Chapter 3 : แรกพบ“อือ...”
เด็กหนุ่มใช้มือยันตัวเองให้ลุกขึ้น ดวงตาสีน้ำตาลเข้มกะพริบปริบให้เข้ากับแสงสว่างอยู่สักพักก่อนจะเปรยออกมาเบาๆ “เหอ ที่นี่มัน...” เขาค่อยๆ ลุกขึ้นยืนแล้วกวาดสายตามองไปรอบๆ ห้องอย่างเชื่องช้า
“โอ้โห ที่นี่คือห้องหนังสือหรือ สุดยอดไปเลย”
เบื้องหน้าตัวเขาเป็นชั้นหนังสือสูงถึงเพดานห้อง มีหนังสือเต็มแน่นทุกตารางนิ้ว ชั้นหนังสือนั้นแบ่งเป็นชั้นๆ โดยมีบันไดให้ใช้ไต่ขึ้นไปยังที่พักแต่ละชั้นได้ ที่ตรงกลางห้องมีโต๊ะตัวใหญ่กับโซฟา ถัดไปเป็นโต๊ะทำงานที่มีหน้าต่างบานใหญ่อยู่เบื้องหลัง บานหน้าต่างเปิดแง้มไว้เล็กน้อยพอให้สายลมเย็นสบายพัดเข้ามาในห้องได้
“ว่าแต่ฉันเข้ามาในนี้ได้ยังไงเนี่ย” ลูคัสขมวดคิ้วพลางยกมือขึ้นกุมศีรษะ เขาพยายามนึกย้อนกลับไป...
“ฉันกำลังเก็บรายละเอียดโครงสร้างบันไดกลางในห้องโถงอยู่กับอเล็กซ์ แล้วทำไมมาโผล่ที่ห้องนี้ได้ล่ะ” เด็กหนุ่มเอ่ยกับตัวเองอย่างงุนงง “ว่าแต่... ห้องนี้มันใหม่เกินไปรึเปล่า” เขาเดินไปสัมผัสโต๊ะไม้ตรงกลางห้องด้วยความสงสัย “ไม่มีฝุ่นเลยด้วยแฮะ เป็นไปได้ยังไงน่ะ”
บนโต๊ะมีม้วนเอกสารกับหนังสือวางอยู่มากมายทำให้ลูคัสอดไม่ได้ที่จะหยิบมันขึ้นมาเปิดดู
ตัวอักษรที่ปรากฏในภาพเป็นแบบที่คนโบราณเขียนกันทำให้อ่านเข้าใจได้ยาก หากหมึกยังดูสดใหม่ แล้วกระดาษถึงจะไม่ขาวเหมือนกระดาษในยุคปัจจุบัน แต่ก็ดูเหมือนเป็นของที่เพิ่งจะทำขึ้นไม่นาน
“จำนวนทาสที่ส่งมาจากเมืองหลวง จะมาถึงในอีกห้าวัน”
“รายชื่อที่ปรึกษา นักปราชญ์ ผู้เชี่ยวชาญการคำนวณและทำนายดวงดาว ช่างผู้ชำนาญการก่อสร้าง ช่างเหล็ก... โอ้โห ของจริงรึเปล่าเนี่ย ถ้าคริสได้เห็นเอกสารพวกนี้ต้องอ้าปากค้างแน่” เขาอมยิ้ม ก่อนจะนึกขึ้นได้ “แย่แล้ว ปล่อยให้อเล็กซ์ทำงานอยู่คนเดียว ต้องรีบออกไปก่อน!”
