Chapter 11 : เทศกาลเช้าตรู่ของวันที่จะมีงานเทศกาลฉลองการเก็บเกี่ยว ท้องฟ้าครึ้มมีหมอกหนา ใบไม้สีเหลืองส้มร่วงหล่นไปจนเกือบจะหมดต้นแล้ว ซึ่งนั่นก็หมายความว่าฤดูหนาวเข้ามาใกล้มากขึ้นไปทุกที
วันนี้ลูคัสจะได้กลับเข้าไปในเมืองเป็นครั้งแรกหลังจากที่เข้ามาอยู่ในปราสาทเสียนาน เขาทั้งตื่นเต้นและอารมณ์ดี เด็กหนุ่มลุกขึ้นมาแต่งตัวแต่เช้า หากเสื้อผ้าก็เหมือนที่สวมใส่อยู่ทุกวัน เสื้อแขนยาวสีขาวหม่น กางเกงขายาวสีน้ำตาล สวมรองเท้าบูทและผ้าคลุมแบบมีหมวกผืนหนาทับอีกชั้น ที่จริงก็เป็นชุดที่ดูดีกว่าชาวบ้านทั่วไปอยู่สักหน่อย เนื้อผ้าก็นุ่มกว่ามาก หากก็เทียบไม่ได้กับเสื้อผ้าที่ท่านลอร์ดและองครักษ์สวมใส่อยู่ทุกวัน
ทว่าเมื่อจะปลอมตัวเข้าไปในเมือง คาร์ลก็จำเป็นที่จะต้องแต่งตัวให้ดูไม่แตกต่างจากพวกชาวบ้านมากนัก ส่วนองครักษ์อีกสองคนที่ไม่ว่าอย่างไรก็จะต้องขอติดตามไปด้วยก็เช่นกัน
เป็นครั้งแรกสำหรับลูคัสที่ได้เห็นทั้งสามคนใส่ชุดแบบเดียวกันกับเขา เด็กหนุ่มอมยิ้ม รู้สึกราวกับเป็นเพื่อนก๊วนเดียวกันอย่างไรอย่างนั้น
ทหารที่ดูแลคอกม้าตระเตรียมม้าไว้ให้สี่ตัวและพามารออยู่ที่ด้านหน้าปราสาท เมื่อทั้งสี่คนมาถึงก็ขึ้นนั่งบนหลังม้าแล้วควบออกไปช้าๆ
ลอร์ดหนุ่มหันมามองลูคัสอยู่หลายครั้ง เด็กหนุ่มขี่ม้าได้ดีกว่าที่เขาคิดไว้มากโข ดูจากท่วงท่าและความคล่องแคล่วก็น่าจะฝึกฝนมานานมากแล้ว
“มีอะไรหรือครับ”
“เจ้าขี่ม้าได้ดีกว่าที่คิดไว้มากน่ะสิ”
“โธ่ ผมน่ะ ยังมีอะไรให้คุณแปลกใจอีกเยอะเลยล่ะ” ลูคัสยืดคออวด
คาร์ลยิ้มมุมปาก “ข้าก็คิดอย่างนั้น”
ม้าทั้งสี่ตัววิ่งไปบนทางดินอัดแน่นซึ่งเต็มไปด้วยใบไม้ทั้งสดและแห้ง ส่งเสียงดังกรอบแกรบซอกแซก ผ่านป่าที่มีใบไม้เปลี่ยนเป็นสีเหลืองส้มเหลืออยู่ไม่มากบนกิ่งก้านสีเข้ม ส่วนต้นไม้ที่ไม่ผลัดใบยังคงเป็นสีเขียวขจี พวกเขาขี่ม้าผ่านทุ่งโล่งกว้างไปอีกไม่นานก็เข้าสู่เขตเมือง
หากเมื่อไปถึงในเมืองกลับดูเงียบเชียบ ไม่เหมือนจะมีงานเลี้ยงฉลองสักเท่าไหร่ ตามทางจะมีก็แต่เด็กๆ วิ่งเล่น ลูคัสจึงหยุดม้าแล้วถามไถ่
“นี่ ทำไมเงียบจัง จะมีงานฉลองไม่ใช่หรือ”
เด็กสี่ห้าคนที่ยืนอยู่ตรงนั้นพยักหน้าหงึกหงัก “แม่บอกข้าว่าตอนเย็นจะไปร่วมงานฉลองที่โบสถ์”
“อ้อ งั้นหรือ แล้วโบสถ์อยู่ที่ไหนกันล่ะ”
“ก็มีที่อยู่ที่เดียวนั่นล่ะ ขี่ม้าตรงไปเรื่อยๆ เดี๋ยวก็ถึง”
ในเมืองแบร์กไฮม์แบ่งเป็นหมู่บ้านย่อยๆ จำนวนเจ็ดหมู่บ้าน มีโบสถ์เป็นศูนย์กลางเอาไว้พบปะกัน ดังนั้นงานฉลองจึงจะจัดขึ้นที่นั่น
เสียงระฆังเหง่งหง่างดังแว่ว พวกเขาทั้งสี่คนจึงควบม้าตรงไปยังต้นเสียง เมื่อไปถึงลานหน้าโบสถ์ก็พบกับโต๊ะจัดเรียงไว้มากมาย มีฟักทองกับดอกไม้แห้งๆ ประดับ ตรงกลางลานมีไม้ท่อนใหญ่วางกองเรียงกันไว้เป็นชั้นๆ สูงท่วมศีรษะเลยทีเดียว บริเวณนั้นมีชาวบ้านเดินไปเดินมาอยู่ไม่กี่สิบคนเท่านั้น
“ลูคัส! ลูคัสนี่นา!”
