื่อนสนิทกันก็คงไม่ผิด เพราะเมื่อเห็นท่าไม่ดี ร่างโปร่งก็กลับเป็นเซนทอร์บ้าง แม้ว่าการยืนยกสองขาหน้าขึ้นข่มขู่กลับแล้วจะทำได้แค่เรียกเสียงถอนใจจากซาฮาลเท่านั้นก็ตาม "ถ้าข้าพูดว่าไม่... ก็คือไม่ ต่อให้เจ้าเป็นเหนือหัวก็อย่าหวังจะบังคับข้าได้!"

"เจ้าน่ารักกว่าเลสธีราห์สักข้อหนึ่ง" ซาฮาลเอ่ยเสียงเรียบ "ก็คือดีแต่ขู่ แต่เลสลงมือจริง ข้าเจ็บจริง"

"..."

เมื่อยืนสองข้างสักพัก รีดาห์ก็เริ่มเมื่อย ทว่าคู่สนทนาก็อยู่ใกล้เกินไปเสียเหลือเกิน หากเขาลงยืนทั้งสี่ขาตอนนี้ คงไม่วายจะล้มใส่ซาฮาลแน่นอน "หลบ... ข้าเมื่อย" รองผู้บัญชาการเซเลสต์พูดตรงๆ และยันแผงอกกว้างตรงหน้าออกไปเพื่อจะลงยืนกับพื้น และพบว่าตัวเองดูเตี้ยกว่าซาฮาลถนัดตา "ก็ได้ คุยต่อก็ได้... ข้าไม่เดินหนีแล้ว" ร่างโปร่งเบี่ยงตัวหลบและเดินกับไปที่โซฟา โดยไม่ทันเห็นรอยยิ้มพอใจที่มุมปากของซาฮาล

...โครม!

แต่เมื่อเดินห่างออกมาได้ระยะ รีดาห์ก็ย่อตัวลงก่อนจะยกขาหลังทั้งสองข้างก็ขึ้นดีดสุดแรง "โอ๊ย!!" คนที่ตัวโตกว่าสะดุ้งหนีเมื่อรู้สึกถึงแรงลมจากการสะบัดขาของคู่สนทนา แต่ด้วยความที่เพดานห้องนี้ไม่ได้สูงมาก ทำให้ซาฮาลที่หยัดตัวขึ้นยืนสองขาต้องหัวกระแทกกับโคมไฟด้านบนทันที

"ข้าพยศได้ยิ่งกว่าเลสธีราห์ ถ้ารับได้... เป็นที่ปรึกษาให้เจ้าก็ไม่หนักหนาเท่าไหร่หรอก!"

--------------------------------------------------

เสื้อของเอเดรียนเปียกชุ่มด้วยน้ำทะเลผสมกับเลือดที่ไหลซึ่มออกมาต่อเนื่อง อีกฝ่ายหักก้านลูกดอกออกทว่ายังมีส่วนหัวฝังอยู่ในเนื้อ ทำให้เลสธีราห์ต้องใช้มีดเปิดแผลเพื่อดึงสิ่งที่ตกค้างออกมาให้หมด กลิ่นเลือดสดคลุ้งไปทั่วห้องจนเซนทอร์หนุ่มเองยังรู้สึกเวียนหัว

ยาของพวกเซนทอร์มักจะเป็นสมุนไพรที่อยู่ในป่านำมาสกัดด้วยวิธีการเรียบง่ายจนออกมาเป็นยาทา ยาดม และยาเม็ด ในห้องพักกัปตันนี้ก็มียาอยู่หลายชนิดและหลายประเภท ซึ่งถูกเก็บรักษาไว้ในขวดโหลแก้วกันน้ำอย่างดีในหีบไม้ ร่างโปร่งหยิบผ้าพันแผลที่อยู่ในขวดโหลออกมาแล้วเริ่มพันให้อย่างเก้ๆกังๆด้วยไม่รู้ว่าควรจะพันไปทางใด

...ดูเหมือนว่าเลสธีราห์จะไม่เอางานเรื่องพยาบาลสักเท่าไหร่

เอเดรียนยิ้มจาง แล้วจึงวางมือของตนลงบนมือของอีกฝ่ายเพื่อช่วยพันแผลให้ตัวเอง ก่อนจะเหลือบตาขึ้นมองอีกฝ่าย และในอึดใจเดียวกันที่อีกฝ่ายก็เงยมองเขาโดยไม่ตั้งใจเช่นกัน เมื่อดวงตาทั้งสองสบกัน ความรู้สึกบางอย่างก็ทำให้เซนทอร์หนุ่มรู้สึกร้อนใบหน้าขึ้นมา

"มองอะไรของเจ้า"

ว่าแล้วเลสธีราห์ก็หลุบตาลงไปมองจ้องแผลอย่างเอาเป็นเอาตายทั้งที่มันไม่ได้มีอะไรน่าสนใจ จนกระทั่งนึกขึ้นได้ว่ามันเป็นแผลที่เกิดจากตนเอง "โชคดีเท่าไหร่ที่โดนแค่แขน หากมันโดนอกเจ้าแทน..." เขาพึมพำเสมือนพูดกับตนเอง ซึ่งเป็นกิริยาที่ทำให้คู่สนทนาทอดยิ้มออกมาอย่างอ่อนโยน "ถ้ามันโดนอกเจ้าแทนจะเป็นอย่างไร"

"เจ้านั่นก็เล็งจะฆ่าเจ้า... จะให้ข้าอยู่เฉยหรือ" เอเดรียนว่า "เจ้าทำเพื่อข้ามามากพอแล้ว เลสธีราห์"

เซนทอร์หนุ่มเม้มปากด้วยไม่รู้จะตอบว่าอะไร เขาไม่แน่ใจว่าเอเดรียนรู้เรื่องราวทั้งหมดแล้วหรือยัง และอีกฝ่ายจะโกรธที่เขาร่วมมือกับเอเรสหรือไม่ "ท่านชายซินญอร์ขอร้องให้เจ้าทำหรือ" เอเดรียนถามช้า และพยายามใช้น้ำเสียงปกติที่สุดเพื่อไม่ให้เลสธีราห์คิดว่าตนเองกำลังถูกตำหนิ "เขาขอให้เจ้า..."

"ใช้ความสัมพันธ์ของข้ากับเจ้าให้เป็นประโยชน์"

เซนทอร์หนุ่มเงยหน้าขึ้นสบตาอีกฝ่ายและสูดหายใจเข้าลึกๆ เขาเองคิดว่าเอเดรียนต้องการจะรู้เรื่องนี้ และมันอาจถึงเวลาที่อีกฝ่ายจะต้องความจริงแล้วว่า คนที่วางแผนเรื่องราวทุกอย่างคือคนที่เขาเพิ่งจะสังหารไป "ผลักดันให้เจ้าขึ้นเป็นผู้นำอาเดรีย" เลสธีราห์มีความสามารถในการฟัง ดังนั้นเขาจึงได้ยินกระทั่งเสียงลมหายใจของอีกฝ่าย และรับรู้ได้ว่าเอเดรียนกลั้นใจกับคำตอบของเขา

"ซึ่งข้าเห็นด้วยกับเขา เอเดรียน..."

เอเดรียนพยักหน้าเบาอย่างคนที่พอจะรู้อะไรบ้างแล้ว แต่ยังไม่เข้าใจรายละเอียดมากพอ "ทำไมจะต้องทำถึงขนาดนั้น" ชายหนุ่มพึมพำ "การที่จะวางแผนให้ใครสักคนหันมาฆ่าตัวเอง ทำไมถึงต้องทำขนาดนั้น... มันไม่มีทางออกที่ดีกว่านี้แล้วหรือไง" เลสธีราห์ส่ายหัว และเอื้อมไปกุมมือของคู่สนทนาช้าๆ รอให้อีกฝ่ายบีบมือตอบ

"เขาอยู่ภายใต้การควบคุมของท่านหญิงซินญอร่า เขาทำเช่นนี้เพื่อไม่ให้ใครแทรกแซง"

เอเดรียนส่ายหัวเบา "แต่ทำไม..."

"เขาเลือกที่จะทำร้ายจิตใจเจ้าเพียงคนเดียวเพื่อรักษาอาเดรียเอาไว้ ดีกว่าทำร้ายประชาชนอีกหลายพันต่อไปด้วยความหายนะที่พี่สาวของเขาชักนำมา" ร่างโปร่งหลับตาลง "เขาดึงเอเรสเข้ามาเกี่ยวข้องเพราะรู้ว่านั่นคือน้องชายของเจ้า และเอเรสมีอิทธิพลมากพอที่จะทำให้ขุนนางทุกฝ่ายเงียบปาก"

เอเดรียนกลั้นใจน้อยๆเมื่อพูดถึงตรงนี้ "แต่เอเรสมีอิทธิพลแค่กับคนอื่น แต่ไม่ใช่ข้า..."

"เอเรสจึงขอให้ข้าช่วย" เลสธีราห์อธิบาย "แลกกับปืนคาบศิลา เพราะเขารู้ว่าความสัมพันธ์ของข้ากับเจ้า..." ร่างโปร่งเม้มปากครู่หนึ่งด้วยต้องการคิดหาคำพูดให้เหมาะสม แต่แล้วก็หัวเราะออกมาสั้นๆด้วยความสมเพชตนเอง "พวกเราช่างเหมือนคนที่รักกันด้วยผลประโยชน์" เพราะหากทบทวนดูแล้ว เลสธีราห์เองก็มองที่ผลประโยชน์ และด้วยความที่มันมากพอที่จะเสี่ยง เขาจึงตอบตกลง

"ข้าภูมิใจที่เจ้าไม่ทอดทิ้งอาณาจักรเพื่อข้า... เลสธีราห์" เอเดรียนยิ้มจาง "นั่นคือเกียรติของเซนทอร์"

หากเลสธีราห์กล่าวว่าตนเองคือผู้ที่ไม่คู่ควรกับเอเดรียน เพราะเขาทิ้งทุกสิ่งอย่างเพื่อบุคคลเพียงคนเดียว เอเดรียนก็จะกล่าวว่านี่คือสิ่งที่พิสูจน์ว่าเลสธีราห์เองก็ไม่ได้ทอดทิ้งบ้านเมืองเพื่อเขาอย่างที่เจ้าตัวเข้าใจ แม่ทัพหนุ่มกอบกุมมืออีกฝ่าย "เจ้าคิดถึงบ้านเมืองเสมอ และต่อสู้เพื่อให้อาณาจักรได้รับผลประโยชน์ที่ดีที่สุด แบบนี้จะเรียกว่าเจ้าทอดทิ้งแอสทารอธได้อย่างไร"

"แต่ถ้าหากข้าเห็นประโยชน์ของแอสทารอธมาก่อน... ข้าคงจะทำตามคำสั่งของสภาขุนนางไปแล้ว"

"แค่สภาขุนนางไม่รู้จักปืนคาบศิลา" เอเดรียนถอนใจเบา "เอเรสบอกข้าเรื่องสัญญาของตระกูลฟรินทรัสต์ ทั้งเรื่องปืนคาบศิลา และข้อตกลงน่านน้ำ หากเทียบกับเรือจักรไอน้ำเพียงสิบลำของธีสธรัล ไม่ว่าผู้นำคนไหนเห็นข้อเสนอนี้ก็ล้วนเข้าใจว่าเหตุใดเจ้าจึงกล้าแข็งข้อเพื่อมัน" ชายหนุ่มเกลี่ยปอยผมสีอ่อนให้พ้นใบหน้าเรียว

"ต่อให้เหตุผลที่แท้จริงคือการต่อสู้เพื่อข้า แต่ขอให้มันเป็นความลับของพวกเราสองคนเถอะนะ"

เลสธีราห์ขยับเข้าไปใกล้อีกฝ่าย และยกมือขึ้นประคองเสี้ยวหน้าคมของคู่สนทนาเอาไว้ "เจ้าเล่ห์"

ร่างสูงยกแขนขึ้นกอดรวบคนพูดเข้ามาหาตัวและแนบริมฝีปากจูบอีกครั้งอย่างอดไม่ได้ "เพราะข้า... ก็ต่อสู้เพื่อเจ้าเช่นกัน" เสียงทุ้มกระซิบบอก "หากอาณาจักรเรายังบาดหมาง... ข้าคงจะไม่ได้พบเจ้าด้วยความรู้สึกแบบนี้" เลสธีราห์ถูกอีกฝ่ายกอดรั้งเสียจนต้องขยับไปนั่งบนหน้าตัก และด้วยความที่พวกเขาไม่ได้อยู่ใกล้ชิดกันแบบนี้มาเนิ่นนาน ทำให้เซนทอร์หนุ่มก้มลงเพื่อแอบซ่อนใบหน้าแดงซ่านของตัวเอง "ฉะนั้น อย่าหนีข้าไปไหนอีกเลย"

"เป็นแค่เลสธีราห์ของข้าเท่านั้น"

สุดท้ายแล้วเขาก็ใจอ่อน...

เลสธีราห์หลับตาลง และสัมผัสความอบอุ่นจากริมฝีปากของอีกฝ่าย

ร่างโปร่งดึงคู่สนทนาเข้ามาใกล้ พลางยกมืออีกข้างประคองกอด ถึงเขาจะรู้สึกไม่ชอบนิสัยขี้ใจอ่อนของตัวเอง แต่ความรู้สึกในยามที่อีกฝ่ายสัมผัสเขาแบบนี้มันช่างดีเสียเหลือเกิน ริมฝีปากทั้งคู่แตะแนบกันซ้ำแล้วซ้ำเล่า แลกลมหายใจคลอเคลียราวกับไม่ต้องการจะแยกห่าง และกระหวัดกอดคนตรงหน้าให้เข้ามาแนบกายที่สุด เพื่อแทนคำพูดว่าจะไม่ปล่อยให้อีกฝ่ายไปไหนจากตนอีก

"เจ้าเองก็... เป็นแค่เอเดรียนของข้าก็พอ"

--------------------------------------------------
---------- TO BE CONTINUE ----------


จริงๆมันก็... ครบ 30 ตอนแล้วแหละ... มันก็จบนะ... แต่ต้องมีบทส่งท้าย (สรุป+เอาทุกคนมาพบกัน)
แล้วก็ตอนพิเศษอีก หลังจากอึมครึมมาทั้งเรื่องงง...

