บทที่ 18
“พร้อมไหมพี่ณิน”
เสียงกานต์ถาม ส่วนธรณินก็ได้แต่พยักหน้าตอบรับ กานต์ค่อยๆ กุมมือสอดประสานนิ้วทั้งสิบของทั้งคู่เข้าด้วยกัน ร่างกายของทั้งสองต่างตะแคงตัวเข้าหากันอยู่บนที่นอนหนานุ่ม ขาเกี่ยวกระหวัดลำตัวแนบชิด
“มองตาผมไว้นะครับ ไม่ต้องเกร็ง ผ่อนคลายหน่อยพี่ณิน”
ธรณินสูดหายใจเฮือก พยายามรวบรวมสมาธิจดจ่อไว้ที่ดวงตาของกานต์แต่เพียงอย่างเดียว แต่ความเจ็บปวดที่ค่อยๆ โอบล้อมเข้ามาก็เกือบทำให้จิตหลุดอยู่เหมือนกัน เม็ดเหงื่อค่อยๆ ซึมที่ขมับ ใบหน้าที่แดงก่ำจากความอดทนต่อความเจ็บปวด ปากที่เม้มแน่นแลดูทรมานจนกานต์ต้องเอ่ยปาก
“พอก่อนไหมครับพี่ ท่าทางพี่ณินดูแย่มากเลยครับ”
กานต์อยากเอื้อมมือไปเช็ดเหงื่อที่ไรผมให้ธรณินใจจะขาด แต่มือที่กุมกันอยู่ก็ไม่สามารถจะปล่อยจากกันได้
“อึก... พี่... ไม่ต้องห่วงพี่ ไปต่อได้เลย”
กานต์ขมวดคิ้วมุ่น แต่ก็จริงอย่างที่ธรณินว่า ควรไปต่อได้เลย ถ้าขืนหยุดกลางคัน คนที่ทรมานน่าจะเป็นธรณินเอง กานต์จึงกัดฟันเดินหน้าให้ถึงที่สุด
“อ๊า...”
สำนึกสุดท้ายของธรณิน ได้ยินเพียงเสียงร้องของตนเอง ก่อนความปวดร้าวจะถาโถมเข้าใส่จนเหมือนร่างกายจะฉีกขาด จากนั้นโลกทั้งใบของธรณินก็ดับวูบลง
.
.
.
“พี่ณิน... พี่ณินครับ เป็นยังไงบ้างพี่”
เสียงเรียกร้อนรนและสัมผัสเย็นเฉียบบริเวณข้างแก้ม ทำให้ธรณินค่อยๆ เผยอเปลือกตาขึ้นกระพริบอย่างยากลำบาก พอจะพลิกลำตัวขึ้นปลุกปลอบคนที่กำลังร้องเรียก ร่างกายกลับประท้วงโดยการส่งความรู้สึกเจ็บร้าวไปทั้งตัวมาให้เป็นบรรณาการ
“โอ๊ย!” ธรณินคิดว่าตัวเองตะโกนร้องโอดโอยออกมาอย่างดัง แต่ความเป็นจริง เสียงที่ผ่านลำคอออกมาแหบแห้งแผ่วเบาเหมือนคนขาดน้ำมานานมากกว่า... น้ำ จริงสิ หิวน้ำชะมัด ทันทีที่รู้สึกจึงเปล่งเสียงขอน้ำอย่างที่ร่างกายต้องการ
จอกใบเล็กถูกส่งประชิดริมฝีปาก อึกแรกที่ล่วงผ่านกลับสร้างความชุ่มฉ่ำอย่างถึงที่สุด ไม่รู้เขาคิดไปเองหรือเปล่าว่าอาการเจ็บแปลบตามเนื้อตัวเหมือนจะบรรเทาไปได้มากกว่าครึ่งเมื่อดื่มน้ำลงไป
“กานต์...”
