เมาครั้งที่ 3
ห้องทำงานของผมภายในบ้านทรงสไตล์โมเดิร์นคือห้องกระจกใสติดกับสวนดอกไม้ที่พี่ต้นเป็นคนลงมือปลูกและจัดเองทั้งหมด มีบ้างที่จะใช้งานไอ้จุ้นเวลามันแวะเข้ามา บรรยากาศร่มรื่นเพราะมีร่มเงาของต้นไม้ใหญ่ช่วยบดบังแสงแดด เครื่องคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะสเปคสูงถูกตั้งอยู่มุมหนึ่งของห้อง โซฟาขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่พร้อมด้วยโต๊ะกระจกขนาดเล็กวางอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลกัน ชั้นวางของติดผนังเต็มไปด้วยโมเดลเกมต่างๆ ทั้งที่เป็นของบริษัทและที่เก็บสะสมเอาไว้เอง มีจอโทรทัศน์ติดผนังขนาดห้าสิบนิ้วอีกด้วย เครื่องเล่นเกม Play Station 4 ก็ถูกเก็บอยู่ในตู้อย่างเรียบร้อย แผ่นเกม Final Fantasy ทุกภาคถูกเก็บแยกไว้รวมกันอีกชั้นหนึ่ง ดูๆ ไปไม่มีเค้าของห้องทำงานเลยสักนิดเดียว เหมือนห้องของสะสมบวกผ่อนคลายมากว่า
ผมพาตัวเองพร้อมกับแก้วกาแฟและแซนวิชที่เป็นอาหารเช้าเข้ามาในห้องทำงานแล้วทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟา ไอ้บับเบิ้ลนอนหงายท้องรับลมจากเครื่องปรับอากาศอยู่แทบเท้า สีหน้าบ่งบอกได้ว่ากำลังฟินมากแค่ไหน ด้วยความหมั่นไส้เลยแอบเอาเท่าเขี่ยตัวมันเล่น หมายักษ์เหลือบตาสีน้ำตาลมองกันก่อนจะทำเมินใส่ มันน่านัก!
"เดี๋ยวนี้เมินกันเหรอ"
ผมถามก่อนจะใช้เท้าขยี้พุงนิ่มๆ นั้นเบาๆ เพื่อแกล้งมัน แต่กับต้องผิดหวังเมื่อบับเบิ้ลนอนนิ่งไร้ปฏิกิริยาตอบรับ... หลับง่ายฉิบหาย
"ชีวิตแม่งน่าอิจฉา กินแล้วก็นอน"
ผมคลี่ยิ้มก่อนจะส่ายหัวไปมากับชีวิตแสนสบายของเจ้าซามอยด์ตัวเขื่องแล้วเริ่มลงมือกินอาหารเช้าโดยไม่ลืมเปิดทีวีรับฟังข่าวสารบ้านเมือง เมื่อจัดการทุกอย่างเรียบร้อยการทำงานของวันนี้จะเริ่มขึ้นอีกครั้ง
ตอนนี้ทางบริษัทมีการวางแผนจะตีตลาดเกมโทรศัพท์ เพราะผู้คนส่วนใหญ่จะใช้เวลาอยู่กับเครื่องมือสื่อสารมากกว่าคอมพิวเตอร์กันแล้วในยุคสมัยนี้ คอนเซ็ปที่วางไว้เป็นโลกอนาคตในอีกหนึ่งร้อยปีข้างหน้า เป็นแนวต่อสู้เก็บเลเวลทำภารกิจอะไรทำนองนั้น และที่พิเศษสุดคือจะมีการจัดการประกวดออกแบบตัวละครจากนักเรียนนักศึกษาและบุคคลทั่วไปอีกด้วย ตอนนี้ฝ่ายคาเร็คเตอร์ดีไซน์เลยมีหน้าที่ตั้งโจทย์งาน ฝ่ายกราฟิกต้องลงมือวางแผนปรึกษาการออกแบบฉากเกมและหน้าจอคำสั่งเกม
งานของผมวันนี้คือทบทวนผลการประชุมและวางแผนงานคร่าวๆ ให้กับทีมออกแบบกราฟิก แล้ววันรุ่งขึ้นถึงจะหอบเอกสารไปปรึกษาและแจกแจงรายละเอียดให้กับลูกทีม แบ่งสัดส่วนหน้าที่ตามแต่ละคนถนัดเพื่อให้ได้งานที่มีประสิทธิภาพที่สุด
Rrrrr
เสียงริงโทนทำให้ผมชะงักมือและละสายตาจากคอมพิวเตอร์ หน้าจอขนาดเล็กปรากฏชื่อรุ่นพี่ที่เป็นอาจารย์สอนอยู่ที่มหา'ลัย ผมขมวดคิ้วเล็กน้อยเพราะแปลกใจ ร้อยวันพันปีจะติดต่อกัน คงมีธุระจริงๆ มือเรียวเอื้อมไปกดปุ่มตอบรับแล้วแนบโทรศัพท์ลงกับหูทันที
"สวัสดีครับพี่ปัน"
'เออ สวัสดี เป็นไงบ้างวะข้าว สบายดีปะ'
"สบายดีๆ แล้วพี่เป็นไงบ้างวะ"
'เรื่อยๆ ว่ะ เออ เดือนหน้าพี่แต่งงานนะเว้ย อย่าลืมมา'
"โห ยินดีด้วยๆ เอาการ์ดเชิญมาแล้วผมจะไป"
ผมพูดน้ำเสียงติดตลก แต่จริงๆ แล้วคือเป็นธรรมเนียมของบ้านไปแล้วว่าไม่มีการ์ดเชิญจะไม่ไปร่วมงาน เพราะถือว่าเจ้าของงานเขาไม่อยากให้เราไป
'เออๆ จะเอาไปให้ถึงบ้านเลย อย่าหนีแล้วกัน'
ปลายสายส่งเสียงขู่มาแบบไม่จริงจังนักเลยพากันหัวเราะไปซะอย่างนั้น อยากจะคุยเล่นด้วยอยู่หรอกแต่งานผมล้นมือเกินไปเลยต้องชักชวนอีกคนเข้าสู่จุดประสงค์ที่แท้จริงสักที
"โทรมานี่มีธุระมากกว่าจะบอกเรื่องแต่งงานใช่ไหม"
'รู้ทันว่ะ งั้นพูดแล้วกัน แกพอจะมีเวลาว่างวันจันทร์ไหม'
"หือ ทำไมเหรอพี่ปัน"
'เออ เอาตรงๆ เลยแล้วกัน พอดีว่าอาจารย์สอนวิชาออกแบบตัวละครรถชนว่ะ อาการหนัก หาคนมารับหน้าที่แทนไม่ทัน เลยอยากขอให้แกช่วยมาเป็นอาจารย์พิเศษได้ไหม'
"ห๊ะ ผมเนี่ยนะพี่ปัน ก็ได้อยู่หรอก แต่ว่าตารางสอนมีวันไหนบ้าง"
ถามไปด้วยความตกใจ เพราะไม่เคยมีความคิดจะไปสอนใครเลยแม้แต่นิดเดียว แต่พอคิดว่าการได้เจอรุ่นน้องอาจจะสนุกเลยตอบรับแบบอ้อมๆ ไป มันสามารถเป็นข้ออ้างกับพี่ต้นให้ผมได้ออกไปดูเดือนดูตะวันข้างนอกบ้าง ดีกว่าอุดอู้อยู่ในบ้านทั้งปีทั้งชาติ
'สบายๆ อัดเต็มที่แค่วันจันทร์วันเดียว สามเซค เซคละสามชั่วโมง'
ผมตาเหลือกเมื่อได้ฟังพี่ปันพูดจบ ตรงไหนที่เขาเรียกว่าสบายวะ วันหนึ่งสอนสามเซคนี่แทบทรุด จะได้กับบ้านกี่โมงล่ะคุณเอ้ย
"โห สบายบ้าอะไร สาหัสมาก แล้วเวลาล่ะพี่"
บ่นเสียงไม่จริงจังมากนักจนได้รับเสียงหัวเราะมาจากปลายสาย อยากลอดหัวไปกระทืบมันนักเชียว เห็นความทุกข์ของคนอื่นเป็นเรื่องสนุกของตัวเองตลอด
'เดี๋ยวส่งข้อมูลให้ทางไลน์ รออ่านนะเว้ย'
"เออๆ ได้"
หลังจากนั่นไม่ถึงนาที แจ้งเตือนไลน์ก็ดังขึ้น ผมรีบขอเวลานอกจากพี่ปันแล้วเปิดดูข้อความทันที
'วิชาออกแบบตัวละคร CD138
วันจันทร์
เซคแรก 08:00 - 11:00
เซคสอง 13:00 - 16:00
เซคสาม 17:00 - 20:00'
"พี่ปัน ยังอยู่ปะวะ"
ผมแนบโทรศัพท์ลงกับหูอีกครั้งเมื่ออ่านรายละเอียดจบ ถือว่ายอมรับเรื่องเวลาได้ และไม่มีปัญหาในการเดินทางเพราะสามารถกลับไปนอนคอนโดได้อย่างสบายใจ
'เออ อยู่ๆ เป็นไงบ้างวะ พอไหวปะ'
เสียงปลายสายนี่ออกอาการลุ้นจนสามารถเดาสีหน้าได้เลย มันต้องตลกมากแน่ๆ
"โอเค ผมรับงานนี้ เปิดเทอมเมื่อไหร่ครับ"
'โอย ขอบคุณแกมากเว้ยไอ้ข้าว เปิดเทอมอาทิตย์หน้า เรื่องเงินเดือนก็ตามอัตราที่รู้ๆ กันนะเว้ย'
"ครับๆ"
หลังจากนั้นเราก็คุยรายละเอียดกันอีกเล็กน้อยก่อนผมจะขอวางสายเพราะต้องจัดการเคลียร์งานหลักของตัวเองให้เสร็จสักที ไม่อยากให้พี่ต้นโวยวายเรื่องทำงานช้า... ปกติก็ส่งงานตรงเวลานั่นล่ะ แต่ช่วงนี้งานเยอะไปหน่อยเลยกลัวจะทำไม่ทัน
เวลาล่วงเลยผ่านเที่ยงวันมาแล้วโดยที่ลืมสนใจกินข้าวไปเลย พอเสร็จงานเท่านั้นล่ะเสียงท้องดังโครกครากประท้วงให้หาอะไรยัดลงท้องทันที ผมลุกขึ้นยืดเส้นยืดสายก่อนจะออกจากห้องตรงไปยังโต๊ะอาหารทันที แม่บ้านจัดเตรียมทุกอย่างรอไว้หมดแล้วเหมือนเช่นทุกๆ วัน เหงาไหมล่ะนั่งกินข้าวคนเดียวเนี่ย เฮ้อ
"ตอนบ่ายคุณหนูจะออกไปไหนหรือเปล่าคะ"
พี่ส้มเอ่ยถามกันพร้อมด้วยส่งยิ้มหวานมาให้ ผมพยักหน้าเบาๆ ในขณะที่เคี้ยวข้าวเต็มปาก ก็กะว่าจะออกไปเดินห้างผ่อนคลายสักหน่อย และเผื่อเจอไอเดียแปลกใหม่ที่เป็นประโยชน์กับเกมตัวใหม่
"ให้ลุงทัชเตรียมรถเลยเนอะ"
"ครับ เตรียมได้เลย"
ผมตอบก่อนจะส่งรอยยิ้มสดใสไปให้แม่บ้านแล้วก้มหน้าก้มตากินข้าวต่อจนเสร็จเรียบร้อย แล้วพาตัวเองไปหยิบกระเป๋าตังค์ โทรศัพท์เดินออกจากบ้าน ลุงทัชสางกุญแจมาให้กัน ผมเอ่ยขอบคุณเขาแล้วตรงไปยังรถทันที
ท้องถนนในช่วงเวลาบ่ายสองไม่ได้แน่นขนัดเท่าไหร่ ถือว่าเดินทางคล่องตัวดี อันที่จริงแล้วสิ่งที่ต้องทำอย่างแรกก่อนออกจากบ้านคือโทรรายงานพี่ต้น แต่วันนี้ขอเป็นเด็กเกเรสักหน่อยแล้วกัน เพราะขี้เกียจกะเวลากลับบ้านที่แน่ชัดน่ะ ใครมันจะไปรู้ว่าตัวเองจะใช้เวลาเดินเตร็ดเตร่เท่าไหร่
ผมถึงห้างสรรพสินค้าในเวลาบ่ายสามไม่ขาดไม่เกิน ผู้คนดูบางตาอย่างเห็นได้ชัด แต่แบบนี้ก็ดีแล้วเพราะไม่มีเสียงดังหนวกหูและสบายตามากกว่าเป็นไหนๆ
สองขาพาผมมาหยุดที่หน้าร้านหนังสือขนาดใหญ่ นอกจากจะเป็นคนชอบเล่นเกมแล้วยังชอบอ่านหนังสือหลากหลายแนวอีกด้วย ไม่ว่าจะเป็นนิยายแนวสืบสวนสอบสวน วรรณกรรมเยาวชน หนังสือให้ความรู้ ตำราทำอาหาร บลาๆ จะให้สาธยายจนหมดเกรงว่าหนึ่งหน้ากระดาษคงไม่พอ และอันดับแรกที่ต้องทำเมื่อมาเยือนร้านหนังสือก็คือ สำรวจหนังสือหมวดโปรแกรมคอมพิวเตอร์ว่ามีอะไรออกใหม่บ้าง
ยังไม่เคยบอกสินะว่าพี่ต้นเรียนจบวิศวะคอมพิวเตอร์ บางครั้งเขายังลงมาช่วยฝ่ายโปรแกรมทำงานเลย ช่างเป็นมนุษย์ที่มีความสามารถสุดๆ และเขายังเคยผันตัวไปเขียนหนังสือโปรแกรมภาษาซีให้สำนักพิมพ์ของเพื่อนอีกด้วย ก็นั่นล่ะน้าความสามารถของคนที่ได้เกียรตินิยมอันดับหนึ่ง น่าอิจฉาเป็นบ้า สงสัยจะมีสมองเป็นทองคำเพราะมันดีมากจนล้ำค่า
ผมเดินดูหนังสือไปเรื่อยๆ ได้ติดมืออยู่สองสามเล่มที่น่าสนใจ จนสายตาไปสะดุดเข้ากับใบหน้าที่คุ้นเคยในระยะเวลาสั้นๆ แฮงค์นั่นเอง ขายาวพาตัวเองมาจนหยุดอยู่ข้างๆ เขา ดูเหมือนน้องไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่ามีใครจ้องมองอยู่ นี่ถ้ามีคนคิดจะลอบฆ่าคงทำได้อย่างง่ายดาย
ความรู้สึกแรกที่ได้เข้าใกล้แฮงค์อีกครั้งคือหอม ตัวน้องหอมมาก ถ้าจำไม่ผิดมันคือกลิ่นน้ำหอมยี่ห้อ Cartier Roadster ที่กลิ่นมิ้นท์หอมเย็น ผมชอบว่ะ ชอบกลิ่นนี้ ยิ่งมาอยู่บนตัวผู้ชายอย่างเขายิ่งทำให้ดูมีเสน่ห์มากขึ้น เป็นบุคคลที่น่าอิจฉาอีกแล้ว
"หวัดดี"
ผมส่งเสียงสดใสทักทายเขาไป แต่เจ้าตัวยังเอาแต่ก้มหน้าก้มตาอ่านหนังสืออะไรบางอย่างในมือรางกับไม่ได้ยินอะไรรอบตัว ผมเบ้ปากเล็กน้อยก่อนพยายามทำแบบเดิมอีกครั้ง ถ้ายังไม่รู้ตัวจะยกมือตบหัวแล้วนะเว้ย ข้าวจะไม่ทน!
"แฮงค์!"
คราวนี้เรียกชื่อพร้อมกับเพิ่มระดับเสียงขึ้นมาอีกเล็กน้อย ไม่สามารถเสียงดังเกินไปในร้านหนังสือได้เลยต้องพึ่งการสะกิดต้นแขนร่างสูงเพิ่ม... จะบอกว่าน่าอิจฉาเขาจริงๆ นะ ตัวสูงพอๆ กับพี่ต้นเลยว่ะ
แฮงค์สะดุ้งเล็กน้อยก่อนจะหันมาสบตากัน ในตอนนี้เองที่ดวงตาคมเบิกกว้างแล้วทำหนังสือเกือบหลุดมือเลยรีบคว้าเป็นการใหญ่ คือไม่ค่อยเข้าใจว่าทำไมต้องตกใจเหมือนเห็นผีด้วย หรือว่าชุดที่ผมใส่มันจะดูแย่เกินไป แค่เสื้อยืดกับกางเกงขาสั้นคีบเตะแค่นั้นเอง แต่น้องสิจัดเต็มตั้งแต่หัวจรดเท้าหล่อเนี้ยบเหมือนพาสาวมาออกเดทเลยว่ะ
"ตกใจอะไรขนาดนั้น"
ผมถามเขาที่หันมายิ้มแหยๆ ให้หลังจากคว้าหนังสือกลับสู่อุ้งมือได้สำเร็จ ดวงตาคมกรอกไปทางซ้ายทีทางขวาทีเหมือนกลัวใครมาเห็นเข้า... หรือหนีสาวๆ มาว่ะ ได้แต่คิดแล้วก็สงสัย
"ไม่นึกว่าจะเจอพี่ข้าวที่นี่ไง เลยตกใจนิดหน่อย"
"เหรอวะ แล้วนี่มากับใครแต่งตัวซะหล่อเชียว มาเดทเหรอ"
ผมเอ่ยแซวด้วยน้ำเสียงหยอกล้อ แต่คนฟังกลับทำหน้าตึงใส่แล้วส่ายหัวเป็นเชิงปฏิเสธ จะว่าไปก็ไม่เห็นมีใครคนไหนทำท่าทีเหมือนรู้จักแฮงค์เลยนี่หว่า หรือจะมาคนเดียวเหมือนกัน
"เปล่าพี่ มากับไอ้กันย์ เอ่อ... เพื่อนน่ะครับ แต่ไม่รู้ว่ามันหายหัวไปไหนแล้ว"
แฮงค์ส่งยิ้มให้เล็กน้อยซึ่งผมก็พยักหน้ารับคำตอบนั้น บ่อยครั้งเหมือนกันที่เผลอทำอะไรตามใจตัวเองเพลินๆ แล้วเพื่อนหายหัวโดนไม่บอกกล่าว หาไม่เจอไม่เท่าไหร่ แต่เสือกไม่รับโทรศัพท์ด้วยนี่... น่ากระทืบ
"โดนทิ้งหรือทิ้งเขามาล่ะ"
ผมถามเสียงกลั้วหัวเราะก่อนจะแอบเหลือบมองหนังสือในมือของแฮงค์ มันเป็นหนังสือเกี่ยวกับการทำค็อกเทล สงสัยจะมาหาสูตรแปลกๆ ไปทำที่ร้านล่ะมั้ง พอละสายตากลับขึ้นมามองใบหน้าหล่อนั่นอีกครั้งก็ต้องแปลกใจเพราะเพิ่งสังเกตว่าตรงหางคิ้วของเขามีพลาสเตอร์สีใสแปะอยู่ ไปโดนอะไรมาวะ
คนที่เอาแต่คอยืดคอยาวมองหาเพื่อนกลับมาสงบอีกครั้งเมื่อรับรู้ได้มาตัวเองโดนจ้องอยู่ คิ้วเรียวเลิกขึ้นเป็นเชิงถามว่ามีอะไรหรือเปล่าก่อนจะได้ยินเสียงซี้ดปาก คงเจ็บแผลล่ะมั้ง
"หางคิ้วแตกเหรอ ไปโดนอะไรมา"
ถามออกไปด้วยความอยากรู้ว่าแฮงค์ไปทำอะไรมา แอบหวังเล็กๆ ว่าเขาคงไม่ได้มีเรื่องชกต่อยที่ไหน เพราะไม่ได้เจอกันแค่สองสามวันผ่านไปเอง
"เป็นห่วงเหรอครับ ~"
ถามกลับมาด้วยน้ำเสียงทะเล้นจนผมหมั่นไส้เลยเอาสันหนังสือที่ถืออยู่เคาะหัวคนตัวสูงไปหนึ่งครั้งแล้วยักคิ้วกวนให้แถมท้าย แฮงค์เบ้ปากใส่กันเล็กน้อยแล้วยกมือขึ้นลูบตรงตำแหน่งที่เพิ่งโดนทำร้ายไป มันน่าโดนอีกสักทีไหมเนี่ย
"จะให้ตอบตามความจริงหรือโกหก"
ผมถามกลับไปแต่ไม่ได้มองหน้าคู่สนทนาเพราะสายตาดันเหลือบไปเจอหนังสือจำพวกออกแบบที่อยู่อีกด้านหนึ่ง
"มีงี้ด้วย งั้นเอาตามความจริงแล้วกัน"
"อยากรู้เลยถาม จะตอบได้ยัง"
ผมเหลือบสายตามองคนด้านข้างก่อนจะกลับมาให้ความสนใจหนังสือเล่มตรงหน้า อีกหนึ่งอาทิตย์ก็ไปสอนแล้วไม่รู้ว่าต้องเตรียมตัวยังไงบ้าง เอกสารการสอนทั้งหมดจะถูกพี่ปันส่งเมล์ให้เย็นนี้
"นึกว่าเป็นห่วงกันซะอีก เสียใจจัง"
น้ำเสียงที่เคยร่าเริงกับอ่อยลงจนผมต้องหันไปมอง ใบหน้าเปื้อนยิ้มดูหมองลงเช่นเดียวกับแววตา นี่กำลังแสดงละครหรือเปล่าวะ ทำไมดูน่าสงสารขนาดนี้เนี่ย
"เว่อร์น่า แล้วตกลงไปโดนอะไรมา"
"ขวดซ้อมโยนตกใส่น่ะครับ"
แฮงค์ตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบก่อนจะยกมือข้างที่ว่างขึ้นลูบตำแหน่งแผลเบาๆ ปากสีส้มเม้มเข้าหากันแน่นคงจะเจ็บน่าดู แต่ผมสงสัยคนต้องขมวดคิ้วว่าไอ้ขวดซ้อมโยนที่เขาบอกมันคืออะไร
"คืออะไร"
ผมถามกลับไปหลังจากตัดสินใจหยิบหนังสือว่าด้วยเรื่องการออกแบบตัวละครและฉากต่างๆ มาถือไว้ ถึงมันจะเป็นเพียงสำหรับผู้เริ่มต้นก็เถอะ คนอย่างผมไม่จำเป็นต้องใช้มันด้วยซ้ำ แต่เตรียมตัวไว้หน่อยคงไม่เสียหาย
"อ่า... ขวดพลาสติกน่ะครับ หนักๆ หน่อย มันใช้ซ้อมโยนแทนกระบอกเชคเกอร์หรือขวดเหล้าจริงน่ะครับ พอดีว่าพี่ที่ร้านเขาอยากให้ผมลองลงประกวดบาร์เทนเดอร์น่ะ"
อ๋อ... พอจะนึกถาพออกเพราะเคยดูคลิปพวกนี้อยู่เหมือนกัน ชงเหล้าแล้วโยนขวดไปทางนั้นทางนี้ เอาจริงๆ โคตรน่าหวาดเสียว ถ้าพลาดแล้วขวดหลุดมือคือไม่เสียหายก็เจ็บตัวกันไปข้างล่ะ ดูอย่างตอนนี้ดิ แฮงค์ก็ได้แผลไปเชยชมแล้ว
"อ๋อ ก็เลยหัดโยนว่างั้น เออ ระวังๆ หน่อยแล้วกัน พี่ไปล่ะนะ"
ผมบอกก่อนจะส่งยิ้มให้แล้วหมุนตัวเดินออกมา เพราะกลัวว่าพี่ต้นจะโทรมาตามกันแล้วความจะแตกว่าแอบออกมาข้างนอกแล้วไม่รายงาน แต่ไอ้คนที่นึกว่าจะไปหาเพื่อนต่อกลับเดินตามกันมาซะอย่างนั้น อะไรของเขาอีกล่ะเนี่ย
ผมส่งหนังสือและบัตรสมาชิกให้กับพนักงานแคชเชียร์และรอจ่ายเงิน ส่วนแฮงค์ยืนต่อแถวอยู่ด้านหลังกัน
"พี่ข้าว รีบกลับไหมครับ"
เสียงทุ้มเอ่ยถามกัน ผมหันไปสบตาเขาก่อนจะยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดูเวลา จริงๆ ก็รีบนั่นล่ะ แต่อยากเดินซื้อขนมอีกสักหน่อยควรตอบว่าอะไรดีวะ รีบหรือไม่รีบ
"ก็... ไม่รีบหรอก มีอะไรหรือเปล่า"
ไม่รู้ว่าทำไมเลือกตอบไปแบบนั้น คงเพราะคุยกับแฮงค์แล้วสนุกดีล่ะมั้งเลยเลือกที่จะอยู่ต่ออีกหน่อย นานๆ ทีจะได้เจอรุ่นน้องบ้างอะไรบ้าง ปล่อยแก่หน่อยก็ดีเหมือนกัน
ผมหันไปจ่ายเงินและรับหนังสือกลับมาถือไว้แล้วขยับมายืนรอคำตอบด้านข้าง แฮงค์เข้าไปแทนที่ตรงนั้น แล้ววางหนังสือให้พนักงานคิดเงิน
"จะชวนไปกินบิงซูเป็นเพื่อนหน่อยน่ะครับ พอดีไอ้กันย์มันหนีกลับบ้านไปแล้ว"
แฮงค์ทำหน้าจ๋อยแต่แววตานี่ไม่ได้เศร้าเลยสักนิด ถ้ามองไม่ผิดเหมือนดีใจมากกว่าที่โดนเพื่อนทิ้งล่ะมั้ง ไอ้เด็กนี่ก็แปลกคน เจอกันทีไรต้องแสดงท่าทีดีใจตลอดเลย
"บิงซูเมล่อนปะ พี่อยากกินอยู่พอดี"
ผมก็ใจง่ายว่ะ น้องชวนไปไหนก็ไปซะอย่างนั้น ก็แบบ... อยากกินบิงซูอยู่พอดีแต่จะไปคนเดียวก็ไม่ไหวปะวะ มีเพื่อนกินทั้งทีเลยไม่ปล่อยโอกาสให้หลุดลอย
"เฮ้ย อยากกินเหมือนกัน ตกลงว่าไปนะ?"
แฮงค์คลี่ยิ้มกว้างให้กัน ผมพยักหน้ารับก่อนจะส่งสัญญาณให้เขาจ่ายเงินและรับหนังสือจากพนักงานมาสักที เชื่อไหมว่าเธอเอาแต่มองหน้าไอ้หล่อนี่แล้วยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ ดีนะที่ไม่มีคนต่อคิว ไม่อย่างนั้นคงโดนด่ากันไปหมดแน่ๆ
เราเดินออกจากร้านหนังสือแล้วตรงไปที่ร้านบิงซูเจ้าดังทันที ต้องยืนรอคิวอีกสองคิวและจากที่คำนวณเวลาคร่าวๆ แล้วคงจ่องยกหูโทรหาพี่ต้นอย่างช่วยไม่ได้ ไม่อยากมีปัญหากับเขา เดี๋ยวโดนกักบริเวณจะเป็นเรื่องใหญ่อีก ตัดสินใจได้แบบนั้นก็ล้วงโทรศัพท์ออกจากกระเป๋ากางเกงแล้วจิ้มรายชื่อที่ต้องการทันที รอสายไม่นานนักก็ได้ยินเสียงทุ้มต่ำดังลอดออกมา
"พี่ต้น..."
'ว่าไงเรา ทำไมเสียงดังจัง'
พี่ต้นพูดน้ำเสียงราบเรียบแต่พอจะเดาได้ว่าเขาเริ่มตะหงิดที่เสียงฝั่งผมดังเกินควรแล้วล่ะ คงไม่ต้องเกริ่นอะไรมากหรอก โดนจับได้แล้วแน่ๆ
"ออกมาห้างนะ ตอนนี้กำลังรอคิวกินบิงซู"
ตอบเขาไปหมดแล้วเหลือแต่ว่าอีกฝ่ายจะว่ายังไง บางครั้งก็ปล่อย แต่บางครั้งจะเป็นจะตายขึ้นมา แค่น้องชายวัยเบญจเพศออกมาเที่ยวเล่นนอกบ้านนี่มันน่าเป็นห่วงขนาดนั้นเลยเหรอวะ
'ไม่บอกตอนกลับถึงบ้านเลยล่ะ'
คือ... งานเข้าเต็มๆ ถ้าประชดกันแบบนี้มีหวังโดนซักฟอกหมดเปลือกแน่ๆ ผมได้แต่เบะปากลงเป็นเส้นโค้งแล้วมองหน้าแฮงค์ที่กำลังเลิกคิ้วขึ้นสูง เหมือนอยากถามว่ามีอะไรหรือเปล่าแต่ยั้งปากไว้ทัน
"ขอโทษครับพี่ต้น แค่ออกมาผ่อนคลายเอง"
ผมพูดด้วยน้ำเสียงออดอ้อนก่อนจะเดินตามแฮงค์เข้าไปในร้านเมื่อโดนเรียกคิว โยนความรับผิดชอบในการสั่งบิงซูให้เขาทั้งหมดเพราะยังคุยกับพี่ต้นไม่จบ ชีวิตหนอชีวิต ถ้าเกิดเป็นผู้หญิงคงถูกล่ามโซ่ไปแล้วจริงๆ
'อืม วันนี้พี่กลับดึกนะ'
"ทำไม"
'มีธุระ'
ยิ่งตอบสั้นมาแค่ไหนยิ่งมีพิรุธเท่านั้น แถมน้ำเสียงยังสั่นจนผมเริ่มหวั่นใจ กลัวว่าธุระนั้นจะเกี่ยวกับพี่เต้ย
"บอกได้ไหมว่าธุระอะไร"
ผมถามด้วยน้ำเสียงจริงจัง ไม่รู้ว่าตัวเองกำลังทำสีหน้าแบบไหนอยู่ตอนนี้ แต่ดูจากท่าทางที่แฮงค์มองจ้องกันแล้วคงเครียดน่าดู เผลอๆ หัวคิ้วคงผูกกันเป็นโบว์ได้
'กลับไปจะเล่าให้ฟัง แค่นี้นะ ถึงบ้านเมื่อไหร่ก็ไลน์มาบอกพี่ด้วยแล้วกัน'
สายถูกตัดไปแล้วพร้อมกับความสงสัยที่มีอยู่เต็มสมอง ผมวางโทรศัพท์ลงแล้วเผลอถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ลางสังหรณ์มันบอกว่าพี่ต้นต้องไปหาพี่เต้ยแน่ๆ แต่สถานที่นั้น... บ้าเอ้ย ใครจะไปรู้วะ แล้วจะให้แดกบิงซูอร่อยได้ยังไง
แฮงค์คงสัมผัสได้ถึงบรรยากาศอึมครึมที่กำลังโรยตัวอยู่รอบๆ เขาใช้ปลายนิ้วแตะลงบนหลังมือของผมเบาๆ ราวกับต้องการปลอบกัน ดวงตาคมสบมามองทำให้ผมต้องส่งยิ้มบางกลับไป แต่การฝืนตัวเองก็ตบตาใครไม่ได้หรอก เฮ้อ
"ทะเลาะกับพี่ต้นเหรอ"
น้ำเสียงทุ้มเอ่ยถามกันด้วยน้ำเสียงเจือความเป็นห่วงที่สัมผัสได้ไม่ยาก เขาผละมือออกไปก่อนจะลูบแก้มตัวเองไปมา คงไม่รู้จะปลอบกันยังไงล่ะมั้ง เพราะไม่รู้ว่าผมกำลังเครียดอะไร เพราะจากที่ร่าเริงกลายเป็นเงียบแบบฉับพลัน
"เปล่า แต่วันนี้พี่ต้นจะกลับช้าเพราะติดธุระ"
"อ๋อ..."
"พี่มีลางสังหรณ์ว่าพี่ต้นจะไปหาพี่เต้ยว่ะ ควรทำยังไงดี"
"ใจเย็นๆ นะพี่ข้าว มันอาจจะไม่เป็นแบบที่คิดก็ได้ แต่ถ้าเกิดขึ้นจริง ผมเชื่อว่าพี่ต้นเขาคงตัดสินใจดีแล้ว"
แฮงค์ส่งรอยยิ้มบางมาให้กันหลังพูดจบ ผมลอบถอนหายใจแล้วพยักหน้ารับความคิดเห็นของน้องไว้ ก็จริงอย่างที่เขาว่า พี่ต้นคงไตร่ตรองดีแล้วก่อนจะลงมือทำอะไร ไม่มีผิดพลาดแน่ๆ และผมควรเชื่อใจพี่ชาย
"หาเรื่องสนุกๆ มาคุยกันดีกว่าครับ จะได้ผ่อนคลายเนอะ"
แฮงค์ดูพยายามอย่างมาที่จะช่วยฉุดอารมณ์ของผมขึ้นจากเหว เด็กคนนี้พึ่งพาได้นะถึงจะเป็นส่วนน้อยก็ตาม
"โอเคๆ"
ผมตอบรับก่อนจะคลี่ยิ้มบางส่งให้แล้วทิ้งแผ่นหลังพิงกับพนักเก้าอี้บุนวม ได้นั่งท่านี้แล้วรู้สึกผ่อนคลายขึ้นเยอะ ลอบมองสำรวจคนตรงหน้าอีกครั้งก็ได้แต่ชื่นชมในความเป็นตัวเขา จะมุมมองไหนก็ดูดี น่าอิจฉาได้เสมอต้นเสมอปลายจริงๆ
"พี่ข้าว... มีแฟนหรือยัง"
แฮงค์ถามไม่เต็มเสียงนักแต่ผมได้ยินชัดเจนจนเผลอเลิกคิ้วขึ้น ไม่เข้าใจว่าทำไมคำถามแรกถึงพุ่งตรงเข้าประเด็นนี้ได้ แต่ด้วยความที่ไม่อยากคิดมากและไม่ถือว่าเป็นเรื่องก้าวก่ายอะไรเลยตอบกลับไป
"คิดว่ามีไหมล่ะ ให้ทาย"
ผมนึกสนุกเลยแหย่แฮงค์ไปแบบนั้น อยากรู้ว่าคนอื่นคิดยังไงบ้างถ้าเห็นคนหน้าตาที่ถือว่าดีระดับหนึ่งแบบนี้ การมีแฟนหรือไม่มีแฟนจริงๆ แล้วมันไม่ได้ขึ้นอยู่กับรูปลักษณ์ภายนอกเลยนะ ดูสิ งานดีเกรดพรีเมี่ยมอย่างน้องมันยังได้แค่แอบชอบเขาเลย กากว่ะ
แฮงค์ดูจะจริงจังกับการทายจนคิ้วขมวด ผมหลุดขำเบาๆ กับท่าทางตลกนั่น ไม่เห็นจำเป็นต้องเครียดขนาดนั้นเลยนี่หว่า ก่อนจะได้แซวอะไรออกไปพนักงานก็ยกบิงซูเมล่อนมาเสิร์ฟ แทบอ้าปากค้างเมื่อเห็นขนาดของมัน... คือเมล่อนทั้งลูก จะแดกหมดไหมล่ะเนี่ย
"พี่ข้าว... ยังไม่มีแฟนใช่ปะ"
แฮงค์พูดออกมาในที่สุด ทำให้ผมที่กำลังจ้องบิงซูต้องเหลือบสายตามองก่อนพยักหน้าเบาๆ ตอนนี้เองที่อีกคนเผยรอยยิ้มหล่อออกมาให้เห็นแบบจังๆ เอาซะกูตาพร่าเลยไหมล่ะ รู้แบบนี้หยิบแว่นกันแดดในรถมาใส่ก็ดี อะไรจะออร่าขนาดนั้นวะคนเรา สงสัยตัวเองจะเป็นแค่อดีตเดือนคณะแก่ๆ คนหนึ่งคงหมดความดูดีแบบนั้นไปนานแล้ว คิดไปก็เศร้าขอบิงซูย้อมใจด่วนๆ
"เออ จะมีได้ไงวะ พี่ต้นดุอย่างกับหมา"
ผมพูดเสียงเซ็งๆ ก่อนจะตักเมล่อนก้อนกลมๆ เข้าปาก ความหอมหวานช่ำและเนื้อแน่นๆ ของมันทำให้คำว่าฟินผุดขึ้นในสมองแทบทันที นี่ล่ะน้า สวรรค์ของคนชอบกินเมล่อน
แฮงค์ทำหน้าเหวอเล็กน้อยกับคำตอบที่ได้ไป คงยังไม่รู้ว่าพี่ชายหวงผมมากแค่ไหน ถ้าเขารู้ยังจะเข้าใกล้กันแบบนี้หรือเปล่า ก็พี่ต้นดันตั้งแง่ว่าน้องชอบผมและสั่งห้ามว่าอย่ายุ่งกันอีก... ไร้เหตุผลมากไปจริงๆ
"แบบนี้ก็แย่ดิวะ"
แฮงค์พึมพำอะไรบางอย่างซึ่งผมที่เพิ่งผละมือออกจากเกล็ดน้ำแข็งสีขาวนวลเลยไม่แน่ใจว่าเขาคุยด้วยหรือเปล่าเลยต้องถามย้ำคนที่กำลังลงมือตักเนื้อเมล่อนเข้าปาก
"เมื่อกี้ว่าอะไรนะ พี่ฟังไม่ถนัด"
ผมถามก่อนจะยกแก้วน้ำดื่มที่แฮงค์อุตสาห์อาสาไปเอามาให้จรดริมฝีปาก ความเย็นทำให้รู้สึกเสียวฟันเล็กน้อยจนเผลอย่นจมูก อ่า... ต้องไปหาหมอฟันแล้วล่ะมั้ง
แฮงค์ส่ายหน้าพรืดแทนคำตอบเพราะในปากยังเต็มไปด้วยของกิน แก้มข้างหนึ่งบวมตุ่ยเพราะมีเมล่อนลูกกลมๆ ดันอยู่ ดูไปดูมาก็น่ารักดีว่ะ ถ้าผมมีน้องชายสักคนคงดี อายุไล่เลี่ยกับแฮงค์คงน่าสนุก แต่พอดีว่าผมเกิดเป็นลูกคนสุดท้องนี่ดิ ความฝันทุกอย่างสลายไปหมด
เราทั้งสองคนก้มหน้าก้มตาจัดการบิงซูจนเกลี้ยงถ้วย เชื่อไหมว่ามันอิ่มมาก อิ่มจนเหมือนท้องจะแตก รู้สึกว่าตอนขยับตัวแอบได้ยินเสียงน้ำโครงเครงไปมาด้วย... โอย แย่ๆ ปวดท้องฉิบหายเลย
"อิ่มว่ะ"
ผมเดินลูบท้องออกจากร้าน ค่าเสียหายเราออกกันคนละครึ่ง แต่ในตอนแรกแฮงค์จะเลี้ยง แต่ผมบอกให้เขาเก็บเงินส่วนนั้นไปซื้อเกมที่อยากเล่นเถอะ เพราะไหนๆ ก็ช่วยกันกิน ช่วยกันจ่ายด้วยดีกว่า
"มากๆ เลยพี่ แล้วนี่จะกลับหรือยัง"
"ว่าจะกลับแล้ว เราล่ะ กลับเลยไหม"
ผมถามกลับไปในขณะที่เดินทอดน่องไปเรื่อยๆ เพื่อลงสู่ชั้นจอดรถใต้ดิน จริงๆ แล้วถ้าแฮงค์เอาบิ๊กไบค์มาเราควรแยกทางกันแล้วหรือเปล่า แต่นั่นก็เป็นแค่การคาดเดา บางครั้งเจ้าเด็กนี่อาจจะขับรถมาก็ได้ใครจะไปรู้ ก็ใช่ว่าฐานะจะน้อยหน้ากันซะเมื่อไหร่ เพราะที่บ้านเขาทำธุรกิจอู่ซ่อมรถเนี่ย
"กลับไปทำงานที่ร้านน่ะครับ"
เขาตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงสบายๆ แต่ดูจากเสื้อผ้าที่ใส่มาน้องน่าจะไม่ได้ขี่บิ๊กไบค์มาแน่ๆ เพราะเสื้อเชิ้ตแขนยาวสีฟ้ากับกางเกงยีนส์ขาเดฟบวกกับรองเท้าหนังนี่มัน... ไม่เข้ากันอย่างแรง
"กลับยังไงล่ะ"
ผมถามขึ้นอีกครั้งเมื่อขาก้าวผ่านประตูอัตโนมัติสู่ลานจอดรถ โซนซุปเปอร์คาร์นั้นเบาบางจนดูสบายตา ซึ่งรถ BMW Z4 สีขาวก็รวมอยู่ในนั้นด้วย
แฮงค์ชะงักเท้ากึกเหมือนตัวเองเพิ่งคิดอะไรได้ ก่อนดวงตาคมจะเบิกกว้างขึ้นและกระโดดโหยงเหยง
"ตายๆ จะไปร้านยังไงวะ ผมมากับไอ้กันย์อะ ลืมสนิทเลย เชี่ยเอ้ย"
น้องสบถออกมาแต่ยังไม่หยุดกระโดด ผมเลยหลุดหัวเราะแล้วเอื้อมมือไปกดไหล่ให้เขาหยุดทำอะไรตลกซะที แล้วมันก็ได้ผลเมื่อเจ้าตัวชะงักกึกอีกครั้ง ใบหน้าคมขึ้นสีระเรื่อคงอายที่เผลอทำอะไรเปิ่นๆ ออกมา
"พี่ขับรถไปส่งที่ร้านก็ได้"
ผมเสนอทางออกให้กับเขา แม้ว่าระยะทางจากที่นี่ไปร้านจะไกลสักหน่อยแต่ไม่เป็นปัญหาอะไรเพราะเคลียร์กับพี่ต้นเรียบร้อยไปแล้ว แต่แฮงค์ดูอึกอักเล็กน้อยจนผมต้องมัดมือชกลากข้อมืออีกคนตรงไปที่รถทันที คิดจะปฏิเสธก็สายไปแล้วน่า
"ขึ้นรถสิ"
ผมออกคำสั่งก่อนจะสอดตัวเข้าประจำที่นั่งคนขับแล้วสตาร์ทรถรอ แฮงค์ที่มีท่าทางลังเลเลยรีบเปิดประตูรถเข้ามานั่งข้างๆ กันอย่างช่วยไม่ได้ และนั่นทำให้ผมลอบยิ้มออกมาง่ายๆ เพิ่งรู้ว่าเขาเป็นคนขี้เกรงใจก็วันนี้ล่ะ
"พี่ข้าวใจดีกับทุกคนแบบนี้หรือเปล่า"
แฮงค์ถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบแต่สายตากลับจ้องตรงไปข้างหน้า ผมเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยก่อนจะคิดย้อนไปว่าตัวเองเผลอใจดีกับใครแบบนี้หรือเปล่า แต่โดนปกติแล้วเห็นคนรู้จักลำบากก็ต้องช่วยเหลือกันไม่ใช่หรือไง
"ก็เรื่องปกติปะวะที่จะยื่นมือช่วยคนที่กำลังเดือดร้อน"
พูดออกไปตามที่คิดก่อนจะผลักเกียร์แล้วเหยียบคันเร่งเคลื่อนรถออกจากห้างสรรพสินค้า ภายในรถเงียบเชียบจนได้ยินเสียงลมจากเครื่องปรับอากาศดังหึ่งๆ อยากเอื้อมมือไปเปิดเครื่องเสียงอยู่เหมือนกันแต่ขอใช้สมาธิขับรถก่อน
ต่อด้านล่างนะ