คือเรื่องนี้ดีกัน 15 ตอน อีก 15 ตอนดราม่า... เอื้อออ...

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
จบแล้วเหรอคะ ไม่มีดราม่าแล้วใช่ไหม จะอ่านแล้วน้าาาา

ออฟไลน์ khaosap

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 165
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
    • Khaosap Writing
จบแล้วเหรอคะ ไม่มีดราม่าแล้วใช่ไหม จะอ่านแล้วน้าาาา

ไม่มีดราม่าแล้วค่าาา หลังจากนี้จะเป็น >>> บทสรุป >>> ตอนพิเศษ 1+2+3  :mew1:

ออฟไลน์ neverland

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 653
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-0
ดีต่อใจจังเลย ในที่สุดดด  :mc4:
รีดาห์กับซาฮาลจะไปรอดมั้ยนะ ฮ่าา

ออฟไลน์ khaosap

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 165
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
    • Khaosap Writing
ดีต่อใจจังเลย ในที่สุดดด  :mc4:
รีดาห์กับซาฮาลจะไปรอดมั้ยนะ ฮ่าา

อิ... ไว้ตอนพิเศษจะจัดให้เยอะๆนะคะ เขียนเครียดมาทั้งเรื่องก็อยากสวีทบ้างงงง  :hao5: :hao5: :hao5:

ออฟไลน์ khaosap

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 165
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
    • Khaosap Writing
บทส่งท้าย

ชาวเมืองอาเดรียหลายคนไม่เคยพบเจอเหตุการณ์นี้มาก่อน แม้ว่าพวกเขาจะเคยเห็นการเปลี่ยนแปลงการปกครองครั้งสำคัญของอาณาจักรก็ตาม แต่ภาพของท่าเรือออโรราในตอนนี้อาจต้องบันทึกลงในหน้าประวัติศาสตร์ของเมืองท่าแห่งตะวันตกว่าในวันที่สามัญชนอย่างแม่ทัพเอเดรียนได้ยึดอำนาจการปกครองจากเชื้อพระวงศ์คนสุดท้าย เหล่าเรือรบที่เป็นตำนานของทะเลเทเทสทั้งสี่ลำได้มาเทียบท่าร่วมกันได้อย่างไม่น่าเชื่อทั้งเรือเหาะอาคาเซียของเธสซาลีย์ เรือบัญชาการแองเจลิกาของโจรสลัดเทเทส เรือรบหลวงคาร์เธียร์แห่งธีสธรัล

...และเรือรบเซเลสต์ของแอสทารอธ

แต่บุคคลสำคัญที่ควรจะมีชื่ออยู่ในประวัติศาสต์ด้วยกลับไม่นึกสนใจจะจดบันทึกอะไรทั้งนั้น ทั้งยังอยากจะกระโดดอ่าวออโรราแล้วหนีไปให้รู้แล้วรู้รอดอีกด้วย นั่นคือเอเดรียน ผู้อยู่ในตำแหน่งว่าที่ผู้นำอาณาจักรกำลังเผชิญหน้ากับอาคันตุกะจากต่างแดนพร้อมกันทั้งหมด

ไม่รวมเอเรส ราชาโจรสลัดเทเทสใต้ ...ซึ่งนับเป็นญาติของเขา

และบรรยากาศอึมครึมที่ไม่มีใครแน่ใจว่าเกิดจากสาเหตุอะไรทำให้ไม่มีผู้ร่วมเสวนาคนใดอยากพูดขึ้นมาก่อน ราชินีไวลด์ตั้งใจจะมาร่วมฟังการสนทนาของอาเดรียในฐานะคู่สัญญาข้อตกลง ว่าอีกฝ่ายจะจัดการอย่างไรกับแอสทารอธและเธสซาลีย์ แต่แน่นอนว่าท่านทูตธีโอเดรผู้มีความสามารถในการฟังย่อมอยากฟังการสนทนาของอาเดรียและธีสธรัลเช่นกัน

"ข้าเขียนสัญญาขึ้นมาเพื่อแจกแจงผลประโยชน์และข้อตกลงของแต่ละอาณาจักร..."

เอเดรียนเริ่ม และเปิดแฟ้มหนังสีดำเพื่อจะหยิบสัญญาที่เขาเขียนขึ้นมาเมื่อคืนที่ผ่านมา และพบว่ากระดาษด้านบนสุดนั้นเป็นของธีสธรัล แต่เมื่อชายหนุ่มหันหน้าไปทางราชินี ท่านหญิงลีอาห์ก็มีปฏิกิริยาเล็กน้อยด้วยการสูดลมหายใจเข้าช้าๆ ซึ่งนั่นอาจหมายถึงความไม่พอใจสักเท่าไหร่ เพราะในสายตานางแล้ว แอสทารอธคือผู้เสียหายที่สุดจากความวุ่นวายครั้งนี้ เอเดรียนจึงควรไกล่เกลี่ยกับทางแอสทารอธก่อนใครอื่น อดีตแม่ทัพใหญ่เหลือบตามองสัญญาฉบับต่อไปซึ่งยังเป็นของธีสธรัลอยู่ เอเดรียนจึงพยายามยักมุมปากขึ้นยิ้มเพื่อแสดงความเป็นมิตร และผ่อนคลายบรรยากาศ แต่ราชเลขาเซนทอร์กลับหลับตาและยิ่งสูดหายใจเข้าอย่างเงียบงัน

คนที่อยากจะหัวเราะออกมาที่สุดดูเหมือนจะเป็นธีโอเดร... ทูตแห่งเธสซาลีย์

"เรียงตามตัวอักษรก็แล้วกัน..."

ราชินีไวลด์เองก็ดูจะเห็นใจเอเดรียนขึ้นมาเสียอย่างนั้น นางจึงเสนอขึ้นมาทำลายความเงียบ แต่เมื่อพิจารณาดีๆแล้ว หากเรียงตามตัวอักษรในภาษาของพวกเขา อาณาจักรเธสซาลีย์ก็มาก่อนแอสทารอธ ตามด้วยธีสธรัล และจบที่แอสทารอธ "เธสซาลีย์ไม่ได้เรียงร้องอะไรจากอาเดรีย ไม่ต้องห่วงหรอก" ธีโอเดรชิงพูดขึ้นมาก่อนที่เอเดรียนจะหยิบเอกสารแผ่นถัดไปขึ้นมา ซึ่งนั่นยิ่งทำให้ว่าที่ผู้นำรู้สึกประหม่าจนเกือบสั่น

คนแบบนี้หรือ ที่เลสธีราห์ชอบ...