“ครับพี่ณิน”
“เรามาถึงแล้วใช่ไหม”
กานต์ส่งยิ้มอบอุ่นมาให้ ก่อนจะค่อยๆ ประคองธรณินให้ลุกขึ้นนั่งพิงบ่าของตนแล้วจึงสอดแขนกอดอีกฝ่ายไว้ในอ้อมอกพลางเอ่ยเสียงโอ้อวดนิดๆ
“ยินดีต้อนรับสู่วังมังกรครับพี่ณิน”
ภาพที่ปรากฏเข้าสู่สายตาของธรณินคือโถงกว้าง เพดานประดับไข่มุกเม็ดเท่ากำปั้น ฝังเรียงอัดแน่นถี่ยิบ ส่งผลให้ห้องสว่างไสว ในส่วนของฝาผนังและพื้นเป็นหินอ่อนประดับทองคำ เฟอร์นิเจอร์ในห้องเน้นสีดำเดินลายทองเป็นหลัก ธรณินหลับตาลงเพื่อพักสายตาจากแสงมลังเมลืองในห้อง ก่อนจะลืมตาขึ้นมาใหม่
“อลังการไปไหนเนี่ย”
กานต์หัวเราะ ก่อนจะหันไปหยิบจอกเงิน (แน่นอนว่าฝังอัญมณีแพรวพราย) ส่งให้ธรณินอีกครั้ง
“ดื่มน้ำอีกนิดนะพี่ณิน พี่จะได้หายเจ็บเนื้อเจ็บตัว นี่เป็นน้ำโลกมังกร ดื่มแล้วช่วยปรับสภาพดวงจิตของพี่ให้เข้ากับสภาพแวดล้อมในโลกนี้ได้ง่ายขึ้น”
ธรณินดื่มน้ำไปอีกจอกก็รู้สึกว่าความเจ็บปวดหายไปเกือบหมด เหลือแต่ความเมื่อยล้าคล้ายเวลาที่เราวิ่งออกกำลังกายมานานๆ แล้วแขนขาจะดูอ่อนแรงไปบ้างแค่นั้น... นี่ขนาดมาแค่ดวงจิตยังขนาดนี้ ถ้าเอากายเนื้อมาจะขนาดไหน ธรณินนึกย้อนไปถึงสาเหตุที่ตัวเขาอยากมาวังมังกร ในคืนก่อนที่คุยกับกานต์เรื่องแต่งงานอย่างจริงจัง
“กานต์ พี่ว่าพี่ควรไปพบพ่อแม่ของกานต์ เพื่อบอกให้พวกท่านรับรู้เรื่องของเรานะ”
“ห๊ะ!!”
เห็นกานต์มีสีหน้าตื่นตกใจ ธรณินก็คอตก เดือดร้อนให้กานต์ต้องเดินมาปลอบ
“อย่าแม้แต่จะคิดน้อยใจใดๆ เลยนะพี่ณิน รู้นะพี่คิดอะไรอยู่ ไม่ใช่ว่าผมไม่อยากพาพี่ไปหาพ่อกับแม่ แต่การเดินทางไปวังมังกรน่ะค่อนข้างพิเศษนิดนึง”
เออ... เขาก็ลืมคิดไป กานต์เป็นมังกรนี่หว่า (บางครั้งก็คิดว่าน่าจะเป็นแมวมากกว่าอะนะ) ถ้าจะไปพบพ่อกับแม่ของกานต์ก็ต้องไปที่วังมังกรน่ะสิ แล้ว... วังมังกรที่ว่านี่ จองตั๋วที่ไหนได้ล่ะ ควรไปทางเรือใช่ไหม แล่นเรือออกไปกลางทะเลแล้วกดกริ่งบอกให้เรือหยุด จากนั้นก็แบกกระเป๋าพุ่งหลาวลงน้ำไป?
ก่อนที่จินตนาการของธรณินจะบรรเจิดไปกว่านั้น กานต์ก็เดินมาทรุดตัวลงนั่งบนที่นอนเอาหัวถูไถบ่าของธรณินจนเป็นที่พอใจแล้วจึงเอนตัวลงนอนบนตักของธรณิน เล่าถึงวิธีการเดินทางไปวังมังกร (นี่ไงที่บอกว่าน่าจะเป็นแมว - ธรณิน)
“เดี๋ยวกานต์เล่าให้พี่ณินฟังก่อนนะว่าที่โลกมังกรเนี่ย อากาศจะหนักกว่าที่โลกมนุษย์นิดนึง เอ่อ... อันที่จริงก็ไม่นิดอะนะพี่ หนักกว่าค่อนข้างมากเลยแหละ สำหรับพวกผมที่เกิดและเติบโตมาที่นั่นแล้วก็เป็นปกติ เวลามาที่โลกมนุษย์ก็ไม่ค่อยลำบาก เราเอาร่างจริงมาได้เลย เพราะอากาศที่นี่เบากว่า กลับกัน ถ้าทางมนุษย์จะไปโลกของผมนี่ ลำบากหน่อย ถ้าเอากายเนื้อไป รับรองอวัยวะภายในโดนกดทับจนเละแน่ ทางที่ดีควรเดินทางเฉพาะดวงจิตโดยให้ดวงตามังกรนำทางเอาจะปลอดภัยกว่าครับ”
“ดวงตามังกร? แล้วพี่จะไปหามาจากที่ไหนได้ล่ะ”
สิ้นสุดคำถาม ธรณินก็เห็นกานต์นอนยิ้มทำหน้าเจ้าเล่ห์ มือชี้เข้าหาตัวเองด้วยท่าทางนำเสนอสุดๆ
“หมายถึงลูกกะตากานต์เนี่ยนะ”
“เยสสส...” กานต์ลากเสียงยาว
“มีมังกรตัวเป็นๆ อยู่กับบ้านแล้วต้องใช้ให้คุ้มสิครับพี่”
“ต้องควักออกมาต้มทำเป็นยาน้ำดื่มด้วยป่ะเนี่ย”
กานต์ส่ายหน้าจิกสายตาใส่ธรณินอย่างเอาเป็นเอาตาย ได้แต่ถามว่าพี่ณินใช้อะไรคิดเนี่ย จะเดินทางทีควักลูกกะตากันที ป่านนี้ที่วังมังกร คงมีแต่มังกรตาบอดกันเต็มไปหมด
“แค่ง่ายๆ พี่ณินมองตาผมไว้ ใช้ร่างกายทุกส่วนสัมผัสกันให้มากที่สุด แล้วผมจะพาพี่เดินทางไปเอง ทางทฤษฎีเหมือนจะง่ายอะนะ แต่ทางปฏิบัตินี่ก็ต้องทนเจ็บเอานิดนึง พี่ณินพร้อมเมื่อไหร่ก็บอกกานต์ละกัน เดี๋ยวกานต์พาไป”
“งั้นพรุ่งนี้ไปกันเลยก็แล้วกัน พี่ใจร้อน ว่าแต่... เวลาไปบ้านกานต์ เราคงใกล้ชิดกันมากไม่ได้ เดี๋ยวมันจะดูไม่ดีเนอะ”
กานต์ยิ้มให้ธรณิน นึกขอบคุณในใจที่อุตส่าห์คิดเพื่อตัวเขา ก่อนรอยยิ้มจะแข็งค้างอยู่บนใบหน้า เพราะประโยคต่อมาของธรณิน
“งั้นคืนนี้ เรามาทำเผื่อกันไว้เยอะๆ ก็แล้วกันเนอะ สะสมไว้ก่อน!!”
ธรณินคงยังนั่งเหม่อถึงการ ‘ทำตุนไว้’ ถ้าไม่มีเสียงเรียกจากทางด้านนอกลอยมา
“นายน้อย... ท่านผู้นำเผ่ากับนายหญิงให้มาเรียนว่า ถ้านายน้อยและแขกของนายน้อยพร้อมแล้ว ให้ไปพบพวกท่านที่ห้องทองคำครับ”
“อื้ม ขอบใจมาก เดี๋ยวอีกสักพักเราตามไป”
ธรณินเลิกคิ้วมองกานต์พลางเอ่ยถาม
“กานต์ไปหาพ่อกับแม่มาแล้วเหรอ”
กานต์หัวเราะคิกคักส่ายหน้า
“ยังไม่ได้ไปหรอกพี่ณิน แต่ทันทีที่ผมกลับมาถึง ไอมังกรบนตัวผมก็บอกให้ทุกคนรู้อยู่แล้วล่ะว่าผมกลับมาแล้ว ว่าแต่หนูณินของป๋าเถอะ หน้าแดงๆ แบบนี้ เขินหรือครับที่ต้องไปพบพ่อกับแม่ของป๋าเนี่ย ไหนๆ มาให้ป๋ากอดให้กำลังใจหน่อยเร้ว... สู้ๆ นะหนูณิน พ่อกับแม่ป๋าไม่ดุหรอก”
กานต์สวมกอดธรณิน เอาหน้าซบกับอก ได้ยินเสียงใจของธรณินเต้นดังตึ้กๆ แทบจะทะลุออกมานอกอกก็นึกเห็นใจ จึงได้แต่กอดอีกฝ่ายให้แน่นๆ เพื่อเป็นการปลอบโยน โดยหารู้ไม่ว่าธรณินรู้สึกตื่นเต้นแค่นิดหน่อย แต่ที่หน้าแดง เพราะดันไปนึกถึงเรื่องที่ชวนกานต์ใกล้ชิดกันแบบจัดหนักจัดเต็มก่อนมา นึกแล้วก็ละอายนิดหน่อยล่ะนะ ที่คิดแต่เรื่องพรรค์นี้กับลูกเขาในถิ่นของเขาเนี่ย!! แต่จะให้บอกกับกานต์ได้ยังไงล่ะ เลยได้แต่ตอบรับอ้อมกอดของกานต์ตามน้ำไป ก่อนจะจับจูงกันไปห้องทองคำที่พ่อกับแม่ของกานต์รอพบอยู่
ถ้าถามว่าการข่มขวัญนี้มีผลกับธรณินไหม ขอบอกเลยว่ามาก!!
ร่างมังกรขาวที่ส่องแสงเรืองรอง ลำตัวใหญ่ยักษ์พันทบขดไปมาสองตัวตรงหน้า โดยมีฉากหลังเป็นผนังห้องที่ทำด้วยทองคำมลังเมลืองสะท้อนเข้าสู่สายตาตั้งแต่ก้าวแรกที่เดินเข้ามาในห้อง ‘ทองคำ’ ซึ่งก็ทองคำสมชื่อ ผนังห้อง เพดาน เครื่องเรือน ทุกสิ่งอย่างล้วนทำมาจากทองคำ ลำพังแค่ร่างจริงของมังกรขาวสองตัวตรงหน้าก็น่าเกรงขามมากพออยู่แล้ว พอบวกเพิ่มออปชั่นเว่อวังเข้าไปยิ่งทำให้ธรณินเริ่มมีอาการขวัญหนีดีฝ่อขึ้นมาบ้างแล้วล่ะ
“พ่อ แม่ เลิกโชว์ออฟเหอะ พี่ณินเคยเห็นร่างจริงของกานต์แล้ว พี่เขาไม่กลัวหรอก”
เสียงของกานต์ช่วยดึงสติของธรณินให้กลับมาอยู่กับเนื้อกับตัวอีกรอบ อย่างน้อยก็ยังมีกานต์อยู่ตรงนี้ ตรงที่ข้างๆ กัน ว่าแต่... กานต์จะไม่ถามพี่สักหน่อยเหรอว่าพี่กลัวไหม
หลังแสงเงินแสงทองจางลง (อยู่กับเผ่าพันธุ์นี้มากๆ มีสิทธิ์ตาบอดได้นะเนี่ยเรา เจิดจ้ากันตลอดเวลา - ธรณิน) หนึ่งชายหนึ่งหญิงคู่หนึ่งก็ปรากฏขึ้น พ่อของกานต์สีหน้าเฉยชา ท่าทางสง่างามสมกับเป็นผู้นำเผ่ามังกร บุคลิกดูเคร่งขรึมจริงจัง ถ้าไม่ได้ยินเสียงบ่นพึมพำแว่วๆ มาว่า โห่... ไม่หนุกเลย ตามมาน่ะนะ
ส่วนแม่ของกานต์นั้นแลดูอ่อนหวาน ผมยาวสยายสีน้ำตาลทองนั้นยิ่งขับให้ผิวที่ขาวจัดอยู่แล้วเหมือนจะเปล่งแสงเรืองๆ ออกมาได้ ใบหน้าประดับรอยยิ้มอบอุ่นแตะแต้มอยู่ตลอดเวลา ธรณินหันไปมองแม่ของกานต์สลับกับกานต์ไปมา จึงได้ข้อสรุปในใจทันที หน้าตาคุณแม่ของกานต์นี่... นี่มันกานต์เวอร์ชั่นผู้หญิงชัดๆ!! ยกเว้นนัยตาอ่ะนะ แววตาสีน้ำเงินเหลือบดำนี่รับมาจากทางพ่อเต็มๆ
“สวัสดีครับคุณพ่อ สวัสดีครับคุณแม่”
ธรณินยกมือไหว้ ก้มหัวต่ำ พยายามให้แลดูอ่อนน้อมให้มากที่สุด เพราะจำได้ว่ากานต์เคยเล่าให้ฟังว่าที่บ้านเคร่งครัดเรื่องมารยาทมาก ช่วงจังหวะที่เงยหน้าขึ้นก็เหมือนจะเห็นทางหางตาว่าพ่อของกานต์คล้ายจะสะดุดไปนิดหนึ่ง ก่อนที่จะเดินไปนั่งที่เก้าอี้ (ใช้คำว่าบัลลังก์น่าจะเหมาะกว่า อลังการซะขนาดนั้น) จึงหันไปแอบกระซิบถามกานต์
“พี่ทำอะไรผิดหรือเปล่า”
“ไม่ผิดหรอกพี่ณิน แต่นอกจากผมก็ไม่เคยมีใครเรียกท่านผู้นำเผ่ากับนายหญิงว่าคุณพ่อกับคุณแม่อะนะ” กานต์ตอบเสียงกลั้วหัวเราะ ธรณินจึงได้แต่หัวเราะแหะๆ กลับไป
“ถ้าอย่างนั้นพี่เรียกท่านผู้นำเผ่ากับนายหญิงบ้างดีไหม เดี๋ยวท่านจะหาว่าพี่ตีสนิท”
“อะแฮ่ม!!”
ทั้งคู่คงจะปรึกษาหารือกันต่อไปอีกนาน หากไม่มีเสียงกระแอมที่ส่งมาเตือนให้รู้ว่าไม่ได้อยู่กันแค่สองคน ธรณินเกือบเผลอตัวสะดุ้ง แต่รีบเก็บอาการไว้ทัน รีบสวมบทบาทผู้จัดการหนุ่มมาดขรึมเพื่อเรียกคะแนนทันที
“พี่ณินครับ นี่พ่อโมกข์กับแม่กีรติของผมครับ”
“พ่อ แม่ นี่พี่ณิน ธรณินครับ ที่กานต์ไปเที่ยวเล่นที่โลกมนุษย์ก็ได้พี่ณินนี่แหละดูแลทุกอย่าง ทั้งที่อยู่ที่กิน” (รวมถึงให้พี่กิน... แค่กๆ อันนี้พูดออกไปไม่ได้)
“สวัสดีจ้ะ ไหว้สวยเชียวพ่อคุณ เป็นยังไงบ้าง น้องกานต์ไปรบกวนคุณแย่เลย ไม่รู้ไปสร้างความลำบากใจอะไรให้คุณหรือเปล่า” กระแสเสียงอ่อนหวานพูดไม่ดังไม่เบาดูนุ่มนวลอบอุ่นเอ่ยถาม
“ไม่เลยครับคุณแม่ น้องกานต์น่ารัก นิสัยดี ไปอยู่ด้วยแล้วไม่เคยสร้างปัญหาอะไรเลยครับ คงเป็นเพราะคุณแม่อบรมมาดี ที่นู่นมีแต่คนออกปากชมว่าน้องกานต์กิริยามารยาทเรียบร้อยครับ”
องค์ผู้จัดการเริ่มประทับ ธรณินก็เริ่มใช้ทักษะในการเจรจาธุรกิจมาพูดคุยกับแม่ของกานต์อย่างคล่องแคล่ว เยินยออย่างไรไม่ให้กลายเป็นประจบจนเกินงาม ชมแค่ไหนถึงจะพอดีดูจริงใจ ทุกเทคนิคถูกธรณินขุดเอามาใช้จนหมดทุกกระบวนท่า คุณแม่ของกานต์ได้แต่อมยิ้มฟังธรณินเล่าเรื่องให้ฟังอย่างเพลิดเพลิน
“แต่ เอ๊... เรียกน้องกานต์...”
“คุณ... จะคุยถามคำถามมารยาทกันอีกนานไหม เข้าเรื่องเลยไม่ดีกว่ารึ เดี๋ยวจะได้เดินทาง”
สิ้นเสียงคำถามของคุณพ่อ ความรู้สึกอบอุ่นผ่อนคลายเมื่อสักครู่ก็กลายเป็นความรู้สึกกดดันทันที ไม่ใช่ธรณินนะที่ถูกกดดัน แต่เป็นคุณพ่อของกานต์ที่โดนสายตาหวานตวัดเข้าใส่พร้อมเสียงใสทว่าเย็นเยียบที่เอ่ยถาม
“คุณรีบเหรอคะ”
อูย... รีบไม่รีบธรณินไม่รู้ รู้แต่ตอนนี้คุณพ่อนั่งตัวลีบ ผู้นำเผ่ามังกรตัวจริงน่าจะเป็นผู้หญิงหน้าหวาน คุณแม่ของกานต์คนนี้นี่เอง..เอง...เงง
“ก็กลัวลูกจะคอยนานนี่คุณ”
เสียงอ่อยๆ เอ่ยตอบ พอรู้ว่าสาเหตุเป็นเพราะกลัวลูกรักจะคอยนาน คุณแม่ก็กลับมาเป็นคุณแม่ที่อ่อนหวานเหมือนเดิม
“จริงสิ ที่แม่กับพ่อเรียกน้องกานต์กับคุณมาพบก็เพื่อจะบอกว่า ทางเผ่าพันธุ์มังกรของเราน่ะ ไม่มีกฎเกณฑ์หยุมหยิมเรื่องคู่รักเพศเดียวกันหรอกนะจ๊ะ คุณสบายใจได้เลย”
พอคุณแม่พูดจบ กลับเป็นธรณินเสียอีกที่หน้าขึ้นสี รู้สึกเก้อกระดาก ท่าทางสบายๆ ที่คุณแม่พูดออกมานั้น ทำให้ธรณินเห็นว่าโลกมังกรคงจะคิดว่านี่เป็นสิ่งปกติมากๆ แน่นอน ทำให้ใจของเขาชื้นขึ้นเป็นกอง
“คนที่น้องกานต์เลือกแล้ว ไม่ว่าจะเป็นผู้ชายหรือผู้หญิง พ่อกับแม่ก็เห็นดีด้วยทั้งนั้นละจ้ะ ไม่ต้องทำหน้าสงสัยเลยคุณ น้องกานต์ส่งข่าวมาบอกว่าจะพาคุณมาเปิดตัวก่อนจะมาถึงที่นี่เสียอีกล่ะจ้ะ”
ธรณินยิ้มเขินที่คุณแม่คุณแม่ของกานต์ เดาความสงสัยของเขาออก
“แต่ว่า... เรื่องความต่างระหว่างเผ่าพันธุ์นี่แหละที่มีปัญหา ทางพวกที่มีอายุมากหน่อยรู้ข่าวเข้าถึงกับรับไม่ได้ที่น้องกานต์จะมีคู่เป็นมนุษย์ พากันยื่นคำร้องคัดค้านกันมามากมาย แล้วแม่กับพ่อก็ต้องพาน้องกานต์ไปประชุมมังกรนานาชาติที่ฝรั่งเศสซะด้วย ช่วงสองสามวันที่พวกเราจะไม่อยู่กัน คุณช่วยพิสูจน์ตัวเองกับพวกหัวโบราณ มังกรแก่ๆ พวกนั้นให้รู้ถึงความรักที่คุณมีต่อน้องกานต์ ว่าคุณคู่ควรกับน้องกานต์จริงๆ ได้ใช่ไหมจ๊ะ”
คุณแม่ยิ้มหวานสดใส เหมือนดวงตะวันอบอุ่น แต่ภายในใจของธรณินกลับรู้สึกหนาวเยือกเหมือนมีเมฆหมอกปกคลุม เอาวะ อย่างน้อยคุณพ่อคุณแม่ก็ยอมรับ กะอีแค่พิสูจน์ตัวเอง สู้โว้ยยยยย!
TBC...เจี่ยเจียจะลบ tag #มังกรกานต์นิยายรายเดือน ได้หรือไม่โปรดติดตามตอนต่อไป...
