IT is เต็มสิบ.12
“มึงต้องยอมรับไว้อย่างหนึ่งนะฐา มึงทำให้ไอ้เฟืองมันเคยตัว”
เต็มสิบนั่งทำงานของตัวเองไปเรื่อย ๆ และพูดเตือนสติน้องร่วมแผนกอย่างฐาปัตย์ที่ได้แต่ถอนหายใจยาวและเอนหลังพิงพนักเก้าอี้
“ผมก็รู้แหละ ว่าบางทีผมก็สปอยมันมากไป แต่ทำไงได้ล่ะก็ผม.....”
ฐาปัตย์ไม่ได้พูดอะไรต่อเงียบเสียงไปชั่วขณะ
เรื่องบางเรื่องมันก็ไม่ใช่สิ่งที่จำเป็นต้องพูด และเต็มสิบก็หันมามองหน้ารุ่นน้องและส่ายหน้ากับสิ่งที่ฐาปัตย์ยังไม่เลิกทำ
“มึงกำลังทำให้ไอ้เฟืองมันขาดความรับผิดชอบในตัวเองอยู่ ลองคิดดูดี ๆ ก็แล้วกันว่าจะเอายังไงต่อ บางครั้งก็ต้องหัดใจแข็งบ้าง อย่าไปยอมตามใจมันทุกอย่างถ้า “รัก” กันจริงอย่าเอาใจมันมากนัก ตอนนี้มันก็เคยตัวจนไม่รู้จะเคยตัวยังไงแล้ว”
ถ้ารักกันจริง....
ฐาปัตย์พยักหน้ารับกับสิ่งที่เต็มสิบพูด ยิ้มและถอนหายใจยาว เพราะไม่รู้ว่าคำว่ารักกันจริงมันมีความหมายว่ายังไงกันแน่
“จะเอายังไงก็แล้วแต่มึงนะ ก็ลองคิดดี ๆ พี่ก็บอกก็เตือนกันได้แค่นี้ จะทำหรือไม่ทำก็เรื่องของมึง ไม่เกี่ยวกับพี่ว่ะ”
เต็มสิบพูดกับฐาปัตย์แบบนี้ แต่ไม่นึกว่าพอตกเย็นรุ่นน้องจะเอาสิ่งที่เต็มสิบพูดไปปฏิบัติตามอย่างรวดเร็วทันใจ
ทำอะไรก็น่าจะเกรงใจกันบ้าง แบบนี้มันโจ่งแจ้งเกินไป
“ทำไมผมต้องขึ้นมาเอากระเป๋าเป็นเพื่อนคุณด้วย ถ้าไม่ต้องเดินตามมาป่านนี้ผมเรียกแท็กซี่ไปส่งถึงบ้านเรียบ.....ร้อย....แล้...ว”
ธีรพลต้องเงียบเสียงลงเมื่อเต็มสิบยกปลายนิ้วชี้แตะที่ริมฝีปากเหมือนเป็นสัญญาณห้ามพูดและให้เบาเสียง ภาพที่เห็นทำให้ธีรพลเข้าใจได้ทันทีว่าเต็มสิบหมายความว่ายังไง และเต็มสิบก็ดึงแขนของธีรพลให้เดินออกมาที่ทางเดินเพื่อกลับไปที่เดิมที่ใช้เป็นสถานที่ซ้อมเต้นอยู่ทุกวัน
“.................”
“.................”
ต่างคนต่างเงียบ และเต็มสิบที่เดินมานั่งอยู่ที่เก้าอี้ก็กำลังขมวดคิ้วมุ่นและพูดบางอย่างกับธีรพล
“ผมขอได้มั้ยเรื่องนี้”
คำว่าขอหมายถึงไม่ให้พูด และธีรพลก็พยักหน้ารับและนั่งลงที่เก้าอี้ข้าง ๆ เต็มสิบ
“ผมก็รู้ว่าอะไรควรไม่ควรหรอกนะ”
ก็ดีแล้ว เป็นแบบนั้นก็ดี
“ว่าแต่....สองคนนั้น...”