ซาฮาลผู้นั่งอยู่ในวงเสวนาหารือด้วยในฐานะว่าที่เหนือหัวแห่งแอสทารอธยกแขนขึ้นกอดอกนิ่งๆและพิจารณามนุษย์ตรงหน้าเงียบๆ พลางเปรียบเทียบกับตัวเองอยู่ในใจและตัดสินในเวลาอันรวดเร็วว่าเอเดรียนไม่มีสิ่งใดเทียบเคียงเขาได้ เว้นเสียแต่ว่าเจ้านั่นมีรสนิยมการแต่งตัวที่ดีกว่าเขา ดูอ่อนโยนกว่าเขา และดูใจดีกว่าเขา

แต่นั่นไม่นับเป็นความแข็งแกร่งในแบบของเซนทอร์!!

"นับระยะทางบนแผนที่ดีกว่า" เอเรสกล่าวทำลายความเงียบเมื่อเห็นว่าพี่ชายพยายามจะตั้งสติ แต่เอกสารของธีสธรัลก็มีหลายแผ่นจนเกินไปจนยากที่จะหาของอาณาจักรอื่นพบในช่วงเวลาสั้นๆนี้ แต่เมื่อพิจารณาดีๆแล้ว อาณาเขตของแอสทารอธกับอาเดรียก็เพียงแค่มีชายแดนร่วมกัน โดยอิงแม่น้ำเส้นเดียวกัน ทว่าอาณาเขตทางทะเลของอาเดรียและธีสธรัลนั้นเรียกได้ว่า 'ทับซ้อน' ซึ่งหมายความว่าอาเดรียอยู่ใกล้ธีสธรัลมากกว่าแอสทารอธ

เลสธีราห์สูดหายใจเข้าบ้างอย่างอดไม่ได้ "เอาเป็นว่า แอสทารอธมีสิทธิ์ที่จะเจรจาก่อน!"

ไม่ต้องกล่าวอ้างถึงตัวอักษรนำหน้าอาณาจักรหรือว่าระยะทางบนแผนที่ แต่หากนับจำนวนผู้ร่วมประชุมครั้งนี้แล้วมีตัวแทนแอสทารอธถึงสี่ตน ตัวแทนจากธีสธรัลหนึ่งคน และตัวแทนเธสซาลีย์อีกเพียงหนึ่งเท่านั้น "อีกทั้งข้อตกลงระหว่างธีสธรัลกับอาเดรียก็มีมากมายเหลือเกิน กว่าจะได้พูดเรื่องต่อไปก็คงไม่ทันวาระประชุมของสภาขุนนางแอสทารอธ" สิ่งนั่นเป็นสิ่งที่ทูตระดับสูงอย่างท่านหญิงลีอาห์จะไม่พูด เพราะมันช่างเป็นเหตุผลที่ตรงไปตรงมาเสียจนเกือบไม่มีชั้นเชิง ดังนั้นเมื่อบุตรชายพูดแบบนั้นออกมา ราชเลขาก็ถอนใจเบาแทนการสูดลมเข้าเพื่อสงบอารมณ์

เอเดรียนค้นเจอเอกสารในส่วนของแอสทารอธในที่สุด พร้อมกับสัญญาของตระกูลฟลินทรัสต์ที่เอเรสแอบไปตกลงกับเลสธีราห์เอาไว้เมื่อครั้งที่ทั้งสองร่วมมือกับท่านชายซินญอร์ "ดูเหมือนว่าที่เหนือหัวจะทราบแล้วว่าอาเดรียกับแอสทารอธมีข้อตกลงลับๆร่วมกัน นั่นคือหากแอสทารอธยื่นมือเข้าช่วยเหลือข้า ...ตระกูลฟลินทรัสต์จะมอบปืนคาบศิลาให้กับแอสทารอธตามจำนวนของทหารที่เข้าร่วมรบในสงครามครั้งนี้ นั่นก็เท่ากับสามร้อยห้าสิบสองกระบอก แต่ไม่นับรวมลูกปืน"

เอเดรียนอ่านจากเอกสารในมือและเหลือบมองน้องชายเล็กน้อยเมื่อเห็นความขี้โกงของอีกฝ่าย

เอเรส... เจ้านี่มัน...

"และเสนอข้อตกลงเปิดน่านน้ำทะเลทางเหนือให้เรือรบแองเจลิกาสามารถผ่านเส้นทางได้ โดยแลกเปลี่ยนกับข้อตกลงในการผลิตลูกปืนเพื่อใช้กับปืนคาบศิลา" ร่างสูงมุ่นคิ้วเล็กน้อยและเหลือบตาขึ้นมองเอเรสผู้เป็นเจ้าของสัญญานั้นราวกับขอให้อีกฝ่ายอธิบายเพิ่มเติม "โดยเรือรบแองเจลิกาจะไม่ทำอันตรายหรือมีจุดประสงค์ร้ายใดๆต่ออาณาจักรแอสทารอธ"

เอเรสพยักหน้าเบาพร้อมกับยิ้มจาง "โจรสลัดวาเลสคาแห่งทะเลเหนือ"

ธีโอเดรเหลือบมองคนพูดเล็กน้อยเมื่อได้ยินชื่อของโจรสลัดวาเลสคา เนื่องจากกลุ่มโจรสลัดดังกล่าวนั้นเป็นกลุ่มเอลฟ์จากเธสซาลีย์ "ข้ารู้มาสักพักแล้วว่าเจ้าเป็นผู้มีอิทธิพลในอาเดรียใต้ เป็นน้องชายของแม่ทัพเอเดรียน และมีปัญหาบาดหมางค้างคากับโจรสลัดวาเลสคา" ทูตเอลฟ์ว่า "แต่ไม่คิดว่าเจ้าจะนำเรื่องนั้นมาผูกโยงกับข้อตกลงอาณาจักร ขอผ่านน่านน้ำแอสทารอธ เพียงเพื่อไปต่อสู้กับคู่กรณี"

"โจรสลัดวาเลสคาโหดเหี้ยมไร้คุณธรรม" เอเรสกล่าวตอบด้วยน้ำเสียงจริงจัง "ไม่เคารพหรือแยแสกฎแห่งโจรสลัด อันเป็นสิ่งที่ข้ายอมไม่ได้ในฐานะผู้นำระดับสูง" จริงอยู่ว่าเอเรสเป็นผู้นำโจรสลัด แต่ทุกคนในที่ประชุมก็พอจะรู้ว่าในหมู่โจรเองก็มีกฎที่พวกเขาจะต้องเคารพ และโจรสลัดวาเลสคาไม่เคยเคารพในกฎเหล่านั้น ซึ่งเป็นสิ่งที่นำภัยร้ายแรงมาสู่โจรสลัดกลุ่มอื่น "ข้าเกรงว่าความเหิมเกริมของวาเลสคาจะทำให้ทั่วทั้งทะเลเดือดร้อน"

