Chapter 31 : อาร์ชดยุกแห่งไฮเดลแบร์ก
เมื่ออากาศเริ่มอุ่นขึ้นเล็กน้อย กองทัพทหารที่เตรียมพร้อมอยู่นานแล้วก็เริ่มออกเดินทาง ทหารส่วนหนึ่งเดินทางไปด้วยม้าและรถม้า ทหารอีกส่วนเดินทางไปด้วยเรือและคอยควบคุมดูแลชิ้นส่วนขนาดใหญ่ของเทรบูเชต์ซึ่งทำจากไม้ให้ลอยมาตามแม่น้ำไปพร้อมกันด้วย
ลูคัสและคาร์ลเดินทางไปด้วยกัน พวกเขาไปหยุดปักหลักตรงจุดที่จะใช้ตั้งเทรบูเชต์ที่ป่าโปร่งริมฝั่งแม่น้ำตามที่วางแผนไว้ ส่วนยาคอปและไฮน์ริชคุมกองทัพมาทางเรือ พวกเขาปักหลักอยู่อีกฝั่งของแม่น้ำ เมื่อเดินทางไปถึงก็เริ่มประกอบชิ้นส่วนของเทรบูเชต์กันทันที
พอพวกทหารสอดแนมเห็นเข้า ด้วยความที่ไม่เคยเห็นเทรบูเชต์มาก่อนจึงไม่อาจรู้ได้ว่ากองทัพของลอร์ดหนุ่มกำลังทำอะไร หากก็คาดเดากันว่าน่าจะสร้างสะพานหรือต่อบันไดข้ามมายังตัวปราสาท ซึ่งการสร้างสะพานหรือว่ายข้ามแม่น้ำก็แทบจะเป็นไปไม่ได้เพราะกระแสน้ำที่เชี่ยวกราก ประกอบกับความมั่นใจในความแข็งแกร่งของปราสาทจึงชะล่าใจ คิดว่าสิ่งที่อีกฝ่ายกระทำคงจะไม่เป็นผล
บาร์ดอฟไม่ยี่หระต่อกองทัพที่ยกมาประชิดเลยแม้แต่น้อย “ข้าก็อยากจะรู้ว่าพวกมันจะทำอะไรได้ เดี๋ยวอาหารหมดพวกมันก็ยกทัพกลับไปเอง”
บรรยากาศบนสองฝั่งแม่น้ำเคร่งเครียดอยู่ตลอดเวลา ในขณะที่ประกอบเทรบูเชต์ไปไม่มีการพูดคุยเล่นหัวหรือเสียงหัวเราะเลยแม้แต่น้อย เวลาผ่านไปไม่กี่วันเทรบูเชต์ขนาดใหญ่มหึมาจำนวนสิบเครื่องก็ตั้งตระหง่านเรียงอยู่ที่ริมสองฝั่งแม่น้ำ กระสุนหินขนาดใหญ่วางเรียงราย ส่วนกองทัพทั้งทางบกและทางเรือก็พร้อมที่จะบุกเข้าโจมตีเมืองโรเซนไฮม์กันแล้วในวันรุ่งขึ้น
หลังประชุมกันเป็นครั้งสุดท้าย ลอร์ดหนุ่มก็กลับเข้ามาพักในกระโจมที่พักของเขา แล้วทิ้งตัวลงนั่งบนขนสัตว์ที่ปูทับอยู่บนพรมผืนหนา
ในยามที่ตึงเครียดเช่นนี้เขานึกอยากจะกอดร่างโปร่งไว้ในอ้อมแขนมากที่สุด หากก็ลังเลที่จะไปหาเด็กหนุ่มที่อีกกระโจม เนื่องจากเป็นเวลาดึกดื่นมากแล้ว
ทว่าจู่ๆ ก็มองเห็นเงาคนที่ด้านหน้ากระโจม เขาหยิบดาบขึ้นมาถือไว้ในมือแล้วเดินตรงไปเปิดผ้าคลุมกระโจมออก
“ลูคัส!”
“ท่านคาร์ล” ลูคัสถือวิสาสะก้าวเข้าไปในกระโจมแล้วกระโจนเข้าสวมกอด
คาร์ลยิ้มบางพลางกอดตอบ “เหมือนเจ้าจะรู้ว่าข้ากำลังคิดถึงเจ้า... หลายวันมานี่เจ้าคงมีเรื่องให้คิดวิตกกังวลมากสินะ”
“ผมรู้สึกเหมือนไม่ใช่ตัวผมเลย” เด็กหนุ่มเงยหน้าขึ้นสบสายตากับนัยน์ตาสีฟ้าคู่สวย “ต้องคุมคนมากมาย การทำงานที่เคร่งเครียด ชีวิตของทหารนับพันขึ้นอยู่กับการวางแผนในครั้งนี้ แล้ววันพรุ่งนี้...”
ลอร์ดหนุ่มก้มลงจูบริมฝีปากนุ่มอย่างอ่อนโยนที่สุด ใช้ปลายลิ้นไล้เลียกลีบปากบนล่างอย่างแผ่วเบา จากนั้นจึงยิ้มมุมปาก “ชีวิตของข้าและทุกคนอยู่ในมือเจ้าแล้วล่ะนะ”
“คุณอย่าพูดแบบนี้สิ” สองแขนเรียวกอดกระชับร่างกายกำยำไว้แน่น “ผมกลัว...”
“อย่ากลัวไปเลย เป็นตัวของเจ้าเองก็พอ”
ลูคัสซุกใบหน้าลงในอ้อมแขนแกร่ง จากนั้นจึงพ่นลมหายใจออกมาหนักๆ เรื่องที่เขาวิตกกังวลมีมากมายจนไม่รู้จะยกเรื่องไหนขึ้นมาพูดก่อน แม้จะยังไม่ได้คิดว่าจะเกิดอะไรขึ้นหลังจากวันพรุ่งนี้ ทว่าก็อดนึกถึงไม่ได้ “ท่านคาร์ล ท่านวิลแฮล์ม... ใจดีมั้ย”
“หืม ทำไมจู่ๆ ก็ถามถึงท่านพ่อ”
“...แค่สงสัย”
“กังวลอะไรอยู่หรือ”
“ถ้าหากว่าเราทำสำเร็จ... ต่อไปจะเป็นยังไง แล้วถ้าหากไม่สำเร็จล่ะ...”
“เรื่องที่ยังไม่เกิดขึ้น เราไม่มีทางรู้ได้หรอก เจ้าอย่าเพิ่งคิดมากเลย ทำวันพรุ่งนี้ให้ดีที่สุดก็พอ”
“ผม...”
คาร์ลเชยคางเรียวขึ้น จ้องมองเข้าไปในแววตาใสที่ไหวระริก ร่างโปร่งสั่นน้อยๆ เขาไม่เคยเห็นเด็กหนุ่มมีท่าทีแบบนี้มาก่อนเลย “ลูคัส”
“ท่านคาร์ล คืนนี้... กอดผมหน่อยได้มั้ย”
ลอร์ดหนุ่มไม่ตอบ หากอุ้มอีกฝ่ายขึ้นแนบกายแล้วพาไปวางลงบนขนสัตว์ซึ่งใช้ปูเป็นที่นอน ริมฝีปากทั้งสองแนบชิด สองลิ้นเกี่ยวกระหวัด มือหยาบปลดเปลื้องเสื้อผ้าของเด็กหนุ่มออกอย่างใจเย็นแล้วจึงถอดเสื้อผ้าของตนเองออกบ้าง
ร่างกายที่ไร้เสื้อผ้าอาภรณ์ใดๆ กางกั้นบดเบียดเสียดสี ส่งผ่านความอบอุ่นให้แก่กัน เม็ดเหงื่อผุดพรายทั้งที่อากาศในยามค่ำคืนยังคงหนาวเย็น
ริมฝีปากของพวกเขายังไม่ยอมแยกจากกัน มือเรียวลูบไล้ไปบนแผ่นหลังกว้างขณะที่คนบนร่างเคลื่อนไหวอย่างเชื่องช้า
“อา คาร์ล อะ!” ลูคัสครางพลางดิ้นเร่าในขณะที่สองขาเรียวถูกจับขึ้นพาดบ่า เขารีบยกมือขึ้นปิดปากไว้เพราะกลัวว่าจะทำให้พวกทหารตื่นนอนกันเสียหมด
ลอร์ดหนุ่มยิ้มอย่างพอใจกับใบหน้าน่ารักที่บ่งบอกว่ามีความสุขกับร่างกายเขามากแค่ไหน เสียงที่เล็ดลอดออกมาจากกลีบปากอวบอิ่มช่างรื่นหู เขาจับมือเรียวที่ปิดปากอยู่ออกแล้วกดลงข้างลำตัว ก่อนจะโถมกายใส่คนใต้ร่างอย่างหนักหน่วง เสียงหอบหายใจกระเส่าดังชิดใบหูนิ่ม
ลูคัสปรือตาขึ้นมองใบหน้าหล่อเหลา รอยยิ้มของคาร์ลส่งผลให้เลือดในกายพลุ่นพล่านยิ่งขึ้น และก่อนที่ภาพภายในศีรษะจะกลายเป็นสีขาวโพลนไปหมด เขายกศีรษะขึ้นกระซิบบอก “คาร์ล ผมรัก... คุณ”
เจ้าของชื่อเรียกเร่งจังหวะกระแทกสะโพกหนักๆ จนกระทั่งคนใต้ร่างก้าวข้ามจุดสูงสุดของอารมร์ไป เขาแทรกกายลึกอีกสองสามครั้ง จากนั้นจึงฝากอารมณ์รักทั้งหมดไว้ในร่างโปร่ง
“ข้ารักเจ้าเช่นกัน ลูคัส” ลอร์ดหนุ่มกระซิบบนกลีบปากที่เขาบดจูบจนเห่อบวม จากนั้นจึงเอนกายลงเคียงข้างกันแล้วดึงเด็กหนุ่มเข้ามากอด
ลูคัสซบใบหน้าลงในอ้อมแขนแข็งแรง “ท่านคาร์ล...”
“เมื่อกี้ยังเรียกคาร์ลเฉยๆ อยู่เลยไม่ใช่หรือ”
ใบหน้าน่ารักเงยขึ้น “คือ เมื่อกี้มัน...”
มือกร้านเชยคางเรียวขึ้น “เวลาที่เราอยู่ด้วยกันตามลำพัง เจ้าเรียกชื่อข้าแบบนี้ก็พอ”
“ได้... ได้หรือครับ”
คาร์ลยิ้มอย่างอ่อนโยน “สำหรับเจ้าข้ามีข้อยกเว้นให้ได้ทุกอย่าง”
เด็กหนุ่มยืดคอขึ้นจูบคางสาก “น่ารักแบบนี้ ผมรักคุณจะแย่แล้วนะ”
แขนแกร่งกระชับร่างโปร่งไว้แนบกาย แล้วซบใบหน้าลงบนศีรษะเล็ก ทั้งสองนอนกอดกันนิ่งในความเงียบงัน ต่างคนต่างคิดถึงเรื่องที่จะเกิดขึ้นในวันรุ่งขึ้น หากเด็กหนุ่มร่างกายอ่อนล้าและเหน็ดเหนื่อยมาตลอดวัน พอรู้สึกผ่อนคลายก็เริ่มสะลึมสะลือ สักพักก็ปิดตาลงแล้วผล็อยหลับไป ไม่ทันได้ฟังคำพูดของลอร์ดหนุ่ม
“เมื่องานนี้สำเร็จ เรื่องของเรา...”
“....”
“หลับแล้วหรือ เด็กน้อย... เอาเถอะ เอาไว้ก่อนก็แล้วกัน”
..
.....
..
ในยุคปัจจุบัน
มารดาของลูคัสตื่นขึ้นมากลางดึก หล่อนลุกขึ้นนั่งนิ่งอยู่นาน จนสามีของหล่อนที่พลิกตัวหันมาสังเกตเห็นเข้า เขาลุกขึ้นนั่งเคียงข้างกันแล้วเอื้อมมือไปกุมมือของหล่อนไว้
“นอนไม่หลับหรือ คิดถึงลูกใช่มั้ย”
“ฉันฝันอีกแล้วค่ะ” หล่อนพูดเสียงสั่น “ลูคัสอยู่ที่เมืองนั้นอีกแล้ว...”
“อา จริงสินะ ตั้งแต่ที่เธอฝันเมื่อคราวนั้น เราก็ยังไม่ได้ไปที่โรเซนไฮม์กันเลย”
“ลูกอยู่กับผู้ชายคนเดิม เขาดูสง่างามมาก... รอบๆ ตัวพวกเขามีทหารมากมาย” มารดาเอ่ยพลางส่ายหน้าไปมา “ทำไมถึงฝันอย่างนี้ก็ไม่รู้สิคะ”
บิดาของลูคัสบีบมือภรรยาเบาๆ “ถ้าอย่างนั้น พรุ่งนี้เราไปโรเซนไฮม์กันเลยไหม เผื่อเธอจะสบายใจขึ้นด้วย”
หล่อนยิ้มบาง “ดีค่ะ... แต่ก่อนไปแวะโบสถ์ในไฮเดลแบร์กก่อนสักหน่อย ฉันอยากไปขอมิสซาให้ลูก”
“ได้สิ เอาล่ะ นอนพักผ่อนนะ พรุ่งนี้จะได้มีแรง”
“ค่ะ ราตรีสวัสดิ์”
..
.....
..
เมื่อแสงแรกในยามเช้าฉาบปลายฟ้า กองทัพทหารก็ตั้งขบวนพร้อมตามที่ได้วางแผนการไว้ ลอร์ดหนุ่มอยู่ในชุดเต็มยศ เสื้อตัวในถักทอจากโซ่เหล็กขนาดเล็กปิดช่วงคอและต้นแขน สวมทับด้วยเสื้อเกราะสลักลายมังกรเพื่อป้องกันแผ่นอกและช่องท้อง เขายืนนิ่งอยู่เบื้องหน้าทุกคน ในมือถือถือดาบยาว ก่อนจะชูขึ้นสูงแล้วตะโกนก้อง
“แคว้นไฮเดลแบร์กอยู่ในมือของทุกคน จงสู้เพื่อดินแดนบ้านเกิด และแสดงให้ทุกคนเห็นว่าพวกเราจะไม่ยอมตกอยู่ในอำนาจของกบฏหน้าไหนทั้งสิ้น!”
หมู่ทหารขานรับอย่างหนักแน่น จากนั้นลอร์ดหนุ่มจึงให้ทหารส่งสาส์นเข้าไปในเมืองพร้อมกับของบรรณาการหนึ่งคันรถเพื่อเจรจาแลกเปลี่ยนตัวบิดา
ประตูเมืองโรเซนไฮม์เปิดออกกว้างตอนรับขบวนผู้ส่งสาส์น เดินทางต่อไปอีกสักพักก็ถึงสะพานชักสำหรับเดินข้ามเข้าไปในกำแพงปราสาทซึ่งพวกทหารทอดลงมาไว้ให้
จากประตูทางเข้าปราสาทและบนกำแพงมีทหารมากมายออกมาตั้งแถวรอเพื่อแสดงแสนยานุภาพ ขณะที่ขบวนของผู้ส่งสาส์นเคลื่อนผ่าน จนไปถึงห้องโถงซึ่งมาควิสแห่งโรเซนไฮม์นั่งอยู่บนบัลลังค์อย่างสง่างาม
นายทหารผู้ส่งสาส์นค้อมศีรษะลงต่ำ “ท่านลอร์ดแห่งโรเซนไฮม์”
บาร์ดอฟยิ้มเยาะ “นายเจ้าช่างขลาดนัก ทำไมไม่เข้ามาเสียเองล่ะ”
นายทหารไม่ต่อปากต่อคำด้วย เขารายงานตามที่ผู้เป็นนายสั่งมา “ข้านำสาสน์และของบรรณาการล้ำค่ามามากมาย หวังว่าคงจะทำให้ท่านพอใจ” เขาผายมือไปยังเครื่องทองและเครื่องประดับเพชรนิลจินดาที่พวกทหารถือตามเข้ามา
บาร์ดอฟรับสาส์นมาอ่านแล้วหัวเราะเสียงดังก้อง เขาขยำสาส์นนั้นทิ้งต่อหน้านายทหาร “ของบรรณาการข้าจะรับไว้ เจ้ากลับไปแล้วบอกให้นายเจ้าถอยทัพกลับไปได้ ท่านอาร์ชดยุกอยู่กับข้าสุขสบายดี”
“ถ้าเช่นนั้นขอให้ข้าพบท่านอาร์ชดยุกสักหน่อยได้หรือไม่”
“ขี้ข้าจากเมืองขึ้นอย่างเจ้ามีสิทธิ์ต่อปากต่อคำกับข้าด้วยงั้นรึ” บาร์ดอฟตะโกนก้องอย่างหยาบคาย เขาหยิบแก้วไวน์ที่วางอยู่ข้างๆ สาดใส่ผู้ส่งสาส์น
“ลากตัวพวกมันออกไป!”
“ท่านลอร์ดของข้าจะไม่อยู่เฉยแน่”
“ข้าจะรอดู” บาร์ดอฟยิ้มเยาะ “ทหารของข้ารอปลิดชีพนายของเจ้าอยู่ ไปบอกมันด้วย”
ใช้เวลาไม่นานนายทหารผู้ส่งสาส์นก็กลับมาถึงลอร์ดหนุ่มแห่งแบร์กไฮม์เพื่อรายงานความเป็นไป
“ข้าก็คิดไว้อยู่แล้ว เอาล่ะ” คาร์ลออกคำสั่งเสียงดังก้องกับพวกทหารตั้งทัพไว้พร้อมแล้ว “พวกเจ้าทุกคนเตรียมตัวให้พร้อม! ลูคัส!”
ลูคัสพยักหน้า เขาสูดหายใจเข้าปอดลึกแล้วชูดาบในมือขึ้น “ถอดสลัก!”
ทันทีที่สิ้นเสียงของเด็กหนุ่ม ทหารทั้งสองฝั่งก็ส่งสัญญาณถึงกัน จากนั้นจึงดึงสลักเครื่องเทรบูเชต์ออกอย่างพร้อมเพรียง พอเครื่องเหวี่ยงหินออกไปแล้วก็รีบกลิ้งหินก้อนใหม่เข้าไปวาง ดึงคานฝั่งที่ถ่วงน้ำหลักลง ก่อนจะดึงสลักออกเพื่อยิงก้อนหินออกไปอีกครั้ง ย้อนทำกระบวนการเดียวกันนี้ซ้ำไปซ้ำมา ยิงก้อนหินออกไปครั้งแล้วครั้งเล่า
ก้อนหินขนาดใหญ่นับร้อยๆ ก้อนที่ถูกเหวี่ยงขึ้นไปในอากาศติดๆ กันจากทุกทิศทาง พุ่งตรงไปยังป้อมบนกำแพงปราสาททั้งแปดป้อมซึ่งเป็นเป้าหมายแรกอย่างแม่นยำ เสียงก้อนหินพุ่งเข้ากระแทกกำแพงดังสนั่นราวกับท้องฟ้ากำลังจะถล่มลงมา
ตัวป้อมและกำแพงปราสาทสูงใหญ่ซึ่งเป็นที่ภาคภูมิใจของมาควิสแห่งโรเซนไฮม์พังทลายลงไม่เป็นท่า ทหารทั้งที่อยู่บนป้อม บนกำแพงและที่ตั้งหลักรออยู่ด้านหลังกำแพงก็ถูกชิ้นส่วนของกำแพงถล่มลงมาทับ ส่วนที่รอดมาได้ก็เสียขวัญ พากันวิ่งหนีด้วยความตกอกตกใจ เกิดความโกลาหลวุ่นวายไปหมด
เสียงก้อนหินกระทบกำแพงยังคงดังกึกก้อง ปราสาทสั่นไหวไปทั้งหลัง ผู้คนในนั้นที่ไม่รู้ว่ามีอะไรเกิดขึ้น ต่างหวีดร้องด้วยความตระหนกตกใจ เศษกำแพงน้อยใหญ่ร่วงหล่นลงกระทบผืนน้ำเสียงดังลั่น
แรงสะเทือนทำให้โซ่ที่ยึดสะพานชักไว้หลุดออก เป็นผลให้สะพานทิ้งตัวลงพาดเชื่อมทางเข้าปราสาท ซึ่งภายในมียังประตูลูกกรงเหล็กอีกชั้น หากก็ล้มลงไปพร้อมกับกำแพงปราสาทที่พังทลายไป
การโจมตีขยับเข้าไปถึงกำแพงชั้นสุดท้าย ใช้เวลาไม่นานมันก็พังทลายลงจนเหลือเพียงแค่ตัวปราสาทชั้นในกับหอคอยสูงตระหง่าน
เออร์วินและคอนราดตั้งทัพรออยู่ที่ข้างนอกกำแพงเมือง พวกเขารอดูสัญญาณจากเด็กหนุ่มอีกต่อ เมื่อได้รับสัญญาณแล้วก็ส่งทหารเข้าไปยึดตัวเมือง พร้อมกับส่งทหารม้าเข้าไปวางระเบิดควันที่ในตัวปราสาทตามที่ได้วางแผนไว้ จากนั้นยาคอปจึงนำทหารบุกตามเข้าไปทางเรือ พร้อมกับที่คาร์ลและไฮน์ริชนำกองทัพบุกตามเข้าไปทางบก
ควันสีเทาลอยโขมง ปกคลุมทั่วทั้งเกาะที่ปราสาทตั้งอยู่ ลูคัสยืนมองอยู่ที่ริมฝั่งแม่น้ำอย่างร้อนใจ
เด็กหนุ่มคว้าถุงผ้าที่เตรียมระเบิดใส่ไว้ขึ้นมา เฉพาะตัวเขา ท่านลอร์ดทั้งสามและหัวหน้านายกองทหารเท่านั้นที่จะมีระเบิดติดตัวเข้าไปในปราสาทด้วยเผื่อต้องใช้ในยามฉุกเฉิน เขารีบปีนขึ้นบนหลังม้าพร้อมกับจับบังเหียนไว้ “ผมจะเข้าไปในนั้นด้วย”
“ท่านลูคัส! แต่ท่านคาร์ลสั่งไว้...”
“เวลานี้ท่านต้องการความช่วยเหลือจากทุกคน ผมยืนรออยู่ที่นี่เฉยๆ ไม่ได้หรอก”
“ถ้าเช่นนั้นพวกข้าจะไปด้วย!”
ลูคัสขี่ม้านำทหารที่เหลือตรงเข้าไปในเมือง หากเมื่อผ่านกำแพงเมืองเข้าไปก็ชะงักเล็กน้อย เมื่อเห็นบ้านเรือนหลายหลังที่พังทลายราบเป็นหน้ากลองเพราะแรงสั่นสะเทือนจากการโจมตีของเทรบูเชต์ ทหารของแคว้นไฮเดลแบร์กยืนถือดาบล้อมชาวเมืองซึ่งมีทั้งเด็ก ผู้หญิงและคนชราไว้ พวกเขาหวาดกลัวจนตัวสั่น นั่งกอดกันร้องไห้อยู่บนพื้นเสียงดังระงม
ลูคัสดึงบังเหียนม้าให้หยุด แล้วเอ่ยกับทหารในบริเวณนั้น “ไม่ทำร้ายพวกเขาได้ไหม”
พวกทหารค้อมศีรษะรับ “ขอรับ”
เด็กหนุ่มเตะสีข้างม้าให้มันออกวิ่งต่อ ตรงไปยังปราสาทซึ่งในยามนี้กำแพงปรักหักพัง ยังมีควันจากระเบิดและเศษฝุ่นลอยโขมง เมื่อไปถึงที่หน้าปราสาทชั้นในก็พบกับทหารของไฮเดลแบร์กที่กำลังควบคุมตัวทหารของโรเซนไฮม์แล้วจับมัดรวมกันไว้ เขารีบกระโดดลงจากหลังม้าแล้ววิ่งเข้าไปภายในปราสาท
ทุกพื้นที่ที่เดินผ่านมีทหารของไฮเดลแบร์กคอยควบคุม ส่วนบนพื้นมีศพของศัตรูนอนระเกะระกะ กลิ่นคาวเลือดลอยคลุ้งชวนให้รู้สึกสะอิดสะเอียน
ขณะที่กำลังหันซ้ายหันขวาก็พบกับยาคอปซึ่งวิ่งหน้าตาตื่นเข้ามาพร้อมกับทหารอีกกลุ่มหนึ่ง
ยาคอปตรงเข้ามาจับหัวไหล่ของเด็กหนุ่มเขย่าแรงๆ ใบหน้าซีดเผือด “ลูคัส เจ้าเข้ามาทำไม! ถ้าหากท่านพี่รู้...”
มือเรียวยกขึ้นจับข้อมือของคนตรงหน้าไว้ “เอาไว้ก่อนเถอะครับ ยังไงผมก็เข้ามาแล้ว สถานการณ์ตอนนี้เป็นยังไงบ้าง ท่านคาร์ลล่ะ”
“ท่านพี่ทั้งสองกำลังตามหาบาร์ดอฟ ส่วนข้ากำลังหาทางไปหอคอย แต่หาเท่าไหร่ก็ไม่เจอ ถามไอ้พวกทหารนี่ก็ไม่มีใครยอมบอก!”
ลูคัสหันมองไปรอบๆ ซึ่งมีแต่ความโกลาหล คิ้วเรียวขมวดมุ่นอยู่ชั่วครู่พลางนึกย้อนไปถึงอุโมงค์ทางเข้าปราสาทจากทางเรือ จากนั้นจึงเอ่ยขึ้น “ทางลงล่ะครับ ลงใต้ดิน น่าจะอยู่ทางทิศเหนือ...”
“มีทางลงใต้ดินอยู่ถัดจากห้องอาหารใหญ่ไปขอรับ” นายทหารคนหนึ่งรีบตอบ
“งั้นเราไปที่นั่นกันก่อน ไปเร็ว!”
พวกเขารีบรุดไปที่ห้องอาหารขนาดใหญ่ซึ่งเจ้าของปราสาทใช้ต้อนรับแขกสำคัญ ซึ่งเมื่อเดินเลยไปเล็กน้อยก็พบกับประตูสำหรับลงบันไดวนไปใต้ดิน เสียงฝีเท้าลงบันไดดังสะท้อนก้อง เมื่อลงไปถึงก็พบกับทางเดินที่มืดและชื้น พวกทหารต้องจุดคบเพลิงจึงจะมองทางเห็น
“ทางนี้จะใช่ทางไปหอคอยหรือลูคัส” ยาคอปหันมองซ้ายขวาซึ่งมีเพียงผนังชื้นๆ ที่ว่างเปล่าเท่านั้น
“ทางนี้น่าจะเชื่อมไปยังคุกใต้ดิน ปราสาทนี้มีทางเข้าออกทางน้ำเอาไว้สำหรับพาตัวนักโทษเข้ามา แล้วก็จะได้ส่งเข้าห้องขังข้างใต้ปราสาทได้เลย หรือไม่ก็...”
“ส่งไปขังบนในหอคอยอย่างนั้นสินะ” ยาคอปรู้สึกทึ่งในตัวเด็กหนุ่มมากเสียจนเขาไม่รู้จะบรรยายออกมาอย่างไรดีแล้ว “อะ! ข้าได้ยินเสียงน้ำละ”
“จริงด้วย” ลูคัสหันขวับ ขาเรียวพาเจ้าของวิ่งไปตามทิศทางของเสียงน้ำ เบื้องหน้าของเขาเป็นห้องโล่งกว้างมีแสงสว่างรำไร แต่พอเข้าไปถึงห้องนั้นก็ต้องชะงัก เพราะที่นั่นมีทหารอยู่นับสิบนาย
“ลูคัส อย่าขยับ!” ยาคอปตะโกนเสียงดัง เขาง้างมือข้างที่ถือมีดสั้นขึ้นแล้วเหวี่ยงออกไป
มีดเล่มนั้นพุ่งแหวกอากาศ แทงเข้าตรงลำคอของทหารที่กำลังยกธนูขึ้นพอดี
มือของลอร์ดหนุ่มเอื้อมออกไปดึงแขนของร่างโปร่งแล้วเหวี่ยงให้ไปหลบอยู่ข้างหลังเสา “เจ้าหลบอยู่ที่นี่ก่อน!” จากนั้นจึงสั่งให้พวกทหารยกธนูในมือขึ้นยิง เมื่อเข้าประชิดตัวจึงหยิบดาบขึ้นมาฟาดฟันกัน
ลูคัสย่อตัวลงนั่ง สองมือยกขึ้นปิดหูด้วยความกลัว เสียงร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวดและเสียงดาบกระทบกันดังลั่นไปทั่ว ใจเขาอยากจะเข้าไปช่วย แต่ด้วยฝีมือดาบย่ำแย่ก็เกรงว่าจะกลายเป็นศพเสียก่อนใครเพื่อน
ทว่าจู่ๆ ก็มีเสียงฝีเท้าหนักๆ พุ่งเข้ามาตรงที่เขานั่งยองๆ อยู่ พอเงยหน้าขึ้นมองเด็กหนุ่มก็ใจหายวาบ
นายทหารของโรเซนไฮม์ร่างยักษ์ยืนอยู่ตรงหน้า เงื้อดาบในมือขึ้นสูง “แก ตายซะ!”
“ช่วย...” ลูคัสยังพูดยังไม่ทันขาดคำ ของเหลวอุ่นๆ ก็กระซ่านเซ็นกระทบใบหน้า นัยน์ตาสีเข้มเบิกโพลงขณะที่จ้องมองร่างชุ่มเลือดของนายทหารทรุดลงต่อหน้าต่อตา
“เจ้าไม่เป็นไรใช่ไหม!” ยาคอปถาม ดาบในมือของเขาอาบสีเลือดแดงฉาน
“อะ”
“เสียงฝีเท้า! ที่นี่ต้องมีทหารอีกแน่ รีบหาทางไปหอคอยก่อนเร็ว!”
“คะ... ครับ” ลูคัสตั้งสติ ก่อนจะลุกขึ้นแล้วหันมองไปรอบๆ ภายในห้องกว้างใหญ่มีเสาอยู่นับสิบต้น มีแสงไฟสลัวจากตะเกียงน้ำมันที่ห้อยลงมาตามเสา ฝั่งซ้ายมือของเขาเป็นท่าน้ำเอาไว้สำหรับเรือจอดเทียบ มีรูปปั้นเทวดาสององค์ถือธนูเล็งไปทางทิศตะวันออก “ไปทางทิศตะวันออกครับ”
ยาคอปชะโงกหน้าจากหลังเสาที่หลบอยู่ออกไปสำรวจ เขาคว้าแขนเรียวพาเด็กหนุ่มวิ่งไปตามทิศที่บอกอย่างรวดเร็วโดยมีทหารที่เหลือคอยระวังหลังให้ สักพักก็ถึงประตูทางขึ้นบันไดวน
“เจอแล้ว!” ยาคอปกระชากประตูออก จากนั้นพวกเขาทั้งหมดจึงไต่บันไดขึ้นไปอย่างรวดเร็ว
ขณะที่กองทัพของคาร์ลและไฮน์ริชบุกเข้าไปถึงภายในห้องโถงยังมีควันสีเทาลอยอยู่จางๆ พวกขุนนางที่ปรึกษาของบาร์ดอฟและเลดี้ทั้งหลายรวมตัวกันอยู่ที่นั่นด้วยความหวาดกลัว บางคนถึงกับเป็นหมดสติไป เมื่อเห็นกองทัพของคาร์ลก็พากันทรุดตัวลงนั่งร้องขอชีวิต
“บาร์ดอฟอยู่ไหน” คาร์ลถามเสียงเข้ม
พวกขุนนางหันหน้ามองกันเลิ่กลั่ก จนกระทั่งไฮน์ริชถามย้ำอีกครั้งด้วยเสียงดังก้อง
“พวกเจ้าอยากจะเป็นศพอยู่ตรงนี้หรือไง บาร์ดอฟอยู่ที่ไหน!”
ลอร์ดหนุ่มหันไปส่งสัญญาณให้กับทหารของตน “จับทุกคนมัดไว้”
ทหารสาวเท้าเข้าไปฉุดแต่ละคนลุกขึ้นแล้วมัดมือไพล่หลัง จากนั้นก็กดให้คุกเข่าลง
“ท่านพี่ ในเมื่อยังไม่มีใครยอมพูดก็เอาอย่างนี้ดีกว่า ตัดลิ้นเสียทีละคน จนกว่าจะมีใครยอมพูดก็แล้วกัน”
คาร์ลพยักหน้าพร้อมกับออกคำสั่งกับพวกทหาร “เริ่มจาก...” เขาชี้ไปที่ขุนนางซึ่งประโคมใส่ตรายศและเครื่องประดับเต็มตัว
ชายขุนนางวัยกลางคนเบิกตาโพลง “ข้า... ข้า...” เขาค้อมศีรษะลงต่ำ แล้วชี้ไปที่พรมผืนใหญ่บนผนัง “ทางลับเชื่อมไปห้องหนังสือขอรับ”
ลอร์ดหนุ่มกระตุกยิ้มมุมปาก บาร์ดอฟช่างเลือกขุนนางได้นิสัยคล้ายคลึงกับตัวเองเสียจริง “จับพวกมันไปรวมกันข้างนอก” เขาออกคำสั่งกับทหารกลุ่มหนึ่ง ส่วนอีกกลุ่มเดินไปกระชากพรมผืนที่ว่าออก
ด้านหลังผืนพรมมีบานประตูทาสีเดียวกับผนังห้อง เมื่อเปิดออกก็พบกับทางแคบๆ มืดๆ พวกทหารจึงถือคบเพลิงนำลอร์ดทั้งสองเข้าไป
หลังจากเดินไปสุดทางก็พบกับบันไดวน พอขึ้นไปจนสุดบันไดจึงพบกับประตูอีกบาน เชื่อมไปยังห้องหนังสือ
ห้องหนังสือมีขนาดกว้างใหญ่ ที่เตาผิงยังมีไฟลุกโชน ในขณะที่พวกทหารแยกย้ายกันไปตรวจดูทุกซอกมุม คาร์ลเดินไปที่โต๊ะหนังสือไม่ไกลจากเตาผิงนัก
ไฮน์ริชเดินตามไปช้าๆ “ท่านพี่...”
ทว่าจู่ๆ ก็มีลมพัดวูบใหญ่ไปที่เตาผิง ทำให้ขี้เถ้าลอยโขมงบดบังทัศนวิสัย คาร์ลกับไฮน์ริชรีบยกเสื้อขึ้นปิดจมูกไว้ ก่อนจะได้ยินเสียงสบถของบาร์ดอฟแว่วมาอย่างแผ่วเบาพร้อมกับเสียงฝีเท้าห่างออกไป
ลอร์ดหนุ่มหรี่ตามองตามเงาตะคุ่มในกลุ่มควัน “มันหนีไปแล้ว! ที่นี่ต้องมีทางลับอีกแน่ ไฮน์ริช ข้าจะรีบตามมันไป!”
“ท่านพี่! เดี๋ยวก่อน!” ไฮน์ริชเอื้อมมือออกไปไขว่คว้าในอากาศ หากเสียงฝีเท้าหนักๆ ของลอร์ดหนุ่มห่างออกไปเสียแล้ว เขาจึงรีบวิ่งตามไปด้วย “ท่านพี่รอข้าด้วย!”
(มีต่อนะคะ)