บทที่ 20
“ท่านไหนจะเป็นคนเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นดีครับ”
เสียงของโมกข์ ผู้นำเผ่าพันธุ์มังกรเอ่ยถามเรียบๆ ดวงตากวาดไปตามดวงหน้าของผู้อาวุโสประจำเผ่าที่แต่ละตนหน้าซีด ยืนหลบตาเอามือไพล่หลังพลางใช้ไหล่กระแทกกันไปมาไม่หยุด ต่างคนต่างเกี่ยงกันเป็นคนเล่าเรื่อง
ใบหน้าของโมกข์เรียบเฉย เพิ่มความวิตกกังวลให้กับบรรดามังกรเฒ่ากันเข้าไปใหญ่ มีแต่คุณกีรติผู้ใช้ชีวิตร่วมกันมาอย่างยาวนานเท่านั้นที่รู้ว่าภายใต้ท่าทีเคร่งขรึมนั้น โมกข์กำลังรอดูเรื่องสนุก สังเกตได้จากดวงตาที่เต้นยิบๆ นั่นก็รู้ว่าเจ้าตัวรอคอยชมความครึกครื้นอย่างใจจดใจจ่อเชียวล่ะ คุณแม่ของกานต์จึงเอื้อมมือไปบิดเอวอีกฝ่ายเพื่อเตือนให้รักษากิริยาของท่านผู้นำไว้บ้าง
“กานต์เล่าให้ฟังได้นะ เอาตั้งแต่ตอนไหนดีล่ะ อ้อ! เริ่มตั้งแต่สูงศักดิ์ ต่ำศักดิ์เลยดีกว่าไหม”
เสียงของนายน้อยที่ดังแทรกขึ้นมาส่งผลให้ทั้งห้าคนกระสับกระส่ายหนักกว่าเดิม ไม่เหลือเค้าท่าทีของผู้อาวุโสประจำเผ่าผู้ทรงภูมิอีกเลย
“นะ... นายน้อย คือ... พวกเราหวังดีกับนายน้อยจริงๆ นะครับ”
แววตารู้สึกผิดบวกกับน้ำเสียงจริงใจ ทำให้กานต์ถอนใจเฮือกออกมา
“กานต์รู้ ว่าทุกท่านหวังดีกับกานต์ แต่จะทำอะไรโดยไม่ถามไถ่กานต์สักนิดก่อนหรือ นี่ถ้ากานต์กลับมาไม่ทัน ผลลัพธ์คงยิ่งกว่านี้ อ้อ! แล้วอีกอย่างที่ว่ามังกรขาวสูงศักดิ์ที่สุดนี่มันอะไรกัน ผู้นำเผ่าคนก่อนๆ ก็มาจากตระกูลของพวกท่านลุงท่านป้ากันไม่ใช่หรือไง”
โมกข์เลิกคิ้วสูงจนกานต์ต้องอธิบายให้ฟังถึงข้ออ้างของเหล่ามังกรอาวุโสที่ใช้พูดกับธรณินทำนองว่ามังกรที่มีผิวสีขาวจะสูงศักดิ์ที่สุด เก่งที่สุดประมาณนี้
เหล่าอาวุโสทั้งหลายโดนจับโกหกได้ซึ่งๆ หน้า ก้มหน้างุดๆ เหมือนเด็กน้อยผู้กระทำความผิดสวนทางกับรูปลักษณ์สง่างามเป็นผู้ใหญ่แบบขัดแย้งกันอย่างน่าประหลาด
ท่านผู้นำมังกรก้มหน้าลงซ่อนเสียงกลั้นหัวเราะถูกใจที่กานต์แฉพฤติกรรมคนแก่หัวดื้อให้ฟัง ก่อนจะปรับเป็นสีหน้าเคร่งขรึม พยักหน้าน้อยๆ เป็นเชิงรับรู้
“เรื่องที่เกิดขึ้น เราเข้าใจว่าทุกท่านหวังดีต่อกานต์ แต่การกระทำของทุกตนถือว่าเกินกว่าเหตุไปมาก เรื่องการทำโทษเราจะพิจารณาทีหลังก็แล้วกัน ตอนนี้เรามารอดูอาการของคุณธรณินกันก่อนดีกว่า ถึงนี่จะคือดวงจิต แต่ความเจ็บปวดที่ได้รับจากดวงจิตโดยตรงจะทรมานมากกว่าความเจ็บปวดทางกายเนื้อเสียอีก”
พูดจบสายตาทุกคนก็เบนไปยังร่างที่ยังคงหลับใหลไม่ได้สติอยู่บนที่นอน คิ้วที่ขมวดมุ่นแม้ในขณะที่ไม่รู้สึกตัว ทำให้รู้ว่าเจ้าของร่างคงกำลังทรมานอยู่เป็นแน่ เพียงแต่ไม่รู้ว่าทรมานจากอาการบาดเจ็บหรือทรมานจากที่ต้องตัดขาดสัมพันธ์กันแน่
คุณกีรติทรุดตัวลงที่ด้านข้างของที่นอนพลางลูบศีรษะของธรณินอย่างแผ่วเบา แล้วหันไปถามกานต์ซึ่งยืนกอดอกไขว้ขายืนพิงหัวเตียงอยู่อีกด้าน
“ตกลงคุณธรณินเป็นเผ่าพันธุ์เดียวกับเราแล้วใช่ไหมจ๊ะน้องกานต์”
“ใช่ครับแม่ กานต์ใช้มนต์กับของพลีกรรมเปลี่ยนเผ่าให้พี่ณินไปแล้ว เพราะรู้ว่าแถวนี้จะต้องมีคนไม่ยอมรับการร่วมคู่ต่างเผ่าแน่ๆ กานต์เลยจัดการเตรียมไว้ตั้งแต่ก่อนพาพี่ณินมาวังมังกรแล้วครับ”
พูดจบก็ปรายตามองไปทางมังกรเรนเจอร์ห้าสีห้าตนที่ยืนทำหน้าปุเลี่ยนๆ กับคำว่า ‘ของพลีกรรม’ ของนายน้อย พลางมองไปที่ธรณินพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย ภายในใจอดรู้สึกนับถือเจ้าหนุ่มนี่ขึ้นมานิดๆ ไม่ได้ ไม่รู้ว่าต้องโดน ‘อัดฉีด’ ไปกี่รอบ ถึงจะได้ธาราพิสุทธิ์มังกรพอเพียงในการเปลี่ยนเผ่า จากนั้นก็เบนสายตากลับมายังนายน้อยโดยพร้อมเพรียง ส่งประกายตาชื่นชม หน้าผากแทบจะมีตักอักษร ‘นายน้อยสุดยอด’ โผล่ขึ้นมาเลยทีเดียว จากอารมณ์กรุ่นโกรธที่ทำท่าจะปะทุขึ้นมาอีกรอบกานต์ก็แทบจะลงไปนอนขำให้รู้แล้วรู้รอด ท่าทางจะเข้าใจบทบาทหน้าที่สลับกันไปยกใหญ่แฮะ แต่ใครจะไปแก้ตัวกันเล่า ก็ในเมื่อความเข้าใจผิดนี่เขาได้ประโยชน์เต็มๆ คิดแล้วก็ยืดอกเชิดหน้าขึ้นน้อยๆ โชว์พาวรับสมอ้างอย่างภาคภูมิ
“กานต์”
เสียงเรียกไม่ดังเท่าไรนัก เรียกให้ทุกคนหันไปมองร่างบนเตียงเป็นตาเดียวกันทันที ก่อนจะพบธรณินพยายามยันตัวลุกขึ้นนั่งโดยมีคุณกีรติช่วยประคอง กานต์ปราดลงนั่งข้างที่นอน ออกปากถามทันทีด้วยความเป็นห่วง
“พี่ณิน... เป็นยังไงบ้างครับ”
เห็นธรณินทำท่างุนงงสงสัย กานต์จึงเอื้อมมือไปจับมือแล้วบีบเบาๆ เพื่อให้อีกฝ่ายรู้ตัวว่าไม่ได้ฝันไป
“กานต์... พี่... ทำไมพี่ยังอยู่ที่นี่อีกล่ะ”
กานต์จึงค่อยๆ เล่าเรื่องให้ธรณินฟังอย่างช้าๆ แล้วคอยสังเกตท่าทีของเจ้าตัวไปด้วย เมื่อเห็นธรณินไม่มีท่าทีตกใจเรื่องการถูกเปลี่ยนเผ่าก็ระบายลมหายใจออกมาอย่างโล่งอก
“พี่ณินโกรธกานต์ไหมที่ทำอะไรไปโดยไม่ปรึกษาพี่ก่อน”
ธรณินเอื้อมมือไปขยี้ผมคนตรงหน้าด้วยความเคยชิน ก่อนจะรู้สึกเย็นสันหลังวาบ เมื่อเห็นสายตาเหล่าเรนเจอร์จ้องพุ่งตรงมาอย่างไม่เกรงใจที่บังอาจไปลูบหัวนายน้อยสุดที่รักของพวกเขา ธรณินจึงดึงมือกลับมาแล้วส่ายหน้าก่อนตอบ
“ไม่โกรธหรอก แต่พี่เนี่ยนะจะเป็นมังกร” พูดไปก็ยกแขนตัวเองขึ้นมาดูไปด้วย แต่ก็ไม่เห็นมีความผิดปกติใดๆ เกิดขึ้นกับร่างกาย
กานต์หัวเราะขำกับท่าทางสำรวจตัวเองของธรณินก่อนจะเฉลยให้ฟัง
“พี่ณินจะเป็นมังกรโดยสีเลือดครับ คือมีเลือดสีน้ำเงินของเผ่ามังกร มีอายุขัยยืนนานแบบมังกร แต่ถ้าจะเปลี่ยนร่างเป็นมังกร อันนั้นต้องอยู่ที่การฝึกจิตของพี่แล้วครับ ไม่ใช่ปุบปับขึ้นมาก็กลายร่างได้หรอก”
โมกข์เดินมาหยุดข้างเตียงแล้วเอ่ยถามเสียงขรึม
“แล้วพ่อแม่ที่โลกมนุษย์รู้เข้าจะไม่เป็นไรเหรอ มันจะวุ่นวายใหญ่โตไปกันใหญ่ไหม?”
กานต์กำลังจะอ้าปากตอบ แต่ธรณินกลับส่ายหน้าแล้วหันไปตอบกับท่านผู้นำเผ่าเอง
“ไม่มีปัญหาหรอกครับ พ่อแม่ผมตายหมดแล้ว”
ทันทีที่สิ้นเสียงตอบของธรณิน ภายในห้องไข่มุกของกานต์พลันเงียบกริบ ตามมาด้วยสีหน้าตื่นตะลึงของทุกคนและเสียงซุบซิบพึมพำไม่ได้ศัพท์ทันที ยกเว้นกานต์ที่นั่งยิ้มกริ่มรอดูปฏิกิริยาอย่างนึกสนุก นี่ละไพ่ตายของจริง
“คะ... คุณ... คุณเป็นกำพร้า!!”
ธรณินมองไปที่ใบหน้าแต่ละคนแล้วก็ได้แต่ตกใจ หรือการเป็นกำพร้าจะยิ่งถูกต่อต้านมากกว่าการร่วมคู่ต่างเผ่าพันธุ์ มองไปที่กานต์ก็ได้รอยยิ้มให้กำลังใจตอบกลับมา เขาจึงพยักหน้ารับพร้อมตอบออกไป
“ใช่ครับ ผมเป็นกำพร้า”
“โถ... พ่อคุณ”
น้ำตาที่เอ่อคลอคลองในดวงตาของมังกรอาวุโสแต่ละท่าน ทำเอาธรณินวางตัวไม่ถูกกันเลยทีเดียว แววตาเอื้อเอ็นดูเหมือนจะกลืนกินชายหนุ่มเข้าไปทั้งตัวชวนให้ขนลุกน้อยเสียเมื่อไหร่
“แล้วโตมายังไง”
“ลำบากมากไหมพ่อคุณ”
“อาหารการกินล่ะ ใครเป็นคนจัดการ”
“เวลาเจ็บป่วยไม่สบาย ใครจะพาไปหามดหาหมอได้ล่ะ”
เสียงถามฟังไม่ได้ศัพท์เซ็งแซ่ขึ้นรอบตัวอย่างกะทันหัน ธรณินสะดุ้งจนตัวโยน นี่มันอะไรกันเนี่ย! ท่าทีเปลี่ยนแปลงจากหน้ามือเป็นหลังเท้า เอ๊ย! หลังมือของเหล่ามังกรอาวุโสชวนตกใจยิ่งกว่าตอนทั้งห้าตนใช้ร่างจริงของมังกรมาข่มขวัญเขาเสียอีก ท่าทางเอ็นดูสงสารจนชวนปวดหัวใจนั่นมันอะไรกัน เมื่อกี๊ยังมองเขาตาเขียวข้อหาลูบหัวนายน้อยกานต์กันอยู่เลย ทำไมถึงมีท่าทางแบบนี้กันขึ้นมาได้เนี่ย ธรณินคิดในใจ แต่ก็ยังไม่กล้าพูดอะไรออกมา ได้แต่เกร็งตัวรอรับสถานการณ์ที่จะเกิดขึ้นต่อไป
“หยุดพูดเดี๋ยวนี้!!”
เสียงเย็นเยียบของคุณกีรติสามารถหยุดยั้งเหล่ามังกรแตกรังที่กำลังระดมยิงคำถามเข้าใส่ธรณินอย่างเมามันให้หยุดชะงักลงได้ทันที สายตาคาดโทษจ้องมองมังกรเฒ่าทั้งห้าตนอย่างเย็นชา ก่อนจะหันหน้ามาส่งสายตาอบอุ่นอ่อนหวานให้ธรณินพลางลูบหลังลูบไหล่ด้วยความสงสาร
“ไม่ต้องพูด ไม่ต้องเล่าอะไรทั้งนั้นนะลูก ถ้าการนึกถึงจะทำให้หนูเสียอกเสียใจนะ พวกคนแก่พวกนี้นี่” สายตาพิฆาตหันไปมองแต่ละตนอย่างดุดัน
“จะให้หนูณินเธอพูดถึงอดีตให้ได้อะไรขึ้นมา”
แต่ละตนพยักหน้าหงึกหงักคล้อยตามนายหญิงกันถ้วนหน้า สรรพนามเรียกขานจากคุณธรณินถูกเปลี่ยนไปทันที มังกรเฒ่าทั้งหลายน้ำตาคลอเข้ามาลูบแขนปลอบโยนกันเป็นการใหญ่ พลางเอ่ยขอโทษขอโพยที่เมื่อสักครู่ทำรุนแรงเกินกว่าเหตุไป บางคนถึงขนาดยกชายเสื้อมาซับน้ำตาตรงหัวตาด้วยซ้ำ
ยิ่งเห็นธรณินทำท่าเหรอหรา แต่ละคนก็ยิ่งใจอ่อนยวบ โมกข์จึงเอ่ยเสียงนุ่มเรียบอธิบายให้แทนบรรดามังกรเฒ่าที่ยืนเช็ดน้ำตากันป้อยๆ
“คือแบบนี้... เผ่าพันธุ์มังกรเราเนี่ย มีชีวิตยืนยาวมาก แต่กลับมีทายาทได้ยากมากกว่าอีก การที่จะมีไข่มังกรเกิดขึ้นสักใบจึงถือเป็นความน่ายินดีที่เหลือจะกล่าว ว่าการเกิดขึ้นของไข่มังกรยากแล้ว ช่วงเวลาที่อยู่ในไข่มังกรก่อนที่จะฟักออกมาเป็นช่วงเวลาที่ยากลำบาก จำเป็นต้องมีพ่อแม่คอยคุ้มครองอยู่ใกล้ชิดตลอดเวลา ระหว่างที่อยู่ในไข่จะได้รับความรู้ต่างๆ จากพ่อแม่ส่งผ่านเปลือกไข่เข้าไป แล้วเจ้า เอ่อ... หนูณิน”
ท่านโมกข์เสียงสะดุดทันที เมื่อใช้สรรพนามผิดไป เรียกคนโปรดคนใหม่ของเหล่าผู้เฒ่ามังกร จนโดนสายตาโกรธเคืองจ้องมา
“นั่นแหละ สรุปว่าคนในเผ่าพันธุ์มังกรน่ะเซ้นซิทีฟกับคำว่า ‘กำพร้า’ ได้ยินคำนี้ขึ้นมาเมื่อไหร่ ต่อมความเป็นพ่อเป็นแม่จะสูงลิ่ว อยากได้อะไรก็ขอให้บอก พวกเขาพร้อมจะทูนหัวทูลเกล้าถวายทุกอย่างเพราะความสงสารที่อัดแน่นเต็มหัวใจ” ท้ายประโยคโมกข์ประชดออกไป แต่พวกมังกรเรนเจอร์กลับทำลูกกะตาวิบวับเตรียมพร้อมที่จะทูนหัวทูลเกล้ากันจริงๆ เล่นเอาท่านผู้นำถึงกับเบะปากด้วยความหมั่นไส้
“อยู่ในไข่นี่นานมากเลยหรือครับ ถึงกับต้องมีการส่งผ่านความรู้เข้าไปข้างใน”
ธรณินถามด้วยความสงสัย เขาอยากรู้นักว่าตอนกานต์ฟักออกมาจากเปลือกไข่จะหน้าตาเป็นยังไง ต้องเป็นหนูน้อยที่น่ารักมากแน่ๆ
“100 ปีจ้ะ” เสียงหวานของคุณกีรติตอบมา
“100 ปี ฟักออกจากไข่ แต่พอออกมาสู่โลกภายนอกก็รู้เรื่องทุกอย่างหมดแล้วนะ ถึงหน้าตาเนื้อตัวจะเป็นเด็กก็เถอะจ้ะ”
“ถะ... ถ้าอย่างนั้น... น้องกานต์... กานต์” ธรณินเริ่มปากคอสั่น
“เอ๋... แสดงว่าหนูณินไม่รู้อายุน้องกานต์เหรอจ๊ะ น้องกานต์ก็น่าตีจริงเชียว ทำไมไม่บอกน้อง ถึงว่าสิ ตอนนั้นแม่ยังสงสัย ทำไมหนูณินถึงเรียกน้องกานต์” พูดจบก็หันมายิ้มหวานให้ธรณินอีกครั้ง
“น้องกานต์ออกมาจากไข่ได้ 18 ปีแล้วจ้ะ ถ้านับรวมอายุทั้งหมดก็ 118 ปีพอดี”
เหตุการณ์หลังจากนั้นเป็นยังไงธรณินจำไม่ได้อีกแล้ว เพราะว่าหมดสติไปอีกรอบตอนรู้อายุเต็มของกานต์ มารู้สึกตัวอีกทีก็ตอนโดนโอบกอดแน่นจนหายใจไม่ออกนี่แหละ
“อรุณสวัสดิ์ครับพี่ณิน”
กลิ่นความคุ้นเคยที่ล้อมอยู่รอบกาย ทำให้ธรณินเริ่มเหลียวมองรอบด้านอย่างงุนงง ก่อนจะถามออกมาด้วยเสียงแหบพร่า
“กลับมาบ้านเราแล้วเหรอ”
กานต์พยักหน้ารับ ใช้มือเกลี่ยคราบสีน้ำเงินที่มุมปากของธรณินให้อย่างแผ่วเบา ดวงจิตโดนทำร้ายรุนแรงขนาดนั้น มีเลือดซึมแค่นี้ก็ถือว่าโชคดีแค่ไหนแล้ว แต่กานต์เห็นธรณินเจ็บตัวเพราะตัวเองก็อดรู้สึกผิดขึ้นมาไม่ได้
“เจ็บมากไหมพี่ณิน ถ้ากานต์กลับไปหาพี่ณินได้เร็วกว่านั้น พี่ณินก็คงไม่โดนพวกลุงๆ ป้าๆ หลอกเอาแบบนี้หรอก”
ธรณินหรี่ตา คำพูดปลอบโยนแท้ๆ แต่ทำไมเขารู้สึกเหมือนโดนหลอกด่าเอานะ มือลูบไล้ใบหน้าเนียนใสไป ในใจก็คิดว่านี่น่ะหรือคนอายุร้อยกว่าปี (ก็นี่มังกรไม่ใช่คนนี่!) ธรณินขยับตัวกดจูบลงบนหน้าผากของคนตรงหน้า นาน... ช้า... กว่าจะขยับใบหน้าออก มือไล่ตามกรอบโครงหน้าของกานต์อย่างเบามือ กานต์ได้แต่กระพริบตาปริบมอง
“เป็นอะไรหรือเปล่าครับพี่ณิน”
“ก็ไม่มีอะไรหรอก ดีใจที่ได้ร่วมคู่กัน ดีใจ... ที่ไม่ต้องลืมกัน”
มุมปากของธรณินหยักยกขึ้นอย่างอิ่มใจ
“ว่าแต่... กานต์ไม่ยักกะบอกว่าอายุเยอะกว่าพี่ตั้งมากขนาดนี้”
กานต์ยิ้มตาพราวระยับก่อนจะขยิบตาให้
“แหม... ป๋าก็แอบมีความลับเล็กๆ ของป๋าบ้าง กลัวว่าหนูณินรู้แล้วจะรังเกียจคนอายุมากกว่านี่ครับ อย่าโกรธป๋าเลยนะคนดี เดี๋ยวป๋าพาไปเป็นสะใภ้วังมังกรเป็นการไถ่โทษดีไหมครับ”
ธรณินหัวเราะพรืด ขยี้ผมคนตรงหน้าก่อนจะจับโยกอย่างมันเขี้ยว แค่อายุเยอะกว่า แต่ทั้งรูปร่างเล็กกว่าเขา ทั้งกำลังก็น้อยกว่าเขา (ยกเว้นตอนใช้มนต์ช่วยอะนะ) ทำมาเป็นพูดดี ป๋าอย่างนั้น ป๋าอย่างนี้อยู่ได้ นิ้วมือเรียวยาวจับสอดประสานกับมือขาว แล้วจ้องไปในดวงตาสีน้ำเงินเหลือบดำ ก่อนจะเลิกเล่นแล้วถามอย่างจริงจัง
“ตกลงพี่ร่วมคู่กับกานต์ได้ใช่ไหม?”
“อื้ม” กานต์พยักหน้าตอบรับ ส่งยิ้มให้ธรณินที่ยิ้มตอบกลับมา
“กานต์”
“ครับ”
“กานต์”
อยู่กันแค่ตรงนี้จะเรียกอะไรกันนักหนา กานต์เกือบจะตะคอกกลับไป ถ้าไม่เห็นแววตาหวานเชื่อมของธรณินขณะทอดเสียงเรียกชื่อตัวเองอยู่เข้าเสียก่อน คราวนี้คนที่เคยออดอ้อนให้เรียกชื่อตัวเองบ่อยๆ เริ่มหน้าขึ้นสีขึ้นมาบ้างแล้ว เมื่อรู้ว่าธรณินไม่ได้เรียกแค่ชื่อตัวเองเพียงอย่างเดียว หากหมายถึงความหมายของชื่อนั่นเลยต่างหาก
“ครับ” เสียงตอบรับแผ่วหวิว ดังเหมือนเสียงยุงบินผ่าน กานต์ได้ยินเสียงหัวเราะทุ้มต่ำที่ด้านบนศีรษะตนเอง แต่ไม่กล้าเงยหน้าขึ้นไปดู แค่นี้ก็เขินจะแย่แล้วพี่ณิน
“เป็น ‘กานต์’ ของพี่ตลอดไปนะครับ”
กานต์กอดธรณินแนบแน่นแทนคำตอบในใจ รู้สึกหวานแปลกๆ ความอิ่มเอมยินดีแล่นปราดไปทั่วร่างได้สักพัก ก่อนจะรู้สึกตัวว่าที่ไล้ผ่านไปทั่วร่างกายไม่ใช่ความยินดีเพียงอย่างเดียวเสียแล้ว พึ่งฟื้นขึ้นมาแท้ๆนะพี่ณิน แต่เอาเหอะ คราวนี้ถือเป็นของขวัญเยี่ยมไข้ให้คนป่วยละกัน!!!
- THE END -----------------------------
ขอบคุณสำหรับทุกการติดตามค่ะ สามารถติชมได้เลยนะคะน้อมรับทุกความคิดเห็น

อาจจะมีตอนพิเศษเพิ่ม คุณเจี่ยเจียอยากเขียนแต่ยังคิดไม่ออกค่ะ 555
สามารถทวงตอนพิเศษได้ที่เพจ เจี่ยเจีย นะคะ