ซาฮาลในฐานะอดีตผู้บัญชาการกองเรือพาณิชย์เข้าใจปัญหาที่เอเรสกล่าวถึง และเริ่มคิดหาวิธีขออนุญาตออกความเห็นในที่ประชุม เดิมทีเซนทอร์ใช้วิธีเคาะกีบเท้า ทว่าในตอนนี้เขาอยู่ในร่างมนุษย์จึงไม่มีกีบเท้าให้เคาะ อีกทั้งบนโต๊ะยังไม่มีสิ่งใดที่พอจะทำให้เกิดเสียงได้อีกด้วย และแน่นอนว่าการกระแอมนั้นเป็นมารยาทที่ไม่ควรทำให้ที่ประชุม แต่คนที่พูดขึ้นมากลับเป็นรีดาห์ที่นั่งอยู่ข้างเขา

"วาเลสคาไม่ทำเพียงปล้นสะดม แต่เข่นฆ่าทุกคนและจมเรือทั้งลำ"

ในฐานะผู้ดูแลการซ่อมเรือ รีดาห์จำได้ดีว่าเรือพาณิชย์ของแอสทารอธสูญหายไปหลายลำจากฝีมือของโจรสลัดวาเลสคา ถึงแม้จะไม่มีใครชื่นชอบโจรสลัด และนึกอยากให้โจรสลัดหายไปจากน่านน้ำทั้งหมด แต่พวกเขาก็ต้องยอมรับว่าโจรสลัดแต่ละกลุ่มต่อสู้กันเองและปกครองกันเองด้วยกฎแห่งโจรซึ่งนั่นเป็นวิธีการควบคุมความเรียบร้อยของพวกเขา

สายตาของเซนทอร์มองไปทางราชเลขาผู้มีอำนาจการตัดสินใจแทนเหนือหัวดาเรียส "ท่านหญิงว่าอย่างไร"

"เราอาจจะต้องนำเรื่องนี้เข้าวาระประชุมของสภาขุนนาง ข้าไม่อาจตัดสินใจได้" ลีอาห์ตอบเสียงเรียบ "แต่สิ่งตอบแทนของอาเดรียยังไม่น่าสนใจพอที่จะเปลี่ยนแปลงการตัดสินใจของสภาขุนนาง เรื่องของผู้บัญชาการกองเรือเซเลสต์" แม้ว่าปัญหาของเลสธีราห์อาจไม่สำคัญในข้อตกลงระดับอาณาจักร แต่หลายคนในที่นี้ก็พอจะเข้าใจจุดเริ่มต้นของความวุ่นวาย และต้องการที่จะเห็นเอเดรียนลงมือแก้ไขหรือทำอะไรบางอย่างเพื่อเลสธีราห์เพื่อให้สมกับที่เลสธีราห์ลงมือทำเพื่อเอเดรียน

"ข้ายังมีข้อตกลงด้านผลผลิตทางการเกษตร และแก้ไขปัญหาแรงงานที่ขาดแคลนของแอสทารอธ"

ท่านหญิงลีอาห์เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยด้วยความสนใจเมื่อเอเดรียนพูดถึงข้อตกลงแรงงาน "นี่อาจเป็นเรื่องที่เราต้องหารือร่วมกันในระยะยาว ในเวลานี้คาดว่าไม่เหมาะสม" แม้นางจะมีอำนาจตัดสินใจแทนเหนือหัวดาเรียส แต่นางไม่มีอำนาจตัดสินใจแทนสภาขุนนาง ดังนั้นท่านหญิงจึงคิดว่าควรจะเชิญเอเดรียนมาร่วมประชุมในสภาขุนนางของแอสทารอธด้วยในโอกาสต่อไปจะดีกว่า และในที่ประชุมแห่งนี้ยังมีราชินีแห่งธีสธรัล และราชาโจรสลัดร่วมฟังอยู่ด้วย จึงไม่เป็นการไม่เหมาะสมสักเท่าไหร่

เอเดรียนยกยิ้มขึ้นเล็กน้อยเมื่อสามารถตะล่อมให้ท่านหญิงพูดคำนั้นออกมาได้

"ข้าอยากให้เลสธีราห์เป็นผู้ดูแลการเจรจาระหว่างอาเดรียกับแอสทารอธ" สิ่งที่ออกจากปากของเอเดรียนไม่ผิดคาดไปจากความคิดของซาฮาลสักเท่าไหร่ เพราะนั่นเป็นตำแหน่งที่ทำให้ทั้งสองมีโอกาสพบกันได้ แม้ว่าจะอยู่คนละอาณาจักรก็ตาม เช่นนั้นแล้วแปลว่าเลสธีราห์จะไม่เดินทางไปยังตะวันออกกับบิดาอย่างนั้นหรือ แต่จะยืนยันอยู่ที่นี่ แม้ว่าตนจะตกต่ำจากสถานะเดิมก็ตาม

เลสธีราห์จะสู้ต่อ... เพราะเอเดรียนผู้นี้หรือ

...นี่คือสิ่งที่เขาทำไม่ได้สินะ ทำให้เลสธีราห์ลุกขึ้นต่อสู้ไม่ได้

"และในข้อตกลงด้านผลผลิตด้านการเกษตร มีข้อเสนอเรื่องของป่าเวทมนตร์และยูนิคอร์นอยู่ด้วย" ท่านลีอาห์ถอนใจเบาก่อนจะเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ช้าๆ ด้วยความรู้สึกเหนื่อยใจว่าเอเดรียนผู้นี้จะเริ่มจับทางของเซนทอร์ได้ดีเกินคาดไปเสียแล้ว "หลังจากนี้ ข้าจะขอเดินทางไปยังแอสทารอธด้วยตนเองเพื่อเจรจาเนื้อหาทั้งหมดกับเหนือหัวดาเรียส" เอเดรียนยิ้มจาง "ไม่ทราบว่าทางแอสทารอธมีความเห็นอย่างไร"

"หากพูดเรื่องพรรค์นี้มาตั้งแต่แรกก็คงไม่มีใครต้องเจ็บหรือตายหรอก"

ท่านหญิงโมนาผู้เบื่อหน่ายการหาเรือเอ่ยขึ้นพร้อมกับยกแขนขึ้นเท้าบนโต๊ะและกุมขมับอย่างเวียนหัว "แล้วเอาเรื่องลูกปืนไปผูกกับเรื่องของเลสธีราห์แทนไม่ได้หรือไง เจ้าจะให้เขาคืนตำแหน่งเดิมแลกกับการผลิตลูกปืนอะไรก็ได้" เมื่อคนที่ไม่ใช่ทูตเจรจาเสียเอง ผู้ที่เจนจัดในวงการความสัมพันธ์อย่างธีโอเดรและลีอาห์ รวมทั้งซาฮาลจึงได้มองแม่ทัพหญิงเป็นตาเดียวราวกับขอให้นางเลิกพูดตรงไปตรงมาแบบนั้น

"ก็ได้... นี่เป็นมุมมองของแม่ทัพอย่างข้า" โมนาถอนใจ "กลับไปคุยที่แอสทารอธเองเถอะ"

เอเดรียนยิ้มรับก่อนจะพยักหน้าเบา "ข้าพร้อมเดินทางไปด้วยตนเองเสมอ ในฐานะผู้นำอาณาจักร" ชายหนุ่มหันกลับมายังราชินีแห่งธีสธรัลและหยิบเอกสารข้อตกลงค่าธรรมเนียมท่าเรือที่พระนางร่างเอาไว้ด้วยตนเองก่อนหน้านี้ออกมา "ข้าคิดว่าผลประโยชน์เบื้องต้นของธีสธรัลและแอสทารอธลงตัวแล้ว"

"ใช่สิ เจ้าจัดการคัดลอกแล้วส่งไปยังอาณาจักรอื่นๆแล้วด้วยนี่" ไวลด์มุ่นคิ้ว "ทั้งไอย์ชวล อัสเซเดธ ฟาวสต์ เอริล ทุกอาณาจักรในมหาทวีปรวมทั้งแอสทารอธก็รับรู้โดยทั่วกัน" พระนางกำหมัดน้อยๆ "ดังนั้นจะเจรจาอย่างเปิดเผยในที่ประชุมนี้ข้าก็ไม่ขัดข้องหรอก" เอเดรียนยิ้มอย่างอ่อนใจและลอบถอนใจกับตนเองที่เอเรสกระทำเกินคำสั่ง นั่นคือการประกาศกลายๆว่านับแต่นี้ไป อาเดรียไม่ใช่เมืองขึ้นของธีสธรัล แต่เป็นคู่ค้าสำคัญที่มีฐานะเท่าเทียมกัน

นับแต่นี้... ท่าเรือออโรราจะไม่เงียบเหงา และการค้าของอาเดรียจะไม่ซบเซาอีกต่อไป

เอเดรียนยกยิ้มขึ้นอย่างพอใจ "เช่นนั้น ในตอนนี้ทั้งสามอาณาจักรควรหารือร่วมกันเรื่องของทิศทางการค้ากับตะวันออก หากสามารถมีแนวทางร่วมกันได้ การค้าขายของพวกเราจะยิ่งก้าวหน้าและยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน"

ธีโอเดรกระแอมขัดคอเล็กน้อย "ไม่นับรวมข้ารึ..."

.

.

ท่านหญิงลีอาห์หันไปมองสามีที่นั่งอยู่เคียงข้าง "ท่านออกไปข้างนอก..."

"อย่างไรข้าก็ได้ยินอยู่ดี"

--------------------------------------------------


ตอนนี้เหมือนยิงมุกที่ไม่ได้ยิงมาทั้งเรื่อง..........
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 31-01-2017 12:38:56 โดย khaosap »

ออฟไลน์ khaosap

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 165
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
    • Khaosap Writing
สุดท้ายแล้ว ธีโอเดรก็ต้องออกมาเดินเล่นด้านนอกระหว่างการหารือกันของสามอาณาจักร

ทูตเอลฟ์มองไปรอบๆอาณาจักรที่ได้รับความเสียหายจากการสู้รบ ทั้งกำแพงเมืองด้านหนึ่งที่เกือบจะพังทลายจากอานุภาพปืนใหญ่ และประตูเมืองที่ปิดไม่ได้ซึ่งรีบซ่อมแซมในเร็ววัน กลิ่นดินปืน และกลิ่นเลือดยังคลุ้งอยู่ในอากาศ ประชาชนที่หลบอยู่ในห้องใต้ดินเมื่อวานนี้เดินทางกลับไปยังบ้านของตนแล้ว บ้างก็ร่ำไห้เสียใจให้กับคนในครอบครัวที่เสียชีวิตในหน้าที่ทหาร

ธีโอเดรเดินขึ้นไปบนกำแพงปราการชั้นหนึ่งซึ่งโอบล้อมมหาคฤหาสน์แห่งอาเดรียเอาไว้

"ท่านทูตมีกำหนดการอย่างไรบ้างขอรับ"

เอลฟ์คนสนิทตรงเข้ามาถามทันทีเมื่อเห็นนายของตนปรากฎตัวหลังจากหายเข้าไปในมหาคฤหาสน์ของอาเดรียตั้งแต่เมื่อวาน "มหาราชาส่งข่าวอะไรมาหรือเปล่า" ธีโอเดรถาม และมุ่นคิ้วเล็กน้อยราวกับต้องการฟังการหารือกันของพวกคนในห้องประชุม "ข้าคิดว่าเธสซาลีย์เองก็ควรรุกหาอาเดรียบ้างเหมือนกัน"

"มหาราชาส่งข่าวมาอวยพรขอให้ท่านทูตได้ใช้เวลาอยู่กับครอบครัวขอรับ..."

"ไม่เอาสิ" ธีโอเดรหัวเราะ "ส่งข่าวบอกมหาราชาว่าข้าต้องการพบตัวแทนขุนนางฝ่ายทะเลใต้ ส่งคนมาได้เลย ถ้าเป็นเรือเหาะสักสี่วันก็คงถึง" การเดินทางจากตะวันออกมายังมหาทวีปแห่งนี้ใช้เวลาสี่วันสำหรับเรือเหาะ แต่หากเป็นเรือใบธรรมดาก็อาจใช้เวลาร่วมเดือน "รีบมาก่อนที่อัสคาห์เดินทางมาถึง" แม้ว่าเธสซาลีย์จะมีความสัมพันธ์อันดีกับแอสทารอธ แต่ธีโอเดรก็คิดว่าอาเดรียแห่งนี้ยังมีอะไรที่น่าสนใจอยู่อีกมาก ยิ่งเมื่อได้ยินเรื่องของป่าเวทมนตร์อันเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรคัสนาห์ ทูตเอลฟ์คิดว่าเธสซาลีย์จะอยู่เฉยไม่ได้อีกต่อไป

อีกทั้งผู้นำอาเดรียในตอนนี้ดูจะต้องเกรงใจเขามากเป็นพิเศษอีกด้วย

"ท่านทูต... ท่านเลสธีราห์มาขอรับ"

ธีโอเดรละสายตาจากท่าเรือในอ่าวออโรรากลับมายังบุตรชายที่เดินตามขึ้นมาบนกำแพงปราการ "เจ้ารู้จักเดินย่องไม่ให้พ่อได้ยินเสียงแล้วรึ" ทูตใหญ่ยกมือขึ้นเล็กน้อยเป็นสัญญาณให้คนสนิทถอยห่างออกไป เพื่อที่ตนจะได้สนทนากับบุตรชายที่ไม่ได้พบหน้านับสิบปี "การเจรจาราบรื่นดีใช่ไหม"

"ข้ารู้ว่าท่านได้ยิน..." เลสธีราห์หัวเราะ และเข้ามายืนข้างบิดาซึ่งสูงจนเขาเกือบจะต้องแหงนมอง

"ข้าไม่ได้ตั้งใจจะแอบฟังสักหน่อย"

"แล้วข้าก็ได้ยินด้วยว่าท่านสนใจอาเดรียเช่นกัน"

"เจ้านี่แอบฟังชัดๆ" ธีโอเดรหัวเราะ มือใหญ่ยกขึ้นวางบนหัวบุตรชายแล้วลูบเบาๆ "ข้าไม่น่าให้หนังสือเล่มนั้นกับเจ้า การได้ยินทุกสิ่งมันช่างอันตราย และเป็นวิชาที่หนวกหูเสียเหลือเกิน" ธีโอเดรมอบธนูแหวกสมึทรให้กับเลสธีราห์เมื่อสิบกว่าปีที่แล้ว พร้อมกับหนังสือที่สอนให้เขาฝึกฝนวิชาฟังเสียงนี้ เพื่อให้ตนมีพลังที่แข็งแกร่งเพียงพอที่จะควบคุมอำนาจของแอควาเรียร์ได้ "แต่หากเจ้าใช้แอควาเรียร์ไม่ได้... เจ้าอาจจะไม่มีวันนี้"

"ข้าคิดว่าตัวเองโชคดีที่ขี้เกียจฝึก... จึงยังไม่ได้ยินเสียงอะไรมากมาย" บุตรชายตอบตรง

"นั่นเป็นเหตุผลที่เจ้าต้องจมเซเลสต์จนเรือเกือบแตก" ท่านทูตมุ่นคิ้ว "หากเจ้าควบคุมทิศทางของแอควาเรียร์ได้.... การจะจมเรือลำอื่นโดยรอบไม่จำเป็นจะต้องเอาตัวเองลงไปด้วยแบบนั้น" เขาขยี้หัวบุตรชายเบาๆก่อนจะจิ้มหน้าผากอีกทีหนึ่ง "พลังจิตของเจ้า เลสธีราห์... คือสิ่งสำคัญที่จะควบคุมแอควาเรียร์" ครึ่งเซนทอร์พยักหน้ายอมรับคำตำหนิของบิดา แต่ก็อดคิดไม่ได้ว่าหากฝึกฝนจนเก่งเช่นบิดาแล้ว เขาไม่ต้องได้ยินทุกเรื่องจนรู้สึกหนวกหูหรอกหรือ

"แต่จากนี้ไป... เจ้าอาจจะไม่ต้องใช้ธนูนั่นอีกก็ได้" เอลฟ์ยิ้มจาง "เพราะเจ้าก็ไม่ใช่ผู้บัญชาการเซเลสต์อีกแล้ว"

"นั่นไม่ใช่เรื่องที่ข้ากังวลเลย" เลสธีราห์พยายามบอกบิดา เขารู้ว่าอีกฝ่ายได้ยินสิ่งที่เกิดขึ้นในห้องประชุม ธีโอเดรรู้ว่าเอเดรียนไม่คิดจะเปลี่ยนใจสภาขุนนางแห่งแอสทารอธ แต่กลับหยิบยื่นตำแหน่งที่สำคัญไม่แพ้กันเพื่อให้เลสธีราห์มีจุดยืนในสังคมเซนทอร์ต่อไป "ข้าไม่รู้สึกว่ามันตกต่ำจากเดิม และเห็นด้วยกับเอเดรียนว่าหากไปร้องขอคืนตำแหน่งก็เป็นการกระทำที่ไม่สมควรสักเท่าไหร่"

ทูตเอลฟ์ไหวไหล่เมื่อได้ยินเช่นนั้น "เจ้ารักเขานี่ เขาทำอะไรก็คงดีไปเสียหมด"

"ท่านพ่อ..."

ธีโอเดรหัวเราะเบาๆเมื่อบุตรชายกดเสียงแสดงถึงความไม่พอใจนัก "ความคิดเจ้านั่นก็ไม่ได้เลวร้ายนักหรอก แม้มันจะขบถต่อธรรมเนียมของเซนทอร์บ้างก็ตาม" เขาลูบผมอีกฝ่าย และรู้สึกเหมือนกำลังมองดูตัวเองเมื่อยี่สิบกว่าปีก่อนหน้านี้ที่ตัดสินใจแต่งงานกับเซนทอร์ได้อย่างไม่ยากเย็น เลสธีราห์เบือนหน้ามองออกไปที่ท่าเรือเล็กน้อยเพื่อคิดหาคำพูดมาสนทนาต่อ "ทำไมท่านพ่อดูไม่แปลกใจที่ข้า..." ร่างโปร่งนิ่งไปครู่หนึ่งเพื่อคิดหาคำมาอธิบายสิ่งที่ต้องการจะสื่อสาร "ข้าหมายถึง... ทำไมท่านไม่แปลกใจที่ข้า... ไม่ได้มีคนรักเป็นผู้หญิง"

"เจ้าคิดว่าข้าอยู่มากี่ร้อยปีแล้ว" ทูตใหญ่ยักไหล่ "ลูกพี่ลูกน้องเจ้า... คูแรนน์ ตอนแรกก็มีคนรักเป็นหญิงอยู่ดีๆ ไปๆมาๆก็กลายเป็นชายไปเสียอย่างนั้น" เลสธีราห์เบิกตาขึ้นและหันกลับไปมองหน้าบิดาอย่างไม่อยากจะเชื่อ และรบเร้าให้อีกฝ่ายอธิบายเพิ่มเติมด้วยการจ้องอยู่อย่างนั้น "เจ้าไม่รู้หรอกรู้... เรื่องของเจ้านั่นทำให้พี่ชายข้าปวดหัวจะเป็นจะตาย ไม่มีใครในตระกูลบลังค์ที่ลบอำนาจของธนูธาตุคันเดียวตั้งสามสี่ครั้งแบบเจ้านั่นหรอก" ธีโอเดรว่า และยกมือขึ้นมานับนิ้ว

"ของชิ้นนั้นเป็นสมบัติของพ่อข้า สืบทอดให้พี่ชายคนโต และตกไปยังลูกของเขาในที่สุด ซึ่งก็คือคูแรนน์"