อยากจะถามต่ออีกหน่อย และเต็มสิบก็หันมามองหน้าของธีรพล
“ผมก็ไม่อยากยุ่งเรื่องส่วนตัวใครหรอก แต่ในที่ทำงานมันก็ประเจิดประเจ้อเกินไป ยังไงผมจะตักเตือนคนในแผนกของผมแล้วกันนะ คุณก็อย่าเพิ่งแจ้งเรื่องไปแล้วกันถือว่าผมขอร้องได้หรือเปล่า”
ธีรพลไม่ใช่คนแล้งน้ำใจ
ถ้าเป็นเมื่อก่อน ก็อาจจะพูดเรื่องนี้ออกไป แต่ตอนนี้ก็พอคิดได้ว่า เรื่องบางเรื่องพูดไปมันก็ไม่ดีและไม่มีประโยชน์กับใครเลย
“ผมขอยืมโทรศัพท์คุณหน่อยสิ โทรศัพท์ของผมอยู่ข้างบน”
ธีรพลหันไปเปิดกระเป๋าและหยิบโทรศัพท์มาส่งให้เต็มสิบที่มีสีหน้ากังวลใจอย่างเห็นได้ชัด
เต็มสิบกดโทรหารุ่นน้องร่วมแผนกและไม่นานฐาปัตย์ก็รับสาย
“เออ ฐา เอากระเป๋าลงมาให้พี่หน่อย พอดีไม่ได้ขึ้นไป”
“ครับพี่ เดี๋ยวผมเอาลงไปให้”
“เออฐา...มึง.....ยังไงก็...เวลาทำอะไรก็ดูหน้าดูหลังหน่อย กูก็ไม่ได้อยากเข้าไปขัดจังหวะหรอกนะ แต่มึงเล่นจูบกันไม่สนใจใครเลย กูขวัญอ่อน เกิดกูเห็นแล้วตกใจช็อคตายขึ้นมาใครจะรับผิดชอบ”
พูดเหมือนทีเล่นทีจริง แต่เป็นการพูดออกไปตรง ๆ ทำเหมือนพูดเรื่องตลก แต่แค่นี้ก็ชัดเจนมากพอให้ฐาปัตย์เข้าใจ
“ผมขอโทษจริง ๆ ครับพี่ พอดีจังหวะมันได้ ถ้าผมไม่ทำตอนนั้นก็ไม่รู้จะได้ทำอีกหรือเปล่า ยังไงผมขอโทษจริง ๆ นะพี่ ต่อไปจะระมัดระวังมากกว่านี้ไม่ทำให้พี่เต็มตกใจ”
“ได้อย่างนั้นก็ดี เอากระเป๋าลงมาให้กูด้วย รออยู่ข้างล่าง ด่วนเลยนะ คุณธีหิวข้าวมากตอนนี้”
หือ
เกี่ยวอะไรกัน
ธีรพลชี้นิ้วมาที่ตัวเองเหมือนเป็นการตั้งคำถามและเต็มสิบก็มองหน้าของธีรพลยิ้ม ๆ
“ด่วนนะ ตอนนี้คุณธีหิวข้าวมาก ๆ นะมึงอย่าทำให้กูผิดใจกับฝ่ายประชาสัมพันธ์ล่ะ ไม่งั้นไอทีตายห่ายกแก๊งค์แน่”
เต็มสิบยิ้มน้อย ๆ ที่มุมปากและส่งโทรศัพท์คืนธีรพลที่มองหน้าเต็มสิบเหมือนกำลังไม่พอใจกับสิ่งที่เต็มสิบพูดออกมา
“คุณกำลังโมโหหิวใช่มั้ย ผมรู้หรอกน่า”
ไม่ใช่
ไม่เคยโมโหหิว แต่ที่จะโมโหก็เพราะเต็มสิบกำลังทำให้ธีรพลถูกเข้าใจผิดอยู่
“เรื่องที่เจ้าหน้าที่ไอทีจูบกันในห้องเซิร์ฟเวอร์ ผมจะรายงานตามความเป็นจริงแล้วกันนะ”
จะเอาแบบนั้นจริง ๆ เหรอครับคุณธีรพล
“งั้นผมจะรายงานว่ามีเจ้าหน้าที่ไอทีอักษรย่อ ต.จูบหลังมือเจ้าหน้าที่ฝ่ายประชาสัมพันธ์ที่หน้าตาดีที่สุดในบริษัทอักษรย่อ ธ.”
ประเด็นเรื่องนี้ยังคาใจและยังไม่ได้สะสางและเต็มสิบก็พร้อมจะเพิ่มประเด็นคาใจใหม่ ๆ ให้ธีรพลอีกหลาย ๆ เรื่อง
ธีรพลมองหน้าของเต็มสิบแบบหาเรื่องและดูเหมือนจะโกรธจริง ๆ แล้ว เต็มสิบก็เลยยกมือขึ้นสองข้างเข้าหากันทำเป็นรูปหัวใจเพื่อส่งความรักให้ธีรพล
“ซารางเฮโย อปป้าธี ไม่โกรธน้องเต็มจริง ๆ หรอกใช่มั้ยครับ”
ใครทนได้ก็ทนไป แต่ธีรพลไม่คิดจะทน
ส่งยิ้มเย็นยะเยือกให้เต็มสิบและพูดบางอย่างออกมาด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง
“อันนี้ก็ไม่รู้สินะ มันต้องแล้วแต่อารมณ์ของพี่ธีด้วยครับ ถ้าวันไหนเกิดอารมณ์ไม่ดีขึ้นมาก็คงจะได้รู้กัน”
+++
“ผมอยากเล่นกับแตงกวาขอแวะไปเล่นกับแตงกวาที่บ้านคุณหน่อยเดียวไม่ได้หรือไง”
“ไม่”
“ผมขอแวะกินกาแฟที่บ้านคุณสักแก้วแล้วกัน”
“ไม่”
“ผมหิวน้ำ คอแห้งมากเลยเนี่ย”
“ไม่”
“ผมปวดฉี่ ไม่ไหวแล้วววววววว”
“บอกว่าไม่ได้ไงล่ะโว้ยยยยยยยยยยยยย”
เต็มสิบกำลังกอดรัดฟัดเหวี่ยงกับแตงกวาหมาโกลเด้นตัวใหญ่ของธีรพลและธีรพลก็กำลังจะเก็บแก้วกาแฟที่เต็มสิบกินไม่หมดไปล้าง
“ทำไมกินไม่หมด เหลือทิ้งไว้ทำไมตั้งครึ่งแก้ว กินให้หมดเลยนะอยากกินนักไม่ใช่หรือไง”
ก็ช่ายยยยย แต่มันอิ่มแล้วไงคร้าบบบบ
“เอามาให้หน่อย”
แล้วทำไมต้องเอาไปให้ด้วย
“มือไม่มีหยิบเองหรือไง หรือว่าไม่มีขาเดินมาหยิบเอง”
ต่อว่าคนที่ใช้ให้หยิบแก้วกาแฟไปให้แต่คนที่ถูกว่าก็ไม่ได้สนใจธีรพลเลยสักนิด
“ผมเล่นกับแตงกวาอยู่เนี่ย แอร๊กกกกกกก แตงกวา จะฆ่าพี่เต็มเหรอ มานี่เลย ฟัดซะ ฟัดซะมานี่ แตงกวาไอ้หมาดื้อ ขอมือ หวัดดีด้วย ทำไม่เป็นเหรอ ทำไมไม่มีใครสอน โง่ แตงกวาโง่ แตงกวาหน้าโง่ที่ซู้ดดดดดดด เล้ยยยย”
สนุกมากใช่มั้ย เวลานี้คือเวลาเล่นกับหมาเหรอ
ธีรพลไม่เข้าใจว่าทำไมเต็มสิบถึงเป็นคนแบบนี้ ทำไมถึงได้หาข้ออ้างร้อยแปดทำตามใจตัวเองได้ตลอดเวลาและที่น่าโมโหที่สุดคือ สุดท้ายธีรพลก็ต้องจำยอมให้เต็มสิบทำตามใจตัวเองได้ทุกครั้ง แม้กระทั่งกาแฟที่เต็มสิบกินไม่หมดธีรพลก็ต้องเป็นฝ่ายถือแก้วไปส่งให้เต็มสิบกินให้หมด
“ป้อนหน่อย”
ทำไมต้องป้อนด้วยวะ
“ไม่”
ปฏิเสธไปอย่างไร้เยื่อใย แต่เต็มสิบก็ยังพูดจาเอาแต่ใจตัวเองอยู่ดี
“ป้อนหน่อยสิครับ”
“โว้ยยย บอกว่าไม่ไงล่ะ ถือเอาเอง กินเร็ว ๆ จะได้ล้างแก้ว แล้วก็รีบกลับไปได้แล้ว นี่คุณอยู่บ้านผมนานไปแล้วนะ กลับไปซะที ผมจะปิดบ้านนอนแล้ว ง่วง หัดเกรงใจกันบ้าง”
ถึงจะพูดจะบ่นอะไรไป สุดท้ายก็กลับมาเหมือนเดิมอยู่ดี ธีรพลก็เลยได้แต่ถอนหายใจไม่รู้จะทำยังไงเพราะเต็มสิบยังสนุกสนานกับการเล่นกับหมาไม่เลิก
“ก็ป้อนผมซะทีสิครับ”
เออ เอาเลย ตามสบาย อยากทำอะไรก็ทำ
ธีรพลถอนหายใจยาวและจำใจต้องยื่นแก้วให้เต็มสิบกินกาแฟทั้งที่ไม่เต็มใจ
“อาหย่อย ขอบคุณก๊าบบบ คุณธีใจดี”
หมดคำจะพูด
ธีรพลได้แต่เงยหน้าขึ้นและอยากจะขว้างแก้วใส่คนที่ลงไปนอนกอดกับแตงกวาหมาโกลเด้นตัวใหญ่บนพื้น
ไล่ก็ไม่ยอมกลับ พูดไปก็เท่านั้น สุดท้ายธีรพลก็เลยเดินไปล้างแก้วและคว่ำเอาไว้เรียบร้อย ผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดลำลองสำหรับใส่อยู่บ้านแบบสบาย ๆ และล้างหน้าให้สดชื่นขึ้นบ้าง ถอดคอนเทคเลนส์ออกและหยิบแว่นตามาใส่
ไม่รู้จะสร้างภาพไปทำไม เต็มสิบก็เห็นหมดแล้วทุกอย่าง ว่าใช้ชีวิตยังไง อยากจะเอาไปพูดยังไงก็ตามใจ ไม่มีอะไรต้องปิดบัง
ถึงจะพยายามหนีตัวเองยังไง ก็หนีไม่พ้น ธีรพลรู้ตัวเองอยู่เสมอว่าถึงพยายามจะเป็นคนที่ดูดีเพอร์เฟคขนาดไหน สุดท้ายก็เป็นแค่คนธรรมดาคนหนึ่งไม่ได้ดูดีมากไปกว่าใคร ๆ เมื่อกลับมาเป็นตัวของตัวเอง
“นี่คุณเหรอ”
เต็มสิบกำลังยืนดูรูปธีรพลที่ถ่ายกับครอบครัวในชุดครุยรับปริญญา
และธีรพลก็ชะงักนิ่งค้างไปเล็กน้อยกับสิ่งที่เต็มสิบถาม
ไม่ได้โกรธที่ถูกถาม ไม่ว่าใครเห็นแบบนี้ก็คงสงสัย และธีรพลก็ทำเพียงแค่พยักหน้ารับเท่านั้น
“อือ ผมเอง”
อ่อ
“คุณดูเปลี่ยนไปเยอะเหมือนกันนะ”
แน่ล่ะ จะไม่เปลี่ยนไปเยอะได้ยังไง เรียกว่าเปลี่ยนจนน่าตกใจก็ว่าได้
“อือ”
ธีรพลก็แค่ตอบรับ ไม่ได้อธิบายอะไร และเดินไปนั่งบนโซฟาเปิดรายการข่าวประจำวันดู เบื่อจะไล่เต็มสิบให้กลับ ไม่อยากจะเถียงด้วยแล้ว อยากจะกลับตอนไหนก็ตามใจ
เต็มสิบเลิกเล่นกับหมาและเดินมานั่งกับธีรพลบนโซฟา มองหน้าของธีรพลนิ่ง ๆ และธีรพลก็ขยับแว่นสายตาไปมาก่อนจะหันไปมองหน้าของเต็มสิบกลับบ้าง
“มีอะไร คุณอยากรู้อะไรก็ถามมาเลยตรง ๆ ไม่ต้องมองผมแบบนั้นหรอก ผมจะตอบให้ก็ได้ว่าผมทำอะไรมาบ้าง”
ไม่ใช่สิ
ไม่ใช่ว่าทำอะไรมาบ้าง เต็มสิบไม่ได้อยากรู้เรื่องนั้น
“สมัยเรียนผมเคยเล่นบาสแล้วโดนลูกบาสอัดหน้า หน้ากระแทกพื้นโรงยิมอย่างแรง เสียงดังปั้งงงงงงง ในหัวผมนี่ดังวิ๊ง ๆ ตลอดเวลา มันแรงมากเลยนะ โคตรเจ็บเลย ดั้งจมูกผมหัก อาจารย์วิ่งมาดูกันหมด เป็นเรื่องเป็นราวใหญ่โตมาก เพื่อนผมคนที่มันปัดลูกบาสใส่ผม โดนเชิญผู้ปกครอง ที่เห็นนี่ผมก็ทำมาเหมือนกัน ดูดี ๆ สิ จมูกผมมันเบี้ยวคุณเห็นมั้ย”
หมายความว่ายังไง?
ธีรพลไม่รู้ว่าเต็มสิบพูดแบบนี้ทำไม ไม่ถามเรื่องหน้าตาของธีรพลว่าทำอะไรมาบ้าง แต่บอกว่าตัวเองทำอะไรกับหน้ามาบ้าง
“โคตรเจ็บเลย บวมมาก ทรมานด้วย ปวดจนแทบไม่ได้นอน”
“...............”
ธีรพลก็แค่ฟังสิ่งที่เต็มสิบเล่า และเต็มสิบก็เล่าไปหัวเราะไปเหมือนเรื่องที่เกิดขึ้นสมัยเรียนมัธยมเป็นเรื่องตลกมากที่หน้ากระแทกพื้นจนดั้งจมูกหัก
“บอกผมทำไม”
“...................”
ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าบอกทำไม
เต็มสิบพยายามคิดหาเหตุผลว่าทำไมต้องเล่าเรื่องตัวเองให้ธีรพลฟัง แต่ก็คิดไม่ออกว่าทำไม
“หน้าคุณเปลี่ยนไปนะ แต่ที่ไม่เปลี่ยนเลย คือแววตาของคุณที่ยังเหมือนเดิม”
“แววตาผมมันทำไม”
ก็ไม่ทำไม
“ไม่รู้สิ ผมไม่รู้ว่าทำไมตาคุณเศร้าจัง ทั้งก่อนหน้านี้ หรือแม้กระทั่งตอนนี้ ผมก็ไม่รู้คุณเหมือนกันนะ ผมถึงได้ถามคุณอยู่นี่ไงว่าทำไมตาคุณถึงเศร้า”
ทำไมงั้นเหรอ
ธีรพลก็แค่เมินหน้าหนีและไม่ตอบสิ่งที่เต็มสิบถามและเต็มสิบก็เลยแตะฝ่ามือเบา ๆ ที่ข้างแก้มของธีรพลและบังคับให้หันมามองหน้ากันตรง ๆ
ก็แค่อยากรู้เหตุผลว่าทำไม
อยากรู้เหตุผลจริง ๆ ว่าเพราะอะไรธีรพลถึงต้องเปลี่ยนแปลงตัวเองขนาดนี้ และธีรพลก็จ้องหน้าของเต็มสิบกลับนิ่ง ๆ
จ้องลึกเข้าไปในดวงตาคู่นั้นของเต็มสิบบ้าง
อยากรู้อะไร อยากถามอะไรอีก อยากได้อะไร
“..............”
สิ่งที่เต็มสิบเห็นคือความเศร้าสร้อยในดวงตาคู่นั้นที่ยังเหมือนเดิม ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปตามหน้าตา ความกลัว ความไม่มั่นใจในตัวเอง ความเจ็บปวดจากลึกสุดของหัวใจของธีรพลที่แสดงออกมาทางแววตาที่ธีรพลปกปิดเอาไว้ไม่มิด
ไม่อยากมองผ่านดวงตาคู่นี้ผ่านกรอบแว่นสายตาอีกแล้ว
เต็มสิบดึงแว่นตาของธีรพลออก และขยับหน้าเข้ามาใกล้อีกนิด และธีรพลก็เริ่มขยับตัวหนี แต่ต้องหันหน้ากลับมามองหน้าของเต็มสิบอีกครั้งเพราะเต็มสิบแตะฝ่ามือที่ข้างแก้มของธีรพลเอาไว้และบังคับให้หันมามองหน้ากันตรง ๆ
“.............”
“.............”
“.............”
รู้สึกตัวอีกที ริมฝีปากของเราก็แตะสัมผัสกันแล้ว และธีรพลก็ได้แต่นิ่งงันกับสิ่งที่เกิดขึ้น
ไม่ได้หนี แต่หลับตาลงอย่างช้า ๆ และรับสัมผัสที่เต็มสิบมอบให้เงียบ ๆ
ไม่คิดถึงเหตุผล หยุดคิดทุกสิ่งทุกอย่าง และปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปอย่างนั้น
ความรู้สึกอบอุ่นที่ส่งผ่านมาจากริมฝีปากคู่นั้นไหลบ่าเข้าไปภายในหัวใจที่เคยมีแต่ความหวาดกลัวของธีรพลอย่างช้า ๆ
สิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดธีรพลและเต็มสิบไม่รู้ว่าเกิดขึ้นเพราะอะไร แต่เมื่อเกิดขึ้นแล้วก็ไม่อยากคิดหาเหตุผลจากการกระทำของตัวเองเลยสักนิดเดียว
TBC.