เมาครั้งที่ 25
ไม่คิดว่าการไปงานแต่งงานใครสักคนจะต้องวุ่นวายขนาดนี้ ไอ้ธีมชุดสีชมพูขาวของแขกผู้ร่วมงานมันคืออะไร แถมจะไม่ใส่ตามที่เขากำหนดก็จะกลายเป็นแกะดำไปซะอย่างนั้น และนั่นมันทำให้ผมมายืนทำหน้าเอือมๆ อยู่ในร้านเสื้อแบรนด์หนึ่งพร้อมกับคนที่ได้ชื่อว่าแฟน
"ทำไมมันยุ่งยากแบบนี้วะพี่ ใส่สีอื่นไม่ได้เหรอ"
แฮงค์บ่นงุ้งงิ้งในขณะที่เจ้าตัวเดินดูเสื้อเชิ้ตสีชมพูและเสื้อสูท ใบหน้าหล่อเหลาบึ้งตึงจนคิ้วแทบจะผูกโบว์ ก่อนออกมาที่นี่เจ้าตัวก็เถียงกับพี่สาวตัวเองมาแล้ว เฟรนด์แทบจะกัดหัวน้องขาดให้ได้ ไม่ยอมอ่อนข้อแม้แต่นิดเดียว ก็นะ... งานแต่งงานครั้งหนึ่งในชีวิตของมัน ใครๆ ก็อยากให้ออกมาเพอร์เฟ็คที่สุด ซึ่งผมน่ะปลงนานแล้ว ไม่อยากมีปากมีเสียงกับเพื่อน เหนื่อย
"ใส่ๆ ไปเหอะน่า แค่เนคไทสีชมพูก็ได้มั้ง เชิ้ตขาวปกติ"
ผมแนะนำออกไปเพราะอยากให้แฮงค์เลิกทำหน้าบูดสักที นี่ยอมเสียสละไอเดียเลยนะ ของตัวเองน่ะใส่อะไรก็ไม่เกี่ยงหรอกขอแค่อย่าสีชมพูทั้งชุดก็พอ อายชาวบ้านเขา
"เฮ้ย ดีอะ งั้นผมซื้อแค่เนคไทสีชมพูก็พอ แล้วพี่ข้าวล่ะ จะใส่เหมือนผมปะ คู่กัน ~"
คู่กันพ่อง! อยากตะโกนด่าไปแบบนั้นแต่คำได้แค่แยกเขี้ยวใส่ ใครมันจะอยากใส่ชุดคู่กันแบบนั้นล่ะ อายคนอื่นตายล่ะ ทำอะไรมุ้งมิ้งแบบนั้นไม่ใช่นิสัยผมด้วยสิ แฮงค์หัวเราะเอิ๊กอ๊ากอย่างอารมณ์ดีผิดกับก่อนหน้านี้โดยสิ้นเชิง ปล่อยเขาเถอะ ไปเลือกเสื้อดีกว่า ปวดหัว...
"อย่าเยอะ รีบๆ ไปเลือก พี่จะดูเสื้อเชิ้ต"
ผมผลักแฮงค์ให้ออกไปจากทางแล้วเดินเข้าไปแทนที่เพื่อเลิกเสื้อเชิ้ตสีชมพูพาสเทลตรงหน้า คนข้างกายเหล่สายตามองกันเล็กน้อยก่อนจะมุ่งตรงไปยังชั้นวางเนคไท ต่างคนต่างเลือกสิ่งที่ต้องการแล้วกลับออกจากร้านพร้อมกัน...
งานแต่งงานนี้ หวานซะไม่มี
วันงานมงคลใกล้เข้ามาเรื่อยๆ เฟรนด์คงจะตื่นเต้นมากกว่าใครทั้งหมด เพราะเธอเข้าคอร์สนั่นนี่เพื่ออัพความสวยของตัวเองเป็นว่าเล่น อย่างตอนนี้ลากผมมาสปาตัวด้วยกัน... ไม่เข้าใจว่าทำไม คือไม่ได้จะเป็นเจ้าสาวด้วยสักหน่อย
"เฟรนด์ แกจะลากเรามาทำอะไรที่นี่วะ"
ผมทำหน้าอึนๆ ใส่คนที่นั่งอยู่ข้างๆ เธอหันมาฉีกยิ้มร่าแล้วส่งกระดาษอะไรสักอย่างมาให้กัน ตอนนี้ไม่ใช่เวลาอ่านโบชัวร์โฆษณาขายบ้านหรือเปล่าวะ
"อะไร"
ผมถามกลับไปเสียงเรียบและไม่ยอมรับกระดาษแผ่นนั้นจากมือเขา เฟรนด์จิ๊ปากก่อนจะจับมันยัดใส่มือแล้วส่งสายตาบังคับว่าให้เปิดอ่านเดี๋ยวนี้... อะไรของมันเนี่ย ไม่พูดไม่จาเป็นใบ้เหรอ
"เออๆ"
ผมตอบไปส่งๆ ก่อนจะคลี่กระดาษยับๆ ในมือออกแล้วตั้งใจอ่าน ข้อความในนั้นระบุว่าเป็นโปรโมชั่นสปาคู่รักทำหนึ่งคนฟรีหนึ่งคน ความสงสัยเก่าถูกทำให้จางหายไปแต่ความสงสัยครั้งใหม่กลับมาเยือน แล้วทำไมมันไม่ชวนแฟนมาวะ พี่น้องบ้านนี้ชอบทำอะไรชวนปวดหัวจริงๆ
"แล้วแกจะชวนเราเพื่ออะไร ทำไมไม่ชวนแฟนมาวะ"
"อยากให้แกเป็นเจ้าสาวอีกคนไง"
เฟรนด์พูดเสียงกลั้วหัวเราะจนอยากถีบเธอให้ตกรถถ้าไม่เกรงใจว่ามันเป็นผู้หญิงและเป็นพี่สาวของแฟนน่ะนะ ผมกรอกตาไปมาแล้วพ่นลมหายใจด้วยความเบื่อหน่าย ความคิดบ้าบออะไรที่บอกว่าอยากให้เป็นเจ้าสาวอีกคน ลืมไปแล้วเหรอว่าเพื่อนเป็นผู้ชาย แม่ง... ถึงจะเป็นเมียแฮงค์ก็เถอะ
"กวนตีน นี่ถามจริงๆ คือเราไม่ชอบทำสปาเว้ย มันน่าขนลุก"
คิดถึงตอนโดนพนักงานจับตรงนั้นนวดตรงนี้แล้วมันอดขนลุกซู่ไม่ได้ ผมเคยปวดเมื่อยจนอยากไปนวดคลายเส้น แต่สุดท้ายต้องล้มเลิกไปเพราะเหตุผลข้างต้น ไม่ชินกับการให้คนไม่รู้จักกันจับเนื้อต้องตัวน่ะ
"ทำๆ เหอะน่า แล้วจะติดใจ ผิวนุ่มด้วยน้า แฮงค์จะได้หลงแกหัวปักหัวปำไง"
พูดจบก็ทำหน้าตากรุ้มกริ่มใส่กัน คิดว่าจะหลงกลเหรอ นี่ขนาดไม่ได้ทำอะไรกับตัวเองเลยสักอย่างแฮงค์ยังติดผมเป็นตังเมขนาดนี้ ถ้าไม่มีเรียนคงตามมาด้วยแล้วแน่ๆ อย่าให้น้องมันหลงไปมากกว่านี้เลยเถอะ กลัวว่าวันๆ ผมคงตายคาเตียงน่ะ
"จะทำก็รีบๆ หิวข้าว"
ผมบอกปัดๆ แล้วดับเครื่องยนต์ก่อนจะก้าวลงจากรถ ตอนแรกกะว่าจะทรยศเพื่อนด้วยการนั่งรอเฉยๆ แต่สุดท้ายก็โดนมันบังคับจนทำสปาเสร็จจนได้ ก็สบายตัวดีนะแต่ยังรู้สึกขนลุกอยู่เลย บรื๋อ ขอแต่ครั้งเดียวในชีวิตก็พอแล้ว
"ข้าว เดี๋ยวแวะไปเอาของชำร่วยที่ร้านหน่อยดิ"
เฟรนด์พูดขึ้นในขณะที่ผมกำลังจะเข้าเกียร์ออกรถ มือเรียวชะงักกึกก่อนจะเหล่สายตามองเพื่อนด้วยความฉงน ไม่เข้าใจว่าทำไมมันไม่มาทำอะไรแบบนี้กับแฟนอีกแล้ววะ เผลอๆ คนที่ร้านจะคิดว่าผมเป็นว่าที่เจ้าบ่าวไปซะอย่างนั้น
"ถามจริงเหอะ แฟนแกไปไหนวะ ถึงได้ชวนผู้ชายคนอื่นไปเอาของชำร่วยเนี่ย"
ผมถามพลางขมวดคิ้วมองหน้าเพื่อน เธอไหวไหล่เป็นเชิงว่าช่วยไม่ได้
"ไปต่างประเทศอะ กลับพรุ่งนี้เย็นๆ"
เฟรนด์ตอบกลับด้วยน้ำเสียงสบายๆ ไม่มีแววโมโหหรือโกรธว่าที่เจ้าบ่าวเลยสักนิด ที่ผมแปลกใจก็เพราะวันมะรืนก็จะถึงงานแต่งงานแล้ว...
"อะไรนะ มะรืนจะถึงงานแต่งแล้วนะเว้ย ไม่มีเตรียมตัวอะไรเลยเหรอวะนั่น"
เป็นผมเองที่ออกอาการตกใจเล็กน้อย ซึ่งเฟรนด์ก็ไม่มีทีท่าว่าคิดมากอะไร แปลกคนทั้งพี่ทั้งน้องเลยว่ะ
"ก็มันงานด่วนไงแก... เอาน่า เราไม่ได้ซีเรียสขนาดนั้นซะหน่อย"
"นี่ขนาดแกไม่ซีเรียสนะเว้ย บังคับแขกร่วมงานเรื่องธีมสีชุดเนี่ย"
ผมแอบแขวะเพื่อนไปเล็กน้อย นี่ขนาดไม่ได้ซีเรียสยังกำหนดธีมงาน ถ้ามันซีเรียสขึ้นมาไม่กำหนดรูปแบบชุดด้วยเลยเหรอ แบบนั้นคงทำแค่ฝากซองไปเฉยๆ ล่ะ กลัวเฟรนด์จะคิดอะไรแผลงๆ
"เออน่า ก็อยากให้งานมันหวานๆ อะ น่ารักดีออก ผู้ชายในชุดสีชมพู งือ ~"
เธอทำหน้าเพ้อฝัน คงกำลังจินตนาการถึงว่าที่เจ้าบ่าวของตัวเองสินะ ผมกรอกตาด้วยความปลงก่อนจะออกรถเพื่อไปยังร้านที่เฟรนด์ได้บอกไว้ เชื่อสิว่าเดี๋ยวต้องเกิดการเข้าใจผิดแน่ๆ
"นี่ข้าว..."
ช่วงเวลาของการติดไฟแดงทำให้คนที่นั่งกดโทรศัพท์คุยกับแฟนมาตลอดทางส่งเสียงเรียกชื่อกัน ผมเลิกคิ้วขึ้นเป็นเชิงถามว่ามีอะไรแล้วจ้องหน้าเฟรนด์อยู่แบบนั้น
"ถามอะไรอย่างได้ปะ พอดีคิดขึ้นได้อะ"
เธอทำเสียงจริงจังจนผมเผลอกลั้นหายใจ จะถามอะไรของมันวะ...
"เออ อยากรู้อะไรล่ะ"
ผมถามกลับไปแล้วลอบสังเกตปฏิกิริยาของเธอ เฟรนด์เม้มปากเหมือนกำลังครุ่นคิดและตัดสินใจอะไรบางอย่าง คือก็ไม่รู้ว่าสิ่งที่จะถามมันเครียดขนาดนั้นเลยเหรอ พลอยทำให้คนรอเริ่มขมวดคิ้วตามไปด้วย เป็นเรื่องในแง่ลบหรือเปล่าวะ
"เคยคิดจะมีครอบครัวบ้างหรือเปล่า"
เฟรนด์ถามด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา ดวงตากลมฉายแววหวั่นไหวอย่างเห็นได้ชัด ไม่ใช่ว่าเธอไม่มั่นใจที่จะแต่งงาน แต่มันน่าจะเป็นเรื่องระหว่างผมกับแฮงค์มากกว่า
"ครอบครัวนี่หมายถึงมีเมียมีลูกอะเหรอ"
ผมถามกลับไปด้วยน้ำเสียงสบายๆ นิ้วเรียวเคาะลงบนพวงมาลัยตามจังหวะเสียงเพลง ไม่แปลกใจหรอกที่ใครจะตั้งคำถามแบบนี้กับผม ก็ในเมื่อไม่ได้เป็นเกย์และมีทีท่าว่าชอบผู้ชายมาตั้งแต่แรก อืม... นั่นสินะ เคยคิดเรื่องอยากมีเมียมีลูกบ้างหรือเปล่าวะ จำไม่ได้เลย
"ไม่รู้ดิ ไม่เคยคิดถึงเรื่องนั้นเลยว่ะ เพราะไม่ชอบเด็กด้วยล่ะมั้ง"
ผมตอบไปตามที่คิด ไม่เคยคิดถึงเรื่องการมีครอบครัวเลยสักครั้งเพราะตัวเองยังรักสนุก เฮฮากับบรรดาเพื่อนฝูงอยู่ และไอ้กาสคบกับผู้หญิงหรือกับผู้ชายมันก็ต่างกันสิ้นเชิงด้วย เอามาเปรียบเทียบหรือแทนกันไม่ได้หรอก
"กับแฮงค์น่ะ... แกคิดว่าจะคบกันไปนานแค่ไหน ถ้าวันหนึ่งเลิกกันจะเป็นยังไง"
เฟรนด์ถามด้วยน้ำเสียงที่เครียดพอตัว แววตาที่ใช่มองกันเต็มไปด้วยความห่วงใยที่ผมสัมผัสได้ จริงๆ แล้วคำถามของเธอไม่ได้ตอบยากเลยสักนิด กี่ปีแล้วที่คนอย่างนายการินไม่เคยมีแฟน แล้วจะให้ทิ้งแฮงค์ง่ายๆ คงยาก อีกอย่างคือเสียเอกราชให้เขาแล้วไง จะไปไหนรอด
"เราไม่เคยคิดเรื่องเลิกกับแฮงค์ว่ะ เฟรนด์ก็รู้ว่าเราเป็นผู้ชายแท้ๆ คนหนึ่งที่ตอนนี้ยอมเป็นของแฮงค์ไปแล้ว คิดดูเอาเองแล้วกันว่าเรารักมันมากแค่ไหน"
ผมตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงราบเรียบและหวังว่าเฟรนด์จะได้คำตอบก่อนจะเหยียบคันเร่งเพื่อเคลื่อนรถมุ่งหน้าสู่ร้านรับทำของชำร่วย
ตลอดทางคนที่นั่งข้างๆ เอาแต่มองไปนอกหน้าต่างราวกับว่ามันมีอะไรน่าสนใจ แต่ผมรู้ว่าเธอกำลังประมวลผลหาคำตอบอยู่ เข้าใจว่าคนเป็นพี่ต้องห่วงความรู้สึกของคนเป็นน้องอยู่แล้ว เฟรนด์จะรู้ไหมว่าความรักของผมมันมั่นคงกว่าใครๆ ทั้งนั้นเมื่อตัดสินใจไปแล้ว และแฮงค์อาจจะเป็นผู้โชคดีรายสุดท้ายที่จะได้เข้ามายุ่งวุ่นวายในชีวิต
"เฟรนด์... ถึงร้านแล้ว"
ผมบอกเธอด้วยเสียงที่ไม่ดังนักแต่ทำให้คนที่นั่งคิดอะไรเพลินๆ สะดุ้งได้ เฟรนด์หันมาทำหน้าเหลอหลาก่อนจะหันมองรอบๆ แล้วร้องอ๋อออกมาเบาๆ ให้จูนเรียกสติไหม...
"เออๆ ลงไปกันเถอะ"
เธอพูดจบก็ก้าวลงจากรถแล้วมุ่งตรงเข้าสู่ร้านโดยมีผมเดินตามไปติดๆ
ของชำร่วยชิ้นเล็กๆ ถูกบรรจุลงลังขนาดใหญ่สามลัง มันเป็นสมุดโน้ตสีชมพูพาสเทลขนาดเล็กพร้อมด้วยปากกาจิ๋วแท่งสีขาวลายรูปหัวใจสีแดง หน้าปกมีชื่อคู่บ่าวสาวและตัวการ์ตูนน่ารักๆ ที่บรรจุอยู่ในถุงผ้าแก้วดูหวานแหวว ฝีมือการเลือกของเฟรนด์แน่ๆ
"แฟนหล่อจังเลยนะคะเนี่ย"
อยู่ๆ เจ้าของร้านก็ทักขึ้นมาจนผมที่กำลังดื่มน้ำแดงหวานๆ ถึงกับสำลัก เรื่องเข้าใจผิดที่กลัวไว้ในตอนแรกกำลังเกิดขึ้น มือเรียวรีบวางของในมือลงแล้วโบกไปมาเพื่อปฏิเสธ ยังไม่อยากเป็นมือที่สามโดยไม่ตั้งใจนะ เฟรนด์เห็นท่าทางตื่นๆ เลยช่วยแก้ข่าวให้ด้วยน้ำเสียงปนหัวเราะ แหม... สนุกนักหรือไง
"ไม่ใช่แฟนหนูหรอกค่ะ คนนี้เป็นแฟนน้องชายน่ะ"
เฟรนด์ตอบแล้วส่งยิ้มหวานให้กับเจ้าของร้าน ผมอ้าปากหวอด้วยความตกใจแทนที่จะบอกว่าเป็นเพื่อนทำไมบอกว่าเป็นแฟนน้องล่ะวะ โอย น้องชายด้วยไงประเด็น จะย้ำทำไมเนี่ย ไม่ได้อายแต่เขิน!
"หา! แฟนน้องชายเหรอคะ งั้นก็แสดงว่า... โอ้ย น้องชายคุณเฟรนด์ต้องน่ารักมากแน่ๆ เลยสินะ"
เธอไม่ได้ตกใจในความรักของผู้ชายกับผู้ชายเลยแม้แต่น้อย แต่ตื่นเต้นว่าน้องของเฟรนด์หน้าตาเป็นยังไง ในความคิดของคนทั่วไปเวลาเห็นหน้าผมคงคิดว่าแฟนน่ารักไม่ผิดอะไร แต่เหนือฟ้ายังมีฟ้า เหนือข้าวยังมีแฮงค์... คำว่าหล่อคงเหมาะสมกับเขามากกว่า
"เปล่าค่ะ หล่อกว่าคนนี้อีก"
เธอพูดเสียงกลั้วหัวเราะจนผมได้แต่กระทุ้งศอกเป็นสัญญาณให้หยุดจ้อสักที ตรวจของชำร่วยไปแซะเพื่อนไปมันสนุกขนาดนั้นเลยเหรอไง ถ้าไม่เกรงใจเจ้าของร้านผมคงผลักหัวเธอไปแล้ว น่าหมั่นไส้จริงๆ กวนเหมือนคนน้องไม่มีผิด
ผมแบกลังของชำร่วยใส่รถจนเหงื่อออกแทบจะเปียกทั้งตัว อากาศตอนเที่ยงวันแทบหลอมละลายคนๆ หนึ่งได้อย่างง่ายดาย เฟรนด์ก็ไม่ได้ใจร้ายอะไรเพราะยืนเอานิตยสารพัดลมเย็นๆ ให้อยู่ข้างๆ จะให้เธอช่วยยกก็ดูเอาเปรียบไปหน่อย
"ขอบคุณนะข้าว ไม่ได้แกเราคงแย่"
เฟรนด์เอ่ยขอบคุณกันด้วยรอยยิ้ม ผมส่ายหน้าให้กับคำพวกนั้น เรื่องเล็กน้อยแค่นี้เอง
"เออๆ ไม่เป็นไรหรอกน่า เลี้ยงข้าวเราสักมื้อก็พอ"
ผมพูดเสียงกลั้วหัวเราะซึ่งเฟรนด์ก็ตอบตกลงเป็นอย่างดี แต่พอเราถึงร้านอาหารผมถึงกับต้องเบ้ปากใส่เธอด้วยความหมั่นไส้ เจ้ามือเลี้ยงอาหารมื้อนี้กลายเป็นแฟนของผมเอง... มันใช่ไหมล่ะ เหอะ!! ยัยเพื่อนตัวแสบเอ้ย
"ไหนบอกจะเลี้ยงข้าวเราไงเฟรนด์"
ผมลงจากรถเพื่อให้เฟรนด์ขับแทนเพราะเธอจะกลับบ้านและส่งไม้ต่อให้กับน้องชายตัวเอง ใช้งานเสร็จก็ทิ้งกันแบบนี้เลยเหรอ น่าเกลียดชะมัด
"ให้แฮงค์เลี้ยงแทนไง รีบๆ ไปดิ มันยืนรอนานแล้วนะ"
เฟรนด์เดินมาเบียดตัวเพื่อขึ้นนั่งฝั่งคนขับโดยมีผมยืนค้ำหัวอยู่ไม่ไกล เธอโบกมือไล่กันด้วยสีหน้าร่าเริง น่าถีบให้ตกลงมาจากรถจริงๆ ให้ตายเถอะ นิสัยเสียสุดๆ
"ฝากไว้ก่อนเหอะ แสบนักนะ"
ผมชี้หน้าคาดโทษเธอแล้วเลี่ยงเดินออกไปหาคนที่ยืนรออยู่ เห็นเขายิ้มแล้วรู้สึกหงุดหงิดแปลกๆ ที่ร่มมีตั้งเยอะทำไมต้องมายืนตากแดดด้วย เดี๋ยวก็หน้ามืดเป็นลมไปซะก่อน ก็เมื่อเช้าเขารีบออกไปเรียนจนกินข้าวเช้าไม่ทันน่ะสิ เตือนไม่รู้กี่ครั้งว่าอย่านอนดึกก็ไม่เชื่อ...
"คิดถึงจังครับ"
คำทักทายแรกเมื่อผมหยุดยืนอยู่ตรงหน้าเขาเป็นอะไรที่หวานเลี่ยนจนเผลอย่นจมูกตอบกลับไป ห่างกันแค่ครึ่งวันจะคิดถึงอะไรไวขนาดนั้น อย่ามาหยอดให้ยากน่า ไม่เขินง่ายๆ หรอก
"อย่าเยอะ แล้วจะยืนตากแดดทำไมล่ะ ไม่ไปรอในร้าน"
ผมว่าก่อนจะดึงข้อมือของเข้าให้เข้าไปในร้านอาหารพร้อมกัน แฮงค์ไม่ตอบอะไรกลับมาเอาแต่อมยิ้มอยู่อย่างนั้น ตอนแรกก็สงสัยอยู่หรอกว่าเมาแดดจนสติเบลอๆ หรือเปล่า พอเห็นสายตาที่เขาจับจ้องอยู่ที่ข้อมือถึงได้รู้ พลาดอีกแล้วไง... ทำไอ้เด็กนี่ดีใจ ถึงจะเป็นแค่เรื่องเล็กน้อยเขาก็มีความสุขได้ถ้าคนกระทำเป็นผมล่ะนะ
"หุบยิ้มบ้างก็ได้นะ เหมือนคนบ้าเข้าไปทุกวัน"
ผมปล่อยมือออกแล้วเดินนำหน้าเขาไปที่โต๊ะ อีกคนตามมาแทบจะติดๆ นี่ถ้าหยุดเดินสักก้าวคงชนกันแน่ๆ
"ก็คนมันมีความสุขนี่ครับ เป็นบ้าก็ยอมอะ"
ก้มลงมาพูดใกล้ๆ ด้วยเสียงทะเล้นจนต้องหันไปแยกเขี้ยวใส่ก่อนจะทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้ อีกคนฉีกยิ้มสดใสแล้วนั่งลงฝั่งตรงข้ามกัน วันนี้ก็เป็นอีกวันที่เขาอยู่ในชุดนักศึกษาตามกฎระเบียบมหา'ลัย แต่มันไม่มีความเรียบร้อยเลย เอาเถอะ ยังไงก็เลิกเรียนแล้ว
"วันนี้เป็นไงบ้างครับ โดนพี่เฟรนด์ลากไปสปาตัว"
เขาถามในขณะที่เราทั้งคู่ก้มหน้าอ่านเมนู ผมชะงักไปเล็กน้อยก่อนที่ขนในกายจะลุกชันขึ้นอีกครั้ง ถามอะไรน่าขนลุก
"หึ ไม่ดีเลย ขนลุกว่ะ"
ผมตอบออกไปโดยที่ยังก้มหน้าอ่านเมนู แต่สายตาก็พอจะเห็นลางๆ ว่าอีกฝ่ายเงยหน้าขึ้นมองกันด้วยความฉงน
"ยังไงพี่ ใครไปสปาก็สบายตัวทั้งนั้นอะ"
"ขนลุก ไม่ชอบให้ใครมาจับมานวดตัวนี่หว่า"
ผมบ่นกระปอดกระแปดแล้วตวัดสายตามองแฮงค์ที่นั่งขมวดคิ้วแน่น ก็คนมันไม่ชอบจะให้ทำยังไงล่ะ ถ้าเปลี่ยนเป็นแฟนจับก็ว่าไปอย่าง มันรู้สึกคนละแบบกัน...
"ผมยังจับได้เลย"
แฮงค์พูดเสียงทะเล้นจนผมต้องแตะขาเขาใต้โต๊ะ พูดออกมาไม่เคยอาย หน้าด้านสุดๆ แล้วผมตะแก้มร้อนไปเพื่อใคร!
"หยุดพูด พนักงานมาแล้ว"
ผมพูดเสียงรอดไรฟันแล้วก้มหน้าก้มตาเลือกเมนูต่อไป ได้ยินเสียงหัวเราะในลำคอของคนฝั่งตรงข้ามแล้วอยากพุ่งเข้าไปบีบคอนัก เรื่องแหย่ให้เขินให้อายนี่งานถนัดเขาล่ะ อย่าให้ถึงทีผมบ้างนะ หึ
การรอคอยจบลงเมื่องานวิวาห์ของเจ้าสาวคนสวยมาถึง ตีห้าคือเวลาที่แฮงค์ต้องแหกขี้หูขี้ตาขึ้นมาเพื่อเตรียมงานหมั้นรอบเช้า ผมถูกลากให้มาค้างที่บ้านของเขาเพื่อความสะดวกอีกด้วย
"หาว ~ ยังไม่อยากตื่นเลยพี่"
แฮงค์พูดเสียงอู้อี้แล้วขยับเข้ามาซุกตรงซอกคอของผม ลมหายใจอุ่นๆ เบารดลงมาจนทำให้ขนในกายลุกชัน ใครสั่งใครสอนให้ทำอะไรแบบนี้ตอนเช้าวะ... สติ ข่มใจ ท่องไว้นะไอ้ข้าว เดี๋ยวนี้คนหื่นจะกลายเป็นผมเองซะแล้ว
"ตื่นๆ เหอะน่า ไปรับซองจากเจ้าบ่าวไง"
ผมก็ยังมึนๆ เบลอๆ แต่ก็ใช้แรงที่มีดันหัวของเขาให้ออกไปห่างๆ แล้วพลิกตัวหนีเพื่อจะลุกขึ้น แต่ดูเหมือนการเคลื่อนไหวจะช้าไปสำหรับอีกคน ผมเลยโดนขนด้านหลังรวบกอดไว้อย่างแน่นหนา มือปลาหมึกไม่มีใครเกินจริงๆ
"อยากนอนกอดแฟนมากกว่า"
พูดจบก็โน้มตัวมากดจูบลงบนแก้มแถมยังสูดลมหายใจจนเกิดเสียงอีก หัวใจผมเต้นระรัวขึ้นซะเฉยๆ เกลียดการหวั่นไหวและคล้อยตามจริงๆ ไอ้เด็กคนนี้มันเก่งหรือผมใจอ่อนกันแน่วะ เมื่อไหร่จะหลุดพ้นจากวังวนหลงมันหัวปักหัวปำสักที หรืออาจจะต้องตายจากกันถึงจะยุติได้
"เมื่อคืนยังกอดไม่พออีกหรือไง"
ผมตีมือลงบนแขนแกร่งเพราะหมั่นไส้คนด้านหลัง เพราะได้ยินเสียงจิ๊ปากเบาๆ กลับมาจากเขา พอจะเดาได้แล้วว่า 'กอด' ที่แฮงค์หมายถึงน่าจะคนละแบบกับที่ผมถามออกไป ลามกจริงๆ
"ไม่ใช้กอดแบบที่ทำอยู่ซะหน่อย"
นั่นไง... เดาไว้ไม่เคยพลาดสักที แฮงค์บอกด้วยเสียงงอนๆ และเริ่มขยับมือลูบไล้หน้าท้องของผมไปมา ไม่ใช่ว่าจะยอมให้ทำอะไรมากกว่านี้หรอกนะ เดี๋ยวเดินไม่ตรงขึ้นมาก็โดนคนทั้งงานสงสัยน่ะสิ
"เลิกหื่นสักวันเถอะน่า ไปอาบน้ำได้แล้ว"
ผมพลิกตัวไปดีดหน้าผากอีกคนด้วยความหมั่นไส้ ไม่รู้จะงอแงอะไรนักหนาเรื่องบนเตียง อาทิตย์ก่อนก็เพิ่งกอดกันไปเหอะ จะงดหน่อยไม่ได้เลยหรือยังไงนะคนเรา เดี๋ยวเอาหนังยางรัดแม่ง...
"โหย เมียใจร้ายอะ ผมอดอยากมาเป็นอาทิตย์แล้วนะ"
มีการตัดพ้อแบบหน้าด้านๆ แถมยังเบะปากลงราวกับจะร้องไห้ ผมอยากเดินไปปิดโคมไฟเหลือเกิน ขี้เกียจจะเห็นคนสำออย ดูๆ ก็รู้ว่าอยากแกล้งกันเฉยๆ ไม่ได้ดราม่าจริงสักหน่อย ประมาณว่าอ้อนขอได้ก็ดีถ้าไม่ได้ก็ไม่เป็นอะไร
"จะไปอาบน้ำดีๆ หรือให้ถีบลงจากเตียง"
ผมว่าเสียงดุๆ แฮงค์มองกันนิ่ง แต่แค่ครู่เดียวอีกฝ่ายก็ยกมือยอมแพ้แล้วลุกจากเตียงเพื่อไปอาบน้ำ
ผมลุกขึ้นในอีกห้านาทีให้หลัง พับผ้าห่มเก็บที่นอนจนเรียบร้อยอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อนในชีวิต โทรศัพท์มือถือที่ตั้งอยู่บนหัวเตียงส่งเสียงปลุกเป็นครั้งที่สองของวันจนต้องเอื้อมมือไปปิดและทันได้เห็นว่าใครคนหนึ่งส่งข้อความมาหา... พี่ตุลย์
ผมกดอ่านข้อความ SMS ที่ปรากฏอยู่บนหน้าจอด้วยความรู้สึกสงสัย ไหนว่าถูกส่งไปอยู่ต่างประเทศไง แล้วทำไมถึงใช้เบอร์ที่นี่ล่ะ หรือว่าจะกลับมาแล้ว
'พี่ขอโทษสำหรับทุกสิ่งทุกอย่างนะข้าว พี่สำนึกผิดแล้ว ให้อภัยพี่ได้ไหม - พี่ตุลย์'
ผมถือโทรศัพท์ค้างไว้แบบนั้น แค่ข้อความที่เป็นตัวอักษรไม่ได้บางบอกเลยว่าเขาสำนึกผิดแล้วจริงๆ แต่พี่ตุลย์เป็นคนหัวแข็ง เมื่อไหร่ที่เขาคิดว่าตัวเองไม่ผิด จะไม่มีการขอโทษแบบใดๆ ทั้งสิ้น ครั้งนี้จะเชื่อเขาได้ไหมนะ
"ทำอะไรอยู่ครับ"
แฮงค์ที่เดินออกมาจากห้องน้ำในสภาพมีผ้าขนหนูผืนเดียวปิดร่างกายส่วนล่างเดินตรงมาหากัน ผมไม่ตอบอะไรแต่ยื่นโทรศัพท์ในมือให้เขาเอาไปอ่านเอง เขาขมวดคิ้วตอนเมื่อเห็นข้อความนั้นก่อนจะเงยหน้ามามองกันด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความสงสัย
"อยู่ๆ เขาก็ส่งข้อความมาเหรอ"
แฮงค์ถามก่อนจะยื่นโทรศัพท์กลับมาให้ ผมพยักหน้ารับแทนคำตอบ ไม่รู้ว่าอยู่ๆ พี่ตุลย์โผล่มาได้ยังไง ทั้งๆ ที่ห่างหายไปเกือบปี
"เช้านี้พี่พายไม่มางานหมั้นล่ะ บอกว่าติดธุระ จะมางานเลี้ยงตอนเย็นแทน"
แฮงค์บอกด้วยน้ำเสียงราบเรียบ แต่เพียงเท่านั้นทุกอย่างก็กระจ่างโดยไม่ต้องหาคำตอบ แต่ผมไม่สนใจแล้วล่ะ ไม่อยากตอบอะไรกลับไปอีกถึงจะทำให้อีกฝ่ายค้างคาก็ช่าง เรื่องของเรามันจบลงแล้ว
งานหมั้นช่วงเช้าผ่านไปอย่างราบรื่น ช่วงบ่ายเราต้องยกโขยงไปที่โรงแรมเพื่อเตรียมงานเลี้ยงฉลองมงคลสมรส อยากจะบอกว่าพรีเซ็นเทชั่นคู่บ่าวสาวเป็นฝีมือการตัดต่อของผมเอง... บอกให้จ้างร้านก็ไม่ยอม ลำบากเพื่อนตลอด เฟรนด์อ้างว่าอยากให้ทุกคนมีส่วนร่วมในงานแต่งงาน คิดได้เนอะ ตอนเข้าหอต้องร่วมด้วยปะ แม่ง
"พี่ข้าว ~ ตอนเย็นไปพร้อมกันนะครับ"
เสียงออดอ้อนมาพร้อมกับแรงกอดรัดจากด้านหลัง ผมถอนหายใจออกมาแรงๆ เพราะเสื้อเชิ้ตสีชมพูที่กำลังใส่อยู่นั้นยับหมดแล้ว... กระดุมเสื้อก็ยังไม่ได้ติด สยิวชะมัด
"อืม ~ ตอนนี้ปล่อยก่อนจะติดกระดุมเสื้อ"
ผมแกะมือของเขาออกจากรอบเอวแล้วตั้งหน้าตั้งตาติดกระดุมเสื้อของตัวเอง แต่คนที่ยืนซ้อนหลังกันนั้นกลับรั้งเอาไว้แล้วจับไหล่ให้ผมหันไปเผชิญหน้า แอบคิดไม่ได้ว่าอีกคนน่าจะทำอะไรแผลงๆ อีกแน่ๆ
"อะไร"
ผมถามกลับไปสั้นๆ มือยังจับสาบเสื้อของตัวเองเอาไว้ไม่ยอมปล่อย แฮงค์คลี่ยิ้มหวานก่อนจะโน้มหน้าลงมาจนปลายจมูกของเราชนกัน ไม่รู้จะขยันทำให้คนอื่นหัวใจเต้นแรงไปถึงไหนกันนะ
"ผมติดกระดุมให้"
เขาบอกด้วยรอยยิ้มแล้วแกะมือของผมออก ก่อนจะเริ่มติดกระดุมให้กัน ปลายนิ้วอุ่นๆ สัมผัสโดนผิวกายเป็นครั้งคราวจนรู้สึกขนลุกแปลกๆ จงใจจะแกล้งกันอีกแล้วใช่ไหมเนี่ย
"รีบๆ ติดเลยแล้วไปแต่งตัวสักที จะหกโมงเย็นแล้ว"
ผมเลี่ยงที่ตะบอกความรู้สึกออกไปแล้วเบนสายตาไปทางอื่น แฮงค์หัวเราะออกมาน้อยๆ ก่อนจะผละตัวเมื่อติดกระดุมเสื้อให้กันเรียบร้อยแล้ว
"เหลือแค่ใส่เนคไทเอง รบกวนคุณแฟนใส่ให้หน่อยได้ไหมครับ"
เขาเอ่ยเสียงหวานแล้วยื่นหน้ามาใกล้กันอีกครั้ง ผมผงะไปเล็กน้อยก่อนพยักหน้ารับอย่างว่าง่าย ถ้าปฏิเสธกลัวจะโดนกดลงเตียงนี่สิ
ผมหยิบเนคไทสีชมพูพาสเทลมาคล้องคออีกคนแล้วจัดการผูกให้เขาอย่างเรียบร้อย ก่อนเราจะผละออกจากกันริมฝีปากของคนที่มีส่วนสูงมากกว่าก็ทาบทับลงมาตรงตำแหน่งเดียวกันอย่างแผ่วเบา ไม่มีการลุกล้ำใดๆ ให้หวั่นไหว แต่หวานละมุนจนแทบละลาย
"ขอบคุณนะครับ"
งานแต่งงานของเฟรนด์เต็มไปด้วยดอกกุหลาบสีขาวและสีชมพูตามธีมที่ได้กำหนดไว้ แขกที่มาร่วมงานแต่ละคนให้ความร่วมมือกันเป็นอย่างดี ไม่มีใครเป็นแกะดำสักคนเดียว ผมกับแฮงค์มาถึงที่โรงแรมพร้อมกันและกลายเป็นจุดสนใจอยู่ไม่น้อย ผู้ชายในชุดสีหวานๆ ดูมะมุนแปลกตานี่นา
"พี่ข้าวไปนั่งกับผมนะ"
แฮงค์พูดเมื่อเราเดินเข้างาน แต่ผมกลับส่ายหน้าปฏิเสธ การไปนั่งร่วมโต๊ะกับเขาก็หมายถึงต้องเจอญาติๆ ของน้องด้วย กลัวจะทำให้เขาโดยคนอื่นๆ ว่ากล่าวเรื่องผิดเพศ
"พี่ไปนั่งกับพี่ต้น กันย์ ไอ้จุ้นแล้วก็ไอ้พีชจะดีกว่านะ"
"แต่ว่า..."
"ทำตามที่พี่พูดเถอะ"
"เฮ้อ ก็ได้ๆ"
สุดท้ายแฮงค์ก็ยอมปล่อยให้ผมเดินไปที่โต๊ะของพี่ต้นที่คนอื่นนั่งพร้อมหน้าพร้อมตากันหมดแล้ว ไอ้ที่ว่างเนี่ย ดูยังไงๆ ก็จงใจชัดๆ ไอ้พีชนะไอ้พีช แฟนก็นั่งอยู่ข้างๆ ยังจะมาเต๊าะผมอีก ยอมใจจริงๆ
"เฮ้ย ~ ข้าว มานั่งนี่ๆ หล่อว่ะ"
เสียงใสๆ ของพีชเรียกให้ผมนั่งลงข้างๆ มัน สายตาแอบเหลือบมองเพื่อนสนิทอยู่ครู่หนึ่งแต่ก็ต้องแปลกใจที่มันนั่งจิบไวน์ด้วยท่วงท่าสบายๆ วันนี้ไม่มีทีท่าหึงหวงเหมือนเคย มันต้องมีอะไรแน่ๆ
"เออ มึงก็หล่อนะพีช"
ผมชมมันกลับแล้วทิ้งตัวลงนั่งตรงกลางระหว่าพี่ต้นกับพีช ที่บอกว่าหล่อนั่นไม่ใช่เรื่องจริวแม้แต่นิดเดียว เห็นหูกระต่ายสีชมพูแล้วอยากขำแทบดิ้น มุ้งมิ้งสุดๆ ไอ้จุ้นอีกคน สายเอี๊ยมสีชมพูอย่างกับเด็กน้อย...
"ปากหวานอะ ชิมได้ปะเนี่ย ~"
ไม่เจอกันนานแต่สกิลการเต๊าะของมันไม่เคยเปลี่ยน จะเมื่อไหร่ไอ้พีชก็ไม่เคยเกรงใจแฟนสักครั้ง ผมถึงกับกรอกตาด้วยความเบื่อหน่ายก่อนจะเอนตัวหนีไปทางพี่ต้น รายนี้ก็เอาแต่อี๋อ๋อกับแฟน น่าหมั่นไส้ว่ะ
"ชิมตีนกูก่อนปะ หัดเกรงใจไอ้จุ้นบ้างเถอะ"
ผมพูดด้วยน้ำเสียงปลงๆ แล้วหยิบแก้วไวน์แดงที่เพิ่งถูกเสิร์ฟขึ้นมาจิบ กลิ่นแอลกอฮอล์อ่อนๆ ทำให้คิดถึงคนที่นั่งอยู่อีกโต๊ะ ถ้าเป็นไปได้ก็อยากให้เขามานั่งด้วยกัน แต่ก็เข้าใจว่ามันเป็นงานรวมญาติคงเอาแต่ใจไม่ได้
"ทำไมปากร้ายงี้อะ ใช่สิ มีแฟนแล้วนิ กูคงหมดความหมาย"
เมื่อครู่ยังชมว่าปากหวานอยู่เลย ไหงกลายเป็นปากร้ายไปได้วะ แต่ผมโคตรหมั่นไส้มันเลยนะ พูดจาตัดพอแถมยังบึนปากใส่กันอีก ใครก็ได้เอามันไปเก็บทีเหอะ น่ารำคาญ
"พีช... มึงจะแย่งเมียคนอื่นไม่ได้นะเว้ย เป็นเมียกูดีๆ ก็พอแล้วน่า"
ไอ้จุ้นพูดเสียงกลั้วหัวเราะใส่ไอ้พีชแต่ยักคิ้วกวนมาให้ผม อยากกระโดดเตะปากให้เลือดกบ สันดานเสียจริงๆ เรื่องแซวเพื่อนให้อายต่อหน้าคนอื่นเนี่ย
"มึงพูดมาก จะตอกย้ำกูไปถึงไหนว่าไอ้ข้าวเป็นเมียคนอื่นไปแล้วอะ ฮือๆ"
ไอ้คนที่ตอกย้ำเนี่ยดูท่าทางจะเป็นมึงมากกว่านะพีช คำก็เมียสองคำก็เมียเดี๋ยวมึงจะได้กอนตีนแทนโต๊ะจีนจริงๆ ด้วย เริ่มหงุดหงิดแล้วนะ
"หยุดพูดทั้งคู่นั่นล่ะ ก่อนที่พวกมึงจะได้กินตีนกู"
ผมพูดน้ำเสียงราบเรียบไม่แสดงอารมณ์ใดๆ แต่มันมากพอที่ตะทำให้ไอ้เพื่อนกากๆ สองคนหยุดจ้อได้สักที พี่ต้นเหลือบสายตามองกันก่อนจะกระตุกยิ้มมุมปากให้ นี่ก็อีกคน ชอบล้อน้องเรื่องยอมเป็นเมียคนอื่น ระวังเถอะสักวันผมจะยุให้กันย์กดเขาบ้าง! เอาให้ยับเยินเลย
คู่บ่าวสาวกำลังเล่าว่าเจอกันที่ไหนครั้งแรก ความประทับใจระหว่างคนทั้งคู่คืออะไร ทุกอย่างก็เป็นไปตามสเต็ปงานแต่งงานทั่วๆ ไป เสียงพูดคุยภายในโต๊ะอาหารกำลังสนุกสนานแต่มันกลับเงียบลงเมื่อใครบางคนเดินเข้ามา
ต่อด้านล่างเนอะ