ธนูลมอัลซาโตเกียร์คือสมบัติที่เก่าแก่ที่สุดของตระกูลบลังค์

"แต่คูแรนน์กลับสลักชื่อของโซเฟีย เธเรเซีย แม่หญิงภูตที่เขารักแทนตัวเอง ซึ่งนั่นควรจะเป็นชื่อสุดท้ายของธนูคันนั้นและฝังรวมไปกับร่างไร้วิญญาณของนาง แต่อัลซาโตเกียร์จะฝังกับคนนอกตระกูลบลังค์ไม่ได้ คูแรนน์จึงกลับนำมันกลับมาลบชื่อของนางออกแล้วเปลี่ยนเป็นชื่อตัวเอง" เลสธีราห์เพิ่งเคยได้ยินเรื่องนี้ ดังนั้นเขาจึงตั้งใจฟังและคิดตาม เนื่องจากประหลาดใจเช่นกันที่เห็นคูแรนน์ใช้ธนูอัลซาโตเกียร์ได้ ทั้งที่เขาเคยมอบให้หญิงคนรักที่ไม่เคยรักตอบ "ตอนนั้นพวกเราก็เพิ่งรู้ข่าวว่าแม่หญิงภูตเสียชีวิตไปแล้ว และตามกฎของตระกูล ธนูจะต้องถูกฝังไปพร้อมร่างของคนละตระกูลเท่านั้น ดังนั้นเราจึงยอมเปลี่ยนชื่อเจ้าของอัลซาโตเกียร์ให้คูแรนน์... และตอนนั้นเองที่เขาประกาศว่าเขามีคนรักใหม่เป็นชาย"

เลสธีราห์ส่ายหัวเบากับวีรกรรมนั้น "ข้าคิดว่าเขาไม่น่ารีบประกาศเช่นนั้น"

"อาจจะเป็นการบอกกลายๆว่านั่นจะเป็นการทำหน้าที่ครั้งสุดท้ายของอัลซาโตเกียร์ที่เก่าแก่ที่สุดของตระกูล เพราะเขาอาจจะไม่มีทายาทสืบต่อ" ธีโอเดรพึมพำ "คูแรนน์อาจจะอยู่ได้ถึงห้าร้อยปี ถ้าเขาไม่รนหาที่ตายเสียก่อน" พวกเอลฟ์มีอายุยืนนับพันปี แต่คูแรนน์ซึ่งเป็นเพียงครึ่งเอลฟ์ก็อาจจะมีอายุขัยสั้นลง "ซึ่งอาจจะประจวบพอดีกับอายุขัยของคนรักใหม่ที่เป็นภูต" เมื่อพูดเรื่องอายุขัย เลสธีราห์ก็นึกได้ว่าตนเองก็เป็นครึ่งเอลฟ์ และคงจะอยู่ดูโลกนี้นานกว่าช่วงชีวิตของเซนทอร์หรือมนุษย์คนเดียว

เซนทอร์ที่อายุมากที่สุดในตอนนี้คือเซนทอร์เทพเซดรา ผู้เฝ้ามองความเป็นไปของดาวดาว

...แล้วเอเดรียนเองจะมีอายุขัยสักกี่ปีกันนะ

"มันเป็นเรื่องที่ต้องยอมรับ หากคิดจะมีคู่ครองต่างเผ่า เลสธีราห์" บิดาของเขาว่า "ข้าเองก็เตรียมใจว่าลีอาห์คงไม่ได้อยู่ด้วยกันตลอดกาล" เซนทอร์เทพซาดรามีอายุเจ็ดสิบสองปี ซึ่งนับว่าชรามากแล้วสำหรับเผ่าครึ่งม้า แล้วแม่ของเขาจะสามารถอยู่ได้นานถึงเพียงนั้นไหม "ดังนั้น... หากรักก็พูดว่ารัก หากอยากพบก็จงไปพบ ก่อนที่มันจะสายไป" ธีโอเดรยิ้มจาง

"ข้าจึงไม่ห้ามหากเจ้าจะคบหากับมนุษย์คนนั้น หากมัวแต่เล่นตัว เดี๋ยวก็แก่ตายกันพอดี"

"ข้าไม่คิดว่าท่านแม่จะปลื้มเอเดรียนนัก..."

"เจ้าคิดว่าทำไมแม่ของเจ้าจึงยอมเลี้ยงเจ้าด้วยตัวเอง ปล่อยให้ข้าเดินทางกลับตะวันออก แล้วส่งจดหมายคุยกันเดือนละฉบับมาตลอดยี่สิบปีเล่า" บิดาเอ่ยถาม "ความเด็ดเดี่ยวของเซนทอร์ก็เป็นเรื่องหนึ่ง สตรีเอลฟ์ไม่มีทางใจแข็งได้ขนาดนี้ นางอาจจะเลิกราและแต่งงานใหม่ไปเลยก็ได้ แต่ในขณะที่แม่เจ้า... ไม่เคยหมดศรัทธาในตัวข้า"

เลสธีราห์ส่ายหัวเบาเพื่อรอให้บิดาเฉลยคำตอบ

"เซนทอร์ชื่นชมและรักษาเกียรติยิ่งกว่าชีวิต พวกเขารักความซื่อสัตย์ และเคารพในหน้าที่ ดังนั้น การหายหน้าไปทำงานไม่ได้ทำให้เซนทอร์น้อยเนื้อต่ำใจเลย แต่กลับยิ่งภูมิใจที่ตนได้ครองคู่กับคนที่มีความรับผิดชอบสูงส่งต่างหาก" ธีโอเดรยิ้มจาง "นางภูมิใจที่ข้าทำหน้าที่ได้อย่างสมบูรณ์แบบ" คนเป็นพ่อก้มลงเล็กน้อยแล้วแกล้งกระซิบหยอกที่ข้างหูบุตรชาย

"แต่ข้าก็จะไม่ทิ้งนางเพราะหน้าที่เหมือนกัน"

"ท่านพ่อ!!" เลสธีราห์หน้าแดงวาบ ก่อนจะอ้าปากค้างเป็นปากขาดน้ำ ด้วยรู้ดีว่าบิดาได้ยินบทสนทนาของเขากับเอเดรียนทั้งหมด และหากถามต่อ เชื่อว่าธีโอเดรคงจะบอกได้ทั้งหมดว่าพวกเขาคุยอะไรกันบ้าง "อย่าแอบฟังเรื่องส่วนตัวของข้านะ!" แม้จะรู้ว่าอีกฝ่ายเพียงแค่ได้ยิน แต่เลสธีราห์ก็อดไม่ได้ที่จะต้องปรามแบบนั้น "ข้าก็ได้ยินหรอก... ว่าท่านพ่อคุยกับท่านแม่เรื่องข้าว่ายังไงบ้าง!"

"ถ้าเจ้ารู้ว่าข้าฟังอยู่จริงๆ เจ้าจะไม่ทำหน้าตกใจแบบนั้นหรอกลูก"

บิดายิ้มอ่อนโยนอีกครั้ง "ลองเอเดรียนพูดกับแม่เจ้าแบบนี้... เชื่อเถอะว่านางใจอ่อน"

--------------------------------------------------
---------- TO BE CONTINUE ----------

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
อันนี้จบแล้วเหรอคะ ทำไมเหมือนจะยังมีต่อ  :ling1:

ออฟไลน์ khaosap

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 165
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
    • Khaosap Writing
อันนี้จบแล้วเหรอคะ ทำไมเหมือนจะยังมีต่อ  :ling1:

จบเนื้อหาอะค่า ^^' ต่อๆไปเป็นตอนพิเศษที่เหมือนเก็บๆรายละเอียด+หวานๆเพิ่มหน่อยยย

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด