ตอนส่งท้าย
ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ พ่อปากเก่งกับผม แต่พอเจอราเชนทร์ที่แค่มองก็รู้ว่าเป็นคุณชายผู้รากมากดี ผิวพรรณเปล่งปลั่งหน้าตาสดใส แถมยังออกไปทางลูกครึ่ง สวมเสื้อแบรนด์เนมนาฬิกาเรือนละล้าน ท่านก็ไม่กล้าวิจารณ์แม้แต่คำเดียว
ยิ่งหันไปทางคีรี ท่านประธานบริษัทที่มาถึงก็แจกนามบัตรโชว์นามสกุลเข้าไป ทั้งพ่อทั้งแม่ผมถึงกับอ้าปากค้าง มองคนในชุดสูทเสยผมเรียบเปล้ท่าทางน่าเกรงขามก็ไม่กล้าหลุดคำหยาบออกมาอีกเลย
มื้ออาหารเย็นเลยราบรื่นมากโดยมีเสียงจ้อของราเชนทร์คลอเคล้ากับเสียงตอบรับบ้างเป็นช่วงๆ ของผมกับแม่ แน่นอนว่าจู่ๆ โผล่กันมาสามคนของกินย่อมไม่พอ แต่ผมกับราเชนทร์ให้พ่อครัวช่วยทำของว่างทานง่ายมาเป็นของฝากด้วย พวกเราเลยยังพอต่อเวลาได้อีกหน่อย
จนกระทั่ง...
“ผมอยากคุยเรื่องสินสอด”
ท่านประธานเปิดประเด็นขึ้นมา!
“ไม่ต้องห่วงครับคุณพ่อคุณแม่ เรียกมาได้เลย ทางเรายินดีจ่ายสองเท่า!” สานต่อด้วยราเชนทร์ที่ไม่ยอมน้อยหน้า เรียกพ่อแม่ผมอย่างกับพ่อแม่ตัวเองหน้าตาเฉย!
เดี๋ยว...มีแฟนสองคนได้สินสอดสองเท่า!?
เอ่อ...ไม่ใช่มั้ง“พวกเราแต่งงานกันไม่ได้นะครับ” ผมหันไปเอ็ดทั้งคู่
“ถึงไม่ได้จัดงาน แต่ก็ควรให้สินสอดท่านนะ” คีรีพูดอย่างเป็นการเป็นงาน
“ใช่ๆ รัญเองก็หนีออกจากบ้านตั้งเจ็ดปี ควงพวกเรากลับมาทั้งทีจะให้แวะมาเยี่ยมแล้วไปเฉยๆ ได้ยังไง ก็ต้องมีสินสอดชดเชยให้บ้างสิ ยังไงซะนับจากนี้พวกเราก็จะอยู่ด้วยกันตลอดไปแล้วนี่นา หรือว่ารัญไม่คิดจะอย่างนั้น”
“เอ่อ...”
“ไม่ต้องคิดมากหรอกหรัญญ์ แม้แต่งงานไม่ได้แต่อย่างน้อยก็ควรมีพิธีการบ้าง พวกเราอยู่ด้วยกันฉันสามีภรรยา การให้สินสอดพ่อกับแม่ของเธอถือเป็นเรื่องที่ถูกต้องแล้ว”
ผมพูดไม่ออกบอกไม่ถูก พอจะหันไปถามความเห็นพ่อกับแม่ก็เจอกับภาพตะลึงงันตาแทบถลนออกจากเบ้าของทั้งคู่ ทำเอาต้องลอบกลั้นขำแทนซะนี่
“เรื่องนั้น...ไว้คุยกันวันหลังแล้วกันครับ”
ผมตัดสินใจตัดบท ใช่ว่าจะเป็นลูกอกตัญญูอะไร แต่ต้องให้เวลาพ่อกับแม่ทำความเข้าใจเรื่องเราสามคนมากกว่านี้ อีกอย่าง ผมเองก็ตั้งใจจะกลับมาเยี่ยมบ่อยขึ้น และโอนเงินให้พวกท่านอยู่แล้ว ก็แผนเก็บเงินเพื่อชีวิตโสดยามบั้นปลายถูกยกเลิกแล้วนี่นา...คนที่รู้สึกผิดที่สุดเพราะทิ้งพวกท่านไปเจ็ดปีน่ะมันผมต่างหาก ยังไงก็ต้องรับผิดชอบ
แต่เชื่อเถอะ คนหัวรั้นอย่างท่านประธานกับราเชนทร์ถ้าบอกว่าจะให้ก็คงเอาจริง ซึ่ง...ผมต้องไปตกลงกับทั้งคู่ทีหลังว่าให้รวบมาเป็นกองเดียว เพราะถ้าแยกเป็นต่างคนต่างจัดเตรียมกันเอง...รับรองมีแข่งกันอีกแหงๆ
เห็นพ่อกับแม่หน้าซีดทุกทีมากกว่าดีใจผมก็ขอตัวกลับก่อน เพราะพ่อเองก็เริ่มเพลียแล้ว และเกรงว่าขืนปล่อยให้ราเชนทร์จ้อกว่านี้อาจมีคนหัวใจวายเอาได้
คีรีกับราเชนทร์ยกมือไหว้ก่อนจะขอตัวไปรอที่รถก่อน ปล่อยให้ผมได้ใช้เวลากับครอบครัวโดยการถามไถ่เรื่องสุขภาพและขอเบอร์ติดต่อกับแม่ ตอนที่กำลังจะหันหลังกลับ พ่อที่ปิดปากเงียบมาตลอดก็รำพึงรำพันออกมาเหมือนเพิ่งหาเสียงเจอ
“นี่พวกแกสามคน...เอาเถอะ อยากจะทำอะไรก็ทำ”
“แล้วผมจะมาหาอีกนะครับ” ผมนึกขำกับท่าทางไปไม่เป็นของพ่อ ทั้งที่มักวางทีท่ากดข่มเสมอ แต่ตอนนี้ไม่เหลือมาดแล้ว
“วันหลังก็โทรมาบอกก่อนล่ะ จะได้ไม่ต้องมาแย่งข้าวฉันกิน”
“ครับ” ผมกอดแม่เป็นการอำลา พอจะกลับขึ้นรถก็นึกลังเล ก่อนจะหันหลังกลับมากอดพ่อเบาๆ หนึ่งครั้งแล้วรีบวิ่งเพราะรู้ว่าต้องโดนด่าเปิงแน่นอน
“ไอ้ลูกเวร!”
เสียงตะโกนไล่หลัง แต่พอหันไปมองกลับเห็นพ่อยืนยิ้ม
“สบายใจขึ้นมั้ย” คีรีถามขึ้นมาคนแรกเมื่อเห็นผมปิดประตูรถ
“มากๆ เลยละครับ” ผมตอบพลางโน้มตัวไปหอมแก้มท่านประธานเป็นการขอบคุณ แต่ราเชนทร์ฮึดฮัดไม่ยอมอยู่ข้างๆ เลยต้องหันไปหอมแก้มเขาด้วยเพื่อความเท่าเทียม “ขอบคุณนะที่มาด้วยกัน”
“ยินดีเสมอ”
“แน่นอนอยู่แล้ว!”
ฟังคำตอบรับที่ทั้งอารมณ์และน้ำเสียงแตกต่างกันโดยสิ้นเชิงผมก็หลุดหัวเราะ ก่อนจะกลับไปนั่งเบาะหลังดีๆ โดยไม่ลืมหันไปมองบ้านหลังเก่าในความทรงจำอีกครั้ง
ความกลัวในวัยเด็กทดแทนด้วยความสุขในตอนนี้
บางครั้ง...คนเราก็คิดมากเกินไปจริงๆ แฮะ
“อ๊ะ! ลืมขอดูรูปรัญตอนเด็กเลย เสียดายชะมัด”
แต่จะไม่คิดอะไรเลยแบบราเชนทร์ก็ไม่ไหวนะ!
หลังพักฟื้นได้ห้าวันผมก็กลับมาทำงานอีกครั้ง แม้แผลจะยังไม่หายสนิทดีแต่ไม่ได้เป็นอุปสรรคมาก ให้ผมอยู่เฉยๆ ไม่ทำอะไรเลยแบบราเชนทร์ไม่ไหวหรอก อย่าลืมสิว่าผมเป็นคนขี้เบื่อแค่ไหน
พอมาถึงก็โดนควีนเรียกตัวไปสอบถามอาการ พร้อมกับย้ำเรื่องค่ารักษาต่อจากนี้ว่ามาเบิกได้ ตอนเดินออกมาจากออฟฟิศของบอสก็รู้สึกวูบโหวงแปลกๆ คงไม่โดนเรียกเข้าไปอีกแล้ว คิงส์คลับแม้อันตราย แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้หรอกว่าบางครั้งมันน่าตื่นเต้นท้าทายสำหรับลูกผู้ชายขนาดไหน
หลังจากนั้น...ผมก็โดนแมนจับไปเทศน์อีกหนึ่งยก
“วันหลังห้ามเอาตัวไปยุ่งอีกเชียวนะ เป็นแค่บาร์เทนเดอร์ตัวบางอย่างกับตะเกียบแล้วยังไปวิ่งฝ่าดงกระสุนอีก กูสั่งห้าม เข้าใจมั้ย!”
“ตะเกียบเลยเหรอ...” ผมมองตัวเอง คิดว่าก็ไม่ได้ผอมบางน่าเกลียดขนาดนั้นนะ คีรีกับราเชนทร์ยังบอกเลยว่ากอดพอดีมือ ยิ่งเวลาแก้ผ้าแอ่นตัวไปมาแล้วยิ่งน่ากระแท--- ติดเรทเกินไป เซนเซอร์ครับ
“ได้ข่าวเรวันต์อีกมั้ย”
“ยังไม่เข็ดเหรอมึง” แมนมองตาขวาง
“กูแค่อยากรู้เฉยๆ น่า” ผมตอบอ้อมแอ้ม ก่อนจะหันไปผงกศีรษะทักทายภาวินที่เดินเฉียดไปเฉียดมาเหมือนอยากเข้ามาทักแต่ยังหาจังหวะไม่ได้สักทีเพราะแมนเล่นเทศน์ผมไม่หยุดปาก
“เห็นว่าโดนจับตัวไปอยู่แก๊งนั้นนั่นแหละ ไม่มีเงินก็คงต้องทำงานใช้หนี้ ช่างมันเถอะ” แมนตอบปัดๆ ก่อนจะหันไปกอดคอภาวินให้เข้ามาร่วมวงด้วย “นี่พวกมึงดีกันแล้วเหรอ”
“ดะ...ดีอะไร”
“เอ้า ก็เป็นเพื่อนกันไง” แมนหันมาเลิกคิ้วให้ผม ผมเองก็เลิกคิ้วกลับ
“งั้นมั้ง ถามวินสิ”
“ชะ...ใช่ เป็นเพื่อนกันแล้วไง ปล่อยสิวะ!” ภาวินมุดหลบก่อนจะหันไปชี้หน้าแมนอย่างคาดโทษ แต่พอหันมาหาผมก็ยกมือเกาหัวแก้เก้ออย่างอายๆ
มองไปมองมาก็ตลกดี
เมื่อก่อนผมสนใจแต่กับตัวเองมากขนาดไหนเนี่ย ถ้าไม่ใช่คนรู้จักก็แทบไม่ยุ่งเกี่ยวกับใคร แยกแยะระหว่างเพื่อนร่วมงาน ลูกค้า คู่ขาอย่างเด็ดขาด ไม่คิดจะทำความรู้จักหรือสนิทสนมให้มากขึ้นเลยสักนิด
“รัญจ๋า”
สงสัยจะใช้เวลากับเพื่อนมากเกินไป มีคนหึงไม่รู้เวลาอีกแล้ว
“วันนี้จะรับอะไรดีครับ” ผมหันไปแกล้งพูดเสียงเรียบ ทำทีเป็นบาร์เทนเดอร์กับลูกค้า ราเชนทร์ฉีกยิ้มชอบใจ เท้าคางมองผมอย่างยียวน
“รับคนที่ชื่อหรัญญ์ได้มั้ย”
“ไม่ได้ครับ”
“ว้า งั้นเอารัมมาตินี่แทนแล้วกัน”
“แล้วคุณล่ะครับ วันนี้จะรับอะไรดี” ผมหันไปถามคีรีที่นั่งวางมาดอยู่ข้างๆ ราเชนทร์ แม้จะเว้นเก้าอี้ไว้ตัวหนึ่ง หรือแอบสงสัยสายตาถกเถียงกันบ้าง แต่ระหว่างทั้งคู่ก็ไม่มีสุญญากาศกั้นกลางอีก
“ไซด์คาร์”
“ครับ” ผมตอบพร้อมกับเริ่มต้นผสมเครื่องดื่ม ย้อนนึกไปถึงวันแรกที่เจอพวกเขาสองคน วันที่ตกลงคบหา วันที่เลิกรา และกลับมาคบกันอีกครั้ง
ครั้งแล้วครั้งเล่าที่พวกเราพยายามเข้าหากันและกัน
คนสามคนที่แตกต่างกันสุดขั้ว ต่างถือทิฐิและยึดติดในมุมมองของตัวเองจนกลายเป็น ‘เส้นแบ่ง’ ที่ขวางกั้น แต่สุดท้ายแล้วขอบเขตที่แบ่งแยกระหว่างพวกเรานั้นก็ค่อยๆ ถูกปลดลงทีละเส้น
เริ่มต้นจากปริ้นส์รูม
และจบลงด้วย...เราสามคน
Prince’s Room ระวัง...เขตอันตราย!!
End
----------------------------
ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามมาถึงตอนจบนะคะ อย่างที่บอกว่าเรื่องนี้เราเเต่งมาด้วยคอนเซป 'ผู้ชายสุดโต่งสามคนที่มาพายเรือลำเดียวกัน' ฉะนั้นเมื่อพวกเขาสามารถไปถึงจุดหมายปลายทางได้สำเร็จ ก็ถือว่าจบแล้วสำหรับเรานั่นเอง แต่แน่นอนว่ายังมีตอนพิเศษอีก ใครที่รอฉาก 'อะจึ๋ยๆ พร้อมกัน' ขออุบไว้ในหนังสือนะคะ เราเขินอายเหลือเกิน ไม่กล้าเผยเเพร่สู่สาธารณะชน

สำหรับหนังสือจะมีตอนพิเศษอีกสี่ตอนซึ่งเป็นเรื่องราวหลังจากนี้ ซึ่งเราจะแอบเล่าแง้มๆ ให้ฟังกันค่ะ!
1.ครบรอบหนึ่งเดือน [NC/DP]
เห็นตัวย่ออะไรมั้ยคะ นั่นแหละค่ะที่เชื้อราและคีรีขันรอคอย 5555 [*DP=Double Penetration] สำหรับตอนพิเศษนี้จะเป็นหลังจากคบกันได้หนึ่งเดือนแล้ว สองหนุ่มเลยจับมือกันวางแผนจับรัญกินเนียนๆ ด้วยการฉลองวันครบรอบด้วยของขวัญเป็น 'ชุดแมว' ให้รัญใส่ มันคงจะใสๆ หากไม่ใช่ว่าหางเเมวนั้นเป็นแบบ....!!!! อะแฮ่ม ชักจะเรทเกินไป แต่เอาเป็นว่าหางเเมวนั้นคือจุดประสงค์แท้จริงของสองหนุ่มในการบุกเบิกเพื่อจะเผด็จศึกรัญจนลุล่วงค่ะ //หื่นสุดก็คนแต่งเนี่ยล่ะ!

2.แฟนเก่าเล่าใหม่
ยังมีแฟนอีกคนหนึ่งที่ยังไม่ออกในเรื่อง ซึ่งก็คือแฟนคนที่สามของรัญค่ะ แฟนคนนี้รัญบอกเลิกเพราะรักอีกคนอยู่ก่อนแล้วมาคบกับรัญ พอมาหวนเจอกันอีกครั้งเลยค่อนข้างชุลมุน เพราะรัญโดนตอกกลับว่าก็รักคนสองคนเหมือนกันนี่นา ประเด็นตอนนี้ไม่ใช่ว่าแฟนเก่ามาตอกกลับรัญยังไง แต่เป็นสองหนุ่มจะทำยังไงเมื่อรัญโดนหาเรื่องค่ะ หุหุหุ //แสยะยิ้มชั่วร้าย - -+!

3.สมจันทร์รีเทิร์น
เชื้อรากับคีรีขันพารัญมาฝึกว่ายน้ำต่อ ทำเอารัญหนาวๆ ร้อนๆ หวั่นจะโดนกินตับคาสระเพราะคีรีดันเกิดอารมณ์เวลาหนูรัญผวากอดตอนจมน้ำซะงั้น! โชคดีที่สมจันทร์มาแทรกกลางคัน แต่กลายเป็นว่า...สมจันทร์ที่ไม่คิดอะไรกับราเชนทร์นั้นดันมาปิ๊งๆ กับคีรีซะได้ ก็ท่านประธานในชุดว่ายน้ำไม่ใส่แว่นโชว์กล้ามท้องมันเท่บาดใจซะเหลือเกินใครจะทนไหว! ในตอนนี้จะมาเห็นรัญหึงคีรีกันบ้างค่ะ 5555

4.เกม Truth or Dare [NC/DP]
ตัวย่ออันตรายมาอีกแล้วค่ะท่านผู้โช้มมม เป็นธรรมเนียมของเราไปแล้วค่ะที่ตอนพิเศษจะต้องมีช่วงตัวละครจับกลุ่มเล่นเกมกัน ในเรื่องนี้เลือกเกมทรูออเเดร์มาเพราะเหมาะให้สองหนุ่มเปิดใจเนื่องจากยังมีบางเรื่องที่ยังสะสางกันไม่เสร็จ แต่รัญทำตัวเป็นคนคอยประสานเชื่อมกาวให้อยู่ดีๆ แต่ไหงโดนสองหนุ่มจับกินได้ อันนี้ต้องติดตามค่ะ!

โฆษณาแบบสุดเหวี่ยงกันไปเลย ขอบคุณอีกครั้งนะคะที่ติดตามมาถึงตอนนี้ แล้วเจอกันอีกครั้งในเรื่องหน้าฟ้าใหม่ค่ะ ^0^
โบกมือลาพร้อมแปะลิ้ง
Pre-order : Prince's Room ระวัง...เขตอันตราย