Chapter 7 : กวาดล้างเด็กหนุ่มยืนนิ่งอยู่กับที่อีกครู่ใหญ่ แม้เจ้าของห้องจะออกไปจากห้องนานแล้วก็ตาม เขาค่อยๆ หันหลังกลับไปมองรอบๆ ห้อง จากนั้นจึงเดินตรงไปยังบานประตูออกสู่ระเบียง มือเรียวถอดสลักออก แง้มบานประตูเล็กน้อยแล้วเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าซึ่งเขาไม่ได้เห็นมาเป็นเวลาหลายวัน จันทร์เสี้ยวเล็กยังคงปรากฏอยู่ท่ามกลางดวงดาวนับล้าน เป็นภาพที่งดงามเสียเหลือเกินในความคิดของคนที่เกิดในเมืองกรุงเช่นเขา
ลูคัสทิ้งตัวลงนั่งบนพื้น เอนหลังพิงผ้าม่านที่รวบไว้ข้างบานประตูพลางทอดสายตามองท้องนภาในยามใกล้รุ่ง ก่อนจะผล็อยหลับไปด้วยความเหนื่อยอ่อน
บรรยากาศภายในห้องหนังสือในปราสาทตึงเครียดแต่เช้าตรู่ ลอร์ดแห่งแบร์กไฮม์เรียกตัวหัวหน้าทหารแต่ละกองเข้ามาปรึกษาหารือกันตั้งแต่ท้องฟ้ายังมืดสนิท เขาสั่งให้ทหารส่งสาสน์ไปกับนกพิราบเพื่อส่งข่าวกับทหารที่ซุ่มอยู่ตามจุดต่างๆ แล้วส่งม้าเร็วไปตรวจสอบพื้นที่ริมแม่น้ำ ท่าเรือและชานเมืองใกล้เคียงพร้อมกับสั่งให้ส่งรายงานเข้ามาเป็นระยะๆ
ในช่วงเที่ยงวันมีรายงานเข้ามาว่าพบศพชายกลุ่มหนึ่งกับข้าวของลอยมาเกยตื้น ดูแล้วน่าจะเป็นของพวกคนที่เดินทางมากับเรือ
“ไอ้พวกโจรอาจจะฆ่าคนในเรือแล้วสวมรอย ข้าวของที่ทิ้งเป็นพวกของไม่มีราคา แต่เพื่อที่เรือจะได้รับน้ำหนักโดยสารเพิ่มได้อีก พวกมันคงจะขนพรรคพวกมากันเยอะแน่”
“ถ้าเช่นนั้นข้าจะพาทหารไปรอจับพวกมันที่ริมฝั่ง”
“เดี๋ยวก่อน บางทีพวกมันอาจจะไม่ได้แฝงเข้ามาทางเรืออย่างเดียว” ลอร์ดหนุ่มย้อนทบทวนคำพูดของลูคัสอีกครั้ง “ภูเขา แม่น้ำ สีเลือด... ข้าคิดว่าพวกมันตั้งใจจะบุกเข้ามาจากสองทาง วันก่อนที่ทหารพบเห็นพวกมันที่ชายป่า มันอาจจะมาดูลาดเลาก็เป็นได้”
“ถ้าพวกมันเข้ามาทั้งสองทางแบบนี้ ใครเห็นทหารก่อนก็ส่งสัญญาณบอกให้อีกทางหนีไปได้”