“เลน!” เด็กหนุ่มกระโดดลงจากหลังม้าแล้ววิ่งเข้าไปสวมกอด
“เจ้ามาได้อย่างไรกันน่ะ” เลนถาม หากพอเห็นคนบนหลังม้าอีกสามคนเขาก็เข้าใจ ลูคัสคงไม่ได้ถูกปล่อยกลับมาบ้านแน่ เพราะมีคนคุมมาแบบนั้น
“ผม...” ลูคัสชี้ไปยังลอร์ดหนุ่มซึ่งกำลังก้าวลงจากม้าแล้วจูงมันเดินเข้ามายืนข้างตน “...กับพวกเขาอยากมาดูงานฉลอง”
เลนมองลอร์ดหนุ่มกับองครักษ์ทั้งสองอย่างหวาดๆ เขาไม่รู้หรอกว่าทั้งสามคนเป็นใครกันแน่ แต่ก็คิดว่าน่าจะเป็นทหารที่มียศสูง ซึ่งได้รับมอบหมายหน้าที่ให้มาเฝ้าลูคัส เด็กหนุ่มชาวบ้านจึงค้อมศีรษะลงเพื่อทักทาย
“เลนมาทำอะไรที่นี่หรือ”
“ข้าช่วยคนที่หมู่บ้านเอาไม้มาส่ง” เลนชี้ไปที่ท่อนไม้ใหญ่ที่วางซ้อนๆ กันอยู่กลางลาน “เอาไว้ก่อไฟเย็นนี้”
“แล้วคนอื่นไปไหนล่ะ”
“ตอนนี้แม่กับยายก็ไปช่วยคนในหมู่บ้าน ส่วนตากับวิลอยู่ที่คอกแกะ”
“หือ วันฉลองอย่างนี้ยังทำงานอีกหรือ” เด็กหนุ่มถามอย่างงงๆ
ทว่าเลนทำหน้างุนงงยิ่งกว่า “เจ้าพูดอะไรน่ะ ก็นี่ล่ะคือการฉลองของพวกเรา”
ลูคัสขมวดคิ้วพลางหันไปมองใบหน้าคมสันของลอร์ดหนุ่ม “ปกติฉลองกันแบบนี้หรือครับ”
คาร์ลนิ่งอึ้ง “เจ้าเป็นคนชวนข้ามาไม่ใช่หรือ”
เด็กหนุ่มส่งสายตาไปถามองครักษ์ทั้งสองซึ่งพวกเขาก็เอาแต่ส่ายหน้า เขาจึงหันกลับมาที่เลน “ผมไม่เข้าใจเลย งานเทศกาลเก็บเกี่ยวที่ผมรู้จัก มีออกร้านขายของ ขายอาหาร มีดนตรี ขบวนพาเหรด...”
“ออกร้านอะไร ขบวนอะไร ข้าไม่รู้จัก แต่ถ้าดนตรีกับอาหารก็จะมีตอนเย็นไงล่ะ ส่วนตอนเช้านี่ พวกผู้หญิงจะไปรวมตัวกันเพื่อเตรียมทำไวน์กับเบียร์ไว้ใช้สำหรับงานฉลองปีหน้า ส่วนพวกผู้ชายจะทำความสะอาดยุ้งเก็บข้าว ห้องเก็บอาหารแล้วก็คอกเลี้ยงสัตว์ เพราะว่าจะเข้าฤดูหนาวแล้ว จะได้ทำความสะอาดกันอีกทีก็เมื่อฤดูใบไม้ผลิมาถึงนู่น”
“เตรียมทำไวน์กับเบียร์งั้นหรือ”
“ใช่ ก็ย่ำองุ่นกับโม่ข้าวบาร์เล่ย์ยังไงล่ะ” เลนชำเลืองมองอีกสามคน “เอ้อ ถ้าพวกท่านไม่ว่าอะไร ข้าจะพาไปดู”
ลูคัสหันไปทำเสียงอ้อนทันที “ไปได้มั้ยครับ ผมอยากเห็นย่ำองุ่นกับโม่ข้าว อยากพบทุกคนด้วย”
ลอร์ดหนุ่มยิ้มบาง เขาคงปฏิเสธท่าทางน่ารักเช่นนี้ไม่ลงแน่ “ไปสิ ข้ามาที่นี่ก็เพราะอยากจะเห็นการฉลองของพวกเขาไม่ใช่หรือ”
“เย้ ขอบคุณครับ”
จากลานหน้าโบสถ์ไปถึงหมู่บ้านของเลนใช้เวลาไม่นานนัก เนื่องจากคอนราดให้เด็กหนุ่มชาวบ้านโดยสารไปด้วยกันกับเขา พอถึงหมู่บ้านทุกคนก็ลงจากหลังม้าแล้วเปลี่ยนเป็นเดินเอา ระหว่างทางมีกลิ่นขนมปังลอยกรุ่น คละเคล้ากับกลิ่นหอมของอาหาร พอพวกเขาเดินเข้าไปใกล้จึงเห็นว่าเป็นอะไร
หมูป่าตัวใหญ่ที่ทำความสะอาดและใส่เครื่องเทศไว้แล้วถูกเสียบไม้ค้างไว้บนเตาย่าง มีชายวัยกลางคนกลุ่มหนึ่งคอยนำเครื่องเทศมาทาแล้วหมุนไม้ให้หมูป่าสุกทั่วถึง ลูคัสเพิ่งเคยได้เห็นการย่างหมูทั้งตัวแบบนี้เป็นครั้งแรก เขาเดินเข้าไปใกล้ๆ แล้วอ้าปากค้าง “โอ้โห!”
“อ้าว ลูคัส เจ้ากลับมาแล้วหรือ” พวกพ่อครัวชั่วคราวยิ้มรับ “ไม่ได้เห็นหน้านาน ข้าดีใจที่เจ้ายังดูสดใสนะ สบายดีใช่ไหม”
“ผมสบายดีครับ ขอบคุณมาก” เด็กหนุ่มพยักหน้าพลางชี้ไปที่เตา “หมูตัวใหญ่จังเลยครับลุง หลายตัวเลยด้วย”
“ดีมากๆ เลยใช่ไหมล่ะ หมูป่าพวกนี้ พวกเราส่งตัวแทนของทั้งเจ็ดหมู่บ้านออกไปล่าด้วยกันเมื่อวานก่อนน่ะ งานหนักเลยทีเดียว”
“แล้วเวลากิน จะกินยังไงเนี่ย”
“ก็ใช้มีดหั่นเป็นชิ้นๆ ไง เอ้า! มัวแต่คุยซะแล้ว ข้าต้องไปหมุนไม้ก่อนนะ”
เนื่องจากหมูป่ามีน้ำหนักไม่ใช่น้อย เวลาจะหมุนก้านไม้จึงต้องใช้ผู้ชายแข็งแรงถึงสองคน พวกเขาตะโกนนัดแนะกันเสียงดัง จากนั้นจึงคว้าที่จับแล้วหมุนไปให้พร้อมกัน พร้อมกับนับจำนวนครั้งไว้ด้วย
“น่าสนุกดีใช่ไหม แต่เจ้าไปหมุนกับเขาไม่ไหวหรอก” เลนมองท่าทางของลูคัสแล้วหัวเราะ “หมู่บ้านเราทำหมูป่าย่างกับขนมปัง ส่วนหมู่บ้านข้างๆ นี่ทำซุปกับมันฝรั่ง พอถึงตอนเย็นทุกหมู่บ้านก็จะขนอาหารไปกินด้วยกัน เอาล่ะ ไปดูแม่กับยายทำไวน์กันดีกว่า”
เดินต่อไปอีกสักพักก็ได้ยินเสียงร้องเพลงคละเคล้าเสียงหัวเราะดังแว่วมาแต่ไกล พวกผู้หญิงในหมู่บ้านไปรวมกันที่ลานกว้างหน้าโรงโม่ซึ่งอยู่ใกล้ๆ กับแม่น้ำ กลุ่มหนึ่งที่หน้าโรงโม่กำลังย่ำผลองุ่นในถังไม้ขนาดใหญ่ไว้สำหรับทำไวน์ อีกกลุ่มที่อยู่ในโรงโม่กำลังโม่ข้าวบาร์เลย์งอกเตรียมไว้สำหรับการทำเบียร์
(ข้าวบาร์เลย์งอก คือเมล็ดข้าวบาเลย์ที่ถูกนำไปแช่น้ำไว้จนงอกและนำมาตากแดดให้แห้งไว้สำหรับการโม่ต่อไป)หากเมื่อไปถึงก็มีชายสูงวัยคนหนึ่งโผล่มากวักมือเรียก “เลน มาช่วยพวกข้าทางนี้หน่อยสิ!”
“ไปเดี๋ยวนี้ละ” พอตอบกลับไปแล้วเลนก็หันไปบอกกับเด็กหนุ่มพร้อมกับชำเลืองมองกลุ่มคนที่มาด้วยกัน “ลูคัส เจ้ากับพวกท่านๆ อยู่แถวนี้ไปก่อน เดี๋ยวข้ามา”
“อื้อ” เจ้าของชื่อเรียกพยักหน้า เขามองตามหลังอีกฝ่ายไป ก่อนจะหันไปชวนลอร์ดหนุ่ม “ท่านลอร์ด เราเข้าไปดูใกล้ๆ กันเถอะ”
“เอาสิ”
มารีกับยายยืนอยู่ในถังไม้กับหญิงชาวบ้านอีกหลายคน เมื่อพวกหล่อนเห็นเด็กหนุ่มก็ร้องเรียกเสียงดัง “ลูคัส!”
“อะ มาเรีย!” ลูคัสวิ่งไปยืนเกาะขอบถังพร้อมกับส่งมือไปสัมผัสกับมือพวกหล่อน
“เจ้ากลับมาได้อย่างไร”
“ผมมากับพวกเขา” เด็กหนุ่มชี้ไปที่คาร์ลกับองครักษ์ ซึ่งเมื่อมารีเห็นเข้าก็ทำหน้าเจื่อนๆ “พวกเรามาดูการเตรียมงานฉลอง แล้วก็จะไปร่วมงานฉลองตอนเย็นด้วย”
“อย่างนั้นหรือ” มารีพยักหน้าพลางชำเลืองมองชายอีกสามคนที่มากับเด็กหนุ่มเป็นระยะๆ
ลูคัสชะโงกมองลงไปในถังไม้ซึ่งภายในเปรอะไปด้วยน้ำจากผลองุ่นสีม่วงเข้ม เขาเคยอ่านถึงวิธีการทำไวน์แบบนี้ในหนังสือมาก่อน พอมาได้เห็นของจริงก็ยิ่งรู้สึกสนใจ
“อยากลองบ้างไหมลูคัส ยังมีองุ่นเหลืออยู่อีกนิด” หญิงชาวบ้านที่ย่ำอยู่ในถังไม้เห็นดวงตาเป็นประกายของเด็กหนุ่มก็เลยเอ่ยชักชวน “หรืออยากจะลองโม่ข้าวบาร์เล่ย์งอกแบบตรงนั้น สนุกดีเหมือนกันนะ”
“ลองครับ!” ลูคัสหันไปคว้าแขนลอร์ดหนุ่ม “ไปเหยียบองุ่นกันนะครับ น่าสนุกออก”
“ฮะ!”
องครักษ์ทั้งสองอมยิ้ม ชักนึกสนุกไปด้วย พวกเขาขยับเข้าไปขนาบข้างผู้เป็นนายแล้วโน้มใบหน้าเข้าไปกระซิบ “ลองวิถีชาวบ้านอย่างไรเล่าครับท่านคาร์ล”
“ไปครับ ไปล้างเท้ากัน เร็วๆ” ลูคัสไม่รอคำตอบจากลอร์ดหนุ่มแล้ว เขาฉุดให้อีกฝ่ายเดินออกไปด้วยกัน
เมื่อเห็นเช่นนั้นพวกผู้หญิงที่อยู่ในถังไม้ก็ทยอยกันลงมา เพราะว่าองุ่นเหลือไม่มากแล้ว พวกหล่อนอยากให้ทั้งสองคนได้ลองเหยียบผลองุ่นกันอย่างสะดวก “เอาเลย เดี๋ยวพวกข้าจะไปช่วยโม่ข้าวบาร์เลย์งอก ยังเหลือข้าวอีกตั้งครึ่งถัง” พอนำองุ่นที่เหลือเทใส่ลงในถังไม้แล้วก็ถอยออกไป
ลอร์ดหนุ่มได้ยินเข้าก็ยิ้มมุมปากพลางหันไปหาองครักษ์ทั้งสอง “พวกเจ้าก็ไปช่วยด้วยสิ จะได้ลองวิถีชาวบ้านบ้างอย่างไรล่ะ”
สุดท้ายองครักษ์ทั้งสองก็ไปช่วยพวกชาวบ้านโม่ข้าวบาร์เลย์งอกตามที่ผู้เป็นนายสั่ง พวกเขาเองก็เพิ่งเคยเห็นการเตรียมทำเบียร์เป็นครั้งแรกจึงคิดว่าน่าสนใจดีไม่ใช่น้อย
ภายในโรงโม่มีโม่หินหลายอัน แต่ละอันมีขนาดไม่ใหญ่มากนัก ดังนั้นจึงโม่ข้าวได้ทีละไม่มาก พวกชาวบ้านต้องค่อยๆ กรอกข้าวใส่ลงไปในช่องว่างบนโม่ แล้วหมุนที่จับโม่อย่างรวดเร็ว
ในคราวแรกพวกหล่อนก็รู้สึกเกร็งๆ ทว่าเมื่อคอนราดกับเออร์วินเข้ามาช่วยได้สักพักก็รู้สึกดีขึ้น พวกหล่อนจึงชวนคุยในระหว่างที่โม่ข้าวไปด้วย
“พวกท่านมาจากในปราสาทใช่หรือไม่”
“ใช่” องครักษ์ทั้งสองตอบสั้นๆ
“ตั้งแต่ท่านลอร์ดมาอยู่ที่นี่ พวกข้าก็ไม่ต้องกลัวโจรร้ายอีกแล้ว ขอบคุณท่านมากเหลือเกิน เพราะอย่างนี้พวกข้าจึงพอมีเงิน ไปซื้อเอาแกะแพะมาเลี้ยงได้ ปีหน้าคงจะได้มีเสื้อผ้าดีๆ อุ่นๆ ไว้ใส่บ้าง”
“แล้วหน้าหนาวนี้ล่ะ พวกเจ้าเตรียมตัวกันแล้วหรือยัง” คอนราดถามอย่างรู้สึกเป็นห่วง เพราะเขาได้ยินว่ามีชาวบ้านที่ต้องเสียชีวิตเพราะทนความหนาวไม่ได้อยู่ทุกปี
“เตรียมแล้วเจ้าค่ะ ลูคัสสอนให้พวกข้าทำผ้าห่มยัดไส้ขนเป็ดขนห่าน พอเอาหินที่เผาไฟห่อผ้าไว้แล้วเอาไปซุกในผ้าห่มก็ทำให้อุ่นมากเลยทีเดียวเจ้าค่ะ”
“ลูคัสงั้นหรือ” เออร์วินยิ้ม สายตาของเขาอ่อนโยนขึ้นทันทีที่ได้ยินชื่อของเด็กหนุ่ม เขาฟังหญิงชาวบ้านเล่าเรื่องของลูคัสต่อไปอย่างเพลิดเพลินโดยที่ไม่รู้ตัวว่าเพื่อนองครักษ์กำลังจ้องมองตนอยู่อย่างเงียบๆ
ฝ่ายคาร์ลกับลูคัส เมื่อถอดรองเท้า พับขากางเกงขึ้นและทำความสะอาดเท้าแล้วก็ปีนเข้าไปในถัง คาร์ลก้าวลงไปก่อน จากนั้นจึงยื่นมือไปรับเด็กหนุ่มให้ตามเข้ามา
“หวา! ให้ความรู้สึกประหลาดดีนะครับ เย็นเท้ามากด้วย” ลูคัสกระโดดย่ำผลองุ่นไปมา “กว่าจะได้ไวน์มาสักขวดนี่ก็ไม่ง่ายเลยนะครับ เหยียบจนเหนื่อยแล้วก็ยังต้องเอาน้ำองุ่นไปหมักอีก”
“นั่นสินะ แต่ไวน์ของแบร์กไฮม์ก็มีรสชาติดีมาก”
“เอ๋ คุณเคยชิมแล้วหรือ”
“เคยสิ”
“โหย ผมยังไม่เคยเลยอ่า...” เด็กหนุ่มตัดพ้อพลางหันไปมองเออร์วินกับคอนราดที่กำลังหมุนโม่หินในโรงโม่ “ดูเหมือนเออร์วินกับคอนราดจะโม่ข้าวไปได้เยอะแล้ว พวกเราจะเสร็จทีหลังพวกเขาไม่ได้นะครับ”
“ระวังหน่อย...” ยังพูดไม่ทันจบ เด็กหนุ่มก็ลื่นพรืดหงายหลัง แต่โชคดีที่คาร์ลก้าวเข้าไปรับตัวไว้ได้ทัน เขาส่ายหน้าไปมาอย่างอ่อนใจ “เจ้าเด็กซนนี่น้า”
ลูคัสเงยหน้าขึ้นมองคนที่ประคองหลังเขาไว้แล้วหัวเราะแหะๆ “ขอโทษครับ” พอทรงตัวได้ก็คว้ามือทั้งสองข้างของลอร์ดหนุ่มไว้พร้อมยิ้มกว้าง “จับมือกันไว้ดีกว่า ถ้าเผื่อผมลื่นอีก คุณจะได้ลื่นไปกับผมด้วย”
คาร์ลอมยิ้มพลางส่ายหน้าไปมา “นี่เจ้าจะทำงานหรือเต้นรำกันแน่”
องครักษ์ทั้งสองจ้องมองผู้เป็นนายกับเด็กหนุ่มจากในโรงโม่ หลังจากพวกเขาโม่ข้าวงอกเสร็จแล้วก็นั่งพักกันอยู่ที่นั่น ส่วนพวกชาวบ้านกำลังวุ่นอยู่กับการนำแป้งที่ได้จากการโม่มาใส่หม้อต้ม
“ตั้งแต่มีลูคัสอยู่ใกล้ๆ ท่านคาร์ลยิ้มบ่อยขึ้นจริงๆ” คอนราดเอ่ยขึ้น
เออร์วินย่นคิ้วเข้าหากันเล็กน้อย เขาประสานสายตากับเพื่อนองครักษ์แล้วก็เบือนหน้าหนี “เจ้าคิดอย่างนั้นหรือ”
คอนราดยิ้มมุมปาก “เจ้ายังไม่ไว้ใจลูคัสอีกหรือ”
“.....” ไม่มีคำตอบจากองครักษ์หนุ่ม สายตาของเขาจับจ้องไปที่ถังไม้ซึ่งผู้เป็นนายกับเด็กหนุ่มดูจะสนุกเสียจนไม่ได้สนใจสิ่งใดรอบๆ ตัวพวกเขาเอาเสียเลย
สักพักเลนก็กลับมาถึง เขามาพร้อมกับตะกร้าใส่มื้อกลางวันมาให้ทั้งสี่หนุ่มด้วย เป็นเวลาเดียวกันกับที่ลอร์ดหนุ่มกับลูคัสก้าวลงมาจากถังไม้พอดี พวกเขาจึงไปนั่งรวมกันบนขอนไม้บริเวณนั้น
“เหนื่อยกันแย่เลย ข้าไม่นึกว่าพวกท่านจะเข้าไปช่วย” เลนหยิบขนมปังซึ่งใส่ชิ้นเนื้อกับผักไว้ส่งให้ทุกคน “มันไม่ใช่ของดีเลิศอะไร พวกท่านจะพอกินได้ไหม”
คาร์ลรับขนมปังมาอย่างว่าง่าย “ได้สิ ขอบใจนะ”
“ได้กินอาหารหลังออกกำลัง อร่อยดีนะครับ” เด็กหนุ่มเอ่ยอย่างอารมณ์ดี “เดี๋ยวเราจะไปไหนกันต่อดีน่ะเลน”
“เดี๋ยวจะพาไปดูคอกแกะ ตากับวิลอยู่ที่นั่น”
ยามบ่ายอากาศเย็นอีกลงเล็กน้อย หากภายในหมู่บ้านกลับครึกครื้นมากขึ้น อาจเป็นเพราะใกล้เวลาฉลองในตอนเย็นมากแล้ว
คอกแกะที่เลนหมายถึงอยู่ภายในสนามหญ้าที่มีรั้วกั้น มีแกะหลายตัวจากหลายบ้านอยู่รวมกัน ตอนกลางวันปล่อยให้แกะเดินหาหญ้ากิน ส่วนกลางคืนก็ต้อนเข้าไปนอนในคอกของบ้านใครบ้านมัน
“บ้านเรามีแกะสองตัว ชื่อโพกับโจ เพิ่งไปซื้อมาน่ะ” เลนเล่าให้ฟังขณะพาทุกคนเดินเข้าไปในรั้วล้อม “ดูสิ วิลยืนเฝ้าอยู่นั่นไง”
“ลูคัส! คิดถึงจังเลย” วิลวิ่งเข้ามากระโดดกอด จากนั้นก็กึ่งลากกึ่งจูงลูคัสให้ไปดูแกะของที่บ้านอย่างตื่นเต้น “มันน่ารักมากเลยใช่มั้ย”
“ก็น่ารัก แต่ว่ามันจะไม่ปนกับแกะของคนอื่นหรือ”
“ไม่หรอก ดูที่กระพรวนนี่ไง” วิลตอบพร้อมกับยกกระพรวนขึ้นให้ดู “ตาเป็นคนทำเอง”
เลนเห็นน้องชายยืนอยู่กับแกะตัวเดียวจึงถามขึ้น “วิล แล้วโจหายไปไหน”
“อยู่กับตาข้างในคอกน่ะ”
“ถ้างั้นไปดูในคอกกัน” เลนหันไปบอกกับทุกคน ก่อนจะเดินนำออกไป
ในคอกขนาดใหญ่แบ่งออกเป็นสามคอกย่อย ตามจำนวนบ้านที่ร่วมกันเป็นเจ้าของ ตากำลังสาละวนอยู่กับการล้างตัวช่วงล่างให้กับเจ้าโจ
“อ้าว ลูคัส โอ... ข้าเป็นห่วงเจ้าแทบแย่” ตายิ้มรับ
“ตาล้างตัวมันทำไมเนี่ย อากาศเย็นๆ แบบนี้” เลนขยับเข้าไปช่วยจับเจ้าแกะไว้ พอก้มลงมองจึงเห็นว่าขนที่ก้นแกะแหว่งไปเป็นวง “อ้าว แล้วขนหายไปไหน”
“เจ้าโจมันขี้แตก” คำตอบของตาส่งผลให้สี่หนุ่มผู้มาเยือนชะงัก ถอยหลังกลับกันไปคนละก้าว ทว่าตาก็ไม่สนใจ เขาหยิบก้อนขนซึ่งเปลี่ยนเป็นสีเหลืองปนน้ำตาลที่เพิ่งตัดออกมาหมาดๆ ยกขึ้นให้ทุกคนได้เห็นชัดๆ “ดูสิ ขี้ติดขนตรงก้นแข็งเป็นก้อน ถ้าปล่อยไว้ขนมันจะติดกันแน่น ปิดรูก้น คราวนี้ล่ะ แกะมันจะขี้ไม่ออก ลำบากอีก”
ลูคัสยิ้มแหยๆ ก่อนจะหันหน้าหนี ขนาดไม่ได้อยู่ใกล้เขายังรู้สึกขมคอขนาดนี้เลย แต่แล้วสายตาก็ไปสะดุดอยู่ที่แกะอีกตัวที่นอนทำหน้าเหม็นเบื่อทุกสิ่งทุกอย่างในโลกอยู่ในคอกใกล้ๆ เขาจึงก้าวเข้าไปดู “ตัวนี้มันป่วยหรือครับตา”
“อ๋อ เปล่าหรอก มันยังเจ็บไข่อยู่ล่ะมั้ง”
เด็กหนุ่มหยุดกึก หันขวับไปทางชายสูงวัยทันที “หา!”