หากเมื่อเด็กหนุ่มเดินไปถึงบานประตูห้องก็ได้ยินเสียงผู้คนมากมายจากทางด้านนอก สำเนียงและการพูดจาแบบแปลกๆ ทำให้เขาหยุดชะงักแล้วแง้มบานประตูออกดู
ทางเดินด้านนอกแตกต่างจากที่เขาเดินผ่านมาโดยสิ้นเชิง พื้นเป็นกระเบื้องลวดลายสวยงาม ผนังทาสีใหม่เอี่ยม โคมไฟทองเหลืองที่ห้อยลงมาจากเพดานสูงโค้งถูกขัดจนเป็นมันวาว นอกจากนั้นก็ยังมีคนในชุดทหารโบราณ มีทั้งที่เดินไปเดินมาและยืนพูดคุยกันอยู่
แต่แล้วดวงตาเจ้ากรรมก็สบประสานกับนายทหารเฝ้ายามคนหนึ่งเข้า
“เฮ้ย ใครน่ะ!” ไม่พูดเปล่าหากชักดาบยาวออกมาจากฝักพร้อมกับวิ่งตรงเข้ามายังเด็กหนุ่มด้วย
ลูคัสหน้าถอดสี เขารีบปิดประตูแล้วใส่กลอนทันควัน
“เปิดประตู!” พวกทหารตะโกนพลางกระแทกบานประตูอย่างแรง
“อะไรเนี่ย! ท่าทางเหมือนจะฆ่าแกงกันเลย!” เด็กหนุ่มหันรีหันขวาง วินาทีนี้สัญชาตญาณบอกว่าให้หนีเอาตัวรอดก่อน อย่างอื่นค่อยว่ากันทีหลัง เขาวิ่งตรงไปที่บานหน้าต่างซึ่งเปิดแง้มอยู่แล้วชะโงกหน้ามองลงไปสำรวจ พอเห็นว่ากำแพงด้านนอกที่เป็นหินพอมีที่ให้เกาะและใช้เหยียบได้บ้างก็รีบปีนลงไป
เมื่อเท้าสัมผัสพื้นลูคัสก็ออกตัววิ่ง ใจคิดเพียงแค่ต้องหนีไปให้ไกลจากตัวปราสาทมากที่สุด กว่าจะรู้ตัวก็มายืนงงอยู่ในสวนกุหลาบที่มีดอกกุหลาบนานาชนิดบานสะพรั่ง แต่ดูเหมือนจะถูกทิ้งๆ ขว้างๆ มาเป็นเวลานาน เพราะไม่มีการตัดแต่งหรือจัดเป็นพุ่มตามอย่างสวนทั่วไป
“สวนนี่มาจากไหนอีกเนี่ย เมื่อวานยังไม่มีเลยนี่หว่า”
“ใครน่ะ”
ลูคัสสะดุ้งเฮือกแล้วหันขวับไปทางต้นเสียง
ชายหนุ่มที่ยืนอยู่ตรงหน้าอยู่ในชุดเสื้อแขนยาวสีดำ ปักลวดลายสีทองบริเวณลำคอ ช่วงอก ชายเสื้อและตรงปลายแขน ตรงส่วนลำตัวยาวคลุมสะโพก มีเข็มขัดหนังรัดเอว ท่อนล่างสวมกางเกงผ้าสีดำและรองเท้าบูทหนังสูงเกือบถึงหัวเข่า มีดาบยาวอยู่ในฝักคล้องอยู่ที่เข็มขัดหนัง การแต่งกายเหมือนคนสูงศักดิ์ในสมัยก่อนที่เขาเคยเห็นในหนังสือ
“เจ้าเป็นใคร”
“อะ... เอ่อ ผมเป็นนักศึกษาที่ทำงานอยู่ในโพรเจ็กต์ของที่นี่ครับ แต่จู่ๆ ก็โดนคนในปราสาทวิ่งไล่ออกมาเนี่ย” ลูคัสตอบกลับไปอย่างงงๆ นัยน์ตาสีเข้มจ้องอีกฝ่ายเขม็ง ชายหนุ่มที่มีผมสีบลอนด์ ตาสีฟ้า แต่งตัวแบบนี้... ใช่แน่แล้ว
“นี่คุณ... แต่งคอสเพลย์เป็นเจ้าชายดิสนีย์มางานในปราสาทหรือ จะมีปาร์ตี้หรือครับ”
ชายหนุ่มทำหน้าฉงน “พูดอะไรแปลกๆ เหมือนไม่ใช่ภาษาคน”
เด็กหนุ่มคิ้วกระตุก “อ้าว หน้าตาดีๆ ทำไมไม่พูดจาให้เหมือนหน้าตาหน่อยล่ะครับ แล้วตกลงคุณเป็นใครกันเนี่ย มาทำอะไรที่นี่”
อีกฝ่ายไม่ตอบ เขายืนนิ่ง สายตาจับจ้องพิจารณาเด็กหนุ่มตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า แต่ในขณะเดียวกันก็มีเสียงฝีเท้าหนักๆ ดังขึ้นถี่ๆ ตามมาด้วยเสียงตะโกนดังก้องไปทั่วบริเวณ “ท่านลอร์ด! มีคนลอบเข้ามาในปราสาท!”
ลูคัสเบิกตาโพลง จะว่าไปพวกที่แต่งตัวเป็นทหารแล้ววิ่งตามเขามากับคนตรงหน้านี่ก็แต่งตัวอยู่ในธีมเดียวกัน เพราะงั้นอาจจะเป็นพวกเดียวกันก็ได้ แล้วดาบยาวที่คล้องอยู่ตรงเอวนั่น คงไม่ได้ใช้สำหรับตัดกุหลาบแน่ หลังจากตรึกตรองดูแล้วก็คิดว่าเขาควรจะรีบหนีไปให้ไกลจากคนคนนี้เช่นกัน
บางทีคนพวกนี้อาจจะแกล้งแต่งตัวแบบโบราณเพื่อหลอกเข้ามาทำอะไรสักอย่างในปราสาทแล้วขโมยของมีค่าก็ได้
แล้วตัวเขาเห็นหน้าพวกมันตั้งหลายคน มีหวังต้องโดนฆ่าปิดปากแหงๆ
เด็กหนุ่มเงยหน้าขึ้นมองตัวปราสาทก่อนจะหันหลังขวับ เขาออกตัววิ่งไปทางทิศเฉียงเหนือของปราสาทให้เร็วที่สุดในชีวิต เพราะจำได้ว่ามีถนนที่ใกล้ที่สุดอยู่ที่นั่น พอผ่านสวนกุหลาบไปก็พบกับพื้นที่ว่างซึ่งมีหญ้ารก เขาหันกลับไปมอง ได้ยินเสียงคนอยู่ไกลๆ คิดว่าน่าจะเป็นพวกทหารที่ไล่ตามมาจึงตัดสินใจวิ่งฝ่าทุ่งหญ้ารกต่อไปอีก จนกระทั่งถึงกำแพงหินสูงซึ่งสูงประมาณตึกสองชั้น และมันไม่เหมือนกับกำแพงปราสาทที่เขาเคยเห็นสักเท่าไหร่
“ทำไมกำแพงม่านกลายเป็นแบบนี้ไปได้ล่ะ” เด็กหนุ่มเงยหน้าขึ้นมองอย่างงุนงง ก่อนจะลองปีนข้ามไป และเมื่อกระโดดลงอีกฝั่งของกำแพงก็กลิ้งหลุนๆ ลงไปตามเนินที่ไม่สูงมากนัก พอลุกขึ้นได้ก็ต้องหยุดอ้าปากค้าง
“โอย ที่นี่มันที่ไหนกันเนี่ย ฉันหลุดมาอีกโลกนึงรึไง”
เบื้องหน้าเขาเป็นป่าโปร่งที่มีแต่ต้นไม้สูงใหญ่ บนพื้นเต็มไปด้วยมอส มีต้นไม้เล็กๆ ขึ้นประปราย แต่ไม่ว่าจะมองไปทางไหนก็ไม่เห็นมีทางเดินใดๆ “มีป่าผุดขึ้นมาตั้งแต่เมื่อไหร่ แล้วลานจอดรถกับถนนหายไปไหน”
หากเด็กหนุ่มจำได้ว่าถัดจากที่ตั้งปราสาทออกไปไม่ไกลจะพบกับตัวเมือง เขาจึงคิดว่าอย่างไรก็ควรจะไปที่นั่นก่อน
สองขาพาเจ้าของก้าวเดินต่อไปเรื่อยๆ ริมฝีปากเผยอหอบ เขายังอยู่ในชุดหมีที่ใส่ตอนทำงาน ข้างในยังคงเป็นเสื้อสเวตเตอร์และกางเกงยีน รองเท้าผ้าใบที่ใส่มีพื้นหนาเป็นแบบที่ใช้สวมใส่เพื่อความปลอดภัยในสถานที่ก่อสร้างหรือโรงงานโดยเฉพาะ “หนาวชะมัด” ลูคัสพึมพำพร้อมกับควานหาโทรศัพท์มือถือในกระเป๋ากางเกง “อ้าว แย่แล้ว ทำหล่นไปตอนไหนกันเนี่ย”
ในเมื่อติดต่อใครไม่ได้จึงจำเป็นต้องเดินหน้าต่อไป ใช้เวลาอยู่พักใหญ่ก็หลุดจากเขตป่ามาพบกับทุ่งข้าวสาลี ข้าวบาร์เล่ย์สีเหลืองทอง หากนั่นไม่ทำให้เขาประหลาดใจเท่าบ้านคนที่เห็นอยู่ลิบๆ
ลูคัสยืนนิ่งเป็นเสาหิน งุนงงจนทำอะไรไม่ถูก เมืองที่เขาอยู่อาศัย ถนนหินที่เคยเดินผ่าน รถหรือตึกรามบ้านช่อง ทุกสิ่งทุกอย่างหายไปสิ้น เหลือเพียงป่าและทุ่ง
“ฉันฝันอยู่รึเปล่า นี่มันเกิดอะไรขึ้นกัน” เด็กหนุ่มยกมือขึ้นกุมศีรษะก่อนจะทรุดตัวลงนั่งอยู่ในทุ่งข้าว “ฉันควรจะทำยังไงต่อไปดี” เขาส่ายศีรษะไปมาแล้วพ่นลมหายใจออกหนักๆ
ถ้ามีทุ่งข้าว ก็น่าจะมีบ้านคน
ริมฝีปากสีแดงเม้มแน่นอย่างครุ่นคิด ในเมืองนี้มีแม่น้ำ ถ้าจะหาบ้านคนก็ควรจะต้องเริ่มจากแม่น้ำก่อน
ลูคัสหันหลังกลับไปมองปราสาทบนเนินเขาที่เพิ่งจากมาเพื่อคาดเดาทิศทางของแม่น้ำโดยใช้ปราสาทที่เห็นเทียบกับเมืองในความทรงจำ จากนั้นจึงเริ่มเดินออกไปอีกครั้ง
ดวงอาทิตย์คล้อยลงต่ำ เด็กหนุ่มเดินบ้างหยุดพักบ้างมาครู่ใหญ่แล้ว ท้องก็เริ่มหิว ปวดขาและเจ็บเท้า ใกล้หมดแรงไปทุกที หากไม่ว่าอย่างไรก็ต้องหาแม่น้ำให้พบก่อนตะวันจะลาลับไป ไม่อย่างนั้นเขาต้องหนาวตายอยู่กลางทุ่งแน่ๆ
ระหว่างที่นั่งพักอย่างอ่อนแรงก็ได้ยินเสียงน้ำแว่วเข้ามาในโสตประสาท ลูคัสลุกขึ้นพรวดแล้ววิ่งตรงไปยังต้นกำเนิดเสียง ไม่นานก็พบกับแม่น้ำกว้างใหญ่ เมื่อหันมองซ้ายขวาก็เห็นว่าไม่ไกลออกไปมีบ้านคนหลังเล็กๆ อยู่หลายหลัง
“ฉันหลงมาที่ไหนกันเนี่ย... อย่างกับหลงมาอีกยุค แต่มันจะเป็นไปได้ยังไงกันเรื่องแบบนั้น” เขาพึมพำพลางเดินตรงไปยังแม่น้ำ จากนั้นจึงย่อตัวลงวักน้ำขึ้นมาดื่มและล้างหน้าหลายๆ ครั้ง
“น้ำเย็นชะมัด!” ดวงตาสีน้ำตาลเข้มลืมขึ้นแล้วมองไปรอบๆ ตัวอีกครั้ง ทุกอย่างยังคงไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไป
“ช่วยด้วย! ใครก็ได้ช่วยที!”
เสียงคน!
ลูคัสวิ่งพรวดพราดไปยังต้นเสียง ก่อนจะพบกับผู้หญิงชาวบ้านวัยกลางคนในชุดกระโปรงยาวสีตุ่นๆ สีหน้าของหล่อนซีดเผือด สายตามองตรงไปในแม่น้ำ เด็กหนุ่มจึงมองตามหล่อนไป
ในแม่น้ำที่เย็นเยือกไม่ไกลจากฝั่งนัก มีเด็กชายเกาะขอนไม้ร้องไห้อยู่ ลูคัสไม่รอช้า เขารีบถอดชุดหมี เสื้อสเวตเตอร์และรองเท้าออก จากนั้นจึงวิ่งลงไปในน้ำแล้วว่ายน้ำตรงไปยังเด็กชาย
วินาทีนั้นลูคัสลืมความหนาวเย็นไปเสียสนิท พอคว้าคอเสื้อเด็กชายได้ก็ว่ายน้ำพากลับขึ้นฝั่ง
หญิงวัยกลางคนถลาเข้ามากอดเด็กชาย หล่อนมองตามลูคัสที่เดินไปหยิบเสื้อสเวตเตอร์ขึ้นมาใส่ ตามด้วยชุดหมีอีกชั้น เด็กหนุ่มนั่งลงกอดเนื้อตัวที่สั่นเทา
“เกิดอะไรขึ้น!” เด็กหนุ่มชาวบ้านในชุดซอมซ่ออีกคนวิ่งเข้ามาหยุดหอบอยู่ใกล้ๆ กับหญิงวัยกลางคนและเด็กชาย พอหันไปเห็นลูคัสเข้าก็เบิกตาโพลง “ไอ้โจรนี่มันทำร้ายเอาหรือแม่” เขาหันไปคว้าท่อนไม้แล้วเดินตรงเข้าไปหา
“แก! ไอ้โจร! จะรังแกพวกข้าไปถึงเมื่อไหร่!”
ร่างกายรู้สึกชาและสั่นด้วยความหนาว อยากจะขยับหนีก็ขยับไม่ได้ สองแขนกอดลำตัวค้างไว้แน่น เขาเงยหน้าขึ้นมองเด็กหนุ่มชาวบ้าน จะพูดแก้ตัว ริมฝีปากก็สั่นเสียจนพูดจาไม่รู้เรื่อง “ไม่... ผม...”
เด็กหนุ่มชาวบ้านคนนั้นเงื้อมือข้างที่ถือท่อนไม้ขึ้นสูง
“เดี๋ยวก่อนเลน! อย่าทำร้ายเขานะ” หญิงวัยกลางคนเอาผ้าคลุมไหล่ของหล่อนพันตัวเด็กชายแล้วอุ้มขึ้นพร้อมกับวิ่งเข้ามาขวาง “เขาเป็นคนช่วยวิลไว้!”
เจ้าของชื่อเรียกชะงัก “ฮะ!”
“เขาเป็นคนพาวิลขึ้นมาจากน้ำ!”
“จริงหรือแม่ ไอ้หมอเนี่ยน่ะหรือ” เด็กหนุ่มมองหน้ามารดาสลับกับน้องชายที่หน้าซีดตัวสั่นอยู่ในอ้อมแขนของหล่อน
“ใช่! เจ้าอย่าทำอะไรเขาเชียวนะ!”
เลนหันกลับไปมองลูคัสอีกครั้ง ในสายตาของเขา อีกฝ่ายดูไม่เหมือนชาวเมืองทั่วไปทำให้เขาคิดว่าเป็นโจร แต่ถ้าเป็นคนที่เสียสละช่วยน้องชายเขาแล้ว...
เด็กหนุ่มชาวบ้านย่อตัวลงนั่งข้างๆ “ข้าไม่เคยเห็นเจ้ามาก่อนเลย มาจากไหนรึ”
“จาก... มิว... นะ... นิค...”
“ที่ไหนกันนี่ ไม่เห็นเคยได้ยิน” เลนขมวดคิ้วพร้อมกับยกมือขึ้นเกาศีรษะ เขาถอดผ้าคลุมไหล่ตนเองออกแล้วนำไปคลุมให้เด็กหนุ่ม “แต่เอาไว้ก่อนเถอะ ลงไปในน้ำเย็นแบบนั้นเจ้าคงหนาวมากสินะ ไปที่บ้านข้ากันก่อนดีกว่า นี่ฟ้าก็จะมืดแล้วด้วย”
ลูคัสส่ายหน้า ไม่ใช่ว่าไม่อยากกลับไปด้วย แต่เพราะหนาวสั่นจนลุกขึ้นไม่ไหว “ไม่... ไหว...”
เลนพยักหน้าอย่างเข้าใจ “ไม่เป็นไร งั้นขี่หลังข้าไปก็แล้วกัน”
บ้านของเลนตั้งอยู่ไม่ไกลนัก ละแวกนั้นมีบ้านนับสิบๆ หลังตั้งอยู่ใกล้ๆ กัน ที่หน้าบ้านของเลนมีคู่ชายหญิงชรายืนรอการกลับมาของพวกเขาอยู่
“มารี เลน วิล เกิดอะไรขึ้นรึ!”
“ตายาย เข้าบ้านก่อน เดี๋ยวค่อยคุยกัน” เลนหอบเด็กหนุ่มแปลกหน้าวิ่งเข้าไปในบ้าน นำไปวางลงข้างหน้าเตาผิงแล้ววิ่งไปรับน้องชายต่อจากมารดามาวางลงข้างๆ กัน
ภายในบ้านไม่ได้มีพื้นที่กว้างขวางอะไรนัก บนพื้นปูไว้ด้วยต้นข้าวแห้งๆ มีโต๊ะกับเก้าอี้ไม้ตั้งอยู่ตรงกลางห้อง
“ดูแลเขาที เดี๋ยวข้าดูแลวิลเอง” มาเรียบอกกับบิดามารดาของหล่อน
“เกิดอะไรขึ้นกันนี่” ชายชรารีบรุดไปหยิบฟืนใส่เตาผิง ส่วนหญิงชราตักซุปร้อนๆ ใส่ชามมาส่งให้
ลูคัสรับชามซุปมาถือไว้ มือของเขายังคงสั่นอยู่น้อยๆ จึงต้องค่อยๆ ยกชามขึ้นจิบ วินาทีแรกที่ลิ้นได้สัมผัสซุปเขาถึงได้รู้ว่าตนเองหิวโหยมากขนาดไหน เขาพยายามเป่าซุปให้เย็นลงแล้วยกขึ้นซดฮั่กๆ
“ใจเย็นๆ เดี๋ยวก็สำลักหรอก”
“แค่กๆ” ไม่ทันขาดคำ เด็กหนุ่มก็สำลัก ไอโขลกจนตัวโยน
เลนช่วยลูบหลังให้เบาๆ “ดูท่าจะหิวมาก”
“งั้นกินซุปกับขนมปังหน่อยดีไหม” หญิงชราจ้องมองเด็กหนุ่มอย่างสงสาร หล่อนลุกไปตักซุปและหยิบขนมปังมาส่งให้ จากนั้นจึงขยับไปดูหลานชาย
วิลฟื้นตัวได้ไวกว่าลูคัสมากเพราะเป็นเด็กที่เติบโตขึ้นมาในละแวกนั้น หลังจากดื่มซุปเข้าไปสักพักก็ดีขึ้นจนเกือบเป็นปกติ เขาลุกขึ้นเปลี่ยนเสื้อผ้าตามที่มารดาสั่ง
“ไหนบอกข้าหน่อย เจ้าลงไปทำอะไรในน้ำน่ะวิล”
“ข้าจะไปจับปลาให้ยาย เห็นยายบ่นอยากกินปลา แต่เบ็ดมันติด ข้าเลยลงไปดู แล้วขาก็ชา เจ็บไปหมด ขยับไม่ได้เลย ปลาก็หลุด เบ็ดก็หาย” เด็กชายตอบเสียงสลด
“เกือบตายแล้วไหม โชคดีของเจ้าที่เขามาเห็นทัน”
“ขอบคุณ” เด็กชายหันไปบอกกับผู้มีพระคุณของตน
“ที่แท้ก็คนที่ช่วยวิลไว้นี่เอง ขอบใจเจ้ามากนะ” ตายายพยักหน้าอย่างเข้าใจ
ลูคัสผงกศีรษะ ในปากยังมีขนมปังเต็มไปหมด เขายกชามซุปขึ้นซดตามอีกหลายๆ อึกใหญ่
ท่าทางของเด็กหนุ่มทำให้เลนหัวเราะออกมาเบาๆ “อร่อยหรือ”
“ครับ อร่อยมาก”
“เอาอีกไหม”
“เอาครับ”
หญิงชรายิ้มชอบใจ หล่อนรีบรุดไปตักซุปใส่ชามและหยิบขนมปังมาให้เด็กหนุ่มอีกก้อน “กินเสียให้อิ่มนะเจ้าหนู”
“เจ้ากินไปก่อน เดี๋ยวข้าจะไปหาเสื้อผ้าให้เปลี่ยน”
เสื้อผ้าที่เลนนำมาให้ใส่เหมือนกับตัวที่เขาใส่อยู่ เป็นเสื้อแขนยาวลำตัวยาว ไม่มีลวดลายใดๆ เนื้อผ้าหยาบๆ มีผ้าผูกเอวกับกางเกงผ้า รูปแบบคล้ายกับผู้ชายที่ลูคัสพบในปราสาท แต่ความหรูหราต่างกันลิบลับ
ลูคัสรับมาสวมแต่ก็ยังสวมสเวตเตอร์ทับไว้ จากนั้นจึงมานั่งลงที่หน้าเตาผิงร่วมกับทุกคน
“เอาล่ะ เจ้าชื่ออะไร”
“ลูคัส”
“ข้าชื่อเลน นี่มาเรียแม่ข้า คนที่เจ้าช่วยไว้เป็นน้องของข้าชื่อวิล แล้วนั่นก็ตากับยาย”
ลูคัสฟังคำพูดอีกฝ่ายไปด้วยความรู้สึกที่บอกไม่ถูก เขาควรจะต้องยอมรับว่าตัวเองหลงมาอยู่ในยุคโบราณใช่ไหมนะ นี่คงไม่ใช่การเล่นตลกของใคร
“เจ้ามาจากเมืองอะไรนะ”
“บ้านเกิดผมอยู่ที่มิวนิค อยู่ไกลจากที่นี่มาก”
ทุกคนในบ้านหันไปมองหน้ากัน “ไม่เคยได้ยิน คงจะไกลมากจริงๆ คนที่นั่นหน้าตาเป็นแบบเจ้ากันหรือ”
“หน้าตา?” ลูคัสขมวดคิ้ว “อ๋อ ไม่หรอก ผมเป็นลูกครึ่งน่ะ”
“ลูกครึ่ง? คืออะไรน่ะ”
“ก็พ่อผมเป็นชาวยุโรป แม่ผมเป็นชาวเอเชียไงครับ”
คำตอบของเด็กหนุ่มทำให้ทุกคนงุนงงหนักเข้าไปใหญ่ แต่พวกเขาก็เดาเอาว่า ยุโรป กับ เอเชีย ที่อีกฝ่ายพูดถึงคงจะเป็นชื่อเมืองที่อยู่ไกลๆ เฉกเช่นมิวนิคกระมัง
“พอผมมาถึงที่นี่ก็ดันหลงเข้าไปในปราสาท แล้วก็เจอพวกทหารไล่กวดออกมา”
“เจ้าเดินอีท่าไหนกันถึงหลงเข้าไปที่นั่นได้น่ะ ไม่ถูกทหารฆ่าตายก็ดีนักหนาแล้ว” เลนตบไหล่เด็กหนุ่มเบาๆ “ก่อนหน้าที่ปราสาทนั่นมีทหารเฝ้ายามอยู่แค่ไม่กี่คน แต่เมื่อไม่กี่วันมานี่ ท่านลอร์ดแห่งแบร์กไฮม์กับกองทัพของท่านเพิ่งเดินทางมาถึง ได้ยินว่าองครักษ์ของท่านเป็นทหารฝีมือดีอันดับต้นๆ ของแคว้น เจ้าโชคดีมากที่รอดมาได้นะ”
นัยน์ตาสีเข้มเบิกโพลง “ลอร์ด... ลอร์ดแห่งแบร์กไฮม์”
“ใช่ ผู้ครองเมืองแบร์กไฮม์อย่างไรกันล่ะ”
“ถ้างั้นปราสาทนั่นชื่อ...”
“ปราสาทแห่งแบร์กไฮม์ ข้าได้ยินว่าแต่เดิมเป็นของท่านอาร์ชดยุกแห่งไฮเดลแบร์กนะ ท่านคงยกให้เป็นที่พักของท่านลอร์ด”
ลูคัสนึกย้อนไปถึงคริส เพื่อนร่วมงานนักโบราณคดีของเขา หล่อนเคยพูดไว้ว่าปราสาทนี้แต่เดิมชื่อปราสาทแห่งแบร์กไฮม์ แล้วมาเปลี่ยนชื่อเป็นปราสาทแห่งไฮเดลแบร์กทีหลัง
แล้วมีอาร์ชดยุก มีลอร์ด มีผู้ครองเมือง... “นี่มันคือยุคกลางหรือเปล่า ศตวรรษที่เท่าไหร่กันเนี่ย”
“เจ้าพูดอะไรน่ะ” เลนขมวดคิ้ว “ภาษาแบบบ้านเกิดเจ้าหรือ”
“เอ่อ จะว่าอย่างนั้นก็ได้”
“มิน่าเล่า เจ้าถึงได้พูดจาแปลกๆ”
“แล้วเจ้าจะไปไหนต่อ” มาเรียซักบ้าง
“ผม...” ลูคัสก้มหน้าลงมองพื้น เขานิ่งไปสักพักจึงตอบเสียงเศร้า “ผมไม่รู้ครับ” เขาไม่รู้เลยจริงๆ ว่าจะทำอย่างไรกับชีวิตต่อไปดี “จะกลับบ้านก็ไม่รู้จะกลับยังไง” ป่านนี้บิดามารดาและพี่ชายจะรู้ข่าวของเขาแล้วหรือยัง จะออกตามหากันวุ่นวายไหม
ชายชราลูบศีรษะเด็กหนุ่มด้วยความสงสาร “เจ้าจะอยู่ที่นี่ไปสักพักก็ได้ บ้านคับแคบไปสักหน่อย แต่ก็พอมีที่ว่างให้อีกสักคน”
“จริงหรือ ผมอยู่ที่นี่ได้หรือ ขอบคุณมากครับ ขอบคุณมาก”
“แต่เจ้าต้องระวังตัวด้วยนะ แถวนี้มีโจรบุกเข้ามารังควานอยู่บ่อยๆ”
“โจร?”
“ใช่ พวกมันบุกมาปล้นเงินทอง เสบียงอาหารบ้าง เครื่องประดับบ้าง มีของดีอะไรพวกมันก็ขโมยไปหมด”
สีหน้าของเด็กหนุ่มเจื่อนลงเล็กน้อย ก็นั่นสินะ ไม่ว่ายุคไหนๆ ก็มีคนร้าย คนที่เอาเปรียบคนที่อ่อนแอกว่าด้วยกันทั้งนั้น “...ครับ ผมจะระวัง”
ภายในบ้านมีห้องแคบๆ อยู่อีกสองห้อง ใช้เป็นที่หลับนอนของครอบครัว ห้องหนึ่งเป็นของตายายกับมาเรีย ดังนั้นอีกห้องจึงเป็นของเลน วิลและลูคัส
สภาพห้องนอนที่ไม่เหมือนห้องนอนเอาเสียเลยส่งผลให้เด็กหนุ่มทอดถอนใจออกมาเบาๆ แต่ก็ไม่ต่างจากที่คาดไว้มากนัก พวกเขาใช้ฟางปูพื้น มีผ้าปูทับเป็นที่นอน มีผ้าห่มเก่าๆ หลายผืนไว้ให้ห่มซ้อนๆ กัน อากาศในเวลากลางคืนเย็นจัด ก่อนจะนอนต้องใส่ฟืนในเตาผิงเพิ่มไว้ เมื่อเอนหลังลงนอนแล้วเขาก็ปิดตาลงอย่างเหนื่อยอ่อน
*~TBC~*ว้ายๆ ปู้จายเขาได้เจอกันแหล่วคร่าาา ตอนนี้เจอกันแป๊บเดียว เอาไว้ตอนหน้าๆๆๆๆๆๆ จะเจอกันเยอะๆ นะคะ กรั่กกก
จริงๆ ความแตกต่างของภาษาของสองยุคคงจะต้องมีมากกว่านี้แหละค่ะ แต่เอาแค่นี้ละกันนะคะ 55555 ถือว่าเขาเขียนอ่านภาษาเดียวกันก็พอ ฮัสกี้จะได้ไม่งงล่วย 55555 /เล่นง่ายจิมๆ
หนูลูคัสถูกพามายุคอดีตแล้ว จำไม่ได้ซะด้วยมาใครเรียกมาพามา อิทั่นหลอดที่เรียกมาก็ไม่รู้ น่าสงสารชิมิคะ
ยังไงก็รอติดตามกันต่อนะคะ ว่าหนูลูคัสจะพิชิตใจทั่นหลอดยังงอยยย 5555
ขอบคุณทุกคนมากค่า จุ๊ฟฟฟฟ