“ใช่แล้ว ฟังให้ดี เราจะต้องเคลื่อนพลอย่างเงียบเชียบที่สุด รอให้ฟ้าใกล้มืดก่อน ให้ทหารของเราปลอมตัวไปปะปนกับชาวบ้าน และแบ่งอีกกลุ่มไปซุ่มอยู่ที่หมู่บ้านชายป่ากับริมน้ำ เราจะรอให้พวกมันเข้าไปในหมู่บ้านก่อนค่อยตีวงล้อมจากข้างในและข้างนอกพร้อมกัน คืนนี้เราจะกำจัดพวกมันให้สิ้นซาก” ลอร์ดแห่งแบร์กไฮม์กล่าวสรุป จากนั้นก็สั่งให้ทุกคนแยกย้ายกันไปตระเตรียมการ
คาร์ลกลับไปที่ห้องนอนของเขาในตอนบ่าย เมื่อเปิดประตูเข้าไปในห้องก็พบถาดใส่อาหารที่เขาสั่งทหารให้นำมาให้เด็กหนุ่มวางอยู่ อาหารในถาดยังไม่แหว่งไปเลยแม้แต่น้อย แล้วพอกวาดสายตามองไปภายในห้องก็ไม่พบคนที่เขาบอกให้รอ ก่อนจะเห็นว่าบานประตูออกสู่ระเบียงเปิดแง้มไว้เล็กน้อย เขาก้าวเท้าตรงไปที่นั่นทันที
แต่แล้วก็พบคนที่ตามหา ลูคัสนั่งซุกตัวอยู่ในผ้าม่านแถมยังหลับสนิทไม่รู้เรื่องรู้ราว
“เจ้านี่น้า ทำไมมานอนตรงนี้” ลอร์ดหนุ่มอมยิ้ม อดคิดไม่ได้ว่าเจ้าเด็กตัวแสบคนนี้ก็มีเวลาที่ดูไร้เดียงสากับเขาได้ จากนั้นจึงเอื้อมมือไปเคาะศีรษะเล็กเบาๆ “ลูคัส ลูคัส ตื่นเถอะ”
“ฮือ” ดวงตาสีน้ำตาลเข้มลืมขึ้น ก่อนเจ้าของชื่อเรียกจะสะดุ้ง รีบลุกขึ้นยืนทันควัน “มืดแล้วหรือครับ! เป็นยังไงบ้าง คุณช่วยทุกคนไว้ได้ไหม!”
“ยังไม่ค่ำเลย”
ลูคัสหันขวับไปยังบานประตูที่เปิดแง้มไว้ “จริงด้วยแฮะ”
“ไปกินอะไรสักหน่อยก่อน”
“ผมยังไม่หิ...”
จ๊อก...
มือเรียวยกขึ้นกุมท้องที่ร้องลั่นออกมาอย่างไม่รู้เวล่ำเวลา “เอ่อ...”
“อาหารวางอยู่ตรงนั้น ไปยกมากินซะ” ลอร์ดหนุ่มสั่งพลางเดินไปนั่งลงบนโซฟา เขามองตามร่างโปร่งที่เดินไปหยิบถาดอาหารมานั่งลงบนโซฟาอีกตัวแล้วก้มหน้าก้มตาจัดการกับอาหาร รอจนอีกฝ่ายรับประทานไปสักพักจึงเอ่ยขึ้น
“คอนราดบอกข้าว่าเจ้าระเบิดกำแพงหินเป็นรูเบ้อเริ่ม”
ลูคัสแทบจะพ่นอาหารในปากออกมา เขาเบิกตากว้าง รีบเคี้ยวๆ และกลืนลงท้องไปก่อนที่อาจจะโดนลงโทษไม่ให้รับประทานต่อ “ไม่ใช่ความผิดของผมซะทีเดียวนะ ก็คุณอยากเอาผมไปขังไว้กับดินปืนทำไมล่ะ”
“ข้าเองก็เพิ่งย้ายเข้ามาในปราสาทนี้ก่อนเจ้าไม่กี่วัน ไม่มีใครไปตรวจสอบว่าที่นี่มีของแบบนั้นเก็บไว้ด้วย แล้วเจ้าก็เป็นคนแรกของคุกนั่น”
เด็กหนุ่มเบ้ปาก “โอ้โห เป็นเกียรติของผมอย่างมากเลย”
ลอร์ดหนุ่มหัวเราะเบาๆ พลางเอนหลังพิงพนักโซฟา “ข้าเคยได้ยินว่าดินปืนใช้ทำดอกไม้ไฟ ไม่ยักรู้ว่ามีอำนาจมากขนาดพังทลายกำแพงอิฐได้”
“มันขึ้นอยู่กับส่วนผสมของดินปืนกับส่วนผสมหลายๆ อย่างที่เอามาทำระเบิดครับ...” พอพูดไปแล้วก็หยุดกึก “คุณหลอกให้ผมพูดอะไรอีกแล้ว จะถามอะไรก็ถามมาตรงๆ เถอะครับ”
“เจ้าทำระเบิดเป็นด้วยงั้นรึ”
ลูคัสตอบไปตามตรง “ก็เคยทำ แต่ว่าที่จริงมันอันตรายมาก เพราะผมไม่รู้ส่วนผสมที่แน่นอนในดินปืนนั่น โอกาสที่จะมีอุบัติเหตุหรือความคลาดเคลื่อนเกิดขึ้นได้เยอะมากๆ แต่ครั้งที่ระเบิดคุกนั่นผมคงโชคดี แล้วผนังอิฐบล็อกก็ไม่ได้แข็งแรงอะไร”
“เจ้ายอมเสี่ยงอันตรายเพื่อชาวเมืองขนาดนั้นเชียวหรือ”
นัยน์ตาสีเข้มหลุบต่ำ เขาทอดถอนใจยาว “ตั้งแต่ผมหลงมาอยู่ที่นี่ ก็ได้คนในหมู่บ้านที่ริมแม่น้ำนั่นคอยช่วยเหลือดูแลผม ไม่อย่างนั้นผมคงอดตายหรือไม่ก็หนาวตายอยู่ที่ไหนสักแห่ง ตอนที่ผมไม่สบาย พวกชาวบ้านก็หาสมุนไพรมาให้ บางครั้งก็เอาอาหารมาให้ผมกิน พวกเขามีบุญคุณกับผมมาก แล้วชาวบ้านจากหมู่บ้านอื่น พวกเขาก็เป็นผู้บริสุทธิ์ ไม่ได้ทำร้ายหรือเอาเปรียบใคร เพราะงั้นไม่ว่าใครๆ ก็ไม่สมควรที่จะถูกไอ้โจรพวกนั่นทำร้ายทั้งนั้น”
คาร์ลเอื้อมมือไปลูบศีรษะของเด็กหนุ่มเบาๆ “เข้าใจแล้ว”
ฝ่ามือกร้านช่างอบอุ่น ส่งผลให้ริมฝีปากสีแดงคลี่ยิ้ม “คุณก็ใจดีเหมือนกันนะ ไม่เหมือนพวกขุนนางยุคกลางที่ผมเคยอ่านในหนังสือเลย”
ลอร์ดหนุ่มชักมือกลับพลางส่ายหน้าไปมา “เจ้าพูดแปลกๆ อีกแล้วนะ สมควรที่ทหารจะเข้าใจว่าเจ้าเป็นพวกเดียวกับโจรนั่น”
ลูคัสหัวเราะ “จริงๆ นะ ที่ผมเคยอ่านมาน่ะ พวกขุนนางสูงศักดิ์ไม่เห็นค่าของคนต่ำศักดิ์กว่า ฆ่าทิ้งเหมือนเป็นผักปลา แต่คุณไม่เป็นแบบนั้นเลย”
“ถ้าข้าทำเช่นนั้น ข้าก็ไม่ต่างอะไรกับพวกโจรไม่ใช่หรือ” ลอร์ดหนุ่มตอบ ก่อนจะลุกขึ้นจากโซฟา
ลูคัสรีบลุกตาม “คุณกำลังจะออกไปในเมืองใช่ไหม ขอผมไปด้วยนะ”
“เจ้ารออยู่ที่นี่ล่ะ จะไปให้เกะกะทำไมกัน”
“เกะ... เกะกะ!” โอ้โห ว่ากันตรงๆ แบบนี้ เอาดาบมาทุบหัวกันเลยดีกว่าไหม!
“เจ้าใช้ดาบ ใช้ธนูเป็นหรือ”
“เอ่อ”
“ปกป้องตัวเองยังไม่ได้ก็อย่าไปให้เกะกะเลย” คาร์ลพูดเสียงขรึม ก่อนจะเดินออกจากห้องไป เขาสั่งกับองครักษ์ที่ยืนรออยู่ด้านนอก “เออร์วินจะไปกับข้า ส่วนเจ้า คอนราด เจ้าอยู่ที่นี่ เฝ้าเขาไว้”
คอนราดค้อมศีรษะรับ “ขอรับท่านคาร์ล”
ดวงสุริยันคล้อยลงต่ำจรดปลายฟ้า ไม่นานท้องนภาก็ถูกครอบคลุมด้วยความมืดมนอนธการ
เด็กหนุ่มนั่งกระสับกระส่ายอยู่บนโซฟาโดยที่มีคอนราดนั่งเฝ้าอยู่ใกล้ๆ ไม่ยอมให้เขาคลาดสายตาไปเลยสักนิดเดียว “นี่คุณคอนราด คุณว่าพวกเขาจะจับพวกโจรได้หรือยัง”
“.....”
ลูคัสหันหน้าไปทางบานประตูออกระเบียงแล้วพูดเสียงเบา “ท่านลอร์ดจะปลอดภัยหรือเปล่า”
“ท่านคอยอยู่รอบนอก มีทหารอารักขาหลายคน ไม่ต้องห่วงหรอก”
เด็กหนุ่มพยักหน้าหงึกหงัก “ผมขอออกไปที่ระเบียงหน่อยได้ไหม”
“ข้าจะไปด้วย”
มือเรียววางลงบนราวระเบียงพลางโน้มตัวลงมองไปเบื้องล่าง ในคืนเดือนมืดเช่นนี้ เขามองไม่เห็นอะไรเลย ถ้าหากจะมีใครลอบเข้ามาในปราสาทคงทำได้อย่างง่ายดาย
แต่จะว่าไป... ถ้าหากทหารเดินตรวจเวรยาม อย่างน้อยก็น่าจะต้องถือคบไฟ ไม่อย่างนั้นจะมองเห็นทางได้อย่างไร
“คุณคอนราด ทหารหายไปไหนกันหมด”
“เฝ้าอยู่ที่บนป้อมไงล่ะ”
“ไม่ใช่สิ ทำไมไม่มีคนเดินตรวจเวรยาม ตอนที่ผมอยู่ในคุกคืนแรกยังเห็นทหารเดินไปเดินมาตลอดคืนเลย”
“......”
“พวกเขาไปกับท่านลอร์ดหมดใช่มั้ย... แล้ว... แล้ว...” จู่ๆ ก็รู้สึกสังหรณ์ใจแปลกๆ เด็กหนุ่มกัดริมฝีปากแน่น
“ไม่หมดหรอก เพียงแต่ที่นั่นต้องการกำลังคนมากกว่า” คอนราดจ้องมองท่าทางครุ่นคิดของอีกฝ่ายอย่างสงสัย “มีอะไรรึ”
“ในคุกมีพวกมันอีกห้าคนนะคุณคอนราด ถ้าหากผมเป็นพวกมัน คืนนี้ก็เป็นโอกาสดีที่จะหนี” เมื่อพูดไปใจก็ยิ่งเป็นกังวล เขาหันไปคว้าท่อนแขนแข็งแกร่งแล้วเขย่าแรงๆ “คุณคอนราด ถ้าพวกมันหนีออกไปได้แล้วลอบเข้าไปทำร้ายท่านลอร์ดล่ะ! ท่านจะทันระวังตัวไหม!”
องครักษ์หนุ่มกัดกรามแน่น ตัวเขาจะไปเองหรือจะไปสั่งการกับทหารที่ป้อมก็ไม่อาจละหน้าที่ที่ผู้เป็นนายสั่งไว้ได้ “.....”
“ไปดูที่คุกกันเถอะคุณคอนราด ไปเร็ว!” ลูคัสวิ่งไปที่ภาพวาด หากพอเปิดประตูลับออกและก้าวขาเข้าไป คอนราดก็ปราดมารั้งไว้
“ลูคัส ท่านคาร์ลสั่งให้เจ้าอยู่ที่นี่”
“ผมไม่สน! นี่ไม่ใช่เวลามาห่วงคำสั่งอะไรแล้ว ผมจะต้องไปดูที่คุกนั่นให้ได้!” เด็กหนุ่มสะบัดแขนอย่างแรงแล้วก้าวเข้าไปในประตูลับ แต่พอเจอเข้ากับความมืดก็ชะงัก หันขวับกลับไปที่บานประตูทันควัน
ประตูลับถูกเปิดออกอีกครั้ง ก่อนคอนราดจะก้าวเข้ามาพร้อมกับตะเกียงน้ำมัน “ไปก็ไป”
สองหนุ่มวิ่งไปตามทางเดินในอุโมงค์ พอออกจากทางลับได้ก็ตรงไปที่คุกใต้ดิน หากภาพที่น่าสยดสยองข้างหน้าทางเข้าคุกนั่นส่งผลให้พวกเขาใจหายวาบ
ทหารเฝ้ายามสองนายถูกฆ่าปาดคอแล้วทิ้งให้นอนจมกองเลือดอยู่ที่ด้านหน้าคุกนั่น
ลูคัสเบิกตาโพลง มือทั้งสองข้างสั่นเทา “คุณ... คุณคอนราด”
“แย่แล้ว!” คอนราดดึงดาบออกมาจากฝัก มืออีกข้างกระตุกแขนเด็กหนุ่มเข้าหาตัว “เจ้าอย่าอยู่ห่างข้าเชียวนะ” จากนั้นจึงวิ่งลงบันไดไป
ภายในคุกว่างเปล่า มีเพียงศพทหารอีกสองนายนอนนิ่ง
ลูคัสหน้าซีดเผือด “รีบไปหาท่านลอร์ดกันเถอะคุณคอนราด ไปตอนนี้อาจจะยังทัน”
องครักษ์หนุ่มไม่รีรออะไรอีกแล้ว ใจห่วงนายยิ่งกว่าสิ่งใด เขาวิ่งออกไปจากคุกแล้วตรงไปยังคอกม้า
“เดี๋ยวก่อน คุณคอนราด!”
“มีอะไร!”
“คุณควรสั่งทหารที่ยังเหลือให้ตรวจตราปราสาทโดยรอบ เผื่อว่ายังมีพวกมันซุ่มอยู่ที่นี่”
“จริงสินะ” คอนราดพยักหน้า เขาหยิบคบเพลิงมาถือไว้แล้วจึงหันไปเลือกม้าออกมาตัวหนึ่ง “เจ้ารีบไปหาที่ซ่อนซะ”
“ไม่! ผมจะไปด้วย!” ลูคัสหันไปคว้าม้ามาอีกตัว เขายกขาขึ้นเหยียบโกลนแล้วตวัดขาขึ้นคร่อมบนหลังม้าทันที “ไปเร็ว!”
“เจ้าขี่ม้าเป็นด้วยรึ” องครักษ์หนุ่มถามด้วยความประหลาดใจ เพราะเห็นว่าอีกฝ่ายใช้ดาบใช้อาวุธไม่เป็น ไม่ได้เป็นทหาร ก็เลยไม่คิดว่าจะขี่ม้าได้ ดูท่าทางน่าจะคล่องแคล่วมากเสียด้วย
“โธ่ ขี่ม้าแค่นี้ ผมน่ะไปแข่งข้ามเครื่องกีดขวางได้เหรียญทองมาแล้ว”
ขณะที่ทั้งสองควบม้าออกไปคอนราดก็หันมาซักถามด้วยความสงสัย “เครื่องกีดขวางเป็นยังไงน่ะ”
“ก็เหมือนรั้วนั่นล่ะ”
“ไม่น่าเชื่อ เจ้าเก่งขนาดได้รับเหรียญทองเลยหรือ ใครประทานให้เจ้า ข้ายังไม่เคยเห็นขุนนางคนไหนให้รางวัลสูงเช่นนี้” คอนราดเข้าใจไปคนละเหรียญทองกับเด็กหนุ่ม
“โอย! ผมทำเป็นอีกหลายอย่างเลยล่ะ แต่เอาไว้ก่อน ผมขี้เกียจอธิบายแล้ว ตอนนี้เรารีบไปกันก่อนเถอะ!”
เมื่อทั้งสองคนขี่ม้าไปถึงป้อมที่ตรงประตูกำแพงปราสาท คอนราดก็หยุดสั่งการกับพวกทหาร เขาเห็นว่าจำนวนทหารที่เหลือเฝ้าปราสาทมีน้อย ไม่ควรจะลดกำลังคนลงไปอีกจึงตัดสินใจไปหาผู้เป็นนายกับเด็กหนุ่มตามลำพัง
ม้าสองตัววิ่งไปบนทางที่ทำด้วยดินอัดแน่น สองข้างทางมืดจนมองไม่เห็นอะไร มีเพียงแสงไฟบางเบาจากคบเพลิงในมือของคอนราดเท่านั้น หากจู่ๆ องครักษ์หนุ่มก็สั่งให้ม้าหยุด
“ข้าเห็นแสงไฟในป่า” คอนราดหันไปบอกกับเด็กหนุ่มพร้อมกับส่งคบเพลิงต่อให้ “เราแยกกันตรงนี้ เจ้ารีบไปแจ้งให้ท่านคาร์ลรู้ตัว”
ดวงตาสีเข้มเบิกโพลง “ผมจะรู้ได้ไงว่าท่านอยู่ตรงไหน!”
“เจ้าตรงไปตามทางดินนี่ ท่านคาร์ลจะอยู่บนเนินตรงชายป่าในจุดที่มองเห็นหมู่บ้านได้ รีบไป” องครักษ์หนุ่มตบสะโพกม้าอย่างแรงเป็นการสั่งให้มันรีบวิ่งออกไป “ฝากด้วยนะลูคัส”
“ระวังตัวด้วยนะคุณคอนราด!” ลูคัสหันหน้ากลับมาบอก มือขาวข้างหนึ่งกุมบังเหียนไว้แน่น อีกข้างถือคบเพลิงซึ่งริบหรี่ลงทุกที
เมื่อถึงชายป่าเด็กหนุ่มก็หลงทิศอยู่ชั่วครู่ ต้องพยายามเรียกสติกลับคืนและนึกย้อนไปเปรียบเทียบกับพื้นที่ในยุคปัจจุบัน ก่อนจะสั่งให้ม้าเดินออกไปช้าๆ ไม่นานก็เห็นแสงไฟรำไร ซึ่งท่านลอร์ดกับทหารน่าจะตั้งแคมป์ปักหลักอยู่ที่นั่น เขามุ่งหน้าเข้าไปที่ตรงนั้นทันที
ลอร์ดหนุ่มยืนอยู่กับเออร์วินและทหารอีกกว่าสิบนาย โดยรอบจุดคบเพลิงไว้สว่างไสว พวกเขาต่างมองตรงไปที่ในเมือง รอคอยสัญญาณแห่งชัยชนะจากพวกทหารหลังจากบุกเข้ารุมล้อมพวกโจรได้
ลูคัสกระโดดลงจากหลังม้า คบเพลิงในมือของเขาดับวูบไปแล้ว แต่สองขายังคงพาเจ้าของวิ่งตรงไปยังที่มีแสงสว่าง
“ท่านลอร์ด!” เด็กหนุ่มตะโกนลั่น
คาร์ลหันขวับมาทางต้นเสียง “ลูคัส! เจ้า!”
“ไอ้พวกโจรในคุก!” ลูคัสหอบหนักๆ หากในขณะเดียวกันเขาเหลือบไปเห็นเงาตะคุ่มในป่าใกล้ๆ พร้อมกับโลหะสะท้อนกับแสงไฟอยู่ในมือ “ระวัง!” ร่างโปร่งถลาเข้าไปขวาง
ความเจ็บปวดแล่นริ้วจากบริเวณหัวไหล่ เขารู้สึกได้ถึงเลือดอุ่นๆ ที่หลั่งไหลออกมามากมาย เด็กหนุ่มทรุดตัวลงเบื้องหน้าลอร์ดแห่งแบร์กไฮม์ มือขาวที่สั่นเทาเอื้อมไปสัมผัสมีดที่ฝังอยู่ในผิวเนื้อตน หากก็ยังกัดฟันพูดออกไป “มีคนช่วยพวกมันออกมา ท่านต้องระวัง”
“ลูคัส!” ลอร์ดหนุ่มดึงดาบยาวออกจากฝัก แต่ขณะที่ก้าวเข้าไปประคองร่างโปร่ง พวกโจรนับสิบก็ปรากฎตัวออกมาชิงเอาตัวเด็กหนุ่มไปเสียก่อน
“เอาตัวไอ้เด็กนั่นไปให้หัวหน้า! มันรู้วิธีทำระเบิด!”
ดวงตาสีเข้มเบิกโพลง ร่างโปร่งถูกพวกโจรอุ้มขึ้นพาดไหล่ เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกกลัวจับใจ “ท่านลอร์ด! ช่วยผมด้วย!”
“ลูคัส!”
ความเจ็บปวดทำให้สติพร่าเลือน เด็กหนุ่มได้ยินเสียงโลหะของคมดาบกระทบกันดังก้อง คละเคล้าด้วยเสียงของคาร์ล พวกทหาร และคอนราดที่ตามเข้ามาสมทบ ฝุ่นควันลอยโขมงจนบดบังทัศนวิสัย ร่างของเขาถูกเหวี่ยงและกระชากไปมาจนบอบช้ำ หยดน้ำตารินไหลเปื้อนแก้มทั้งสองข้าง เวลานั้นในใจเรียกหาแต่ท่านลอร์ดซึ่งเป็นคนเดียวที่เขาไว้วางใจ
แต่ในที่สุดทุกอย่างก็สงบลง ก่อนจะหมดสติไปเด็กหนุ่มได้ยินเสียงทุ้มต่ำนุ่มนวลกระซิบอยู่ใกล้ๆ เขาพยายามปรือตาขึ้น
“ลูคัส”
อ้อมแขนที่โอบกอดตัวเขาไว้ช่างอบอุ่น ดวงตาสีฟ้าตรงหน้าช่างสวยงามราวกับไพลินน้ำดี “ท่านลอร์ด”
“ไม่เป็นไรแล้วนะ เจ้าปลอดภัยแล้ว อดทนอีกนิด...”
นั่นเป็นประโยคสุดท้ายที่ได้ยินก่อนเด็กหนุ่มจะหมดสติไป
*~TBC~*โธ่ เจ็บตัวซะแล้วลูกชาย ไม่เป็นไรนะ ฝึกเจ็บๆ ไว้ นี่แค่มีดจิ้มเอง เดี๋ยวอีกหน่อยเจอใหญ่กว่ามีด อาจต้องเจ็บกว่านี้ #ผิดแล้วมั้ย
ขอบคุณทุกคนที่ติดตามอ่านค่า ฮรือออ เรื่องนี้ชื่อยากไปสักนิด ไม่รู้เหมือนกันว่าไปสรรหาชื่อยากๆ มาใช้ทำไม ฮัสกี้ขอน้อมรับผิด /นอนแผ่รับโทษ
ยังไงก็ขอให้ทุกคนมาหลงรักลูคัสไปด้วยกันกับทั่นหลอดนะคะ หุหิ
ปล. ตอนนี้เรื่องใหม่อีกเรื่องใกล้จะได้ฤกษ์เอามาลงแล้วค่า ขอแอบโฆษณา ชื่อเรื่อง "คลื่นใต้น้ำ" เป็นเรื่องของตั้งใจกับใบตอง สองหนุ่มจากเหนือเมฆนะคะ เรื่องนี้เป็นแนวเพื่อนรักเพื่อนค่ะ ฮัสกี้ไม่เคยเขียนแนวนี้เลย หุหิ ยังไงติดตามอ่านกันดูน้า ขอบคุณค่ะ จุ๊ฟฟฟฟ 