“มันโดนตอนไงล่ะ ดูที่ไข่มันสิ เขารัดไว้หลายวันละ อีกไม่นานก็คงจะร่วง”
“ฮะ! ไข่ร่วง!” มือเรียวจับเป้ากางเองของตัวเองโดยอัตโนมัติ แค่ฟังตาเล่าให้ฟังเขาก็เจ็บแทนเจ้าแกะผู้โชคร้ายแล้ว! ลูคัสหันไปสบสายตากับคาร์ลและองครักษ์ทั้งสองซึ่งพวกเขาก็มีสีหน้าตกใจไม่ต่างกันกับตน “ผมว่าเราออกไปข้างนอกกันดีกว่า”
“เป็นความคิดที่ดี” คาร์ลรีบหันหลังขวับแล้วสาวเท้าเดินนำออกไป
ทั้งสี่หนุ่มออกมายืนพิงรั้วอยู่ข้างนอก วันนี้พวกเขาได้ประสบการณ์ใหม่ๆ มาหลายอย่าง ทั้งดีและไม่ดีแบบที่คาดไม่ถึง เมื่อมีเวลาว่างก็เลยพูดคุยกันไปพลาง
“จากที่พวกชาวบ้านเล่าให้ฟัง แต่ละบ้านปีหนึ่งๆ เก็บเกี่ยวทั้งข้าวสาลีและข้าวบาร์เลย์ได้เยอะ แล้วยังข้าวโพดอีก พวกข้าวบาร์เลย์แบ่งส่วนสำหรับส่งเป็นส่วยและสำหรับทำเบียร์แล้วก็ยังมีจำนวนมากกว่าความต้องการเยอะมาก ที่จริงข้าคิดว่าพวกเขาน่าจะทำเบียร์เก็บไว้ได้ปริมาณมากกว่านี้ แต่คงจะทำไม่ทัน เพราะติดที่เวลาที่ใช้แล้วก็แรงงานในการโม่นี่ล่ะ”
“อืม เบียร์เก็บได้นาน... ถ้าหากพวกเขาสามารถทำเบียร์ได้มากขึ้น ก็จะมีพอที่จะนำไปขายหรือแลกเปลี่ยนสินค้ากับเมืองอื่น ชาวเมืองก็จะมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นไปด้วย” ลอร์ดหนุ่มเม้มปากอย่างครุ่นคิด “ที่ข้าเคยเห็นในเมืองไฮเดลแบร์ก พวกเขาใช้โม่ขนาดใหญ่มาก แล้วใช้แรงงานจากม้าหรือวัว”
“เมืองไฮเดลแบร์ก?” ลูคัสหันขวับไปจ้องใบหน้าหล่อเหลา
“ใช่แล้ว เมืองหลวงของแคว้นไฮเดลแบร์กอย่างไรกันล่ะ”
“อยู่ไกลจากที่นี่มากมั้ยครับ”
ลอร์ดหนุ่มพยักหน้า “ไกลมาก”
“เป็นเมืองที่สวย ใหญ่แล้วก็ร่ำรวยมากเลยล่ะ” คอนราดพูดสมทบ “เพราะฉะนั้นแต่ละบ้านจึงสามารถมีม้า มีวัวไว้ใช้งานได้”
ลูคัสขมวดคิ้วพลางเม้มริมฝีปาก แต่ถึงไม่มีม้า ไม่มีวัว แบร์กไฮม์ก็มีแม่น้ำ น่าจะใช้ประโยชน์จากแรงน้ำได้... แต่ถ้าขืนเขาพูดออกไปตอนนี้ ทุกคนคงจะยิ่งงงแน่ๆ จะวาดรูปอธิบายก็ไม่มีกระดาษ
“ลูคัส เจ้าคิดอะไรอยู่หรือ”
“เอ้อ เปล่าครับ ไม่มีอะไร”
“อยากไปไฮเดลแบร์กรึ”
เด็กหนุ่มส่ายหน้ารัว “เปล่านะครับ ไม่ใช่อย่างนั้น”
“เจ้าแน่ใจรึ”
เพราะสีหน้าของคาร์ลบ่งบอกชัดเจนว่าไม่เชื่อ เด็กหนุ่มจึงตัดสินใจตอบเลี่ยงๆ “เอ่อ... ตอนนี้ไว้ก่อนนะครับ เอาไว้มีโอกาสแล้วผมจะเล่าให้ฟัง”
*~TBC~*ตอนนี้ฮัสกี้พาทุกคนมาทัวร์งานเทศกาลที่ไม่เหมือนงานเทศกาลแล้ว (ฟิลคล้ายชุดนอนไม่ได้นอนเลยนะคะ) 555555
สัญญาว่าเดี๋ยวตอนหน้าจะให้สองหนุ่มเขาสวีตกันนิ๊ดดดดนุง ฮี่ๆ
ขอบคุณทุกคนที่ชอบนิยายเรื่องนี้นะคะ
ฮัสกี้จะตั้งใจเขียน พยายามไม่ให้ผิดหวังค่ะ
ขอบคุณที่ติดตามนะคะ จุ๊บๆๆๆ 