♥ Alcohol Addict ♥ แจ้งข่าวเรื่องการตีพิมพ์หนังสือ -P.9- (17.07.2017)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ♥ Alcohol Addict ♥ แจ้งข่าวเรื่องการตีพิมพ์หนังสือ -P.9- (17.07.2017)  (อ่าน 82513 ครั้ง)

ออฟไลน์ Ch0cmint

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 401
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +153/-5
Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาครั้งที่ 4 -P.2- (02.12.2016)
«ตอบ #30 เมื่อ02-12-2016 16:36:21 »

เมาครั้งที่ 4




เชื่อไหมเวลาคนเรามีความจำเป็นหรือรีบร้อนทำอะไรบางอย่าง สติยั้งคิดจะลดลงจนน่าใจหาย เพราะในเวลานี้ถึงการจราจรจะติดจัดเพียงใดผมก็ยังมองหาลู่ทางเพื่อหลุดพ้นจากสภาวะนี้ ปกติไม่เคยเดือดเนื้อร้อนใจว่ารถจะเคลื่อนที่ต่อชั่วโมงด้วยความเร็วเท่าไหร่ด้วยซ้ำ แต่ในจังหวะนี้ต้องรีบไปหาพี่ชายบังเกิดเกล้าที่คาดว่าน่าจะเมาแอ๋ไปแล้ว

พอได้ช่องทางเอาตัวรอดก็รีบฝ่าจราจรติดขัดออกมาทันที กว่าจะถึงร้านอีกรอบก็เป็นเวลาจะสองทุ่มเข้าไปแล้ว ผมลงจากรถและเกือบสะดุดขาตัวเองหน้าทิ่ม ดีหน่อยที่ยังทรงตัวได้ ไม่อย่างนั้นคงเดือดร้อนโทรเรียกแฮงค์ให้มาช่วยกันแน่ๆ

ผมเดินตรงเข้าไปตามหมายเลขโต๊ะที่แฮงค์ส่งไลน์ทิ้งไว้ในขณะที่กำลังขับรถมาที่นี่ ไม่นานนักร่างที่คุ้นเคยก็ปรากฏสู่สายตา สภาพแทบจะเหมือนก้อนอะไรสักอย่างที่กำลังละลายเพราะร่างกายโอนเอนไปมาพร้อมจะไหลไปกองกับพื้นอยู่รอมร่อ แต่ที่น่าแปลกใจคือคนข้างๆ พี่ต้นกลับไม่ใช่แฮงค์ แต่เป็นชายหนุ่มหน้าตาจิ้มลิ้มจะว่าหล่อก็หล่อนะ หรือจะน่ารักก็คงไม่ผิดมากนัก เอาเป็นว่ารวมๆ แล้วดูดีเลยล่ะ

"เอ่อ..."
ผมไม่รู้จะเริ่มคำถามไหนดีเลยได้แค่ส่งเสียงแบบนั้นไป จริงๆ คือแอบตกใจด้วยเพราะพี่ต้นคว้าตัวเด็กคนนั้นไปกอดซะแน่น ตายห่าแล้วไหมล่ะ อย่าใจร้อนต่อยพี่ผมนะเว้ย มันเมา มันเม๊า

"พี่ข้าวหรือเปล่า ผมกันย์ เป็นเพื่อนไอ้แฮงค์ครับ"
อ่า... น้องพูดด้วยเสียงตะกุกตะกักเล็กน้อยเพราะพี่ต้นออกแรงรัดมากขึ้น สีหน้ากันย์ดูแย่จนผมต้องรีบเข้าไปแกะปลิงเฉพาะกิจออกมา แต่รู้อะไรไหม ไอ้พี่ชายทรยศมันสะบัดมือฟาดแสกหน้ากันเต็มๆ จนเซถอยหลังไปชนกับใครอีกคน ว่าจะหันไปขอโทษสักหน่อย แต่จุกว่ะ โดนสันจมูกไปเต็มๆ

"เป็นอะไรพี่"
เสียงที่คุ้นเคยถามขึ้นผมเลยรีบหันไปมองแล้วพบว่าเป็นคนที่ผมภาวนาให้เจอพอดี เห็นเขามองมาด้วยสายตาเป็นห่วงเลยลูบสันจมูกแล้วเบ้ปากเล็กน้อย เจ็บสัด เลือดกำเดาจะแตกปะวะ

"พี่ต้นแม่ง สะบัดมือฟาดหน้าพี่เต็มๆ"

"อ่า..."

"ไอ้เหี้ย ช่วยดึงพี่เขาออกไปที กูจะตายห่าอยู่แล้วแฮงค์!"
ผมกับแฮงค์หันขวับไปมองคนทั่งคู่ที่กำลังกอดรัดฟัดเหวี่ยงกันอย่างหนักหน่วง อีกคนพยายามกอดและทิ้งน้ำหนักตัว อีกคนพยายามหาทางหนี แล้วพี่ผมเป็นงูหรือยังไง เลื้อยฉิบหายแล้ว ปกติเป็นแบบนี้ซะที่ไหนวะ กาก กากขึ้นทุกวันพ่อประธานบริษัท!!

"พี่ต้น! ทำบ้าอะไรวะเนี่ย ไปกอดเขาทำไม"
ผมเหวเสียงดังแล้วออกแรงกระชากคอเสื้อด้านหลังของพี่ต้นให้เขาถอยห่างออกจากกันย์ ดวงตาคมจ้องเขม็งอย่างเอาเรื่องก่อนที่มือหนาจะฟาดลงมาบนแขนของผมอย่างหนักหน่วงจนต้องรีบปล่อยคอเสื้อทันที อะไรของเขาวะ

ผมได้แต่ยืนลูบแขนตัวเองด้วยใบหน้าเหยเก แฮงค์ที่ยืนข้างกันก็ดูงุนงงกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นตรงหน้า แล้วไอ้ขายาวๆ ที่ยกขึ้นดันต้นขาคนอื่นคืออะไร ก็ว่าแล้วว่าทำไมน้องชะงักไปไม่ยอมช่วยกันดึงตัวพี่ต้น... พี่แม่งร้ายกาจจริงๆ

"ตีผมทำไม"
เอ่ยถามเสียงเรียบกับคนเมาที่ตอนนี้เอาแต่ก้มหน้านิ่ง ส่วนกันย์พอหลุดจากการรุนรานก็ไม่มีทีท่าว่าจะหนีไปไหนเหมือนตอนแรก ผมเชื่อว่าทุกคนรอลุ้นว่าพี่ต้นจะทำยังไงหรือจะพูดอะไรต่อไปอยู่แน่ๆ

"อยากกอด"

"....."
มันใช่คำตอบของคำถามผมปะวะ ฮ่วย

"เต้ย... ใจร้าย"
ไปแล้วสมอง เฮลโหล กลับมาหาพี่ผมทีเถอะครับ พูดจาไม่รู้เรื่องจนทุกคนเริ่มขมวดคิ้วแล้วเนี่ย ผูกเป็นปมได้เมื่อไหร่จะแยกย้ายกลับบ้านแล้วทิ้งแม่งนอนตรงนี้ล่ะ รู้ว่าตัวเองกากด๋อยคออ่อนแค่ไหนยังจะดื่มเยอะอีก นี่ถ้าไปร้านอื่นจะเป็นยังไง ได้กินยำตีนไปแล้วมั้ง ลาภปากเลยสิพี่มึง!

"พี่ข้าว... ผมว่าเราหิ้วพี่ต้นไปนอนเหอะ สภาพน่าจะไม่ไหวแล้ว"
แฮงค์เอ่ยปากแล้วมองกันอย่างขอความคิดเห็น ผมถอนหายใจออกมาเบาๆ ก่อนพยักหน้ารับแล้วสะกิดพี่ต้น คือไม่กล้าบุ่มบ่ามแล้ว เดี๋ยวโดนฟาดจมูกอันแสนภูมิใจอีก

"พี่ต้น... กลับไปนอนที่คอนโดกัน"
ผมพูดออกไปพร้อมกับยืนรอคำตอบด้วยใจจดต่อ แต่คนเมากลับเบะปากคว่ำเหมือนจะร้องไห้ และที่หนักไปกว่านั้นคือเขาพุ่งเข้าไปกอดกันย์ไว้อีกแล้ว น้องตกใจจนสะดุ้งแต่ไม่มีทีท่าว่าจะดันพี่ต้นออก ผมเลยได้แต่ถอนหายใจอีกครั้ง อยู่ๆ มาโดนผู้ชายที่เพิ่งรู้จักกันกอดแบบนั้นจะรู้สึกยังไงวะ

"เอากลับไปด้วย"
ผมได้ยินคนเมาพึมพำอะไรบางอย่างเสียงอู้อี้เพราะหน้าซบลงไปบนอกของกันย์เรียบร้อยแล้ว คืออนาถสุดๆ หมดสภาพผู้ชายภูมิฐาน เมาเหมือนหมาได้ขนาดนี้เลยเหรอวะ

"พี่ต้นว่าอะไรนะ"
ผมถามย้ำแล้วโน้มตัวเข้าไปใกล้เพื่อรอฟังคำตอบ ไม่นานนักใบหน้าแดงก่ำเพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์ก็ผละออกมามองกัน ดวงตาคมปรือปรอยคล้ายคนง่วงนอน เห็นแล้วสงสารว่ะ เจออะไรมาจากพี่เต้ยบ้างก็ไม่รู้

"เอาคนนี้กลับไปด้วยกันนะ"
ไม่ว่าเปล่าแถมยังเอานิ้วไปจิ้มแก้มเขาอีก กันย์เบือนหน้าหนีก่อนจะเบ้ปากใส่แรงๆ หน้าน้องเหมือนจะตายให้ได้ เป็นผมก็คงแสดงออกไม่ต่างกัน มาเจอผู้ชายเมาแล้วอ้อนงอแงแบบนี้ ขนลุกไปสิครับคุณ

ผมได้แต่ร้องเหี้ยอยู่ในใจแล้วเบิกตากว้างมองพี่ต้นอย่างไม่เชื่อหูตัวเอง คือบ้าอะไรที่จะเอาคนอื่นกลับไปด้วยกัน นี่พี่เมาแล้วเรื้อนมั่วซั่วได้ขนาดนี้เลยเหรอวะ หลังจากวันนี้ไปผมจะบอกแม่สั่งห้ามคุณการันต์ไม่ให้แตะแอลกอฮอล์อีก มันลำบากคนอื่นเขาเนี่ย ถ้าแค่ตัวผมอะไม่เป็นไรหรอก

“เดี๋ยวๆ มึงจะเอาเขากลับไปด้วยทำไมครับพี่ต้น”
เริ่มขึ้นมึงกูเพราะอีกคนเริ่มงอแงพูดไม่รู้เรื่อง มีอย่างที่ไหนจะกลับไปนอนแล้วลากคนที่เพิ่งรู้จักกันกลับไปด้วย ถ้ากันย์ยอมก็ไม่ได้ว่าอะไรหรอกเพราะน้องเป็นเพื่อนกับแฮงค์น่าจะไว้ใจได้ แต่ติดที่เจ้าตัวมันนี่ดิกำลังคิดอะไรอยู่ แล้วขัดใจไม่ได้ด้วยนะ ไม่อย่างนั้นจะเกิดการงอนข้ามภพข้ามชาติขึ้น คือพี่ต้นเป็นคนที่เมาแล้วไม่ลืมเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แต่ถ้ามีสติจะกลับมาทบทวน คราวนี้ล่ะงานงอกใหญ่โตแน่ๆ

และไม่ได้มีแค่ผมคนเดียวที่ตกใจ ไอ้เจ้าตัวที่ถูกระบุนี่เด้งตัวขึ้นจากเก้าอี้ไปแล้วด้วยเพราะพี่ต้นทำท่าจะพิงหัวเข้ากับไหล่เขาอีก แฮงค์ถึงกับยืนทำหน้าเอ๋ออยู่ข้างๆ ก็ควรอยู่หรอกที่มาเห็นคนเมาอีกรูปแบบหนึ่ง ซึ่งยอมรับว่าตัวเองก็ไม่เคยเห็นพี่ชายเมาขั้นแอดวานซ์อย่างนี้ด้วย

“เชี่ย พี่ข้าวช่วยผมด้วยเถอะ เหมือนโดยคุกคามทางเพศยังไงไม่รู้”
กันย์ขยับเข้ามายืนอยู่ด้านหลังของผมพร้อมกับเกาะแขนกันแน่น ปลายสายตาเห็นแฮงค์แยกเขี้ยวใส่เพื่อน ไม่รู้เหมือนกันว่าเพราะอะไร แต่ผมไม่อยากจะถามให้มากความเพราะเรื่องพี่ต้นสำคัญกว่า และตอนนี้มันก็มองผมตาขวางแล้วด้วย สงสัยคืนนี้กูต้องตายคาตีนพี่ชายหรือเปล่า...

“กอด... อยากกอด”
น้ำเสียงเศร้าจนทำให้ผมใจกระตุก ไอ้คนที่เขาอยากกอดจริงๆ น่าจะเป็นพี่เต้ยมากกว่าจะเป็นกันย์ แต่ไม่รู้เหตุผลว่าทำไมสถานการณ์ถึงได้ออกมาในรูปแบบนี้ ต่างคนต่างไม่รู้จะทำยังไงดี พี่ต้นเริ่มร้องไห้ออกมาอีกแล้ว... กอดผมแทนไปก่อนได้ปะวะกลัวกันย์มองว่าเขาเป็นคนโรคจิต

“กอดผมแทนได้ไหม น้องเขาไม่สะดวกน่ะ”
ผมนั่งยองลงข้างๆ เก้าอี้ พี่ต้นก้มหน้าลงมองสลับไปมาระหว่างน้องชายของตัวเองกับเด็กอีกคนหนึ่ง นานนับนาทีที่เงียบไป สุดท้ายแล้วเขาก็ส่ายหน้าพร้อมกับยื่นมือออกไปคว้าข้อมือกันย์เอาไว้ ผมนี่แทบจะกระชากถ้าไม่ติดว่าพี่ชายเอาเท้าขึ้นมาเยียบหัวเข่ากัน ฮือ แม่! ไอ้พี่ต้นมันเหี้ย เมาแล้วพาล โหดร้ายกับข้าว!

“กลับด้วยกันนะ”
พี่ต้นพูดเสียงออดอ้อนใส่กันย์ที่กำลังบิดข้อมือตัวเองออก แต่พอประโยคนั้นผ่านหูไปน้องกลับชะงักการกระทำทั้งหมด ไม่ใช่ว่าเพราะเสียงอ้อนแต่เป็นเพราะพี่ชายเริ่มสะอื้นแล้วซบหน้าลงกับมือของน้อง ผมอยากเข้าไปช่วยแต่แฮงค์จับไหล่ห้ามกันเอาไว้เหมือนจะให้เพื่อนสนิทเป็นคนตัดสินใจว่าจะทำอะไรต่อไปเสียเอง คือจริงๆ น้องชายอย่างกูควรจะช่วยเขาที่กำลังลำบากปะวะ

“ปล่อยให้ไอ้กันย์จัดการเถอะ ผมว่าพี่ต้นคงไม่ฟังใครแล้ว”

“มันจะดีเหรอวะ แต่นั่นพี่ต้นกำลังเมา”

“เอาน่าพี่ ไอ้กันย์มันมีความอดทนมากพอ แล้วอีกอย่างผมว่าพี่ต้นคงติดใจอะไรในตัวมันสักอย่างถึงขนาดจะพากลับคอนโดด้วยเนี่ย”
ท้ายประโยคกลายเป็นเสียงล้อเลียนเพื่อนไปแทนซะอย่างนั้น ถ้าไอ้คำที่ว่าติดใจจะหมายถึงพี่ต้นจะลืมพี่เต้ยได้ผมก็ไม่ว่าอะไรนะ จะชอบใครเพศไหนมันก็ไม่สำคัญ ขอให้ตัวเรามีความสุขก็คงพอแล้ว

กันย์ถึงกับหันมาแยกเขี้ยวใส่แฮงค์ มือข้างที่ว่างยกขึ้นชี้หน้าคาดโทษอย่างจริงจัง ผมว่าถ้าน้องมันผ่านเรื่องวันนี้ไปได้คงเห็นไอ้เดือนมหา’ลัยตาปูดปากแตกแน่ๆ

“เงียบไปเลยไอ้เหี้ย”
เหี้ยมากี่ตัวแล้ววะคืนนี้...

หลังจากนั้นกันย์ก็ตัดสินใจว่าจะยอมกลับไปที่คอนโดด้วยกันเพราะพี่ต้นเอาแต่ร้องไห้งอแงเป็นเด็ก แต่พอพากันขึ้นรถ Benz C350e สีดำ ได้เจ้าตัวก็ทิ้งตัวลงนอนบนตักทันทีทันใด ผมกับที่นั่งอยู่เบาะด้านหน้าเลยได้แต่คลี่ยิ้มประหลาดออกมา ไม่ค่อยมั่นใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นสักเท่าไหร่ แต่เชื่อว่าพี่ต้นคงมีเหตุผลที่ทำอะไรบ้าบิ่นแบบนี้ลงไปแน่ๆ ส่วนแฮงค์โดนขอช่วยให้ขับของผมตามหลังมา คือแบบรถตัวเองแม่งนั่งได้แค่สองคนไงเลยต้องเปลี่ยนไปขับของพี่ต้นเองแล้วให้คนอื่นครอง BMW ไป

ภายในรถได้ยินแค่เสียงลมหายใจและเสียงเครื่องปรับอากาศดังสลับกัน แต่ที่กวนใจมากที่สุดคงเป็นกลิ่นละมุดหึ่งๆ จากคนที่นอนหมาดสภาพอยู่บนตักคนอื่นนั่นล่ะ ได้ฟังจากที่กันย์บ่นตอนพยุงพี่ต้นมาที่รถยังต้องตกใจเพราะเหล้าที่กินไปพอที่จะใช้อาบทั้งตัวได้เลย อะไรจะขนาดนั้นวะ

“พี่ข้าว”
เสียงของกันย์ทำให้ผมดึงสติของตัวเองกลับมาหลังจากเผลอคิดอะไรเรื่อยเปื่อยในขณะที่รถกำลังติดไฟแดงในช่วงเวลาสามทุ่มกว่าๆ น้องขยับตัวเล็กน้อยแล้วยืนหน้าผ่านช่องว่างขอเบาะมาหากันด้วยใบหน้าที่ดูกังวลเล็กน้อย ส่วนไอ้คนบนตักก็มุดหน้าลงกับท้องของคนอื่นได้อย่างไม่สะทกสะท้าน โอย

“มีอะไรเหรอ”
ผมถามก่อนจะเหลือบสายตามองกันย์ไปด้วย เกือบหลุดหัวเราะออกมาตอนที่ใบหน้าหวานนั่นเหยเกไปช่วงหนึ่ง คงเพราะพี่ต้นขยับตัวซุกหน้าลงกับท้องมากกว่าเดิมล่ะมั้ง เป็นผมนี่ดีดมันกระเด็นลงพื้นไปแล้ว ขนลุกฉิบหาย

“พี่ต้นเขา... เป็นเกย์หรือเปล่าวะ ทำไมคลอเคลียผมไม่เลิกเนี่ย”
ผมสำลักลมหายใจตัวเองจนไอ้โขลกออกมา กันย์ดูเหมือนจะตกใจเลยรีบใช้มือลูบๆ เข้าที่ไหล่เหมือนกำลังจะปลอบใจ คิดได้ไงว่าพี่ต้นเป็นเกย์วะ... มันอกหักจากผู้หญิงมาเนี่ย แต่สภาพในตอนนี้จะทำให้คนอื่นคิดแบบนั้นคงไม่แปลกเท่าไหร่หรอก

“เปล่า ที่พี่ต้นเมาเรื้อนอยู่แบบนี้ก็เพราะอกหักจากผู้หญิงมานั่นล่ะ”

“อ้าว แล้วทำไมเขาถึงเอาแต่จะกอดผมอยู่เรื่อยล่ะ”

“นั่งด้วยกันมานานหรือยังล่ะ”
ผมถามกลับไป เพราะสงสัยอยู่เหมือนกันว่าเพื่อนแฮงค์ไปนั่งประกบพี่ชายตัวเองตั้งแต่เมื่อไหร่ แล้วทำไมเจ้าตัวถึงได้หนีหายไปทั้งๆ ที่ก่อนหน้านั้นบอกกันเองว่านั่งเฝ้าอยู่...

“ก็... ผมเป็นคนช่วยรับออเดอร์โต๊ะพี่ต้น แล้วพี่เฟรนด์บอกว่าให้นั่งเป็นเพื่อนพี่เขาหน่อยเพราะเป็นพี่ชายของเพื่อน ผมเลยทำตาม”

“ก็แสดงว่าอยู่ด้วยกันตั้งแต่ยังไม่เมาสินะ”

“อื้อ ใช่ครับ แต่พอเมาแล้วผมนึกว่าพี่ต้นผีเข้าซะอีก กลายเป็นคนละคนไปเลย”
น้องพูดเสียงอ่อยแล้วก้มลงมองคนบนตักตัวเอง ไม่รู้เหมือนกันว่าแท้จริงแล้วกันย์รู้สึกยังไง จะรังเกียจพี่ชายของผมไปแล้วหรือเปล่า เพราะเจอกันครั้งแรกก็ทำตัวแย่ๆ ใส่แล้ว ถ้าเกิดพี่ชายติดในเพื่อนแฮงค์จริงๆ นี่ยากแน่ จีบยากแน่ๆ

“พี่ต้นเล่าอะไรให้ฟังไหม”
ผมถามในขณะที่ใช้เท้าแตะคันเร่งให้รถเคลื่อนตัว ถนนในเวลานี้ยังคงติดขัดอยู่แต่ก็ดีกว่าช่วงตอนเย็นที่ผ่านมา กันย์ขยับไปนั่งพิงเบาะหลังเหมือนเดิมแล้วและกำลังพยุงให้พี่ต้นนั่งข้างๆ ดูเหมือนว่าเขาคงนอนมากไปเลยทำให้ยิ่งเวียนหัวมากกว่าเดิม

“พูดแค่ว่า... อยากลืมแต่ลืมไม่ได้”
กันย์ตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ส่วนผมได้แต่พยักหน้ารับแล้วถอนหายใจออกมาอย่างช่วยไม่ได้ เข้าใจพี่ต้นนะ เพราะว่ากับพี่เต้ยเคยคิดวางแผนจะแต่งงานกัน... บางทีผมก็คิดว่าไม่น่าพาตัวเองกลับมาจากต่างประเทศแล้วเธอเจอเลย แต่อะไรๆ มันก็ไม่สามารถแก้ไขได้ ดีซะอีกที่ได้รู้ว่าผู้หญิงคนนั้นใจง่ายและโลโลมากแค่ไหน

“กันย์ พี่ขอถามอะไรสักอย่างได้ปะ แต่สัญญาก่อนได้ไหมว่าจะไม่โกรธ”
รถจอดสนิทที่ลานจอดรถใต้คอนโดเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ผมเอี้ยวตัวไปมองหน้าน้องด้วยความจริงจังที่สื่ออกทางแววตาอย่างไม่ปิดบัง กันย์เลิกติ้วขึ้นเล็กน้อยก่อนพยักหน้าเป็นเชิงอนุญาต เหลือบมองไปที่พี่ต้นแล้วสูดหายใจเข้าลึกๆ และเปิดปากพูดในเวลาต่อมา

“มีแฟนหรือยัง”

“หา... คำถามมันน่าโกรธตรงไหนวะพี่”
น้องดูจะงงเล็กน้อยก่อนจะยกมือขึ้นเกาหัวแกรกๆ หัวคิ้วสวยขมวดเข้าหากันเล็กน้อย แต่จริงๆ แล้วนั่นไม่ใช่คำถามที่ผมตั้งใจถามจริงๆ หรอก ก็แค่เกริ่นนำ และทุกอย่างที่ทำไปก็เพื่อคนเมาที่นั่งโงนเงนอยู่นั่นล่ะ พอจะจับความรู้สึกอะไรบางอย่างจากเขาได้แล้วล่ะ

“เออน่า ตอบข้อนี้ก่อน ยังมีข้อต่อไป”

“โห... นี่รายการปริศนาสายฟ้าแลบปะ”
น้องพูดติดตลกแต่ไม่วายใช้มือผลักไหล่พี่ต้นที่เอนมาชนกัน ดูไปดูมาก็สงสารน้องว่ะ หาคำว่าความประทับใจในการเจอกันครั้งแรกไม่เจอเลย เมาเยี่ยงหมาเลื้อยเยี่ยงงูไปอีก

“เออ ตอบดีมีรางวัล”
อะ... ยอมเล่นด้วยก็ได้ แม่ง ตอบยากตอบเย็นจังวะคนเรา

“ยังไม่มีหรอกแฟนน่ะ”

“อ๋อ สมมตินะ แค่สมมตินะว่า... ถ้าเกิดพี่ต้นสนใจเราขึ้นมาจะว่ายังไง”
เกิดเดตแอร์ขึ้นทันที ไม่รู้ว่าน้องตกใจเกินไปหรือกำลังคิดว่าตัวเองหูฝาดอยู่กันแน่ ก็ก่อนหน้านี้ผมบอกว่าพี่ต้นไม่ได้เป็นเกย์ไง... แต่จากที่ลองประเมินสถานการณ์คร่าวๆ แล้วเขาคงติดใจอะไรสักอย่างในตัวของกันย์ไม่ผิดแน่ๆ ไม่อย่างนั้นคงไม่ใช่ความเมาบังคับใครให้ติดสอยห้อยตามกลับคอนโดด้วยกันขนาดนี้หรอก จะว่าไปตอนพี่ต้นสนใจใครเขาจะมีวิธีเข้าหาที่แปลกพอสมควรและไม่สามารถเดาได้ด้วยว่าจะออกมาในรูปแบบไหน

“กันย์ แค่เรื่องสมมติ”
ผมย้ำกับน้องอีกครั้งเพราะเห็นเขาเอาแต่นิ่งเงียบไปนานเกินที่ควร จากเด็กกวนๆ กลายเป็นแบบนี้คนถามก็แอบกลัวอยู่เหมือนกัน

“พี่ข้าว... ถ้าพี่ต้นเกิดสนใจผมจริงๆ ก็บอกเขาด้วยแล้วกันว่าไปลืมแฟนเก่าก่อน ผมยังไม่อยากเป็นตัวแทนของใครว่ะ”
คำตอบเหนือความคาดหมายมาพร้อมกับรอยยิ้มบาง เป็นผมเองที่เบิกตากว้างขึ้นเพราะนึกว่าปฏิกิริยาตอบรับของน้องอาจจะรุนแรงมากกว่านี้ ก็ใช่ว่าคนเราจะรับเรื่องชอบคนเพศเดียวกันได้ซะที่ไหนล่ะวะ

“แล้ว... ไม่รังเกียจเหรอ”
ผมลองถามหยั่งเชิงแต่กันย์ส่ายหน้าพรืดก่อนจะไหวไหล่ทำนองไม่แคร์อะไร นี่ล่ะมั้งเด็กยุคใหม่ รับได้ไปซะทุกความเปลี่ยนแปลงของโลกใบนี้

“เฉยๆ พี่ จะเพศไหนก็เหมือนๆ กันนั่นล่ะ รักก็คือรัก ไม่รักก็คือไม่รัก จะเอาอะไรมาก ดูอย่างพี่ต้นดิ... คบผู้หญิงยังอกหักได้เลย”
ตอบด้วยน้ำเสียงสบายๆ แถมยังผลักหัวพี่ต้นที่เอนมาซบไหล่กันออกไปอีก ดูท่าทางคนแบบนี้น่าจะเอาพี่ชายอยู่หมัดว่ะ ผมกำลังจะอ้าปากบอกว่าเห็นด้วยกับความคิดนั้นเหมือนกันแต่เสียงเคาะกระจกที่ดังขึ้นกับเรียกความสนใจไปซะหมด พอเห็นว่าเป็นฝีมือใครก็ทำได้แค่ร้องอ๋อในใจ ลืมไปว่าไม่ได้กลับกันมาแค่สามคน ยังมีอีกหนึ่งคนที่ขับรถตามกันมา...

ผมดับเครื่องแล้วเก็บของที่จำเป็นลงจากรถ ประตูด้านหลังถูกเปิดออกด้วยฝีมือของแฮงค์ กันย์ช่วยดันตัวพี่ต้นให้ลงไปยืนบนพื้นสำเร็จก่อนจะรีบไปช่วยเพื่อนตัวเองประคองคนเมา วันนี้สบายหน่อยตรงที่ผมเป็นแค่คนนำทางไปที่ห้องชั้นสิบห้าเท่านั้น

รู้สึกช่วงนี้จะใช้คอนโดบ่อยเกินไปยังไงไม่รู้เลยให้แม่บ้านเข้ามาทำความสะอาดไว้เรียบร้อย เพราะอาทิตย์หน้าผมก็ต้องพาตัวเองมานอนค้างที่นี่แล้ว จะให้ถ่อสังขารจากบ้านไปมหา’ลัยตั้งแต่เช้าตรู่อาจจะไม่ไหว แล้วไอ้เรื่องรับงานเป็นอาจารย์นี่คงต้องเก็บไว้เคลียร์กับพี่ต้นไม่เกินวันสองวันนี้ล่ะ ถ้าปล่อยให้รู้ช้ามีหวังได้หอบผ้าหอบผ่อนตามติดกันแน่ๆ

ผมเปิดประตูให้เด็กทั้งสองคนหิ้วปีกคนแก่เข้าไปในห้องก่อนจะปิดประตูลงเมื่อตัวเองตามเข้ามาเรียบร้อย แฮงค์รู้หน้าที่ดีเลยตรงไปยังห้องนอนใหญ่แล้ววางคนเมาลงบนเตียงอย่างนุ่มนวล ครั้นกันย์จะถอยหลังออกมากลับโดนพี่ต้นรั้งข้อมือเอาไว้แล้วออกแรงกระตุกให้อีกคนล้มตัวลงนอนด้านข้าง แฮงค์ถึงกับอ้าปากหวอกับเหตุการณ์ตรงหน้า ส่วนผมแม้จะตกใจเล็กน้อยแต่กลับยิ้มออกมา พี่ต้นมันร้ายเชื่อเถอะ และเรื่องพี่เต้ยไม่นานคงจะลืมถ้าทำตัวรุ่มร่ามกับเพศเดียวกันได้ขนาดนี้แล้วอะนะ

“เฮ้ย ปล่อยผม ผมจะกลับบ้าน!”
กันย์แหกปากโวยวายพยายามจะลุกขึ้นจากเตียงแต่พี่ต้นกลับยกขาพาดกลางลำตัวน้องแล้วขยับเข้าไปซุกตรงซอกคอ ปล่อยลมหายใจอุ่นๆ ให้รินรดไปแบบนั้น สงสารว่ะ อยากเข้าไปช่วยนะ แต่กลัวเจอเท้าอีก... ไม่อยากเสี่ยงเลยได้แต่ยืนกอดอกมองคนเมากับคนสติแตกฟัดกันไปมา

“นอนด้วยกัน เดี๋ยวพรุ่งนี้ไปส่ง”
เสียงยานๆ บอกกันแบบนั้นยิ่งทำให้กันดิ้นแรงขึ้นไปอีก ผมมองหน้าแฮงค์แล้วขมวดคิ้วแน่น ตอนนี้ไม่ค่อยแน่ใจแล้วว่าพี่ชายตัวเองเมาจริงไหม หรือสร่างเมาตั้งแต่อ้วกแตกก่อนขึ้นรถ โคตรน่าสงสัย ต้องหาทางพิสูจน์อะไรบางอย่าง เอาที่รู้แจ้งเห็นชัดไปเลย... อืม

“โอ้ย ไม่เอา พี่เมาจริงปะเนี่ยหรือแกล้ง ผมต่อยจริงๆ นะเว้ย!”
นั่น... น้องกันย์มันเมาจริงแล้วไหมล่ะ กำหมัดพร้อมจะต่อยหน้าพี่ต้นจริงๆ ด้วย ถือว่าเขามีความอดทนสูงมากนะที่ปล่อยให้คนเพิ่งรู้จักกันรุ่มร่ามกับตัวเองมาได้ถึงขนาดนี้ ถ้าเกิดเป็นผมคงกระทืบมันไส้แตกตั้งแต่พุ่งเข้ามากอดครั้งแรกแล้ว

“เดี๋ยวเจ็บ”

“ก็ต่อยให้เจ็บไงวะ ผมไม่ใช่แฟนเก่าพี่นะเว้ย เลิกรุ่มร่ามได้แล้ว!”
หลังจากที่กันย์ตะโกนออกมาทุกคนก็เงียบกริบ แม้แต่ผมที่กำลังวางแผนการยังหยุดชะงักไปด้วย และในตอนนี้เอาที่พี่ต้นคลายอ้อมกอดออกจากน้องแล้วกระตุกรอยยิ้มตรงมุมปาก มันเป็นยอมยิ้มเยาะในความผิดพลาดของตัวเองที่มักจะเห็นบ่อยๆ ตอนมีเรื่องแย่ๆ เข้ามาในชีวิตของพี่ชาย

กันย์ยันตัวลุกขึ้นนั่งแต่ไม่ได้หนีไปไหนกลับจ้องมองพี่ต้นด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยคำถามมากมาย ซึ่งผมเชื่อว่าตอนนี้ทุกคนรู้สึกอย่างเดียวกันคือ งง ไม่เข้าใจในสิ่งที่เขากำลังทำและอยากได้คำตอบที่กระจ่างกว่านี้

“ขอโทษที่ทำให้เดือดร้อน กลับกันไปเถอะ พี่อยากอยู่คนเดียว”
พี่ต้นดึงผ้านวมขึ้นมาคลุมหน้าแล้วนอนนิ่งอยู่แบบนั้น คงไม่อยากรับรู้อะไรไปมากกว่านี้ ซึ่งผมกำลังจะเข้าไปแตะไหล่ของกันย์เพื่อจะบอกว่าเดี๋ยวไปส่ง แต่เขาถอนหายใจออกมาแรงๆ แล้วกระชากผ้านวมทิ้ง แววตาดูหงุดหงิดเต็มที่อีกไม่นานคาดว่าระเบิดจะลง... ผมกับแฮงค์เลยถอยหลังไปหนึ่งก้าว กลัวลูกหลงอะ

“อะไรวะ ถ้าหายเมาก็ลุกขึ้นมาคุยกันเดี๋ยวนี้!”
เดี๋ยวนี้... เฮ้ย มีคนกล้าสั่งพี่ต้นด้วยเถอะ สุดยอดเลยว่ะ แล้วดูเหมือนพี่ชายจะทำตามด้วยเพราะเจ้าตัวใช้ฝ่ามือยันกับเตียงแล้วลุกขึ้นนั่ง ถึงจะโงนเงนไปบ้างแต่ก็ดูดีกว่าตอนอยู่ที่ร้านเหล้า ดวงตาคมไม่ได้สบมองคู่สนทนาเพราะเอาแต่ก้มหน้ามองขาตัวเอง คือจะมองทำไม ขนขางอกเพิ่มเหรอ

“อือ”

“อือเชี่ยอะไรของพี่วะ มาทำรุ่มร่ามใส่ ลากผมกับมาที่คอนโดคืออะไร ทำเพื่ออะไรวะ ไหนพูด ทั้งพี่ข้าว ผม ไอ้แฮงค์ไม่เข้าใจเลยว่ะ!”
ผมแทบทรุดเมื่อเห็นว่ากันย์ตะโกนใส่หน้าพี่ต้นไปแบบนั้น เขาไม่ชอบคนที่พูดจากระโชกโฮกฮากใส่อารมณ์ ผมเคยทำแบบนั้นครั้งหนึ่งคือโดนตบหัวจนมึนไปหมด โดนหักค่าขนมด้วย... ใจร้ายฉิบหายเลย แต่ทำไมตอนนี้ถึงเอาแต่มองคนที่นั่งตรงหน้าด้วยสายตาที่อ่านไม่ออกแบบนั้นวะ นี่คิดว่าเรื่องพี่เต้ยน่าปวดหัวที่สุดแล้วแต่ไม่เคยคิดเลยว่าเรื่องพี่ชายจะร้ายแรงยิ่งกว่า

“แฮงค์... พี่กลัวเราต้องเก็บศพเพื่อนกลับบ้านว่ะ”

“ผมพร้อมครับ...”
แฮงค์หันมายิ้มแหยให้กัน น้ำเสียงที่พูดออกมาก็เบาราวกับกระซิบ คือตกลงว่าผมกับน้องจะมองกันย์ตายต่อหน้าต่อตาสินะ ทำไมนิสัยเลวแบบนี้แทนที่จะเข้าไปช่วย... แต่กับพี่ต้นใครกล้าหือน่ะแปลก ก็เล่นดุอย่างกับหมาขนาดนั้น

“ตอบสิวะ เป็นใบ้เหรอ หรือเหล้าแดกลิ้นพี่ไปแล้วเลยพูดไม่ได้”
คำพูดคำจากวนตีนท่านได้แต่หนใดมาหรือน้องกันย์ ถ้าเป็นพี่ต้นในสภาวะปกติอาจจะต่อยหน้าคว่ำไปแล้วก็ได้ แต่นี่อะไร ด่าไปเท่าไหร่พุดไปเท่าไหร่ก็เอาแต่นิ่ง และถ้าผมไม่ได้ตาฝาดนะ... มุมปากพี่ชายกระตุกเป็นรอยยิ้มว่ะ มหัศจรรย์เกินไปแล้ว

ผมสะกิดไหล่แฮงค์เพื่อให้มองตำแหน่งเดียวกัน และดูเหมือนเขาจะค้นพบรอยยิ้มของพี่ต้นเข้าให้แล้วเลยทำหน้าเหวอใส่กัน ผมส่ายหัวแทนคำตอบว่าไม่รู้ แล้วที่แน่ๆ คือมันไม่ปกติแล้ว ไม่ปกติมากๆ พี่ชายผมกำลังแย่... เสียใจจนสมองเบลอหรือเปล่าวะ ควรจะพาไปหาพี่หมอไหม

“ยิ้มเหี้ยอะไรวะ!”

“สนใจ”

“ห๊ะ… อะไรนะ”

“พี่สนใจเรา ชัดหรือยัง”

“เฮ้ย!!!!!!!!!!!!!!”
อะไรมันจะง่ายขนาดนั้นวะ แถมพี่ต้นยังคลี่ยิ้มกว้างกว่าเดิมอีก แล้วไอ้เสียงตกใจนั่นไม่ใช่ของกันย์เลยสักนิดแต่เป็นของผมกับแฮงค์ล้วนๆ ไม่จริ๊ง ทำไมซื้อหวยไม่เคยจะถูกแบบนี้บ้างวะ แล้วทำไมถึงใจกล้าหน้าด้านบอกว่าสนใจคนอื่นได้หน้าตาเฉยแบบนั้น แถมยังเป็นเพศเดียวกันอีกด้วย แสดงว่าที่ผ่านมาแกล้งเมาหรือเปล่า แล้วโรคคออ่อนพี่มึงล่ะหายไปไหนแล้ว เฮ้ย งง บอกทีว่าคนที่นั่งอยู่บนเตียงมันเป็นพี่ชายคนที่อยู่ด้วยกันมาตลอดชีวิตจริงๆ ไม่อยากจะเชื่อ

แต่ที่น่าแปลกไปกว่านั้นคือกันย์ที่ไม่มีท่าทีจะตกใจอะไรเลยสักนิดเดียวแถมยังทำหน้าตาเรียบเฉยได้อีก คนพวกนี้แปลกเกินไปแล้วเว้ย นี่ผมนอนฝันอยู่หรือเปล่าวะ ทำไมรู้สึกไม่คุ้นเคยกับใครสักคน ส่วนแฮงค์ก็ยืนอ้าปากพะงาบๆ ไปแล้ว ตกใจกว่าใครพื่อนเลยมั้งนั่น

“เออ สนใจเหมือนกัน แต่ใช้วิธีเข้าหาโคตรแย่เลยพี่ต้น รู้จัก First Impression ปะวะ”
หือ... เหี้ยกว่าเดิมอีก! อะไรคือกันย์สารภาพออกมาตรงๆ ว่าสนใจพี่ต้นเหมือนกันอะ คืออะไรวะ สรุปแล้วพี่เต้ยโดนเหวี่ยงไปอยู่นอกโลกของนายการันต์ตั้งแต่เมื่อไหร่ แค่นั้นยังไม่พอนะ เหวี่ยงผมออกไปด้วย

“แล้วกันย์จะลืมเหตุการณ์วันนี้ไหมล่ะ”
ยัง... ยังมีหน้าไปถามคนอื่นแบบนั้น ใครมันจะไปลืมลงวะ รุกหนักชนิดที่ว่าถ้าพลาดคือได้กินยำตีนจนต้องไปนอนหยอดน้ำข้าวต้มที่โรงพยาบาลแน่ๆ อะ

“ลืมก็บ้าแล้ว!”
เข้าใจแล้วว่าทำไมพี่ต้นถึงบ้าบิ่นทำขนาดนั้น... เพราะเขามั่นใจว่ากันย์จะไม่มีวันลืมเหตุการณ์ที่เขาทั้งสองคนเจอกันครั้งแรกแน่ๆ โคตรลงทุน โคตรเก๋าเลยว่ะ นับถือจริงๆ




ต่อด้านล่างน้า
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 02-12-2016 16:49:30 โดย Ch0cmint »

ออฟไลน์ Ch0cmint

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 401
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +153/-5
Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาครั้งที่ 4 -P.2- (02.12.2016)
«ตอบ #31 เมื่อ02-12-2016 16:37:08 »

หลังจากนั้นผมกับแฮงค์ก็ปล่อยให้ทั้งสองคนทำความรู้จักกันไป นั่นอาจจะเป็นรักแรกพบของเขาทั้งคู่ก็เป็นได้ ดีเนอะ ที่ต่างคนต่างสนใจกัน ถ้าศึกษากันไปเรื่อยๆ แล้วเข้ากันได้ผมจะยินดีมาก เพราะกันย์เป็นพวกที่น่าจะเอาพี่ต้นได้อยู่หมัด อยากรู้อะไรก็ถาม ไม่พอใจอะไรก็พูด เป็นคนที่เปิดเผยมากพอตัว อยู่กับคนน่าค้นหาอย่างพี่ต้นอาจจะสนุกก็ได้ หวังว่านางร้ายอย่างพี่เต้ยจะไม่หวนกลับมาก็พอ

ริมระเบียงในเวลาห้าทุ่มนั้นดูสงบและเชิญชวนให้ออกไปนั่งเล่น สายลมเอื่อยๆ พัดมาปะทะร่างกายคนทั้งสองที่นั่งบนเก้าอี้ไม้ ท้องฟ้าดำสนิทไร้ซึ่งดวงดาว ไม่มีใครพูดอะไรเพราะต่างคนต่างดื่มด่ำบรรยากาศและจมดิ่งสู่ความคิดของตัวเอง ผมเหลือบมองแฮงค์แล้วพบว่าอีกคนก็มองมาเช่นกัน รอยยิ้มหล่อๆ ผุดขึ้นในขณะที่ผมก็คลี่ยิ้มบางตอบกลับไปก่อนบทสนทนาจะเริ่ม

“พี่ต้นนี่โคตรกล้าเลยเนอะ”
เขาพูดแล้วสบตากับผมก่อนจะเบือนหน้ากลับไปมองท้องฟ้าตามเดิม ผมก็เห็นด้วยกับแฮงค์นะ แค่วันแรก ครั้งแรกที่เจอก็สามารถบอกว่าตัวเองสนใจหรือไม่สนใจอะไรได้เร็วขนาดนั้น ต่างจากผมที่เอาแต่คิดแล้วคิดอีกว่าจริงๆ แล้วตัวเองสนใจสิ่งนั้นแน่เหรอ คิดไปหลายตลบเลยก็ว่าได้ อย่างเช่นอยากได้หนังสือเล่มหนึ่ง จะพิจารณาอยู่นั่นล่ะว่าชอบจริงหรือเปล่า  อยากได้จริงๆ ไหม หรือจะเก็บเงินไปซื้อเรื่องใหม่ที่น่าสนใจกว่านี้ มันวกวนอยู่อย่างนั้นจนกลัวว่าวันหนึ่งหากมีใครเข้ามาในชีวิตแล้วเผลอใช้ตรรกะเดียวกันในการตัดสินใจ อาจจะทำให้พลาดโอกาสดีๆ

“นั่นสิ พี่ก็เพิ่งรู้เนี่ยล่ะว่าพี่ชายตัวเองบ้าบิ่นได้ถึงขนาดนั้น”
ผมยิ้มออกมาเมื่อคิดย้อนไปถึงเหตุการณ์ที่ผ่านไปเมื่อชั่วโมงที่แล้ว ความรู้สึกดีๆ ที่เกิดขึ้นกับใครคนหนึ่ง หรือระหว่างคนสองคนนี่มันช่างสดใสจริงๆ เลยนะ แอบอิจฉาอยู่เหมือนกัน ก็ผมน่ะ... ไม่ได้มีใครมานานมากแล้ว บางทีอาจจะหลงลืมความรู้สึกหอมหวานอย่างการมีใครกอบกุมหัวใจไป

“ถ้าผมใจกล้าแบบนั้นบ้างก็ดีนะครับ”

“ก็ลองทำดูสิ ดีกว่ามานั่งเก็บความรู้สึกเอาไว้”

“กลัวน่ะครับ ถ้าบอกไปแล้วเขาตีตัวออกห่างผมก็แย่สิ”

“อ่า... ก็นั่นสินะ ไม่ใช่ว่าใครจะโชคดีเหมือนพี่ต้นไปซะหมดนี่เนอะ”
ผมหันไปคลี่ยิ้มบางให้กับแฮงค์แล้วเอื้อมมือไปขยี้หัวเขาเบาๆ ราวกับปลอบใจ เรื่องความรักมันละเอียดอ่อนมากกว่าที่ใครๆ คิด ถ้าก้าวพลาดแม้แต่นิดเดียวอาจจะกลายเป็นรอยแผลติดตัวไปตลอดชีวิตก็ได้ ไม่มีความรักแบบผมก็ดีไปอีกแบบนะ ไม่ต้องกังวลหรือเป็นห่วงใครอีกคนว่าเขาจะรู้สึกยังไง

“คืนนี้ค้างด้วยได้ปะครับ ขี้เกียจกลับแล้ว”
แฮงค์พูดด้วยน้ำเสียงออดอ้อนจนผมหลุดหัวเราะออกมา มันไม่ได้น่ารักอะไรนะ แต่น่าหมั่นไส้มากกว่า แล้วไหนจะทำตาละห้อยเหมือนเจ้าบับเบิ้ลที่บ้านอีก ใจแข็งไปก็ไม่ได้ช่วยอะไรหรอก ก็ช่วยเหลือกกันมาตั้งหลายครั้งแล้วนี่เนอะ ขอแค่นี้น่ะเรื่องเล็ก

“ก็ได้ เดี๋ยวให้ยืมเสื้อผ้าพี่ต้นใส่ก็แล้วกัน”
ผมแกล้งผลักหัวน้องไปเบาๆ เพราะหน้าตาหล่อเหลาในตอนนี้น่าหมั่นไส้มาก ไม่รู้จะดีใจอะไรนักหนากับคำอนุญาตให้ค้างได้เนี่ย เหมือนจะเห็นหางโผล่ออกมาสะบัดๆ ยังไงก็ไม่รู้

“ขอบคุณครับ พี่ข้าวน่ารักอีกแล้วว่ะ”
แฮงค์ฉีกยิ้มกว้างมาให้กัน แต่ผมกลับขมวดคิ้วแน่นเพราะไม่เข้าใจว่าไปทำตัวน่ารักตอนไหน แล้วคำนั่นมันไม่เหมาะจะชมผู้ชายด้วยกันหรือเปล่าวะ ตะขิดตะขวงใจแปลกๆ ยังไงไม่รู้

“น่ารักอะไร เลิกชมแบบนั้นได้แล้วเว้ย”
ผมโวยไม่ดังนักแล้วลุกขึ้นเต็มความสูงก่อนจะเอนกายบิดไปมาเพื่อไล่ความเมื่อยทิ้งไป พอจะก้าวขาเดินก็แทบทรุดเมื่อเหน็บชารุมเข้าทำร้ายอย่างรวดเร็ว ถึงกับเซจนแฮงค์ตกใจรีบลุกขึ้นมาประคองกันทันที

“เป็นอะไรหรือเปล่าครับ”
เขาถามด้วยน้ำเสียงเป็นห่วงเป็นใย ผมส่ายหน้าแล้วผละตัวเองมายืนทรงตัวเอง ก้าวขาไม่ออกเลยว่ะ มันหนักๆ คันยุบยิบไปหมดแล้วเว้ย ไม่ชอบอาการแบบนี้เลย

“เหน็บชากินว่ะ เดินไม่ไหว”

“ให้ผมอุ้มปะ”
แฮงค์พูดเสียงทะเล้นก่อนจะส่งยิ้มกรุ้มกริ่มมาให้กันผมเลยประเคนมะเหงกให้กินเป็นรางวัลซะเลย มันใช่เรื่องที่จะเอามาเล่นไหมล่ะ อุ้มบ้าอะไร ก็ผู้ชายเหมือนกัน

“รีบกลับเข้าห้องไปเลยก่อนที่พี่จะกระทืบเรา”
ผมแยกเขี้ยวใส่หวังจะก้าวไปถวายมะเหงกให้อีกสักครั้ง แต่เหน็บชาดันทำพิษให้ลงไปนั่งบนเก้าอี้อย่างช่วยไม่ได้ แข้งขาไม่มีแรงเว้ย เกลียดมาก! แฮงค์ได้แต่ยืนกลั้นหัวเราะจนหน้าแดงไปหมด ไม่กลัวที่ผมขู่เลยสินะไอ้เด็กนี่ รอให้หายก่อนถอะพ่อจะไล่เตะให้น่วมเลย!

“คนน่ารักมักใจร้าย”

“ยังไม่ไปอีก!!”
ผมคว้าขวดน้ำดื่มเปล่าๆ ที่ตั้งอยู่ตรงพื้นขึ้นมาปาใส่แฮงค์ น้องหลบแล้วหายเข้าไปในห้องทันทีทันใด แต่ยังส่งเสียงตัดพ้อกันว่า ‘ใจร้ายๆ’ มาเป็นระยะ มันไม่ได้ทำให้รู้สึกโกรธ แต่ทำให้ผมยิ้มออกมาอย่างไม่รู้ตัวมากกว่า ผมดูออกนะว่าเขาจงใจจะหยอดกัน แต่บางครั้งกลับดูเป็นการแกล้งเล่นไปซะอย่างนั้น ช่างมันเถอะ ไม่อยากจะคิดอะไรมากให้ปวดหัว อะไรจะเกิดในวันข้างหน้าก็ปล่อยให้มันเกิดก็แล้วกัน




----------------------------------------------------

พี่ต้นมันร้ายนักท่านหัวหน้า นำแฮงค์ไปหลายขุมแล้วเว้ย... 5555
พี่ข้าวไม่ใช่คนซื่ออะไรหรอกหนา แต่ไม่สนใจมากกว่า ก็รู้ล่ะว่าตัวเองโดนหยอด
แต่ไม่คิดว่าแฮงค์จะจริงจังอะไร ก็เดือนน่ะเหมาะสมกับดาวจะตายไป

ออฟไลน์ milin03

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 481
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-1
Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาครั้งที่ 4 -P.2- (02.12.2016)
«ตอบ #32 เมื่อ02-12-2016 18:59:20 »

คู่พี่ต้นมีความน่ารักน่าหยิก :mew3: เเต่งแยกได้มั้ยน้าาาา  :hao5:
ส่วนน้องข้าวนางซึนค่ะ   :hao3:

ออฟไลน์ tear0313

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 318
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาครั้งที่ 4 -P.2- (02.12.2016)
«ตอบ #33 เมื่อ02-12-2016 20:26:50 »

คู่พี่น่ารักจัง
แล้วเมื่อไรคู่น้องจะเปิดเผยแบบนี้บ้างคะ?

ออฟไลน์ BAKA

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3025
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +66/-10
Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาครั้งที่ 4 -P.2- (02.12.2016)
«ตอบ #34 เมื่อ02-12-2016 22:12:49 »

อื้อหือออออ พี่ต้นเขาร้ายมากเลยค่ะหัวหน้าาาาา
มาทีหลัง แต่ก้าวหน้าแซงไปไกลเลยนะเนี่ย

พี่ข้าวก็รู้แล้ว ก็สนใจน้องหน่อยเนอะ
แล้วน้องก็รีบๆทำคะแนนเร้วววววว ดูพี่ต้นสิ อื้อหือออออ ร้ายยยยยยย....ฮาาาา

ออฟไลน์ MayA@TK

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4991
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-7
Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาครั้งที่ 4 -P.2- (02.12.2016)
«ตอบ #35 เมื่อ02-12-2016 22:39:10 »

คือแบบพี่ต้นนี่ขี่จรวดหรือไง ปาดหน้าน้องไปก่อนแล้ววววว :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ padthaiyen

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 943
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-2
Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาครั้งที่ 4 -P.2- (02.12.2016)
«ตอบ #36 เมื่อ03-12-2016 00:11:42 »

พี่ต้นเอ้ย

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5358
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19
Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาครั้งที่ 4 -P.2- (02.12.2016)
«ตอบ #37 เมื่อ03-12-2016 00:51:31 »

 :hao4:



ข้ะ !!! ได้เหรอ

ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6283
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาครั้งที่ 4 -P.2- (02.12.2016)
«ตอบ #38 เมื่อ03-12-2016 01:06:34 »

โหยพี่ต้นนนนนนนนนน มีความรวดเร็วมาก !!!!!

ออฟไลน์ stickyyrice

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1509
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +40/-5
Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาครั้งที่ 4 -P.2- (02.12.2016)
«ตอบ #39 เมื่อ03-12-2016 03:42:17 »

เร็วเเรงได้ใจป้า 555

ยิ่งกว่าfast7ไปอีก

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาครั้งที่ 4 -P.2- (02.12.2016)
« ตอบ #39 เมื่อ: 03-12-2016 03:42:17 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ seaz

  • รักอยู่ไหน...ใจเรียกหา
  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5383
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +381/-9
Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาครั้งที่ 4 -P.2- (02.12.2016)
«ตอบ #40 เมื่อ03-12-2016 05:02:12 »

พี่ต้น - น้องกันย์ มาแรงแซงโค้งไปเลย ฮ่าาาาาา

ออฟไลน์ Ch0cmint

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 401
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +153/-5
Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาครั้งที่ 5 -P.2- (05.12.2016)
«ตอบ #41 เมื่อ05-12-2016 19:24:17 »

เมาครั้งที่ 5





ความรู้สึกอึดอัดทำให้ห้วงนิทราถูกรบกวน แสงแดดอ่อนๆ ยามเช้าลอดผ่านผ้าม่านสีครีมเข้ามาโลมเลียกันจนรู้สึกว่าอุณหภูมิของอากาศในห้องเพิ่มสูงขึ้น ผมขยับตะแคงตัวอย่างยากลำบากก่อนจะได้ยินเสียงอะไรบางอย่างหล่นตุบลงบนเตียง ปรือดวงตาขึ้นเล็กน้อยก็พบเข้ากับขนสีขาวฟูฟ่องของไอ้หมายักษ์ มันจับสังเกตได้ว่ามีคนตื่นแล้วเลยส่งลิ้นสีชมพูสากๆ มาเลียหน้ากัน จะปล่อยให้พี่ข้าวหลับสบายตื่นสายในวันหยุดบ้างไม่ได้หรือยังไง อยากร้องไห้ หนูไม่ต้องปลุกตรงเวลาทุกวันก็ได้มั้งครับไอ้บับเบิ้ล! สักวันอาจจะทำเรื่องเนรเทศให้มันไปอยู่ในกรงเนื่องจากผมนอนไม่พอ...

"กวนแต่เช้าเลยนะไอ้อ้วน"
ผมว่าก่อนจะดึงมันมากอดฟัดด้วยความมันเขี้ยว ตะลุมบอนกันอยู่ราวห้านาทีประตูห้องก็เปิดออกโดยฝีมือพี่ชายสุดหล่อ คือวันนี้พี่ต้นแต่งตัวโคตรดี เสื้อเชิ้ตสีขาวสะอาดพับแขนกางเกงสีผ้าสีน้ำเงินแถมยังพับขาขึ้นเล็กน้อย พ่อนายแบบของน้อง สภาพต่างจากคนเมาเมื่อต้นอาทิตย์ราวฟ้ากับเหว ดูจากท่าทางยิ้มแย้มแจ่มใสแล้วคงไม่พ้นออกไปเดท... ก็กับกันย์นั่นล่ะ น่าอิจฉาชะมัด แล้วผมล่ะ!

"ว่าไงพี่ต้น จะไปถ่ายแบบที่ไหนครับ"
ผมเอ่ยแซวพี่ต้นที่ยังยืนพิงกรอบประตู คราวนี้ใบหน้าหล่อมุ่ยเล็กน้อยก่อนจะเดินมาทิ้งตัวลงบนเตียงจนที่นอนยวบลง บับเบิ้ลย้ายตัวขยับขึ้นมานอนเกยบนตัวแทนที่จะกระโดดหนีคู่ปรับตัวเอง เดือดร้อนใครล่ะถ้าไม่ใช่ผม ตัวหนักจะตาย

"แซวพี่นะ แค่จะออกไปข้างนอก"
เขาว่าก่อนจะเอื้อมมือมาขยี้หัวกันด้วยรอยยิ้มเล็กๆ ที่มุมปาก ผมย่นจมูกใส่แล้วใช้ทั้งแขนทั้งเท้าโอบรัดเจ้าซามอยด์ไว้ อุ่นกว่าผ้านวมเป็นไหนๆ แต่รู้สึกว่าไอ้ยักษ์เริ่มมีกลิ่นตุๆ วันนี้คงต้องจับอาบน้ำกันหน่อยแล้ว

"ผมไปด้วยได้ปะ"
แกล้งถามไปอย่างนั้นล่ะ เพราะพอจะดูออกว่าพี่ชายนัดใครเอาไว้ แต่ที่แน่ๆ คือแฮงค์รายงานผมเรียบร้อยแล้วล่ะ หึหึ ก็กันย์กับเขาเป็นเพื่อนสนิทกันนี่เนอะ บอกกันแทบทุกเรื่อง รักกันมากกว่าพี่น้องอีกมั้ง

"หึ... วันนี้พี่อนุญาตให้เราไปไหนก็ได้โดยไม่ต้องรายงาน"
พี่ต้นบอกก่อนจะเอื้อมมือมาบีบหัวไอ้บับเบิ้ลเล่น เจ้ายักษ์สะบัดพรืดแล้วส่งเสียงฟึดฟัดไม่พอใจใส่ ผมไม่ค่อยเข้าใจว่าคนกับหมาคู่นี้ทำไมไม่ญาติดีกันสักที ก็ไม่รู้ แต่ที่ประหลาดที่สุดในตอนนี้คือพี่ต้นใจดีเว้ย ยอมปล่อยกันด้วย

"แหม... ใจดีแบบนี้คือกลัวว่าผมจะไปเป็นก้างเหรอ"
ได้ทีแซวก็จัดสักหน่อย เพราะปกติแล้วพี่ต้นชอบทำหน้านิ่งๆ ใส่กันมากกว่า บางครั้งก็แยกเขี้ยวถ้าเผลอขัดใจหรือไม่เชื่อฟัง แต่ในตอนนี้กลับเห็นเข้ากระตุกรอยยิ้มที่มุมปากเล็กน้อย

"รู้ทัน"
แน่นอนสิ...

"นี่ใคร น้องชายสุดที่รักของพี่ต้นเลยนะ"
ผมดีดตัวขึ้นนั่งแล้วทำหน้าภาคภูมิใจในคำพูดของตัวเอง น้องชายที่รู้ใจพี่ดีที่สุดในโลกเลยนะเนี่ย แต่ดูเหมือนพี่ต้นจะไม่เห็นด้วยเท่าไหร่เพราะฝ่ามือใหญ่เอื้อมมาผลักหัวกันก่อยที่เขาจะลุกขึ้นยืนเต็มความสูง ส่วนไอ้บับเบิ้ลวิ่งหายไปตั้งแต่ผมขยับตัวแล้ว รายนั้นเอาแน่เอานอนอะไรด้วยไม่ค่อยจะได้หรอก

"ไรว้า ผลักหัวกันอีกแล้ว"
ผมบ่นก่อนจะมุ่ยหน้าใส่ พี่ต้นส่ายหน้าน้อยๆ แต่ก็ส่งยิ้มให้กันก่อนจะเหลือบมองนาฬิกาข้อมือ สงสัยใกล้ถึงเวลานัดแล้วล่ะมั้ง

"พี่ไปล่ะนะ จะไปไหนก็ดูแลตัวเองดีๆ ด้วย ใครมายุ่มย่ามด้วยมากนักก็หนีซะ เข้าใจไหม"

"โห... สั่งอย่างกับพ่อเลย โอเคครับ จะทำตามอย่างเคร่งครัด"
ผมฉีกยิ้มกว้างก่อนจะได้รับการโบกมือลาจากพี่ชาย ห้องนอนกลับมาเงียบสงบลงอีกครั้ง ก็กะว่าจะล้มตัวลงนอนต่อแต่ท้องกลับร้องโครกครากทำให้ต้องลุกไปอาบน้ำอย่างช่วยไม่ได้

ลงมาชั้นล่างแล้วเดินต่อไปยังโต๊ะอาหารแบบทันทีทันใด กลิ่นหอมของข้าวต้มกุ้งโชยมาเรียกน้ำย่อยในกระเพาะให้ทำงานอีกครั้ง พี่ส้มยิ้มกว้างอยู่ตรงนั้น ไม่รู้ว่ามีสัมผัสที่หกหรืออย่างไร เพราะเขามักจะเตรียมอาหารให้ได้ทันเวลาผมหิวทุกที

"วันนี้คุณหนูจะออกไปไหนหรือเปล่าคะ เห็นคุณต้นรีบไปแต่เช้าเลย ข้าวก็ไม่ยอมกิน"
เป็นเรื่องปกติที่พี่ส้มจะแปลกใจ เพราะในวันอาทิตย์แบบนี้พี่ต้นจะอยู่บ้านแล้วใช้เวลาว่างไปกับการพักผ่อนมากกว่า นานทีปีหนจะพาตัวเองออกไปนั่นออกไปนี่ แถมครั้งนี้ไม่หนีบผมไปด้วย ก็เขาไปเดทนี่

"คุณชายเขามีเดทน่ะพี่ส้ม"
ผมตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบแต่ฉีกยิ้มกว้างไปให้ก่อนจะลงมือตักข้าวต้มกุ้งใส่ปาก รสชาติยังอร่อยเหมือนเดิมในทุกครั้งที่ได้กิน พี่ส้มพยักหน้าเข้าใจแล้วขอตัวไปจัดการงานด้านอื่นต่อ โดนทิ้งท้ายว่าถ้าผมจะออกไปไหนให้บอกกันก่อน เจ้านายหายตัวไม่ใช่เรื่องตลกใช่ไหมล่ะ

จริงๆ แล้ววันนี้ต้องไปรับพ่อแม่ที่สนามบินตามกำหนดการเดิม แต่เมื่อคืนคุณนายกลับส่งข้อความมาบอกกันว่าจะแวะฮันนีมูนที่ฮ่องกงก่อน ผมเลยได้แต่ส่งแชทกลับไปเป็นเชิงหยอกล้อว่า 'ฮันนีมูนครบร้อยรอบหรือยังครับ' และกลายเป็นว่าวันนี้ผมไม่มีแพลนอะไรเลยนอกจากอาบน้ำให้บับเบิ้ล

เรื่องรับงานสอนที่มหา'ลัยก็เคลียร์กับพี่ต้นไปเรียบร้อยแล้ว ตอนแรกที่เปิดปากบอกไปเขาเอาแต่นิ่งเงียบและมองหน้าผมเหมือนจะกินเลือดกินเนื้อ ทางนี้ก็ไม่ได้พูดอะไรเพิ่มเติมไปหรอก ปล่อยให้เจ้าตัวเขาคิดประมวลผลเอาเอง และไม่นานคำอนุญาตแบบไม่เต็มใจก็ดังขึ้นให้ได้ยิน แต่ไอ้เรื่องจะไปนอนคอนโดในวันอาทิตย์และจันทร์นี่ออดอ้อนอยู่นานมาก กว่าจะผ่านไปได้ต้องโทรไปให้แม่กับพ่อช่วยพูดเลยทีเดียว ได้แต่คิดว่านิสัยหวงน้องของเขาจะจบลงเมื่อผมเจอคนที่ดีพอในความคิดของเขาล่ะมั้ง... แล้วใครล่ะที่จะฝ่าด่านอรหันต์ไปได้

Rrrrr
เสียงริงโทนโทรศัพท์เรียกให้ผมสะดุ้งเล็กน้อยหลังจากใช้สมาธิจดจ่ออยู่กับรายการทีวีช่วงวันหยุด มือเรียวเอื้อมหยิบเครื่องสื่อสารมาดู รายชื่อสายโทรเข้าทำให้หัวคิ้วกระตุกเล็กน้อยเพราะมันมาจากเพื่อนสนิทนามว่าจุ้น หวังว่าคงไม่มีปัญหาอะไรหรอกนะ ผมตัดสินใจกดรับแล้วกรอกเสียงเนือยๆ ลงไป

"ฮัลโหล ~"

'เพื่อนรัก ทำอะไรอยู่วะ'
เสียงสดใสปานพบเจอเรื่องดีๆ มา ทำให้ผมยิ่งขมวดคิ้วแน่น เพราะสัมผัสได้ว่าอีกไม่นานปัญหาต้องมาเยือนแน่ๆ มันผิดสังเกตมากเกินไปแล้ว ได้แต่ลอบถอนหายใจเบาๆ แล้วตอบกลับไปอย่างเลี่ยงไม่ได้

"นอนดูทีวี มึงมีธุระอะไร ไอ้พีชไม่อยู่เหรอ"
ถามกลับไปเพราะรู้ว่าพีชที่เป็นวิศวกรโยธามันมีคุมงานที่ต่างจังหวัด กว่าจะกลับก็คงวันพุธล่ะมั้ง ไอ้จุ้นคงเปล่าเปลี่ยวหัวใจ อยู่กับแมวเมนคูนของมันคงไม่มีความสุข

'ถามทั้งๆ ที่รู้ ใจร้ายว่ะ'

"ขาดเมียแค่สามสี่วันไม่ตายหรอกน่า"
ผมพูดติดตลกแล้วลุกขึ้นจากโซฟาและปิดทีวีลง ขายาวก้าวออกไปที่สวนเพื่อรับอากาศยามสายที่ไม่ร้อนมากเท่าไหร่ เพราะฝนกำลังตั้งเค้ามาแล้ว ดูท่าทางงานอาบน้ำหมาคงต้องยกเลิกอย่างช่วยไม่ได้

'ขาดเมียไม่เท่าไหร่ แต่ทิ้งกูให้อยู่กับแมวนี่ดิ... จะบ้าตายเว้ย'
ไอ้จุ้นบ่นงุ้งงิ้งๆ แต่ที่ทำให้ผมหลุดขำคือเสียงร้องเมี๊ยวขู่ของดุ๊กดิ๊ก แม่มันเลี้ยงมาดีเพราะสอนให้ขู่พ่อมันหากทำตัวไม่น่ารัก เผลอๆ บางครั้งเจ้าแมวยักษ์ก็กระโดดขึ้นที่สูงโดยใช้หลังไอ้จุ้นเทคตัวก็มี ได้แผลจากเล็บคมๆ ไปไม่น้อยเลยล่ะ

"บ่นๆ แล้วตกลงว่ามีอะไร"

'อยากไปเที่ยว'

"ก็ไปดิ"

'มึงไปด้วยกัน'

"จะไปไหนล่ะ"

'ห้าง'
ชีวิตแม่งไม่คิดจะไปไหนนอกจากห้างเลยหรือยังไงวะ อยากจะเทศน์สักหน่อย แต่พอเหลือบเห็นเวลาจากนาฬิกาข้อมือที่ชอบใส่เป็นประจำแล้วก็คิดว่าดีเหมือนกัน เพราะอยากกินอาหารญี่ปุ่นเป็นมื้อเที่ยง

"เออๆ เจอกันที่ห้างตอนเที่ยง"

'มึงมันน่ารัก!'

"หุบปากไปเลยนะ เหี้ยจริง ทำไมต้องพูดเหมือนแฮงค์ด้วยวะ"
ผมบ่นเล็กน้อย ไม่ได้คิดมากอะไรหรอก แต่โดนชมด้วยคำแบบนั้นก็รู้สึกแปลกอยู่นิดหน่อย มันเป็นคำชมที่เหมาะกับผู้หญิงมากกว่าจะใช้ชมผู้ชายด้วยกัน แล้วอีกอย่างผมไม่เห็นว่าตัวเองน่ารักตรงไหนอีกด้วย แต่ดูเหมือนปลายสายจะสนใจอะไรบางอย่างในประโยคที่พูดไปแล้วล่ะ เพราะเจ้าตัวร้องเสียงหลงมาเลย

'เหยๆ น้องมันคิดอะไรกับมึงปะวะ ดูท่าทางแปลกๆ ตั้งแต่เจอกันครั้งแรกแล้วนะเว้ย'
น้ำเสียงหยอกล้อปนแซวดังขึ้นทำให้ผมสำลักลมหายใจตัวเองจนหาเสียงตอบไม่เจอ ไม่เข้าใจว่าเพื่อนสนิทไปเอาความคิดบ้าๆ แบบนั้นมาจากที่ไหน เพราะมันก็เจอกับแฮงค์แค่ครั้งเดียวเท่านั้นเอง

'อ่าว เงียบเลยมึง คืออะไรยังไง'

"ไม่มีอะไร จะออกจากบ้านแล้ว แค่นี้นะ"
ผมเลือกที่จะตัดสายแล้วเดินกลับเข้าในตัวบ้านเพราะฝนกำลังลงเม็ด เงยหน้ามองฟ้าแล้วได้แต่ถอนหายใจออกมาเบาๆ รถคงติดอีกสินะ แต่เอาเถอะ อยากกินอาหารญี่ปุ่นและอยากได้แผ่นเกมใหม่อยู่พอดี

BMW Z4 สีขาวหยุดนิ่งที่ลานจอดรถของห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง ในช่วงวันหยุดถือได้มาคนเยอะพอสมควร คนที่เป็นเจ้าของที่นี่คงได้รับรายได้หลักล้านในวันนี้แน่ๆ

ผมส่งข้อความบอกให้เพื่อนสนิทรู้ว่าตัวเองมาถึงที่นัดหมายแล้ว ไม่นานนักมันก็ตอบกลับมาว่ากำลังเดินเข้าไปในห้างเหมือนกัน แต่จอดรถคนละชั้น อยากจะโทรถามพี่ต้นอยู่หรอกว่าตกลงวันนี้เดทกับกันย์ที่ไหน แต่คิดไปคิดมาก็ยั้งมือไว้ได้ทันเพราะกลัวไปเป็นก้างขวางคอของเขา

ผมหยุดยืนอยู่ตรงหน้าร้านอาหารญี่ปุ่นชื่อดัง ไม่นานนักแรงกอดไหล่พร้อมกับโถมตัวเข้าหาก็เกิดขึ้นมาจากด้านหลัง มือที่ว่างยกขึ้นตบหัวเพื่อนสนิทแทบจะทันที ไอ้จุ้นเบ้ปากใส่เล็กน้อยแต่ยังยิ้มได้เหมือนเดิม อยากถามว่าเคยโกรธกันสักครั้งไหม หรือตายด้านเรื่องแบบนี้ไปแล้ว เพราะไม่ว่าผมจะทำร้ายมันแค่ไหนก็ไม่มีทีท่าว่าจะโกรธ นี่ล่ะมั้งมิตรภาพของคำว่าเพื่อนที่ไม่มีวันเลิกคบ

"กินอาหารญี่ปุ่นอีกแล้ว เลี้ยงกูปะเนี่ย"
ในขณะที่เดินเข้าร้านไอ้จุ้นก็ถามออกมาด้วยน้ำเสียงทะเล้น ผมมองมันตาขวางก่อนจะสะบัดแขนให้หลุดจากบ่าโดยไม่พูดอะไรแล้วทิ้งตัวลงนั่งที่โต๊ะอย่างรวดเร็ว ใครจะไปเลี้ยงล่ะ อเมริกันแชร์รู้จักปะวะ

"ให้ไอ้พีชเลี้ยงมึงโน่นไป"
ผมว่าก่อนจะบุ้ยปากใส่ ไอ้จุ้นหัวเราะออกมาเบาๆ แล้วไม่ได้พูดอะไรต่อเพราะพนักงานเอาเมนูมาให้พอดิบพอดี เราสั่งอาหารกันไปคนละอย่างสองอย่างแล้วกลับมานั่งจมกับหน้าจอโทรศัพท์ เอ่อ... แค่ไอ้จุ้นจ้านนะ ส่วนผมก็นั่งมองนี่ล่ะ เพราะเดี๋ยวมันก็ยิ้มเดี๋ยวมันก็ขมวดคิ้ว

"เป็นไรของมึง"
ผมเท้าคางมองเพื่อนสนิทแล้วมองมันด้วยแววขำขัน สงสัยคุยไลน์กับไอ้พีชแน่ๆ จุ้นเงยหน้ามามองกันแล้วเบะปากใส่ อยากเอื้อมมือไปดึงเหลือเกินน่าหมั่นไส้

"พีชแม่ง..."

"....."
อะไรของมัน มาแค่นั้นแล้วก็เงียบ ต้องการอะไรจากสังคมล่ะเพื่อน

"กลับวันศุกร์นู่น เลยวันครบรอบไปอีก"
พูดจบปากหยักก็ยิ่งเบะลงไปอีกเท่าตัว ไอ้น่าสงสารมันก็ใช่อยู่หรอก แต่ทำตัวงอแงแบบนี้ผมยังสงสัยว่าพีชยอมให้มันรุกได้ยังไงกัน...

"ก็มันทำงานนี่มึง อย่างอแงน่า ไม่ใช่เด็กแล้ว"
ผมพูดก่อนเอื้อมมือไปขยี้หัวมันเบาๆ อย่างที่ชอบทำตอนปลอบ ไอ้จุ้นค้อนใส่แต่ก็ไม่ปัดป้องอะไร ก็นี่ล่ะน้าความเป็นเด็กน้อยของมัน

"เออ ก็แค่นอยด์นิดหน่อยนั่นล่ะ แล้ววันนี้มึงทำไมออกมาเที่ยวกับกูได้ง่ายจัง พี่ต้นไม่ซักเหรอวะ"
เผลอเบ้ปากเพราะคำถามของเพื่อนสนิท ก็คำตอบที่รู้อยู่แก่ใจมันน่าหมั่นไส้มากนี่หว่า เอาจริงๆ แล้วพี่ต้นเป็นคนที่โสดได้ไม่นานหรอก สูงสุดก็แค่ปีสองปีเองมั้ง ไม่เหมือนกับผมที่ครองโสดมาห้าหกปีแล้ว ถึงได้บอกว่าลืมการรักใครสักคนแบบแฟนไปแล้วไง

"พี่ต้นไปเดท"
ผมตอบกลับไปสั้นๆ แล้วคว้าแก้วน้ำดื่มมาดูดให้ชื่นใจ บางทีอาจจะเพื่อดับอาการร้อนรุ่มที่เกิดจากความอิจฉาก็ได้ ไอ้จุ้นมีท่าทีตื่นเต้นอย่างเห็นได้ชัด เพราะดวงตาที่เบิกกว้างและรอยยิ้มกรุ้มกริ่มที่แสดงออกมา

"ว้าว คราวนี้สวยปะวะ"
ผมแทบจะสำลักน้ำที่กำลังดื่มอยู่ ก็คราวเนี่ยคนที่พี่ต้นเดทด้วยไม่มีคำว่าสวยประกอบอยู่เลยด้วยซ้ำ ใครจะรู้ว่าวันหนึ่งไอ้คนที่ชอบผู้หญิงมาตลอดทั้งชีวิตจะผันตัวไปชอบผู้ชายได้ง่ายๆ วะ แปลกแต่จริงใช่ไหมล่ะ

"หึ ไม่สวยเลย"
ผมตอบไปด้วยน้ำเสียงราบเรียบจนไอ้จุ้นขมวดคิ้วเป็นปม เพราะโดยปกติแล้วพี่ต้นจะชอบผู้หญิงที่สวยอะไรประมาณนี้ มีใครหลายคนบอกว่าหน้าตาไม่สำคัญกับความรัก มันก็จริงนะผมเห็นด้วย แต่สำหรับบางคนมันก็เป็นส่วนประกอบของความรักเช่นกัน

"อ่าว เปลี่ยนแนวเหรอ"

"โคตรๆ จากผู้หญิงกลายเป็นผู้ชาย อึ้งไหมล่ะเพื่อน"
ผมพูดก่อนจะยักคิ้วกวนให้ ในขณะที่เพื่อนนั่งอ้าปากพะงาบๆ อยู่แบบนั้น ตลกว่ะ อยากจะขำดังๆ แต่เกรงใจลูกค้าคนอื่นในร้านฉิบหาย เลยได้แต่นั่งไหล่สั่นเพราะกลั้นขำไว้

"เฮ้ย ไม่ล้อเล่นดิมึง กูช็อก!"

"ไม่ล้อเล่น นี่พูดจริงเลย"

"มึง ~ ใครวะๆๆๆๆ"
รัวๆ มาแบบนี้คืออาการเสือกขั้นสุดยอด และตอนนี้เองที่ผมกลั้นขำไม่ไหว ก็ไอ้จุ้นทำหน้าตาโคตรตลก ตานี่แทบเหลือก หัวคิ้วย่นเข้าหากัน มือตีแขนผมไม่หยุดหย่อน ไอ้บ้าเอ้ย

"ไอ้เชี่ย เจ็บ!"
ผมดึงแขนออกจากการตีของมันแล้วถลึงตาใส่ไป ไอ้จุ้นยิ้มแหยให้ก่อนจะทำตัวสงบเสงี่ยมลง แต่ดวงตาเป็นประกายใคร่รู้นั้นปิดไม่มิดจริงๆ จนต้องยอมแพ้แล้วเปิดปากบอก

"น้องกันย์ เพื่อนของแฮงค์อะ"
ผมตอบจบแล้วหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูเล็กน้อยว่ามีใครส่งอะไรมาหรือเปล่าแล้วเก็บลงกระเป๋าตามเดิม ตอนเงยหน้าขึ้นมาถึงกับสะดุ้งเมื่อไอ้จุ้นอ้าปากกว้างจนเกรงว่าจะมีแมลงวันบินเข้าไป ไม่คิดว่าจะเป็นเรื่องน่าตกใจอะไรขนาดนั้น เพราะตัวมันเองก็มีแฟนเป็นผู้ชายไม่ใช่เหรอ หรือที่ทำให้ตกใจคือกันย์เป็นเพื่อนแฮงค์วะ

“อ้าปากทำไมมึง”
ผมเอื้อมมือไปดันคางมันให้หุบปากลง ไอ้จุ้นผงะไปเล็กน้อยก่อนจะใช้ดวงตาสีดำสนิทจ้องมองกันด้วยความแปลกใจ แต่ก่อนที่จะได้พูดอะไรกันต่อเมนูอาหารที่สั่งไปก็มาเสิร์ฟ กลิ่นหอมทำให้พยาธิในกระเพาะเริ่มทำงานอย่างรวดเร็ว ไม่รอช้าที่จะใช้ตะเกียบคีบแซลมอนจิ้มโชยุเข้าปากทันที ฟินว่ะ

“แปลกใจนิดหน่อยว่ะ รู้สึกมึงจะพัวพันกับเด็กคนนั้นจัง”
มันว่าแล้วเหล่สายตามองกัน แต่ปากกลับกระตุกยิ้มกรุ้มกริ่มให้ผมต้องหยิบถั่วแดงประดับในจานปาใส่ กวนตีนไม่มีใครเกินจริงๆ ทำอย่างกับแฮงค์กับกันย์จะรุกคืบมากินทั้งผมทั้งพี่ชายอย่างนั้นล่ะ บ้าบอไปแล้ว

“คบไว้เป็นพี่น้องก็ไม่เสียหายไม่ใช่เหรอวะ จากที่ดูๆ น้องมันก็นิสัยดี”
ผมบอกไปก่อนจะเริ่มคีบหมูทอดทงคัตสึใส่ปากอีกครั้งโดยที่ไอ้จุ้นยังคงทำท่าทางแบบเดิมและไม่ยอมกินสักที ขืนช้าแล้วหมดไม่รู้ด้วยนะเว้ย

“เออ ก็ไม่ได้ว่าอะไร แฮงค์มันก็ดูนิสัยดีนั่นล่ะ แต่มึงถามน้องแล้วเหรอว่าอยากเป็นพี่น้องกับมึงหรือเปล่า”
ผมชะงักมือที่ถือตะเกียบทันที กะว่าจะขโมยปลาหิมะย่างซีอิ๊วของไอ้จุ้นกินสักหน่อย ดวงตากลมเหลือบมองเพื่อนสนิทเขม็ง ทำไมดูเหมือนแต่ละคนมั่นใจนักว่าแฮงค์ชอบกัน ทั้งๆ ที่ไม่มีอะไรยืนยันได้เลย มีแต่การกระทำที่มันก่ำกึ่งเท่านั้นเอง

“อะไรของมึงไอ้จุ้น พูดเพ้อเจ้อ”
ผมส่ายหน้าแล้วคีบปลาหมึกยักษ์ใส่ปากมันให้หยุดพูดสักที ไอ้จุ้นสำลักค่อกแค่กแล้วรีบกลืนปลาหมึกลงคอทันทีก่อนจะคว้าแก้วน้ำไปดื่มอย่างรวดเร็ว ไม่สงสารมันหรอก สมน้ำหน้าด้วยซ้ำเพราะชอบพูดอะไรไม่คิดอยู่เรื่อย แซวนั่นแซวนี่ถ้าผิดพลาดขึ้นมาไม่หน้าแตกยับเยินหรือยังไงกัน

“กูว่าน้องมันชอบมึงนะ”
ยังจะพูดต่อ... สงสัยอยากได้ปลาหมึกยัดปากอีกรอบ

“เออ ถ้าชอบแล้วไง ไม่บอกตรงๆ กูก็ไม่ตรัสรู้หรอก”
พูดตัดรำคาญไปเลยแม่ง คือหิว อยากกินข้าว ไม่ใช่มานั่งเสวนาเรื่องคนอื่นตอนนี้ ไม่อยากคิดอะไรมากถ้าเจ้าตัวไม่เอ่ยปากไง นี่ผู้ชายกับผู้ชายนะเว้ย มันไม่ใช่เรื่องปกติสักหน่อยถึงแม้ว่ายุคสมัยนี้จะเปิดกว้างเรื่องเพศก็เถอะ

“มึงนี่มัน... ไม่มีเซ้นส์เหรอ”
ไอ้จุ้นส่ายหน้าไปมาอย่างคนปลง ผมเลยได้แต่แยกเขี้ยวใส่แล้วคีบวาซาบิส่งไปป้ายปากแม่ง คราวนี้หยุดพูดแล้วรีบคว้ากระดาษทิชชู่เช็ดปากเป็นการใหญ่ สมน้ำหน้า!

“เออ ทำไม กูชอบความชัดเจนไม่ชอบมโน เข้าใจนะ แดกได้แล้ว”
มันก็บ่นกระปอดกระแปดว่าผมใจร้ายบ้างล่ะ ไม่รักมันบ้างล่ะ สารพัดสารเพที่สามารถขุดมาตัดพ้อกันได้ แต่ใครจะมานั่งสนใจเสียงนกเสียงกาเวลาหิวบ้าง ปล่อยมันพูดๆ ไปเหนื่อยก็หยุดไปเองนั่นล่ะ เถียงกันไปก็แค่นั้นเพราะต่างคนก็ต่างยึดถือความคิดของตัวเองเป็นหลัก แล้วเรื่องนี้ก็มีแค่แฮงค์คนเดียวที่จะยืนยันความเป็นจริงได้ แต่มันยังไม่ถึงเวลานั้นหรอก เรายังไม่ได้สนิทกันขนาดนั้น

หลังจากจัดการอาหารบนโต๊ะเรียบร้อย เราต่างคนต่างจ่ายเงินร่วมกันแบบอเมริกันแชร์ เดินออกจากร้านแล้วมุ่งตรงไปที่ร้านเกมทันทีเพราะยังไม่ได้ซื้อแผ่นเกม Final Fantasy ภาคใหม่ที่เพิ่งวางขายไป ส่วนไอ้จุ้นไม่ค่อยเล่นเกมกับเครื่องเล่นสักเท่าไหร่ รายนั้นถนัดพวกเกมคอมพิวเตอร์มากกว่า

ถึงร้านผมก็มุ่งตรงไปยังโซนที่ติดป้ายว่า New Arrival ทันที และเกมที่ต้องการก็ปรากฏอยู่ตรงหน้า หยิบมาถือไว้หนึ่งแผ่นแล้วความทรงจำบางอย่างก็ผุดขึ้นมาว่าใครบางคนก็อยากได้มันไว้ในครอบครองเช่นกัน

“แฮงค์จะซื้อแผ่นเกมไปหรือยังวะ”
ผมยืนพึมพำกับตัวเองแล้วมองแผ่นเกมในมือนิ่ง ไม่นานนักก็ได้รับสัมผัสจากฝ่ามือใครบางคนวางทาบลงบนลาดไหล่แล้วยืนหน้าเข้ามาเป่าลมหายใจรดเกมกันจนต้องผละตัวออกก่อนจะหันไปผลักหัว เล่นบ้าอะไรของมันเนี่ย แล้วโผล่มายืนซ้อนด้านหลังจั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้

“ยืนบ่นอะไรของมึงอยู่คนเดียววะ”
ถามด้วยนำเสียงสงสัยก่อนจะผละมือออกแล้วใช้สายตามองเกมในมือของผม

“เปล่า กูขอไปโทรศัพท์แป๊ปนึง ถือไว้หน่อย”
ผมยัดแผ่นเกมใส่มือเพื่อนสนิทแล้วล้วงโทรศัพท์มือถือออกมาไล่หาเบอร์ที่บันทึกเอาไว้เมื่อต้นอาทิตย์ ถือเป็นการรู้จักกันอย่างรวดเร็ว และมีการติดต่อกันบ่อยมากที่สุดแล้วมั้งในระยะเวลาที่ผ่านมาแค่หนึ่งอาทิตย์ ก็แปลกดี แต่ก็สนุกดีนะการได้พูดคุยกับเด็กรุ่นน้องน่ะ ได้เห็นมุมมองใหม่ๆ ของเด็กสมัยนี้ด้วย

“โทรหาใครวะ”
ยังคงถามต่อไป เพื่อนผมนี่มันขี้สงสัยจริงๆ สิน่า

“ไม่เสือกครับเพื่อน”

“ใจร้าย!”
มันตัดพ้อกันก่อนจะเบะปาก คิดว่าตัวเองน่ารักมากมั้ง... เฮ้อ ผมได้แต่มองแล้วส่ายหน้าไปมาก่อนจะทิ้งระยะมาจากไอ้จุ้นแล้วกดต่อสายคนที่อยากโทรหาในตอนนี้

เสียงสัญญาณรอสายดังอยู่จนเกือบจะตัดไปอยู่แล้ว แต่มันก็จบลงพร้อมกับเสียงที่กรอกมาด้วยความรีบร้อน สงสัยคงกำลังยุ่งแล้ววิ่งมารับโทรศัพท์แน่ๆ นี่ผมเลือกช่วงเวลาผิดสินะ

‘สวัสดีครับพี่ข้าว ขอโทษทีผมช่วยพี่เฟรนด์จัดโต๊ะอาหารอยู่ครับ’
ฟังน้ำเสียงปลายสายแล้วได้แต่อมยิ้มเพราะมันเต็มไปด้วยเสียงหอบ คงรีบวิ่งมารับจริงๆ นั่นล่ะ จะสงสารหรือว่าขำก่อนดีวะเนี่ย ผมก้มมองนาฬิกาข้อมือแล้วต้องขมวดคิ้วเล็กน้อย มื้อเที่ยงของบ้านนั้นตอนบ่ายโมงเชียวเหรอ ช้ามาเลยนะนั่น

“ไม่เป็นไรๆ กินข้าวสายนะเรา”
ผมแซวกลับไปเลยได้รับเสียงหัวเราะแห้งๆ กลับมา ก่อนคำอธิบายจะพร่างพรูต่อ

‘วันนี้พี่เฟรนด์คิดเมนูนานไปหน่อยครับ แล้วนี่พี่ข้าวมีอะไรครับหรือว่าคิดถึงผมกันน้า’
น้ำเสียงปลายประโยคทำให้ผมสำลักอากาศอย่างห้ามไม่ได้จนต้องผละโทรศัพท์ออกไปไกลๆ เพราะกลัวอีกฝ่ายจะหูแตกเพราะเสียงไอซะก่อน มันน่าลอดออกไปโผล่อีกฝั่งแล้วตบกบาลให้แยกนัก พูดอะไรออกมาวะนั่น จะหลงตัวเองไปไหนคนเรา

“ใครเขาคิดถึงเรา อย่ามโนน่า”
ผมดุไม่เต็มเสียงเพราะไม่ได้โกรธอะไรเขาเลยสักนิด แค่หมั่นไส้เล็กน้อยเท่านั้นเอง แฮงค์หัวเราะเบาๆ กลับมาให้กัน หน้าตาตอนนี้คงยิ้มจนปากฉีกไปแล้วมั้งที่ได้แกล้งคนอื่นเนี่ย

‘โธ่ ก็เผื่อฟลุ๊คไงครับ’

“จะถามว่าซื้อแผ่นเกม Final Fantasy ที่อยากได้หรือยัง พอดีพี่อยู่ร้านเกม”
บอกจุดประสงค์ที่แท้จริงออกไปเพราะไอ้จุ้นเริ่มทำคอยืดคอยาวมองกันแล้ว ขืนโทรศัพท์นานไม่วายเจ้าตัวเสือกจะเดินมาหากัน

‘ยังเลยพี่ข้าว ผมเอาเงินไปซื้อ Play Station 4 หมดแล้ว แผ่นคงรอปลายอาทิตย์ครับ’
น้ำเสียงตอนแรกก็ยินดีอยู่หรอกที่ตัวเองสามารถซื้อเครื่องเล่นเกมได้ แต่ท้ายประโยคฟังยังไงก็แปลความหมายได้ว่ากำลังนอยด์ มีเครื่องแต่ไม่มีแผ่นมันก็ไร้ประโยชน์น่ะสิ

“งั้นพี่ซื้อให้แฮงค์ก่อนดีไหม ปลายอาทิตย์ค่อยจ่ายเงินพี่ก็ได้”
ผมยื่นข้อเสนอให้เขา เพราะยังไงๆ ก็มาแล้ว จะซื้อไปให้เลยก็คงไม่เป็นไรหรอก ดีซะอีกจะได้เริ่มเล่นไปพร้อมกัน ถ้าใครติดตรงไหนด่านไหนก็สามารถแชร์ข้อมูลกันได้ ทำแบบนี้การเล่นเกมมันจะสนุกขึ้นมาเป็นเท่าตัวผมคิดว่านะ

ปลายสายร้องเสียงหลงด้วยความตื่นเต้นแทบไม่เป็นภาษา จนผมหลุดหัวเราะออกมากับความโอเว่อร์ของแฮงค์ ใครว่าเขาเป็นคนเงียบขรึมนี่ผมขอเถียงขาดใจเลยว่ะ พวกนั้นเองมากกว่าที่ตีหน้ายักษ์ใส่น้อง

‘เฮ้ย ได้เหรอพี่ข้าว ทำไมน่ารักแบบนี้วะ ขอบคุณนะครับ!!!’
ชมกันว่าน่ารักอีกแล้ว... ไม่รู้สึกว่ามันแปลกบ้างหรือไงวะ แต่ผมก็ไม่ได้ท้วงอะไรออกไปเพราะไม่อยากขัดคนกำลังดีใจหรอก ยอมรับว่าตัวเอง ‘น่ารัก’ สักครั้งหนึ่งคงไม่เป็นอะไรมากหรอกมั้งถึงจะขนลุกอยู่นิดหน่อย

“เออๆ พรุ่งนี้พี่เอาไปให้ที่มหา’ลัยก็แล้วกันนะ”

‘น่ารักที่สุดเลยครับ เดี๋ยวผมหอมแก้มเป็นรางวัลนะ’
น้ำเสียงทะเล้นตอบกลับมาทำให้ผมคิ้วกระตุก อะไรคือการบอกว่าจะหอมแก้มเป็นรางวัลวะ! พูดอะไรออกมานี่คิดบ้างหรือยังว่าทำให้คนอื่นใจกระตุก ขนลุกขนชันไปหมดแล้วเว้ย ก็ว่าจะไม่ดุน้องแล้วนะแต่มันอดไม่ได้ ขอหน่อยแล้วกัน

“ไอ้แฮงค์ ไม่เล่น”
ผมกดเสียงต่ำเพื่อขู่กัน เอาจริงๆ ก็ไม่ได้จริงจังอะไรนักหรอก อยากรู้ว่าน้องมันจะกลัวกันบ้างหรือเปล่าแค่นั้น

‘ถ้าบอกว่าไม่ได้เล่นแต่จะหอมจริงๆ พี่ข้าวจะยอมเหรอ’
ยัง... ยังมีหน้าจะถามอีก ใช้น้ำเสียงออดอ้อนด้วยนะ มันไม่น่ารักอย่างสาวๆ หรอก แต่มันน่ากระทืบสักครั้งสองครั้งต่างหาก

“จะเอาไหมแผ่นเกม ถ้าไม่เอาก็รอซื้อเองปลายอาทิตย์แล้วกัน”
เอาสิวะ ให้รู้บ้างว่าใครเป็นใหญ่และใครต้องยอมใคร หึ

‘เอาๆ พี่ข้าวอย่าโกรธผมนะ ขอโทษครับ ~’
เสียงหงอยเลยทีเดียว บอกแล้วว่าผมถือไพ่เหนือกว่า มุมปากกระตุกเป็นรอยยิ้มอย่างพึงพอใจ พูดอะไรกันอีกเล็กน้อยก็ขอวางสายแล้วจัดการเรื่องซื้อแผ่นเกมให้เรียบร้อย พอเดินกลับไปหาไอ้จุ้น มันก็เหล่มองจับพิรุธกันซะอย่างนั้น ผมไม่ได้พูดอะไรแต่ดึงของมาจากมือเพื่อนสนิทแล้วหยิบเพิ่มอีกแผ่นไปจ่ายเงินทันที

ออกมาจากร้านเกมเพื่อจะตรงกลับบ้านเลยเพราะอยากเล่นเกม แต่ดูเหมือนไอ้จุ้นมีเรื่องค้างคาใจอยากถามกัน เพราะเห็นมันอ้าปากหุบปากอยู่นานแล้ว ผมเลยตัดสินใจหยุดเดินแล้วจ้องหน้ามันพลางเลิกคิ้วเป็นเชิงถามว่ามีอะไรจะพูดก็ให้พูดมา

“จะถามอะไรก็ถามมา เห็นมึงอ้าปากหุบปากเป็นปลาทองหลายรอบแล้วน่ารำคาญว่ะ”
ว่าด้วยเสียงไม่จริงจังนักแล้วยืนกอดอกมองหน้าเพื่อนสนิท ไอ้จุ้นสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะพ่นคำถามออกมา

“ทำไมซื้อแผ่นเกมไปสองแผ่นวะ”
ผมพ่นลมหายใจออกมาแรงๆ เมื่อได้ฟังคำถามจบ ทำอย่างกับจะถามเรื่องคอขาดบาดตายกันซะอย่างนั้น เฮ้อ ไอ้เราก็อุตส่าห์ลุ้นจนตัวโก่ง เสียเวลาจริงๆ เลยเว้ย

“อยากซื้อ มีปัญหาไรปะ ถ้าไม่มีจะรีบกลับไปเล่นเกมแล้ว”
ผมถามก่อนจะเลิกคิ้วใส่มัน ไอ้จุ้นยิ้มแหยแล้วออกแรงดันหลังให้เดินต่อ ก็เป็นซะอย่างเนี่ย กลัวเมียไม่พอยังมากลัวเพื่อนอีก ชีวิตเจริญแน่ๆ แต่ก็เป็นข้อดีของมันนะที่ไม่ชอบมีปากเสียงกับคนอื่น คิดไปคิดว่าก็แอบงงตัวเองที่ไม่ยอมบอกความจริงกับมันไป คงกลัวจะโดนแซวอีกมั้ง ช่างมันเถอะ ขี้เกียจคิดให้รกสมอง

กลับบ้านมาในเวลาเกือบห้าโมงเย็นเพราะกว่าจะฝ่ารถติดมาได้ก็แทบแย่ แล้วที่น่าตกใจคือพี่ต้นยังกลับไม่ถึงบ้าน ทั้งๆ ที่ออกไปตั้งแต่เช้า คือแบบว่า... จะติดลมติดใจอะไรกับน้องกันย์ขนาดนั้นวะ ดูท่าทางแล้วพี่ชายผมคงจะทิ้งเขี้ยวเล็บเพราะเด็กผู้ชายคนนี้แน่ๆ คิดแล้วก็เผลอยิ้มออกมาไม่ได้ พี่มีความสุขน้องชายอย่างผมก็พลอยมีความสุขไปด้วย

ผมพาตัวเองมาทิ้งตัวนั่งลงบนเตียงแล้วหยิบแผ่นเกมออกมาแล้วจัดการถ่ายรูปส่งให้กับแฮงค์ในไลน์ อีกฝ่ายแทบจะตอบกลับมาในทันทีจนผมได้แต่ขมวดคิ้วแน่น ไอ้เด็กคนนี้ติดโซเชี่ยลขนาดนั้นเลยหรือยังไงวะ

แฮงค์
-   ขอบคุณมากเลยครับ ~ 17:43
-   *สติ๊กเกอร์รูปหมีบราวน์กอดโคนี่มีหัวใจอยู่ตรงกลาง*

มุมแบ๊วๆ ของเดือนมหา’ลัยสินะ ไอ้การส่งสติ๊กเกอร์แบบนั้นกลับมาเนี่ย
 



-----------------------------------------------------------

ช่างไม่รู้อะไรบ้างเลย ~ 555555555555
พี่ข้าวมันยึดหลักไม่บอกตรงๆ จะไม่เข้าใจเว้ย ยึดหลักความชัดเจนนะเออ
ส่วนพี่ต้นนี่คงโดนกันย์ทำของใส่แล้วล่ะ...


ออฟไลน์ milin03

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 481
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-1
Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาครั้งที่ 5 -P.2- (05.12.2016)
«ตอบ #42 เมื่อ05-12-2016 20:21:55 »

คู่นี้น่าจะนานนะ เนียนๆกันไปทั้งสองคนเลย  :ruready

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาครั้งที่ 5 -P.2- (05.12.2016)
«ตอบ #43 เมื่อ05-12-2016 20:48:29 »

พระเอกไม่กล้า คนอ่านก็รอไปจ้า

ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6283
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาครั้งที่ 5 -P.2- (05.12.2016)
«ตอบ #44 เมื่อ05-12-2016 21:48:24 »

แฮงค์ต้องไปเรียนรู้วิธีรุกจากพี่ต้นนะ 5555

ออฟไลน์ BAKA

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3025
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +66/-10
Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาครั้งที่ 5 -P.2- (05.12.2016)
«ตอบ #45 เมื่อ05-12-2016 23:32:49 »

แฮงค์ก็รีบรวบรวมความกล้าแล้วบอกไปตรงๆ เลยไหมล่ะ เดี๋ยวไม่ทันพี่ต้นนะนั่น ฮาาาา

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5358
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19
Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาครั้งที่ 5 -P.2- (05.12.2016)
«ตอบ #46 เมื่อ05-12-2016 23:45:41 »

 :laugh:

ออฟไลน์ tear0313

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 318
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาครั้งที่ 5 -P.2- (05.12.2016)
«ตอบ #47 เมื่อ06-12-2016 01:38:53 »

สงสารเด็กมันเหลือเกิน

ออฟไลน์ MayA@TK

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4991
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-7
Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาครั้งที่ 5 -P.2- (05.12.2016)
«ตอบ #48 เมื่อ06-12-2016 13:40:16 »

คงอีกนานกว่าพี่ข้าวจะยอมรับว่าแฮงค์จีบ และก็คงอีกนานน๊านนาน ที่พี่ข้าวจะรับรักแฮงค์

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ zuu_zaa

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2003
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +115/-1
Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาครั้งที่ 5 -P.2- (05.12.2016)
«ตอบ #49 เมื่อ06-12-2016 20:01:53 »

 o13

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาครั้งที่ 5 -P.2- (05.12.2016)
« ตอบ #49 เมื่อ: 06-12-2016 20:01:53 »





ออฟไลน์ Ch0cmint

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 401
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +153/-5
Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาครั้งที่ 6 -P.2- (07.12.2016)
«ตอบ #50 เมื่อ07-12-2016 11:14:02 »

เมาครั้งที่ 6




   ตีห้า...
   ร่างกายสะดุ้งตื่นโดยอัตโนมัติทั้งๆ ที่ไม่ได้ตั้งนาฬิกาปลุกแต่อย่างใด อาจจะด้วยเพราะความตื่นเต้นที่มีตั้งแต่เมื่อคืนก็ได้ วันนี้เป็นวันแรกที่ต้องรับหน้าที่เป็นอาจารย์สอนในมหาวิทยาลัยและต้องรับมือกับพวกเด็กปีสาม ผมรีบลงจากเตียงด้วยความทุลักทุเลเพราะกลัวจะไปสาย บ้านอยู่ไกลจากจุดหมายอยู่มากโข อีกอย่างหนึ่งคือวันนี้เป็นวันจันทร์ที่รถติดมากเป็นพิเศษอีกด้วย แต่ผ้านวมเจ้ากรรมไม่ได้รับรู้ถึงความรีบร้อนนั้นเพราะมันพันแข้งพันขาจนพาให้ทิ้งดิ่งลงกับพื้น ความเจ็บรวดร้าวแล่นปลาบไปทั่วร่างกาย จากที่ง่วงๆ อยู่ดันตื่นเต็มตาเอาตอนนี้เลย เหี้ย

   “โอ้ย เจ็บเว้ย!”
   เผลอโวยวายออกไปเสียงดังเพราะเจ็บไปทั้งซีกซ้ายที่ล้มลงกับพื้น พยายามดันตัวลุกขึ้นแล้วแกะตัวเองออกจากผ้านวมเจ้าปัญหาด้วยความหงุดหงิด ไม่นานนักประตูก็เปิดออกด้วยฝีมือพี่ต้นที่อยู่ห้องด้านข้าง ตอนแรกกะว่าจะอ้อนสักหน่อยแต่พอเห็นสภาพพี่ชายผมชี้โด่ชี้เด่กับใบหน้ายุ่งเหยิงเลยพาลทำให้หลุดหัวเราะไปซะอย่างนั้น

   “หัวเราะอะไร แล้วเสียงดังโวยวายแต่เช้านะเรา”
   พี่ต้นเอื้อมมือไปขยี้หัวตัวเองก่อนจะสาวเท้าเข้ามาในห้อง ดีหน่อยที่ผมเปิดโคมไฟเรียบร้อยแล้ว ไม่อย่างนั้นคงโดนเหยียบกันบ้างล่ะ เขาทิ้งตัวลงบนที่นอนแล้วทิ้งตัวลงแผ่เหมือนปลาดาว สภาพต่างจากตอนปกติเป็นไหนๆ อยากถ่ายรูปแล้วส่งไลน์ฝากแฮงค์ไปให้กันย์ดูเหลือเกิน อยากรู้ว่าน้องยังสนใจไอ้คนสองบุคลิกนี่อยู่อีกหรือเปล่า

   “สะดุดผ้านวมตกเตียง เจ็บไปทั้งตัวแล้วเนี่ย”
   ผมตอบกลับไปก่อนจะลุกขึ้นยืนแล้วร้องโอดโอยอีกครั้งเพราะรู้สึกเจ็บ ไอ้ผ้านวมก็ยังนอนกองอยู่แทบเท้าและด้วยความโมโหเลยเตะมันออกไปไกลๆ แทนที่จะรีบไปอาบน้ำเนอะคนเรา ยังมีเวลาหงุดหงิดใส่สิ่งของอยู่อีก แล้วนี่อะไร ไอ้ปลาดาวยักษ์จะยึดเตียงกันเลยหรือยังไง นอนไม่ขยับตัวเลยสักนิดแถมตายังปิดสนิทอีกด้วย

   “อย่ารีบสิ ทำอะไรตั้งสติหน่อย”
   เสียงอู้อี้ดังออกมาจากคนที่ยังปิดตาสนิทอยู่บนเตียง ผมชะงักเท้าที่กำลังจะก้าวสู้ห้องน้ำแล้วหลุดยิ้มออกมาเล็กน้อย นี่ล่ะมั้งที่ทำให้อาการหวงน้องของพี่ต้นดูซอฟท์ลงเพราะเจ้าตัวเป็นห่วงกัน

   “ครับๆ ผมไปอาบน้ำแล้วนะ ออกไปแล้วปิดประตูห้องให้ด้วย”
   ผมตอบกลับไปก่อนจะพาตัวเองเข้าห้องน้ำ เสื้อผ้าถูกถอดออกอย่างลวกๆ ทำใจอยู่สักพักถึงจะก้าวไปยืนอยู่ใต้ฝักบัวได้แบบไม่ตะขิดตะขวงใจสักเท่าไหร่ สายน้ำอุ่นๆ ไหลรินรดร่างกายทำให้รู้สึกสดชื่นขึ้นมาอีกนิดหน่อย ฟองสบู่ถูกไล่ถูไปตามส่วนต่างๆ และถูชะล้างออกไปในเวลาต่อมา

   เสื้อเชิ้ตแขนยาวสีฟ้าอ่อนถูกสวมใส่ตามด้วยกางเกงสแล็กสีดำสนิท เนคไทสีเรียบหนึ่งเส้นถูกผูกอย่างลวกๆ ไม่มีความเรียบร้อยเท่าที่ควรจนเดือดร้อนพี่ต้นที่ยังนอนแผ่อยู่บนเตียงลุกขึ้นมาจัดการให้อีกตามเคย โดยปกติแล้วไม่ชอบอะไรแบบนี้ไงมันเรียบร้อยเกินไปดูน่าอึดอัดจะตาย

   ดวงตาคมจ้องมองเนคไทที่กำลังแก้ผูกใหม่ ลมหายใจอุ่นๆ เป่ารดศีรษะกันแล้วพาลให้ง่วงอีกรอบ ถ้าใครมาเห็นเราสองคนในสภาพนี้อาจจะคิดว่าเป็นแฟนกันก็ได้ มีอย่างที่ไหนพี่ชายมายืนจัดแจงเสื้อผ้าให้น้องชายด้วยสายตาอ่อนโยนแบบนี้กันล่ะ แต่ด้วยความชินที่โดนปฏิบัติแบบนี้มาตั้งแต่เด็กเลยไม่คิดว่ามันแปลกอะไร แต่สำหรับคนอื่นน่ะแปลกแน่ๆ

   “แต่งตัวให้มันดูดีหน่อย อาจารย์การินจะได้ดูน่านับถือในสายตานักศึกษา”
   รอยยิ้มบางถูกส่งมาให้ก่อนที่มือหนาจะตบลงมาบนบ่าราวกับให้กำลังใจกัน ผมพยักหน้ารับคำพี่ต้นก่อนจะก้มมองฝีมือการผูกเนคไทของเขา มันดูดีมากต่างจากตัวเองทำราวฟ้ากับเหว นี่ล่ะมั้งความแตกต่างอีกข้อหนึ่งระหว่างพี่น้อง

   “คืนนี้ผมค้างคอนโดนะ”
   ผมบอกก่อนจะหยิบกระเป๋าเอกสารและกุญแจรถมาถือไว้ ความจริงอยากลองนั่งรถโดยสารประจำทางดูบ้างแต่โดนพี่ต้นห้ามไว้ พอถามถึงเหตุผลก็ไม่ยอมตอบอะไรกลับมานอกจากบังคับให้ขับรถไปเอง เบื่อความปากหนักของเขาจริงๆ เรื่องง่ายๆ ไม่ค่อยชอบพูดหรอก แต่ไอ้เรื่องยากๆ อย่างเช่นบอกความรู้สึกกับคนอื่นนี่เก่งจัง บอกกันง่ายเหลือเกิน

   “อืม เลิกสอนสองทุ่มสินะ”
   พี่ต้นเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบแล้วจ้องมองหน้ากันอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะถอนหายใจออกมาเบาๆ แล้วคลี่ยิ้มบางให้

   “ครับ งั้นผมไปก่อนนะ”
   ผมบอกลาเขาด้วยรอยยิ้มก่อนจะก้าวออกจากห้องนอน แต่ยังก้าวไม่ถึงไหนเสียงทุ้มก็รั้งกันเอาไว้อีกครั้งหนึ่ง

   “โอเค ขับรถดีๆ แล้วกัน”
   
   ผมขับรถมาจอดที่ลานจอดรถคณะดิจิทัลอาร์ตในเวลาเจ็ดโมงนิดๆ ก่อนจะโทรหาพี่ปันที่มีสอนเวลาแปดโมง เพราะนัดไว้ก่อนหน้านี้แล้วว่าจะไปกินข้าวเช้าด้วยกัน ปลายสายบอกว่าอีกห้านาทีจะถึงให้ยืนรอตรงลานจอดรถได้เลย คือให้รอก็ไม่มีปัญหาอะไรหรอก แต่นักศึกษาที่ผ่านไปผ่านมาแล้วแอบมองกันนี่สิ รู้สึกทำตัวไม่ถูกยังไงไม่รู้ เพื่อแก้ปัญหาเฉพาะหน้าเลยหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมากดเล่นแล้วตัดขาดจากโลกภายนอก

   “พี่ข้าว!”
   เสียงเรียกที่ดังจากด้านหลังทำให้ผมสะดุ้งสุดตัวเกือบจะปล่อยโทรศัพท์หลุดมือไปแล้ว ใบหน้าหล่อเหลายิ้มแย้มนั้นทำให้อยากจะง้างเท้าเตะซะให้เข็ด เรียกกันด้วยโทนเสียงธรรมดาไม่ได้หรือยังไงกันวะ

   “ตกใจหมด แล้วนี่ทำไมมาแต่เช้า ไหนว่าเรียนเซคเย็น”
   ผมถลึงตาใส่ก่อนจะตั้งคำถามขึ้น เพราะจำได้ว่าแฮงค์บอกกันไว้แบบนั้น แล้วอยู่ดีๆ มาโผล่ตั้งแต่เช้าแบบนี้ก็อดแปลกใจไม่ได้น่ะสิ โทรศัพท์มือถือถูกเก็บใส่กระเป๋ากางเกงตามเดิมแล้ว เผลอชะเง้อมองหาพี่ปันที่บอกว่าอีกห้านาทีจะถึงแล้วแต่ยังไม่โผล่หัวมา อะไรของมันวะ หิวข้าวจะตายอยู่แล้ว

   “มีถ่ายแบบการแต่งกายถูกระเบียบน่ะครับ”
   ผมมองแฮงค์ตั้งแต่หัวจรดเท้าแล้วพยักหน้าเข้าใจ เออ วันนี้น้องมันแต่งตัวเนี๊ยบมากเลยล่ะ คนที่เป็นอาจารย์ยังดูดีไม่เท่าเลย เทียบรัศมีไม่ติดจริงๆ หรือว่าผมแก่เกินไปแล้ววะเนี่ย

   “อ๋อ ก็งี้ล่ะนะเดือนมหา’ลัย งานเยอะเลยดิ”
   
   “นิดหน่อยครับ แล้วนี่พี่กินข้าวมาหรือยัง ไปกินด้วยกันไหม”

   “พี่รออาจารย์ปันอยู่น่ะ บอกว่าห้านาทีจะถึงแต่ยังไม่โผล่หัวมาเลย”
   ผมบอกด้วยน้ำเสียงหงุดหงิดเล็กน้อยแล้วชะเง้อคอมองหาพี่ปันอีกรอบ เผื่อมันจะแอบไปเหล่นักศึกษาสาวๆ ตรงมุมไหน จะได้เก็บไปฟ้องว่าที่เจ้าสาวมันซะ โทษฐานปล่อยให้น้องนุ่งรอนานเนี่ย

   แฮงค์เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยแล้วทำท่าเหมือนกำลังใช้ความคิด และไม่นานเขาก็ร้องอ๋ออกมาแล้วไขความกระจ่างว่าทำไมพี่ปันถึงได้มาช้านัก

   “พี่ข้าวหมายถึงอาจารย์ปันนพใช่ปะ”
   แฮงค์ถามกลับมาซึ่งผมก็พยักหน้ารับไป ดูท่าทางพี่ปันน่าจะมีปัญหาอะไรสักอย่างแต่ลืมบอกผมแน่ๆ

   “เออใช่ แฮงค์เห็นเขาเหรอ”

   “เห็นครับ เหมือนอาจารย์จะเลี้ยวรถเข้าโรงพยาบาลสัตว์ของมหา’ลัยนะ”

   “ห๊ะ ไปทำไมวะนั่น”
   ผมร้องเสียงหลงแล้วรีบล้วงโทรศัพท์มือถือออกมาอีกครั้งเพื่อกดโทรหาพี่ปันแล้วพูดแบบไร้เสียงว่าให้แฮงค์รอกันก่อน ถ้าคุณปันนพไม่ว่างจะได้ไปกินข้าวกับน้องมันเลย เพราะนี่ก็ใกล้เวลาสอนเข้าไปทุกทีแล้ว ไม่นานปลายสายก็รับแล้วกรอกเสียงตกใจกลับมาให้กัน

   ‘เฮ้ย ไอ้ข้าว พี่ขอโทษๆ ตอนนี้ไม่สะดวกไปกินข้าวด้วยว่ะ พอดีมีคนชนแมวเลยพามันมาส่งที่โรงพยาบาล’
   น้ำเสียงสำนึกผิดเต็มที่ดังลอดออกมาทำให้ผมได้แต่ถอนหายใจแล้วเบ้ปากเล็กน้อย มาทำงานวันแรกก็โดนทิ้งซะแล้ว พี่ปันแม่งบอกกันซะดิบดีว่าจะเป็นพี่เลี้ยงให้หนึ่งอาทิตย์ แล้วดูมันทำกับผมสิ ติดธุระยังลืมโทรมาบอกเลย จะรอดไหมถามจากใจ

   “เออ ถ้าผมไม่โทรไปนี่ไม่ต้องรอจนหิวข้าวตายเลยเหรอพี่ปัน”
   ก็ว่าจะไม่โวยวายแล้ว แต่ขอหน่อยเถอะ กลัวจะมีครั้งต่อๆ ไปอีก มาทำงานที่นี่สังคมมันกว้างขวางถึงผมจะอัธยาศัยดีก็จริง แต่อาจารย์มหาวิทยาลัยก็อาจจะเข้าถึงยาก

   ‘ขอโทษๆ ลืมจริงๆ ว่ะ เดี๋ยวค่อยไถ่โทษพาไปเลี้ยงข้าวตอนเย็น’

   “ผมเลิกสองทุ่ม พี่จะรอหรือไง”
   
‘เออเว้ย เอาไว้วันอื่นแล้วกันนะหนู ไปหาอะไรกินๆ จะถึงเวลาสอนแล้ว’
ดูไอ้พี่ปันเรียกกันว่าหนูดิ โคตรเกลียด! ผมไม่ใช่เด็กผู้หญิงนะเว้ย แต่ขี้เกียจเถียงด้วยเพราะรู้ว่ายังไงคงไม่ชนะหรอก เลยได้แต่ยืนขบเขี้ยวเคี้ยวฟันตัวเองก่อนที่เขาจะตัดสายไปก่อน เจอเมื่อไหร่จะกระทืบให้ม้ามแตกไม่ต้องแต่งงานกับแฟนมันแล้ว

“เอ่อ... ตกลงว่าไปกินข้าวกับผมแทนไหมครับ”
แฮงค์ถามอย่างกล้าๆ กลัวๆ ส่วนผมแค่พยักหน้ารับแล้วจับต้นแขนลากน้องออกไปทันที ไม่อยากพูดอะไรมากแล้วคนกำลังหิว แต่พอเดินไปได้สักพักกลับรู้สึกเหมือนโดนดวงตาคมจ้องกันผมเลยหันไปมองคนด้านข้างและได้รอยยิ้มกริ่มกลับมา ไม่เข้าใจว่าจะยิ้มอะไรนักหนาวะ แค่โดนจับแขนมีความสุขขนาดนั้นเลยเหรอคนเรา แปลกประหลาดเกินไปแล้ว

“ยิ้มอะไร”
ผมถามก่อนจะผละมือออกแล้วเร่งฝีเท้าเดินเข้าไปในโรงอาหารคณะซึ่งตอนนี้มีนักศึกษาและบรรดาบุคคลากรต่างๆ อยู่จำนวนไม่น้อย ยอมรับว่าแปลกตาอยู่มากเพราะไม่เคยเข้ามาเหยียบมหา’ลัยอีกเลยหลังเรียนจบไป ร้านค้าดูดีขึ้นผิดหูผิดตา บางร้านนี่สาวๆ สวยๆ เป็นแม่ค้า ดีต่อใจเหลือเกิน

“ไม่จับแขนผมต่อแล้วเหรอ”
น้ำเสียงอ่อยๆ ถามกันหลังจากเราหยุดยืนและมองหาอาหารที่อยากกิน ผมชะงักกึกแล้วจ้องหน้าแฮงค์เขม็ง ทำไมต้องจับแขนต่อด้วยวะ จับไปแล้วไม่เห็นมีประโยชน์อะไรเลยนี่หว่า

“จับแล้วได้อะไรวะ จะเลี้ยงข้าวพี่หรือไงเรา”

“ถ้ายอมจับผมเลี้ยงข้าวพี่ก็ได้น้า”
ตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงทะเล้นจนผมเกิดหมั่นไส้เลยประเคนหมัดใส่ต้นแขนแกร่งไปไม่แรงนักแล้วเลือกเดินไปที่ร้านข้าวต้มแทน ช่วงเช้าๆ ขอกินอะไรที่สบายท้องก็แล้วกัน

“ป้าครับ ข้าวต้มหมูใส่ไข่หนึ่ง”
ผมสั่งไปแล้วยืนรอตรงนั้นพร้อมส่งรอยยิ้มละมุนให้ป้าเขาไปหนึ่งครั้ง ไม่นานนักร่างสูงคุ้นเคยก็มายืนข้างๆ แล้วออกปากสั่งเมนูเดียวกันไม่มีผิด บางครั้งก็หมั่นไส้ความหล่อออร่าของแฮงค์นะ เพราะถ้าสังเกตดีๆ แล้วตอนที่เดินผ่านนักศึกษามานั้น สายตาของพวกเขาก็เอาแต่จับจ้องร่างสูงนี้ มีบ้างที่จะเผื่อแผ่สายตามาที่คนแก่อย่างผม เออ ใช่สิ เรามันเก่าแล้วนี่ใครจะสนใจ

หลังจากที่ได้ข้าวต้มมาไว้ในอุ้งมือทั้งสองคนแล้วผมก็เป็นคนจ่ายเงินทั้งหมดให้เอง เพราะถือว่าแฮงค์มากินข้าวเป็นเพื่อนกันมื้อนี้ ตอนแรกน้องก็ไม่ยอมหรอก แต่โดนส่งสายตาดุๆ ไปให้ก็เลยเงียบและยอมแต่โดยดี กลิ่นหอมหวนของข้าวต้มทำให้ท้องส่งเสียงร้องโครกครากจนน่าอายเลยได้แต่รีบสาวเท้าไปหาที่นั่งทันทีและลงมือกินมันอย่างไม่รอช้า

“พี่ข้าวสอนคลาสแรกเสร็จกี่โมงครับ”
แฮงค์ที่จัดการอาหารตรงหน้าหมดก่อนถามขึ้นในขณะที่ผมยังคงเคี้ยวหมูสับอยู่ในปาก มือทั้งสองข้างที่ว่างอยู่เลยยกนิ้วชี้ขึ้นข้างละหนึ่ง นั่นหมายถึงเวลาสิบเอ็ดโมงตรงนั่นเอง มีเวลาพักสองชั่วโมง อ่า... สวรรค์จริงๆ

“สิบเอ็ดโมงเหรอครับ ผมถ่ายแบบเสร็จพอดีเลย ไว้มากินข้าวด้วยกันอีกไหม”
คำชวนที่แสนธรรมดานั้นทำให้ผมพยักหน้ารับโดยไม่คิดอะไรมากแต่กลับทำให้แฮงค์ยิ้มกว้างด้วยความดีใจแบบไม่ปิดบัง บางครั้งถ้าแหกปากร้องตะโกนออกไปได้โดยไม่โดนด่าคงทำไปแล้วมั้ง ชอบทำตัวโอเว่อร์ตลอดเลยให้ตายสิ

“พี่ข้าวน่ารัก”
แฮงค์พึมพำเสียงเบาแต่ผมกลับได้ยินอย่างชัดเจนจนคิ้วขมวด ชมว่าน่ารักอีกแล้วว่ะ ไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่ว่าการกระทำแสนธรรมดามันน่ารักตรงไหน ก็แค่ตอบรับว่าจะมากินข้าวด้วย มันเป็นอะไรที่วิเศษขนาดนั้นเลยเหรอ

“บอกให้เลิกชมว่าน่ารักไง”
ผมบอกด้วยน้ำเสียงไม่จริงจังนักก่อนจะตักข้าวต้มคำสุดท้ายเข้าปากและตามด้วยการคว้าขวดน้ำดื่มมากระดกลงคอ สายตาดันเหลือบไปเห็นสาวๆ โต๊ะด้านหลังแฮงค์ยกโทรศัพท์ขึ้นถ่ายรูป อยากจะหลบอยู่หรอกแต่ทำเป็นไม่รู้เรื่องจะดีกว่า ผมเกลียดการโดนแอบถ่ายน่ะ

“ไม่ชอบเหรอ”
ยังมีหน้ามาถาม ผู้ชายที่ไหนโดนชมว่าน่ารักแล้วเกิดอาการภูมิใจบ้างล่ะเฮ้ย เดี๋ยวชมกลับบ้างไหมล่ะ

“ใครมันจะชอบ พี่จะไปสอนแล้ว เจอกันตอนสิบเอ็ดโมงแล้วกัน”
ผมลุกขึ้นเต็มความสูงก่อนจะคว้าถ้วยข้าวต้มมาถือไว้ในมือเพื่อเอาไปเก็บ แต่แฮงค์กลับรั้งข้อมือกันเอาไว้ก่อนทำให้ต้องขมวดคิ้วมองด้วยความงุนงง กำลังรีบอยู่เนี่ย มีอะไรอีกล่ะ

“มีอะไร พี่รีบ”

“ผมเอาไปเก็บให้ครับ พี่ข้าวรีบไปสอนเถอะ”
แฮงค์บอกก่อนจะคว้าจานจากมือไปด้วยรอยยิ้มหล่อ ผมได้แต่เลิกคิ้วแล้วปล่อยให้เขาทำตามใจ เออ ก็ดีเหมือนกันจะได้ไม่เสียเวลาเดินไปเก็บจาน จริงๆ แล้วการได้รู้จักกับเด็กคนนี้ก็ถือว่าเป็นเรื่องดีๆ นะ ชอบมาทำอะไรให้กันตลอดโดยไม่ต้องร้องขอ ใช้คำว่า ‘น่ารัก’ ชมคงได้อยู่หรอกมั้ง

“โอเค ขอบคุณมากนะ”

“ไม่เป็นไรครับ สำหรับพี่ข้าวผมเต็มใจเสมอ”
อ่า... รูปแบบประโยคมันแปลกๆ ว่าไหม แต่ผมไม่มีเวลาคิดอะไรแล้วเพราะอีกแค่สิบนาทีคลาสเรียนจะเริ่มก็เลยต้องรีบบอกลาแล้วผลุนผลันออกมาทันที

การสอนเซคแรกเป็นไปอย่างทุลักทุเลเพราะเต็มไปด้วยความขัดเขินและความตื่นเต้นของตัวเอง แต่นักศึกษาส่วนใหญ่ก็ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี แล้วมีนักศึกษาผู้หญิงบางคนเดินมาขอถ่ายรูปด้วยหลังหมดคาบอีก จะบอกว่าไม่อยากถ่ายก็คงไม่ได้เดี๋ยวจะโดนเขม่นตั้งแต่วันแรกอีก โธ่ คิดผิดหรือคิดถูกวะที่เสี่ยงมาไฟท์กับเด็กอายุยี่สิบเนี่ย

ผมเดินออกมาจากห้องด้วยใบหน้าอิดโรยเล็กน้อยเพราะไม่คุ้นชินงานที่ต้องใช้น้ำเสียงบ่อยๆ แบบนั้น ระหว่างทางเดินเพื่อไปโรงอาหารของคณะก็เจอเข้ากับพี่ปันที่เดินหอบหนังสือพะรุงพะรังเดินเข้ามาใกล้ และสิ่งแรกที่ทำให้มันคือการเบะปากใส่ทันที ยังไม่หายเคืองเรื่องเมื่อเช้าว่ะ

“อะไรวะข้าว ยังงอนพี่อีกเหรอไง”
คนหอบของพะรุงพะรังย่นคิ้วเข้าหากันจนแทบผูกเป็นปมได้ ผมไม่ได้ตอบรับอะไรแต่แสดงออกทางสีหน้าให้เห็นไปชัดๆ จนพี่ปันให้มือข้างที่ว่างเอื้อมมาโคลงหัวกันไปมา คิดว่ามันดีแล้วหรือไงมาทำตัวแบบนี้กลางทางเดินเนี่ย เห็นสายตาของนักศึกษาที่มองมาบ้างหรือเปล่าวะพี่

ผมรีบปัดมือนั้นทิ้งแล้วพยักพเยิดหน้าเป็นสัญญาณให้พี่ปันสังเกตปฏิกิริยาของคนรอบข้างบ้าง เขามองไปรอบๆ ก่อนจะหลุดหัวเราะออกมาเบาๆ แถมด้วยการยิ้มทักทายนักศึกษาพวกนั้นอีก เชื่อไหมว่าได้รับเสียงกรี๊ดเบาๆ ตอบกลับมาด้วย อาจารย์สุดฮอตของคณะดิจิทัลอาร์ต... หึ เดี๋ยวผมจะแทนที่พี่ให้ดู หมั่นไส้

“กลัวอะไรวะ ก็แค่โดนมองเอง”
ถามมาด้วยน้ำเสียงติดทะเล้นเล็กน้อย ผมถลึงตาใส่มันด้วยความหงุดหงิด แล้วมันปกติตรงไหนที่ผู้ชายสองคนมายืนเล่นหัวกันแบบนี้ คนเขาคิดไปถึงไหนต่อไหนแล้ววะเนี่ย หรือผมคิดมากไปเอง... ช่างแม่งเถอะ

“เออๆ แล้วนี่หอบหนังสือไปไหนเนี่ย”
บอกแล้วว่าคิดมากได้แค่แป๊ปเดียวหลังจากนั้นก็ช่างมันได้ง่ายๆ การเป็นคนคิดน้อยก็เป็นผลดีนะ ไม่เครียด... พี่ปันบุ้ยปากไปทางห้องพักอาจารย์จนต้องมองตามไป คงหอบเอางานนักศึกษากลับมาจากห้องสอนสินะ ไปสอนวิชาอะไรมาวะเนี่ยมีแต่หนังสือกับกระดาษเป็นตั้งๆ แบบนี้

“กลับห้องดิ แล้วนี่จะไปไหน”
เขาถามกลับมาทำให้ผมชะงักมือที่คิดจะช่วยถือหนังสือพวกนั้นกลับห้องพักให้ แต่พอเหลือบมองนาฬิกาก็พบว่าเลยเวลานัดกินข้าวกับเด็กคนหนึ่งมาเกือบครึ่งชั่วโมงเข้าไปแล้ว ที่น่าแปลกก็คือไม่มีการโทรตามหรือส่งข้อความมาเร่งกันแต่อย่างใด เป็นผมซะเองที่รู้สึกผิดให้คนอื่นรอขนาดนี้

“กินข้าว ผมไปก่อนนะพี่”
ผมบอกลาแล้วรีบก้าวขาออกมาจากตรงนั้น แต่ต้องชะงักเมื่อมือหนาจับไหล่กันไว้แน่นทำให้ต้องหันไปเลิกคิ้วมองเป็นเชิงถามว่ามีอะไรอีก คนกำลังรีบนี่ก็มีธุระกันจังเนอะ เวลาว่างๆ ไม่เห็นจะมีใครมายุ่งวุ่นวายบ้างเลย

“รอก่อนดิวะ พี่ไปด้วย เอาของไปเก็บก่อน”
พี่ปันบอกก่อนจะผละมือออกจากไหล่กันแล้วคลี่ยิ้มกว้างส่งมาให้ ผมได้แต่เบ้ปากเล็กน้อย นี่ก็เลทจนน้องมันยืนรอขาแข็งไปแล้วมั้ง ยังจะช้าไปอีกเพราะพี่ปันเนี่ยนะ ไม่ชอบผิดเวลานัดกับใครไง

“ผมนัดกับน้องเอาไว้เว้ย เลยเวลามานานแล้ว พี่เก็บของเสร็จก็ตามมาแล้วกัน”
ผมบอกไปแล้วรีบเดินออกมาโดยไม่สนใจเสียงโวยวายที่ตามมาด้านหลังเลยสักนิดเดียว เวลานี้ไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าการกินข้าวแล้วล่ะ... ก็คนมันหิวนี่หว่าใช้พลังงานไปเยอะ

ก้าวเท้าเหยียบโรงอาหารในเวลาพักมันคือหายนะเล็กๆ ในชีวิตเลยก็ว่าได้ คนอย่างกับหนอนแล้วอีกอย่างคือประเมินด้วยสายตาแล้วน่าจะไม่มีที่ว่างนั่ง สายตาสอดส่ายหาคนที่นัดกันไว้แต่ก็ไม่เจอ ไปหลบอยู่ตรงไหนวะเนี่ย สุดท้ายก็ตัดสินใจล้วงโทรศัพท์มือถืออกมากดโทรออกหาอีกคนในทันที และไม่นานนักปลายสายก็กดรับ

‘ฮัลโหลครับ พี่อยู่ไหน’
ตัดหน้าตั้งคำถามที่ผมอยากถามไปก่อนทำไมว่ะ แต่ไม่ใช่เวลาจะมาทำตัวปัญญาอ่อนตอนนี้เลยได้แต่ตอบคำถามของแฮงค์ไปอย่างช่วยไม่ได้ อากาศแม่งก็ร้อนจนเหงื่อไหล่เนี่ย เสื้อเชิ้ตแนบเนื้อไปหมดแล้ว เกลียดอากาศเมืองไทยจังเว้ย

“หน้าโรงอาหาร เราอยู่ไหน พี่มองหาแล้วไม่เจอ”
ว่าแล้วก็ชะเง้อมองหาอีกครั้งเผื่อจะเจอ แต่จนแล้วจนรอดกลับตาลายซะเอง เป็นเพราะความแก่หรืออากาศร้อนวะเนี่ย

‘หลบอยู่หลังพุ่มไม้เนี่ยครับ เดินตรงมาเลย’
คราวนี้เสียงแฮงค์เบาราวกับกระซิบเหมือนกำลังหนีอะไรสักอย่าง ผมได้แต่ขมวดคิ้วแล้วมองหาพุ่มไม้ที่น้องพูดถึงแล้วเดินตรงไปก่อนจะวางสาย ชะโงกหน้าเข้าไปก็เห็นอดีตเดือนมหา’ลัยนั่งยองๆ คุดคู้อยู่ตรงนั้น ก็ว่าจะไม่หัวเราะแล้วแต่มันอดไม่ได้จริงๆ ว่ะ

“มานั่งทำอะไรตรงนี้วะแฮงค์”
ผมถามด้วยระดับเสียงปกติแต่นั่นก็ทำให้แฮงค์สะดุ้งสุดตัว พอเห็นว่าเป็นคนรู้จักกันเขาก็รีบดีดตัวลุกขึ้นแล้วหันซ้ายหันขวามองไปรอบๆ อย่างหวาดกลัวอะไรบางอย่าง ถ้าให้เดาคงหนีแฟนคลับว่ะ... แล้วปกติมันมาเรียนยังไงวะเนี่ย

“พี่ข้าว รีบไปจากตรงนี้เถอะครับ”
แฮงค์พูดด้วยน้ำเสียงรีบร้อน ดูลุกลี้ลุกลนจนผมอดแกล้งไม่ได้ ถ้าไม่บอกเหตุผลกันมาก็จะยืนนิ่งอยู่ตรงนี้ล่ะ นี่ไม่ได้หาเรื่องเลยนะแค่เอาคืนที่ชอบชมกันว่าน่ารักแค่นั้นเอง พี่ข้าวเป็นคนใสใสนะน้องนะ รู้ไว้

“รีบไปไหนล่ะ ไม่เข้าไปในโรงอาหารเหรอ”
ผมพูดด้วยน้ำเสียงสบายๆ แล้วยืนมองอีกคนที่มีสีหน้าไม่สู้ดีนัก แว๊บหนึ่งรู้สึกได้ว่าดวงตาคมนั้นแข็งกร้าวขึ้น คงอยากไปจากตรงนี้จริงๆ นั่นล่ะ หรือว่าเจอแฟนเก่าหรือเปล่าวะ ถ้าเป็นแบบนั้นไม่แกล้งต่อแล้วก็ได้ สงสาร

“นะครับ ออกไปกินข้าวข้างนอกเถอะ เดี๋ยวผมเลี้ยงเอง นะๆ พี่ข้าวคนหล่อ ~”
น้ำเสียงออดอ้อนนั่นทำให้ผมเม้มปากแน่นเพื่อกลั้นหัวเราะ อะไรที่ทำให้คนหล่อกว่ากันมาชมอีกคนว่าหล่อวะ แต่ออกอาการหวาดกลัวมากขนาดนี้ผมก็ยิ่งอยากรู้ไง เลยยืนกรานกับตัวเองไปแล้วว่าไม่รู้คำตอบจะไม่ยอมไปไหนแน่นอน ถึงอดข้าวก็ยอม

“ไปก็ได้ แต่บอกหน่อยได้ไหมว่าเรากลัวอะไรอยู่”
ผมถามด้วยน้ำเสียงจริงจังไม่มีแววล้อเล่นใดๆ และนั่นทำให้คนที่เอาแต่มองซ้ายมองขวาชะงักกึก มองจ้องสบตากันอยู่นานนับนาที ปากสีส้มอ่อนของแฮงค์เม้มเข้าหากันราวกับตัดสินใจอะไรบางอย่าง สักพักเขาก็ปล่อยปากแล้วพ่นลมหายใจออกมาเบาๆ

“หนีแก๊งสาวสวยมาครับ”
ชื่อแก๊งฟังดูดีว่ะ แต่ทำไมหน้าตาแฮงค์เหมือนอยากร้องไห้อยู่ร่อมร่อแบบนั้น เขาเดินอ้อมพุ่มไม้มายืนข้างกันแล้วก้มลงกระซิบบอกเล่าเรื่องราวต่อเหมือนไม่อยากให้คนอื่นได้ยิน มันคอขาดบาดตายหรือเปล่าวะเนี่ย

“เขาชอบลวนลามจับน้องชายผม... รีบไปเถอะพี่”
แฮงค์พูดจบก็คว้าข้อมือกันออกเดินทันทีโดยไม่ฟังอะไรต่อ ผมที่กำลังอึ้งอยู่พอได้สติก็หลุดหัวเราะออกมาอย่างไม่เกรงใจเจ้าของเรื่อเลยสักนิด เขาหันมาเบะปากใส่กันเล็กน้อยก่อนจะรีบสาวเท้าเดินไปที่ลานจอดรถต่อ บางทีไม่ต้องลากกันก็ได้มั้งบอกให้เดินตามก็ได้นี่หว่า

“คือเขาเป็นผู้หญิงเหรอวะ หรือยังไง”
ผมยังไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่ คือคิดไม่ตกนั่นล่ะว่าผู้หญิงสมัยนี้กล้าจับของสงวนผู้ชายแบบประเจิดประเจ้อกลางมหา’ลัยเลยหรอยังไง เรื่องนี้มันทะแม่งๆ อยู่นะ ถ้าไม่รู้ความจริงวันนี้คงนอนไม่หลับอะ

“เอ่อ... กระเทยครับ”
น้องตอบกลับมาเสียงอ้อมแอ้ม ดีนะที่ผมหูไวเลยได้ยินแบบไม่ต้องถามซ้ำ กลั้นขำจนปวดแก้มไปหมดเพราะกลัวว่าแฮงค์จะทำตัวไม่ถูก จริงๆ มันก็น่าอายอยู่หรอกที่มีคนมาจับของสงวนตัวเองแบบนี้เนี่ย แล้วเจ้าตัวไม่เต็มใจอีก เลวร้ายเลยก็ว่าได้

“โห อย่าขำดิพี่ข้าว ผมกลัวนะเว้ย”
น้องว่าเสียงกระเง้ากระงอดแต่ไม่ยอมปล่อยข้อมือกันสักทีแม้จะเดินถึงลานจอดรถแล้วก็ตาม แต่ผมไม่ได้ท้วงอะไรปหรอกนะเพราะยังพยายามกลั้นขำอยู่

“โอ๋ๆ ขอโทษครับ ไม่งอนพี่นะคนดี”
ผมแกล้งว่าด้วยน้ำเสียงอ้อนๆ แล้วใช้มือข้างที่ว่างดึงแก้มน้องด้วยความมันเขี้ยว ตัวโตซะเปล่าแต่ขี้ใจน้อยจังเลยวะคนเรา แฮงค์ที่เหมือนโกรธกันในทีแรกกลับกระตุกยิ้มมุมปากขึ้นซะอย่างนั้น และถ้ามองไม่ผิดผมว่าน้องกำลังหน้าแดงนะ...

“พี่ข้าวง้อคนอื่นแบบนี้ปะ”
คำถามนี่มันเกี่ยวกับเรื่องก่อนหน้านี้ตรงไหนวะ ผมผละมือออกจากแก้มนุ่มนั่น ยอมรับว่านุ่มน่าจับว่ะ ไว้น้องเผลอเมื่อไหล่จะขยี้ให้แหลกคามือเลย แล้วขมวดคิ้วเข้าหากันด้วยความงุนงง ต้องการอะไรครับคุณแฮงค์

“หึ ไม่เคยหรอก เราเป็นคนแรกที่พี่ง้อด้วยท่าทางปัญญาอ่อนแบบนี้”
คิดไปคิดมาแล้วการกระทำเมื่อครู่เหมือนผมกำลังง้อแฟนสาวที่เป็นเด็กน้อยอย่างไรอย่างนั้น ใช้วิธีนี้กับแฮงค์เลยดูปัญญาอ่อนไปเลย แต่ดูเจ้าตัวเขาจะชอบนะ ก็เห็นยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ไม่ยอมหุบปากสักที ชักหมั่นไส้อยากดีดปากหยักสวยๆ สักครั้งแล้วสิ

“ไม่เห็นปัญญาอ่อนเลย น่า... เอ่อ ดูอ่อนโยนดีนะ”
แฮงค์ยั้งปากคำว่าน่ารักได้ทันแล้วเปลี่ยนในท้ายประโยค สรุปแล้วเด็กคนนี้คงชอบวิธีการง้อแบบนั้นจริงๆ สินะ แต่ถ้าเกิดงอนบ่อยๆ ขึ้นมาอย่าคิดว่าไอ้ข้าวคนนี้จะง้อนะเว้ย ไม่ได้สำคัญอะไรขนาดนั้น ที่จริงคือง้อคนไม่เป็นด้วยล่ะ แก้นิสัยแบบนี้ไม่หายสักที

“จะยังไงก็ช่างเถอะ แต่ตอนนี้ปล่อยข้อมือพี่ได้หรือยังครับ เปียกเหงื่อไปหมดแล้ว”
ผมเอ่ยน้ำเสียงไม่จริงจังนักก่อนจะชี้ชวนให้มองที่ข้อมือตัวเองเพราะมันเริ่มมีคราบเหงื่อเป็นวงเกิดขึ้นบนเสื้อ แฮงค์ส่งยิ้มแหยก่อนจะปล่อย แววตาส่อแววเสียดายออกมาอย่างเห็นได้ชัด... ขาดความอบอุ่นหรือ

“แฮ่ ลืมเลยว่าจับแขนพี่ข้าวอยู่“

“ถามจริงว่าลืมหรือตั้งใจกันแน่”

“หื้อ... ตั้งใจอะไรกันครับ ไปเถอะๆ ขึ้นรถ”
เฉไฉเก่งที่หนึ่งแถมยังเปิดประตูรถแล้วดันตัวผมให้ขึ้นไปนั่งอย่างงงๆ อีกด้วย ก็เจ้าตัวไม่ได้บอกกันสักคำว่าขับรถมา นี่ถ้าเป็นพวกตื่นตูมคงคิดว่าแฮงค์ไปขโมยรถใครมาแล้ว

แฮงค์พา Honda City ทะยานสู่ถนนหน้ามหาวิทยาลัยเพื่อไปร้านสเต็กใกล้ๆ จะว่าไปแล้วก็คิดถึงรสชาตินั้นอยู่เหมือนกัน ไม่ได้กินมาสามสี่ปีแล้ว มีโอกาสก็ขอกลับไปลิ้มลองอีกครั้งเถอะ ถือว่าเป็นโชคดีที่สารถีจำเป็นเสนอชื่อร้านนี้ขึ้นมาพอดี แต่กลัวว่าคนจะเยอะแล้วชวดนี่สิ มีหวังได้เข้าเซเว่นแล้วสอยข้าวกล่องมากินแน่ๆ

“วันนี้ไม่เอาบิ๊กไบค์มาเหรอ”
ผมหาเรื่องชวนคุยเมื่อเห็นว่าภายในรถเงียบเกินไป ก็เจ้าของเล่นไม่ยอมเปิดเครื่องเสียงเลยนี่สิ ไลฟ์สไตล์ต่างกันลิบลับ เพราะถ้าเป็นผมนี่ขึ้นรถแล้วต้องเปิดเพลงฟังทันที แฮงค์เหลือบมองกันก่อนจะส่ายหน้าน้อยๆ แล้วเริ่มอธิบาย

“อยากเอามาอยู่หรอกครับ แต่มีถ่ายแบบไง ถ้าขี่บิ๊กไบค์ก็ต้องใส่หมวกกันน็อก ผมจะเสียทรง”
ผมถึงบางอ้อในทันที ก็จริงอย่างที่น้องพูด ขืนใส่หมวกกันน็อกมีหวังหัวลีบแบนกันพอดี แล้วอีกอย่างผมอาจจะเด้งเหมือนตูดเป็ดก็ได้ แค่คิดก็รับสภาพไม่ไหวแล้ว

หลังจากกินข้าวเที่ยงเรียบร้อยแฮงค์ก็มาส่งกันที่หน้าคณะก่อนจะกลับไปนอนพักที่คอนโดเพื่อรอเวลามาเรียนตอนห้าโมงเย็น ผมบอกลาและขอบคุณที่น้องเป็นเจ้ามือแถมยังขับรถให้กันอีก เริ่มมีความรู้สึกว่าอยากสนิทกับเด็กคนนี้ให้มากกว่านี้จัง จะเรียกว่าถูกชะตากันก็คงได้

ผมสอนคลาสที่สองด้วยความผ่อนคลายที่มีมากยิ่งขึ้น นักศึกษาทุกคนดูจะตื่นเต้นอยู่มากเพราะบางคนรู้จักกันมาก่อน ก็พวกเด็กๆ แฟนคลับที่ตามเพจคิ้วบอยของมหา’ลัยตั้งแต่สมัยที่ผมยังเป็นนักศึกษานั่นล่ะ ได้พูดคุยถึงเหตุผลที่เด็กๆ เลือกเรียนคณะนี้ก็แทบจะมุดเอกสารการสอนหนี เพราะคำตอบมีทั้ง ชอบงานแอนนิเมชั่น เป็นโอตาคุ ติดเกม เยอะแยะไปหมด ซึ่งไม่ได้ต่างจากเหตุผลที่สมัยผมเลือกเรียนสักเท่าไหร่ แต่ถึงจะมีเหตุผลร้อยแปดในการเลือกเรียนคณะนี้ ถ้าทุกคนตั้งใจเรียนผมก็ตั้งใจสอนเต็มที่นั่นล่ะ


   
มีต่อด้านล่าง

ออฟไลน์ Ch0cmint

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 401
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +153/-5
Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาครั้งที่ 6 -P.2- (07.12.2016)
«ตอบ #51 เมื่อ07-12-2016 11:14:47 »

คลาสที่สองจบลงแล้วแต่ผมไม่คิดจะออกไปไหนเพราะอีกหนึ่งชั่วโมงก็ต้องกลับมาที่เดิมอีก ไม่อยากย้ายไปย้ายมาให้เสียเวลา หลังจากที่นักศึกษาทยอยออกไปจนหมดแล้วก็ได้เวลาพัก ดวงตากลมปิดลงเพื่อต้องการปลดเปลื้องความเมื่อยล้า แต่แรงสั่นของโทรศัพท์มือถือในกางเกงกลับกวนใจกันเกินไปจนต้องล้วงมันออกมากดรับโดยไม่ได้มองชื่อที่ปรากฏขึ้นบนหน้าจอ

"ฮัลโหล"
กรอกน้ำเสียงเหนื่อยหน่ายเล็กน้อยลงไปแล้วปิดเปลือกตาลงตามเดิม อยากนอนเต็มแก่แล้ว การสอนคนนี่ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยจริงๆ แต่ก็ถือว่าเป็นประสบการณ์ใหม่และฝึกความอดทนต่อการซักถามข้อมูลมากๆ ไปในตัว ปลายสายเงียบไปชั่วอึดใจจนคิดว่าหลุดไปแล้ว แต่เสียงถอนหายใจทำให้รู้ว่าเขายังอยู่

'เหนื่อยเหรอ'
แค่คำสั้นๆ เท่านั้นกลับทำให้ผมจำได้ว่าเขาเป็นใคร พี่ชายบังเกิดเกล้าของผมนั่นเอง คงเป็นห่วงเลยโทรมาถาม โดนน้ำเสียงเหนื่อยหน่ายเข้าให้หน่อยถึงกับรู้เลยเหรอ สมแล้วที่เป็นพี่ชาย

"อ่า พี่ต้น... นิดหน่อยครับ"
ผมตอบไปตามความจริงก่อนจะยืดตัวแล้วไหลไปกับเก้าอี้ แทบจะลงไปกองกับพื้นอยู่แล้วถ้าทำได้ มันรู้สึกปวดเมื่อยไปทั้งตัวยังไงก็ไม่รู้

'อืม มีใครมาจีบไหม'
คำถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบทำให้ผมต้องเปิดเปลือกตาอย่างห้ามไม่ได้ นี่มันคือประเด็นที่ใช้ถามกันเหรอวะ ควรถามว่าสอนเป็นยังไงบ้าง นักศึกษาเชื่อฟังหรือเปล่าอะไรแบบนี้ไม่ใช่เหรอ

"ไม่มีหรอก ถึงจะหล่อก็ไม่น่าสนใจ"
เหมือนคำพูดโกหก แต่ไม่มีใครกล้าเข้ามาจีบกันจริงๆ นั่นล่ะ อาจเป็นเพราะความอัธยาศัยดีก็มีข้อเสียเหมือนกัน แต่พอคิดไปคิดว่าทำไมหน้าไอ้น้องแฮงค์ผุดขึ้นมาวะ

'หึ ก็มีไอ้แฮงค์คนนึงล่ะมั้งที่พยายามจีบ'
อ่า... คนอื่นก็พูดกันจังว่าน้องมันชอบผม มันจีบผม แต่เจ้าตัวไม่ยอมบอกอะไรสักคำ จะทำให้เห็นก็แค่ชอบวนเวียนอยู่ใกล้ตัวก็เท่านั้น รอดูกันต่อไปว่าเมื่อไหร่จะยอมสารภาพความจริง หรือถ้าไม่ยอมพูดอะไรเลย เมื่อผมแน่ใจจะเป็นคนถามกลับไปเองแล้วกัน

"เพ้อเจ้อน่าพี่ต้น ตอนนี้ว่างเหรอครับ"
ผมปัดคำพูดของพี่ชายทิ้งด้วยการตั้งคำถาม เขาถอนหายใจเบาๆ และเงียบอยู่อึดใจ นั่นทำให้เผลอคิดว่าพี่ต้นไม่พอใจหรือเปล่า แต่ไม่อยากเพิ่มความผิดให้ตัวเองเลยได้แต่เงียบไว้

'อืม กำลังจะกลับบ้านแล้วล่ะ ไม่สบายนิดหน่อย'
ปลายสายไอเล็กน้อยทำให้ผมได้แต่ขมวดคิ้ว ก็เมื่อเช้ายังปกติดีไม่ใช่เหรอ ทำไมตกเย็นถึงได้... หรือว่าผมไม่ทันสังเกตเองเพราะมัวแต่รีบร้อน

"โอเคๆ ขับรถกลับบ้านดีๆ ครับ อย่าลืมกินยาด้วย"

'อือ ดูแลตัวเองดีๆ'

พี่ชายวางสายไปแล้ว ส่วนผมก็ได้แต่นั่งนิ่งๆ เปิดอ่านนั่นนี่ในโซเชี่ยลเพราะไม่มีอะไรทำ ไม่นานนักเวลาก็ล่วงเลยจนถึงเวลาสอนคลาสสุดท้าย นักศึกษาทยอยเข้ามาในห้อง ส่วนผมก็ได้แต่ยิ้มให้ บางคนเขินอาย บางคนกรี๊ดกร๊าด บางคนมองด้วยความประหลาดใจปะปนกันไป แต่มีเด็กคู่หนึ่งที่เดินตรงเข้ามาหากันด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม จะเป็นใครได้นอกจากแฮงค์กับกันย์

“สวัสดีครับพี่ข้าว ไม่สิ ต้องเรียกอาจารย์ข้าว”
กันทักทายพร้อมกับยกมือไหว้ ส่วนแฮงค์ก็ทำเพียงแค่ยิ้มให้ ก็เจอกันมาตั้งสองครั้งแล้ววันนี้คงไม่ต้องมีพิธีรีตองอะไรอีก แต่พอโดรเรียกว่าอาจารย์ข้าวแล้วมันแปลกๆ ว่ะ

“เรียกว่าอาจารย์การินดีกว่ามั้ง เรียกอาจารย์ข้าวแล้วมันแปลกๆ”
ผมบอกน้องกลับไปแบบนั้นตามความรู้สึกที่เกิดขึ้น กันย์เลิกคิ้วเล็กน้อยแต่ก็ยอมพยักหน้ารับอย่างง่ายดาย ดีที่ไม่ขี้สงสัยเหมือนใครบางคนที่ยืนข้างๆ นั่น

“แต่ผมไม่เรียกว่าอาจารย์นะ ชอบเรียกพี่ข้าวมากกว่า”
แฮงค์พูดก่อนจะฉีกยิ้มกว้างให้กันแล้วยักคิ้วกวนๆ ผมจ้องเขาแล้วแยกเขี้ยวใส่เล็กน้อย ก็มันสมควรซะที่ไหนไม่ควรเอามาเรียกในห้องเรียนสิวะ

“เคารพกันหน่อยนายปรานต์ ตอนนี้ผมเป็นอาจารย์คุณนะ นอกเวลางานค่อยเรียกว่าพี่ โอเค๊?”
ไม่ต้องแปลกใจว่าทำไมผมรู้ชื่อจริงน้องหรอก ก็ใบรายชื่อมันบอกอยู่โต้งๆ เพราะจำนามสกุลของเฟรนด์ได้นั่นเอง แต่ทั้งสองคนมีสีหน้าตกใจเล็กน้อย มันน่าแปลกใจขนาดนั้นเลยเหรอวะ

“หูย แบบนี้เปลี่ยนมาเรียกที่รักกันเลยดีกว่าไหมครับเนี่ย”
   กันย์เอ่ยแซวทำให้ผมสะดุดลมหายใจไปครู่หนึ่ง พอเหลือบสายตามองอีกคนที่ถูกพาดพิงถึงกลับกลายเป็นว่าเขาหน้าตึงและพยายามต่อยท้องเพื่อน มันเป็นอาการของคนกำลังเขินหรือไม่อยากให้ผมรู้ว่าจริงๆ ตัวเองคิดอะไรอยู่กันแน่ อยากถามว่ากลัวอะไร แต่พอคิดย้อนไปถึงคำพูดในวันนั้นก็เข้าใจทันที กลัวจะเสียมิตรภาพที่เพิ่งเกิดขึ้นสินะ เอาเถอะ ผมก็ยังไม่อยากฟังว่ามีผู้ชายมาชอบมาจีบเท่าไหร่หรอก อาจจะมีเหตุผลอะไรหลายๆ อย่างที่ยังยอมรับไม่ได้ แต่เป็นแบบนี้ไปก่อนก็ไม่ได้แย่อะไร

   “ขอตัวไปนั่งที่นะครับ”
   แฮงค์พูดจบก็ลากกันย์ไปทั้งๆ ที่เจ้าตัวยังคงยิ้มกรุ้มกริ่มอยู่ ผลจากแรงกระชากทำให้ทั้งคู่แทบล้มไปด้วยกัน... เสียงโวยวายดังขึ้นเล็กน้อยก่อนจะเงียบไปเมื่อผมลุกขึ้นยืนและเดินไปหน้าห้องเพื่อแนะนำตัว

บทเรียนแรกสำหรับวันนี้คงหนีไม่พ้นเรื่องการค้นหาไอเดียเพื่อสร้างตัวละคร กำหนด Concept แนวความคิดหลักและการผสมผสานสิ่งต่างๆ ที่เรารู้จักให้ลงตัว จะได้ออกมาเป็นผลงานที่เราต้องการ

   “วันนี้เรามาเข้าสู่บทเรียนแรกของวิชาออกแบบตัวละคร หรือภาษาอังกฤษที่เรียกว่า Character Design กันนะครับ มันคือการค้นหาไอเดียเพื่อสร้างตัวละครที่ต้องการของตัวเองโดนการตั้งโจทย์และกำหนดเป้าหมายของชิ้นงาน หลังจากนั้นก็หาข้อมูลเกี่ยวกับสิ่งที่เราอยากทำ อย่างเช่น ดูผลงานของคนอื่นเพื่อเป็นแรงบันดาลใจ หรือจดจำสิ่งที่เราสามารถนำมาประยุกต์ใช้ได้ หลังจากนั้นจะเรียกว่า การออกแบบผสมผสาน”
   ผมเว้นจังหวะในการอธิบายเล็กน้อยเพื่อให้นักศึกษาที่ไม่เข้าใจได้ตั้งคำถามแต่มันกลับเงียบราวกับว่าทุกคนเข้าใจ ไม่มีเสียงพูดคุยอย่างคลาสอื่นๆ ที่ทำกัน อาจจะเรียกว่าเบาใจหรือน่าอึดอัดกว่าเดิมหรือเปล่าวะ เอาเถอะ เริ่มสอนต่อไปดีกว่า ชักเริ่มหิวแล้วสิ

   “มาพูดถึงการออกแบบผสมผสาน ผมเชื่อว่าหลายๆ คนอาจจะเข้าใจในความหมายของมัน แต่มีนักศึกษาอีกจำนวนหนึ่งต้องตั้งคำถามในใจแน่ๆ ว่ามันคืออะไร งั้นผมขอยกตัวอย่างเช่น ‘นางฟ้า’ พวกคุณจะคิดถึงคนและปีนกสีขาวสะอาดตรงกลางหลัง ส่วน ‘ปีศาจ’ คุณจะคิดถึงคนและปีกนกหรือปีกค้างคาวสีดำ ทั้งหมดนี้เรียกว่าการออกแบบผสมผสาน มันคือการนำหลายสิ่งมารวมกันจนเกิดเป็นสิ่งใหม่ขึ้น”
   หลายๆ คนพยักหน้าเข้าใจกับบทเรียนที่ผมได้ถ่ายทอดออกไป ทำให้เริ่มใจชื้นขึ้นและมีกำลังใจจะทำหน้าที่ต่อ ดวงตากลมกวาดมองเหล่านักศึกษาที่ให้ความสนใจสไลด์โชว์ประกอบนั้นทำให้ผมหลุดยิ้มได้อย่างง่ายดาย แต่เชื่อไหมว่ากลับได้รอยยิ้มมาจากเด็กคนหนึ่ง คล้ายกับให้กำลังใจกัน... ไอ้เด็กนี่ ชอบคืบคลานและพยายามตีสนิททีละเล็กทีละน้อยจริงๆ เลย

   “การออกแบบผสมผสาน อย่างแรกที่พวกเราต้องทำคือกำหนดโครงสร้างของตัวละครว่าหลักๆ แล้วเราจะใช้อะไรบ้าง เช่น คนกับมังกร จะเอาคนเป็นหลักหรือมังกรเป็นหลัก ซึ่งมันจะมีความแตกต่างกันมาก กำหนดสัดส่วนการผสมผสานให้ดีๆ เพราะมันจะส่งผลกับชิ้นงานของเราอยู่ไม่มากก็น้อย”
   ผมสอนไปเรื่อยๆ จนจบทฤษฎี คราวนี้ก็มาถึงภาคปฏิบัติที่ทุกคนต้องลงมือออกแบบตัวละครกันแล้ว ใช้หลักการที่ผมให้ไปทั้งหมดก่อนหน้านี้

   “หลังจากนี้ให้ทุกคนออกแบบตัวละครมาคนละหนึ่งตัวตามใจชอบลงในกระดาษเอสี่ และอธิบายด้วยว่าไอเดียงานมาจากอะไร ส่งท้ายคาบ”

   ปล่อยให้ทุกคนทำงานไปเงียบๆ ส่วนตัวผมก็เดินดูตามโต๊ะเป็นระยะๆ ว่าทุกคนเริ่มลงมือหรือยัง จะว่าไปการมาเป็นอาจารย์สอนวิชาแบบนี้ก็รู้สึกสนุกดีอยู่เหมือนกัน ก็วันเนี่ยมีตัวละครแปลกๆ ให้กลับไปนั่งดูตั้งหนึ่งร้อยห้าสิบตัวเชียวนะ เพราะสอนเซคละห้าสิบคน จากที่ดูคร่าวๆ เด็กบางคนนี่กวนตีนใช้ได้เลย วาดรูปก้อนอึมีขามีแขนแล้วเขียนบรรยายใต้รูปว่าไอเดียมาจากคนและก้อนอึ แทบอยากขยำงานทิ้งให้รู้แล้วรู้รอดแต่ต้องให้อภัยเพราะเป็นชิ้นแรก

   หมดคาบผมก็ได้กระดาษออกแบบตัวละครมาอีกห้าสิบแผ่น รวมจากเมื่อครู่ก็เป็นร้อยแผ่นพอดิบพอดี ต้องแบกกลับไปใส่รถนี่สิ กลัวปลิวหายว่ะ... กำลังคิดว่าจะเอาการดาษร้อยใบออกไปยังไงดีก็ได้ตัวช่วยอย่างแฮงค์เดินเข้ามาหากันด้วยรอยยิ้ม หึหึ

   “ผมช่วยครับ แล้วนี่งานของคลาสเมื่อเช้าพี่เอากลับไปหรือยัง”
   แฮงค์พูดในขณะรวบงานร้อยแผ่นไปไว้ในอ้อมกอด ผมพยักหน้าก่อนจะคว้าเอาแฟ้มเอกสารมาถือไว้และเริ่มออกเดินไปที่ประตู อีกอย่างที่ต้องทำคือล็อกห้องให้ทางคณะด้วย

   “เรียบร้อย งานเมื่อเช้าพี่หอบไปใส่รถแล้ว”
   ผมบอกในขณะที่ล็อกประตูห้องเรียนให้เรียบร้อย ก่อนจะหันไปพยักหน้าเป็นเชิงให้เริ่มออกเดินได้แล้ว

   “วันนี้พี่กลับบ้านปะครับหรือนอนคอนโด”

   “นอนคอนโดว่ะ จะให้กลับบ้านคงไม่ไหว ขี้เกียจด้วย”

   “อ๋อ แวะหาอะไรกินก่อนดีไหมครับ เปิดเทอมผมก็ย้ายมานอนคอนโดเหมือนกัน”
   ผมเหลือบมองคนชวนเล็กน้อยก่อนจะพยักหน้ารับคำไป ก็ไม่ใช่อะไรหรอกมันหิวนี่แถมมีเพื่อนกินด้วยดีไปอีก แต่แฮงค์เปิดโอกาสให้ผมถามคำถามที่สงสัยแบบพอดิบพอดีเลยไม่รอช้า

   “เราอยู่คอนโดไหน”
   ผมถามออกไปด้วยความอยากรู้และพยายามเก็บอาการให้เป็นปกติมากที่สุดในขณะที่เปิดประตูรถให้แฮงค์เอาของเข้าไปวาง เขาส่งยิ้มมาให้กันเล็กน้อยแล้วเอื้อนเอ่ยสิ่งที่ผมอยากรู้ให้ได้ฟัง

   “คอนโดเดียวกันกับพี่ข้าว”

   “ห๊ะ แล้วทำไมตอนนั้นไม่บอกวะ”

   “ก็พี่ข้าวไม่ได้ถามผมนี่นา ตอนนั้นเป็นช่วงปิดเทอมผมก็ย้ายไปนอนที่บ้านด้วย”

   “…..”
   เออว่ะ ก็ผมไม่ได้ถามอะไรทำไมน้องต้องบอกกันด้วย แต่แอบช็อกนะเนี่ย อะไรมันจะบังเอิญขนาดนี้วะ





---------------------------------------------------------

แทรกซึมมาอยู่ใกล้ๆ ในทุกครั้งที่มีโอกาส... เนียนไปเถอะพ่อคุณ 55555
น้องกันย์เขามาแรงนะคุณ แซวจนเพื่อนหน้าตึงเลยไง

ปล. อ่านให้สนุกน้า


ออฟไลน์ Babelilong

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 304
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-0
    • Facebook  เข้ามาขอเป็นเพือนได้เลย
Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาครั้งที่ 6 -P.2- (07.12.2016)
«ตอบ #52 เมื่อ07-12-2016 13:16:09 »

 :katai5: :katai5:

ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6283
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาครั้งที่ 6 -P.2- (07.12.2016)
«ตอบ #53 เมื่อ07-12-2016 13:37:24 »

บังเอิญอีกแล้วนะ คึคึ

ออฟไลน์ Mura_saki

  • แค่เรารู้จักกัน...มันก็ดีที่สุดแล้ว :)
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2054
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +179/-9
Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาครั้งที่ 6 -P.2- (07.12.2016)
«ตอบ #54 เมื่อ07-12-2016 15:11:15 »

ใกล้ชิดเข้าไปอีก

ชอบพี่ต้นกับน้องกันย์

ออฟไลน์ milin03

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 481
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-1
Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาครั้งที่ 6 -P.2- (07.12.2016)
«ตอบ #55 เมื่อ07-12-2016 16:36:03 »

 :o8: :o8: :o8:

ออฟไลน์ BAKA

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3025
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +66/-10
Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาครั้งที่ 6 -P.2- (07.12.2016)
«ตอบ #56 เมื่อ07-12-2016 17:03:05 »

อื้อหือออออ เนียนมากกกกก จริงๆคนพี่ก็รู้ตัวเหอะ #แฮงค์อยู่รอบตัวคุณ

ว่าแต่พี่ต้นป่วยเป็นอะไร ส่งน้องกันย์ไปเฝ้าไข้ด่วนๆ

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5358
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19
Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาครั้งที่ 6 -P.2- (07.12.2016)
«ตอบ #57 เมื่อ08-12-2016 00:10:57 »

 :laugh:

ออฟไลน์ lovenadd

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 601
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +22/-11
Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาครั้งที่ 6 -P.2- (07.12.2016)
«ตอบ #58 เมื่อ08-12-2016 12:47:51 »

เหนื่อยแทนน้อง

ออฟไลน์ Ch0cmint

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 401
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +153/-5
Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาครั้งที่ 7 -P.2- (10.12.2016)
«ตอบ #59 เมื่อ10-12-2016 20:52:03 »

เมาครั้งที่ 7



   วันหยุดสุดสัปดาห์เวียนมาอีกครั้ง ดวงอาทิตย์ยังคงขึ้นทางทิศตะวันออกเหมือนเดิม แต่พี่ต้นนี่สิแย่ เพราะเขาเป็นไข้หวัดใหญ่ คะยั้นคะยอแทบตายว่าให้นอนพักที่โรงพยาบาลก็ไม่ยอมเอาแต่ดื้อลูกเดียว ยืนยันว่าอยู่บ้านมันก็หาย แต่ปัญหาคือเจ้าตัวเป็นคนกินยายาก ครั้นจะให้ผมไปบังคับก็ไม่มีความสามารถมากพอ เลยต้องหลอกล่อกันย์ให้มาช่วยดูแล สงสารน้องเหมือนกันที่เพิ่งทำความรู้จักได้ไม่นานต้องมารับเคราะห์แบบนี้ แต่สงสารตัวเองมากกว่าที่ไม่มีความสำคัญอะไรกับพี่ชายเลย คิดแล้วมันก็น่าน้อยใจอยากร้องไห้วันละสิบรอบ

   ผมไม่รู้ว่ากันย์มาถึงที่นี่หรือยังเพราะแอบขโมยเบอร์โทรศัพท์มาจากเครื่องพี่ต้นแล้วติดต่อไปเมื่อคืน แชร์โลเคชั่นบ้านให้ในไลน์ให้เรียบร้อยแล้วบอกปิดท้ายว่าถ้ามาไม่ถูกให้โทรถาม แต่นี่กลับเงียบสนิทไม่มีแม้แต่สายไม่ได้รับด้วยซ้ำ จะมีก็เพียงข้อความจากแฮงค์... ส่งมาได้ทุกวี่ทุกวันไม่เบื่อบ้างหรือไง แต่ผมก็ตอบเขาทุกวันเหมือนกันล่ะ ช่างมันเถอะ

   อาการเวียนหัวบอกให้ล้มตัวลงนอนต่อ แต่ความเป็นห่วงพี่ชายมันค้ำคอเลยส่งผลให้ผมต้องลากสังขารตัวเตียงลงจากเตียง แม้จะเซเล็กน้อยก็ไปถึงบานประตูอย่างปลอดภัยแล้วกับลูกบิดเปิดออก สองเท้าก้าวออกไปยืนที่หน้าห้องพี่ต้นกำลังง้างกำปั้นบรรจงเคาะลงไปแต่กลับต้องชะงักเมื่อเสียงพูดคุยกันของคนสองคนดังขึ้น... กันย์มาแล้วเหรอวะ

   “อ้า”
   อ้าอะไรวะ อ้าปาก อ้าแขน หรืออ้าขา...

   “ไม่เอา”
   เสียงพี่ต้นแหบจนผมต้องแนบหูเข้ากับประตูไม้อย่างช่วยไม่ได้ เพราะอยากรู้ว่าเขาคุยอะไรกัน ไม่ได้มีนิสัยขี้เสือกอะไรเลยนะ

   “พี่ต้นอย่าดื้อดิวะ บอกให้อ้าก็อ้าสิผมจะใส่!”
   เฮ้ย กันย์จะใส่อะไรพี่ต้นวะนั่น ยิ่งฟังยิ่งคิดลึก มือไม้นี่เย็นชืดไปหมด ไม่ได้เป็นอย่างที่คิดใช่ไหมวะ พี่ชายคงไม่ได้เป็นฝ่าย...รับหรอกนะ ผมแนบหูและลำตัวเข้าไปแทบจะกลืนหายไปกับประตู ถ้าพี่ส้มมาเห็นคงตกใจแน่ๆ ขออย่าให้ใครขึ้นมาตอนนี้เลย ยังไม่อยากโดนตราหน้าว่าเป็นคนโรคจิต

   “อย่าบังคับสิ ถ้าจะกินพี่ใส่เอง กันย์จะได้ไม่เหนื่อย”
   เหี้ย มีสลับฝ่ายกันด้วย โอย ไม่ไหวแล้วเว้ย ไม่สบายอยู่นะยังจะเล่นกีฬาบนเตียงกันอีก ที่สำคัญคือเพิ่งรู้จักกันปะวะ ไม่ได้ๆ เรื่องแบบนี้จะเกิดขึ้นตอนนี้ไม่ได้ ผมต้องทำอะไรสักอย่าง!

   ปึง
   “โอ๊ย ไอ้เหี้ย!”
   ผมร้องเสียงหลงเมื่อบานประตูห้องนอนของพี่ต้นเปิดออกอย่างกะทันหันจนล้มลงไปกองกับพื้นโดนมีกันย์เซถลาถอยหลังไปด้วยความตกใจ มันคือความเหี้ยที่ไม่มีสัญญาณเตือนใดๆ เลยสักนิดเดียว ใครจะไปคิดว่าคนที่นั่งคุยกันอยู่จะเดินออกมาตอนนี้วะ ได้แต่นิ่วหน้าและลูบบันท้ายตัวเองบรรเทาความเจ็บโดยไม่สนสายตาที่พยายามตั้งคำถามของทั้งสองคน

   “อะ เอ่อ ผมช่วยนะพี่ข้าว”
   เมื่อกันย์ตั้งสติได้ก็รีบขยับมาหาแล้วส่งมือมาให้กัน ผมเบ้ปากเล็กน้อยแล้วยอมให้น้องช่วยพยุงขึ้นจากพื้น ส่วนพี่ต้นได้แต่นั่งมองเราสองคนอยู่บนเตียงและมือยังแบโชว์เม็ดยาที่ยังไม่ได้กิน เดี๋ยวนะ... แล้วไอ้บทสนทนากำกวมเมื่อครู่หมายความว่ายังไงกัน

   “เมื่อกี้ทำอะไรกันอยู่”
   ผมถามเสียงสั่นเล็กน้อยแล้วพาตัวเองไปหย่อนก้นลงที่ปลายเตียงอย่างแผ่วเบา รู้สึกเหมือนมันจะช้ำเพราะลองกดดูแล้วน้ำตาแทบเล็ด กันย์เลิกคิ้วมองมาก่อนจะนั่งลงใกล้ๆ แล้วชี้ไปที่มือของพี่ต้นก่อนจะเปิดปากอธิบายสิ่งที่เกิดขึ้น

   “บังคับพี่ต้นให้กินยาน่ะ แต่ไม่ยอมอ้าปากสักที ผมจะไปหาอะไรมาง้างอยู่แล้ว”
   กันย์พูดก่อนจะจ้องหน้าพี่ต้นเขม็ง คนถูกกล่าวหาไม่ได้สะทกสะท้านแม้แต่น้อย ยังคงปั้นหน้าเรียบเฉยและแอบวางยาลงในแก้วเล็กตามเดิมจนคนที่บังคับตีมือให้... คิดถูกหรือคิดผิดที่ให้คู่เดทของพี่ชายมาเห็นสภาพแบบนี้กันนะ อย่างกับเด็กห้าขวบเกลียดการกินยา ประท้วงเงียบๆ โดยการทิ้งยาอะไรแบบนั้น ถ้าเขาไม่มีแฟนจะโทษผมหรือเปล่า ซวยแล้วไงกู

   “แหนะ! จะเอาคืนใส่แก้วทำไมวะพี่ กินๆ เข้าไปเลยนะ”
   สงครามขนาดย่อมกำลังเกิดขึ้น แล้วไอ้ที่ผมจินตนาการเป็นตุเป็นตะคืออะไร... คิดมากไปงั้นเหรอ แต่รูปประโยคมันชวนคิดจริงๆ นี่หว่า ไอ้ตอนที่แอบฟังยังเผลอหน้าร้อนไปด้วยเลย โอย สมเพชตัวเองฉิบหายที่คิดอกุศลอยู่คนเดียว

   “พี่มีข้อต่อรอง”
   เอาแล้ว... รอยยิ้มเจ้าเล่ห์แบบนั้น ผมว่าไม่นานกันย์คงไม่รอดจากเงื้อมมือเสืออย่างพี่ต้นไปไหนหรอก ผมก็ยังหน้าด้านหน้าทนลุกขึ้นจากเตียงแล้วเดินวนไปมา อยากรู้ว่าเขามีข้อต่อรองอะไร แค่จะกินยาครั้งหนึ่งทำไมมีคนเดือดร้อนเยอะแยะไปหมดวะ คิดแล้วแอบเพลียเล็กๆ ที่จริงอยากโทรบอกแม่เหมือนกันว่าพี่ต้นไม่สบายและดื้อขนาดไหน แต่กลัวท่านจะเป็นห่วงพี่ชายจนไม่มีความสุขในการฮันนีมูนรอบที่ล้านแปด เชื่อไหมว่าพ่อกับแม่อยู่บ้านมากสุดปีละสามเดือน เจ๋งใช่ไหมล่ะ

   “ต่อรองอะไรอีกวะ แค่จะกินยาเนี่ยนะ ทำไมเรื่องมากแบบนี้”
   กันย์ลุกขึ้นยืนเต็มความสูงแล้วกอดอกมองหน้าร่างสูงอย่างเอาเรื่อง แต่มีหรือพี่ต้นจะสะทกสะทาน เขายกยิ้มมุมปากที่ใครๆ ต่างก็คิดว่ามันกวนตีนที่สุด ผมเองยังรู้สึกแบบนั้นเลย แต่ที่น้องพูดออกไปนี่สัมผัสได้ถึงตำแหน่งแม่คนที่สองเลยว่ะ สุดยอด!

   “ไม่อยากให้พี่กินยาสินะครับ”

   “เฮ้อ ว่ามาครับ ข้อต่อรองอะไรหืม”

   “กันย์ป้อนยาพี่ด้วยปากสิครับ รับรองยอมกินแบบไม่ขัดขืน”
   อะ... ผมถึงกับตัวแข็งทื่อกับข้อต่อรองของพี่ต้น อะไรมันจะกล้าหน้าด้านขนาดนี้วะ กับผู้หญิงไม่เคยจีบแบบนี้เลยสักครั้ง เอาความสุภาพเข้าฟาดฟันทุกทีไป แล้วนี่อะไรจีบผู้ชายถึงได้แสดงด้านเจ้าเล่ห์ออกมาขนาดนี้วะ ดวงตากลมมองพี่ชายตัวเองอย่างตะลึง รอยยิ้มกริ่มปรากฏมากกว่าเดิมเกือบเท่าตัว ส่วนกันย์ดูเหมือนจะช็อกไปแล้วด้วยเพราะน้องเอาแต่อ้าปากพะงาบๆ เชื่อว่าหลังจากนี้อาจจะมีการนองเลือดผมเลยเดินตัวลีบออกมาจากห้องอย่างรวดเร็ว พอเสียงประตูดังขึ้น ภายในห้องก็ส่งเสียงโวยวายทันที

   “ไม่กินยาเองก็ไปตายซะ!!!!!!!!!!”
   หูย... สะใจจังเลย คนดื้อมันต้องโดนแบบนี้ล่ะ!

   ผมพาตัวเองกลับเข้าห้องเพื่อหวังจะนอนต่อ แต่ยังไม่ทันปิดประตูไอ้หมายักษ์ก็สอดตัวเข้ามาก่อนจะหันมองกันแล้วเดินนำขึ้นเตียง ตกลงว่านี่ห้องนอนใครกันแน่วะ อยากเตะมันให้ล้มกลิ้งไปกับพื้นแต่ทำได้แค่เบ้ปากใส่แล้วจัดการปิดห้องแล้วตามมันไป กำลังจะนั่งทับบับเบิ้ลแต่เครื่องมือสื่อสารดันแผดเสียงดังซะก่อน ผมเอื้อมมือไปหยิบโทรศัพท์มาแล้วดูชื่อคนโทรเข้า หัวคิ้วขมวดแน่นด้วยความสงสัย แฮงค์จะโทรมาทำไมเอาเช้าป่านนี้วะ เพิ่งจะเก้าโมงเอง ขยันเกินไปแล้ว

   “ฮัลโหล”
ผมกรอกเสียงลงไปก่อนจะทิ้งตัวลงนั่งบนเตียงแล้วเอื้อมมือที่ว่างไปลูบขนบับเบิ้ลเล่น มันเคลิ้มจนปรือตามองกันก่อนจะปิดสนิท เดาได้ว่าคงมาอาศัยความเย็นของเครื่องปรับอากาศเพื่อจะนอนหลับแน่ๆ ไอ้หมาเจ้าเล่ห์เอ้ย เหมือนเจ้าของตัวจริงไม่มีผิด ลูกพี่ต้นชัดๆ

‘ตื่นแล้วเหรอครับ’
ถามกันมาด้วยน้ำเสียงสดใส อยากรู้จริงๆว่าเด็กน้อยอย่างแฮงค์ตื่นมาทำอะไรตั้งแต่เช้าขนาดนี้ สมัยเรียนถ้าเป็นวันหยุดผมตื่นเอาเกือบเที่ยง แต่พอเริ่มทำงานเวลาชีวิตเปลี่ยนไปหมด ทุกวันนี้จะเป็นวันปกติหรือวันหยุดก็จะตื่นเวลาเดิม

“ตื่นแล้วดิ ไม่งั้นจะรับโทรศัพท์ได้ยังไง”
ผมตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงคลุมเครือเล็กน้อย เพราะยังไม่ได้แปรงฟันเลยรู้สึกว่าช่องปากยังเต็มไปด้วยน้ำลายบูด ฟังๆ ไปเหมือนคนยังไม่ตื่นนอนเลยว่ะ ที่จริงก็ยังง่วงแต่จะให้นอนหลับคงไม่ได้ ถ้านอนเล่นยังไหว เหลือบสายตามองสิ่งมีชีวิตข้างๆ แล้วได้แต่นึกอิจฉา ชีวิตสุขสบายจริงๆ กรนแล้วด้วย...

‘อ่า นั่นสินะ แล้วนี่ไอ้กันย์อยู่ที่บ้านพี่เหรอ’
น้ำเสียงสดใสนั่นเพิ่มระดับความอยากรู้อยากเห็นขึ้นมาเล็กน้อย ผมได้แต่กระตุกยิ้มกับสิ่งที่เจ้าตัวน่าจะรู้ดีอยู่แล้ว มีเรื่องอะไรที่เขาสองคนไม่คุยกันบ้างล่ะ แค่กันย์มาที่บ้านผมคงไม่ใช่เรื่องที่จะต้องปิดบังหรอกมั้ง

“ก็รู้อยู่แล้วไม่ใช่หรือไง อยากมาด้วยเหรอถึงได้ถามน่ะ”
แกล้งแหย่เขาไปอย่างนั้นล่ะ อยากรู้ว่าจะตอบกลับมาแบบอ้อมโลกหรือขวานผ่าซากกลับมาซึ่งๆ หน้า อยากหยอกกันแบบหน้ามึนดีนัก ผมก็แกล้งกลับแบบคนซึนได้เหมือนกันล่ะน่า

‘เอาความจริงหรือเรื่องโกหกอะ’
คำถามมันคุ้นๆ ไหม เหมือนจะเคยใช้กับเขาไปนะ แล้วนี่มาลอกเลียนแบบได้ยังไงต้องเก็บค่าลิขสิทธิ์แล้วมั้ง ผมเอนหลังพิงกับหัวเตียงแล้วเอื้อมมือไปหยิบ iPad มาเปิดเพลงคลอเบาๆ แล้วกระดิกปลายเท้าตามจังหวะไปด้วย

“อะไรก็พูดมาเถอะ พี่เชื่อว่ามันไม่ได้ต่างกันเท่าไหร่หรอก”

‘เฮ้ย ต่างนะ ถ้าเอาเรื่องโกหกคือผมจะเอาเงินค่าแผ่นเกมไปจ่ายให้ไง แต่ถ้าเรื่องจริงก็... ไม่ได้เจอกันตั้งหลายวัน’
ปลายประโยคเบาราวกับเสียงกระซิบ ไม่ได้เจอกันหลายวันอย่างนั้นเหรอ จำได้ว่าครั้งสุดท้ายก็เจอกันเมื่อวันอังคารตอนเช้าที่ผมจะออกจากคอนโดเพื่อนกลับไปทำงานที่บ้าน เพราะไม่ได้เอา Mac Book มา โดนชวนไปกินอาหารเช้าใต้คอนโด แถมยังจ่ายค่าให้อีกด้วยโดยให้เหตุผลว่าเลี้ยงที่ออกเงินซื้อแผ่นเกมให้ก่อน... หึหึ แฮงค์นี่มันแฮงค์จริงๆ เนียนได้ตลอดเวลา

“แล้วไง”
ถามน้องกลับไปด้วยน้ำเสียงราบเรียบแล้วลุกขึ้นบิดตัวไปมาไล่ความเมื่อยขบ ตอนนี้คิดว่าไปอาบน้ำแล้วลงไปหาอะไรกินน่าจะดีกว่า เพราะนั่งแช่ไปก็ไม่ได้ประโยชน์อะไรขึ้นมา

‘คิ...’
เหมือนจะพูดแต่ยั้งปากไว้ได้ทัน มันเลยกลายเป็นเสียงกระซิบที่ฟังแทบไม่รู้เรื่อง

“อะไรนะแฮงค์ พี่ได้ยินไม่ชัดว่ะ”
ถามกลับไปอีกครั้งเผื่อว่าจะได้ฟังคำเมื่อสักครู่อีกรอบ แต่แฮงค์กลับตอบมาด้วยเสียงพ่นลมหายใจจนต้องผละโทรศัพท์ออกห่างเล็กน้อย เข้าใจอารมณ์ตอนที่ปลายสายนั่งอยู่หน้าพัดลมไหม เป็นแบบนั้นเลย

‘ไม่มีอะไรครับ ตกลงว่าผมไปที่บ้านพี่ข้าวได้ไหม’
น้ำเสียงร่าเริงถูกส่งมาอีกครั้งและนั่นทำให้ผมกระตุกยิ้มมุมปากขึ้นเล็กน้อย การกระทำน่ะดูออกง่ายๆ นะ แต่ปากไม่ยอมบอกสักทีว่าจุดประสงค์หลักที่พยายามตีสนิทกันขนาดนี้เพราะอะไร น้องอาจยังไม่พร้อมที่จะบอก ไอ้ผมก็ไม่อยากถามอะไรมาก ปล่อยมันไปเรื่อยๆ ก็แล้วกัน เรื่องแบบนี้ใช้เวลาหน่อยมันคงดีกว่ารวบรัดมากเกินไป

“จะมาก็มา แต่พี่ไม่แชร์โลเคชั่นไปให้นะ”
งานแกล้งคนก็มา เพราะรู้หรอกว่ายังไงแฮงค์ก็มาที่นี่ได้ เพราะกันย์คงเต็มใจจะบอกเพื่อนโดยไม่ปิดบังอะไรอยู่แล้ว ก็ดูเหมือนจะรู้ใจกันซะทุกเรื่องขนาดนั้น

‘โหย แล้วผมจะไปได้ยังไงล่ะพี่ข้าว บอกหน่อยสิครับ’
ปลายสายทำน้ำเสียงออดอ้อนจนผมเผลอหัวเราะออกมาเบาๆ จากที่คิดว่าจะไปอาบน้ำสักหน่อยกลับต้องมานั่งลงบนเตียงอีกรอบ แล้วใช้มือตัวเองลูบขนบับเบิ้ลที่นอนหลับตาพริ้มด้วยความหมั่นไส้ สงสัยต้องคุยโทรศัพท์อีกนานแล้วล่ะมั้ง

“หาทางมาเองไม่ได้ก็ไม่ต้องมา เรื่องเงินค่าแผ่นเกมค่อยให้วันจันทร์ก็ได้ พี่ไม่รีบ”

‘เฮ้ย แต่ผมรีบนะพี่’
น้ำเสียงร้อนรนตอบกลับมาทำให้ผมคิดถึงใบหน้าหล่อๆ นั่นว่าจะเป็นยังไง คงจะทำตาโตอ้าปากค้าง ไม่ก็กำลังเดินวนไปมาอยู่ในห้องล่ะมั้ง น่าขำดี ที่ตัวเองจินตนาการถึงเด็กคนนั้น

“อยากมาหาก็บอกตรงๆ ไม่ต้องอ้อมค้อม”

‘…..’
เกิดเดตแอร์ขึ้นระหว่างเราสองคน ได้ยินแค่เสียงหายใจเข้าออกแรงๆ ของคนปลายสาย ตอนแรกตั้งใจว่าจะปล่อยผ่าน แต่พอรู้ว่าอีกคนกระวนกระวายก็ยิ่งอยากแกล้ง อยากรู้ว่าจะแก้ปัญหาที่มันเกิดขึ้นกะทันหันได้ยังไง

“ขอถามอะไรอย่างหนึ่งได้ไหม”

‘เอ่อ... ครับ’

“กำลังจีบพี่อยู่หรือเปล่า”
ตัดสินใจถามออกไปแล้วก็ได้แต่นั่งเม้มปากแน่น ไม่น่าพูดออกไปเลย ทั้งๆ ที่คิดไปก่อนหน้านี้เพียงไม่กี่นาทีว่าให้มันเป็นไปเรื่อยๆ ก็น่าจะดีกว่า นี่ล่ะนะใจคน เปลี่ยนไปมาได้ตลอดเวลา อยากตบปากตัวเองแต่ทำอะไรไม่ได้เลยต้องนั่งรออีกฝ่ายตอบกันเงียบๆ

‘เฮ้ย! แค่นี้ก่อนนะพี่ลืมไปว่าต้มมาม่าไว้’
แล้วสายก็ตัดไป... ไอ้แฮงค์ ถ้ามาถึงที่นี่เมื่อไหร่พ่อจะกระโดดเตะก้านคอให้สลบเลย พอถึงช่วงเวลาสำคัญมันชอบหนีแบบนี้ตลอด นี่ถ้าเป็นผู้ชายคนอื่นเขาคงเลิกคุยกับมันไปแล้วมั้ง แต่นี่เป็นผมไง คนที่ไม่สนใจเรื่องเพศเป็นหลักเลยยังทำตัวปกติได้ดี คิดมากก็ปวดหัวอาบน้ำดีกว่า

ผมอาบน้ำแต่งตัวเสร็จเรียบร้อยก็ลงไปจัดการมื้อเช้าที่ชั้นล่างแล้วนั่งดูทีวีไปเรื่อย ไม่มีวี่แววว่าแฮงค์จะโผล่หน้ามาในตอนนี้ ก็จะมีแต่กันย์ที่ลงมานั่งเป็นเพื่อนเนื่องจากพี่ต้นหลับไปแล้ว จริงๆ น้องจะกลับบ้านเลยก็ได้เพราะไม่อยากรบกวนอะไรขนาดนั้น แต่เขาก็ออกตัวว่าเดี๋ยวเย็นๆ ค่อยกลับแล้วกันเพราะตอนนี้อากาศเริ่มร้อนขี้เกียจขับรถ

“เป็นยังไงบ้างที่เดทกับพี่ต้น”
สมองคิดอะไรไม่ออกเลยได้แต่ถามคำถามนี้ออกไป รู้หรอกว่ามันเป็นเรื่องส่วนตัวของพวกเขา แต่มันไม่มีอะไรจะชวนคุยนี่หว่า จะยกเรื่องเรียนมามันก็แปลกๆ เพราะตอนนี้ไม่ได้อยู่ในช่วงเวลาทำงานหรือเวลาเรียนสักหน่อย  กันย์ก็ดูจะไม่คิดเล็กคิดน้อยว่าผมละลาบละล้วงอะไร เขายิ้มก่อนจะเอนหลังพิงพนักโซฟาแล้วไหลตัวลงเล็กน้อย สบายจริงๆ เลยนะ

“ก็ดีครับ... ติดจะดื้อแล้วก็ทะลึ่งไปสักหน่อย ที่สำคัญคือพี่ต้นดูจะหวงพี่ข้าวมากเลยนะ”
ท้ายประโยคกันย์หันมามองเล็กน้อยก่อนจะคลี่ยิ้มออกมา ไม่แปลกที่น้องจะรู้ เพราะมีหลายครั้งที่เขาอยู่ด้วยกันแต่พี่ต้นยังคงโทรมาถามและดุผมเวลาที่ออกไปไหนมาไหนแล้วลืมบอก เจ้าตัวชอบย้ำเรื่องถ้ามีคนมาวุ่นวายให้หนีประจำ คือไม่อยากให้ผมมีแฟนใช่ไหมหรือยังไง โตเกินกว่าจะอยู่ในเกราะกำบังของพี่ชายแล้วนะ

“เรื่องดื้อยกให้ที่หนึ่งเลย พี่ต้นเป็นคนดื้อเงียบล่ะ ส่วนไอ้เรื่องทะลึ่งนี่... คงแสดงออกกับกันย์เป็นคนแรก เพราะก่อนหน้านี้ตอนเขาจีบผู้หญิงนะสุภาพจะตายไป”
ผมย่นจมูกเล็กน้อยเมื่อเห็นได้ชัดว่าพี่ชายตัวเองเปลี่ยนไป ไม่รู้จะบอกว่าแย่หรือมันดีขึ้นกันแน่ อาจเพราะอีกฝ่ายเป็นผู้ชายพี่ต้นเลยไม่ต้องรักษาภาพพจน์อะไรมากนัก เป็นตัวของตัวเองไปเลยถ้ากันย์ไม่ชอบใจก็ถือว่าจบ ไม่ต้องยืดเยื้อกันให้มากความ เขาเป็นคนจริงจังนะ ไม่ได้คุยกับใครเล่นๆ หรอกไว้ใจได้

“งั้นเหรอครับ น่าเตะจัง”
น้องพูดด้วยน้ำเสียงสบายๆ ก่อนที่เราจะพากันหลุดหัวเราะ ท่าทางของพี่ต้นที่นิ่งขรึมแต่พูดจาทะลึ่งผุดขึ้นมาในหัวได้ไม่ยาก มันทั้งกวนตีนและน่าเตะอย่างที่กันย์ว่าจริงๆ นั่นล่ะ

“แล้วเรื่องที่พี่ต้นหวงพี่มันก็จริงนั่นล่ะ ทำอย่างกับมีน้องสาว”
ผมพูดจบก็ทิ้งตัวพิงพนักโซฟาเช่นเดียวกับกันย์แล้วหลับตาลงครู่หนึ่งเพื่อบรรเทาอาการปวดตาหลังจากที่จ้องทีวีมากเกินไป ได้ยินเสียงขยับตัวของคนด้านข้างเล็กน้อยก่อนจะเปิดเปลือกตาขึ้นก็พบว่าน้องจ้องกันอยู่ด้วยดวงตาที่มีแต่คำถาม

“หวงแบบไหนครับ กลัวคนมาจีบน้องชายตัวเองน่ะเหรอ”

“ก็แบบนั้นล่ะ คงเพราะครั้งหนึ่งพี่อกหักแล้วเอาแต่เก็บตัวล่ะมั้ง พี่ต้นเลยไม่อยากให้เกิดเหตุการณ์แบบนั้นขึ้นอีก”
ผมพูดก่อนจะคลี่ยิ้มบางออกไป ก็นั่นล่ะถึงความขี้หวงมันจะน่ารำคาญแต่มันก็แสดงให้เห็นว่าพี่ต้นเป็นห่วงและรักผมจริง คนฟังได้แต่ขมวดคิ้วหนักขึ้นราวกับเครียดอะไรบางอย่าง ปากบางพึมพำกับตัวเองจนฟังไม่เป็นภาษา กำลังตั้งท่าจะถามกลับไปแต่โทรศัพท์มือถือที่ตั้งอยู่ตรงหน้ากลับดังขึ้นมาซะก่อน ของกันย์นะไม่ใช่ของผม

“จะโทรมาทำไมเนี่ย เดินลงมาก็ได้ปะวะพี่”
กันย์ตอบก่อนจะเบ้ปากเล็กน้อย จากประโยคนี่รู้เลยว่าใครโทรมา... พี่ต้นอย่างแน่นอนไม่ต้องเดาให้เหนื่อยเลย

“เออๆ เดี๋ยวขึ้นไป อะไรนะ จะให้พี่ข้าวรดน้ำต้นไม้ แดดเปรี้ยงขนาดนี้อะนะ”
ประโยคนั้นทำให้ผมเบะปากลงจนเป็นเส้นโค้ง เอาอีกแล้วไง ใครไม่โดนพี่ต้นใช้ทำสวนถือว่าพิเศษมากเลยนะ ไอ้จุ้นซวยสุดเพราะโดนใช้ทุกครั้งที่มาหา ส่วนผมนานๆ ครั้งเมื่อเจ้าตัวไม่ว่าง ลุงทัชนี่... จะจ้างไว้ทำมะเขืออะไรไม่ทราบ

“พี่ข้าว... คือพี่ต้นมันฝากรดน้ำต้นไม้อะ ถ้าผมเสร็จธุระไวจะรีบลงมาช่วยนะ”
น้องหันมาบอกกันหลังจากวางสายไปแล้วด้วยหน้าตาที่ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ คงกลัวว่าผมจะเป็นลมหรือเปล่า...

“เฮ้ย ไม่เป็นไร อยู่กับคุณชายเขาเถอะ เรื่องแค่นี้สบายมาก”
ผมบอกน้องก่อนจะเอื้อมมือไปตบไหล่เขาเบาๆ แล้วพยักพเยิดหน้าให้ขึ้นไปข้างบนได้แล้ว ขืนชักช้าคงได้มีการโทรลงมาตามอีกรอบแน่ๆ ยิ่งป่วยแบบนั้นยิ่งเอาแต่ใจ...

กันย์เดินขึ้นบันไดไปได้สักพักแล้ว ส่วนผมยังยืนมองผ่านประตูกระจกออกไปที่สวนด้านนอกอย่างช่างใจ แดดเปรี้ยงเวลาเกือบเที่ยงแบบนี้เนี่ยนะจะให้ออกไปรดน้ำต้นไม้ สมควรจะรดต้นเย็นปะวะ แต่ถ้าขัดคำสั่งเกรงว่าตัวเองจะโดนกักบริเวณนี่สิ ถอนหายใจออกไปยาวๆ ก่อนจะเดินไปที่ห้องเก็บของใต้บันใดแล้วรื้อเอาหมวกปีกกว้างขึ้นมาใส่แล้วเดินออกไปรดน้ำต้นไม้

น้ำร้อนๆ ไหลออกจากสายยางทำให้ผมกลัวว่าต้นไม้ดอกไม้จะเหี่ยวเฉาตายไปซะก่อนเลยเปิดมันทิ้งไว้สักพักแล้วชมความงามของสวนบ้านตัวเองไปเรื่อยๆ ดวงตากลมมองไปที่ประตูรั้วก่อนที่เสียงกดกริ่งจะดังขึ้นสองครั้งตามมาด้วยเสียงทุ้มที่คิดว่าคิดเคยพอตัวดังขึ้นมา

“สวัสดีครับผม มีใครอยู่ไหม”
คือ... กดอินเตอร์โฟนแล้วจะตะโกนหาสวรรค์วิมารอะไรของมันวะ แล้วนั่นก้อนขนสีขาวๆ วิ่งตัดหน้าผมไปที่รั้วบ้านเรียบร้อยแล้วด้วย ไม่รู้ว่าแฮงค์กลัวหมาหรือเปล่า แต่บับเบิ้ลไม่กลัวคนนะ ถ้าถูกใจเขาล่ะก็กระโจนใส่ล้มทั้งยืนทันทีแน่ๆ

ผมกำลังจะก้าวขาเพื่อไปหยิบรีโมทรั้วจากในบ้าน แต่ลุงทัชที่โผล่ออกมาจากพุ่มไม้ส่งสัญญาณว่าเขาจะไปเปิดเองแล้วเดินลิ่วๆ ไปเลย เอ่อ... คือสภาพแกตอนนี้บนหัวเต็มไปด้วยใบไม้น่ะ สงสัยว่ากำลังตัดแต่งต้นไม้อยู่แน่ๆ สะบัดมันออกก่อนดีไหม ฮือ คนสวนบ้านกูเนี่ยสติยังมีอยู่ไหม (จริงๆ แล้วลุงทัชเป็นคนขับรถของพ่อ แต่ตอนนี้ว่างงานเพราะเจ้านายหรือเที่ยวต่างประเทศ เลยกลายมาเป็นคนสวยซะเฉยๆ)

“มาหาใครครับ!”
แม่เจ้า... สาบายว่าลุงทัชยืนอยู่ห่างจากแฮงค์แค่เพียงประตูรั้วกั้น ทำไมต้องตะโกนกันจนเสียงดังมาถึงที่ที่ผมยืนอยู่ด้วยวะ จากตรงนี้ถึงตรงนั้นห่างกันเกือบห้าสิบเมตรเลยนะเว้ย... อากาศก็ร้อนเดี๋ยวก็หน้ามืดกันพอดี ผมเลิกสนใจคนบ้าสองคนแล้วเริ่มลงมือรดน้ำต้นไม้ ได้ยินเสียงประตูรั้วเปิดก็ได้แต่ยกยิ้มน้อยๆ ไม่นานเจ้าตัวคงเดินมาทางนี้ เสียงฝีเท้าหนักๆ หยุดอยู่ด้านหลัง ก่อนเสียงอืออาแบบคนขี้เกรงใจจะดังขึ้น

“เอ่อ... ลุงครับ”
แทบจะขว้างสายยางที่ถืออยู่ใส่มัน แต่จำใจยืนนิ่งแล้วข่มอารมณ์เพื่อจะตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงที่แกล้งดัดเรียบร้อยแล้ว ลุงทัชที่เดินกลับมาซุ่มหลังพุ่มไม้ตามเดิมส่งยิ้มให้เล็กน้อย ไม่รู้เหมือนกันว่าแกยิ้มให้ผมหรือแฮงค์ที่ยืนอยู่ด้านหลังกันแน่

“แฮ่ม ครับ มีอะไรครับ”
แกล้งทำเสียงแก่แล้วตลกตัวเองฉิบหาย มือก็ยังคงประคองสายยางรดน้ำต้นไม้ต่อไป สายตาเหลือบไปเห็นลุงทัชขมวดคิ้วจนยุ่ง แต่ผมให้สัญญาณว่าห้ามเสียงดัง แกเลยมุดหัวลงไปตัดต้นไม้ต่อ ไอ้บับเบิ้ลก็เดินเข้ามาคลอเคลียตาขาอยู่ไหน อยากดุแต่ต้องเงียบไว้

“เอ่อ... คือว่าเห็นพี่ข้าวหรือเปล่าครับ คุณลุงคนเมื่อกี้บอกว่าเขาอยู่แถวนี้อะ แต่ผมหาไม่เจอ”
สายยางสั่นไปมาเพราะผมกลั้นหัวเราะเอาไว้อย่างสุดความสามารถ แค่ใส่หมวกปีกกว้างแล้วยืนรดน้ำต้นไม้นี่จะจำกันไม่ได้เชียวเหรอ ไอ้เด็กคนนี้เป็นเอามากนะ หรือประหม่าอยู่กันแน่ ที่โดนเรียกว่าลุงเมื่อครู่นี่ลืมไปซะสนิทเลย แต่ยังไม่ทันจะได้ตอบอะไรแฮงค์ก็เดินขึ้นมาขนาบข้างกันและเป็นจังหวะเดียวกันที่ผมเงยหน้าขึ้นพอดิบพอดี ดวงตาคมเบิกกว้างก่อนที่ใบหน้าจะแดงก่ำ คงอายสินะ ไอ้ที่กลั้นหัวเราะมาแต่แรกกลับพังทลายปล่อยก๊ากออกมาอย่างไม่เกรงใจ

“พี่ข้าวแกล้งผมว่ะ”
น้องพูดไม่เต็มเสียงแล้วเอาแต่ก้มหน้าก้มตาหลบสายตาผมกับลุงทัชที่หัวเราะตามไปด้วย พยายามมากที่จะเดินไปปิดน้ำทั้งที่ตัวสั่นไม่หยุดหย่อน แฮงค์เดินตามกันมาแล้วเบ้ปากใส่กันเล็กน้อยก่อนจะบ่นอะไรพึมพำๆ คนเดียวอยู่แบบนั้น

“จำพี่ไม่ได้เองปะวะ แค่ใส่หมวกยืนรดน้ำต้นไม้นี่เรียกกันว่าลุงเลยเหรอ เสียใจว่ะ”
ประโยคคงความดราม่าแต่เสียงร่าเริงยิ่งกว่ากินน้ำแข็งใสตอนอากาศร้อนซะอีก เหงื่อที่ไหลไม่ได้ทำให้รำคาญแต่อย่างใดเพราะลืมไปหมดแล้ว แฮงค์ทำเรื่องน่าขำใส่นี่หว่า ผมเสยเส้นผมเปียกชื้นขึ้นเล็กน้อยแล้วพยักพเยิดให้อีกคนเดินตามเข้าบ้าน รีโมทแอร์ถูกใช้งานทันทีหลังจากประตูกระจกปิดลง

“หูย ก็ใครจะไปคิดว่าพี่ออกมารดน้ำต้นไม้แบบนี้เล่า แดดเปรี้ยงขนาดนั้น”
แฮงค์ยังคงบ่นกระปอดกระแปดใส่กันแล้วหมุนซ้ายหมุนขวาสำรวจภายในบ้าน ผมเหลือบตามองเขาเล็กน้อยแล้วเผลอยิ้มออกมาเพราะท่าทางเหมือนเจอของถูกใจปรากฏชัดเจน คือผนังประดับไปด้วยโปสเตอร์โปรโมทเกมในบริษัท รูปครอบครัวขนาดยักษ์ตอนที่ผมเพิ่งเรียนจบใหม่ๆ ตู้โชว์เต็มไปด้วยโมเดล Limited Edition ของเกมชื่อดังต่างๆ มันลามออกมาจากห้องทำงานนั่นล่ะ... เก็บไม่พอ

ผมละความสนใจแล้วเดินเข้าครัวเพื่อรินน้ำเปล่าเย็นๆ ใส่แก้วให้แขกของบ้านและเพื่อนจะดื่มเองด้วย เห็นเด็กมันกำลังสนอกสนใจของสะสมก็เลยทิ้งตัวลงนั่งที่โซฟารอดูว่าเมื่อไหร่จะเลิกตื่นเต้นสักที ไม่นานนักเขาก็หันกลับมาและก้าวขาทิ้งตัวลงข้างกัน เว้นระยะห่างไม่ถึงไม้บรรทัดด้วยซ้ำ มันปกติที่ไหนล่ะ โซฟานี่นั่งได้แทบจะสี่คนเชียวนะ

แฮงค์ยืนถุงที่มีโลโก้ร้านขนมชื่อดังแถวมหา’ลัยมาให้กันก่อนจะส่งยิ้มกว้างมาให้ ผมขมวดคิ้วแน่นเพราะไม่เคยบอกเขาสักคำว่าชอบกินขนมร้านนั้น หรือบังเอิญซื้อมาฝากเฉยๆ ล่ะมั้ง

“ผมซื้อมาฝากครับ”

“อะไร”
ผมถามแล้วรับถุงนั้นมาตั้งไว้บนตัก มือเรียวกำลังจะแง้มดูว่าขนมอะไรที่อยู่ในถุงแต่ต้องชะงักไปเพราะเสียงทุ้มตอบกลับมาซะก่อน

“บราวนี่สูตรหวานน้อยครับ”
ผมถึงกับอึ้งเมื่อได้ยินคำตอบ มันคงไม่ใช่เรื่องบังเอิญแล้วล่ะถ้าจะซื้อขนมที่ผมชอบมาให้กันขนาดนี้ ต้องมีใครสักคนแอบบอกแน่ๆ แต่คงไม่ใช่พี่ต้น รายนั้นไม่ยอมให้ใครมาเอาใจน้องชายมากกว่าตัวเองหรอก หวงอย่างกับจงอางหวงไข่ ถ้ารู้ว่าแฮงค์มาเหยียบที่บ้านนะ คงลงมาแผ่รังสีอาฆาตแล้ว แต่เงียบไปแบบนี้สงสัยจะลากกันย์นอนหลับไปด้วยกันแน่ๆ

“รู้เหรอว่าพี่ชอบกิน” 
ผมถามออกไปด้วยเสียงราบเรียบก่อนจะมองหน้าแฮงค์อย่างจับผิด น้องยืดตัวขึ้นก่อนจะกรอกตาไปมาแล้วหลบหน้ากันซะอย่างนั้น แอบเห็นหรอกว่าแก้มแดง... เขาส่ายหัวเบาๆ เป็นเชิงปฏิเสธ แต่ใครจะไปเชื่อล่ะวะ

“เปล่าครับ เดาๆ เอาน่ะ ดีใจนะเนี่ยที่พี่ชอบ”
เขาพูดด้วยน้ำเสียงร่าเริงเป็นปกติแต่ไม่ยอมมองหน้ากัน ผมอยากคาดคั้นใจจะขาดแต่ไม่รู้จะใช้วิธีไหนดีเลยได้แต่ก้มมองของในมือแล้วกระตุกยิ้มมุมปาก ถามซ้ำดีไหมนะว่าจีบกันหรือเปล่า อยากรู้ว่าจะทำหน้ายังไงเวลาเป็นฝ่ายโดนจู่โจมบ้าง

“อืม... แฮงค์ยังไม่ได้ตอบคำถามพี่เลยนะเมื่อเช้า”
ผมยกถุงขนมไปตั้งไว้บนโต๊ะกระจกแล้วขยับเข้าใกล้คนที่เพิ่งสะดุ้งไปเมื่อครู่ก่อนจะขยับหนีเล็กน้อย พอทีแบบเนี่ยไม่อยากใกล้กันแล้วเหรอไง ปากหยักได้รูปเม้มเข้าหากันแน่นอย่างคนใช้ความคิด คงจำได้สินะว่าลืมตอบคำถามอะไรเอาไว้

“หือ ผมไม่เห็นจำได้เลยครับว่าลืมตอบอะไรพี่ข้าวไป หิวแล้วอะยังไม่ได้กินข้าวเลย มีอะไรให้กินบ้างไหมครับ”
อ่า... เจ้าตัวลุกขึ้นยืนเต็มความสูงก่อนจะเดินลิ่วๆ เข้าไปในครัว ผมเบ้ปากใส่แผ่นหลังกว้างนั่นด้วยความหงุดหงิด ทำไมเด็กคนนี้ถึงหนีเอาตัวรอดหน้าด้านๆ แบบนี้ทุกครั้งไปนะ แล้วเมื่อไหร่จะได้รู้ความจริงกันสักที ชักจะเหนื่อยแล้วนะเว้ย ไม่อยากรู้แล้วก็ได้วะ เบื่อจะถามอะไรซ้ำซาก ถ้าเขาอยากบอกเขาก็บอกเอง ช่างแม่งเถอะ

ผมเดินตามเขาเข้าไปในครัวก่อนจะยกมือขึ้นประเคนมะเหงกไปให้ด้วยความหมั่นไส้ หนีกันยังไม่พอมาฝากท้องที่บ้านอีก คนอะไรวะ น่าเตะได้ทุกช่วงเวลาจริงๆ น้องหันมาเบะปากใส่กันก่อนจะยกมือขึ้นลูบหัวไปมาแล้วขยับที่ทางให้ผมเปิดตู้เย็น อาหารมื้อเที่ยงวันนี้คงต้องจัดการเองเพราะพี่ส้มลากลับบ้านบ่ายนี้ถึงวันจันทร์ ของสดที่มีก็เป็นเนื้อหมู แครอท ผักกาดขาว เต้าหู้ไข่ มะเขือเทศ เพราะฉะนั้นก็เป็นเมนูผัดผักกับข้าวร้อนๆ ก็แล้วกัน ส่วนพี่ต้นกับกันย์ถ้าไม่ลงมาก็อดไปนะ ผมไม่ใจดีเอาขึ้นไปเสิร์ฟแล้วเจอสถานการณ์ให้คิดลึกอีกแน่ๆ


 
มีต่อหน้าที่ 3

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด