Recoup : ร้าย - ทวง - รัก // บทที่ 27 บทจบ (Rewrite) - 25/01/2018
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: Recoup : ร้าย - ทวง - รัก // บทที่ 27 บทจบ (Rewrite) - 25/01/2018  (อ่าน 26947 ครั้ง)

ออฟไลน์ sweetsky

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 150
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +29/-0
บทที่ 12 Rewrite

“อ้าวดาร์กทำไมไม่ได้กลับมาพร้อมคุนละ?”



“ผมมีเรื่องอยากจะขอคุยด้วยสักครู่ครับคุณธิดา”



“ดาร์กมีอะไรรึเปล่า? ทำไมวันนี้ดูแปลกๆ”



“คุณธิดาสมกับเป็นนักธุรกิจจริงๆ นะครับแค่เพียงมีอะไรเปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อยคุณก็สามารถดูออกได้ทันที”



“แล้วมีอะไรที่แม่…”



“พอเถอะครับเลิกแทนตัวเองว่าแม่กับผมสักทีที่ผมยอมฟังและยอมเรียกคุณว่าแม่มาตลอดก็แค่เพื่อความสบายใจของลูกของคุณเท่านั้นอย่างผมมีแม่เพียงคนเดียวในชีวิตก็พอแล้วครับ”



“ถ้าขอคำอธิบายดาร์กพอจะให้ฉันได้ไหม?”

             

  ทรงจำมองคุณธิดาที่กำลังขวมดคิ้วใส่เขาด้วยความไม่เข้าใจทันทีที่เขาบอกความจริงไปว่าเขาไม่เคยมองว่าคุณธิดาเป็นแม่คุณธิดาสมแล้วที่เป็นนักธุรกิจเพราะสามารถปรับตัวได้เร็วเหลือเกินจากที่นั่งพิงพนักโซฟาสบายๆ เปลี่ยนมานั่งตัวตรงหยิบเอารีโมททีวีขึ้นมากดปิดวางมันลงและเอามือวางไว้ที่พนักอค่เพียงพริบตา



ทรงจำเค้นยิ้มให้กับท่าทางเหล่านั้นก่อนที่จะวางกองเอกสารลงที่โต๊ะกระจกตรงหน้าและนั่งลงบนเก้าอี้ที่อยู่ฝั่งตรงข้ามกับคุณธิดา



“คุณธิดาไม่รู้สึกคุ้นชื่อผมเลยสักนิดเหรอครับ?”



“ฉันคิดว่าไม่”



“แล้วถ้าเป็นนามสกุล สุทธิวงค์ ละครับคุณธิดาพอที่จะคุ้นบ้างไหมครับ?”



               ทรงจำนั่งมองหน้าของคุณธิดาที่พยายามคิดและยิ่งคุณธิดาทำท่าพยายามนึกทบทวนเท่าไหร่ความโกรธของเขาก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้นเท่านั้นเพราะมันหมายความว่าคุณธิดาไม่สามารถจดจำเรื่องราวที่เกี่ยวกับนามสกุลที่เขาพูดออกไปได้



“ฉันไม่คุ้น”



“คนอย่างคุณ…”



               ทรงจำหยุดคำพูดของตัวเองสูดลมหายใจเข้าพยายามระงับอารมณ์เตือนตัวเองว่าตัวเองมาที่นี่เพื่ออะไรและเมื่อเขาสามารถควบคุมอารมณ์ได้เขาจึงพูดต่อ



“ผมมีนิทานสักเรื่องอยากเล่าให้คุณธิดาฟังไม่ทราบว่าคุณพอจะให้เวลากับผมสักนิดได้ไหมครับ?”



“ว่ามาสิ”



“เมื่อหลายสิบปีก่อนมีครอบครัวนึงที่มีสมาชิกในบ้านสามคนคือพ่อแม่ลูกอาศัยอยู่ในบ้านขนาดกลางอย่างมีความสุขพ่อและแม่ทำงานที่โรงงานเดียวกันและนั้นก็ทำให้ทั้งสองมีความสุขมากที่ได้ไปทำงานพร้อมกันระหว่างพักก็ได้เจอกันแถมตอนเย็นยังได้กลับบ้านพร้อมกันอีกต่างหาก”



“และเพราะโรงงานนั้นทำให้เขาทั้งสองคนมีความสุขเขาทั้งสองจึงรักในสิ่งที่ทำและทุ่มเทเหมือนตัวเองเป็นหนึ่งในผู้บริหารแต่ไม่น่าเชื่อนะครับว่าโรงงานแห่งนั้นจะเป็นโรงงานที่ทำลายชีวิตของพวกเขา”



ในขณะที่เล่าเรื่องราวออกไปทรงจำเองก็ยิ้มตามไปกับภาพที่เขาเห็นอยู่ในหัวภาพที่พ่อกับแม่กำลังหัวเราะหยอกล้อกันแต่พอมาถึงช่วงท้ายของประโยครอยยิ้มที่ปรากฎขึ้นก็ค่อยๆ เลือนหายไป



“โรงงานที่ทั้งสองคนรักเริ่มมีทีท่าว่าจะไปไม่รอดไม่รู้ว่าปัญหามันเกิดจากการบริหารหรือเป็นเพราะว่าเจ้าของมือเติบเกินตัวกันแน่แต่เขาทั้งสองก็ไม่แคร์ว่ามันเกิดจากอะไรเพราะรักพวกเขาจึงทุ่มเทงานมากขึ้นเท่าที่จะทำได้จากที่ตอนเย็นจะเป็นคนไปรับลูกด้วยตัวเองก็ต้องเอาไปฝากไว้กับพี่เลี้ยงเด็กเพราะทั้งสองต้องอยู่เคลียร์งานจนเย็นจนดึก”



“แต่สิ่งที่เลวร้ายที่สุดมันไม่ใช่เรื่องทำงานหนักแต่มันเป็นเพราะว่าเจ้าของโรงงานเกิดคิดหาทางออกทางลัดคุณรู้ไหมครับว่าเขาทำยังไงถึงจะมีเงินมาชุบตัวเองอีกครั้ง?”



“หรือว่าเธอ…”



“คุณธิดาทำหน้าแบบนี้คุณเริ่มรู้สึกว่านิทานเรื่องนี้มันช่างคุ้นเหลือเกินใช่ไหมครับ? แต่ถ้าคุณยังไม่แน่ใจผมเล่าต่อเลยละกันครับ”



“พอ พอ ฉันรู้แล้ว”



“ไม่ได้คุณต้องฟัง!!”



ทรงจำไม่คิดที่จะหยุดนิทานของเขาตามที่คุณธิดาร้องขอเขาสูญเสียการคสบคุมอารมณ์ทุบโต๊ะกระจกที่ตั้งอยู่ตรงหน้าของเขาทำให้ปึกเอกสารที่เขาวางเอาไว้กระจายออกจนมีเอกสารบางอย่างหล่นออกมาจากกองกระดาษ



ทรงจำก้มหน้าลงไปเก็บกระดาษแผ่นนั้นตอนที่เขาเงยหน้าขึ้นมาเขาก็เห็นว่าคุณธิดามองกระดาษแผ่นนั้นด้วยสายตาที่หวาดกลัวสีหน้าของคุณธิดาเริ่มซีดเผือดทรงจำรู้แล้วว่าเขาควรที่จะเข้าเรื่องสักทีเขาจึงวางแผ่นกระดาษแผ่นนั้นไว้ด้านบนแฟ้มโดยการที่คว่ำหน้ามันเอาไว้



“อยากดูเหรอครับ? เดี๋ยวสิครับอย่าเพิ่งใจร้อนสิครับเดี๋ยวคุณได้ดูมันแน่”



               ทรงจำจับข้อมือของคุณดาที่ยื่นออกมาจากตัวและกำลังจะเอื้อมมันมาจับกระดาษที่ถูกคว่ำหน้าแผ่นนั้นขึ้นมาดู เธอดึงมือกลับออกจากมือของทรงจำและกลับไปนั่งหลังตรงที่เดิม



“เอาละเพื่อเป็นการประหยัดเวลาผมขอเล่าไปตอนจบเลยแล้วกันวันนั้นมันเป็นวันที่สองคนนั้นเขาสมควรต้องกลับบ้านมาดูแลลูกของตัวเองแต่คุณรู้ไหมว่าสองคนนั้นไม่เคยได้กลับบ้านตามที่เขาได้เคยสัญญากับลูกของเขาเอาไว้เขาไม่ได้กลับบ้านอีกเลยเพราะอะไรรู้ไหมครับ? ก็เพราะว่าเขาต้องมาตายในกองไฟในโรงงานนั้นเพราะความโลภของเจ้าของ ที่คิดอะไรสั้นๆ พวกเขาจึงต้องมาสังเวยชีวิตแบบนี้มันถูกแล้วเหรอครับคุณธิดา!!”



“มันไม่ใช่แบบนั้น มันไม่ใช่”



“มันไม่ใช่ได้ยังไงพ่อกับแม่ของผมต้องตายก็เพราะความไม่คิดของพวกคุณมันเป็นความไม่คิด!!”



“เธอคือลูกของ จันทนา กับ พุฒิพัตใช่ไหม?”



“จำได้แล้วเหรอครับคุณธิดา? ผมควรจะต้องรู้สึกอย่างไรดีที่คุณใช้เวลานานมากมายขนาดนี้กว่าที่จะจดจำพ่อกับแม่ของผมได้”



“ฉัน…”



“ในเมื่อคุณได้ฟังนิทานและก็จำได้แล้วว่าผมคือใครว่า งั้นเรามาเข้าเรื่องของเรากันดีกว่าไหมครับ?”



“ว่ามาสิ เธอต้องการอะไร? ทำไมเพิ่งจะเดินเข้ามาบอกฉันวันนี้?”



“แสดงว่าคุณไม่รู้อะไรเลยสินะครับที่ผ่านมา?”



“ฉันต้องรู้อะไร?”



               ทรงจำหยิบใบการจ่ายเงินที่เป็นลายลักษณ์อักษรว่ามันคือการจ่ายเงินก้อนใหญ่เพื่อชดใช้การผิดสัญญาให้กับบริษัทคู่ค้าเขาหยิบออกมาสองใบจากสายตาทรงจำคิดว่าแค่นี้คุณธิดาก็รู้แล้วว่ามันสำหรับสองบริษัท



“เมื่อประมาณสามอาทิตย์ก่อนโรงงานของคุณมีปัญหาเรื่องผิดสัญญากับคู่ค้ารายใหญ่สองรายนี้และทั้งสองรายก็ไม่ยอมให้เรื่องมันผ่านไปโดยง่ายทางคุณก็เลยต้องจ่ายค่าชดเชยตามสัญญาน่าเสียดายที่ช่วงนั้นคุณต้องเตรียมตัวไปเกาหลีพอดีผมไม่รู้จะปรึกษาใครแต่โชคดีนะครับที่ผมสามารถดูแลให้มันผ่านพ้นมาได้ดีใจไหมครับที่มีหุ้นส่วนรายใหญ่แบบผมดูแลขนาดนี้”



“หุ้นรายใหญ่?”



“คุณยังไม่รู้เหรอครับว่าลูกของคุณเขาเห็นความสำคัญของผมถึงขนาดยกหุ้นให้ผมแทบหมดจนผมเป็นหุ้นใหญ่ไปแล้ว!!”



“คุน”



“ตอนนี้ดูให้เต็มตาเลยครับ ว่าแต่จะดูอะไรก่อนดีครับระหว่างหุ้นของผมกับใบสัญญาขายโรงงาน?”



               ทรงจำมองดูคุณธิดาที่เอื้อมมือที่สั่นเทามาหยิบเอากองข้อมูลตรงหน้าขึ้นไปดูดวงตาของคุณธิดาเบิกกว้างเมื่อเห็นว่าหุ้นของโรงงานแทบจะทั้งหมดอยู่ในมือของทรงจำและไหนจะโรงงานใหม่ของเธอในตอนนี้ได้ถูกขายไปสู่มือคนอื่นเป็นที่เรียบร้อยแล้ว



“อย่างที่ผมบอกโรงงานของคุณมีคู่กรณีถึงสองที่แค่โรงงานใหม่โรงงานเดียวมันก็คงไม่พอนี่ก็คงเป็นอีกข่าวดีที่คุณธิดาคงจะดีใจเพราะโรงเรียนสอนศิลปะของลูกชายของคุณที่คุณไม่เคยสนับสนุนให้เขาดูแลมันก็ได้หายไปสมใจอยากคุณแล้วนะครับคุณธิดา”



ทรงจำยื่นสัญญาการขายหุ้นของโรงเรียนสอนศิลปะของเป็นธรรมออกไปให้คุณธิดาดูคุณธิดาปัดกระดาษเหล่านั้นออกไปจากตรงหน้าของเธอ พร้อมกับมองจ้องเขม็งไปที่ทรงจำ



“ทำไมเกิดปัญหาขึ้นแล้วไม่มาบอกฉัน ทำไมเธอถึงตัดสินใจทำมันลงไปแบบนี้”



“แล้วคุณคิดว่าปัญหาพวกนี้มันเกิดขึ้นมาเองรึไง? คุณอยากรู้ไหมว่าทำไมมันถึงมีปัญหาพวกนี้เกิดขึ้น?”



“ทำไมเธอต้องทำถึงขนาดนี้?!!”



“แล้วทำไมคุณต้องฆ่าพ่อแม่และพรากครอบครัวไปจากผม!!”



               ทรงจำลุกขึ้นยืนจากเก้าอี้เดินตรงไปหาคุณธิดาทุกก้าวย่างของทรงจำเพิ่มด้วยลมหายใจของทรงจำที่ถี่ขึ้นตามอารมณ์โกรธที่พุ่งสูงแต่ก่อนที่ทรงจำจะเดินเข้าไปถึงตัวของคุณธิดาเขาก็เหลือบมองไปเห็นรูปของเป็นธรรมที่ถูกติดเอาไว้ที่ห้องรับแขกรูปนั้นเป็นธรรมกำลังยิ้มให้กับกล้องด้วยความยินดีเพราะเป็นวันที่ได้รับใบปริญญาในวิชาที่เจ้าตัวไม่ได้รู้สึกชอบหรือถนัดสักนิดเลยทรงจำจึงหยุดเดินเข้าไปหาคุณธิดา



“ฉัน” คุณธิดาพยายามจะพูดอะไรสักอย่างแต่ทรงจำไม่ปล่อยโอกาสนั้นให้มันได้เกิดขึ้น



“เอาละผมว่าผมเสียเวลามามากพอแล้วก็อย่างที่ผมได้เอาเอกสารเหล่านี้มาให้คุณได้ดูเพื่อบอกว่าตอนนี้ทั้งโรงงานแห่งใหม่ ทั้งบ้านหลังนี้ทั้งโรงเรียนสอนศิลปะต่างตกไปอยู่ในมือของคนอื่นหมดแล้ว”



“ทรงจำ!! เธอจะมากเกินไปแล้วนะ”



“ตอนนี้คุณเหลือเพียงแค่โรงงานที่คุณรักมากมายอยู่แค่ที่เดียว”



“เธอต้องการอะไร?”



“เป็นคำถามที่ตรงประเด็นดีครับผมต้องการอะไรนะเหรอง่ายๆ ครับผมแค่ต้องการให้ลูกชายของคุณรู้เรื่องทั้งหมดทั้งหมดของผมหมายถึงการตายของพ่อของเขาด้วย”



“มันจะมากเกินไปแล้วนะ”



“ก็แล้วแต่ครับคุณธิดาผมไม่ได้บังคับผมแค่ให้เป็นทางเลือกถ้าคุณเลือกที่จะพูดออกมาผมก็ยุติการขายขาดโรงงานหลักของคุณให้กับคนอื่นแต่ถ้าคุณไม่พูดคุณก็เตรียมบอกลาโรงงานได้เลย”



“ฉันจะฟ้อง”



“เอาเลยครับเชิญแต่อย่าลืมนะครับว่าทุกการซื้อขายผมทำถูกขั้นตอนและลายเซ็นในใบมอบอำนาจและผมก็ไม่ได้ปลอมมันขึ้นมา”

 



               ธิดาโน้มตัวหยิบเอกสารต่างๆ ที่ทรงจำวางอยู่ที่โต๊ะขึ้นมาอ่าน ยิ่งอ่านเธอก็ยิ่งรู้สึกถึงความพ่ายแพ้ทุกแผ่นในนั้นคือลายเซ็นของลูกชายเธอจริงๆ เธอกำกระดาษการซื้อขายต่างๆ เหล่านั้นเอาไว้ในมือแน่นทางออกให้กับตัวเธอเองก็ดูเหมือนจะไม่มีมากนัก



 

“คุณคงรู้ใช่ไหมครับว่าถึงฉีกใบตรงหน้าไปมันก็เป็นแค่สำเนาตัวจริงยังอยู่ที่ผม?”



“เธอไม่สงสารคุนเหรอไงถ้าเขารู้เขาคงจะเสียใจมากเธอก็รู้ว่าคุนเขารักพ่อของเขามากขนาดไหน”



“มันเป็นเรื่องที่เขาต้องรู้ผมว่าคุณธิดาหยุดถ่วงเวลาแล้วเริ่มตัดสินใจดีกว่าครับว่าจะทำอย่างไร”

 



แม้ว่าทรงจำจะดูชงักไปตอนที่เธอพูดเรื่องนี้ขึ้นมาแต่ในเมื่อทรงจำยังยืนยันคำเดิมธิดาก็รู้แล้วว่าเธอไม่มีวันเปลี่ยนใจคนตรงหน้าของเธอได้ เธอจึงหยิบมือถือของเธอแล้วกดเบอร์ลูกชายคนเดียวของเธอกดโทรออก



               เมื่อเธอได้ยินเสียงตอบตกลงของลูกชายเธอก็วางโทรศัพท์ลงและมองไปที่ทรงจำที่กำลังยืนอยู่ในห้องรับแขกของเธอในตอนนี้ด้วยสีหน้าที่กำลังยิ้มอย่างพอใจที่เธอทำตามอย่างที่เด็กคนนี้ต้องการเธอไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าทรงจำในวันนี้คือเด็กในวันนั้นที่มายืนร้องไห้หน้าบ้านของเธอ ในวันนั้นเธอยอมรับว่าเธอใจร้ายเธอไล่เด็กที่กำลังยืนร้องไห้กับป้าและลุงให้กลับบ้านไปโดยที่ไม่สนใจใยดีสักนิดเพราะเธอกลัวเหลือเกินว่าเพื่อนบ้านของเธอจะมาได้ยินอะไรที่ไม่สมควรได้ยินเข้า



“หลังจากวันนั้นเธอเป็นยังไงบ้าง?”



“หึมันไม่สายไปหน่อยเหรอครับคุณธิดาที่มาถามผมในวันนี้ผมว่าเราไม่จำเป็นต้องหาเรื่องคุยเพื่อฆ่าเวลารอให้คุนกลับมาก็ได้ครับถ้าคุณธิดาอึดอัดเดี๋ยวผมไปรอที่หน้าบ้านเอง”

 



ทรงจำหมุนตัวหันหลังให้กับคุณธิดาที่ยังนั่งอยู่ที่เดิมเขาเดินออกมาที่หน้าบ้านนั่งอยู่ตรงเก้าอี้หินอ่อนที่เขาชอบมานั่งเป็นประจำเวลาที่มาบ้านหลังนี้เขาถอนหายใจพร้อมกับปลดกระดุมเสื้อเม็ดแรกออกเพื่อคลายความอึดอัดแต่ไม่ว่าเขาจะพยายามพับแขนเสื้อขึ้นหรือจะปลดเม็ดกระดุมเพิ่มความอึดอัดที่เกิดขึ้นมันก็ไม่ลดลงเลยเขายังคงรู้สึกหายใจไม่สะดวกอยู่อย่างเคย



“โธ่เว้ย” เมื่อการขยับเสื้อผ้าไม่ช่วยให้ทรงจำรู้สึกอึดอัดเหมือนหายใจไม่ออกน้อยลงเขาจึงเลิกยุ่งวุ่นวายกับเสื้อผ้าของตัวเองแล้วทอดสายตามองไปยังที่ประตูหน้าบ้านของหลังนี้แทน



               เพียงไม่นานทรงจำก็เห็นแสงไฟจากหน้ารถถูกส่องเข้ามาในตัวบ้านคนงานของบ้านนี้เดินออกไปเพื่อเปิดประตูให้แก่ลูกชายของบ้านทรงจำลุกขึ้นยืนปั้นหน้าให้เป็นบุคคลที่ไร้อารมณ์และเดินเข้าไปในห้องรับแขกอีกครั้ง



“แม่ พี่ดาร์ก มีอะไรกันรึเปล่าครับ?”



               ทรงจำเหลือบตามองคนที่เพิ่งเดินเข้ามาใหม่หน้าตาของคุนดูอิดโรยและแค่เพียงแว่บเดียวเขาก็รู้ว่าคนที่เพิ่งปรากฏตัวคงไม่ค่อยได้พักผ่อนสักเท่าไหร่มันเหมือนกับสมัยเรียนที่คุนอยู่ในช่วงสอบสมัยนั้นคุนมักจะหน้าเป็นแบบนี้ทุกทีเพราะมันไม่ใช่สาขาที่ชอบคุนเลยต้องใช้เวลาอ่านมากกว่าคนอื่นๆ



ทรงจำสะบัดหัวของตัวเองเพื่อให้ภาพเก่าๆ ในหัวของเขามันหลุดไปและกลับมาดูภาพ ณ ปัจจุบันตรงหน้าภาพที่คุนเดินเข้าไปหาแม่นั่งลงข้างๆ ด้วยท่าทางที่ดูก็รู้ว่าหวาดกลัวทรงจำเองก็ไม่รู้ว่าหลายวันมานี้คุนจะรู้อะไรเพิ่มมาบ้างเพราะที่ป้าสุวรรณีบอกก็น่าจะรู้เรื่องกล้องวงจรปิดกับเรื่องของพัคก็เท่านั้น



“ใครจะสามารถบอกผมได้บ้างว่าเกิดอะไรขึ้น แม่เรียกคุนมาด่วนมีเรื่องอะไรรึเปล่าครับ?”



“คุณธิดาว่ายังไงดีครับคุณโทรไปหาลูกชายของคุณเพื่ออะไรครับ?”



               ทรงจำช่วยกระตุ้นคุณธิดาที่ยังนั่งอยู่ท่าเดิมไม่ปริปากพูดอะไรส่วนคุนที่นั่งลงข้างๆ กับแม่ของตนเองทันทีที่ได้ยินคำพูดเหล่านั้นหลุดออกมาจากปากของเขาด็อ้าปากออกกว้างด้วยความตกใจแต่ก่อนที่คุนจะได้ถามอะไรออกมาเสียงของคุณธิดาก็ดังขัดขึ้น



“ตอนประมาณคุณสิบขวบ โรงงานของเราเคยเกิดไฟไหม้ใหญ่”



“ไฟไหม้?”



“คุนจำได้ไหมที่แม่บอกเคยเล่าให้เราฟังว่าเราต้องปรับปรุงโรงงานช่วงนั้นเพราะเกิดไฟฟ้าลัดวงจรและพอดีกับเป็นช่วงงานศพของคุณพ่อคุนจำได้ไหม?”



“ครับ”



“ที่แม่บอกว่าคุณพ่อเสียชีวิตเพราะไม่สบายหนักความจริงแล้วมันไม่ใช่”



“แม่ต้องการบอกอะไรกับคุนครับ?”



“คุณพ่อเสียชีวิตจากอุบัติเหตุไฟไหม้ในครั้งนั้น”



“แม่พูดเรื่องอะไรผมไม่เห็นจะรู้เรื่อง”



“คุณพ่อเสียในวันนั้น วันที่ไฟไหม้ที่โรงงาน”



“มันจะเป็นไปได้ยังไง ผมจำได้ว่างานศพจัดหลังจากวันเกิดไฟไหม้”



“แม่ขอให้มันเป็นแบบนั้น”



“ผมไม่เข้าใจ”



“คุนฟังแม่นะคุณพ่อเสียชีวิตในเหตุการ์ณไฟไหม้แต่แม่เป็นคนขอให้จัดงานศพหลังจากวันนั้นเอาไว้พร้อมทั้งปิดเรื่องนั้นเอาไว้ด้วย”



“ทำไมละครับ?”



“นั้นสิครับทำไมครับคุณธิดาทำไมคุณต้องปกปิดเรื่องพวกนี้ด้วย”



“แม่ แม่ไม่ได้ตั้งใจ แม่”



“แม่บอกผมสิ บอกคุน แม่พูดกับผมสิ!!”



“เพราะว่าแม่วางแผนเผาโรงงานนั้นมันกับมือแม่คุนเข้าใจไหมลูกแม่เผามันกับมือแม่คุณพ่อต้องมาเสียด้วยแผนของแม่แม่ไม่ต้องการที่จะตอกย้ำตัวเองแม่ไม่ต้องการที่จะรับรู้ว่าคุณพ่อจากไปในวันนั้นแม่เลยแม่เลย”



“แม่เล่นตลกอะไรผมไม่เห็นตลกกับแม่”



“แม่ขอโทษ”



“ไม่จริง”



“แม่ขอโทษ”



“ผมบอกให้พอไง พี่ดาร์กห้ามแม่ทีแม่พูดไม่รู้เรื่องแล้วสงสัยแม่จะช้อคเรื่องที่โรงงานกำลังมีปัญหาพี่ดาร์คมาบอกแม่แล้วแม่คงรับไม่ได้พี่ดาร์คห้ามแม่ที”



               ทรงจำเห็นสายตาของคุนที่มองไปยังแม่ของตนเองนั้นเต็มไปด้วยความไม่เข้าใจในดวงตาและมือที่จับแม่แขนของแม่ตัวเองเอาไว้นั้นสั่นไหวระริกเพราะมันเป็นเรื่องใหม่ที่คุนเพิ่งได้รับรู้เพราะตลอดหลายสิบปีที่ผ่านมาคุนรู้มาเสมอว่าพ่อของตัวเองเสียด้วยอุบัติเหตุอย่างอื่นแต่ไม่ใช่ในโรงงานแห่งนั้น



สายตานั้นของคุนคือสายตาแห่งความสับสนสายตาที่มองมาทางเขาคือสายตาขอความช่วยเหลือและเพราะสายตานั้นแหละที่ทำให้ทรงจำต้องกำมือของตัวเองเอาไว้แน่นหลายครั้งที่เขาเกือบจะก้มตัวลงไปหาปกอดปลอบแต่เขาต้องไม่ลืมว่าเขาต้องการอะไรและต้องไม่ใจอ่อนยอมเพียงแค่ภาพตรงหน้านี้ความจริงคุนเองก็มีสิทธิ์และสมควรที่จะได้รู้เรื่องราวเหล่านี้



“เรื่องมันเท่านั้นเองเหรอครับคุณธิดา คุณแน่ใจเหรอครับ? ผมว่าคุณสมควรเล่าตั้งแต่ต้นจนจบนะครับ”



“เรื่องมันก็เท่านี้”



“ถ้าให้ผมพูดเองสัญญาถือว่าโมฆะนะครับ”

 

ธิดาไม่รู้ว่าทรงจำรู้เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อหลายสิบปีที่แล้วมากขนาดไหนตอนแรกที่เธอเล่าเพียงเท่านั้นเพราะคิดว่าทรงจำคงจะรู้เพียงเท่านี้แต่ดูจากท่าทางที่มั่นใจนั้นแล้วเธอจึงสูดลมหายใจเข้าอีกทีมองไปที่หน้าของลูกชายของตัวเองที่ตอนนี้เริ่มมีน้ำตาแสดงความอ่อนแอออกมาให้เธอได้เห็นบ้างแล้วแต่เธอไม่มีทางเลือกที่ดีกว่านี้เธอจึงได้แต่ส่งสายตาขอลุแก่โทษกลับไปเท่านั้น



“ช่วงนั้นโรงงานเราเกิดวิกฤติเงินหมุนเวียนไม่พอจนแทบจะเสียทุกอย่างไปพ่อกับแม่คำนวณกันดูแล้วเราต้องใช้เงินเยอะพอสมควรที่จะสามารถทำให้โรงงานนี้ไปต่อได้สุดท้ายที่แม่คิดได้คือทำให้โรงงานไฟไหม้เพื่อเงินประกัน”



“ไม่จริงพ่อรักโรงงานนี้มากพ่อไม่มีวันทำลายด้วยมือของพ่อเอง”



“มันจริงลูก”



ธิดาเอื้อมมือของตัวเองออกไปเพื่อเช็ดน้ำตาที่ไหลออกมาจากตาของลูกชายของเธอออกอย่างแผ่วเบา



“แม่ แล้วที่ผ่านมาแม่โกหกคุนทำไม? แม่ทำไมไม่บอกคุน”



ธิดามองดูมองของคุนที่จับตัวเธอเอาไว้ตกลงไปที่ข้างลำตัวอย่างไร้เรี่ยวแรงจะให้หยุดก็มาถึงขั้นนี้แล้วเธอคงหยุดไม่ได้ความจริงมันก็ดีเหมือนกันที่คุนจะได้รู้ความจริงจากปากของเธอเองและถ้าจะต้องโทษอะไรสักอย่างก็ให้โทษที่เธอทำเรื่องเลวร้ายในวันนั้นเอาไว้ก็แล้วกัน



“แม่กับพ่อเลยวางแผนเผาโรงงานจะให้เสียหายแค่บางส่วนเพียงเท่านั้นแต่ตอนที่แม่กับพ่อไปเริ่มดำเนินการที่โรงงาน พ่อกับแม่ลืมสังเกตว่ายังมีพนักงานอีกสองคนอยู่ที่โรงงาน”



“พนักงานทั้งสองคนนั้นอยู่เย็นกว่าทุกวันเพราะว่าพ่อของลูกขอให้เขาทั้งสองทำล่วงเวลาแต่พ่อเขาไม่คิดว่าเย็นมากขนาดนั้นแล้วจะยังมีคนอยู่และเพราะมั่นใจว่าคงไม่มีใครยอมอยู่ทำล่วงเวลามานานขนาดนั้นเราเลย เราเลยตัดสินใจวางเพลิง”



“แต่พอออกมาเราสองคนเห็นรถจอดอยู่พ่อของลูกจึงรับวิ่งกลับเข้าไปที่โรงงานแม่พยายามห้ามแล้วแต่พ่อของลูกไม่ยอมบอกต้องเข้าไปช่วยให้ได้”



“คุณโกหก”



“ฉันไม่ได้โกหกพ่อของคุนวิ่งเข้าไปทางด้านในเพื่อช่วยพ่อกับแม่ของเธอออกมาแต่เพราะเขาช่วยไม่ได้เพราะทุกอย่างมันเกิดขึ้นเร็วมากทำให้ทั้งสามคนที่จบชีวิตในกองไฟนั้นโดยที่ฉันยืนอยู่ตรงนั้นทำอะไรไม่ได้เลย”



“คุณทำได้แต่คุณไม่ทำคุณสามารถโทรเรียกดับเพลิงได้แต่คุนไม่โทร”



“ไม่จริง ฉันไม่ได้ตั้งใจจะไม่โทรแต่ฉันโทรไม่ได้”



“เพราะคุณมันเห็นแก่ตัวคุณกลัวรถดับเพลิงจะรู้ว่ามันไม่ใช่อุบัติเหตุคุณเลยเลือกที่จะไม่โทร”



“จริงหรือแม่?”



“แม่ขอโทษ”



“แล้ว แล้วพ่อกับแม่พี่ดาร์กเกี่ยวอะไร?”



“พ่อกับแม่พี่เกี่ยวอะไรอย่างนั้นเหรอ? พ่อแม่ของพี่ก็ต้องมาตายเพื่อสังเวยโรงงานของคุนไงที่โรงงานของคุนอยู่มาได้จนถึงตอนนี้ก็แลกด้วยชีวิตพ่อแม่ของพี่และพ่อของคุนเองไง”



“ไม่จริง”



“รับให้ได้ซะเพราะมันคือเรื่องจริง”

 

ทรงจำโยนสมุดหนึ่งเล่มลงไปที่หน้าตักของคุนคุนหยิบสมุดเล่มเล็กเล่มนั้นขึ้นมาแล้วเปิดดูไปที่ละหน้าในแต่ละหน้ามีข่าวจากหนังสือพิมพ์ที่ถูกตัดเป็นช่องๆ มาติดเอาไว้ด้วยสก๊อตเทปเนื้อหาในข่าวคือรายละเอียดไฟไหม้ของโรงงานผลิตเสื้อเมื่อสิบกว่าปีก่อนเหตุการ์ณในวันนั้นมีผู้เสียชีวิตสามคนคนนึงคือพ่อของเขาแต่อีกสองคนเขาไม่รู้สึกคุ้นเคย



“เหตุเกิดวันที่ 9  เดือน 9”



“ใช่มันคือวันที่พ่อกับแม่พี่ตายและรู้อะไรไหมคุนวันนั้นคนมาร่วมงานศพของพ่อกับแม่พี่ไม่ถึงสิบคนทำไมนะเหรอ? ก็เพราะคนอื่นในโรงงานคิดว่ามันเป็นความผิดของพ่อกับแม่ไงที่ทำให้โรงงานต้องไฟไหม้ที่ทำให้คนอื่นต้องไม่ได้เงินค่าจ้างในระหว่างที่โรงงานต้องปิดปรับปรุง”



“คุน คุน”



“และที่น่าขันรู้ไหมว่าทำไมงานศพของพ่อคุนมีแต่คนไปแสดงความเสียใจไปช่วยงานมันน่าขำที่ฆาตกรได้รับความเห็นใจ”



“พ่อรักโรงงาน พ่อไม่มีวันเผา”



“พ่อของคุณรักโรงงานไงรักมากจนขนาดทำอะไรก็ได้ไงยังไม่เข้าใจอีกเหรอไง!!”



“ไม่ใช่แบบนั้น”



“คุนรู้ไหมว่าพนักงานดับเพลิงบอกอะไรกับพี่บ้างศพของทั้งสองคนอยู่ในสภาพไหนคุนรู้ไหม?”



“แต่นามสกุลเป็นไปไม่ได้ ทั้งสองคนนี้จะเป็นพ่อแม่พี่ได้ยังไง? ในเมื่อนามสกุล”



ทรงจำเปิดกระเป๋าสตางค์ของตัวเองหยิบเอาบัตรประชาชนออกมาแล้วยื่นไปทางด้านหน้าเสมอกับสายตาของคุน



“ไม่ใช่ พี่ดาร์คไม่ใช่นามสกุลนี้ ไม่ใช่ๆ พี่ดาร์คไม่ได้ใช้นามสกุลนี้”



“พอแล้ว พอได้แล้ว”



               “ครับพอได้แล้ว เอาละในเมื่อคุณธิดาได้ทำตามสัญญาแล้วผมก็จะทำตามสัญญาที่ให้ไว้เช่นกันวางใจได้โรงงานดั่งเดิมที่คุณธิดารักหนักหนามันยังคงอยู่กับคุณต่อไป”



               ทรงจำหยิบเอาบัตรประชาชนของตัวเองเก็บลงในกระเป๋าและเบี่ยงตัวเองออกมาจากตัวของคุณธิดาเพื่อนั่งลงกับขาของตัวเขาเองทรงจำนั่งให้ใบหน้าของเขาเสมอกับใบหน้าของคุน เขามองที่ใบหน้าที่เต็มไปด้วยน้ำตาและความเสียใจที่แสดงออกมาจากใบหน้านั้นให้เต็มตาของตัวเอง



“รู้ไหมว่าข้อแลกเปลี่ยนในการเล่าความจริงนี้มันคืออะไร?”



“ไม่รู้คุนไม่รู้”



“มันคือโรงงานแห่งนั้นโรงงานแห่งแรกของตระกูลของคุนไงดีใจด้วยนะที่แม่ของคุนรักโรงงานมากขนาดนี้ขนาดที่เขายอมแลกกับความรู้สึกของคุนกับโรงงาน…”



               น้ำตาที่ไหลออกมาอย่างไร้เสียงสะอื้นทำให้ทรงจำหยุดริมฝีปากของตัวเองและลุกขึ้นหันหลังให้กับสองแม่ลูกเตรียมเดินออกจากบ้านหลังนี้วันนี้เขาได้ทำสิ่งที่เขารอคอยมาตลอดเสร็จเรียบร้อยลงแล้ววันนี้หน้าที่ทั้งหมดของเขามันจบลงแล้ว มันจบลงแล้ว



               แต่แล้วแรงดึงจากข้างหลังก็ทำให้เขาต้องหยุดเดินและหันกลับไปเพราะคุนกำลังตรึงเขาไว้ให้อยู่กับที่โดยการดึงขอบเสื้อของเขาทรงจำมองสบตากับคุนเพียงแค่เสี้ยววิแล้วก็หันหน้ากลับมองตรงไปที่ประตูโดยที่ไม่มองหันหลังกลับไปอีกเลยแต่เขาเองก็ไม่กล้าพอแต่จะก้าวขาเดินออกไปโดยที่คุนยังจับเสื้อเขาไว้แบบนี้



“พี่ดาร์กจะไปไหน?”



“คุนปล่อยคนนั้นไป”



คุณธิดาพยายามเดินมาแกะมือของลูกชายของตัวเองที่เอาแต่ดึงปลายเสื้อของเขาเอาไว้แต่ไม่ว่าเธอจะพยายามเท่าไหร่ก็ตามมือของลูกชายของเธอก็ไม่ยอมหลุดออกจากเสื้อนั้นสักที



“พี่ดาร์กล้อคุนเล่นทำไมทำแบบนี้ทำไม? พี่ดาร์กคุนขอโทษคุนทำอะไรผิดคุนขอโทษอย่าทำแบบนี้อย่าทำแบบนี้”



“…”



“อย่าทิ้งคุณไป อย่าทำแบบนี้ได้ไหม?”



“คุนปล่อยคนนั้นไป คุนรู้ไหมว่าเขาทำอะไรกับครอบครัวเราไว้บ้าง? คุนปล่อย”



               ทรงจำแกะมือของคุนออกจากปลายเสื้อของตัวเองออกแล้วพูดด้วยเสียงที่แผ่วเบาว่า



“ลาก่อน”



TBC
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 22-01-2018 06:25:13 โดย sweetsky »

ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8896
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80

ออฟไลน์ sweetsky

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 150
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +29/-0
​บทที่ 13 Rewrite

แผ่นหลังของทรงจำตอนที่เดินออกมาจากห้องรับแขกของบ้านคุนดูเหมือนจะเป็นแผ่นหลังที่ตั้งตรงและแข็งแรงไม่หวั่นไหวกับสิ่งใดแต่ถ้าใครได้เดินมาเห็นใบหน้าของเขาที่ตอนนี้มันเปื้อนเต็มไปด้วยคราบน้ำตาที่ถูกปล่อยให้ไหลออกมาทุกครั้งที่เขายังได้ยินชื่อของเขาที่หลุดออกมาจากปากของคุนอย่างอ้อนวอนเพื่อให้เขาหันกลับไปคงรู้ได้ทันทีว่าแผ่นหลังอันนั้นของเขามันเป็นความแข็งแกร่งแบบจอมปลอม

             

  แม้ทรงจำจะก้าวอย่างมั่นคงในตอนแรกแต่ก้าวเดินของเขาก็ต้องสะดุดลงเมื่อคนที่เขาคิดว่าควรจะอยู่ข้างในบ้านกลับวิ่งตามเขาออกมาความจริงแล้วขั้นตอนต่อไปนี้เขาไม่ได้อยากให้คุนเห็นมันในแต่เขาก็ไม่สามารถหยุดสิ่งที่เขาวางแผนเอาไว้ได้เช่นกันเขาก็ได้แต่หวังว่าคุนจะสามารถรับมือกับมันได้ดีพอ



“ว่างเปิดให้เช่า โทรติดต่อได้ที่เบอร์ 09884xxxxx”



ทรงจำจ้างคนไว้ล่วงหน้าพร้อมสั่งไว้ว่าทันทีที่เห็นเขาเดินออกมาจากรั้วบ้านหลังนี้ให้เข้ามาติดป้ายได้ตอนที่ทรงจำเดินออกมาถึงหน้าประตูคนพวกนั้นทำท่าจะเข้ามาทักเขาแต่เขาได้ใช้สายตามองปรามเอาไว้เลยไม่มีใครเอ่ยปากพูดอะไรแค่เอาป้ายประกาศให้เช่านั้นขึ้นติดอยู่ที่ประตูรั้ว



“มันคืออะไรพี่ดาร์ก?”



“ป้ายให้เช่าไงครับ”



“ไม่ใช่คุนถามว่ามันหมายความว่ายังไงที่มันมาติดอยู่ตรงนี้”



“…”



“เอาออกไป เอาออกไป”



“มึงเอาออกไปได้ยินไหม”



 ในเมื่อทรงจำไม่ยอมตอบคำถามคุนจึงเปลี่ยนเป้าหมายกันไปพูดกับคนที่กำลังติดป้ายอยู่แทนคนเหล่านั้นมองมาที่ทรงจำก่อนที่จะลงมือทำอะไรเพื่อต่อต้านการขว้างงานของคุน เขาส่ายหน้าพร้อมยังใช้สายตาสื่อสารว่าห้ามทำร้ายคนที่กำลังเดินเข้าไปวุ่นวายคนเหล่านั้นเลยแค่กันคุนเอาไว้เท่านั้น



คุนยังคงยืนตะโกนอย่างสุดเสียงเพื่อให้พวกนั้นเอาไอ้ป้ายนั้นออกไปจากรั้วบ้านแต่ในเมื่อไม่มีใครฟังคุนจึงหันหน้ากลับมาหาเขาอีกครั้ง



“พี่ดาร์กล้อคุนเล่นใช่ไหม? พี่ ฮึก ล้อ คุนเล่นใช่ไหม? ไม่เอาแล้ว พอแล้ว ฮึก คุนไม่เอาแล้ว คุนขอโทษพี่ดาร์กบอกให้เขาเอาป้ายออกเถอะนะ ฮึก คุนขอร้องพี่ดาร์กบอกเขาสิพี่ดาร์กพูดสิ นะคุนขอร้อง”



“ถ้าจะบอกว่าป้ายนี้มีความเข้าใจผิดหรือมีการล้อกันเล่นแต่คุนน่าจะคิดออกนะว่าพี่ทำจริงหรือล้อเล่น”



“ขอร้อง ขอร้องๆๆ”



คุนทรุดตัวลงมากอดขาของทรงจำเอาไว้และเพราะภาพที่อ่อนแอของคุนที่ทรงจำไม่เคยเห็นมาก่อนมันทำให้ทรงจำใจอ่อนโดยที่ไม่รู้ตัวเขาก็ย่อขาลงเอามือไปจับที่ตรงแขนของคุนเอาไว้เพื่อที่จะพยุงให้คนที่กอดขาเข้าอยู่ลุกขึ้นมา



“คุนลุกขึ้นมาลูก อย่าทำแบบนี้”



เสียงของคุณธิดาทำให้ทรงจำรู้สึกตัวได้อีกครั้งเขาไม่ได้รีบลุกขึ้นเขายังคงนั่งอยู่ตรงหน้าของคุนแต่สายตาของเขาไม่ได้จ้องที่ตัวของคุนแต่เลยไปที่ผู้หญิงที่ยืนอยู่ทางด้านหลัง



“ใช่อย่าเอาเวลามาขอร้องพี่เลยคุนเอาเวลาพวกนี้ไปดูความพินาศของครอบครัวคุนจะดีกว่าคุนจะได้รู้ว่ายังมีอะไรอีกบ้างที่คุณจะต้องเสียมันไป”



“พี่ดาร์กทำมันได้ยังไง พี่สร้างสิ่งเหล่านั้นมากับมือนะ”



คุนเอามือมาจับใบหน้าของเขาเอาไว้ทรงจำไม่ได้ปัดมือนั้นออกแต่เขากลับใช้คำพูดทำให้เจ้าของมือนั้นอ่อนแรงจนมือนั้นล่วงตกลงไปเอง



“พี่สร้างพี่ก็ทำลายได้ เพราะพี่สร้างมันมาเพื่อทำลาย”



“พี่…”



“แล้วก็ไม่ใช่แค่โรงงานพี่จะทำลายทุกอย่างที่แม่ของคุนไม่สมควรได้มันไว้”



“แล้วบ้านนี้เกี่ยวอะไร?”



“บ้านนี้มันมากจากเงินสกปรกที่ได้มาจากโรงงานของคุนไงมันเลยต้องถูกทำลายไปด้วย!!”



ทรงจำเหลือบเห็นว่าคนของเขาได้เอาป้ายให้เช่าไปติดเป็นที่เรียบร้อยแล้วเขาจึงลุกยืนขึ้นแต่คุนไม่ยอมปล่อยมืออีกข้างที่เกาะขาของเขาเอาไว้พร้อมยังส่งเสียงเรียกชื่อเขาอยู่ซ้ำๆ แบบนั้น



“พี่ดาร์กไม่รักคุนแล้วเหรอ?”



“คุนพอแล้ว”



ธิดาที่ยืนมองอยู่นานไม่สามารถทนเห็นภาพนี้ได้อีกต่อไปเธอเดินมากอดลูกเธอเอาไว้จากทางด้านหลังพร้อมกับพยายามดึงตัวลูกเธอให้ลุกขึ้นคุนถึงยอมปล่อยมือจากขาของทรงจำแล้วก็จริงแต่ก็ต้องใช้เวลาสักพักกว่าธิดาจะพาลูกของเธอเข้าไปในบ้านได้



             

ในวันที่เขาโดนซ้อมเกือบตายจากนักเลงข้ามถิ่น ในวันที่เขาโดยลุงกับป้าตีเพราะไม่สามารถหาเงินมาให้ลุงกับป้าได้เท่าก่อนเพราะเขาเริ่มเข้าเรียนต่อ ในวันนั้นเขาได้สาบานต่อท้องฟ้าเอาไว้ว่าเขาจะต้องเอาคืนให้ได้เขาจะต้องทำให้คนที่ทำให้เขาและครอบครัวเป็นแบบนี้เจ็บปวดให้ได้และวันนี้เขาก็ทำได้แล้ว



ทรงจำเปิดประตูรถคันคู่ใจของเขาที่จอดอยู่แอบเลยรั้วบ้านของคุนไปเขาขึ้นไปนั่งฝั่งคนขับก็จริงแต่เขาก็ไม่แม้กระทั่งจะสตาร์ทเครื่องยนต์



“ผมทำได้แล้วครับผมทำได้แล้วต่อจากนี้นอนหลับให้สบายได้แล้วดาร์กเอาคืนตามที่ดาร์กเคยบอกได้แล้ว”



ทรงจำนั่งเอาขาห้อยลงมาไว้ที่พื้นเอาใบหน้าด้านข้างแนบไปกับพนักพิงศีรษะและดวงตาของเขาก็เอาแต่เหม่อลอยขึ้นไปบนท้องฟ้าพร่ำบอกกับพ่อและแม่ของเขาว่าเขาทำได้แล้วเขาทำให้คนบ้านนี้ต้องเจ็บปวดแบบที่เขาเคยเจ็บปวด เขาทำให้คนบ้านนี้ต้องทรมาณเหมือนกับที่พ่อกับแม่ของเขาต้องทรมาณในกองไฟได้แล้ว แม้ว่าคนบ้านนี้จะไม่ได้หมอดไหม้ไปเหมือนพ่อแต่เขาเชื่อว่าใจของคนในบ้านนี้คงต้องวิตกเหมือนที่พ่อกับแม่วิตกตอนที่หาทางออกจากโรงงานไม่ได้ คนบ้านนี้ก็ต้องกำลังหายใจไม่ออกเพราะทางออกมันตันมืดแปดด้านเหมือนที่แม่ของเขาหายใจไม่ออกจนต้องสำลักควันตาย



“ศพอยู่ในสภาพจับมือกันอยู่ครับ คนผู้หญิงน่าจะสิ้นใจเพราะสำลักควันแต่คนผู้ชายน่าจะสิ้นใจเพราะไฟครอกครับ”



ช่วงที่โตเข้าเรียนมหาวิทยาลัยทรงจำได้มีโอกาสไปหาตัวของทีมกู้ภัยในวันนั้นจนเจอเข้ากับคนที่เจอศพพ่อกับแม่เขาเป็นคนแรกเขาสอบถามเกี่ยวกับการตายของพ่อแม่อย่างละเอียดเพราะในสมัยนั้นใครๆ ก็คิดว่าเป็นเพราะพ่อกับแม่ของเขาที่ทำให้โรงงานต้องเกิดไฟไหม้ไม่ว่าจะเป็นความประมาทหรือจงใจวางเพลิงแต่เขาไม่เคยเชื่อว่าพ่อแม่ของเขาจะทำเช่นนั้น แต่การไปในวันนั้นนอกจากเขาจะไม่ได้หลักฐานมาแก้ต่างให้กับพวกท่านเขาไม่เคยคิดเลยว่าเขาจะต้องมารู้ว่าพ่อกับแม่ต้องทรมาณมากขนาดไหนในวันนั้น ในกองไฟพวกท่านจะต้องรู้สึกทุกข์มากเพียงใด



ทรงจำปล่อยให้เวลามันผ่านไปโดยการที่จมกับเรื่องราวเก่าๆ จนแรงสั่นของโทรศัพท์ที่อยู่กระเป๋ากางเกงของเขาเกิดขึ้นเขาจึงได้สติกลับมา



“ว่า?”



“เรียบร้อยไหม?”



“อื้ม เรียบร้อยดี”



“เฮ้ยยย งั้นรออะไรวะ อย่างนี้ต้องฉลองละครฉากใหญ่จบซะทีอึดอัดฉิบ”



เสียงตะโกนของเบทที่บ่งบอกถึงความโล่งอกยังคงดังเข้ามาในโทรศัพท์พร้อมทั้งยังรบเร้าให้เขาเป็นเจ้ามือมื้อใหญ่ครั้งนี้แต่ฟังจากเสียงรอบข้างแล้วพวกเพื่อนๆ ของเขาทั้งหมดคงจะไปเตรียมตัวรอฟังข่าวที่นั้นหมดแล้วมากกว่าเหลือเพียงแค่เขาที่ไปจ่ายเงิน



“ฮัลโหลดาร์ก”



“แชมป์?”



“เออกูเอง ไอ้เบทเริ่มเมาแล้วมึงละไปเจอเขามาไหวไหม? ถ้าไม่ไหวก็ไม่ต้องมาเดี๋ยวทางนี้เคลียร์เองก่อนได้”



“รู้ว่ารอกูไปจ่ายใช่ไหม?”



“ดาร์กเอาจริงเป็นอะไรรึเปล่า?”



“ไม่เป็น เดี๋ยวเจอกัน”



ทรงจำกดวางและเขวี้ยงโทรศัพท์มันลงไปที่เบาะข้างที่นั่งก่อนที่จะหมุนตัวเองเข้ามาในรถก่อนที่จะสตาร์ทรถอีกครั้งทรงจำยังคงมองไปที่กำแพงบ้านหลังนี้มองจนเสมือนว่าเขาสามารถมองทะลุกำแพงเข้าไปได้แล้วค่อยออกรถไปตามที่นัดหมาย



“นั่งเลยๆ ดื่มเหมือนเดิมไหม เดี๋ยวชงให้”



“อื้มเหมือนเดิม”



ร้านที่เขาถูกบังคับให้มาเป็นเจ้ามือเป็นร้านประจำของพวกเขามาตั้งแต่สมัยก่อนตอนนั้นร้านนี้ยังไม่ได้ขายพวกแอลกอฮอล์แต่พอได้เปลี่ยนมือมาเป็นลูกสาวดูแลก็ทำให้เพิ่มเครื่องดื่มพวกนี้เข้าไปทั้งโต๊ะจึงเต็มไปด้วยอาหารจานใหญ่พร้อมทั้งเหล้าและมิกเซอร์



“อะ ฉลองให้กับความสำเร็จของมึงที่อดทนเก็บความเจ็บแค้นมาเป็นสิบปีเพื่อวันนี้”



“กว่าจะจบลงได้เล่นเอาเสียวสันหลังวาบไม่รู้ว่าจะถูกจับได้เมื่อไหร่ นี่ลุ้นอยู่ทุกวัน จบไปสักที เอ้าชน” เบทยื่นแก้วที่ผสมแล้วเรียบร้อยส่งให้แก่เขา



“เบาๆ เสียงหน่อย ลูกค้าคนอื่นจะเดินออกจากร้านหมดแล้ว”



‘กี้’ เจ้าของร้านเดินถืออาหารอีกจานออกมาจากทางครัวแล้วถือโอกาสนั่งลงร่วมโต๊ะกับเพื่อนของเธอ



“ไม่ต้องมองจานนี้ของแกนั้นแหละดาร์กแต่จะว่าไปก็จริงอย่างที่เบทว่าทำงานที่นั้นไม่สบายใจเท่ากับเป็นแม่ครัวที่ร้านนี้เลย”



“ขอบใจ”



“ว่าแต่ น้องคุนเป็นไงบ้าง?”



“…”



“จากที่รู้จักกันมาตอนที่แกเดินเข้าไปบอกข่าวน้องไม่ช้อคไปเลยเหรอวะ?”



“…”



“ป่านนี้ร้องไห้ใจจะขาดแล้วมั้ง”



“คุนเป็นคนเข็มแข็ง”



“เออก็ขอให้เป็นอย่างนั้นจริงๆ ไม่ใช่พรุ่งนี้มีข่าวหน้าหนึ่งหนุ่มวัยรุ่นทำธุรกิจที่บ้านล้มเผยเพราะแฟนหนุ่มเป็นต้นเหตุ ตัดสินใจดับชีวิต”



“กี้// กี้”



บุคคลที่เหลือบนโต๊ะต่างตะโกนเรียกชื่อของหญิงสาวขึ้นอย่างพร้อมเพรียงความจริงแล้วเหตุการ์ณในครั้งนี้มันก็เหมือนตลกร้ายของทรงจำเขาคิดทางเข้าไปที่โรงงานนั้นอยู่หลายทางพยายามตั้งใจเรียนมาตลอดก็เพื่อสิ่งนี้เข้าไปทำงานและทำลายแต่กลายเป็นว่าท้ายที่สุดทางที่ดาร์กเลือกและดันทำได้สำเร็จโดยใช้เวลาเพียงหกเดือนก็คือการเข้าทางลูกชายคนเดียวของบ้าน



“ก็ฉันเห็นน้องมันมาตั้งกี่ปีตั้งแต่เข้าไปทำงาน 5 ปีได้มั้ง? ก็เป็นธรรมดาที่จะห่วงน้องมัน หรือว่าพวกมึงไม่ห่วง?”



“กี้ พูดดีๆ” เบทแฟนหนุ่มของหญิงสาวเดินเข้ามาคั่นกลางระหว่างเขากับกี้



“ทำไมก็แค่พูดอย่างที่คิดก็บอกแล้วว่าไม่ได้สนับสนุนแผนนี้แต่แรกแต่ก็ดึงดันทำกันเองนี่ที่ช่วยก็เพราะว่าดาร์กมันมีบุญคุณเพราะถ้าไม่มีมันวันนั้นฉันก็คง…”



ปึก ทรงจำวางแก้วลงเขาไม่ได้โกรธที่กี้พูดเรื่องนี้เขาแค่รู้สึกว่าชื่อนี้กำลังทำให้เขาอึดอัดและยิ่งทำให้เขานึกถึงหน้าของเจ้าของชื่อและแม้ลึกๆ เขาจะเชื่อมั่นว่าคุนจะไม่ทำแบบที่กี้พูดแต่ก็มีแวบนึงที่เขาเผลอกำมือเข้าหากันแน่นเพราะกำลังกังวลใจตามที่กี้พูดออกมา



“กูออกไปดูดบุหรี่นะ”



“เกิดเป็นห่วงหรือว่าอาลัยขึ้นมาเหรอ…”



เสียงของกี้ยังคงดังตามไล่หลังของทรงจำมาเรื่อยๆ ไม่แปลกที่กี้จะเป็นแบบนี้เพราะกี้จะพูดอยู่เสมอว่าเขากำลังใช้คนที่ไม่ได้มีความผิดอะไรเลยเป็นเครื่องมือและเขาจะต้องโดนไฟแค้นนี้เผาตัวเขาเอง



ทรงจำออกมาหลังร้านอาหารที่มีทางเชื่อมเข้าไปในบ้านของกี้เวลาที่ไม่สบายใจมากๆ แต่ไหนแต่ไรเขาก็ชอบมานั่งตรงนี้เสมอเพราะเพียงแค่มองเข้าไปในบ้านเขาก็รู้สึกว่าเขาสามารถสงบใจลงได้แล้ว



“โอเคนะ?”



“อื้มโอเค”



“มาถึงตรงนี้แล้วไม่เข้าไปหาครูเหรอ?”



“ครูคงหลับแล้ว”



“ก็ว่างั้น”



แชมป์เดินตามเขาออกมาหลังจากที่เขาดูดบุหรี่ไปครึ่งตัวทรงจำรู้ว่าแชมป์ตั้งใจให้เขาได้ใช้เวลากับตัวเองก่อนที่จะเดินออกมาสมแล้วที่เป็นแชมป์เพื่อคนแรกในยามที่เขาไม่มีใครเลย เพื่อนคนที่แอบยื่นหนังสือต่างๆ ให้เขาตอนที่เขาแอบเข้าไปเรียนที่โรงเรียน



“มีอะไรอยากเล่าให้ฟังไหม?”



“ก็บอกไปหมดแล้วกูทำสำเร็จแล้วทางนั้นได้รู้สึกแบบที่พ่อแม่กูรู้สึกแล้ว”



“ไม่ใช่เรื่องนั้นสิ”



“แล้วทำไมต้องคิดว่ามีเรื่องอื่น?”



“งั้นเปลี่ยนคำถามมึงดีใจจริงๆ ใช่ไหม? ที่วันนี้มันเกิดขึ้น”



“เกือบสิบปีนะสิ่งที่กูทำมา ทำไมกูจะไม่ดีใจวะ?”



“หน้ามึง คนดีใจมันไม่ใช่หน้าแบบนี้”



“หึ อย่ามารู้ดี”



“ก็ตามใจไม่เล่าก็ไม่เล่าว่าแต่นับจากวันนี้จะเอาไงต่อ?”



“ก็คงกลับไปทำงานของตัวเองทิ้งบริษัทปล่อยให้หุ้นส่วนอย่างพวกมึงดูมานานคงต้องกลับไปดูบ้างแล้วอีกอย่างทางนี้…ทุกอย่างมันจบลงแล้ว”



“ป้าสุวรรณียังอยู่มึงลองเข้าไปบอกกับครูสมใจให้พูดกับป้าสุวรรณีอีกสักทีดีไหม? ให้เขาออกมาเถอะกูไม่รู้เลยว่าคุณธิดาจะทำยังไงกับป้าบ้างถ้าเขารู้ว่าป้าคือคนนึงที่อยู่ข้างเรา”



“ไม่เป็นไรหรอก เขาไม่กล้าทำอะไรหรอก”



“ตามใจแต่ก็ขอให้มันจบจริงๆ พอแล้ววะแค่นี้ก็พอแล้วต่อจากนี้มึงก็ปล่อยตระกูลนั้นไปกูขอ”



“…”



“รับปากสิ อย่ากลับไปทำอะไรอีก”



“อืม”



“หลายปีแล้วนะที่มึงไม่ได้ไปลุยงานด้วยตัวเองได้แต่ดูอยู่ด้านหลังคราวนี้ก็จะได้เปิดตัวผู้ร่วมหุ้นอีกคนสักที”



แม้ว่าช่วงเรียนทรงจำจะได้ทุนเรียนแต่ค่าอุปกรณ์ต่างๆ ทำให้ยังไงเขาก็ต้องหางานพิเศษทำช่วงที่เรียนอยู่ช่วงมัธยมต้นเขาไปเป็นคนล้างจานตามร้านอาหารในวันเสาร์อาทิตย์ซึ่งค่าแรงมันก็พอสำหรับค่ากินและค่าอุปกรณ์การเรียนแถมยังได้แชมป์คอยแบ่งหนังสือเรียนให้เขาอ่านและใช้เรียนอีกมันเลยยิ่งช่วยประหยัดไปได้เยอะ



แต่พอเข้ามหาวิทยาลัยเงินจากพนักงานล้างจานร้านเดียวมันไม่พออีกต่อไปทรงจำเลยลาออกจากงานนั้นและไปรับงานเสริ์ฟในร้านเหล้าและยึดเอาเป็นงานประจำเพราะทิปที่ค่อนข้างเยอะและช่วงนี้เองที่เขาได้เจอกับเบท



ชีวิตการทำงานพิเศษเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงในช่วงปิดเทอมใหญ่เมื่อทรงจำจับพลัดจับพลูได้เข้าไปทำงานที่บริษัทโฆษณาแห่งนึงในฐานะคนช่วยยกของแต่แล้วเขาดันช่วยแก้สถานการณ์ที่ค่อนข้างชุกละหุกในวันนั้นเอาไว้ได้จากงานเป็นจ๊อบก็เลยได้งานพาสทามที่นั้นและหลังจากนั้นไม่นานแม้ยังจะเรียนไม่จบแต่เขาก็เริ่มรับเป็นคนครีเอทโฆษณาหรือผู้ช่วยกองถ่ายและนั้นก็เริ่มเปิดเป็นบริษัทให้คำปรึกษาเกี่ยวกับการออกแบบผลิตภัณฑ์แก่โปรดักส์ทั่วไปโดยที่มีเบทเด็กมีฐานะเป็นนายทุนใหญ่มาตลอดแล้วเขากับแชมป์ก็ได้แต่ลงแรงและสมองโชคดีคือเบทไม่เคยสนใจเรื่องเงินและแบ่งหุ้นให้เท่าๆ กันทั้งสามคน



แต่พอเขามีโอกาสเข้าใกล้คุนสิ่งที่เขาทำคือขอร้องให้ทุกคนมาช่วยแผนเขาและนั้นก็ทำให้ทุกคนต้องทำงานสองที่ไปพร้อมๆ กัน



“ขอบใจมากนะที่ก่อนหน้านี้ยอมช่วยทุกอย่าง”



“ก็เพื่อนกัน”



“เฮ้ยแอบมานั่งทำซึ้งอะไรกันสองคนกลับมาในงานได้แล้ว”



เบทโผล่ตัวจากประตูหลังร้านออกมาเพื่อเรียกให้พวกเขาทั้งสองคนกลับเข้าไปทางด้านในทรงจำจึงขยี้บุหรี่ที่ยังสูบไม่หมดม้วนทิ้งลงพื้นและเดินกลับเข้าไปในร้าน



“กี้ละ”



“เดินเลาะไปทางด้านข้างกลับเข้าบ้านไปแล้ว”



“คงโกรธกูอยู่”



“แต่เดี๋ยวก็ดีขึ้น”



“เออ ไอ้แชมป์มีคนมารอที่หน้าร้านวะ”



“ใคร?”



“พัค”



 คืนนี้ทรงจำปล่อยให้ตัวเองดื่มด่ำกับว่า ‘ฉลอง’ จนเมามายแทบไม่ได้สติเพราะตั้งแต่เดินกลับเข้ามาในร้านทรงจำก็เอาแต่ดื่มแทบไม่ได้แตะอาหารบนโต๊ะเลยสักนิด



“นี่มันมาดื่มย้อมใจ หรือ ว่ามันมาดื่มฉลองจริงๆวะ?”



เบทที่เพิ่งเดินไปล้างหน้าล้างตาให้สร่างเมาเดินกลับมาที่โต๊ะแล้วก็เริ่มสังเกตุเห็นได้ถึงความผิดปกตินี้ของเพื่อนของตัวเอง



“ตัวเองก็น่าจะรู้”



“งานนี้เขาไม่รู้จะส่งสารใครดีเลยวะ”



เบทบ่นพร้อมกับเดินเอาพวกขวดเหล้าไปเก็บให้พ้นมือของทรงจำและเริ่มช่วยกี้เคลียร์ข้าวของบนโต๊ะให้เรียบร้อยเพราะนี้ก็ดึกมากแล้วโชคดีที่ถึงเมาทรงจำก็ไม่ได้โวยวายดึงดันจะดื่มต่อเพียงแค่เอนหลังหลับไปกับเก้าอี้



“ตื่นเดี๋ยวกูไปส่ง” เบทพูดขึ้นตอนที่พยายามปลุกให้ทรงจำลืมตาขึ้น



“เหล้าที่แดกเข้าไปยังล้างไม่หมดตัวเลยมั้งตำรวจจับแน่เดี๋ยวกูไปส่งมันเอง” แชมป์เดินเข้ามาช่วยประคองอีกข้างของทรงจำ



“จะไปส่งมัน? แล้วไอ้ที่นอนหัวโด่ที่โต๊ะโน้น ไม่คิดจะเคลียร์ก่อนหรือไง?”



เบทกำลังพูดถึงพัคเด็กหนุ่มที่มาตามหาแชมป์ตั้งแต่ช่วงดึกและพยายามขอที่จะคุยด้วยแต่แชมป์ก็ไม่ยอมคุยด้วยสักทีไอ้หนุ่มนั้นก็ดื้อเมื่อทางนี้ไม่คุยก็เอาแต่ยกดื่มไปเรื่อยจนตอนนี้นอนคอพับคออ่อนไปแล้ว



“เฮ้อ”



“ไม่ต้อง เรียกแท็กซี่ให้ก็พอ”



เขาไม่ได้เมาจนหลับเขาเพียงแค่หลับตาลงเพียงเท่านั้นแชมป์กับแบทเมื่อเห็นว่าทรงจำยังได้สติอยู่บ้างก็ไม่ได้เซ้าซี้อะไรแค่ช่วยพยุงทรงจำออกมาตอนที่แท๊กซี่ขับมาถึงที่หน้าร้าน



“เออ ว่าแต่มึงจะย้ายออกจากหอแล้วไปอยู่ที่บ้านของตัวเองเมื่อไหร่?”



“ทำไม?”



“เอ้า ก็จะได้ไปช่วยขนของไง มึงจะทิ้งของเอาไว้ที่ห้องนั้นเหรอไง?”



 บ้านหลังนั้นคือบ้านหลังเก่าที่เขาเคยอยู่เมื่อตอนเด็กเขาเก็บเงินอยู่นานกว่าที่จะซื้อบ้านกลังนี้คืนมาจากผู้อยู่อาศัยก่อนหน้านี้ได้แต่ตั้งแต่วันที่เขาได้บ้านคืนมาเขายังไม่เคยได้มีโอกาสเข้าไปอยู่เลยสักครั้งเพราะเขายังคงต้องเช่าห้องพักขนาดเล็กแถวรัชดาที่ใกล้กับโรงงานของคุน



“ของบางชิ้นขนไปไว้ที่บ้านแล้วเหลืออีกแค่ไม่กี่อย่างไม่เป็นไร”



พอแท๊กซี่เข้าเทียบจอดทั้งสามก็หยุดบทสนทนาแล้วก็เปิดประตูดันให้ทรงจำเข้าไปในรถพร้อมทั้งบอกทางให้กับแท๊กซี่เสร็จสับว่าปลายทางของทรงจำคือบ้านที่อยู่แถวบางนา



“จะปล่อยมันกลับไปสภาพแบบนี้จริงๆ เหรอวะ?”



“เอานะ กูไม่ตายหรอก”



“เออ เก่ง”



“ถ้าไม่ไหวพรุ่งนี้ยังไม่ต้องเข้าบริษัทก็ได้นะ” ก่อนจะปิดประตูรถลงไม่วายที่แชมป์ยังคงยื่นหน้าเข้ามาย้ำกับเขา



“เออ จะปล่อยกูไปได้ยัง คนขับเข้าจะด่าแล้ว”



“เออๆ”



ในที่สุดทั้งสองก็ยอมปล่อยให้ทรงจำกลับบ้านเสียทีทันทีที่ประตูรถแท็กซี่ปิดลงใบหน้าที่ยิ้มกวนเพื่อนเมื่อกี้ก็หายไปเหลือเพียงแค่ใบหน้าที่เข็มขรึมมองออกไปทางนอกหน้าต่างและก่อนที่คนขับจะเข้าเส้นทางที่จะไปบางนาทรงจำก็บอกกับคนขับแท็กซี่ว่าให้เปลี่ยนเส้นทาง



“ไปรัชดาครับ”



กลับมาถึงห้องเช่าทรงจำมองไปรอบห้องที่ตอนนี้สิ่งของพวกเอกสารได้ถูกขนย้ายออกไปหมดแล้วเหลือเพียงแค่พวกเสื้อผ้าและก็ข้าวของเครื่องใช้ที่ยังคงอยู่แม้ของบางส่วนจะถูกขนย้ายไปแล้วแต่ภาพที่เขากำลังเห็นมันก้ยังคงชัดเหลือเกินเหมือนว่ามันกำลังเกิดขึ้นจริง



“มากินข้าวได้แล้ว อย่าเอาแต่ทำงานสิพี่”



“ฮัลโหล นี่เห็นคุนไหมเนี่ย เอาแต่ทำงานคุยละ ฮัลโหล คุนอยู่นี่นะครับ”



“พี่ดาร์กคุนว่าก่อนจะไปซื้อบ้านใหม่อะเราเอาเงินไปซื้อโซฟาดีๆได้ไหม? นั่งที่โต๊ะกินข้าวดูทีวีคุนซบพี่ไม่ได้เลย”



ภาพเหล่านั้นมันทำให้ทรงจำยิ้มออกแต่แล้วภาพทุกอย่างก็ถูกตัดออกไปจากหัวของเขาและถูกทดแทนด้วยคำถามที่ว่า ‘พี่ดาร์กไม่รักคุนแล้วเหรอ?’ ไม่รู้ว่าคุนยังคงคอยตะโกนถามเขาอยู่หรือว่าเขาไม่เคยลบคำพูดนี้ออกไปจากสมองของเขาได้เลยกันแน่



“รักสิ”



เพราะรักเขาถึงได้หยุดเพียงเท่านี้ถ้าเพียงแค่คุนไม่ใช่คนที่ดีและเป็นคนที่เขารักผู้หญิงคนนั้นจะไม่สูญเสียเพียงเท่านี้แต่มันจะสำคัญอะไรถ้าเขาตอบว่ารักมันจะเปลี่ยนอะไรได้แบบนั้นเหรอ? แล้วต่อให้เขาบอกว่าเขารักคุนมากขนาดไหนเขาไม่เชื่อเลยว่าเหตุการณ์ในวันนี้จะทำให้คุนสามารถให้อภัยกับคนอย่างเขาได้



“พี่ขอโทษ”



ทรงจำรู้สึกว่าตัวเองกำลังคิดผิดที่เปลี่ยนเส้นทางกลับมาที่ห้องนี้เพราะความทรงจำในห้องนี้มันมีมากเกินไปเขาจึงเดินเข้าไปที่ห้องนอนหยิบเอากระเป๋าเป้ใบใหญ่ออกมาเพื่อที่จะเก็บเสื้อผ้าของตัวเองคิดจะกลับไปนอนที่บ้านของเขา แต่เพียงแค่เปิดตู้เสื้อผ้าออกมากเขาก็เจอกับเสื้อผ้าของคุนที่อยู่ในตู้ไม่ว่าจะเป็นชุดนอนชุดไปเที่ยวหรือชุดทำงาน



“บ้าเอ้ย”



ทรงจำพยายามไม่ใส่ใจกับเสื้อผ้าเหล่านั้นและหยิบของตัวเองออกมาเพียงแค่ไม่กี่ชุดแต่แล้วอาจจะเป็นเพราะเขากระชากเสื้อของเขาแรงจนเกินไปทำให้เสื้อของคุนที่ถูกแขวนเอาไว้ข้างๆ หล่นลงมาที่หน้าตู้เสื้อผ้าทรงจำก้มลงเก็บเสื้อเชื้ตตัวนั้นขึ้นมาแค่เพียงได้จับกลิ่นของเสื้อที่เป็นกลิ่นของคุนก็เหมือนจะลอยโดนจมูกของเขาและพอได้กลิ่นใบหน้าของเจ้าของก็เกิดขึ้นมาในสมองเขาหยิบเสื้อนั้นขึ้นมากอดเอาไว้



“พี่ยอมแพ้แล้ว พี่ยอมแล้ว พี่ขอโทษ พี่แพ้แล้ว พี่ขอโทษ”



ทรงจำทรุดตัวลงไปนั่งกับพื้นใช้ตู้เสื้อผ้าเป็นที่พิงใช่ทรงจำรู้ตัวแล้วว่าทั้งหมดที่ทำมาเขาแพ้หมดแล้วเขาไม่ได้ชนะอะไรเลยเพราะเขาเองในตอนนี้ก็มีสภาพที่กำลังจะหายใจไม่ออกเหมือนแม่ของเขาในตอนนั้นใจของเขาก็กำลังถูกเผาไหม้ด้วยไฟแค้นเขารู้แล้วว่าเขาคือผู้แพ้ที่แท้จริ ถ้าเกิดว่ากี้ได้มาเห็นเขาในตอนนี้กี้ก็คงหัวเราเยาะเขาและพูดเต็มปากว่า ‘ฉันเตือนแกแล้ว’



ทรงจำคู้ตัวลงนอนที่พื้นเพราะตอนนี้เขาเหนื่อยเกินกว่าที่จะลุกไปทำอะไรก็ตามที่เขาได้ตั้งใจเอาไว้เขาหลับตาลงปล่อยให้น้ำตามันไหลออกมาจากดวงตาแม้ว่าทรงจำจะรู้สึกเหนื่อยล้าและอ่อนแรงขนาดไหนแต่เขาก็ไม่ปล่อยให้เสื้อเชิ้ตของคุนหลุดออกไปจากอ้อมกอดของเขาแม้ในยามที่เขาหลับเลยสักนิด



“พี่รักคุณนะ”



และคำนี้ก็หลุดออกมาจากปากของทรงจำอยู่ตลอดทั้งคืนเช่นกัน

TBC

ออฟไลน์ sweetsky

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 150
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +29/-0
​บทที่ 14 Rewrite

พี่ดาร์กเดินจากไปและไม่ว่าเขาจะพยายามเรียกสักเท่าไหร่พี่ดาร์กก็ไม่หันกลับมาหาเขา



“คุนลุกขึ้นเข้าบ้านเรากันเถอะลูก”

   

เป็นธรรมสะดุ้งและเกร็งตัวทันทีที่มือของแม่จับลงมาที่ไหล่ของเขาแม่เองก็คงรู้สึกถึงได้คลายมือออกและเปลี่ยนมาเป็นนั่งลงข้างๆ เขาแทน



“แม่ขอละเข้าบ้านเราเถอะนะอย่าเอาแต่นั่งอยู่ตรงนี้เลย”



“แม่เข้าไปก่อนได้เลยครับผมขอนั่งตรงนี้ก่อน”



“นั่งยังไงเขาก็ไม่กลับมาหรอกลูก”



เป็นธรรมใช้เวลาอยู่ที่หน้าบ้านของเขาจนแน่ใจแล้วว่พี่ดาร์กจะไม่กลับมาเขาจึงยอมเดินกลับเข้าไปในตัวบ้านสิ่งแรกที่อยู่ในสายตาของเขาตั้งแต่ที่ย่างเก้าเข้ามาในห้องรับแขกก็คือภาพข่าวเกี่ยวกับเหตุการณ์ไฟไหม้โรงงานผ้าตกอยู่ที่พื้นเนื้อข่าวลงเอาไว้เพียงว่าในวันนั้นมีผู้เสียชีวิตสองคนและเหมือนเหตุการณ์ในครั้งนี้จะเกิดจากการเลินเล่อของพนักงานที่อยู่ทำโอที



“แม่ทำอย่างนี้ได้ยังไง?”



“แม่กับพ่อต้องการแค่ปกป้องโรงงานนี้เอาไว้เท่านั้น”



“แล้วทำไมแม่ไม่หาทางอื่น”



“ตอนนั้นมันเป็นหนทางเดียวที่พ่อกับแม่กับแม่จะคิดได้”



“เลิกเอาพ่อมาอ้างซะที!! พ่อตายไปแล้วพ่อจะพูดอะไรได้อีก?”



“ก็มันเป็นสิ่งที่พ่อของลูกคิดเหมือนกันตอนนั้นเราจนตรอกเราไม่มีเงินเราติดหนี้และเรามีลูกที่ต้องดูแลคุนคิดว่าพ่อกับแม่อยากเผาทำลายในสิ่งที่พ่อกับแม่สร้างมันขึ้นมาเหรอไง!!”



“โดยการที่แม่ทำร้ายสองชีวิตในนี้นะเหรอแม่เขาตายนะแม่พวกเขาตายและยังเป็นความผิดของพวกเขาไปตลอดชีวิต!!”



“มันเป็นอุบัติเหตุ แม่ แม่พยายามช่วยแล้วพ่อของลูกก็อยู่ในนั้นลูกคิดว่าแม่จะไม่พยายามเชียวเหรอ?



“…”



“คุนถ้าแม่กับพ่อไม่ทำอย่างในวันนั้นเราก็ไม่มีทางที่จะอยู่รอดและมีวันนี้”



“แต่อย่างน้อยแม่สามารถบอกอะไรก็ได้ขนาดไม่ให้เขาลงข่าวว่ามีสามศพแม่ยังทำได้เลย แต่ทำไมทำไมแม่ยังให้ข่าวแบบนั้นว่าเป็นความผิดพลาดของพ่อกับแม่พี่ดาร์ก”



“แม่ไม่ได้ให้ข่าวมันเป็นการสันนิษฐาน”



“มันจะต่างอะไรกับแม่ให้ข่าวในเมื่อแม่ก็ไม่ได้แก้ข่าวให้ถูกต้อง”



“แล้วจะให้แม่ทำยังไงให้ไปบอกพวกเขารึไงว่าไม่ใช่ค่ะแต่มันเป็นฝีมือของดิฉันเองแบบนั้นเหรอ? แล้วการตายของลูกพ่อก็ต้องตายเปล่าแบบนั้นรึไง?”



“แม่คิดว่าพ่อจะภูมิใจรึไงที่ต้องเสียสละแบบนี้?”



“ภูมิใจไม่ภูมิไม่รู้ รู้แต่ว่ามันก็แผนของเขาด้วยเหมือนกัน!!”



“แล้วทำไมแม่ไม่เคยบอกผมเกี่ยวกับเรื่องของพ่อ?”



“แม่ไม่อยากจำเรื่องราวในวันนั้น”



“แม่ทำแบบนั้นกับผมได้ยังไง? แม่เอาความสบายใจของตัวเองและลืมว่าผมต้องรู้เรื่องของครอบครัวได้ยังไง? นั้นพ่อผมนะ”



“แม่รับไม่ได้ที่จะต้องตอกย้ำกับตัวเองอยู่ตลอดเวลาว่าทำไมวันนั้นแม่ถึงต้องเสียพ่อไป”



“แค่แม่พูดออกมาว่าแม่ทำทั้งหมดนี้เพื่อตัวแม่เองก็พอแล้วแม่เลิกอ้างผมอ้างพ่อสักทีเถอะครับ!!”



เพี้ย ฝามือของแม่ฟาดลงที่หน้าทางด้านซ้ายของเขาตั้งแต่เล็กจนโตไม่ใช่ว่าเขาไม่เคยถูกตีแต่นี่เป็นครั้งแรกที่แม่เลือกที่จะตบลงมาที่หน้าของเขา



“แค่แม่ไม่ได้เป็นคนที่ต้องตายในวันนั้นไม่ใช่ว่าแม่จะผิดเพียงคนเดียวพ่อที่คุนรักและเทิดทูนหนักหนาก็เป็นคนวางแผนนี้ด้วยตัวเองมันผิดแค่เขาต้องจบชีวิตในวันนั้นและทิ้งให้แม่ยังอยู่ตรงนี้อยู่เพื่อให้คุนมาต่อว่า”



“…”



“คุนต้องการเรียกความยุติธรรมให้กับคนพวกนั้นให้กับคนที่เพิ่งทำลายเราทุกอย่างจนบ้านจะไม่มีจะอยู่ดูซะดูให้เต็มตาว่าคนที่คุนพยายามหาความยุติธรรมซึ่งมันผ่านมาแล้วเขาได้ทำอะไรไว้บ้าง”



แม่โยนเอกสารทั้งหมดที่ตั้งอยู่บนโต๊ะใส่หน้าเขาเอกสารเหล่านั้นต่างกระจายไปตามพื้นแค่เพียงมองผ่านเป็นธรรมก็เห็นพวกสัญญาซื้อขายหลายอย่างที่เขาไม่เคยคุ้นตามาก่อน



“โรงเรียนของคุนโรงงานแห่งใหม่ของเราแม้กระทั่งบ้านที่เราสองคนกำลังยืนอยู่นี้มันก็เอาไปขายต่อให้คนอื่นหมดแล้ว”



“ไม่จริง”



“มันคือเรื่องจริงคนทุกคนก็ตายไปแล้วเลิกเอาเวลามาหาเรื่องยุติธรรมแล้วเอาเวลามาแก้ปัญหาพวกนี้ก่อนจะดีไหม! พรุ่งนี้จะนอนที่ไหนกันยังไม่รู้เลย”



“…”



“แล้วถ้าเก่งและทางออกได้ดีกว่าการเผาโรงงานในวันนั้นคุนก็ลองทำให้แม่ดูหน่อยแล้วกันว่าวันนี้คุนจะแก้ปัญหาพวกนี้ยังไง”



แม่เดินกลับไปทางด้านบนเหลือเพียงเขาที่ยังยืนอยู่ในห้องนั่งเล่นพร้อมกับเอกสารทั้งหมดตรงหน้าเขาจึงก้มเก็บรวบรวมทีละแผ่นมองดูที่พื้นให้แน่ใจว่าไม่เหลืออะไรอยู่ทางด้านล่าง เมื่อเขาพาตัวเองขึ้นมาบนห้องเขาก็เอาเอกสารทั้งหมดมาแยกออกและเริ่มดูอย่างละเอียดเรื่องแรกที่เขาอยากรู้มากที่สุดก็คือเรื่องบ้านมันจะเป็นไปได้หรือไงที่พี่ดาร์กจะสามารถทำให้เขาไม่มีแม้กระทั่งที่จะอยู่เท่าที่คบกันมาหลายปีแม้ว่าพี่ดาร์กจะโกรธครอบครัวเขาขนาดไหนก็ไม่น่าจะทำได้ถึงขนาดนี้



แต่แล้วเป็นธรรมก็ต้องยอมจำนนกับเอกสารตรงหน้าและยอมรับว่าพี่ดาร์กทำได้เพราะบ้านหลังนี้ได้ถูกขายขาดไปให้กับบุคคลอื่นเพราะว่าทางเราไม่สามารถชำระเงินตามใบสัญญาขายฝากในระยะเวลาที่กำหนดเอาไว้ได้



“ปลอม ของปลอมแน่ๆ”



มันอาจจะเป็นเอกสารของปลอมที่พี่ดาร์กทำขึ้นมาเพื่อให้แม่ตกใจเพราะเท่าที่เขาจำได้บ้านหลังนี้เขาให้พี่ดาร์กเอาไปเข้าธนาคารและเขาก็มั่นใจว่าเขาเห็นสัญญาเงินกู้ของธนาคารแบบนี้เรื่องขายฝากจะเป็นเรื่องจริงได้ยังไง



แต่ทางเดียวที่จะรู้ได้คือการไปเช็คที่ธนาคารดังนั้นเป็นธรรมจึงจะไปที่ธนาคารเพื่อเช็คเรื่องบ้านในเช้าวันรุ่งขึ้นเมื่อเรื่องบ้านจบลงเขาจึงเริ่มดูสิ่งที่ข้องใจเรื่องต่อไปนั้นก็คือเรื่องโรงงานแห่งใหม่เขาต้องการดูสัญญาว่าสรุปแล้วมันกำลังจะตกไปอยู่ในมือของใคร



จากเอกสารมันยืนยันว่าโรงงานแห่งนี้ถูกขายออกไปแล้วจริงโดยที่การขายถูกแยกออกเป็นสองส่วนอุปกรณ์ในโรงงานถูกขายไปให้โรงเหล็กแต่ที่ดินถูกขายต่อไปให้นายหน้าโดยมีลายเซ็นท์ของเขาเป็นคนมอบอำนาจทั้งหมดนี้ให้กับพี่ดาร์กเป็นผู้ดำเนินงานแทนเขากำกระดาษการซื้อขายแน่นทำไมความไว้ใจของเขามันถึงได้ถูกเอามาเป็นสิ่งที่ทำร้ายตัวเองแบบนี้



แม้ข้อมูลที่เจอจะให้เป็นธรรมอยากเลิกหาข้อมูลมากเท่าไหร่แต่ส่วนลึกในใจเตือนเขาเสมอว่าเขาไม่สามารถหยุดเพียงเท่านี้เขาพยายามค้นหารายละเอียดการเงินของโรงงานซึ่งเขาเชื่อว่ามันต้องอยู่ในกองเอกสารเหล่านี้และเขาก็เจอรายรับรายจ่ายของแบงค์ที่หายไปเมื่อเช้าเงินที่อยู่ในนั้นถูกถอดออกไปจนเกือบหมดตั้งแต่สองเดือนก่อนหน้า



‘เรื่องชดใช้ สัญญาชดใช้’ เป็นธรรมไม่รู้ว่าเขาควรที่จะรู้สึกอย่างไรดีเมื่อเห็นว่าเงินเหล่านั้นไม่ได้ถูกถอนไปเพราะพี่ดาร์กอยากเอาไปใช้ส่วนตัวแต่ส่วนใหญ่หมดไปกับการจ่ายชดใช้ให้กับพนักงานที่ต้องโดนให้ออกจากงานจากโรงงานแห่งใหม่ดูได้จากหลักฐานการจ่ายเงินให้กับพนักงานที่ยอมออกตามข้อเสนอพร้อมทั้งลายเซ็นของพนักงานเหล่านั้น



‘สัญญาขายหุ้นของโรงเรียน’ แต่แล้วคำตอบว่าเป็นธรรมควรเสียใจกับเรื่องราวเหล่านี้ก็ตีเข้าแสกหน้าของเขาเมื่อสิ่งที่ถูกแนบมาในหน้าถัดไปมันเป็นสัญญาซื้อขายหุ้นของโรงเรียนโดย ณ ตอนนี้เขามีหุ้นเหลืออยู่เพียงแค่ 1 เปอร์เซ็นต์ส่วนที่เหลือถูกขายไปสู่มือคนอื่น



ทำไมโรงเรียนถึงถูกขายหุ้นออกไปได้ในเมื่อมันติดสัญญากับแบงค์อยู่ไม่ใช่เหรอ? เป็นธรรมใช้มือที่เต็มไปด้วยเหงื่อหาเอกสารการกู้ที่พี่ดาร์กบอกว่าเรามีเครดิตดีและธนาคารไว้ใจเราถึงได้กู้ได้เร็ว



“เป็นไปไม่ได้ เป็นไปไม่ได้”



แต่ไม่ว่าเขาจะหาเท่าไหร่เขาก็หารายละเอียดการจ่ายดอกเบี้ยให้แก่ธนาคารไม่เจอและที่สำคัญในใบรายงานของไตรมาสที่ผ่านมาพร้อมทั้งบัญชีของโรงงานและโรงเรียนกลับไม่มีการชำระหนี้ให้แก่ธนาคารแต่อย่างใดเขาไม่รู้หรอกว่ามันหมายความว่าอย่างไรมีเพียงอย่างเดียวที่เขารู้ก็คือการค้าขายที่เกิดขึ้นมันไม่ถูกต้องงั้นเรื่องบ้านที่ถูกฝากขายก็คงเป็นตามเอกสารที่เขาเห็นบ้านคงไม่ได้ไปตกอยู่ในมือของธนาคารตามที่เขาเคยรับรู้มาดีนะที่รู้ตั้งแต่ตอนนี้ถ้าตอนเช้าเขาไปธนาคารพร้อมกับสัญญาเอาบ้านเข้าจำนำเขาคงขายหน้ากับพนักงานว่าเอกสารปลอมเหล่านั้นทำไมเขาถึงโง่ดูไม่ออก



“ฮัลโหลแจง”



“ว่าไงคุน? เป็นยังไงบ้าง?”



“ก็โอเค”



“แจงเราขอรบกวนคุยกับพี่ชายของแจงหน่อยได้ไหม? พี่เขาอยู่บ้านรึเปล่า?”



“พี่จูนอะนะ?”



“อืม”



“แป้ปนะเดี๋ยวเราเอาโทรศัพท์ไปให้ ว่าแต่คุนมีอะไรอยากเล่าให้เราฟังไหม?”



“เรามีเรื่องอยากปรึกษาพี่เขาเกี่ยวกับเรื่องกฎหมายนิดหน่อย”



“โอเคๆ”



แจงเหมือนจะรู้ว่าเขามีเรื่องร้อนใจเพราะด้วยเสียงที่ตะโกนเรียกพี่ชายพร้อมกับเสียงเดินเร็วๆ อย่างน้อยการกระทำนั้นของแจงมันก็เป็นเรื่องที่ทำให้เขายิ้มได้ในรอบวันและใช้เวลารอสายไม่นานเขาก็ได้คุยกับพี่จูน



“ว่าไงคุน?”



“สวัสดีครับพี่จูนผมขอรบกวนปรึกษาเรื่องกฎหมายสักหน่อยได้ไหมครับ?”



“ได้สิ”



 “ถ้าการขายฝากมันขาดไปแล้วผมทำอะไรได้บ้างครับพี่?”

 

 “เขาขายของที่เราไปขายฝากออกตลาดไปยัง?”

 

“ยังครับ”



“ก็ยังถือว่าเราโชคดีติดต่อเขาแล้วก็ขอต่อรองจ่ายค่าดอกเบี้ยหรืออะไรก็ว่าไป”



“แม้ว่าเราจะไม่ได้เป็นคนทำสัญญานั้น?”



“พี่งงคุนกำลังพูดอะไร”



“คือถ้าสัญญานั้นมันไม่ใช่ความตั้งใจของผม”



“คุนก็ต้องไปพิสูจน์ให้ได้ว่าไม่ใช่ลายเซ็นท์คุนหรือว่าถูกบังคับอะไรแบบนั้น”



“ขอบคุณมากนะครับพี่”



“มีอะไรปรึกษาพี่ได้นะคุน”



“เท่านี้ก็รบกวนพี่มากแล้วครับ ขอบคุณนะครับพี่”



 รูปหน้าจอที่ปรากฎขึ้นทำให้เขา ต้องตั้งคำถามกับภาพนั้นว่าที่ผ่านมา ‘พี่ดาร์กเคยรักเขาบ้างไหม?’

 

เป็นธรรมทิ้งตัวพิงกับพนักเก้าอี้ยิ่งคิดเขาก็ยิ่งรู้ตัวว่าเขาเป็นเพียงคนโง่ที่ตลอดเวลาที่ผ่านมาเขาไม่เคยเอะใจอะไรสักเรื่องไม่ว่าจะเป็นเรื่องของพ่อคนหรือเรื่องของพี่ดาร์กที่เขาเป็นคนเปิดรับให้เข้ามาในชีวิตเข้ามาทำร้ายเขาและแม่



เป็นธรรมปัดเอกสารทั้งหมดลงจากโต๊ะฉีกทำลายมันทิ้งเพราะไม่อยากเห็นพวกมันอีกแล้วหมดแล้วตอนนี้เขาหมดสิ้นทุกอย่างแล้วขนาดโรงเรียนที่เขารักที่สุดยังพังลงด้วยน้ำมือของคนที่เขารักด้วยความโง่ของเขาเองน่าสมเพชที่สุด



“ในเมื่อถ้าพี่เห็นคุนล้มและมันจะสามารถชดใช้ในเรื่องพ่อกับแม่ของพี่คุนก็จะทำให้” ถ้าการที่เขาจะไม่เหลืออะไรจะเป็นหนทางเดียวที่จะชดใช้ให้พี่ดาร์กเขาก็จะทำ           



 สว่างคาตามันเป็นยังไงเป็นธรรมเพิ่งรู้ในวันนี้นี่เองตั้งแต่เมื่อคืนจนถึงเช้านี้เขายังไม่ได้ขยับไปไหนจากโต๊ะทำงานและคงยังไม่ขยับตัวไปอีกนานถ้าเกิดไม่ได้ยินเสียงของแม่กำลังเคาะประตูอยู่ที่หน้าห้องนอน



“คุนเปิดประตูให้แม่หน่อย”



“…”



“คุน”



“ผมอยากอยู่คนเดียว”



และตลอดสองวันที่ผ่านมาเป็นธรรมก็ได้ใช้ชีวิตเป็นผู้แพ้ตามที่พี่ดาร์กต้องการตื่นเช้ามาเขาไม่ลุกขึ้นจากเตียงจนกว่าจะหิวและถึงเขาจะไม่ออกจากห้องแต่ก็จะมีจานข้าวมาวางเอาไว้ให้ที่หน้าประตูห้องนอนเขาก็แค่เดินออกไปหยิบจานข้าวมากินและก็เดินออกเอาไปวางไว้ที่เดิมตอนอิ่มและเขาก็ไม่ได้ใส่ใจว่ามันจะเกิดอะไรขึ้นในระหว่างนี้เขาอยู่แบบนี้จากคืนเป็นวันจากวันเป็นอาทิตย์จากอาทิตย์เป็นเดือนจนเขาพบความจริงการอยู่ในห้องโดยที่ไม่ออกไปมันทำให้เขาไม่ต้องรับรู้เรื่องราวที่จะทำลายความสุขของเขาอีกเพราะตอนนี้เขากำลังมีความสุขอยู่ในมุมของเขา



“ถ้าคุนไม่เปิดแม่ก็มีกุญแจที่จะไขเข้าไปได้คุนรู้ใช่ไหม? แม่ให้เวลาคุนมานานแล้ว”



“ผมอยากอยู่คนเดียว”



“คุนจะมานั่งหมดอะไรตายยากไม่ได้นะ เราจะไม่มีบ้านจะอยู่กันแล้ว”



“...”



“คุนอย่ามาทำเงียบใส่แม่นะ อย่ามาทำตัวอ่อนแอในเวลาแบบนี้!!”



 เป็นครั้งแรกที่แม่ยอมไขกุญแจนั้นเข้ามาในห้องแม่เดินมาที่โต๊ะที่เขากำลังนั่งอยู่บนโต๊ะทีเต็มไปด้วยรูประหว่างเขากับพี่ดาร์กที่ถ่ายด้วยกันมาตลอดหลายปีเสียดายที่ปีหลังๆ มานี่เขาเองก็ไม่ได้เอารูปที่อยู่ในเครื่องไปล้างเพราะไม่ค่อยว่างเลยจึงไม่ค่อยมีรูปปัจจุบัน



“อย่าแม่ อย่ายุ่งกับรูปของผม”



โดยไม่มีการบอกกล่าวแม่หยิบกองรูปโกยรูปมันลงถังขยะทั้งหมดเขาจึงต้องขุ้ยมันออกมาจากถังขยะที่แม่ขย้ำและทิ้งมันลงไป



“พอได้แล้ว เลิกเพ้อถึงคนนี้ได้แล้วเขาโกหกเราขนาดนี้คุนจะยังไปใส่ใจเขาทำไม?”



“...”



“ก็บอกให้พอไงก็เพราะเป็นแบบนี้ถึงไม่เคยทันอะไรเขาเลย!!”



เป็นธรรมไม่ทำตามที่แม่สั่งเขายังก้มหน้าก้มตาเพื่อรีดรูปที่ยับนั้นให้เรียบและเมื่อเขาไม่ยอมทำตามแม่ก็มากระชากรูปเหล่านั้นมออกไปจากมือของเขาอีกครั้งและครั้งนี้ความอดทนของเขาก็หมดลง



“ใช่คุนไม่เคยรู้เลยว่าใครหลอกอะไรคุนบ้างขนาดเรื่องพ่อของตัวเองคนอื่นยังรู้ดีกว่าคุนที่เป็นลูกเลย!! คนอื่นยังรู้เลยว่าพ่อตายยังไงเมื่อไหร่ส่วนตัวคุนยังทำบุญให้พ่อผิดวันอยู่เลย”



“คุน”



“แล้วแม่จะให้คุนทำยังไง? จะให้คนโง่คนนี้ทำยังไงทั้งชีวิตคุนก็โดนหลอกมาตลอดและแม่อยากได้อะไรจากคุน จะทำอะไรได้อีกแม่บอกคุนสิแม่บอกให้คุนฉลาดทีสิบอกคุนที”



“คุน ลูกแม่”



“คุนมันโง่มากเลยใช่ไหมแม่? คุนโง่มากเลยใช่ไหม? ใครๆก็หลอกคุนได้เพราะคุนมันโง่ใช่ไหม?”



“แม่ แม่ขอโทษลูกแม่ขอโทษ”



แม่รวบตัวเขาเข้าไปกอดและพร่ำบอกขอโทษเขาเองก็เอาแต่ร้องไห้อยู่ในอ้อมกอดของแม่เมื่อความเหนื่อยล้ามาถึงขีดสุดเขาก็ไม่สามารถที่จะฝืนตัวเองได้อีกต่อไปเขาทิ้งตัวนอนลงในอ้อมกอดของแม่ แม่เดินไปลากเอาผ้านวมหมอนและผ้าห่มสำรองในตู้ออกมากองกันกับพื้นที่เขานั่งอยู่ให้เขานอนลงบนผ้านวมแม่ห่มผ้าให้เขาเหมือนยังเป็นเด็กแล้วค่อยเดินออกไปก่อนออกไปจากห้องแม่กระซิบบอกว่าให้เขาพักให้สบายและแม่จะดูแลทุกอย่างเอง



ตื่นมาอีกทีท้องฟ้าก็เป็นสีส้มสีของช่วงเวลาในตอนเย็นเขาคงหลับไปนานและเมื่อได้พักอย่างเต็มอิ่มสมองก็เริ่มโล่งเขาก็คิดว่าเขาควรต้องจัดการห้องนี้สักหน่อยแต่อื่นใดน้ำที่ไม่ได้อาบมาทั้งอาทิตย์ตอนนี้มันเริ่มส่งกลิ่นให้เขารู้ตัวแล้วว่าเขาควรจะจัดการกับตัวเองก่อนห้อง



“สวัสดีค่ะคุณเป็นธรรม”



“คุณสุวรรณี”



หลังจากอาบน้ำเสร็จเขาก็เก็บที่นอนที่ถูกกองเอาไว้ที่พื้นในตอนนั้นเองที่เสียงจากคนที่ยืนอยู่ตรงประตูห้องก็ดังขึ้นพอได้เห็นหน้าเขาก็รู้สึกแปลกใจเพราะเป็นบุคคลที่เขาคาดไม่ถึง



“คุณเป็นธรรมคงไม่ถือที่ดิฉันขอคุณธิดาเข้ามาในห้องของคุณแบบกะทันหันแบบนี้”



“คุณสุวรรณีพูดธุระเลยดีกว่าครับ”



ความผ่อนคลายที่เกิดขึ้นกลับกลายมาเป็นความตึงเครียดอีกครั้งจากเอกสารที่เขาเห็นถ้าคาดไม่ผิดเขาค่อนข้างมั่นใจว่าคุณสุวรรณีก็เป็นหนึ่งในทีมของพี่ดาร์ก



“คุณเป็นธรรมมองดิฉันด้วยสีหน้าแบบนั้น ก็แสดงว่าคุณเองก็คงพอจะคิดอะไรออกแล้วใช่ไหมคะ?”



“เขายังต้องการอะไรจากผมอีกเหรอครับคุณถึงยังไม่ลาออก? คนที่เหลือเขาก็ออกไปหมดแล้วอ่อ ยังเหลือโรงงานหลักอีกที่นึงตอนนี้เขาเริ่มอยากจะขายโรงงานนั้นแล้วรึครับ?”



“ดิฉันดีใจนะคะที่ในที่สุดคุณก็เริ่มตื่นตัวสักทีก่อนที่คุณจะอยากรู้ว่าคุณทรงจำอยากได้อะไรคุณดูก่อนดีไหมว่าคุณธิดากำลังทำอะไรอยู่?”



“แม่?”



“ในช่วงที่คุณเอาแต่เก็บตัวอยู่ในห้องแม่ของคุณไปกู้เงินนอกระบบมาซึ่งดิฉันก็ไม่รู้ว่าแม่ของคุณจะเอาเงินพวกนี้ไปทำอะไรแต่ดิฉันเป็นคนทำเอกสารและเห็นมันดิฉันก็เลยแค่จะมาบอกให้คุณทราบ”



“คุณมาบอกผมทำไม?”



“ดิฉันยังคงอยู่ในตำแหน่งเลขาของคุณเพื่อคุณจะลืมไปว่าดิฉันยังได้รับเงินเดือนจากตรงนี้อยู่”



“ผมต้องการไล่คุณออก”



“กลัวรึคะ? กลัวดิฉันจะทำอะไรเหรอคะคุณเป็นธรรม? คุณยังเหลืออะไรให้ทำลายอีกเหรอคะ?”



“เชิญคุณออกไปจากบ้านของผมแล้วผมจะส่งจดหมายเชิญออกตามไปทีหลัง”



“เอาละคะวันนี้ดิฉันก็มาแค่เรื่องนี้หวังว่าคุณจะพอมีความสามารถจัดการมันได้เพราะถ้าคุณคิดให้ดีคุณก็รู้ใช่ไหมคะว่ากู้เงินนอกระบบมันเป็นยังไง? และนี่บัญชีรายจ่ายที่ไม่มีรายรับของโรงงานในช่วงเดือนนี้ค่ะดิฉันทำสรุปให้แล้วค่ะ”



“เชิญ”



“อีกอย่างเพื่อคุณจะลืมไปดิฉันเป็นคนที่เตือนคุณให้ดูรายละเอียดต่างๆ พร้อมทั้งบัญชีตั้งแต่หลายเดือนที่แล้ว แต่ก็เป็นคุณเองที่ไม่สนใจมันเพราะฉะนั้นจะบอกว่าดิฉันอยู่ฝ่ายคุณทรงจำอย่างเดียวเลยก็คงจะดูเป็นข้อกล่าวหาที่มากเกินไปและ…”



“…”



“คุณทรงจำไม่ต้องทำอะไรเพิ่มหรอกค่ะเพราะถ้าคุณยังเป็นแบบนี้โรงงานที่ยังมีอยู่ที่แม่ของคุณก็แลกมันมาด้วยน้ำตาของคุณเดี๋ยวมันก็หายไปด้วยมือของคุณเองนั้นแหละค่ะ”



“เชิญ”



“ดิฉัน ลาค่ะ”



ก่อนออกไปคุณสุวรรณีได้ทิ้งเอกสารที่เกี่ยวกับการกู้เอาไว้ที่โต๊ะหัวเตียงเมื่อเขาหยิบขึ้นมาดูก็พบว่าเมื่อสามวันก่อนแม่ไปกู้เงินนอกระบบมาจริงด้วยจำนวนเงินที่เป็นหลักล้านแต่จากรายงานของบัญชีเงินนั้นก็ไม่ได้ถูกนำเข้าไปใช้ที่โรงงานแล้วมันถูกใช้ไปกับอะไร?



เป็นธรรมเดินออกมาจากห้องเป็นครั้งแรกในรอบสัปดาห์เขาเดินลงมาทางด้านล่างของบ้านเพื่อจะพูดคุยกับแม่เกี่ยวกับเงินกู้นั้นแต่เขาก็ไม่เจอเขาจึงเดินย้อนกลับไปทางด้านบนทางที่จะไปฝั่งห้องนอนของแม่ต้องผ่านห้องพระห้องที่เก็บกระดูกของพ่อเอาไว้ประตูห้องพระถูกแย้มเปิดอยู่เขาเลยเดินเข้าไปหมายจะปิดประตูให้สนิทแต่ภาพที่เขาเห็นก็คือแม่กำลังนั่งหันหน้าเข้ากับโต๊ะที่ใส่อัฐิของพ่อ



“ฉันเหนื่อยเหลือเกินคุณลูกก็ไม่ฟังฉันเลยบ้านก็กำลังจะเสียไปโรงงานก็กำลังแย่ฉันไม่ไหวแล้วคุณฉันไม่รู้ต้องทำยังไงต่อไปถ้าเหตุการ์ณในวันนั้นมันเป็นฉันก็ยังจะดีเสียกว่าคุณน่าจะดูแลเรื่องในวันนี้ได้ดีกว่าฉัน”



ภาพและเสียงของแม่ทำให้เป็นธรรมชะงักเท้าที่จะก้าวเข้าไปในห้องนั้นพร้อมกับถอยหลังเดินออกมาเหตุการณ์ที่ผ่านมาเขาเอาแต่คิดว่าเขาคือคนที่เสียใจมากที่สุดมาในวันนี้เขารู้แล้วว่าในการสูญเสียยังมีแม่ที่ยังเสียใจกับเรื่องที่เกิดและเขากำลังปล่อยให้แม่ต้องต่อสู้ทุกอย่างเพียงคนเดียวทั้งที่จริงแล้วแม่วางมือเรื่องธุรกิจมานาน ก็จริงอย่างที่คุณสุวรรณีพูดถ้าเขายังอยู่แบบนี้พี่ดาร์กไม่จำเป็นต้องทำอะไรเพิ่มโรงงานที่ยังเหลืออยู่มันก็คงจะหายไปในวันข้างหน้า



เป็นธรรมกลับมาที่ห้องของตัวเองเก็บรูปเหล่านั้นที่เขาหวงแหนหนักหนาเข้ากล่องและเริ่มเอาเอกสารที่ถูกฉีกและขย้ำมาต่อเรียงให้เรียบร้อยเขาเริ่มดูทุกรายละเอียดอีกครั้งเป็นธรรมหยิบเอาสมุดจดขึ้นมาเพื่อลิสขั้นตอนว่าเขาต้องทำอะไรแล้วทำดอกจันทร์เอาไว้หน้าเรื่องที่สำคัญที่สุด



“พี่สอนนะจำบ้างเวลาคิดอะไรออกให้จดเอาไว้ไม่จำเป็นต้องเรียงก็ได้แล้วค่อยเอาปากกาเน้นหรือทำดอกจันทร์ว่าอะไรสำคัญมัวแต่คิดไม่เขียนสักทีเดี๋ยวก็ลืม”



“โธ่ ก็คุนอยากให้มันเป็นระเบียบนิ ค่อยๆ เรียงไม่ต้องรีบก็ได้”



ภาพซ้อนที่พี่ดาร์กเคยสอนตอนทำแผนงานของโรงเรียนเขามักเถียงเรื่องพวกนี้กับพี่ดาร์กอยู่เสมอเพราะเขาเป็นคนไม่ชอบเขียนและลบจึงคิดให้ดีก่อนจะเขียนแต่พี่ดาร์กจะเป็นคนเขียนทุกอย่างลงไปแล้วค่อยขีดทิ้งถ้าไม่เอาหรือไม่ดีน่าแปลกที่ก่อนหน้านี้เขาไม่เคยเชื่อพี่ดาร์กเลยแต่วันนี้เขากลับนำเอาวิธีนั้นมาใช้โดยที่ไม่รู้ตัว



“ก็หวังว่าที่พี่สอนคุนในตอนนั้นมันจะเป็นวิธีที่ใช้ได้จริงแล้วกัน”



TBC

ออฟไลน์ sweetsky

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 150
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +29/-0
บทที่ 15 Rewrite

หลังจากลิสรายการที่ต้องทำเป็นธรรมก็คิดว่าเขาควรทำเรื่องบ้านเป็นเรื่องแรกเช้าวันใหม่เขาจึงตั้งใจติดต่อคนที่ถือกรรมสิทธิ์บ้านหลังนี้และสิ่งเดียวที่จะเป็นหนทางให้เขาติดต่อได้ก็คือเบอร์โทรที่ถูกติดเอาไว้หน้าบ้าน
เป็นธรรมออกไปที่หน้าบ้านเพื่อไปหาเบอร์โทรเขาก็ได้ยินเสียงคนกำลังโวยวายกันอยู่ที่หน้าประตูรั้วจ้องมองดีๆ ก็คือป้าแม่บ้านที่กำลังยืนเถียงกับผู้ชายที่ยืนถือแผ่นป้ายอะไรบางอย่างอยู่เขาจึงรีบวิ่งออกมาที่รั้วบ้าน

“เกิดอะไรขึ้นครับ?”

“คุณ!! ไม่มีอะไรหรอกค่ะคุณเข้าไปในบ้านเถอะค่ะเดี๋ยวตรงนี้ป้าจัดการเอง”

“มีอะไรรึเปล่าครับ?”

ในเมื่อถามป้าแม่บ้านแล้วไม่ได้คำตอบเป็นธรรมจึงเปลี่ยนเป้าหมายไปถามหารายละเอียดกับชายอีกคนแทน และก็ดูเหมือนว่าต่อให้เขาไม่เอ่ยปากถามคนนั้นก็พร้อมที่จะบอกอยู่แล้ว

“ผมเจอคุณก็ดีเลยจะได้แจ้งทีเดียวอย่าให้คนของคุณมาคอยแกะป้ายพวกนี้สิพวกผมต้องมาเสียเวลาติดใหม่”

“คุณทำงานให้กับคนที่เป็นเจ้าของป้ายนี้เหรอครับ?”

“ก็ใช่นะสิ แล้วพวกคุณก็ขยันแกะกันเหลือเกิน”

“งั้นผมขอติดต่อเจ้านายของคุณโดยตรงเลยได้ไหมครับ?”

“เบอร์ของเขาก็ที่ป้ายนั้นคุณก็โทรไปสิ”

“ขอบคุณครับ”

“อย่าให้เขาติดนะคะคุณนายต้องออกมาคอยปลดออกทุกวันเลยค่ะและป้าเองก็ไม่อยากโดนท่านตำหนิอีกแล้วค่ะ”

“ได้ครับป้า”

   เมื่อเรื่องตรงหน้าเคลียร์เรียบร้อยเป็นธรรมจึงต่อสายถึงเจ้าของเบอร์ทันทีเสียงเรียกดังไม่กี่ครั้งทางนั้นก็รับสาย เสียงที่รับโทรศัพท์เป็นเสียงของผู้หญิงวัยกลางคน

“สวัสดีค่ะ”

“ครับสวัสดีครับผมชื่อเป็นธรรมไม่ทราบว่าผมกำลังพูดกับคุณ?”

“ดิฉันสมใจค่ะ”

“สวัสดีครับคุณสมใจผมโทรมาเรื่องบ้านเลขที่ 15 ในตัวหมู่บ้านฮันติ้งวันเลย์ครับไม่ทราบว่าคุณสะดวกคุยไหมครับ?”

“บ้านหลังนั้นสะดวกค่ะ”

“ผมอยากจะขอซื้อบ้านหลังนี้คืนครับ”

“เกี่ยวกับเรื่องการซื้อขายคุณธิดาเป็นคนโทรมาแล้วหลายครั้งค่ะ ยังไงดิฉันก็ต้องขอยืนยันคำเดิมนะคะว่าดิฉันไม่สามารถทำการขายบ้านหลังนี้ให้พวกคุณได้จริงๆ”

“ถ้าคุณเกิดมีเวลาผมอยากจะอธิบายเกี่ยวกับเรื่องนี้สักเล็กน้อยครับได้ไหมครับว่าทำไมมันถึงเป็นแบบนี้?”

“เกี่ยวกับเรื่องบ้านหลังนั้นดิฉันพอทราบมาบ้างค่ะแต่แม้ว่าดิฉันจะรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับที่เกิดขึ้นกับพวกคุณแล้วก็ตาม”

“ผมขอถามถึงเหตุผลได้ไหมครับว่าทำไมคุณถึงไม่ต้องการขายคืนให้กับทางเราหมายถึงคุณมีความคิดที่จะย้ายเข้ามาอยู่ในวันข้างหน้าหรือครับ?”

“เรื่องย้ายไปที่นั้นมันไม่ได้อยู่ในโครงการของดิฉันเลยค่ะดิฉันเองก็มีอายุพอสมควรจะให้ปรับตัวให้เข้ากับที่ใหม่ดิฉันว่ามันก็คงไม่ใช่เรื่องง่าย”

“ถ้าอย่างนั้น?”

“บ้านหลังนั้นมีคนเขาฝากฝังให้ดิฉันคอยดูแลแทนชั่วคราวค่ะ ดิฉันก็เลยต้องทำตามความต้องการของบุคคลนั้น”

“เดี๋ยวนะครับ งั้นก็หมายความว่าบ้านนี้ไม่ใช่บ้านของคุณแต่คุณเป็นนายหน้าดูแลแทนใช่ไหมครับ?”

“ถ้าจะให้พูดแบบเข้าใจง่ายๆ จะว่าแบบนั้นก็ได้ค่ะ”

“งั้นผมขอรบกวนช่องทางการติดต่อของเจ้าของบ้านหลังนี้โดยตรงได้ไหมครับ?”

“ถึงเวลาคุณก็จะสามารถติดต่อเขาได้เองค่ะ”

“แต่ผมค่อนข้างร้อนใจในเมื่อคุณสมใจทราบเรื่องทุกอย่างแล้วผมหวังว่าคุณคงพอเข้าใจว่าทำไมผมถึงต้องการคุยกับเจ้าของบ้านคนที่สามารถตัดสินใจเรื่องนี้ได้”

“เอาเป็นว่าดิฉันบอกได้แค่ว่าคุณยังคงอยู่บ้านหลังนั้นได้เสมอค่ะ”

“ถ้าไม่มีอะไรแล้วดิฉันขอวางสายนะคะ”

“เดี๋ยวครับในเมื่อคุณบอกว่าผมมีสิทธิ์อยู่ที่นี่ได้ถ้าผมยังไม่มีที่ไปผมคงใช้สิทธิ์นั้นเช่าจนกว่าผมจะสามารถติดต่อกับคนที่เป็นเจ้าของบ้านตัวจริงได้”

“ได้ค่ะ”

“งั้นเรื่องค่าเช่าและสัญญา?”

“อ่อพูดถึงเรื่องนี้ตอนนี้ทุกอย่างยังไม่ลงตัว ยังไงซะถ้าเรื่องเอกสารพร้อมเมื่อไหร่ ดิฉันจะให้คนติดต่อไปนะคะ”

“งั้นก็เท่ากับว่าผมมีสิทธิ์ได้เช่าบ้านหลังนี้แล้วใช่ไหมครับ?”

“ค่ะ”

“งั้นผมถือว่าผมได้รับการยืนยันที่จะเช่าอยู่ที่นี่แล้ว การคุยนี้ผมอัดเสียงเอาไว้นะครับ เพราะฉะนั้นผมขอให้คุณเลิกเอาป้ายให้เช่ามาติดไว้ได้ไหมครับ? คือผมเองก็ไม่เห็นข้อแตกต่างระหว่างที่จะติดหรือไม่ติดเพราะยังไงตอนนี้คุณก็มีผมเป็นผู้เช่าอยู่แล้ว”

“ได้ค่ะเรื่องนี้ดิฉันจะจัดการให้เรียบร้อย สวัสดีค่ะ”

   สายถูกตัดไปแล้วแต่เป็นธรรมรู้สึกเหมือนเขายังไม่ได้คำตอบที่เขาอยากได้เลยสักข้อ เช่น ทำไมถึงไม่สามารถขายคืนให้กับเขาได้ทั้งๆ ที่ก็ไม่คิดที่จะเข้ามาอยู่ ทั้งเจ้าของตัวจริงจะเป็นคนติดต่อมาเองถ้าคนนั้นต้องการนี่มันเรื่องบ้าอะไรกันที่สำคัญจะมาติดป้ายให้เช่าทำไมถ้าเขายังอยู่ที่นี่ต่อไปได้เรื่อยๆ เขาไม่เห็นจะเข้าใจเลยสักนิด

“นี่พวกมันยังมาติดอยู่อีกเหรอ?”

“แม่”

“คุนดีเลยมาช่วยแม่เอาลงเร็ว”

“เดี๋ยวครับแม่ ใจเย็นๆ เดี๋ยวคุนปลอดเองและต่อไปนี้เขาจะไม่มาติดแล้วครับแม่ไม่ต้องเป็นห่วงนะ”

“ลูกคุยกับเขาแล้วเหรอ? ผู้หญิงคนนั้นคุยยากมากแม่พยายามพูดคุยก็ไม่ได้อะไรกลับมาเลย”

“คุนขอเขาเช่าแล้วครับตอนนี้เราคงต้องเช่าไปก่อน”

“รู้ถึงไหนอายถึงนั้น ต้องมาเช่าบ้านที่เป็นของตัวเองอยู่”

“ไว้คุนจะคุยกับทางนั้นอีกทีนะครับ”

   เสร็จจากเรื่องบ้านเป็นธรรมก็บึ่งตรงมาที่โรงงานสภาพที่โรงงานไม่ได้เป็นไปตามที่ผมคิดในตอนแรกก่อนที่จะมาถึงเขาคิดว่าโรงงานคงจะเงียบแต่กลายเป็นว่าโรงงานเล็กๆ แห่งนี้กลับถูกเบียดไปด้วยเครื่องจักรที่มาใหม่และกลายเป็นว่าคนงานกำลังวุ่นอยู่กับการเร่งผลิตเสื้อให้กับสินค้าอะไรสักอย่าง

   ที่สำคัญตอนนี้คุณสุวรรณียังคงนั่งประจำอยู่ที่โต๊ะตัวเดิมทั้งที่วันก่อนเขาก็บอกความต้องการไปแล้วดังนั้นเขาจึงอยากคุยกับคุณสุวรรณีให้เรียบร้อยก่อนที่จะเรียกหัวหน้าฝ่ายการตลาดคนใหม่มาเข้าพบเกี่ยวกับเครื่องจักรและสิรค้าที่กำลังผลิตอยู่

“ผมเชิญด้านในด้วยครับ”

“ค่ะ”

จากหางตาเป็นธรรมเห็นว่าคุณสุวรรณีหันไปหยิบเอกสารงานเข้ามาด้วยทำไมนะการที่เขาบอกให้ออกมันทำให้คุณสุวรรณีไม่เข้าใจตรงไหนว่าเขาไม่ได้ต้องการให้ยุ่งกับงานอีกต่อไป    

“เชิญนั่งครับ”

“ขอบคุณค่ะ นี่คือเอกสารที่ผ่านมาทั้งหมดนับตั้งแต่เปลี่ยนมือกลับมาเป็นคุณเป็นธรรมบริหารเองทั้งหมดคนเดียว”

“ผม?”

“ค่ะนี่คือสัญญาตัวจริงที่คุณทรงจำแจ้งโอนหุ้นคืนให้กับทางคุณมีสัญญาการซื้อขายที่ถูกต้องแต่ขั้นตอนมันยังไม่สมบูรณ์เพราะคุณยังไม่ได้เซ็นรับว่าหุ้นตัวนี้คุณได้รับโอนดิฉันเลยเอาเข้ามาเสนอเป็นงานแรกค่ะ”

“พวกคุณกำลังวางแผนอะไรกันเองเท่าที่จำได้ผมไม่เคยขอซื้อหุ้นตัวนี้คืนแล้วอยู่ดีๆ หุ้นตัวนี้มันกลับมาอยู่ในมือผมแค่เพียงผมเซ็นต์ได้อย่างไร?”

“อันนี้ดิฉันก็ไม่ทราบค่ะดิฉันแค่ได้รับเอกสารการโอนถ่ายหุ้นมาสู่คุณก็เพียงเท่านั้นก็แค่เซ็นแล้วทุกอย่างก็จะกลับมาสู่มือคุณเหมือนเดิมอันนั้นคือที่ดิฉันรู้”

“พวกคุณต้องการอะไร?”

เป็นธรรมปัดสัญญาหุ้นที่คุณสุวรรณีเน้นหนักหนาว่าเป็นของจริงออกจากตรงหน้าจากเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นเขาจะยังเชื่อได้อีกเหรอว่ากระดาษใบนี้ไม่ได้มีอะไรอยู่เบื้องหลังจะเป็นไปได้ยังไงที่พี่ดาร์กจะยอมเอาหุ้นโรงงานนี้มาคืนให้เขาฟรีๆ

“ดิฉันต้องการอะไร? ดิฉันแค่ต้องการทำงานให้เสร็จค่ะ”

“คุณก็รู้ดีว่าผมหมายถึงอะไรอีกอย่างถ้าผมจำไม่ผิดผมเคยบอกคุณไปแล้วถึงเจตจำนงว่าผมต้องการให้คุณออก”

“คุณคงต้องการรู้เรื่องนี้จริงๆ น่ะสิคะ? ถ้าคุณไม่รู้คุณคงไม่สามารถก้าวผ่านแล้วเริ่มต้นอะไรใหม่ๆได้เลยใช่ไหมคะ?”

“ครับ ผมยอมรับว่าเป็นอย่างนั้นผมไม่สามารถที่จะก้าวผ่านไปได้ถ้าผมยังไม่รู้ว่าคุณต้องการอะไรจากผมกันแน่”

“ได้ค่ะ งั้นเรามาคุยถึงเรื่องนี้กัน”

“ผมไม่มีอะไรที่จะต้องคุยเพราะความต้องการเดียวที่ผมมีก็คือการที่ต้องการให้คุณออกจากตำแหน่งของเลขา เพราะฉะนั้นตอนนี้คุณมีทางเลือกเพียงแค่จะลาออกเองเพื่อรักษาชื่อเสียงและไปทำงานที่อื่นต่อหรือจะให้ผมไล่ออก?”

“งั้นถ้าดิฉันยืนกรานว่าจะไม่ออกคุณเป็นธรรมจะยอมไล่ออกและจ่ายเงินค่าชดเชยให้ดิฉันเหรอคะ?”

“ทำไมผมต้องจ่ายเงินชดเชยให้กับคนที่ร่วมกันโกงแบบคุณ”

“งั้นก่อนที่ดิฉันจะพูดอะไร หรือออกไปตามที่คุณต้องการ คุณเป็นธรรมต้องการรู้เรื่องอะไรไหมคะ?”

“ก็เรื่องที่ว่าทำไมคุณยังถึงอยู่ที่นี่ถ้าตามความเข้าใจของผมทุกคนที่เกี่ยวข้องต่างออกไปหมดแล้วและผมก็ยังยืนยันคำเดิมว่าผมขอไล่คุณออก”

“ดิฉันต้องการอยู่เพื่อที่จะช่วยคุณและดิฉันก็ต้องการที่จะไถ่โทษค่ะ”

“ไถ่โทษ? คุณกล้าพูดมันได้ยังไงทำไมคุณถึงคิดว่าคนอย่างผมต้องให้อภัยคุณ คุณคนที่มาช่วยกันทำลายโรงงานของผมคุณไม่กลัวว่าผมจะจับคุณส่งตำรวจ?”

“คุณมีหลักฐานรึคะ? ถ้าให้ดิฉันเดาคุณทรงจำคงทำทุกอย่างเอาไว้เรียบร้อยจนไม่มีหลักฐานที่เหลือทิ้งไว้แต่ที่คุณรู้ว่ามีใครบ้างที่ร่วมด้วยก็เป็นเพราะคนพวกนั้นลาออกทันทีที่เกิดเรื่องเลยทำให้คุณจับสังเกตได้ดิฉันคิดถูกใช่ไหมคะ?”

“…”

“เอาเป็นว่าดิฉันคงบอกอะไรคุณไม่ได้มากกว่านี้แต่ที่บอกได้อีกอย่างก็คือดิฉันอยู่ที่นี่ด้วยความเต็มใจของดิฉันเองไม่ใช่อยู่เบื้องหลังหรือคอยจับตาเพื่อให้ทำร้ายคุณอีกอย่างที่คุณคิดแน่นอน”

“แต่”

“แต่ถ้าคุณไม่เชื่อใจดิฉันดิฉันว่ามันก็เป็นหน้าที่ของคุณที่จะต้องคอยตรวจดูเอกสารให้ดีด้วยตัวของคุณเองแล้วคุณก็จะรู้ว่าสิ่งที่ดิฉันเสนอมันเป็นของจริงหรือของปลอม อีกอย่างคุณมั่นใจจริงๆ เหรอคะว่าคุณสามารถดูทั้งหมดได้คนเดียวและต่อให้คุณจ้างคนใหม่เขาคนนั้นก็อาจจะต้องมาเรียนรู้ระบบอีกคุณโอเคที่จะคอยสอนงานคนใหม่เหรอคะ? ตอนนี้ดิฉันว่ามันเป็นช่วงเวลาสำหรับการรีบฟื้นฟูจริงไหมคะ?”

   เป็นธรรมยอมรับว่าสิ่งที่คุณสุวรรณีพูดมาถูกต้องทุกอย่างโรงงานอยู่ในช่วงที่ต้องฟื้นกิจการใหม่ทั้งหมดและถ้าเขาจ้างคนที่ไม่เคยทำงานกับเรามาก่อนเพื่อแทนที่ในตำแหน่งของคุณสุวรรณีก็เท่ากับเขาทำงานคนเดียวอยู่ดี

“ก็ถ้าเกิดต่อจากนี้ดิฉันทำให้คุณไว้ใจดิฉันไม่ได้ในตอนนั้นคุณจะไล่ดิฉันออกก็ไม่สายค่ะ”

   เป็นธรรมไม่รู้ว่าสิ่งที่คุณสุวรรณีพูดออกมานั้นจะเชื่อได้มากแค่ไหนจริงเหรอที่พี่ดาร์กไม่ได้อยู่เบื้องหลังแต่เขาก็ไม่มีทางเลือกที่มากกว่านี้เขาคงทำได้แค่ยอมรับและระวังตัวให้มากขึ้นแล้วถ้าโรงงานอยู่ตัวเมือไหร่เขาจะให้คุณสุวรรณีออกตอนนั้นก็ไม่สาย

“ตกลงครับ”

เคาะๆๆ เสียงเคาะประตูดังขึ้นทำให้เป็นธรรมละสายตาจากเอกสารตรงหน้า

“เข้ามาครับ”

“สวัสดีค่ะ ดิฉันเป็นหัวหน้าแผนกการขายชั่วคราวค่ะ เห็นมีคนไปตามบอกว่าคุณเป็นธรรมอยากพบ”

“ครับ เชิญนั่งครับ ผมอยากได้…”

เกาะๆๆ เสียงเคาะประตูดังซ้อนขึ้นมาอีกครั้งแปลกใจนิดหน่อยที่คุณสุวรรณีให้คนเข้ามาเพิ่มทั้งที่น่าจะรู้ว่าเขากำลังคุยงานอยู่

“นี่ค่ะกาแฟที่สั่งแล้วก็พอดีมีโทรศัพท์ด่วนเข้ามาค่ะเป็นคนที่คุณเป็นธรรมบอกว่ารออยู่ตอนนี้รออยู่ในสายแล้วค่ะ”

   ดูท่าแล้วคุณสุวรรณีคงมีเรื่องสำคัญจริงๆ ที่อยากคุยกับเขาถึงขนาดยอมไม่ยกกาแฟที่เขาไม่ได้สั่งและเขาก็ไม่ได้รอโทรศัพท์จากใครเขาเลยต้องไหลตามน้ำและดูว่าอะไรที่เป็นเหตุผล

“งั้นเดี๋ยวยังไงผมจะขอเรียกคุณพบอีกทีนะครับ”

“ค่ะ”

คล้อยหลังของพนักงานผ่านการตลาดออกไปคุณสุวรรณีก็เดินตามเพื่อไปปิดประตูห้องแล้วมองมาที่ผมด้วยสายตาที่เป็นห่วง?

“ดิฉันว่าถ้าคุณยังไม่พร้อมจะทำงาน”

“คุณมีอะไรก็พูดมาเลยดีกว่าครับไม่ต้องอ้อมไปมา อย่ามาเสียเวลาการทำงานของผม”

“คุณจะเริ่มงานโดยการที่คุณจะไปถามข้อมูลจากพนักงานเหรอคะ?”

“แล้วมันจะผิดตรงไหน?”

“ก็ถ้าดิฉันเดาไม่ผิดคุณกำลังจะถามเรื่องทำไมเราถึงมียอดเข้ามาให้ทำงานใช่ไหมละ?”

“แล้ว?”

“แล้วคุณคิดว่าการที่คุณจะไปถามแบบนั้นต่อหน้าลูกน้องว่าเรากำลังทำงานให้กับใครมันเป็นเรื่องที่ดีหรือคะที่เจ้านายอย่างคุณไปแสดงตัวว่าไม่รู้อะไรเลย? คุณไม่ได้เรียนรู้อะไรจากคุณทรงจำมาบ้างเลยหรือคะ? ในช่วงเวลาตลอดการทำงานที่ผ่านมา”

“หยุดนะคุณสุวรรณี!!!”

“ทำไมคะ? คุณทนฟังเรื่องพวกนี้ไม่ได้หรืออย่างไรคะ?”

“ผมรู้ว่าผมกำลังทำอะไรอยู่ผมมีวิธีของผมถึงผมจะดูโง่ที่ยอมให้พวกคุณหลอกได้ก็ไม่ได้หมายความว่าผมจะโง่ไปซะทุกเรื่องแล้วคุณละรู้ตัวไหมว่ากำลังทำอะไรอยู่ที่พูดมาทั้งหมด? ผมยังคงเป็นเจ้านายคุณเผื่อคุณจะลืม”

“ใช่ค่ะ คุณเป็นเจ้านายเจ้านายที่กำลังจะทำอะไรพลาดดิฉันก็เลยต้องห้ามดิฉันไม่อยากให้มันพลาดอีกครั้ง”

“คุณอย่ามาก้ายก้าวแล้วออกจากห้องไปซะและเรื่องที่จะมาช่วยผมดูงานก็ไม่ต้องแล้วผมไม่ต้องการออกไป!!”

“ก็ถ้าตาดาร์คเขาไม่ห่วงคุณและฉันเองก็ไม่ได้รู้สึกผิดที่เป็นส่วนนึงในวันนี้ตอนนี้ฉันก็ไม่มายืนอยู่ตรงนี้หรอกเลิกไล่ผู้ใหญ่อย่างฉันอย่างกับหมูกับหมาได้แล้ว!!”

“ห่วงคุณพูดออกมาได้ยังไงว่าเขาห่วงผมคุณพูดออกมาได้ยังไงเขาทำกับผมแบบนี้เขาถึงขนาดหลอกให้ผมเดินทางไปเกาหลีและกลับมาเจอกับสิ่งเหล่านี้คุณยังกล้าใช้คำนี้กับผมอีกเหรอแล้วถ้าคุณจะอยู่เพราะใครก็ตามที่ห่วงผมหรือคุณจะรู้สึกผิดมากแค่
ไหนก็ไม่จำเป็นผมไม่ต้องการผมไม่ต้องการมันอีกแล้ว ออกไป!!!”

   เป็นธรรมลุกขึ้นยืนมือเกาะขอบโต๊ะเอาไว้แน่นหอบหายใจหนักเพราะข้างในมันรู้สึกอึดอัดไปหมด คำพูดเพียงไม่กี่คำมันสามารถทำให้ความเข็มแข็งที่พยายามฉาบเอาไว้พังลงมาได้ทันทีเป็นธรรมใช้เวลาสักพักเพื่อปรับอารมณ์แล้วเอ่ยปากพูดอีกครั้งและครั้งนี้มันจะเต็มไปด้วยเหตุผลและไม่ใช้อารมณ์

“ผมไม่คิดว่าผมจะสามารถทำงานกับคุณได้จริงๆ ครับงานมันไม่มีทางคืบหน้าเพราะผมไม่มั่นใจในตัวคุณจะเป็นไปได้ยังไงที่เจ้านายไม่ไหวใจในตัวเลขาคนที่ต้องใกล้ชิดกับผมมากที่สุด ใช่ไหมครับ?”

“ดิฉัน”

“เพราะฉะนั้นไม่ว่าคุณจะอยู่ด้วยเจตนาอะไรก็ตามผมคิดว่าผมคงต้องขอให้คุณออกคุณช่วยยื่นใบลาออกด้วยครับผมจะได้เซ็นอณุมัตให้ผมคิดว่ามันคงเป็นทางออกเดียวจริงๆที่ผมจะสามารถทำงานต่อไปได้”

“ถ้าสิ่งนี้มันจะให้คุณสบายใจมากกว่า ดิฉันจะไปเขียนใบขอลาออกค่ะ”

“ขอบคุณครับ คุณสุวรรณีครับก่อนคุณจะไปผมขอถามอะไรสักอย่างได้ไหมครับ?”

“คะ?”

“เมื่อกี้คุณเรียกพี่ดาร์กว่า ตาดาร์ก คุณเป็นญาติกับเขา?”

“เรารู้จักกันเหมือนญาติค่ะ”

   ภายในช่วงบ่ายวันนั้นคุณสุวรรณีก็ยื่นใบลาออกและเขาก็เซ็นให้ทีผลบังคับใช้ได้ทันทีเป็นธรรมผมเรียกหัวหน้าพนักงานผ่านขายเข้ามาอีกครั้งและขอดูยอดทั้งหมดที่มีรายการสั่งเข้ามาน่าแปลกที่หลายรายการที่เราทำอยู่นี้ถูกเขียนว่า “โปรโมชั่น” และไม่มีงานยอดไหนเลยที่มีเงินมัดจำโอนเข้ามาเหมือนเป็นการที่เรากำลังทำให้แก่ผู้สั่งเข้ามาแบบฟรีๆ และเท่าที่คุยกับฝ่ายขายเหมือนทางนั้นก็ไม่ได้เป็นคนออกไปหาลูกค้าใหม่ที่ได้งานมาเพราะทางนั้นติดต่อมาให้เรา

ข้อสงสัยหลายอย่างเกิดขึ้นกับใบสั่งสินค้าที่ทางฝ่ายการตลาดเอามาให้ดูแต่พอได้ดูคู่กับแฟ้มเอกสารที่คุณสุวรรณีได้เตรียมไว้กับแฟ้มของฝ่ายบัญชีในนั้นมีอยู่เอกสารอยู่ชุดนึงที่มีการระบุเอาไว้ว่า ‘ยอดสั่งสินค้า’ และผู้ที่เซ็นอณุมัตให้มีการดำเนินงานทั้งหมดก็คือแม่ของเขาเอง

การนั่งดูเอกสารทำให้เขาได้คำตอบแล้วว่าเงินล้านที่แม่ไปกู้เงินนอกระบบมาแม่เอามาใช้ทำอะไรในนั้นมีใบเสร็จแนบระบุเอาไว้ว่าเป็นค่าเครื่องจักรใหม่บางเครื่องที่เพิ่งถูกซื้อเข้ามาค่าอุปการณ์ที่ต้องใช้ผลิตและก็ค่ามาร์เก็ตติ้งที่ถูกใช้ไปกับทั้งสองบริษัทที่ตอนนี้กำลังมีออเดอร์กับทางเราซึ่งจำนวนเงินที่ถูกระบุเอาไว้ก็มีค่าหลายหมื่นบาทเช่นกัน 

ยิ่งดูผมก็ยิ่งรู้สึกเหนื่อยมีแต่เอกสารมากมายที่เหมือนว่ายิ่งดูก็ยิ่งเยอะขึ้นไม่ได้ลดน้อยลงเขาจึงหยุดพักสายตาเอาหน้าแนบราบลงไปกับโต๊ะและหลับตาลง

“นอนแบบนี้อีกแล้ว เดี๋ยวก็แขนชาเป็นคนพิการข้างเดียวอีก”

“พี่ดาร์กปล่อยให้คุนนอนเถอะคุนไม่ไหวแล้ว อย่าลากคุน ปล่อย”

“แล้วคืนนี้อย่ามาร้องว่าคอเคล็ดก็แล้วกัน พี่ไม่นวดให้นะ”

“กล้าใจร้ายกับคุนเหรอ?”



“ครับแม่?”

   เสียงโทรศัพท์จากแม่ดังตัดภาพในหัวของเขาให้กลับมาสู่ปัจจุบันเขาถอนหายใจปรับเสียงไม่ให้ดูเหนื่อยจนเกินไปก่อนที่จะรับโทรศัพท์

“อยู่ไหนลูก?”

“ที่ทำงานครับ”

“จะกลับมากินข้าวที่บ้านไหม?”

เป็นธรรมยกมือขึ้นมาเพื่อดูเวลาที่ข้อมือที่ตอนนี้บ่งบอกว่ามันคือเวลาสองทุ่มตรงไม่น่าเชื่อว่าเขาจะนั่งอยู่ในห้องนี้ตั้งแต่เช้ามิน่าทำไมเขาถึงจึงรู้สึกล้าไปหมด

“กลับครับแต่แม่กินไปก่อนได้เลยครับ ไม่ต้องรอผมเดี๋ยวจะยิ่งดึก”

“จ๊ะ”

   ช่วงสองทุ่มเป็นช่วงที่รถไม่ได้ติดมากเป็นธรรมเลยกลับถึงบ้านในช่วงประมาณสามทุ่มกว่าเพียงเท่านั้นตอนเขามาถึงบ้านแม่ยังไม่ได้ขึ้นนอนเขาเลยถือโอกาสนี้คุยกับแม่เรื่องงาน

“จะกินข้าวเลยหรือจะอาบน้ำก่อนแม่จะได้บอกให้คนมาอุ่นข้าวให้”

“ไม่เป็นไรครับผมกินเลยดีกว่าแล้วไม่ต้องเรียกใครหรอกแล้วก็แม่ครับผมขอคุยเรื่องงานด้วยหน่อยได้ไหมครับ?”

“ว่าไงจ๊ะ?”

“วันนี้ผมเข้าไปดูงานผมเห็นพวกนี้มันมีออเดอร์ที่ได้มาจากทางแม่โรงงานเราเริ่มผลิตงานแล้วแต่ที่ผมสงสัยก็คือทำไมเราถึงเริ่มผลิตทั้งที่ยังไม่มีเงินมัดจำมีแต่สัญญาการผลิตเซ็นไว้เราต้องทำล็อตแรกออกไปก่อนแล้วค่อยทำเรื่องเบิกเหรอครับ? คือผมไม่เข้าใจ”

“คุนเห็นใบเสร็จที่แม่เขียนกำกับว่าเป็นค่ามาเก็ทติ้งไหม?”

“ครับ”

“แม่เอาเงินไปให้เขาเพื่อขอร้องให้เขาเอาเสื้อมาให้เราทำ”

“แต่ทำไมแม่ไปกู้เงินนอกระบบมาทำไมแม่ไม่เอาโรงงานเราเข้าไปค้ำกับธนาคารแทนละครับ เพราะเท่าที่ผมดูเอกสารโรงงานนี้พี่ เอ่อ เขาคนนั้นก็ไม่ได้ทำอะไรกับมัน”

“แต่ในใบถือกรรมสิทธิ์หุ้น ใครเป็นคนถือมากที่สุด? คุนยกหุ้นให้เขาไปโดยที่ไม่ได้บอกแม่”

“ผม…”

“ไม่เป็นไรเรื่องมันผ่านไปแล้วแม่จะบอกต่อให้ทำได้มูลค่าของโรงงานเราอาจจะไม่ถึงล้านแล้วแม่ก็มานั่งรอไม่ได้ ในช่วงนั้นแม่ได้ยินข่าวมาพอดีว่าทางนั้นต้องการผลิตเสื้อออกเป็นของแจกให้ลูกค้าแม่เลยต้องรีบเข้าไปเจรจากับเขา”

“แม่ แต่ถ้าทำแบบนั้นเราก็จะมีแต่จ่ายออก”

“แม่รู้แต่คุนฟังแม่นะถ้าเราไม่ทำแบบนี้ใครที่ไหนจะยอมมาทำงานกับเราแม่ไปรู้มาว่าทางเราเคยทำเสื้อลูกค้าหลุดไปวางขายไม่ใช่เหรอ?”

“แต่แม่ก็น่าจะให้ผมลองก่อน”

“แม่ก็ทำได้เท่าที่แม่คิดว่ามันเป็นทางออกที่ดีที่สุดแม่ว่าถ้ารอบนี้เราสามารถทำสินค้าออกมาได้ดีของไม่มีปัญหาเรื่องเก่าไม่เกิดขึ้นเราก็น่าจะซื้อความเชื่อใจจากลูกค้าเก่าๆ ของเรากลับมาได้บ้าง”

“งั้นเงินที่เราใช้ไปมันไม่ถึงล้านเราเอาไปโป๊ะคืนหนี้เขาก่อนดีไหมครับแม่? หนี้นอกระบบผมว่าถ้าเรารีบเคลียร์ได้เท่าไหร่ยิ่งดี”

“แต่เรายังไม่ได้จ่ายค่าพนักงานเดือนนี้เลยเอาไว้พอเราเริ่มหาลูกค้าได้และเริ่มอยู่ตัวเราค่อยเอาเงินไปโป๊ะหนี้ดีกว่าตอนนี้เราก็ต้องเอามาหมุนไปก่อน”

“ครับ”

“กินข้าวให้หมดแล้วขึ้นไปพักได้แล้วลูกเหนื่อยมาทั้งวันแล้ว”

“ครับ”

   หลังจากกินข้าวเสร็จเป็นธรรมเดินขึ้นมาที่ห้องนอนเพื่อรวบรวมเอารายชื่อลูกค้าที่เคยร่วมงานกับเราหรือที่เราเคยปฎิเสธงานไปในช่วงที่เรายุ่งออกมาลิสเอาไว้เขาจะมานั่งรอให้งานเข้ามาหาไม่ได้สภาพของโรงงานคือติดลบไม่ใช่เริ่มจากศูนย์ เมื่อเห็นว่าเวลาล่วงเลยเข้าสู่วันใหม่ได้มากกว่าสามชั่วโมงเขาจึงวางมือจากงานและเตรียมพร้อมสำหรับวันพรุ่งนี้
เพล้ง

“เฮ้ย โธ่เอ้ย ตกจนได้”

   กรอบรูปที่อยู่หัวเตียงถูกปัดตกลงที่พื้นในขณะที่เขาเอื้อมมือไปปิดไฟที่หัวนอนเป็นธรรมพยายามคว้ามันเอาไว้แล้วแต่ไม่ทันรูปที่อยู่ในนั้นเป็นรูปที่เขาหันหน้าไปยิ้มให้กับพี่ดาร์กส่วนพี่ดาร์กมองยิ้มตรงมาที่กล้องเป็นรูปที่พี่ดาร์กเลือกเอาไว้ให้เขาวางที่หัวเตียงและมันก็เป็นรูปเดียวกันกับที่อยู่ที่หัวเตียงของพี่ดาร์ก

“พี่นี่ก็หาเรื่องให้คุนเหนื่อยได้ตลอดเลยเนอะ ให้คุนได้พักบ้างได้ไหม? แค่นี้คุนก็จะไม่ไหวแล้วนะพี่”

   เป็นธรรมพึมพำกับรูปตอนที่ก้มลงมาเก็บเศษกระจกไปทิ้งที่ถังขยะให้เรียบร้อยเขารู้ว่าถ้าใครต่อใครรู้ว่าเขายังคงเก็บรูปของคนนี้เอาไว้ทั้งที่เขาที่ทำกับครอบครัวของเขาขนาดนี้คงรู้สึกสมเพชและสงสารในความอ่อนแอของเขาแต่รูปคู่ใบนี้มันเป็นสิ่งที่ไม่ว่าเขาจะพยายามฉีกหรือทิ้งสักเท่าไหร่เขาก็ทำมันไม่ลงจริงๆ

TBC

ออฟไลน์ sweetsky

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 150
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +29/-0
บทที่ 16 Rewrite

“ไว้เดี๋ยวถ้าเสนอเรื่องผ่านยังไงดิฉันจะติดต่อคุณเป็นธรรมไปนะคะ”

“ตอนนี้งานที่มีเราให้เจ้าอื่นไปดูแล้วครับ ต้องขอโทษด้วย”

“ยังไงจะติดต่อกลับไปค่ะ”

   เป็นธรรมคลายเนคไทออกหลังจากที่เดินกลับมาที่รถที่นี่ก็เหมือนที่อื่นที่เขาไปติดต่อมาทุกที่บอกว่าจะติดต่อกลับมาแต่ในที่สุดก็ไม่มีใครติอต่อกลับมาสักที

“เฮ้อ”

   เป็นธรรมหยิบสมุดนัดออกมาดูวันนี้เขาไม่มีนัดที่ไหนแล้วเขาตัดสินใจไปเดินตลาดซื้อของกินก่อนที่จะกลับบ้านไม่แวะกลับเข้าไปที่โรงงานอีก

ตลาดแถวบ้านของเป็นธรรมเป็นตลาดเปิดท้ายที่จะมีคนมาขายของหลากหลายอย่างไม่ว่าจะเป็นของกินหรือเสื้อผ้าแต่วันนี้ที่เขาสนใจมากที่สุดในตลาดแห่งนี้ก็คือร้านที่มีเหมือนน้องนักศึกษาเป็นคนมานั่งขายของ

“ดูได้เลยค่ะ เสื้อกับกระเป๋าลายพวกนี้พวกหนูเป็นคนออกแบบเองเลยค่ะ”

“ออกแบบเองแล้วสกรีนเองด้วยหรือเปล่าครับ?”

“เปล่าค่ะ พวกหนูไปจ้างตามร้านสกรีนค่ะ”

“เหรอครับ?”

   ไม่น่าเชื่อว่าแค่การมาเดินตลาดจะกลายเป็นว่าเป็นธรรมได้เปิดโลกรู้เกี่ยวกับตลาดใหม่ๆ ที่เขาไม่เคยมองมันมาก่อนเขาเพิ่งรู้ว่าเดี๋ยวนี้ว่ามีเด็กหลายคนที่ทำพวกเสื้อผ้ากระเป๋าเป็นแบรนด์ของตัวเองมีทั้งคนที่ทำขายขึ้นห้างขายตามไอจีตามเฟสหรือตามตลาดเปิดท้ายแบบพวกน้องกลุ่มนี้ 

เป็นธรรมยืนคุยดับน้องกลุ่มนี้จนรู้ว่าปัญหาหลังในการสั่งทำเสื้อผ้าก็คือจำนวนเพราะถ้าสั่งจำนวนน้อยราคาก็จะสูงขึ้นแต่ถ้าจะให้สั่งทำทีละเยอะๆ ก็เหมือนกับเอาเงินหมุนมาทิ้งกับสไตล์เดียวซึ่งพวกน้องก็ไม่อยากทำเขาเลยถือโอกาสให้นามบัตรของตัวเองเอาไว้ให้เป็นอีกหนึ่งทางเลือกของพวกน้อง

“เอาแต่นั่งหน้าคอมอยู่ตั้งนานแล้วมีอะไรรึเปล่าลูก?”

   ตั้งแต่กลับมาถึงบ้านเขาก็เอาแต่นั่งอยู่หน้าคอมไล่เปิดดูไอจีตามเฟสตามที่พวกน้องๆ บอกวิธีหาแล้วถ้าเกิดเห็นใครน่าจะพอเป็นลูกค้าได้เขาก็จะส่งข้อความขอติดต่อเข้าไปทันทีพอแม่ถามเขาก็เลยอธิบายให้แม่ฟัง

“มันจะดีเหรอลูก? มันจะได้ทีละน้อยๆ ละสิ งานมันจะเยอะแต่ไม่คุ้มรึเปล่า?”

“ก็ยังไม่รู้เลยครับแม่ แต่ผมว่าจะลองดูสักตั้ง”

“มีอะไรให้แม่ช่วยก็บอกนะ”

“ขอบคุณครับ”

“เอ่อคุนเดี๋ยวอีกสองอาทิตย์ข้างหน้าจะมีงานเลี้ยงเป็นงานแต่งของลูกสาวเพื่อนของแม่คนที่เขาเป็นเจ้าของห้าง คุนเตรียมตัวไปกับแม่ด้วยนะ”

“แม่ก็รู้ว่าผมไม่ชอบออกงาน ผมเอาเวลาไปหาลูกค้าดีกว่า”

“ก็นี่ไงแม่ให้ไปก็ให้ไปหาคอนเน็คชั่นนี่แหละแม่ก็แก่แล้วจะให้ไปไล่แจกนามบัตรแม่ก็ว่าจะไม่เหมาะถ้าเป็นคุนแม่ว่าจะเหมาะกว่า”

“ครับ”

   แม้ว่าจะไม่ชอบออกงานแค่ไหนแต่พอได้ยินถึงเหตุผลของแม่เขาก็ปฎิเสธไม่ได้ว่ามันเป็นเรื่องจำเป็นสมัยนี้การมีคนรู้จักมันช่วยให้งานไปต่อได้ง่ายขึ้นกว่าการที่ต้องเดินเข้าไปติดต่องานโดยไม่มีใครรู้จักเราเลยเขาจึงตกลงใจที่จะไปร่วมงาน


“ได้ครับ วันนี้สะดวกครับเข้ามาเจอกันที่โรงงานได้เลยครับ ครับๆ ขอบคุณครับ”

   เมื่อคืนช่วงที่เป็นธรรมหลับไปแล้วปรากฏว่ามีเจ้าของแบรนด์เสื้อวัยรุ่นชื่อดังคนนึงส่งข้อมูลตอบกลับมาว่าสนใจ พอเห็นข้อความในตอนเช้าเขาจึงรีบติดต่อกลับไปและพอได้คุยกันถึงเงื่อนไขก็ดูว่าทางเขาแม้จะได้กำไรไม่มากในการร่วมงานครั้งนี้แต่ก็ไม่ได้เสียเปรียบเขาถือว่ามันเป็นหนึ่งในโอกาสที่ควรจะคว้าเอาไว้

“อะไรลูก?”

“อ่อ มีคนติดต่อมาว่าจะต้องลงร่วมงานกับเราแต่เขาอยากมีดูโรงงานก่อนครับ”

“ดีจัง งั้นแม่ขออวยพรให้ลูกโชคดีนะ”

“ขอบคุณครับ”

   คำอวยพรของแม่น่าจะครอบคลุมแค่เรื่องงานแต่อาจไม่ได้ครอบคลุมถึงเรื่องอื่นเพราะทันทีที่เขาขับรถออกจากประตูบ้านเขาก็เจอเข้ากับมอเตอร์ไซค์ที่มาจอดรอตรงประตูหน้าบ้านเขาพยายามบีบแตรให้มอเตอร์ไซค์เคลื่อนตัวแต่กลับกลายเป็นว่าคนที่ซ้อนท้ายเดินลงมาที่รถของเขาเคาะกระจกรถและส่งสัญญาณให้ลดกระจกลง

“ผมมาเก็บดอกเบี้ยเงินกู้ เมื่อวานก็ไม่ได้กลับไปวันนี้ไม่ได้อีกไม่ได้แล้วนะคุณ”

“ผมจะรู้ได้ไงว่าคุณเป็นคนมาจากที่นั้นจริง? ผมไม่เคยเห็นพวกคุณมาก่อน”

“งั้นก็ให้คนที่เป็นผู้หญิงที่ชื่อธิดาเขามาพูดกับพวกผมก็ได้ เขารู้จัก”

“ผมไม่ได้พกเงินสดติดตัวเยอะขนาดนั้นและพวกคุณมาแต่เช้าผมคงไม่มีให้ แบบนี้ได้ไหมไว้พรุ่งนี้คุณค่อยมาใหม่”

“นี่มันเป็นการจ่ายรายวันนะคุณเข้าใจอะไรผิดไปรึเปล่าถ้าคุณไม่รู้เรื่องพวกนี้พวกผมก็ยินดีจะบอกให้นะเห็นว่าพูดจาดี”

“ผมเข้าใจครับแต่ยังไม่มีจริงๆ เอาอย่างนี้พรุ่งนี้ผมสัญญาเลยว่าคุณจะได้ดอกเบี้ยครบของสามวันที่ผ่านมาอย่างแน่นอน”

“ผมมาเวลาเช้าตามเดิมนะ”

“ครับ”

   โชคดีที่คนนัดเขาค่อนข้างจะพอใจและสนใจในข้อเสนอเราจึงทำสัญญากันและเขาจะได้เริ่มผลิตงานให้ในคอลเลคชั่นต่อไป

“วันนี้ต้องขอบคุณมากจริงๆ นะครับที่มาและให้โอกาสให้พี่ได้ร่วมงานด้วย”

“โอ๊ยพี่เรื่องเล็กโรงงานพี่ก็ออกจะมาตรฐานได้แบบนี้ก็ดีงานหนูจะได้ไม่ต้องมานั่งลุ้นว่าจะเสร็จทันไหมอีกอย่างพอรู้ว่าพี่เองก็ชอบศิลปะเหมือนกันหนูยิ่งสบายใจเข้าไปใหญ่มันเหมือนได้พูดภาษาเดียวกัน”

   อีกเหตุผลที่เป็นธรรมยอมทำงานนี้โดยที่ไม่คิดกำไรเยอะไม่ใช่แค่เพราะว่าเขาต้องการงานแต่เพราะเขายินดีกับน้องที่ได้ทำในสิ่งที่น้องรักเพราะเขาเองก็เคยมีความสุขกับการทำงานกับสิ่งที่เขารักมาก่อนเขาจึงเข้าใจ     

“รบกวนเอาบัญชีเข้ามาให้ผมดูด้วยครับ”

“ได้ค่ะ”

   หลังจากที่น้องกลับไปเป็นธรรมก็เรียกเอกสารของเมื่อวานเข้ามาดูทันทีตั้งแต่คุณสุวรรณีออกไปเขาก็ไม่ได้จ้างใครมาแทนเขาเลยต้องตรวจทุกอย่างเองในแต่ละวัน

“มันมีเช็คที่เรายังเก็บไม่ได้อยู่อีกตั้งสามใบ ไม่ทราบว่าได้ลองติดตามไปหรือยัง?”

“ทางเราติดต่อไปแล้วค่ะ บางเจ้าก็ขอผ่อนผันว่าขอจ่ายเป็นสิ้นเดือนนี้แทน ส่วนบางเจ้าก็ขอไปจ่ายเดือนถัดไปค่ะ”

“แล้วทำไมคุณไม่แจ้งผม?”

“ก็เห็นคุณเป็นธรรมไม่ได้ถามถึงอีกอย่างคุณเป็นธรรมก็ไม่ค่อยได้เข้าบริษัทดิฉันก็เลยคิดว่าทางเราสามารถที่จะผ่อนผันได้ค่ะ”

“ครั้งหน้ามีอะไร ไม่ว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงเพียงแค่เล็กน้อยคุณก็ต้องแจ้งผมโดยตรงนะครับ”

“ขอโทษด้วยค่ะ”

“อย่าเป็นแบบนี้อีกแล้วก็พยายามติดต่อกลับอีกทีอย่าให้เขาเลื่อนออกไปไม่มีกำหนดอย่างน้อยก็ให้เขาผ่อนจ่ายมา”

“ค่ะ”


“โห งานพี่ตรงเวลาและเนี้ยบมาก หนูอย่างชอบ”

“ถ้าชอบก็อย่าลืมทำกับพี่ต่อละ แล้วจะให้ดีฝากบอกต่อเพื่อนๆ เราด้วย”

“แค่พี่สัญญาว่าพี่จะยอมลัดงานหนูให้ถ้าเกิดลูกค้าเยอะ หนูก็บอกต่อเพื่อนเอง”

“ได้เลยสำหรับเราไม่มีปัญหา”

   แล้วน้องก็ทำตามที่พูดจริงๆ เพราะหลังจากที่สินค้าล็อตนั้นของน้องวางจำหน่ายเป็นธรรมก็มีลูกค้าจากกลุ่มนี้มากขึ้นแต่ก็อย่างที่แม่เขาเคยพูดไว้เพราะกลุ่มคนเหล่านี้มีร้านประจำของเขาอยู่แล้วเมื่อเราไปเอาลูกค้าของเขามาเราเลยต้องยอมลดกำไรลงเพื่อให้พวกเขามาทำกับเราเงินที่ได้มามันเลยไม่เต็มเหม็ดเต็มหน่วยไม่เหมือนกับถ้าลูกค้าที่เป็นของเราตั้งแต่แรก

   เจ้าใหญ่ๆ ก็เริ่มกลับมาทำกับเราบ้างฉะนั้นเรื่องเงินหมุนเวียนมันไม่ใช่ปัญหาของเขาอีกต่อไปตอนนี้เขาเลยพยายามคิดที่จะใช้หนี้จะขายพวกเครื่องจักรเพื่อเอามากลบหนี้ก็ไม่สามารถทำแบบนั้นได้เพราะตอนนี้มันหลายเป็นเครื่อมือทำมาหากินจากตอนแรกที่คิดว่ามีมากเกินไปกลับกลายมันกำลังมีจำนวนที่พอดีกับความต้องการที่จะใช้เขาเลยตัดสินใจที่จะขายรถแทน

“แล้วเราจะใช้อะไรละลูก?”

“ก็พวกรถสาธารณะไม่ก็แท็กซี่ครับ”

“ไหนช่วงนี้คุนบอกว่าเรามีงานเข้ามาเยอะไง?”

“ก็เยอะครับแต่ผมไม่อยากมานั่งจ่ายดอกเบี้ยไปเรื่อยๆแบบนี้แล้วผมไม่อยากให้มันเพิ่มขึ้นไปเยอะกว่านี้”

   เมื่อเป็นธรรมรวบรวมเงินครบได้หนึ่งล้านบาทเขาก็โทรติดต่อไปที่เจ้าหนี้ให้มาเคลียร์แต่แล้วกลายเป็นว่าเงินที่เตรียมมามันไม่พอกับการใช้หนี้เมื่อช่วงแรกที่แม่ยืมมาแม่ไม่ได้มีการจ่ายดอกเบี้ยและทางนั้นก็โชว์หลักฐานมาให้ดูว่าเงินที่ครอบครัวเขาติดอยู่ในตอนนี้คือจำนวน 1,500,000 บาทเขาจะทำยังไงดีเพราะตอนนี้เขาไม่เหลืออะไรที่จะขายเอามาใช้หนี้ได้อีกแล้วและถ้าเราไม่จ่ายเก็บหนี้เอาไว้อีกมันกลับถูกบวกเพิ่มมาเรื่อยๆ เหมือนตอนนี้

“แต่ผมมีอยู่เพียงเท่านี้”

“นั้นมันปัญหาของคุณไม่ใช่ของผม ถ้ามีที่เหลือครบเมื่อไหร่ก็ติดต่อผมมาแล้วกัน”

“งั้นผมขอส่วนนี้คืนมาก่อน”

“อะไรกันคุณ เอามาแล้วจะเอาคืนคุณเล่นขายของหรือไง?”

   ในที่สุดสองคนนั้นก็ได้เช็คล้านไปส่วนเขายังนั่งเคว้งอยู่ที่เดิมโดยไม่รู้ว่าควรทำอะไรต่อและในตอนนั้นเองที่โทรศัพท์ของเขาก็ดังขึ้น

“ฮัลโหลพอล”

“หายไปนานเลย เป็นยังไงบ้าง?”

“เรา เรา”

“คุน?”

“เรามีปัญหา”

“เดี๋ยวไปหาอยู่ที่ไหน?”

“ไม่เป็นไรเดี๋ยวเราไปหาพอลเอง พอลอยู่ไหน?”

“ที่บริษัท”

   เป็นครั้งแรกที่เขายอมเล่าเรื่องเป็นหนี้นอกระบบให้กับใครได้รู้และก็เป็นไปดังคิดทันทีที่พอลรู้เรื่องพอลก็เสนอให้เอาเงินของเขาไปใช้หนี้ก่อนเพราะแบบนี้ไงเขาถึงไม่อยากบอกใครเพราะไม่อยากให้ใครเดือดร้อน

“ขอบใจนะแต่เราอยากหาทางออกอื่นก่อน”

“เช่นทางไหน?”

“เราไม่รู้ว่ามันพอจะมีทางออกไหมแต่ยังไม่อยากเดือนร้อนคนอื่นนะ”

   ไม่ใช่ว่าเขาหยิ่งที่มาถึงทางตันแล้วยังไม่รับความช่วยเหลือแต่มันเป็นกฏเหล็กของเขาว่าจะไม่ยืมเงินหรือให้เพื่อนยืมเพราะเขาเห็นมาหลายครั้งที่เพื่อนสนิทจะต้องมาผิดใจกันก็เพราะเรื่องของเงิน

“เรื่องพวกหนี้นอกระบบเราก็ไม่ค่อยรู้เรื่องมาก เอางี้เดี๋ยวเราเอาไปปรึกษากับทนายของที่บ้านให้”

“ขอบคุณมากนะพอล”

“มีอะไรก็ให้มาหางานเรื่องเงินถ้ามันเหนือบ่ากว่าแรงจริงๆ ยังไงก็ยังมีเรากับแจงนะ”

“ขอบใจมากนะ”

   เป็นธรรมออกจากบริษัทของพอลในช่วงบ่ายจากเรื่องที่เจอมาทั้งหมดมันทำให้เขาไม่เหลือแรงที่จะไปสู้ต่อที่โรงงานและไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงมาหยุดอยู่ที่หน้าโรงเรียนสอนศิลปะที่เคยเป็นของเขาแทน

“เหลือเชื่อ”

   เป็นธรรมยืนลูบป้ายชื่อโรงเรียนอยู่ทางด้านล่างของตึกด้วยใจที่เต้นแรงเพราะป้ายและทุกอย่างยังคงเหมือนเดิมไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงสีของป้ายตัวอักษรยังสิ่งที่เขาออกแบบเอาไว้เขากดลิฟท์ขึ้นไปที่ชั้นสามของตึกด้วยใจที่เต้นแรงและเขาก็ไม่กล้าแม้จะกระพริบตาเพราะกลัวเหลือเกินว่าสิ่งที่เห็นจะหายไปทุกอย่างบนชั้นนี้ยังเหมือนเดิมจำนวนห้องที่มีของที่ใช้ตกแต่งทุกอย่างยังคงเหมือนเดิมเพียงแค่คนที่อยู่ที่หน้าประชาสัมพันธ์เท่านั้นที่เปลี่ยนไป

“สวัสดีค่ะ สนใจลงเรียนเหรอคะ?”

“เอ่อ เปล่าครับ”

“งั้น มีอะไรให้ช่วยไหมคะ? อ้อ หรือว่ามาสมัครเป็นครูสอนใช่ไหมคะ?”

“ครับ”

   โดยที่ไม่ทันได้คิดเขาก็ตอบโกหกเธอออกไปทั้งที่รู้อยู่แล้วว่าเขาไม่มีทางได้เข้ามาสอนที่นี่อย่างแน่นอนเพราะไม่ได้จบมาทางด้านนี้แถมไม่มีพอร์ตงานที่สามารถเอามาโชว์ได้ที่โกหกออกไปก็คงแค่อยากอยู่ในโรงเรียนให้นานอีกหน่อยอย่างน้อยถ้ากรอกใบสมัครเมันก็คงทำให้ผมอยู่ที่นี่ได้นานขึ้นอีกนิดได้สูดบรรยากาศที่เขารักและเขาจะได้มีแรงกลับไปต่อสู้อีกครั้ง

   ในขณะที่เขากำลังกรอกใบสมัครเป็นธรรมถือโอกาสชวนประชาสัมพันธ์คุยเกี่ยวกับโรงเรียนนี้และพอเขาได้รู้เรื่องราวจากปากของเธอมันทำให้เขาอยากจะรู้จักกับเจ้าของที่นี่มากขึ้น

“แล้วนี่เปิดรับคุณครูสอนนานยังคะ?”

“อ้าวก็คุณมาสมัคร?”

“ผมเพิ่งเห็นใยสมัครไม่นานครับเลยลองถามดูอยากรู้ว่าคู่แข่งจะเยอะไหมนะครับ”

“ตำแหน่งครูศิลปะพื้นฐานว่างมาสักพักแล้วค่ะ”

“แล้วยังเหลือมาถึงผมไม่มีคนมาสมัครเลยเหรอครับ?”

   เธอเงียบไปไม่ตอบคำถามเขาเองก็อยากรู้มากไปจนลืมไปว่าเรื่องที่ผมเขาคุยมันเริ่มที่จะเป็นเรื่องข้อมูลภายในของโรงเรียนมากเกินไปเธออาจจะไม่สะดวกใจที่จะตอบ

“ขอโทษครับ ผมละลาบละล้วงไปหน่อยก็แค่อยากรู้คู่แข่งเท่านั้นเลยถามมากไปหน่อย”

“ไม่เป็นไรค่ะ ก็มีคนมาถามสมัครอยู่บ้างแต่ไม่เข้าตาเจ้านายเลยค่ะ”

“โหอย่างผมจะผ่านไหมครับเนี่ย? แล้วนี่เจ้านายคุณอยู่หรือเปล่าครับมาพูดถึงแบบนี้ผมกลัวว่าจะไม่ผ่านใบสมัครงานตั้งแต่ขั้นแรก”

“คุณนี่ดูเป็นคนขี้กังวลนะคะแต่ไม่ต้องห่วงหรอกค่ะไม่อยู่ค่ะอีกอย่างไม่รู้สิค่ะแต่ตั้งแต่ทำงานมาพวกเราก็ไม่เคยเจอเจ้านายดุเลยนะคะ”

“แสดงว่าใจดี?”

“ก็ถ้าได้งานคุณก็จะรู้เองค่ะ”

   เป็นธรรมนั่งอยู่ที่โรงเรียนต่ออีกสักพักก่อนที่จะเดินออกมาจากตึกจากที่เหนื่อยๆ มาเจอเรื่องที่ไม่คาดฝันแบบนี้เขารู้สึกว่าเขาเองพร้อมที่จะสู้กับเรื่องที่จะเกิดขึ้นในวันข้างหน้าแล้วละ

หลังจากที่เขากลับมาบ้านพอลโทรมาบอกว่าทนายของที่บ้านกำลังรวบรวมข้อมูลแล้วจะเอาอธิบายให้ฟังส่วนตัวเขาเองก็ควรเตรียมข้อมูลให้พร้อมและทุกอย่างก็น่าจะมีทางออกได้ด้วยดี

   นับตั้งแต่วันที่ไปกรอกใบสมัครเอาไว้ที่โรงเรียนสอนศิลปะเป็นธรรมก็เอาแต่ยุ่งเรื่องทำงานและเรื่องหนี้นอกระบบจึงไม่ได้นึกถึงมันอีกเลยจนในวันนี้วันที่เขาได้รับโทรศัพท์จากโรงเรียน

“ฮัลโหลสวัสดีครับ”

“สวัสดีค่ะดิฉันโทรจากโรงเรียนศิลปะธรรมค่ะ”

“ครับสวัสดีครับผมเป็นธรรมครับ”

“ตอนนี้ทางโรงเรียนอยากดูพอร์ตงานของคุณเพื่อที่จะประกอบกับการพิจารณาค่ะ ไม่ทราบว่าคุณจะสะดวกเอาเข้ามาให้ได้วัน
ไหนคะ?”

“เอ่อ ผมไม่เคยได้เก็บพอร์ตเอาไว้เลยครับ”

“อ้าว?”

“แต่เดี๋ยวผมจะทำพอร์ตเอาเข้าไปให้ภายในอาทิตย์หน้าครับไม่ทราบว่าจะทันไหมครับ?”

“ลองเข้ามาส่งดูก็ได้ค่ะ”

   ดังนั้นกิจกรรมหลังเลิกงานคือการทำงานศิลปะเขาตั้งใจทำเป็นพิเศษด้วยหวังว่าความชอบและความตั้งใจของเขาจะสามารถทำให้เขาได้มีโอกาสจับงานที่เขารักอีกสักครั้ง

“นี่ครับ”

“ขอบคุณค่ะหวังว่าเราคงจะได้ทำงานร่วมกันนะคะ”

   ในที่สุดเป็นธรรมก็ทำสำเร็จเขาสามารถเอาพอร์ทเข้าไปส่งให้โรงเรียนได้ทันก่อนวันที่กำหนดเขารอผลอยู่สองสามวันแล้วความพยายามของเขาก็ไม่สูญเปล่าเมื่อทางโรงเรียนโทรมาบอกข่าวดีว่าเขาผ่านการพิจารณาและได้งานนี้

“ไม่ทราบว่าคุณเป็นธรรมจะเริ่มสอนได้อาทิตย์ไหนคะ?”

“ผมขอเวลาเตรียมสักอาทิตย์นึงแล้วอาทิตย์ต่อไปผมก็เริ่มงานได้เลยครับ”

    เป็นธรรมรู้สึกตื่นเต้นที่จะได้เริ่มงานเป็นคนสอนศิลปะแม้จะเป็นแค่ผู้ช่วยก็เถอะแต่อย่างน้อยเขาก็ได้ทำในสิ่งที่เขาชอบอีกครั้ง ชีวิตของเขาวนเวียนกับการทำงานจนลืมคิดถึงเรื่องอื่นๆ ไปเสียหมดจนเขาลืมไปแล้วว่าเขายังมีอะไรบางอย่างที่ยังไม่ได้จัดการให้เรียบร้อย

“ขอบใจมากนะแจงที่มาส่งเรากับแม่”

“ไม่เป็นไรแค่นี้เองอีกอย่างงานนี้เราก็ต้องไปอยู่แล้วดีซะอีกถือว่ามีคนไปเป็นเพื่อน”

   วันงานเปิดห้างใหม่ของเพื่อนโชคดีที่แจงก็ได้เชิญให้ไปงานร่วมด้วยไม่อย่างนั้นเขาคงได้แค่เพียงยืนยิ้มและวางตัวไม่ถูกอยู่ในงานตอนงานเลิกแจงอาสาขอเป็นคนมาส่งแน่นอนว่าเขาปฎิเสธเพราะบ้านเขากับบ้านแจงมันคนละทางกันแต่พอแจงอ้างถึงแม่ของเขาว่าจะให้เดินทางยังไงและแถมยังดึกแล้วอีกต่างหากเขาเลยยอมให้แจงเป็นคนมาส่ง

“แน่ใจนะว่าขับรถกลับไว้ เราเตรียมห้องให้ได้นะ”

“โอ๊ย เรื่องเล็ก งั้นแจงลานะคะคุณป้า ไปนะคุน”

“ถึงแล้วโทรมาบอกด้วย”

“จร้า”

   เป็นธรรมยืนส่งแจงจนรถออกตัวไปไกลบ้านเขาถึงได้หันไขประตูแต่แล้วเสียงมอเตอร์ไซค์พุ่งตรงมาทางหน้าบ้านก็ทำให้เขาหยุดชะงัก

“ขี้โกงเหรอไงมึงยืมแล้วไม่คืน”

“ผมบอกไปแล้วว่าผมมีเท่านั้นถ้าคุณต้องการเพิ่มผมก็ไม่มีให้คุณ”

“ไม่สนยังไงก็ต้องเอามาตามที่สัญญาเอาไว้”

   สองคนนั้นเดินตรงมาที่เขากับแม่ยืนอยู่เขาดันให้แม่เข้าไปในรั้วบ้านก่อนที่เขากำลังจะเข้าตามไปแต่โชคร้ายที่เขาก้าวช้าทำให้โดนกระชากมาจากด้านหลังเขาใช่เสี้ยวนาทีนั้นกระชากประตูปิดเพื่อไม่ให้ใครสามารถเข้าไปในตัวบ้านได้

“แม่ล็อคบ้าน โทรหาตำรวจ”

“ตำรวจเลยรึมึงแบบนี้ก็คงต้องสั่งสอนให้เข้าใจ”

   ฝั่งนั้นง้างมือขึ้นสูงเขาเองก็พยายามดิ้นให้หลุดจากคนที่จับตัวของเขาอยู่ในช่วงนั้นเองที่มีแสงไฟสูงจากหน้ารถส่องมาที่พวกเขาคนที่กำลังง้างมืออยู่นั้นตลดมือลงทำเป็นกอดคอเขาเหมือนพวกเรากำลังยืนคุยกันแต่เจ้าของรถคันนั้นก็ไม่ยอมไปไหนยังเดินตรงมาที่พวกเรายืนอยู่

“ทำอะไรกันนะ?”


TBC

ออฟไลน์ Nattarat

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 164
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
พี่ดาร์กมาแน่เลย

ออฟไลน์ sweetsky

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 150
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +29/-0
บทที่ 17 Rewrite

   เพราะแสงไฟที่ส่องเข้าตาทำให้เขาไม่สามารถเห็นหน้าของคนที่เดินเข้ามาได้ชัดในตอนแรกแต่เสียงของเขาคนนั้นทมันก็คุ้นเหลือเกินคุ้นจนเขามั่นใจ

“พี่ดาร์ก?”

แต่พี่ดาร์กจะอยู่ตรงนี้ได้อย่างไร? มันไม่มีเหตุผลอะไรเลยที่พี่ดาร์คจะมาอยู่ตรงนี้เขาคงจะหูฟาดพราะเขากำลังรู้สึกไม่ปลอดภัยเขาเลยคิดถึงพี่ดาร์กขึ้นมา

“เพื่อนเขาจะคุยกันคุณมาเปิดไฟสูงใส่หน้าแบบนี้ไม่ดีเลยนะ”

“พอดีเลยครับผมก็เป็นเพื่อนกับเขาและผมก็กำลังจะเข้าไปบ้านนี้แบบคุณสองคนเลยงั้นเราก็เข้าไปด้วยกันดีเลยไหมครับ?”

“ผมว่าถ้าคุณมีธุระกับคนบ้านหลังนี้ผมว่าคุณมาวันหลังดีกว่าเพราะพวกผมมีเรื่องคุยกับเขาค่อนข้างนานทีเดียวดูเขาจะไม่เข้าใจในหลายๆ เรื่อง และพวกผมก็มาก่อน”

   เมื่อเจ้าของเสียงเดินเข้ามาใกล้เขามากขึ้นก็ทำให้เป็นธรรมได้เห็นหน้าชัดเจนและตอนนี้เขาก็รู้แล้วว่าเขาไม่ได้หูฟาดไปเพราะคนนี้คือพี่ดาร์กจริงๆ

เป็นธรรมจ้องมองทุกอย่างก้าวของพี่ดาร์กและพี่ดาร์กเองก็จ้องมองมาที่เขาเช่นกันเราทั้งสองคนไม่ได้ละสายตาออกจากกันแต่ยิ่งพี่ดาร์กเดินเข้ามาใกล้เท่าไหร่แรงที่กอดคอของเขาเอาไว้ก็ยิ่งแน่นมากขึ้นและในขณะที่เขาพยายามจะแกะมือของคนนั้นออกเขาก็เหลือบไปเห็นว่าอีกคนที่ยืนอยู่ทางด้านข้างกำลังเอามีดออกมากจากทางด้านหลัง

“พี่ดาร์กระวัง”

สิ้นเสียงตะโกนของเขาการต่อสู้เกิดขึ้นเพราะอีกฝ่ายมีมีดเลยทำให้เขากับพี่ดาร์กเสียเปรียบจังหวะที่คนนั้นสนใจพี่ดาร์กเขายกขาไปด้านหลังและถีบคนที่กอดคอเขาอาไว้ทำให้คนนั้นเสียหลักและล้มลงและพอพี่ดาร์กเห็นว่าเขาสามารถหลุดจากคนนั้นได้พี่ดาร์กก็พุ่งเข้าไปหาคนที่มีมีด

แต่แล้วในช่วงที่พี่ดาร์กเสียหลักคนที่มีมีดก็เปลี่ยนทิศและตรงมาที่เขาพี่ดาร์กเองพอลุกขึ้นยืนได้ในก็วิ่งตรงเข้ามาทางด้านข้างและรวบตัวเขาเข้าไปกอดและพยายามเบี่ยงเขาไปทางด้านซ้ายซึ่งเป็นทางตรงข้ามกับคนร้ายเสียงของแข็งแหวกมาตามอากาศและมาหยุดลงใกล้กับตัวเขาแต่เป็นธรรมกลับไม่รู้สึกเจ็บตรงไหนเลยสักที่

“เข้าบ้านไป”

พี่ดาร์กกระซิบเบาๆ แต่เพราะเขาอยู่ที่หัวไหล่เป็นธรรมจึงได้ยินคำสั่งชัดทุกถ้อยคำแต่ถ้าจะให้เขาหนีเข้าบ้านไปคนเดียวตอนนี้แล้วพี่ดาร์กละ ตอนนั้นเองที่แม่ตะโกนออกมาว่าได้แจ้งตำรวจแล้วและแม่ก็พยายามที่จะเปิดประตูบ้านออกมา

“แม่อย่าเปิดปิดเอาไว้”

แค่เพียงเสี้ยววินาทีที่เขาหันไปพูดกับแม่พี่ดาร์กก็พลักเขาเข้าไปติดกับประตูรั้วบ้านแม่รีบเปิดประตูแล้วดึงเขาเข้าไปก่อนที่เขาจะได้เข้าไปทั้งตัวปลายตาของเขาก็เห็นว่าพี่ดาร์กได้ทรุดลงไปที่พื้นและสองคนนั้นกำลังเหยีบซ้ำลงมาเขาพยายามที่จะสลัดแม่ออกและออกไปหาพี่ดาร์กแต่แม่ก็ดึงเขาไว้แน่นเหลือเกิน

แต่ก่อนที่ทางฝั่งนั้นจะได้ทำอะไรเพิ่มเติมเสียงบีบแตรก็ดังขึ้นมาแต่ไกลทำให้พวกนั้นเก็บมีดและก็รีบวิ่งไปที่รถมอเตอร์ไซค์ที่ติดเครื่องรอไว้แล้วเมื่อสองคนนั้นไม่อยู่แล้วเขาจึงรีบวิ่งออกไปหาพี่ดาร์ก

“คุนเป็นอะไรรึเปล่า?”

“พี่ดาร์กเลือด ๆ พี่ดาร์กเลือด”

   เป็นธรรมวิ่งเข้าไปประคองพี่ดาร์กที่กองอยู่ที่พื้นพี่ดาร์กรีบจัดสำรวจไปทั่วตัวของเขาและเมื่อเห็นว่าเขาไม่ได้บาดเจ็บร้ายแรงตรงไหนพี่ดาร์กถึงได้ยอมวางใจปละทิ้งมือลงที่ข้างตัวพี่ดาร์กยิ้มให้เขาตอนที่เขาตะโกนว่าเห็นเลือดด้วยความตกใจ

“พี่ขอโทษนะ”

เป็นธรรมไม่รู้ว่าพี่ดาร์กขอโทษทำไมและยังไม่ได้ที่จะถามให้รู้เรื่องพี่ดาร์กก็ทิ้งตัวไปตามแนวโน้มถ่วงของพื้นทันทีที่พูดจบเป็นธรรมประคองพี่ดาร์กเอาไว้ในอ้อมกอดก่อนที่ตัวของพี่ดาร์กจะลงไปสู่พื้นถนน

เพราะความมืดบวกกับความตกใจในตอนแรกเป็นธรรมจึงไม่เห็นว่าพี่ดาร์กบาดเจ็บตรงไหนบ้างแต่พอได้มองพี่ดาร์กที่อยู่ในอ้อมแขนของตัวเองจึงทำให้เขาสามารถเห็นได้ชัดว่าพี่ดาร์กได้รับบาดเจ็บที่ไหน

ใบหน้าของพี่ดาร์กทั้งสองข้างเต็มไปด้วยเลือดด้านซ้ายของพี่ดาร์กมีแผลช่วงหน้าผากพาดมาถึงจมูกทางด้านขวาบาดแผลเริ่มเกิดแผลตั้งหน้าผากลงมาถึงที่แก้ม ข้างลำตัวของพี่ดาร์กทางด้านขวาถูกบาดด้วยมีดเป็นทางยาวเสื้อเชิ้ตของพี่ดาร์กขาดตั้งแต่หลังผ่านสีข้างมาจนถึงท้องด้านหน้าและตอนนี้เสื้อกำลังถูกยอมสีด้วยเลือดของพี่ดาร์ก

“พี่ดาร์ก พี่ดาร์ก”

“ช่วยด้วย ช่วยด้วย ใครก็ได้ช่วยพี่ดาร์กด้วย”

   เป็นธรรมตะโกนจนสุดเสียงจนรอบตัวของเขาเริ่มเต็มไปด้วยความโกลาหลเขาเห็นแม่วิ่งออกมาจากบ้านได้ยินเสียงแม่ตะโกนสั่งให้คนในบ้านเอาผ้าขนหนูออกมาเขาเห็นรถของแจงที่เพิ่งขับออกไปขับกลับมาอีกครั้งทุกอย่างเกิดเสียงดังไปหมดแต่ไม่มีประโยคไหนสักประโยคเข้ามาในหัวของเขาเพราะมีเพียงแค่ประโยคเดียวที่เขาคิดสมองและพร่ำพูดตลอดเวลาก็คือ

“พี่ดาร์กห้ามเป็นอะไรไปนะ อย่าทิ้งคุนไปนะ”

พี่ดาร์กเป็นคนขี้โกงเพราะพี่ดาร์กเอาแต่ยิ้มและกำมือของเขาเอาแน่นในขณะที่เขากำลังร้องไห้แถมยังไม่ยอมให้คำสัญญาว่าจะทำตามที่เขาขอร้อง

“คุน คุนตั้งสติฟังแม่คุนลุกขึ้นก่อนเราต้องเอาดาร์กไปโรงพยาบาล หนูแจงมาช่วยป้าหน่อย”

   กลับกลายเป็นว่าเขาเป็นคนที่มีสติช้าที่สุดเป็นธรรมต้องรอให้แม่สั่งว่าควรทำอะไรต่อเพราะตอนนี้เขาไม่รู้แม้กระทั่งวิธีจะยืนขึ้นด้วยซ้ำทุกคนช่วยกันพาพี่ดาร์กขึ้นไปนั่งบนเบาะหลังของแจงและรีบมุ่งหน้าตรงไปที่โรงพยาบาล แม้เขาจะรู้ว่าแจงขับรถเร็วเต็มที่แล้วแต่เขาก็ยังคงรู้สึกร้อนใจอยากที่จะให้รถแล่นด้วยความเร็วที่มากกว่านี้

“พี่ดาร์กอีกแป้ปเดียวนะจะถึงโรงพยาบาลแล้วจะถึงแล้ว”

   เลือดของพี่ดาร์กไหลลงมาปิดหน้าไปหมดแถมผ้าขนหนูที่ถูกกดห้ามเลือดที่เอวของตอนนี้ก็ช่ำไปด้วยเลือดเช่นกันมือของพี่ดาร์กเริ่มเย็นขึ้นเรื่อยๆ ขนาดเขาพยายามที่จะกุมมือพี่ดาร์กเอาไว้ให้รอบเพื่อที่จะเพิ่มความอบอุ่นยังไม่สามารถส่งความอบอุ่นนั้นไปได้อาการของพี่ดาร์กทำให้เป็นธรรมใจเต้นแรงขึ้นโดยเฉพาะเมื่อแรงบีบที่มือของเขาเบา

“พี่ดาร์กคุนกลัวอยู่เป็นเพื่อนคุนก่อนนะ”

“...”

“ที่ผ่านมาคุนยอมแล้วคุนไม่โกรธพี่แล้วแต่ถ้าครั้งนี้พี่ทิ้งคุนไปคุนจะไม่ให้อภัยพี่เลย”

“พี่ได้ยินไหมถ้าพี่ทิ้งคุนไปคุนจะไม่ให้อภัยพี่”

ในที่สุดเส้นทางที่ยาวนานในท้องถนนก็สิ้นสุดลงสักทีเมื่อแจงเลี้ยวหัวรถเข้ามาในตัวของโรงพยาบาลพี่ดาร์กถูกเข็ญเข้าไปไปห้อง ER อย่างรวดเร็วและก็ถูกเข็ญเปลี่ยนห้องเข้าไปห้องผ่าตัดต่อโดยทันที

“ไปล้างหน้าล้างตาก่อนเถอะลูก”

“ไม่ครับแม่ ผมอยากอยู่เฝ้าที่หน้าห้องนี้”

“คุนเจ้าหน้าที่เขาอยากให้ไปกรอกรายละเอียด”

“แต่..”

“ถ้าคุนไม่ไปกรอกให้เรียบร้อยการเข้ารักษาของพี่ดาร์กก็ไม่สมบูรณ์นะ”

“โอเค”

   เป็นธรรมขอเอาแฟ้มประวัติของคนไข้มากรอกที่หน้าห้องผ่าตัดแทนการที่ต้องไปยืนกรอกที่หน้าเค้าท์เตอร์เพราะเขาไม่อยากที่จะพลาดอะไรก็ตามที่จะเกิดขึ้นที่หน้าห้องผ่าตัดนี้

และแล้วเวลาในห้องผ่าตัดที่ผ่านไปกว่าสามชั่วโมงก็จบลงเมื่อคุณหมอและทีมผ่าตัดเดินออกมาจากห้องเป็นธรรมเดินเข้าไปประชิดกับคุณหมอพร้อมกับคำถามที่มีอยู่มากมายในสมองแต่เอาเข้าจริงเขาทำได้แค่ไปยืนเงียบอยู่ตรงหน้าของคุณหมอ

“ไม่ทราบว่าการผ่าตัดผ่านไปได้ด้วยดีไหมคะ?”

“ตอนนี้ขั้นตอนการผ่าตัดสมบูรณ์และผ่านไปได้ด้วยดีครับแต่…”

   พี่ดาร์กถูกเข็ญออกมาด้วยสภาพที่ถูกพันผ้าปิดตาเอาไว้ทั้งสองข้างรวมไปจนถึงทางหน้าผากและแก้มทำให้ตอนนี้บนใบหน้าของพี่ดาร์กมีที่ว่างแค่เพียงช่วงล่างของใบหน้าไล่มาจากปลายจมูกจนถึงคางเท่านั้นป็นธรรมไม่ได้ยืนฟังคุณหมออธิบายจนจบแต่รีบเดินเข้าไปหาพี่ดาร์กที่นอนอยู่บนเตียงที่ถูกเข็ญออกมา

 
“อะ นี่เสื้อผ้าเอามาให้สองสามชุดนะแล้วก็ถุงตรงนั้นอะเป็นของที่อยู่ในรถของพี่ดาร์กฉันเขยื้อนรถเขาเข้าไปจอดในบ้านแกแล้วนะ”

“แล้วพอลละ?”

“พอลไปถึงบ้านแกแล้ว”

   เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้เขาไม่ไว้ใจที่จะให้แม่กลับไปอยู่ที่บ้านเพียงคนเดียวแต่จะให้เขาทิ้งทางนี้ไปเขาเองก็ทำแบบนั้นไม่ได้เช่นกันเขาอยากอยู่ตอนที่พี่ดาร์คตื่นขึ้นมาอยากอยู่ข้างๆ เขาเลยขอร้องให้พอลมาอยู่ที่บ้านเป็นเพื่อนแม่และในตอนเช้าเขายังวานพอลให้พาแม่ไปโรงพักเพื่อที่จะแจ้งความและพอลเองก็รับปากว่าจะดูแลเรื่องที่บ้านให้ทำให้เขาไม่รู้สึกต้องกังวลใจ

“ขอบใจมากนะแจง”

“แล้วก็ตลอดทางที่ขับมาโทรศัพท์พี่เขาดังอยู่เรื่อยๆ นะแต่ฉันไม่ได้รับ”

“อื้มเดี๋ยวยังไงฉันจะลองดูติดต่อทางนั้นดูเพื่อเป็นเรื่องงานของพี่ดาร์กเขา”

“เมื่อกี้คุณหมอเขาว่าไงบ้างอะแจง? เราไม่ได้ทันฟังให้จบ”

“หมอบอกว่าแผลตรงเอวไม่ได้ลึกจนโดนอวัยวะสำคัญดูแลดีอีกไม่นานก็หายส่วนแผลที่แก้มและหน้าผากก็อาจจะเป็นแผลเป็นแต่อาจจะใช้วิธีศัลยกรรมเข้าช่วยได้แต่เรื่องที่แกควรรู้ก็คือพี่เขาอาจจะเสียการมองเห็นข้างขวาไปเพราะมีดบาดเข้าแก้วตาส่วนอีกข้างต้องลุ้นเอาตอนที่เปิดผ้าออกมา”

   เป็นธรรมเอื้อมมือออกไปลูบผ้าที่ปิดดวงตาของพี่ดาร์กเอาไว้ดวงตาคู่นี้ที่เขาชอบมอง

“เราไม่กล้าบอกพี่ดาร์กเลยแจง”

“ถึงไม่บอกวันที่เปิดผ้าพี่เขาก็ต้องรู้อยู่ดี”

“เรากลัวพี่เขา... รับไม่ได้”

“เอานะมันยังไม่ถึงวันนั้นว่าแต่แกจะอยู่เฝ้าเองคนเดียวเลยเหรอ? ไม่นอนพักบ้างละจะตีสามแล้วสลับกันกับฉันไหม?”

“พี่เขายังไม่ตื่นเลย”

“งั้นอย่างน้อยแกเข้าไปอาบน้ำเปลี่ยนชุดหน่อยไปตามร่างกายมีแต่เลือด”

“แต่”

“ไม่ต้องห่วงเดี๋ยวฉันดูให้ก่อน”

“งั้นฝากด้วยแป้ปเดียว”

คำพูดของแจงยังคงดังก้องอยู่ในหัวยิ่งคิดถึงมันเขาก็ยิ่งรู้สึกกังวลพี่ดาร์กจะรู้สึกอย่างไรตอนที่ตื่นขึ้นมาและจะต้องพบว่าตัวเองจะไม่เหมือนเดิมพี่ดาร์กจะรับมันได้ไหม? พี่ดาร์กต้องถูกปิดตาไปอย่างน้อยอีก 1 อาทิตย์และต้องดูอาการหลังจากนั้นถึงจะบอกได้ว่าการรักษาขั้นต่อไปคืออะไรความไม่แน่นอนเป็นสิ่งที่พี่ดาร์กไม่ชอบใจมากที่สุดเกิดพี่ดาร์กตื่นขึ้นมาแล้วต้องมารับรู้เรื่องพวกนี้เขายังไม่รู้เลยว่าเขาจะต้องรับมือกับพี่ดาร์กอย่างไร

ทำไมมาในวันนี้เป็นธรรมถึงรู้สึกว่าครอบครัวเขาเป็นตัวซวยของพี่ดาร์กกันนะพี่ดาร์กต้องเสียพ่อกับแม่ไปก็เพราะโรงงานของครอบครัวเขามาในตอนนี้พี่ดาร์กต้องมาเป็นแบบนี้ก็เพราะมาปกป้องเขาอีก

กว่าจะกลับออกมาจากห้องน้ำเวลาก็ใกล้จะตีสี่แล้วเป็นธรรมเลยบอกให้แจงพักที่นี่ด้วยกันซะเลยแล้วค่อยขับรถกลับในตอนเช้าแจงนอนที่โซฟาส่วนเขานั่งจับมือพี่ดาร์กที่ข้างเตียงจนหลับไปและสะดุ้งตื่นอีกทีตอนที่โทรศัพท์พี่ดาร์กดังขึ้นตอน 7 โมงเช้า

“สรุปประชุมได้ไหมเนี่ย? เสร็จทันไหม? เงียบไปเลยมึง”

“สวัสดีครับคุณแชมป์”

“...”

“ผมเป็นธรรมครับ”

หลังจากวางสายของคุณแชมป์ไปเป็นธรรมก็เดินไปปลุกแจงให้เตรียมไปทำงานเขาไม่ได้บอกแจงเรื่องที่ว่าจะมีคนมาเยี่ยมพี่ดาร์กในอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้าเพราะถ้าแจงรู้แจงคงดื้ออยู่เป็นเพื่อนเขาและเขาก็ไม่ต้องการให้แจงต้องมาป็นห่วงจนเสียงานเสียการและก่อนที่จะมีใครมาถึงเขาก็ได้ไปบอกกับแม่ว่าพี่ดาร์กยังคงไม่รู้สึกตัวและเขาก็ยังคงอยากอยู่ดูพี่ดาร์กอยู่ก่อน

“แม่คงไม่ว่าอะไรผมใช่ไหมครับ? แม่ก็รู้ว่าพี่ดาร์กเขาไม่มีใคร”

“เขามาช่วยชีวิตคุนเอาไว้ แม่คงไม่ใจร้ายกับเขามากขนาดนั้น”

“ขอบคุณครับแม่”

ใช้เวลาเพียงไม่ถึงชั่วโมงคุณแชมป์และคนอื่นที่เป็นธรรมคุ้นเคยก็มาถึงโรงพยาบาลในกลุ่มคนนั้นมีเพียงผู้หญิงสูงอายุคนเดียวเท่านั้นที่เดินเข้ามาแล้วผมไม่รู้จักผู้หญิงสูงอายุคนนั้นเดินตรงเข้ามาหาพี่ดาร์กด้วน้ำตาที่นองหน้าแต่ยังคงหันมายิ้มให้กับเขา

“ฉันขอเข้าไปดูดาร์กเขาใกล้ๆ ได้ไหมจ๊ะ?”

“ครับ”

   คำขอนั้นทำให้เป็นธรรมรู้ตัวว่าเขากำลังยืนติดเตียงของพี่ดาร์กและยังเอาตัวบังส่วนบนของพี่ดาร์กเอาไว้ทำให้พวกเขาไม่มีใครสามารถเห็นใบหน้าของพี่ดาร์กได้ชัด และทันทีที่เขาเบี่ยงตัวออกผู้หญิงคนนั้นก็หลุดสะอื้นออกมาคุณกี้รีบเข้าไปประคองผู้หญิงคนนั้นนั่งเธอนั่งลงผู้หญิงคนนั้นลูบไปที่ศรีษะของพี่ดาร์กด้วยความรักสายตาของเธอไม่สามารถปิดบังความรู้สึกของเธอที่มีต่อคนที่นอนอยู่ตรงหน้าเธอได้เลยเท่าที่เขาเคยรู้พี่ดาร์กไม่มีญาติคนไหนเหลืออยู่และผู้หญิงคนนี้หรือว่าสิ่งที่เขารู้เกี่ยวกับพี่ดาร์กมันจะยังเป็นเรื่องโกหกอีก

“สวัสดีค่ะคุณเป็นธรรม”

“สวัสดีครับคุณกี้และคุณเบทคุณแชมป์”

“คุณเป็นธรรมพอจะเล่าอะไรให้พวกเราฟังได้ไหมครับ?”

   เป็นธรรมเอาแต่ดูภาพที่พี่ดาร์กกำลังได้รับความอบอุ่นนั้นโดยที่ไม่ตอบคำถามของคุณเบทและคุณเบทคงเดาออกว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ว่าถึงได้พูดอธิบายขึ้นมา

“นั้นคือครูสมใจครูของดาร์กตั้งแต่สมัยประถมเป็นคนที่ดูแลดาร์กมันมาตลอดส่วนกี้คือแฟนของผมครับเป็นลูกของคุณครูและเป็นหลานของป้าสุวรรณีส่วนแชมป์เขาเป็นเพื่อนของดาร์กตั้งแต่วันที่ดาร์กได้กลับเข้าไปเรียนอีกครั้ง”

“เมื่อคืนพี่ดาร์กเข้ามาช่วยผมเอาไว้จากพวกทวงหนี้นอกระบบ”

เมื่อทางนั้นก็ได้ให้คำตอบในสิ่งที่เขาอยากรู้มันก็ถึงเวลาที่เขาควรจะแลกเปลี่ยนข้อมูลให้กับทางนั้นได้รับรู้บ้าง

“จนได้สินะ”

“จนได้?”

“อย่าบอกนะว่าที่ผ่านมาคุณไม่รู้เลยว่าดาร์กมันตามคุณมาตลอดเวลา?”

“ตาม?”

“ครับ ตามดาร์กมันตามคุณมาได้สักพักแล้วครับก็ไม่รู้ว่าทำไมมันถึงรู้ว่าจะมีคนมาทำร้ายคุณถ้าคุณอยากจะรู้อันนี้คุณต้องรอถามกับเจ้าตัวตอนที่มันตื่นขึ้นมาเท่าที่เรารู้กันก็คือมันตามคุณมานานเรื่องที่ไปเจอคุณเมื่อวานคุณคงไม่คิดว่ามันเป็นเรื่องบังเอิญใช่ไหมครับ?” คุณแชมป์เดินเข้ามาสมทบและเพิ่มความกระจ่างให้กับเขา

“ผม...ไม่เคยรู้เลยครับ”

“อยากฟังเรื่องของพวกเราบ้างไหมครับ? ถ้าอยากฟังผมว่าเราออกไปคุยที่ระเบียงดีกว่าครับ”

“ครูว่าครูเล่าดีกว่ามันเป็นเรื่องของคนในครอบครัวของครูโดยตรงแม่ขอเล่านะลูก?”

“ได้ค่ะ”

ครูสมใจยังคงจับมือของพี่ดาร์กเอาไว้แม้ว่าจะละสายตามามองที่เขาแล้วก็ตามคุณแชมป์ลากเก้าอี้อีกตัวที่อยู่ในห้องมาให้เขานั่งลงตรงหน้าของครูสมใจ

“เด็กคนนี้เป็นเด็กดีนะคะครั้งแรกที่ดิฉันเจอเขาตอนนั้นเขายังเด็กอยู่เลยค่ะดูเป็นเด็กไม่สู้คนด้วยซ้ำไม่รู้เลยว่าพอโตขึ้นมาเขาจะเป็นนักสู้ขนาดนี้เขาไม่ได้แค่สู้เพื่อตัวเขาเองนะคะแต่เขายังสู้เพื่อคนอื่นด้วยค่ะ”

“คุณรู้ไหมคะว่าทำไมทุกคนถึงช่วยเขา?”

“ไม่ทราบครับ”

“แล้วคุณพอจะรู้ไหมคะว่าดาร์กเขาทำงานมาตั้งแต่เด็กๆ”

“เรื่องนี้ผมพอจะทราบว่าพี่ดาร์กทำงานหาเงินมาตลอดครับ”

“ใช่ค่ะ เด็กคนนี้ทำงานหาเงินมาตลอดและเพราะเป็นคนขยันความจริงเขาจะต้องมีเงินเก็บที่มากกว่านี้ด้วยซ้ำ เขาเป็นเด็กเรียนดีเลยไม่ต้องกังวลกับค่าใช้จ่ายเรื่องเรียนเลยสักนิดแต่แล้วเงินพวกเก็บของเขาต้องมาหมดไปในบางส่วนก็เพราะดิฉันที่ได้ชื่อแค่ว่าเป็นครูของเขาเกิดป่วยขึ้นมาค่ะดิฉันต้องทำบอลลูนซึ่งต้องใช้เงินเป็นจำนวนมากถ้าในตอนนั้นดิฉันไม่ได้เงินจากเด็กคนนี้เข้ามาสมทบดิฉันอาจจะไม่มีโอกาสมานั่งอยู่ตรงนี้ก็ได้”

 คุณครูสมใจยิ้มไปตลอดการเล่าเรื่องเหมือนว่าเขากำลังได้ระลึกถึงความหลังที่สวยงามเอาไว้

“เหมือนโลกนี้สร้างเด็กคนนี้เพื่อให้มาปกป้องครอบครัวของเราค่ะเพราะนอกจากตัวของดิฉันเองแล้วที่ได้รับการช่วยเหลือกี้ลูกสาวของดิฉันก็ได้รับการช่วยเหลือจากดาร์กเขาเช่นกัน”

“เมื่อหลายปีก่อนกี้เขาไปเที่ยวที่ตลาดแถวหมู่บ้านเพียงลำพังขากลับมีคนตามกี้เข้ามาในซอยและก็พยายามจะลากกี้เข้าไปที่ข้างทางถึงดินฉันไม่ได้บอกแต่คุณเป็นธรรมก็พอจะรู้ใช่ไหมคะว่าจุดมุ่งหมายของคนร้ายคืออะไร?”

“ครับ”

“กี้เขาพยายามที่จะทำทุกวิถีทางที่จะเอาตัวรอดแต่ก็ไม่สามารถกี้เขาถอดใจไปแล้วละคะกี้ปล่อยให้คนร้ายข่มเหงแต่แล้วเสียงของเด็กชายคนนึงก็ทำให้ความหวังของกี้ที่ริบหรี่กลับมามีอีกครั้ง”

เป็นธรรมหันไปมองคุณกี้ที่แม้ในตอนนี้ที่ครูสมใจกล่าวถึงเรื่องนั้นในดวงตาของคุณกี้ยังคงมีความหวาดกลัวฉายอยู่จนคุณเบทต้องเข้ามาบีบมือของคุณกี้เอาไว้

“มีเด็กผู้ชายที่เพิ่งเข้ามหาวิทยาลัยได้คนนึงดันเดินผ่านมาที่จุดเกิดเรื่องพอดีเขาตะโกนเสียงดังและวิ่งตรงเข้ามาแม้จะเห็นแล้วว่าผู้ชายคนนั้นที่ทำร้ายกี้อยู่จะมีรูปร่างที่สูงใหญ่กว่าเขาแต่เขาก็ไม่ลังเลเลยที่จะวิ่งเข้าใส่แม้จะไม่รู้ด้วยว่าคนที่เขากำลังจะเข้าช่วยคือใครแต่เด็กผู้ชายคนนั้นวิ่งเข้ามาช่วยทำให้กี้เขามีแรงฮึดขึ้นมจนคนร้ายจะเริ่มใจเสียและทั้งที่ตัวโตกว่าก็ยอมล่าถอยไป”

“กี้เขารอดมาได้ก็เพราะดาร์กนี่แหละค่ะ”

“ผมที่เป็นแฟนของกี้ก็เลยตั้งปณิธานกับตัวเองเอาไว้ว่าจะยอมช่วยดาร์กมันทุกอย่างเพื่อเป็นการตอบแทนในครั้งนั้นที่ทำให้กี้รอดออกมาได้”

“ดิฉันรู้ว่าที่ผ่านมาดาร์กเขาก็ทำไม่ดีกับคุณเอาไว้มากถ้าคุณอยากจะโกรธหรือโทษใครเขาสักคนดิฉันอยากให้โทษมาที่ดิฉันที่ดิฉันอบรมเขามาไม่ดีทั้งที่ตั้งใจเอาไว้แล้วว่าจะเป็นแม่ที่ดีให้กับเขาแถมยังไม่มีความสามารถที่จะห้ามเจ้าพวกนั้นได้อีกด้วยอีกทั้งน้องสาวของตัวเองแท้ๆ ก็ยังไปกระโดดร่วมวงด้วยอีก”

“ป้าสุวรรณีแค่จะเข้ามาควบคุมไม่ให้มันบานปลายค่ะ แม่ก็รู้”

“แต่มันก็เป็นเรื่องที่ผิดอยู่ดี”

“แม่ // ครู”

“เพราะเห็นว่าเขายิ้มมาได้ตลอดก็เลยคิดว่าเรื่องพวกนั้นมันน่าจะจบลงได้แต่ไม่คิดเลยว่ามันยิ่งบานปลายจนมาถึงขั้นนี้ขั้นที่ทำให้คุณต้องมาเดือดร้อนไปกับความหลังที่คุณไม่ได้มีส่วนรู้เรื่องด้วยเลยเมื่อรู้แบบนี้แล้วคุณเป็นธรรม...”

ครูสมใจทำท่าจะเล่าเรื่องต่อแต่แล้วครูก็หยุดพูดกับเขาและมองไปที่มือของตัวเองเป็นเสี้ยววินาทีเดียวกันกับที่เขาเห็นว่ามือของพี่ดาร์กขยับแต่มันเป็นแค่เสี้ยวเดียวและหยุดไปเขากลั้นลมหายใจและภาวนาขอให้พี่ดาร์กฟื้นขึ้นมาและอึดใจต่อมามือพี่ดาร์กก็เคลื่อนไหวอีกครั้งคำอธิษฐานของเขาเป็นจริง

“ดาร์ก ดาร์ก”

“ครู”

   เสียงของพี่ดาร์กแหบแห้งพร้อมกับทุกคนในทั้งห้องก็ต่างพุ่งเข้าไปที่เตียงมีคุณกี้ที่วิ่งเข้าไปหยิบน้ำเทใส่แก้วและหยิหลอดมาป้อนให้พี่ดาร์กครูสมใจกำลังบีบมือให้กำลังใจคุณเบทกดเรียกหมอและคุณแชมป์ก็เดินเข้าไปพูดคุย
จากเรื่องที่ได้ฟังเป็นธรรมไม่แปลกใจเลยว่าทำไมทุกคนถึงรักและรู้สึกผูกพันกับพี่ดาร์กมากขนาดนี้ยิ่งได้เห็นภาพตรงหน้าเขาก็รู้ได้ว่าพวกเขารักจนเหมือนเป็นครอบครัวเดียวกันเพราะฉะนั้นถ้าคนในครอบครัวเจ็บก็ไม่แปลกที่คนอื่นในครอบครัวก็ต้องช่วย

 
“ดาร์กต้องไม่เป็นไรลูก ต้องไม่เป็นไร”

   หลังจากที่คุณหมอเข้ามาตรวจและอธิบายเกี่ยวกับอาการของพี่ดาร์กเบื้องต้นทั้งห้องต่างตกอยู่ในความเงียบตัวเขาเองก็ไม่กล้าแม้แต่จะสบตากับใครในห้องสักคนยิ่งเห็นพี่ดาร์กไม่พูดอะไรออกมาสักคำแต่กำผ้าห่มของโรงพยาบาลแน่นเขาก็ยิ่งรู้สึกผิดเพราะเขารู้ดีว่าพี่ดาร์กกำลังรุ้สึกอย่างไรอยู่จากตำแหน่งที่ไม่ไกลจากข้างเตียงเขาจึงพยายามถอยออกมาเรื่อยๆ 

ครูสมใจดึงพี่ดาร์กเข้าไปกอดเอาไว้แต่เพียงแค่ขยับตัวเลือดก็ซึมออกมาจากผ้าพันแผลที่อยู่ทางสีข้างของพี่ดาร์กจนครูต้องเรียกพยาบาลให้เข้ามาทำแผลให้

“คุนอยู่รึเปล่า?”

ลมหายใจของเป็นธรรมกระตุกทันทีที่พี่ดาร์กเรียกชื่อของเขาความกล้าก่อนหน้านี้ที่อยากจะเป็นคนดูแลอยากจะอยู่ข้างๆ มันแทบไม่เหลืออยู่เมื่อการเผชิญหน้าพร้อมกับความรู้สึกผิดว่าเป็นต้นเหตุมันทำให้เขาไม่กล้าขานตอบกลับไป

“ตอนนี้ไม่อยู่แล้ว เหลือแค่พวกเราทำไมเหรอ?” คุณแชมป์เป็นคนตอบคำถามของพี่ดาร์ก

“ก็ดี”

พี่ดาร์กถอนหายใจและทิ้งตัวนอนไปที่ที่นอนอย่างเดิม ‘ก็ดี?’ นั้นมันหมายความว่ายังไงมันหมายความว่าการที่เขาไม่อยู่ตรงนี้มันเป็นเรื่องที่ดีแล้ว? เมื่อเป็นแบบนี้เมื่อการไม่มีตัวตนของเขาคือสิ่งที่ดีเป็นธรรมจึงหันไปยกมือไว้ลาครูสมใจและค่อยๆ หันตัวออกมาจากห้องปิดประตูให้เงียบที่สุดเท่าที่จะทำได้เขาจะถือว่าเขาได้ทำหน้าที่ของเขาเสร็จแล้วได้ดูแลจนตอนนี้พี่เขาก็ฟื้นขึ้นมาแล้ว 

แต่เพราะวเป็นธรรมหมุนตัวออกมาเร็วไปเขาเลยไม่ได้ยินประโยคต่อไปที่ทรงจำตั้งใจที่จะพูดออกมา

 “ขอร้องนะไม่ว่ายังไงทุกคนก็อย่าบอกเรื่องนี้กับคุนเป็นเด็ดขาดอย่าบอกเรื่องตาอย่าบอกเรื่องอาการบาดเจ็บถ้าคุนมาถามให้บอกว่าเดี๋ยวก็หายผมไม่อยากให้เขามารู้สึกผิดเพราะมันไม่ใช่ความผิดของเขา”


TBC

ออฟไลน์ sweetsky

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 150
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +29/-0
บทที่ 18 Rewrite

“อ้าว กลับมาแล้วเหรอจ๊ะ? ไหนว่าวันนี้จะอยู่ดูดาร์กที่โรงพยาบาล?”

“พี่ดาร์กเขามีคนไปดูแลแล้วครับแม่…พอลหวัดดี”

“เอ๊ะ แต่ที่ผ่านมาเขาไม่ได้มีญาติ หรือว่าจะเป็นลุงกับป้าที่…”

“เปล่าครับ แต่พี่เขามีคนรู้จักไปดูแลครับ”

“อ่อ งั้นก็ดีจ๊ะ”

“แล้วเรื่องที่โรงพักเป็นยังไงบ้างครับ?”

“ตำรวจรับเรื่องเอาไว้แล้วหลักฐานทางเราพร้อมแต่คุนคงต้องเข้าไปให้ปากคำเพิ่มเติมกับทางตำรวจเพราะตอนเกิดเหตุแม่อยู่ในบ้านและถ้าจะเอาเรื่องถึงที่สุดก็ต้องเป็นดาร์กที่ต้องเป็นคนที่ให้ปากคำด้วยเพราะว่าเขาเป็นผู้ประสบเหตุโดยตรง”

“ไว้ ผมจะเข้าไปแล้วกันครับ”

“งั้นเดี๋ยวแม่ขึ้นไปเปลี่ยนชุดก่อน พอลอยู่กินข้าวเที่ยงด้วยกันก่อนสิลูก”

“ครับแม่”

   ไหนๆ ก็กลับมาที่บ้านแล้วเป็นธรรมก็ไม่อยากปล่อยให้เวลาผ่านไปเฉยๆ เขาจึงโทรให้เมสเซนเจอร์มาส่งรายงานและงานที่เขาทั้งหมดของวันนี้มาให้เขาดูที่บ้านส่วนพอลเขาบอกให้กลับไปตั้งแต่กินข้าวเที่ยงเสร็จแต่พอลก็ยังยืนยันที่จะอยู่เป็นเพื่อนอีกคืน

ตอนเช้าพอลดึงดันที่จะไปส่งเขาที่ทำงานให้ได้แม้จะปฎิเสธว่าไม่เป็นไรแต่พอลก็ไม่ยอมนั่งเถียงกันมาในรถเพราะโรงงานเขากับที่ทำงานของพอลไม่ได้ใกล้กันเลยสักนิดและแล้วพอลก็ต้องยอมแพ้ให้กับการจราจรเมื่อนั่งมาแล้วกว่าครึ่งชั่วโมงแลรถก็ยังไม่ยอมขยับไปไหนพอลยอมตีรถเข้าข้างทางเมื่อใกล้กับสถานีรถไฟฟ้า

“วันนี้จะเลิกงานกี่โมง?”

“ก็คงเย็นๆ ทำไมเหรอ?”

“จะได้มารับช่วงนี้อย่าเพิ่งเดินออกเข้าซอยคนเดียวไม่น่าจะปลอดภัยพวกนั้นจะกลับมาอีกเมื่อไหร่ก็ไม่รู้”

“ไม่เป็นไรเดี๋ยวเรากลับแท็กซี่เข้าไปในซอยก็ได้พอลขับไปกลับเหนื่อยแย่”

“ก็ไม่ได้จะไปกลับจะไปค้างด้วยเลยต่างหากมารับและเดี๋ยวกลับไปค้างบ้านด้วย”

“แล้วที่บ้านละ? ไม่กลับไปดูบ้านบ้างเหรอ?”

“บ้านเราไม่มีอะไร”

“ก็คนที่บ้านไง พ่อ แม่ ไม่ต้องกลับไปดูเหรอ?”

“คุน? มีอะไร?”

“คือ..”

“ว่ามา”

เป็นธรรมก้มหน้ามองมือที่วางที่ตักของตัวเองก่อนที่ตอบคำถามพอลออกไปด้วยเสียงที่เบาเหมือนกระซิบ

“ก่อนกลับบ้านเราอยากแวะเข้าไปดูพี่ดาร์กเขาสักหน่อย ไม่รู้ว่าพี่เขาเป็นยังไงบ้าง”

“คุน”

“ก็พี่เขาต้องเจ็บเพราะเรา จะให้เราเมินเฉยเราคงทำไม่ได้”

“แต่แม่นายก็เป็นคนออกค่าใช้จ่ายไปแล้วนิ”

“แต่…พี่ดาร์กเขาอาจจะตาบอดเลยนะพอลตาที่พี่เขาใช้มาตลอดพี่เขาอาจจะต้องเสียมันไปเพราะเรา”

“เฮ้อ เอางี้งั้นเรากลับไปอยู่เป็นเพื่อนแม่นายก่อนและพอนายจะกลับก็โทรมาเดี๋ยวออกมารับที่สถานีรถไฟฟ้า”

“ไม่เป็นไรเรานั่งแท็กซี่เอาก็ได้ไม่ต้องขับออกมาหรอกพอลอย่าเพิ่งบอกแม่นะเราไม่รู้ว่าแม่จะว่ายังไงบ้างเรื่องที่เราจะไปดูพี่ดาร์ก”

“มันเป็นเรื่องที่นายต้องพูดเองอยู่แล้ว แต่ยังไงตอนจะกลับก็โทรมาแล้วกัน”

“ขอบใจมากนะพอล”

“เออ เรื่องเล็ก”

   งานที่โรงงานเป็นไปตามแผนและขั้นตอนที่ได้ถูกวางเอาไว้ดังนั้นแค่ช่วงบ่ายเขาก็เช็คบัญชีและสต๊อคของที่จะเตรียมส่งของให้กับลูกค้าเสร็จเขาจึงออกจากโรงงานเร็วขึ้นโดยที่หวังเอาไว้ว่าจะได้ใช้เวลาอยู่ที่โรงพยาบาลได้นานมากขึ้น

“เอาไงดีนะ?”

   แต่คำว่า ‘ก็ดี’ จากปากของพี่ดาร์กยังคงติดอยู่ในหัวทำให้แม้เขาจะมาถึงชั้นที่พี่ดาร์กพักอยู่นานแล้วแต่เขาก็เอาแต่เดินวนอยู่แถวโต๊ะประชาสัมพันธ์ไม่กล้าไปที่หน้าห้องพักของพี่ดาร์กแต่จะให้หันหลังกลับใจนึงเขาอยากรู้ความเป็นไปแต่ถ้าเข้าไปเขาก็กลัวว่าจะโดนไล่ออกมาเขายืนเถียงกับความรู้สึกของตัวเองอยู่นานแต่แล้วความเป็นห่วงและอยากรู้อาการของที่มีมากกว่าทำให้เขากล้าเดินเข้าไปที่ห้องพัก

   เป็นธรรมค่อยๆ หมุนลูกบิดและชำเลืองมองเข้าไปในห้องซึ่งในห้องไม่มีใครอยู่ยกเว้นพี่ดาร์กที่นอนอยู่บนเตียง แต่ตาของพี่ดาร์กถูกพันเอาไว้ด้วยผ้าเขาเลยไม่รู้เลยว่าคนที่กำลังเอนนอนที่เตียงนั้นกำลังตื่นหรือหลับอยู่กันแน่แต่โทรทัศน์ที่ถูกแขวนอยู่มันก็ถูกปิดเอาไว้เขาจึงเดาเอาว่าพี่ดาร์กกำลังหลับการพยายามที่จะเดินเข้าไปในห้องให้เงียบที่สุดเท่าที่จะทำได้จนเหมือนการย่องจึงเกิดขึ้น

“ใครครับ?”

   เพราะเมื่อเป็นธรรมเดินจนใกล้จะถึงเตียงพี่ดาร์กก็หันหน้ามาทางเสียงเท้าและเอ่ยปากถามในหัวสมองของเขาคิดหาทางออกให้วุ่นว่าควรจะทำอย่างไรดีระหว่างตอบออกไปว่าเป็นเขาหรือควรจะยืนเงียบอยู่อย่างนี้หรือควรวิ่งออกไปให้เร็วที่สุดเพราะตอนนี้ตรงหน้าผากที่พ้นผ้าพันแผลออกมากำลังปรากฏของรอยย่นแถมมือของพี่ดาร์กก็กำลังควานหาของที่หัวเตียงซึ่งถ้าให้เดาเขาว่าพี่ดาร์กคงกำลังจะกดปุ่มขอความช่วยเหลืออย่างแน่นอน

   เกาะๆ

เสียงเคาะประตูที่หน้าห้องำให้เป็นธรรมเหงื่อตกมันไม่เหลือทางเลือกอื่นให้เขานอกจากยอมรับออกไปสินะว่าเขาเป็นใครแต่พอเห็นว่าเป็นนางพยาบาลคนที่เขาเคยเห็นหน้าตั้งแต่วันแรกที่มาเฝ้าพี่ดาร์กที่กำลังจะเอ่ยทักเขาเขารีบส่ายหัวให้กับเธอพร้อมกับยกมือขึ้นจุ๊ที่ปากในที่สุดเธอก็ยอมพยักหน้าให้

“สวัสดีค่ะคุณทรงจำ ดิฉันเอายาเข้ามาให้พร้อมทั้งขอเช็คร่างกายด้วยนะคะ”

“เมื่อกี้มีคนเข้ามาในห้องใช่ไหมครับ?”

“อ่า”  เธอหันมามองหน้าเขาที่กำลังซีดเผือดก่อนแล้วค่อยหันไปตอบคำถามของพี่ดาร์ก

“ใช่ค่ะ เป็นบุรุษพยาบาลที่ช่วยดิฉันเข็ญของเข้ามาค่ะ” เท่านั้นพี่ดาร์กก็คลายข้อสงสัยและปล่อยให้นางพยาบาลเริ่มทำงาน

“เสร็จแล้วค่ะ คุณทรงจำอยากไปห้องน้ำไหมคะ?”

“ยังครับ”

“ถ้าต้องการอะไรกดปุ่มที่ตรงนี้ ได้ตลอดเวลานะคะ”

   เธอเลื่อนเอาปุ่มกดขอความช่วยเหลือมาวางไว้ที่ข้างหมอนของพี่ดาร์กพร้อมกับจับมือพี่ดาร์คมาสัมผัสกับมัน และก่อนที่เธอจะออกไปจากห้องเธอก็หันมามองทางผมและก็กระซิบให้ผมเดินตามเธอออกไป

“คุณคือคนที่มาส่งคนไข้ที่โรงพยาบาลใช่ไหมคะ?”

“ครับ”

“ดิฉันขอรบกวนถามได้ไหมคะว่าทำไมคุณจะต้องแอบเข้าไปในห้องด้วย?”

   “ผมมีความจำเป็นส่วนตัวครับที่บอกคนไข้ไม่ได้ว่าผมมาเยี่ยมแต่ผมไม่ได้มาเพื่อทำร้ายเขานะครับคุณก็เห็นว่าผมเคยมานอนเฝ้าเขา”

“แม้ดิฉันจะเข้าใจตามที่คุณอธิบายแต่ทางคนไข้ก็มีญาติมาดูแลยังไงดิฉันว่าคุณก็ควรที่แจ้งกับทางญาติของเขาด้วยนะคะเพราะถ้าคุณยังแอบเข้ามาแบบนี้ดิฉันที่ทำหน้าที่ดูแลคนไข้ก็คงต้องแจ้งทางญาติของเขาเช่นกันค่ะ”

“ครับ ผมเข้าใจครับ แล้วผมจะบอกกับทางญาติเขาเองว่าแต่ญาติของคุณทรงจำไม่ได้อยู่เฝ้าตลอดเวลารึครับ?”

“…”

“คือ ผมจะได้มาหาได้ถูกเวลานะครับจะได้ขออณุญาตเข้าเยี่ยม”

“อ่อ ก็จะสลับกันมานะคะ แต่พอช่วงบ่ายนี่จะไม่เห็นใครค่ะ กลับมาอีกทีก็ประมาณบ่ายสามบ่ายสี่คุณจะมาช่วงนั้นก็ได้ค่ะ”

“ขอบคุณมากครับ”

“ค่ะ”

“เดี๋ยวครับคุณ ผมขอรบกวนถามอะไรสักอย่างได้ไหมครับ?”

“ถ้าดิฉันตอบได้ค่ะ”

“คือ ทำไมเมื่อกี้ตอนที่คุณทำแผลให้กับคุณทรงจำคุณถึงไม่ทำความสะอาดแผลที่ดวงตาละครับ?”

“คุณหมอยังไม่ต้องการให้แตะต้องแผลตรงนั้นค่ะ”

“ขอบคุณครับ”

   เป็นธรรมได้แต่บอกตัวเองว่าวันนี้ได้เพียงเท่านี้ก็เพียงพอแล้วแม้เขาจะได้ใช้เวลาแค่เพียงนิดเดียวที่เห็นพี่เขาแต่ก็ยังดีกว่าที่เขาไม่ได้เห็นและรู้ความเป็นไปของพี่ดาร์กเลย

   ตลอดทางกลับบ้านผมคิดมาตลอดว่าผมจะทำอย่างไรเพื่อไม่ให้พี่ดาร์กสงสัยเวลาที่เขาเข้าไปเยี่ยมถึงตาไม่เห็นแต่หูพี่ดาร์กไม่ได้บอดแค่พูดก็รู้แล้วว่าใคร ใช่แค่พูดเพราะแบบนั้นถ้าไม่ใช่เสียงของเขาพี่ดาร์กก็จะไม่มีวันรู้ว่าเป็นเขาเท่านั้นเขาก็รีบค้นหาแหล่งซื้อเครื่องเปลี่ยนเสียงจากอินเตอร์เน็ตทันที


“เป็นไรหน้าสดชื่นเดินลงมาจากสะพานเลย”

   ตรงตีนสะพานของ BTS มีแจงมายืนรอเขาอยู่และยังไม่ทันที่เขาจะได้ทักหรือถามว่าทำไมถึงเป็นแจงแทนพอลไปได้เขาก็โดนจับผิดเข้าให้แล้ว

“แล้วไม่ดีเหรอ?”

“ก็เปล่าก็เห็นพอลบอกว่าเมื่อเช้ามีคนหน้าเหมือนคนกำลังอมทุกข์ก็น่าแปลกใจที่อยู่ดีๆ ก็กลับมาพร้อมรอยยิ้ม หรือว่าผมตาพี่เขาออกมาแล้วสรุปว่าพี่เขาตาจะไม่บอดแล้วเหรอ?”

“ก็เปล่า”

“เฮ้ยหน้าเปลี่ยนสีเลยขอโทษๆ ไม่น่าทักเลย”

“ไม่เป็นไรว่าแต่นี่มาได้ไง?”

“ก็ เพื่อนอยู่ที่นี่กันหมดจะขาดฉันไปได้ไงละจริงไหม?”

คืนนี้เลยกลายเป็นว่าทั้งพอลและแจงค้างที่บ้านของเขากันหมดก่อนล้มตัวลงนอนเล่าเรื่องความคิดเรื่องแปลงเสียงให้กับทั้งสองคนได้ฟังแจงดูไม่ค่อยเห็นด้วยสักเท่าไหร่บอกว่าสิ่งที่เขาทำไม่ใช่เรื่องผิดไม่จำเป็นต้องปิดบังแต่ก็ได้พอลที่ช่วยอธิบายจนแจงเลิกบ่นเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้ไปแต่ก้ยังไม่วายทิ้งคำถามเอาไว้ให้เขาได้คิด

“ทำไมพวกนี้ชอบทำอะไรให้มันซับซ้อนกันนักนะ?”

วันรุ่งขึ้นเป็นธรรมรีบออกไปทำงานตั้งแต่เช้ารีบไปเคลียร์งานให้เรียบร้อยเพราะเขาตั้งใจเอาไว้แล้วว่าจะไปให้ถึงโรงพยาบาลตั้งแต่บ่ายโมงตรงเพราะถ้าเป็นไปตามที่นางพยาบาลคนนั้นได้บอกเขาเอาไว้เขาจะมีเวลาอยู่ราวๆ สามชั่วโมงที่จะเข้าเยี่ยมพี่ดาร์กโดยที่ไม่มีใครรู้

“ใครครับ?”

“สวัสดีครับผมเป็นบุรุษพยาบาลที่นี่ครับ” ได้เวลาที่เครื่องดัดเสียงจะทำงาน

“ผมทานยาไปแล้วเมื่อกี้นิครับ มีอะไรรึเปล่า?”

   ยา? เออใช่เพราะเขาเองก็ไม่อยากเจอเข้ากับนางพยาบาลเลยจงใจมาให้ช้ากว่าเดิมสักหน่อยนั้นสิแล้วเขาจะควรเข้ามาทำไมจู่ๆ บุรุษพยาบาลจะเดินเข้ามาในห้องคนไข้ทำไมกัน

“ผมเข้ามาเก็บของครับ”

   พี่ดาร์กพยักหน้ารับรู้แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรต่อเขาเดินเข้าไปใกล้กับพี่ดาร์กให้มากขึ้นบรรยากาศรอบตัวของพี่ดาร์กมันดูเหงาพิกลเขาเลยทำลายความเงียบ

“คุณอยู่เงียบๆ แบบนี้ ให้ผมเปิดทีวีให้ไหมครับ?”

“ไม่เป็นไรหรอกครับ”

“แต่มันจะไม่เงียบไปเหรอครับ?”

“ผมตอนนี้ดูอะไรไม่ได้นะครับ”

“เสียงไงครับ อยู่แบบนี้คุณไม่เหงาเหรอครับ?”

พี่ดาร์คเริ่มที่จะขมวดคิ้วอาจจจะเพราะเขาคงเริ่มพูดมากเกินกว่าที่บุรุษพยาบาลเขาพูดกัน

“เออ ขอโทษครับถ้าผมพูดมากไป ผมเพิ่งเข้ามาทำงานใหม่ยังไม่ค่อยรู้กฎอะไรนะครับ”

“ไม่เป็นไรครับ”

“แล้ววันนี้คุณหมอมาเช็คตาหรือเปล่าครับ”

“มาครับ”

“คุณหมอว่าอย่างไรบ้างครับ?”

“…”

“พอดีพรุ่งนี้ผมต้องเป็นคนเตรียมของให้กับห้องในชั้นนี้ครับ ผมถามคนไข้อีกรอบแบบนี้เสมอครับ แต่ถ้าคุณไม่สะดวกผมไปเช็คตารางได้ครับ ผมแค่ชวนคุย”

“คุณหมอก็ให้ทำความสะอาดแผลที่ตาได้แล้วครับบอกแค่ว่าแผลปิดสนิทดี แต่เรื่องผลอย่างอื่นต้องรอให้ครบอาทิตย์”

“ผมเชื่อว่าคุณจะต้องหายดี เพราะคุณเป็นคนดี”

“ขอบคุณสำหรับกำลังใจนะครับแต่คุณไม่รู้จักผมคุณไม่รู้หรอกครับว่าผมดีไม่ดี”

“แต่ผมได้ยินมาว่าที่คุณเป็นแบบนี้เพราะคุณไปช่วยคนอื่นเขามา คนที่เข้าไปช่วยคนอื่นจนเป็นแบบนี้ได้ ผมว่าก็สามารถเรียกได้ว่าเป็นคนดีนะครับ”

“คุณไปได้ยินมาจากไหน?”

ทำไมพี่ดาร์กถึงได้เป็นคนขี้สงสัยมากขนาดนี้นะแล้วทำไมเขาถึงต้องพูดอะไรมากขนาดนี้ด้วย

“ก็คนที่พาคุณมาโรงพยาบาลเขาต้องเล่าให้คุณหมอฟังก็แผลคุณเหมือนคนโดนทำร้ายมา”

“อ่อครับ ผมไปช่วยคนที่ผมไปทำร้ายเขามาครับ”

“แต่คุณคงไม่ได้ตั้งใจที่จะทำร้ายเขารึเปล่าครับ?”

“…”

“คือถ้าคุณตั้งใจคุณก็คงไม่ไปช่วยเขาผมเดาเอานะครับ”

“คุณเดาผิดผมตั้งใจครับและเพราะผมตั้งใจเขาเลยต้องมาเจอกับอะไรแบบนี้”

   คำตอบของพี่ดาร์กทำให้น้ำตาของเขาไหลลงมาอย่างที่ไม่ได้เตรียมใจเอาไว้ก่อนเขารีบถอยออกมาจากเตียงนอนพร้อมทั้งยกเอามือปิดปากเอาไว้เพื่อป้องกันไม่ให้ก้อนสะอื้นหลุดออกไปให้พี่ดาร์กได้ยิน

“คุณคงกำลังคิดว่าสมแล้วที่ผมเป็นแบบนี้ใช่ไหมครับ?”

เพราะเขายังไม่สามารถสงบสติของตัวเองได้เขาจึงไม่มีความสามารถที่จะตอบคำถามของพี่ดาร์ก

“คุณครับ?”

“ไม่หรอกครับ ไม่มีใครคิดแบบนั้นหรอกครับ”

“คุณคนเดียวนะสิครับที่ไม่คิดกับคนอื่นผมไม่รู้เลย”

“ไม่หรอกครับเขาก็ไม่คิด”

“คุณจะไปรู้ได้ยังไง?”

“ผมรู้ครับ”

“ครับ?”

“ก็ วันนั้นพอดีผมอยู่เวรผมยังเห็นคนนั้นมาส่งคุณอยู่เลยถ้าเกิดเขาคิดแบบนั้นเขาคงไม่มาส่งคุณ” และนั่งเฝ้าพี่ถึงเช้า อันนี้เป็นประโยคที่เขาได้แต่คิดแต่ไม่ได้โอกาสที่จะสื่อสารออกไป

“เขาเป็นคนแบบนี้แหละครับต่อไม่ให้ใช่ผมแต่ถ้าใครไปเจ็บตรงหน้าของเขา เขาก็ต้องช่วยอยู่ดีว่าแต่วันนั้นคุณเห็นเขาเขาบาดเจ็บตรงไหนไหมครับ?”

“ไม่ครับ”

“ดีแล้วที่มันเป็นแบบนี้”

“อย่าคิดมากเลยครับ คุณรักษาตัวให้หายก็พอครับ”

ไม่น่าเชื่อว่าเวลามันผ่านไปเร็วแค่เพียงประโยคพูดเพียงไม่กี่คำตอนนี้ก็เกือบจะบ่ายสามเข้าไปแล้วเขาอยากที่จะรั้งอยู่ต่อแต่มันก็คงไม่คุ้มถ้าถูกจับได้

“ งั้นผมไปก่อนนะครับ”


   แผนของเขาผ่านไปได้ด้วยดีเป็นธรรมสามารถเข้ามาเยี่ยมพี่ดาร์กจนนี่ก็ผ่านมาเป็นอาทิตย์แล้วทุกวันเขาจะเข้าไปชวนคุยไม่ก็เล่าเรื่องต่างๆ ที่เจอให้ฟังบางครั้งก็เป็นข่าวประจำวันมาเล่าเพราะสมัยที่เรายังคบกันไม่มีวันไหนเลยที่ตื่นเช้ามาพี่ดาร์กจะไม่นั่งฟังข่าวในรถของตัวเองบางครั้งก็เป็นเรื่องที่เขาเดินเจอตามท้องถนน

จนมาถึงวันนี้วันที่คุณหมอจะมาบอกแผนการรักษาดวงตาของพี่ดาร์กว่าจะต้องรักษาดวงตานั้นอย่างไรต่อไป เขารู้สึกเสียใจที่ไม่สามารถมาฟังได้ด้วยตัวเองในช่วงเช้าเขาเลยต้องถามจากตัวของพี่ดาร์กในช่วงบ่ายแทน

“เมื่อเช้าคุณหมอว่าอย่างไรบ้างครับ?”

“ผมต้องเข้ารับการผ่าตัดใหม่อีกครั้ง” เพราะได้คุยกันบ่อยช่วงหลังมานี้พี่ดาร์กเลยยอมพูดกับเขามากขึ้นพร้อมยอมเล่าอะไรให้ฟังมากกว่าเดิม

“ทำไมละครับ? มีอะไรร้ายแรงเกิดขึ้นรึครับ? แล้วคุณหมอว่าอย่างไรบ้าง?”

“เสียงของคุณกำลังตกใจเหมือนครูของผมเลย”

“สรุปว่า?”

“ผมต้องผ่าตัดใหม่อีกครั้ง คุณหมอบอกว่าสภาพตรงเปลือกตาและดวงตาด้านในข้างนึงเสียหายหนักถ้าปล่อยไว้ยังไงหลังแผลหายดีผมก็ต้องสูญเสียการมองเห็น”

“...”

“แต่คุณหมอก็บอกว่าผมอาจจะยังพอมีหวังที่จะสามารถมองเห็นได้อีกครั้ง อย่างน้อยก็สักข้างนะครับ”

“ผมขอใช้ห้องน้ำนะครับ”

   เป็นธรรมรีบตรงเข้ามาในห้องน้ำและเปิดก๊อกน้ำให้แรงที่สุดเท่าที่มันจะแรงได้โดยหวังว่าเสียงของน้ำจะดังพอจนสามารถกลบเสียงร้องไห้ของเขาได้หมด

 ‘สักข้าง’ คุณหมอใช้คำนี้นั้นหมายความว่าเปอร์เซ็นต์ที่จะมองไม่เห็นเลยทั้งสองข้างมีสูงมากขนาดตัวเขารู้ยังทำใจให้ยอมรับไม่ได้แล้วพี่ดาร์กที่นั่งอยู่ข้างนอกนั้นพี่เขาจะรู้สึกอย่างไรเมื่อเช้าพี่เขาผ่านช่วงอารมณ์ความเสียใจความตกใจมาได้อย่างไรเขามีใครอยู่ข้างๆ ไหม ทำไม ทำไมเขาถึงมาอยู่ข้างๆ พี่เขาไม่ได้ทำไม เป็นธรรมใช้เวลาอยู่ในห้องน้ำอยู่ประมาณยี่สิบนาทีกว่าเขาจะพร้อมที่จะเผชิญหน้ากับพี่ดาร์กอีกครั้ง

“คุณโอเคนะครับ?”

“ผมท้องเสียนะครับขอโทษด้วยที่ต้องใช้ห้องน้ำคุณมันกระทันหันจริงๆ”

“ไม่เป็นไรครับ”

   ตอนที่เดินออกมาจากห้องน้ำเขาคิดเอาเองว่าเขาพร้อมที่จะเจอหน้าพี่ดาร์กพร้อมที่จะมำตัวเข็มแข็งแล้วแต่เอาเข้าจริงพอออกมาเขาได้แต่นั่งเงียบเป็นพี่ดาร์กเสียเองที่ทำลายความเงียบโดยการเล่าเรื่องต่างๆ ให้เขาฟังไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่เพื่อนๆ ของเขาที่ต่างวางแผนกันไปไกลหลังจากที่ได้ยินคุณหมอพูดถึงเรื่องการผ่าตัดและเปอร์เซ็นต์จะสำเร็จทั้งที่ตัวพีดาร์กเองยังไม่ได้คิดถึงเรื่องเหล่านั้นและดูเหมือนว่ากลุ่มเพื่อนของพี่ดาร์กไม่มีใครสักคนที่จะยอมฟังหรือถามความเห็นของพี่เขาเลย

“ถ้าเกิดคนนั้นเขายังอยู่ผมคงจะได้พูดอย่างที่ผมคิด”

“ใครเหรอครับ?”

“คนวันนั้นที่คุณเห็นนั้นแหละเขามักจะฟังผมเสมอถ้าวันนี้เขายังอยู่ก็คงจะดี”

   หลังจากที่เป็นธรรมได้ใช้เวลาอยู่ในห้องพักพี่ดาร์กครบสามชั่วโมงเขาก็มุ่งหน้าตรงกลับบ้านเพราะตอนนี้เขาไม่เหลือเรี่ยวแรงให้กลับไปต่อสู้กับงานที่โรงงานได้อีกแล้ว

“วันนี้เลิกเร็วเหรอจ๊ะ?”

“ครับแม่”

“มีอะรึเปล่า? หน้าดูไม่ดีเลย”

“แม่ ผม”

“ว่าไงจ๊ะ?”

“ผมไปเยี่ยมพี่ดาร์กมาครับ”

“แล้วเขาเป็นยังไงบ้างลูก?”

“อาการพี่เขาไม่ดีขึ้นเลยครับแม่”

“ยังไงเราก็ดูแลค่าใช้จ่ายให้เขาอยู่แล้วคุณไม่ต้องเป็นห่วงนะ”

“แม่ครับ ผม ผม”

“ว่าไงจ๊ะ?”

“ผมยังรักเขาแม่ ผมยังรักเขาผมขอโทษแต่ผมไม่สามารถหยุดรักเขาได้ ผมขอโทษ ผม ขอโทษ ผมขอดูแลพี่เขาได้ไหมครับแม่ ผมขอโทษ ผมขอดูแลพี่เขาต่อได้ไหมครับ? ผมรักเขา”


“คุณเก้า?”

“ครับ?”

“ผมไม่แน่ใจว่าเป็นคุณรึเปล่าแต่หลังจากที่ผมได้ยาก็จะมีคุณเข้ามาตลอดผมก็เลยคิดเอาไว้ว่าใช่”

“วันนี้ผมหยิบหนังสือติดมือมาด้วยละครับ”

   ความตกตะลึงที่เห็นว่าใบหน้าของพี่ดาร์กถูกเปิดผ้าพันแผลออกแล้วเหลือเพียงแค่ดวงตาเอาไว้ทำให้เป็นธรรมเงียบจนพี่ดาร์กต้องร้องทักแผลที่หน้าผากของพี่ดาร์กเป็นรอยเย็บยาวลงมาจนถึงส่วนของดวงตา ส่วนแผลที่ข้างแก้มที่ถูกมีดบาดนั้นเป็นรอยแผลเย็บขนาดกว้างและดูท่าทางแล้วมันคงเป็นแผลเป็นอย่างแน่นอนเพราะความนูนของเนื้อแผลนั้นมันมากเหลือเกินเสียงเรียกชื่อใหม่ของเขาจากปากของพี่ดาร์กทำให้เขาต้องกลืนเอาความเสียใจลงไปและพยายามทำตัวให้ร่าเริง

“เผื่อคุณจะลืมไปผมยังคงไม่สามารถเปิดแผลที่ตาได้”

“ผมตั้งใจเอามาอ่านให้คุณฟังนะครับ”

“แล้วคุณไม่ต้องไปทำงานอื่นเหรอครับ?”

“ก็พอผมเก็บของห้องของคุณเสร็จมันก็เป็นเวลาพักเบรกของผมพอดีเพราะฉะนั้นผมก็เลยสามารถมานั่งอ่านให้คุณฟังได้”

“ผมคงดูน่าสงสารมากสำหรับคุณนะสิครับ?”

“ไม่เลยครับไม่เลย ผมก็แค่อ่านอยู่แล้วและก็แค่เพิ่มคนฟังมาเพิ่มอีกคนเท่านั้น”

เมื่อพี่ดาร์กไม่ได้ปฎิเสธเป็นธรรมจึงลากเก้าอี้มาที่ข้างเตียงหนังสือที่เขาเลือกมาเป็นหนังสือนิยายที่เกี่ยวกับโลกสองโลกที่ซ้อนทับกันโดยที่มีดวงจันทร์สองดวงมันเป็นสไตล์นิยายแฟนตาซีที่พี่ดาร์กชอบเมื่อทั้งเขาและพี่ดาร์กต่างได้มุมนั่งถนัดเขาจึงเริ่มเปิดหนังสืออ่าน


“วันนี้ผมจบที่หน้า 20 นะครับ” เมื่อเห็นว่ามันก็ใกล้เวลาที่คนของพี่ดาร์กจะมาแล้วเขาจึงต้องหยุดอ่านและรีบออกไปจากห้องก่อนที่ใครจะเข้ามาเห็น

“กำลังสนุกเลยครับ”

“เอาไว้พรุ่งนี้ผมมาอ่านต่อนะครับ”

“ขอบคุณนะครับ คุณเก้า”

   แม้จะได้ยินชื่อนี้มาสักพักแต่เป็นธรรมก็ต้องใช้เวลาคิดก่อนที่จะขานรับอยู่ดีแม้ว่าเขาจะเป็นคนที่แต่งชื่อนี้มันขึ้นมาเองก็เถอะ

เหตุที่ทำให้เขาต้องมีชื่อใหม่ก็เพราะว่าพี่ดาร์กถามชื่อขึ้นมาด้วยความที่ไม่ได้คิดมาก่อนว่าบุรุษพยาบาลก็ควรมีชื่อเพราะฉะนั้นเขาจึงเลือกเอาเก้าอี้ที่อยู่ข้างหน้าเป็นชื่อของเขานั้นเลยเป็นเหตุผลว่าทำไมเขาถึงชื่อ ‘เก้า’

“เรื่องเล็กครับ”

“คุณเก้าครับก่อนออกไปคุณช่วยพยุงผมเข้าห้องน้ำได้ไหมครับ?”

“ได้ครับ”

เป็นธรรมวางหนังสือลงที่ข้างหัวเตียงลุกขึ้นไปพยุงตัวของพี่ดาร์กขึ้นทุกก้าวของพี่ดาร์กที่เดินไปเข้าห้องน้ำเขารู้สึกได้ว่าพี่ดาร์กขมวดคิ้วอยู่ตลอดเวลา

“เจ็บแผลที่ข้างเอวเหรอครับ?”

“คุณรู้?”

“ผมเคยเข้ามาช่วยพี่พยาบาลในช่วงวันแรกๆ ไงครับ”

“ไม่แล้วครับตอนนี้แผลตรงนั้นแห้งสนิทแล้วครับ ไม่ได้เจ็บแผลแล้ว”   

“ผมเห็นคุณขมวดคิ้วผมเลยคิดว่าคุณกำลังเจ็บแผล” ด้วยความลืมตัวพอมาถึงในห้องน้ำเขาก็เอื้อมมือจะไปปลดกางเกงให้แต่พี่ดาร์กก็จับมือเขาเอาไว้

“ไม่เป็นไรผมทำได้รบกวนคุณเก้าไปรอข้างนอกเดี๋ยวผมเสร็จผมจะเรียกนะครับ”

“ครับ”

   พี่ดาร์กตะโกนเรียกชื่อเขาตอนที่ทำธุระเสร็จแล้วและในช่วงที่เขากำลังพยุงให้พี่ดาร์กขึ้นไปนอนบนเตียงดีๆนั้นเองพี่ดาร์กก็ก้มหน้าลงมาใกล้กับตัวเขามากขึ้น

“คุน?”

“ครับ?”

“น้ำหอมกลิ่นนี้ คุน นี่คุนใช่ไหม?”

   เป็นธรรมแทบลืมหายใจเพราะที่ผ่านมาไม่เคยคิดว่าจะต้องใกล้ชิดกับตัวพี่ดาร์กเขาเลยไม่เคยระวังเรื่องอื่นยกเว้นเรื่องของเสียงเดินใจของเขาเต้นไม่เป็นจังหวะแต่ก็ยังทนกัดฟันถามออกไป

“ผมเก้าครับ กลิ่นนี้ทำไมเหรอครับ?”

“คุณแน่ใจนะว่าคุณไม่ได้กำลังหลอกผม?”

“ผมจะหลอกคุณทำไมครับ?”

“ขอโทษทีครับ พอดีกลิ่นนี้เป็นกลิ่นที่คนรู้จักของผมใช้ ผมเลยคิดว่าคุณคือเขาไปช่วงเวลานึง”

“มันช่างบังเอิญจังเลยนะครับ”

“ครับ มันช่างบังเอิญ”

“วันนี้หมดเวลาพอดีเดี๋ยวพรุ่งนี้ผมมาอ่านต่อนะครับ”

“ขอบคุณครับคุณเก้า”

   เป็นธรรมเก็บของทุกอย่างลงกระเป๋ามองไปรอบห้องอีกครั้งให้แน่ใจว่าเขาไม่ได้ทิ้งอะไรเอาไว้แต่แล้วเขาก็ต้องชะงักการเคลื่อนไหวอยู่ที่หน้าประตูเมื่อบุคคลสองคนที่ยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามของประตูนั้นกำลังยิ้มให้เขา


TBC

ออฟไลน์ sweetsky

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 150
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +29/-0
บทที่ 19 Rewrite

“เป็นคุณจริงๆ ด้วยสินะคะ”

“สวัสดีครับคุณกี้...คุณเบท”

“ตอนแรกที่ได้ยินเกี่ยวกับเรื่องของบุรุษพยาบาลที่ชื่อเก้าจากดาร์กดิฉันก็คิดแปลกใจเพราะตอนมาเฝ้าก็ไม่เคยได้ยินว่ามีบุรุษพยาบาลคนไหนที่มาดูแลที่ชั้นนี้ ดิฉันมาดักเจอคุณหลายครั้งแล้วแต่เราก็คลาดกันตลอดแต่ในที่สุดวันนี้ดิฉันก็ได้เจอคุณสักทีคุณเก้าหรือคุณเป็นธรรม”

เป็นธรรมเชื่อแล้วว่าความลับไม่มีในโลกและวันนี้ความลับที่เขาซ่อนเอาไว้มันถูกเปิดเผยแล้วแถมยังไม่สามารถปฎิเสธได้อีกด้วย

“ครับ ผมเอง”

“งั้นถ้าคุณไม่ได้มีธุระที่ไหนดิฉันขอเชิญไปที่ร้านกาแฟที่ฝั่งตรงข้ามกับโรงพยาบาลได้ไหมคะ?”

   เป็นธรรมพยักหน้ารับคำเชิญของคุณกี้เพราะเขาเองก็อยากจะอธิบายว่าที่เขาทำมาทั้งหมดเขาไม่ได้มีจุดประสงค์ร้ายแต่อย่างไร

   “เราไปกันแค่สองคนเหรอครับ?”

   ”ถ้าไม่มีใครเข้าไปดาร์กจะสงสัยเอาค่ะ”

   เป็นธรรมเงยหน้าขึ้นและสบตากับคุณเบทเป็นการขอร้อง

“เรื่องของผม คุณเบทอย่าเพิ่งบอกกับพี่เขาได้ไหมครับ?”

“ผมรับปาก”

   ร้านกาแฟสมควรเป็นสถานที่ที่พอมาถึงแล้วจะได้รับการผ่อนคลายด้วยกาแฟรสชาติดีสักถ้วยหรือไม่ก็มีการพูดเกิดขึ้นแต่นับตั้งแต่เขาและคุณกี้เดินเข้ามาในร้านจนกาแฟมาเสริ์ฟเราสองคนยังไม่ได้พูดอะไรกันสักคำจนมีใครบางคนเอาเอกสารมาวางให้ที่โต๊ะความเงียบระหว่างเราจึงหายไป

“สวัสดีครับคุณเป็นธรรม”

“สวัสดีครับคุณแชมป์”

“ก่อนจะคุยกันเรื่องอื่น ดิฉันขอถามสักหน่อยว่าคุณทำแบบนี้เพื่ออะไรคะ?”

“ผมแค่อยากดูแลเขา”

“แต่คุณก็แอบมาทำไมคุณถึงต้องหลบๆ ซ่อนๆ คุณมีเจตนาอะไรกันแน่?”

“ผมอยากดูแลพี่เขาจริงๆ ครับแต่ผมไม่อยากให้เขารู้ว่าเป็นผม”

“ทำไมคะ? ดิฉันขอทราบเหตุผลได้ไหม? ไม่อย่างนั้นดิฉันจะเชื่อใจได้ยังไงว่าคุณไม่ได้มาเพื่อที่จะแก้แค้นดาร์กเขาคืน”

“ผมมาดีจริงๆ”

“แม้ว่าเขาจะทำไม่ดีกับคุณมาก่อนเหรอคะ? มันดูเข้ากันไม่ได้เลยค่ะกับสิ่งที่คุณกำลังพูดอยู่ตอนนี้”

“…”

   นั้นสินะแม้ว่าพี่ดาร์กจะทำเรื่องทั้งหมดนั้นกับเขาแต่เขาก็ยังคงต้องการจะดูแลพี่ดาร์กไม่อยากให้พี่เขาต้องอยู่เงียบๆ คนเดียวในห้องสี่เหลี่ยมนั้นทุกครั้งที่พยายามหาเหตุผลว่าเขาทำไปทำไมเขามักบอกตัวเองอยู่เสมอว่ามันเป็นเพราะเขาพี่เขาถึงต้องมาอยู่ในสภาสภาพแบบนี้แต่ลึกๆ เขารู้ว่ามันไม่ใช่เพราะเหตุผลนั้นเพียงแค่เหตุผลเดียวไม่อย่างนั้นการที่แม่ขอดูแลค่าใช้จ่ายใยการรักษาตัวของพี่ดาร์กทั้งหมดมันก็น่าจะเพียงพอแล้วแต่เขาก็ไม่สามารถอธิบายความรู้สึกว่าทำไมเขายังรักกับคนที่ทำให้เขาเจ็บปวดได้เขาจึงเลือกที่ไม่พูดมันออกมา

“ครั้งนั้นพี่ดาร์กบอกว่าเขาไม่ต้องการผม ผม...ไม่อยากให้เขาลำบากใจเลยต้องแอบมาแต่ถ้าคุณจะถามเรื่องเหตุผลผมไม่มีอะไรจะอธิบายครับผมแค่...อยากทำ”

“ไม่เป็นไรค่ะฉันก็แค่ถามถ้าคุณยังไม่มีคำตอบคุณเอาไปคิดแล้วกันนะคะว่าคุณทำไปทำไม”

“พอแล้วกี้เข้าเรื่องเถอะ”

 “โอเค โอเค ที่จริงในวันนี้ดิฉันมีเรื่องที่จะบอกคุณ”

“ตอนแรกดิฉันก็เห็นด้วยกับทุกคนว่ามันไม่มีความจำเป็นอะไรเลยที่คุณจะต้องรู้เรื่องพวกนี้แต่บอกตรงๆ ว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในหลายวันที่ผ่านมาคุณทำให้ดิฉันรู้สึกว่าถึงแม้จะไม่มีใครเห็นด้วยแต่ฉันก็คิดว่าคุณเองก็สมควรได้รู้มัน เพราะมันเป็นเรื่องของคุณ”

“คุณกี้กำลังทำผมงง”

“คำตอบทั้งหมดมันอยู่ในซองนี้ค่ะไว้คุณเปิดดูคุณก็จะรู้เอง”

   เป็นธรรมหยิบซองที่ค่อนข้างหนานั้นขึ้นมาเปิดออกดูทันทีที่เขาเห็นเอกสารเหล่านั้นเขาต้องบังคับมือของตัวเองเอาไว้อย่างมากที่จะไม่ให้ปล่อยเอกสารเหล่านั้นล่วงลงพื้นเอกสารทุกแผ่นเป็นกระดาษตัวจริงไม่ใช่กระดาษถ่ายสำเนาสิ่งที่เขากำลังเห็นทำให้เสียงในหัวของตัวเองมีแต่คำว่า มันเป็นไปไม่ได้

“เรื่องฝากขายบ้านมันเป็นแค่เรื่องสมมุติขึ้นมาบ้านหลังนั้นยังคงเป็นของคุณ”

“แต่วันก่อนผมได้คุยกับคนที่เขาประกาศให้เช่า...”

“ถ้าคุณไม่เชื่อดิฉันคุณสามารถไปเช็คด้วยตัวเองที่กรมที่ดินถ้าไปขอคัดสำเนามาคุณก็จะรู้”

“แต่...”

“เอกสารที่คุณเห็นในวันนั้นมันเป็นของทำขึ้นมาค่ะ อันนี้คือของจริง...ถ้าคุณลองมองกลับไปให้ดีคุณก็คงจะรู้ว่าที่ดิฉันพูดคือเรื่องจริง”

“ส่วนหุ้นโรงเรียนมันมีการถูกขายออกไปจริงแต่ที่ถูกขายไปก็เพียง 30 % เท่านั้น ที่เหลืออีก 70 % ยังเป็นชื่อของคุณอยู่ค่ะคุณสามารถดูได้จากรายชื่อของคนถือหุ้นและก็จำนวนที่ถูกขายออกไป”

   แม้เอกสารจะอยู่ในมือแต่มันก็ยากที่จะเชื่อและเขาก็เริ่มที่จะแยกแยะไม่ออกว่าอะไรคือเรื่องจริงอะไรคือเรื่องที่แต่งขึ้นมาเอกสารที่เขาได้ในวันนั้นมันก็มีรูปร่างหน้าตาที่ไม่ได้แตกต่างจากกับที่กำลังถืออยู่ในตอนนี้

“ทำไม?”

“ทำไมพวกเราถึงตัดสินใจมากบอกคุณ?”

“ไม่ใช่ครับทำไมพี่ดาร์กเขาถึง...”

“ทำไมดาร์กเขาถึงไม่ทำแบบที่เขาบอกว่าจะทำใช่ไหมครับ?”

“ความตั้งใจของดาร์กตั้งแต่แรกก็คือโรงงานและเขาก็ไม่เคยอยากได้หรือทำลายอะไรมากกว่านั้น”

“แต่...”

“ถ้าคุณต้องการที่จะรู้มากกว่านี้ คุณคงต้องไปถามเขาเองพวกเราคงตอบแทนเขาไม่ได้”

“...”   

“ถ้าไม่มีคำถามอะไรอย่างอื่นนอกจากถึงเหตุผลแล้ว งั้นพวกเราขอตัวก่อนนะครับ”

ในเมื่อเขาก็ไม่มีคำถามอื่นใดที่จะถามยกเว้นว่าทำไมเขาจึงไม่รั้งทั้งสองคนเอาไว้และพยักหน้าให้กับคนทั้งสองทั้งที่สายตาของเขายังไม่ละไปจากซองเอกสารที่อยู่ในมือด้วยซ้ำ

“พรุ่งนี้ดาร์กจะเข้าห้องผ่าตัดตาตอน 10 โมงเช้าถ้าคุณอยากจะมาก็มาได้ไม่ต้องมาในช่วงบ่ายหรอกค่ะ”

“ขอบคุณครับ”


เป็นธรรมกลับมาที่บ้านและรื้อเอาเอกสารที่ถูกเก็บเอาไว้มาเทียบกันพอได้วางเทียบเขาถึงได้เห็นว่าเอกสารทั้งสองชุดมีความแตกต่างกันอยู่จริงแม้มันจะเพียงเล็กน้อยแต่ถ้าเขาใส่ใจสักนิดเขาคงรู้ไปตั้งแต่วันนั้นแล้วว่าเอกสารที่เขากำลังถืออยู่มันคือของปลอม

“เรานี่มันโง่ที่สุด โง่ที่สุดเลย”

เรื่องบ้านขาเคยคิดว่าจะไปเช็คหาเจ้าของแต่เอาเข้าจริงเขาก็ไม่เคยได้ลงมือทำตามที่คิดเอาแต่นั่งรอให้คนนั้นติดต่อกลับมาและถ้าเขาเอ๊ะใจสักนิดในวันที่ผมรู้จักกับครูสมใจผมก็ควรจะรู้สึกสะดุดและคุ้นชื่อนั้นให้มากกว่านี้ มาในนาทีนี้เขามั่นใจแล้วว่าเรื่องที่เขารับรู้มาในวันนี้มันคือเรื่องจริงแต่เพื่อความไม่ประมาทเขาจึงยังไม่บอกแม่และตั้งใจที่จะเช็คเรื่องราวทั้งหมดด้วยตัวเองอีกครั้ง   

   เช้าวันรุ่งขึ้นเป็นธรรมมาถึงโรงพยาบาลตั้งแต่ 7 โมงเช้า เขารู้ว่าเขามาถึงก่อนเวลาผ่าตัดอยู่มากแต่ให้นอนรออยู่ที่บ้านเขาก็นอนไม่หลับออกมาอยู่ที่โรงพยาบาลมันจะทำให้เขาสบายใจมากกว่าและการผ่าตัดก็กินเวลาผ่านไปเกือบ 3 ชั่วโมงกว่าที่พวกเราจะได้รู้ผล

“จากการผ่าตัดในวันนี้ข้างที่ไม่ได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงผมค่อนข้างที่จะมั่นใจว่าคนไข้จะสามารถกลับมาใช้งานตาข้างนั้นได้อีกครั้งแต่ทางด้านขวาของคนไข้จากนี้ก็ต้องรอดูผลครับแต่อยากให้ทำใจเผื่อเอาไว้”

   เป็นครั้งแรกที่เป็นธรรมได้นั่งเฝ้าพี่ดาร์กในห้องนี้พร้อมกับทุกคนกว่าพี่ดาร์กจะตื่นขึ้นจากยาก็หลังจากที่มานอนพักได้ประมาณ 5 ชั่วโมงเพียงแค่แค่เขาเห็นว่าพี่ดาร์กตื่นและสามารถที่จะพูดคุยกับคนอื่นๆ ในห้องได้เขาก็รู้สึกโล่งใจมากแล้วเขาจึงใช้ช่วงเวลาที่คนอื่นกำลังชุลมุนอยู่นั้นเดินออกมาจากห้องพักอย่างเงียบๆ

หลังจากที่ออกมาจากโรงพยาบาลเป็นธรรมก็ตรงไปที่กรมที่ดินเพื่อที่จะตรวจสอบเรื่องบ้านแล้วผลที่สรุปออกมามันก็เป็นจริงอย่างที่คุณกี้ได้พูดเอาไว้บ้านหลังนี้ยังเป็นชื่อของเขาเหมือนเดิมไม่ได้ถูกถ่ายโอนไปเป็นชื่อของคนอื่นหรือถูกเอาไปขายฝากตามที่พี่ดาร์กเคยบอกเอาไว้

“ไม่ทราบโฉนดมีปัญหาอะไรรึเปล่าคะ?”

“ทำไมเหรอครับ?”

“ก็เมื่อไม่นานมานี้ก็เพิ่งมาคนมาขอคัดสำเนาที่ดินพื้นนี้ไปเองค่ะ”

“ครับ? ใครเหรอครับ”

“งั้นเดี๋ยวดิฉันเอารายชื่อมาเช็คให้นะคะ”

   แล้วเป็นธรรมก็พบว่าคนที่มาขอคัดสำเนาก็คือคนใกล้ตัวของเขาคนนึงนั้นเอง 

“แม่”

   เสร็จจากที่ดินเป็นธรรมเดินทางต่อไปที่โรงเรียนสอนศิลปะไปถึงเจ้าหน้าที่ประชาสัมพันธ์ก็ทักเขาเช่นเคย

“วันนี้คุณเป็นธรรมไม่ได้มีสอนนิคะ?”

“ครับผมไม่มีสอนวันนี้แต่ผมต้องการที่จะขอพบ หรือ ขอข้อมูลติดต่อกับผู้ดูแลโรงเรียนนี้ได้ไหมครับ?”

“มีปัญหาอะไรรึเปล่าคะ?”

“นิดหน่อยครับ”

“งั้นสักครู่นะคะ”

   เธอพยายามโทรติดต่อไปยังเบอร์ที่เธอมีและในที่สุดเขาก็ได้พูดคุยกับผู้ดูแลโรงเรียนพอเขาเอ่ยแนะนำตัวเท่านั้นคนทางปลายสายก็ตกลงตามที่จะเจอเขาตามนัดหมายทันที

“สวัสดีค่ะดิฉันเคยแต่ได้ยินชื่อของคุณแต่ไม่เคยได้เจอตัวคุณเลยดิฉันวิมลผู้ที่ดูแลโรงเรียนนี้ค่ะ”

“สวัสดีครับคุณวิมลผมอยากจะขอดูรายละเอียดในช่วงที่เกิดการขายหุ้นออกไปจนถึงการอัพเดทล่าสุดด้วยครับ”

“ได้ค่ะ”

   คุณวิมลให้ล็อคอินคอมพิวเตอร์ของเธอมาเพื่อให้เขาสามารถเข้าไปดูรายงานการประกอบการคู่กับเอกสารที่ถูกยกมาคุณวิมลถูกจ้างมาทำการตลาดของโรงเรียนนี้พร้อมทั้งยังคอยดูแลความเรียบร้อยทางด้านเอกสารต่างๆ
ทุกอย่างที่ถูกบันทึกเอาไว้ที่นี่ตรงกับเอกสารล่าสุดที่เขามีเขานายเป็นธรรมยังคงถือหุ้นอยู่ 70 %  ตามที่คุณกี้บอกโดยที่เขายังได้รับการปันผลที่เพิ่งจะมีการแบ่งให้กับผู้ร่วมหุ้นเมื่อเดือนที่แล้วและเมื่อเขามองไปที่บัญชีที่ถูกรับโอนเขาก็เห็นว่ามันคือบัญชีของแม่เขาเอง


“แม่ครับ”

“มีอะไรรึเปล่าลูก? ทำไมสีหน้าดูไม่ดีเลย”

“วันนี้ผมไปโรงเรียนสอนศิลปะมาครับ”

“...”

“ความจริงผมเริ่มไปสอนที่นั้นมาได้ 2 อาทิตย์แล้วแต่เพราะว่าพนักงานที่อยู่ตรงประชาสัมพันธ์ไม่ใช่พนักงานคนเดิมเหมือนในช่วงที่ผมเป็นผู้บริหารอยู่เลยไม่รู้จักผม”

“และวันนี้ผมไปในฐานะอื่นครับไม่ใช่ในฐานะผู้สอนแม่พอจะรู้ไหมครับว่าผมสามารถไปที่นั้นด้วยฐานะอะไรได้บ้าง?”

   เป็นธรรมยื่นเอกสารเกี่ยวกับการถือหุ้นและเอกสารการโอนเงินที่ได้รับปันผลหุ้นออกมาให้แม่ดูแม่หยิบเอกสารเหล่านั้นขึ้นมาดูด้วยหน้าตาที่ไม่มีความตกใจอยู่เลย

“แม่รู้อยู่แล้ว?”

“จ๊ะ แม่ได้เงินปันผลเข้าบัญชีในนั้นระบุอย่างชัดเจนว่าเงินมาจากที่ไหน”

“งั้นถ้าผมจะขอถามต่อว่า แม่เองก็รู้เรื่องบ้านหลังนี้แล้วใช่ไหมครับ?”

“...”

   มิน่าละช่วงหลังทำไมแม่ถึงไม่เคยถามถึงเกี่ยวกับเรื่องบ้านเลยทำไมแม่ถึงไม่คิดที่จะถามอะไรเกี่ยวกับมันสักนิดไม่เห็นเหมือนตอนแรกๆ ที่แม่พยายามถามถึงบุคคลที่ถือสิทธิ์ในบ้านหลังนี้

“แม่ไม่คิดจะบอกผมสักนิดเลยเหรอครับ? แม่ปล่อยให้ผมกังวลไปเพียงคนเดียวเหรอครับ? “

“แม่ติดต่อดาร์กไปเมื่อ 2เดือนที่แล้ว”

“...” เสียงโวยวายของเขาเงียบลงเมื่อแม่เริ่มที่จะเล่าเรื่องที่เขาไม่รู้ให้ฟัง

“แน่นอนว่าเขาปฎิเสธที่จะเจอกับแม่แต่ที่น่าแปลกคือเขาปฎิเสธที่เจอกับแม่แต่แม่กลับเจอรถของเขาจอดห่างออกไปอีกซอยด้วยความบังเอิญด้วยความที่อยากรู้แม่เลยรอดูว่าเขามาทำอะไรที่แถวบ้านของเราและแม่ก็เห็นว่าเขามาคอยดูลูก พอลูกเดินผ่านซอยนั้นเขาก็จะคอยเดินตามจนลูกถึงบ้านมันเป็นเหตุการ์ณที่น่าขำมากนะแม่ตามเขาเขาเดินตามลูก”

“พอแม่เห็นแบบนั้นแม่จึงติดต่อเขาไปอีกครั้งโดยที่บอกกับเขาว่าแม่รู้ว่าเขามาและถ้าเขาไม่มาเจอกับแม่แม่จะบอกให้ลูกรู้เขาจึงยอมรับข้อตกลงที่แม่ขอคุยกับเขาเป็นการส่วนตัว”

“วันที่เจอกันแม่ถามเขาเรื่องบ้านแน่นอนว่าเขาพูดอะไรจนแม่เอาเอกสารการกู้เงินให้ดาร์กเขาดูและก็บอกเขาว่าลูกกำลังทำงานอย่างหนักเพื่อใช้หนี้และเอาบ้านหลังนี้คืนมาเพราะฉะนั้นแม่ขอแค่เพียงให้บอกข้อมูลทั้งหมดมาเพราะแม่คุยกับคนที่ชื่อสมใจแล้วแม่ไม่สามารถได้คำตอบอะไรได้เลย”

“ดาร์กบอกกับแม่ว่าให้แม่ดูเอกสารให้ดีๆ แม่ก็เลยกลับมาเช็คดูและแม่ก็เลยรู้ว่าบ้านหลังนี้ที่จริงแล้วยังเป็นของเราอยู่”

”แม่คุยกับพี่ดาร์ก?”

“ใช่และเขาก็มาที่บ้านตลอดนับตั้งแต่วันนั้น”

“วันที่เกิดเรื่องขึ้นแม่พยายามโทรหากี้เพราะกี้เพิ่งจะขับรถออกไปแม่คิดว่ากี้น่าจะกลับมาทันแต่กี้ไม่ได้รับโทรศัพท์แม่เลยตัดสินใจโทรหาดาร์กและเขาก็รับสาย”

“พี่ดาร์กเขา”      

“มันไม่ใช่เพราะความบังเอิญเขามาเพราะแม่เป็นคนโทรไปขอความช่วยเหลือจากเขาเขามาเพราะแม่รู้ว่าเขาคือบุคคลที่อยู่ใกล้ที่สุดแม่รู้และแม่ก็เรียกเขามาเพราะแม่เองก็ไม่สามารถที่จะออกไปปกป้องลูกได้ในเวลานั้น”

“แม่ก็เลยที่จะไม่ลังเลที่จะจ่ายค่ารักษาให้พี่ดาร์ก”

“ใช่จ๊ะ”

    “ทำไมแม่ไม่คิดจะบอกผม? ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไร ทำไมแม่ไม่เคยบอกผม”

“ถ้าเป็นเรื่องบ้านและเรื่องของโรงเรียนเพราะที่ผ่านมาลูกทำได้ดีมาตลอดตั้งแต่เกิดเรื่องลูกรู้ไหมว่าลูกโตขึ้นมากตั้งแต่เกิดเรื่องขึ้นมาลูกสนใจในธุรกิจของครอบครัวของเรามากขึ้นและแม่ก็อยากให้มันยังคงเป็นแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ”

“แม่ต้องการให้เราสนใจสิ่งที่อยู่ในมือที่เป็นของเรามากกว่าสิ่งอื่นใดโรงเรียนนั้นไม่ใช่ของเราทั้งหมดไม่ใช่เหรอ?”

“…”

“ส่วนเรื่องของดาร์กทุกครั้งที่แม่เห็นเขามาขับรถเดินวนอยู่แถวบ้านและไม่บอกลูกเพราะแม่คิดว่าเรื่องของเขากับลูกมันสมควรจบไปได้แล้วแม้เขาจะไม่ได้ทำลายเราทั้งหมดแต่มันก็หนีไม่พ้นที่ว่ายังไงเขาก็ทำลายเราอยู่ดีใช่ไหม?”

“...” 

“แม่ควรเชื่อเด็กคนนั้นสินะ”

“ครับ?”

“ดาร์กเคยบอกว่าเราคงอยากจะรู้เรื่องนี้มากที่สุด”

“ผม...แค่อยากเป็นคนที่รู้เรื่องที่เกิดขึ้นภายในครอบครัวก็เท่านั้น”

“คุน”

“แม่รู้ไหมว่าผมต้องรู้สึกอึดอัดอย่างไรที่ตัดสินใจไปดูแลคนที่ขโมยทุกอย่างไปจากเราคนที่ขโมยแม้กระทั่งความฝันของผมไปทั้งๆที่เขารู้ว่าผมรักความฝันนั้นมากแค่ไหนทุกครั้งที่ผมกลับมาที่บ้านหลังจากที่ผมไปดูแลเขามาแม่รู้บ้างไหมครับว่าผมรู้สึกผิดกับแม่เพียงใด?”

“แต่เขาก็ทำให้โรงงานที่พ่อของเราสร้างมากับมือเสียชื่อเสียงอยู่ดี ยังไงเขาก็ทำร้ายเราแม่ไม่คิดว่าสิ่งที่เขาทำมันจะสามารถลบล้างความผิดนั้นได้”

“แต่นั้นก็เพราะเราไปทำร้ายครอบครัวเขาไม่ใช่เหรอครับ!!”

น้อยครั้งที่เป็นธรรมจะขึ้นเสียงกับแม่ แม่เองก็คงตกใจเขาเองก็ตกใจที่เสียงดังออกไปเขาจึงรอให้อารมณ์เย็นลงก่อนที่จะพูดกับแม่อีกครั้ง

“และที่สำคัญก็เพราะว่าครอบครัวเรากำลังทำให้พี่ดาร์กอาจจะต้องสูญเสียการมองเห็นไปแบบนี้ผมคงไม่ผิดใช่ไหมครับที่ผมยังอยากจะอยู่ดูแลเขาผมไม่ต้องรู้สึกผิดต่อครอบครัวเราได้ไหมครับ?”


TBC

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ sweetsky

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 150
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +29/-0
บทที่ 20 Rewrite

“วันนี้รู้สึกเป็นยังไงบ้างครับ?”

“รู้สึกเจ็บแผลเล็กน้อยครับแต่เมื่อเช้าคุณหมอมาดูอาการแล้วเห็นว่าเป็นเรื่องปกติ”

“แล้วนั้นคุณดาร์กทำอะไรนะครับ!!!”

โดยไม่ทันได้คิดเป็นธรรมรีบเข้าไปคว้าข้อมือของพี่ดาร์กเอาไว้เมื่อพี่ดาร์กก็ยกหลังมือขึ้นมากดลงที่ผ้าพันแผลตรงแถวดวงตาของตัวเอง

“ต่อให้คุณรู้สึกไม่ชอบใจที่คุณต้องมาอยู่ในสภาพนี้แค่ไหนก็ตามคุณก็ไม่ควรที่จะทำร้ายตัวเองนะครับคุณควรที่จะนึกถึงคนที่เขารักคุณและหวังให้คุณหายดีเอาไว้มากๆ นะครับ”

   เป็นธรรมกำมือของพี่ดาร์กเอาไว้แน่นไม่ยอมปล่อยเพราะกลัวเหลือเกินว่าพี่ดาร์กจะยกมือคู่นั้นขึ้นมาทำร้ายตัวเองอีก

“คุณเก้าปล่อยผมเถอะครับ”

“งั้นคุณต้องสัญญาก่อนว่าคุณจะไม่ทำร้ายตัวเอง”

“ได้ครับผมสัญญา”

“แน่นะครับ?”

“ผมแค่คันแผลก็เท่านั้นเอง”

“หะ?”

“ผมไม่ได้จะทำร้ายตัวเองอะไรเลยครับผมแค่คันแผลเลยพยายามใช้มือกดบรรเทาเอาครับ”

“เอ่อ อ่อ ครับ อ้าว ผมขอโทษครับที่เข้าใจผิด”

“แต่ยังไงผมก็ขอบคุณครับเพราะถ้าผมกดแรงเกินไปก็อาจมีผลกระทบได้”

“เอ่อ ครับ”

“ว่าแต่น้ำหอม…คุณเก้าใช้กลิ่นนี้ตลอดเลยเหรอครับ?”

“มะ ไม่ตลอดครับ แค่พอดีขวดนี้ได้มาฟรี”

“กลิ่นของมัน…”

“ว่าแต่คุณคันแผลมากขนาดนี้จะลองให้ผมเรียกคุณหมอเข้ามาดูแผลให้ไหมครับ? หรือว่าจะให้ไปขอยาแก้คันทานดีไหมครับ?”

“ผมเพิ่งกินยาแก้คันไปเองครับ แต่เหมือนจะไม่ช่วย”

“งั้นถ้าคุณต้องการอะไรบอกผมได้เลยนะครับ”

“งั้นตอนนี้ผมอยากกินผัดไทยมากเลยครับ อาหารโรงพยาบาลมากี่มื้อก็ไม่เจอผัดไทยเลยสักมื้อ”

“โธ่ ถึงมีก็คงไม่มีผัดไทยกุ้งให้หรอกครับ”

“คุณรู้ได้ยังไงว่าผมชอบทานผัดไทยกุ้ง?”

“ก็ ก็ ผัดไทยส่วนมากเวลาใครสั่งก็สั่งใส่กุ้งไม่ใช่เหรอครับ? ผมและเพื่อนใครก็สั่งหรือคุณไม่? คุณชอบไก่เหรอครับ?”

“ผมชอบผัดไทยกุ้ง”

“เห็นไหมครับ ใครๆก็ทานกัน” เป็นธรรมถอนหายใจด้วยความโล่งอกที่บทสนทนายังลื่นไหลไปได้โดยที่พี่ดาร์กไม่ได้เอ๊ะใจว่าทำไมเขาถึงพูดถึงผัดไทยกุ้งที่เป็นของโปรดของพี่ดาร์กขึ้นมาเป็นชื่อแรก

“ว่าแต่เสียงคุณเก้าดูไม่เหมือนเดิม เป็นอะไรรึเปล่าครับ?”

“เอ่อ ผมเจ็บคอเล็กน้อยแต่ไม่ต้องห่วงผมไม่เอาแพร่เชื้อให้กับคุณอย่างแน่นอน”

“ผมไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น”

   เป็นธรรมเองก็รู้สึกตั้งแต่ตอนที่เริ่มคุยกับพี่ดาร์กแล้วว่าเสียงมันออกมาเปล่งๆ แถมตั้งแต่ตอนที่เปิดเครื่องวันนี้เครื่องดัดเสียงของเขาก็ร้อนเร็วกว่าปกติลองเอามาเคาะดูแล้วก็ไม่ดีขึ้นคิดเอาว่าวันนี้จะพยายามพูดให้น้อยลงหน่อยแต่ไม่คิดว่าพี่ดาร์กจะรู้สึกได้เร็วตั้งแต่แค่ไม่กี่ประโยคแรกที่ได้คุยกันเพราะเอาจริงมันก็แค่เปลี่ยนไปนิดหน่อยเท่านั้น

แต่ก็อาจจะเป็นอย่างที่เขาว่ากันว่าถ้าคนเราถ้าร่างกายของเราเกิดอะไรบางอย่างผิดปกติเรามักจะมีประสาทสัมผัสอย่างอื่นที่ดีขึ้นเพราะมันคือหนึ่งในขั้นตอนของการปรับตัวเพื่อเอาตัวรอดของมนุษย์และพี่ดาร์กคนที่ถูกปิดตามาได้สักพักร่างกายคงมีการปรับตัวโดยใช้ส่วนอื่นรับรู้แทน

“แล้วคุณหมอบอกอะไรอีกบ้างไหมครับ?”

“คุณหมอบอกว่าต้องรอดูตอนเปิดผ้าในอีกสามวันข้างหน้า นี่ก็เหลืออีกแค่สองวันแล้ว”

“ถ้าคุณเปิดตาแล้วคุณอยากทำอะไรเป็นอย่างแรกครับ?”

“ก็ต้องขึ้นอยู่กับว่าผมหายดีไหม”

“ถ้าคุณหายดี สิ่งแรกที่คุณอยากทำคืออะไร?”

“ผมอยากไปเจอคนๆนึง”

“ใครครับ?”

“คนที่ผมเคยบอกคุณเก้าว่าผมทำผิดกับเขาเอาไว้นะครับ”

“แล้วคุณดาร์กอยากจะไปเจอเขาทำไมครับ? มีอะไรทำให้อยากไปเจอเขาเหรอครับ?”

“วันนี้ดูคุณเก้าพูดเยอะกว่าที่เคย”

ความอยากรู้ทำให้เป็นธรรมหลุดคราบบุรุษพยาบาลและถามในเรื่องส่วนตัวด้วยเสียงที่แสดงออกถึงความอยากรู้มากเกินไปทำให้พี่ดาร์กหันหน้าของตัวเองมาตรงๆ ที่ทางเขายืนอยู่และด้วยเสียงพูดของพี่ดาร์กที่พูดออกมาทำให้เขารู้ว่าเขากำลังล้ำเส้น

    “เอ่อ ขอโทษครับผมคงถามละลาบละล้วงมากไป”

   ในห้องตกถูกปกคลุมไปด้วยความอึดอัดเป็นธรรมเองก็เข้าใจได้ดีเพราะอยู่ๆ ถูกคนที่ไม่สนิทมาขึ้นเสียงถามแบบซอกแซกแทบทุกเรื่องเขาก็คงจะรู้สึกไม่ต่างจากพี่ดาร์กเมื่อคำขอโทษที่ถูกเอ่ยออกไปยังไม่สามารถสร้างบรรยากาศให้ดีขึ้นได้เขาจึงต้องใช้วิธีเปลี่ยนเรื่องแทน

“ให้ผมอ่านหนังสือให้ฟังต่อดีไหมครับ?”

“วันนี้คุณเก้าไม่สบายอยู่เอาไว้วันหลังดีกว่าครับ”

   เป็นธรรมเอามือตีหน้าผากของตัวเองนั้นสิเขาคิดอะไรอยู่บอกว่าไม่สบายแต่พอจะเปลี่ยนเรื่องดันเอาเรื่องหนังสือมาอ้างมันช่างเป็นข้ออ้างที่ไม่ได้ผลเอาเสียเลยแต่เขาก็ไม่ยอมแพ้

“ไม่เป็นไรครับผมไม่ได้เจ็บคอ”

“เอาไว้วันหลังเถอะครับ”

   บอกแล้วว่าจะไม่ยอมแพ้เป็นธรรมจึงลากเก้าอี้มานั่งที่ข้างเตียงให้เข้าใกล้กับเตียงมากขึ้นแล้วค่อยเปิดหนังสือไปแต่ละหน้าโดยตั้งใจให้เสียงกระดาษมันดังและในบางจังหวะเขาก็แกล้งทำเสียงเป็นกลั้นขำหรือไม่ก็ส่งเสียงให้ดูเหมือนน่าตื่นเต้นในลำคอออก

“นั้นคุณเก้าทำอะไรครับ?”

“ก็คุณไม่อยากฟังแต่ผมอยากอ่านเพราะผมอุตส่าห์ไม่อ่านเองและเก็บเอาไว้อ่านตอนพร้อมกันตอนที่คุณออกมาจากห้องผ่าตัด แต่ในเมื่อคุณไม่พร้อมที่จะฟังผมก็ต้องอ่านเงียบๆ ครับ และพอดีผมแอบมาหลบในห้องนี้เพราะในห้องพักของพยาบาลคนพักช่วงนี้เยอะมากจนผมแถบไม่มีที่นั่งผมพอจะขอนั่งในห้องนี้ขณะที่ผมกำลังอ่านอยู่ได้ไหมครับ?”

“ครับ”

   เมื่อการกระทำของเขาเริ่มได้รับความสนใจจากพี่ดาร์กเขาจึงใช้เสียงกระดาษเป็นตัวกดดันในขณะที่พี่ดาร์กใช้ความเงียบกดดันเขาแต่ในที่สุดเสียงกระดาษก็ชนะความเงียบ

“เฮ้อ ถ้าไม่เป็นการรบกวนจนเกินไป คุณเก้าช่วยอ่านให้ผมฟังได้ไหมครับ?”

“งั้นผมเริ่มเลยนะครับ คุณพอจะจำบทที่ผ่านมาได้ไหมครับ? ต้องการให้ผมอ่านทวนก่อนไหม?”

“ไม่เป็นไรครับผมจำได้ เริ่มบทใหม่ได้เลยครับ เอาต่อจากที่คุณอ่านเลยก็ได้ครับ”

“ไม่เป็นไรหรอกครับเพราะว่าผมไม่ได้อ่านผมพลิกมันเล่นเฉยๆ”

“…”

“ผมล้อเล่นนะครับผมเพิ่งอ่านไปไม่กี่หน้าผมย้อนกลับไปได้ครับ มีบางตอนที่ผมอยากถามความเห็นคุณด้วย”

ก็ยังดีที่พี่ดาร์กไม่โมโหเรื่องที่เขาถามซอกแซกถึงขนาดให้ไล่เขาออกไปจากห้องยังยอมให้เขาอยู่ยืมห้องนั่งอ่านหนังสือเขาถึงแก้สถานการณ์ได้มาถึงขนาดนี้ต้องยอมรับว่าหนังสือคือเครื่องมือที่สามารถล้างความอึดอัดออกไปได้ดีมาก เพราะเพียงแค่บทนึงผ่านไปพี่ดาร์กก็มีสีหน้าที่ผ่อนคลายและคลอยไปกับหนังสือที่เขาอ่านให้ฟัง


“สวัสดีครับคุน…เก้า”

“สวัสดีครับคุณเบท”

ไม่รู้ว่าคุณเบทปิดประตูเบาและเดินเข้ามาอย่างไร้เสียงหรือเป็นเพราะว่าเขาเองที่เอาแต่สนใจคนตรงหน้าที่กำลังอธิบายเนื้อเรื่องที่ต่อยอดมาจากในหนังสือจนไม่ได้ยินเสียงตอนที่คุณเบทเดินเข้ามาในห้อง

คุณเบทเว้นชื่อเก้าไปนานจนเขาเกือบลืมหายใจเพราะเขาเดาใจของคุณเบทไม่ถูกเลยว่าต้องการทำอะไรเพราะตั้งแต่วันที่ผ่าตัดทุกคนก็ตกลงกันแล้วว่าเขาสามารถเข้ามาเยี่ยมและดูแลพี่ดาร์กได้โดยที่เรื่องเหล่านี้จะยังคงเป็นความลับตามที่เขาต้องการแต่แล้วการที่คุณเบทเรียกชื่อเขาออกไปนั้นมันกลับเป็นการทำพลาดไป

“สองคนนี้รู้จักกันด้วยเหรอ?”

“อะ เอ่อ”

   นั้นสิเรารู้จักกันด้วยเหรอเพราะตลอดที่ผ่านมาเขาไม่เคยอยู่จนเจอใครแล้วเขาจะรู้จักกับคนที่ก้าวเข้ามาในห้องนี้ได้อย่างไรคำถามนี้ที่ถูกถามออกมามันกระทันหันจนเป็นธรรมก็ไม่รู้จะแก้ตัวกับพี่ดาร์กยังไง พอหันไปขอความช่วยเหลือจากคุณเบทเขาก็ได้แค่รอยยิ้มกับการหยักไหล่เหมือนกับเป็นการส่งสัญญาณมาให้เขาว่า ‘หาทางแก้เอาเองสิ’ กลับมา

   มันน่าเจ็บใจที่ในขณะเขากำลังคิดอย่างหัวหมุนคุณเบทก็เอาแต่อมยิ้มเดินไปมาอยู่แบบนั้นจนหัวคิ้วของพี่ดาร์กเริ่มที่จะหมุนเข้าหากันพี่ดาร์กคงสงสัยว่าทำไมคำถามง่ายๆ ของเขาไม่มีใครให้คำตอบ และในเมื่อเป็นธรรมไม่สามารถที่จะหาข้อแก้ต่างให้กับตัวเองได้เขาจึงปิดหน้าหนังสือลุกขึ้นเก็บของและทิ้งคำถามนี้เอาไว้กับอีกคนที่ยังคงต้องอยู่แล้วกัน

“ผมเอาแต่อ่านหนังสือลืมเวลาไปเลยว่าผมต้องไปทำหน้าที่ต่อแล้วยังไงผมขอตัวก่อนนะครับ คุณดาร์ค คุณ…เบท”

   ก่อนออกจากห้องเขาหันไปยิ้มให้กับคุณเบทที่เริ่มที่จะมีความลำบากใจอยู่บนในหน้าเมื่อเขาสามารถเอาคืนได้สำเร็จเขาก็ผละตัวเองออกมาจากห้องนั้นแต่ก่อนที่เขาจะปิดประตูห้องเขาก็หันกลับไปมองคุณเบทพร้อมกับขยับปากโดยไร้ซึ่งเสียงออกไปว่า ‘คุณสัญญากับผมแล้วนะ’ และปิดประตูลงปล่อยให้เป็นหน้าที่ของเพื่อนรักเขาคุยกันเองหลังประตูบานนั้น

   เย็นวันนี้เขาแวะเข้าตลาดก่อนเข้าบ้านซื้อเครื่องปรุงที่จะทำผัดไทยให้พี่ดาร์กได้ทานเพราะไม่รู้ว่าผลในอีกสองวันข้างหน้าจะเป็นยังไงและเขาก็ไม่รู้ด้วยว่าจะสามารถได้ดูแลพี่ดาร์กอีกไหม? เขาเลยอยากใช้ช่วงเวลานี้ทำทุกอย่างให้เต็มที่ทำตามที่เขาอยากทำเช้าวันรุ่งขึ้นเขาจึงไปโปล่ไปเยี่ยมพร้อมกับของโปรดของพี่ดาร์ก

“ผมเอาผัดไทยมาฝากครับ”

“คุณเก้า”

“ผมรู้ว่าคุณเพิ่งทานข้าวเที่ยงไปเอาไว้มื้อเย็นก็ได้ครับ”

“ขอบคุณครับ”

“ไม่เป็นไรเลยครับ”

เป็นธรรมเดินเอาผัดไทยไปวางเอาไว้ที่เค้าท์เตอร์เก็บของชวนพี่ดาร์กคุยถึงเรื่องสัพเพเหระไปสักพักก่อนที่จะเริ่มอ่านหนังสืออีกครั้ง

“แล้วทั้งสองคนก็เลือกที่จะไปอยู่ในโลกที่มีพระจันทร์เพียงดวงเดียวและทิ้งความหลังทั้งหมดเอาไว้ จบบริบูรณ์”

“จบซะแล้วเรื่องนี้สนุกจริงๆ ด้วยครับขอบคุณนะครับคุณเก้าที่มาอ่านให้ฟัง”

“ด้วนความยินดีครับ”

“ว่าแต่คุณเก้าดูเหมือนยังไม่ดีขึ้นเลยนะครับ?”

“เดี๋ยวก็คงดีขึ้นละครับ ผมไปหาหมอรับยามาแล้ว”

   เป้นธรรมจะถือว่าเขาโกหกพี่ดาร์กเพียงครึ่งเดียวแล้วกันเพราะเมื่อเช้าเขาก็พาเจ้าเครื่องดัดเสียงที่เปรียบเสมือนกล่องเสียงของเขาไปหาช่างที่เทียบได้ว่าคือหมอมาแล้วเพียงแต่ว่าช่างคนดังกล่าวยังหาสาเหตุไม่เจอว่าทำไมเครื่องดัดเสียงของเขาถึงมีอาการเสียงเพี้ยนตอนแรกทางนั้นอยากจะขอให้เขาทิ้งเครื่องเอาไว้ก่อนแต่เพราะว่าบ่ายนี้เขาต้องการมาเยี่ยมพี่ดาร์กเขาเลยปฎิเสธไปแต่พอมาโดนทักเข้าอีกครั้งแบบนี้เขาว่าระหว่างที่จะเอาไปซ่อมกับไปหาซื้อใหม่บางทีการหาซื้อใหม่อาจจะง่ายกว่า

“อย่าลืมดูแลตัวเองด้วยนะครับ”

“ขอบคุณครับ ว่าแต่คุณดาร์กอยากทำอะไรเป็นพิเศษไหมครับวันนี้?”

“คุณเก้ายังเหลือเวลาอีกเยอะเหรอครับ? ถึงสามารถอยู่กับผมได้นาน”

“ก็อีกสักพักนะครับ”

“งั้นผมอยากออกจากนอกห้องครับ”

“งั้นเดี๋ยวผมพาคุณลงไปทางด้านล่างของตึกแล้วกันนะครับทางด้านล่างมีสวนเล็กๆ ของโรงพยาบาลอยู่”

“ขอบคุณครับ”

   เป็นธรรมเข็ญพี่ดาร์กลงไปที่สนามทางด้านล่างที่เป็นสวนเล็กๆ หใคนไข้ได้มาสูดอากาศข้างนอกจะว่าไปวันนี้เป็นวันแรกเลยที่พี่ดาร์กเอ่ยปากขอให้เขาทำอะไรให้

“ไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นช่วงบ่ายนะครับอากาศไม่ค่อยร้อนเท่าไหร่เลย?”

“ช่วงนี้อากาศก็ประมาณนี้แหละครับ”

   ความจริงตอนนี้มันไม่ใช่ช่วงบ่ายแต่มันเป็นเวลาบ่ายสี่โมงเย็นนั้นคือเหตุผลว่าทำไมอากาศในตอนนี้ถึงไม่ได้ร้อนอย่างที่พี่ดาร์กคาดเอาไว้

ที่วันนี้เป็นธรรมสามารถอยู่ได้เย็นขนาดนี้ก็เพราะวันนี้เป็นเวรของคนที่เข้ามาเฝ้าพี่ดาร์คคือคุณแชมป์และคุณแชมป์เป็นคนเดียวที่ยอมเปิดโอกาศให้เขาได้มามาดูแลพี่ดาร์กโดยที่ไม่เคยถามถึงเหตุผลที่เขาต้องคอยปิดบังจนเป็นเขาเองที่เอ่ยปากถามกับคุณแชมป์ว่าทำไมถึงยอมเปิดโอกาสให้กับเขามากขนาดนี้

“ภาพที่ผมจำได้สำหรับคุณสองคนคือคนรักกัน”

“แต่ผมกับพี่ดาร์กก็เลิกกันก่อนที่จะเกิดเรื่องพวกนี้ขึ้น”

“แล้วคุณรักดาร์กเขาไหมละ?”

“ครับ ผมยังรักพี่เขา”

“เท่านั้นผมว่ามันก็เป็นเหตุผลที่มากพอที่ผมจะเปิดโอกาสให้กับคุณแล้วละ”

“ขอบคุณครับ”


“พรุ่งนี้คุณก็ต้องเปิดตาแล้วนะครับ รู้สึกยังไงบ้างครับ?”

“ตอนแรกผมว่าผมไม่รู้สึกอะไร แต่พอเอาเข้าจริงยิ่งใกล้วันผมก็รู้สึกแอบกังวล ในตลอดชีวิตผมว่าผมไม่กลัวอะไรผมว่าผมผ่านมาหมดแล้วแต่หลังจากเหตุการ์ณนี้เกิดขึ้นทำให้ผมรู้ว่าสิ่งที่ผมกลัวคือกลัวการผิดหวัง”

    “อย่าเพิ่งคิดมากเลยครับ มันยังไม่เกิดคุณอย่าเพิ่งกังวลไปเลยครับถ้าเกิดเปิดตาออกมาแล้วเกิดมองเห็นคุณก็กังวลไปฟรีเลยนะครับ”

“ครับ”

“คุณเก้าครับ ผมมีเรื่องอยากที่จะถามคุณและถ้าเกิดคำถามของผมไปทำอะไรให้คุณรู้สึกไม่ดีผมต้องขอโทษด้วยนะครับ”

“ถามได้เลยครับ”

“พวกเพื่อนๆ ผมเป็นคนบอกเรื่องราวของผมให้คุณได้ฟังใช่ไหมครับ? เช่นพวกของกินหรือแม้กระทั่งการที่คุณมาคอยดูแลผม
แบบนี้?”

“เปล่านะครับ”

“งั้นก็แสดงว่าคุณชอบผมเหรอครับ? คุณมาคอยดูแลโดยใช้เวลาว่างของตัวเองทั้งหมดโดยที่ไม่ได้รู้จักกัน”

“คือ…”

“ถ้าเป็นเพราะข้อหลังผมต้องขอบคุณนะครับที่คุณมาคอยดูแลและผมก็ไม่รู้ด้วยว่าอะไรดลใจให้คุณมาชอบผม แต่ถ้าเป็นอย่างนั้นคุณเลิกมาดูแลผมเถอะครับ เพราะไม่ว่าจะยังไงผมก็คงไม่ได้ชอบคุณอย่าเอาเวลาว่างของคุณมาเสียเวลากับผมเลย”

“ทำไมคุณถึงไม่คิดจะชอบผมละครับ?”

จากที่จะตอบปฎิเสธก็กลับกลายเป็นว่าเป็นธรรมกำลังถามกลับด้วยความอยากรู้ว่าทำไมถึงไม่สามารถชอบคนที่มาดูแลได้

“ผมมีคนรักของผมอยู่แล้วครับไม่สิต้องบอกว่าผมมีคนที่ผมรักอยู่แล้วครับ”

“ใครครับ?”

เสียงของเขาเบาหวิวพร้อมกับใจที่ตกไปตกอยู่ที่ตาตุ่มมือที่จับที่เข็ญรถเย็นเฉียบใครเขาคนนั้นคือใคร? เขาจะเป็นคนที่ผมรู้จักรึเปล่า? และพี่ดาร์กกับคนนั้นไปเจอกันตั้งแต่ตอนไหนตั้งแต่ตอนที่เราสองคนยังคบกันหรือตอนที่เราสองคนเลิกกันไปและที่สำคัญพี่ดาร์กรักเขามากไหม?

“ผมบอกไปคุณก็คงไม่รู้จักหรอกครับ”

“เข้าใจแล้วครับ แต่วางใจผมมาดูแลคุณก็แค่เพราะถูกชะตาไม่ใช่เพราะชอบคุณแบบที่คุณคิดครับ”

“ถ้าผมเข้าใจความหวังดีของคุณผิดไปผมต้องขอโทษด้วยนะครับ ดูสิผมหน้าแตกเหมือนคนหลงตัวเองขึ้นมาเลย”

“ไม่หรอกครับ”

“ช่วงนี้คุณไม่ได้ทำงานกะบ่ายแล้วใช่ไหมครับ?”

“คุณรู้ได้ยังไงครับ?”

“ผมกะช่วงเวลาที่คุณอยู่กับผมนะครับ”

“ครับผมไม่ทำงานช่วงกะบ่ายแล้ว”

“มีปัญหาอะไรรึเปล่าครับ?”

“ไม่มีครับ ผมแค่เปลี่ยนเวลาทำงาน ต้องขอโทษด้วยที่ผมไม่ได้บอกละยังมาอยู่กับคุณ”

“ไม่เป็นไรครับ ผมก็แค่ สงสัย”

“สงสัยอะไรครับ?”


“ดาร์กมาอยู่ตรงนี้เองแล้วคุณพาเพื่อนฉันออกมานานขนาดนี้คุณสมควรบอกกันไว้ก่อนนะคะ”

   ยังไม่ทันที่เขาจะได้ฟังคำตอบจากพี่ดาร์กเสียงของคุณกี้ก็ดังแทรกเข้ามายกนาฬิกาข้อมือขึ้นมาดูเขาก็ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมคุณกี้ถึงเสียงดังขนาดนี้เพราะตอนนี้ก็เกือบจะหกโมงเย็นซึ่งเป็นเวลาทานอาหารและยาในช่วงเย็นแล้ว

“เดี๋ยวกี้ใจเย็นๆ คุณเก้าแค่พาฉันลงมาสูดอากาศเอง”

“นายรู้ไหมว่ามันนานแค่ไหนแล้ว?”

“สามสิบนาทีได้มั้ง?”

“ไม่ใช่มันนานกว่านั้นกลับขึ้นข้างบนเถอะครูแวะมา”

“ครูมาเหรอ? คุณเก้าครับรบกวนพาผมกลับขึ้นไปที่ห้องทีครับ”

“ไม่เป็นไรฉันพาไปเองได้”

“กี้ เขาไม่ผิดฉันเป็นคนขอเขาลงมา”

“ตามใจ”

“ไม่ต้องเป็นห่วงนะครับ กี้คงแค่เป็นห่วงผมเพราะผมไม่ได้ออกจากห้องเลย แต่ผมจะไม่ให้กี้ทำอะไรที่กระทบกับงานคุณอย่างแน่นอน”

พี่ดาร์กหันมาปลอบเขาตอนที่เราทั้งสามคนออกมาจากลิฟต์และก่อนที่เขาจะเข็ญพี่ดาร์กถึงห้องพัก

“ขอบคุณครับ”

ไม่ใช่แค่คุณครูที่อยู่ในห้องแต่ทุกคนต่างอยู่กันพร้อมหน้าถ้าจะให้เป็นธรรมเดาทุกคนน่าจะค้างที่นี่คืนนี้เพราะพรุ่งนี้เช้าเป็นวันเปิดตาของพี่ดาร์กจะว่าไปเขาเองก็อยากอยู่ที่นี่รวมกับทุกคนด้วยเหมือนกัน

ครูสมใจหันมาชวนเขาพูดคุยเล็กน้อยก่อนที่นางพยาบาลจะเข็ญอาหารมื้อเย็นพร้อมยาเข้ามาครูสมใจผละจากเขาและไปเตรียมอาหารให้พี่ดาร์ก

“ผมขอกินผัดไทยตรงนั้นได้ไหมครับ?”

“ใครเอามานะ?”

“ผมเองครับ”

เป็นธรรมอาสาเป็นคนเอาผัดไทยไปอุ่นให้พี่ดาร์กและเมื่อเห็นว่าทุกอย่างเรียบร้อยแล้วเขาจึงลาทุกคนและขอตัวกลับก่อน

“พวกเราต้องการคุยกับคุณด้วยสักหน่อยครับ”

“ได้ครับ” คุณแชมป์เป็นคนเข้ามากระซิบกับเขาก่อนที่เขาจะเดินออกไปจากห้อง

“ดาร์กพวกกูจะไปซุปเปอร์เอาไรไหม?”

“อยากกินไมโลกับขนมปังสังขยา”

“สั่งยากอีกละ เออๆ เดี๋ยวดูให้”

“กี้”

“อะไร?”

“เรื่องคุณเก้า อย่าไปเอาเรื่องเขาเลยนะ”

“ทำไม? ขอเหตุผล”

“ก็เขามาช่วยดูแลฉัน”

“ฮึ”

“กี้”

“รู้แล้วๆ เดี๋ยวมา”

   เมื่อทั้งเขาและอีกสามคนลงมาถึงด้านล่างทั้งหมดก็เดินตรงไปที่ลานจอดรถหามุมสงบเพื่อคุยกัน

“คุณคิดว่าคุณจะปิดมันไปอีกนานแค่ไหน?”

“ตลอดไปผมไม่ต้องการให้เขารู้ว่าที่ผ่านมาผมคือเก้า”

“พรุ่งนี้ก็จะเปิดตาแล้ว คุณไม่คิดที่จะบอกให้มันรู้ก่อนที่ตามันจะเปิดเลยเหรอ?”

“ครับ”

“พวกเราไม่คิดว่ามันจะเป็นความคิดที่ดีถ้าดาร์กมารู้ทีหลัง”

“ผมเชื่อว่าเขาจะไม่มีวันได้รู้ ถ้าเกิดพวกคุณช่วยผมอีกแรงโดยการที่จะไม่บอกเขาตลอดไป”

“พวกเราก็แค่อยากจะเตือนเอาไว้ ว่าสักวันคนชื่อเก้าก็จะต้องหายไปอยู่ดีแต่เขาอาจจะกลายเป็นคนที่ดาร์กอยากเจอมากที่สุด
แล้วคุณเองนั้นแหละจะเสียใจในภายหลัง”

“ผม เข้าใจครับ” เป็นธรรมเข้าใจดีว่าทั้งสามคนต้องการเตือนอะไรแต่เขาก็คิดมาดีแล้วตั้งแต่วันแรกที่คิดจะทำแบบนี้

“เอ่อ พรุ่งนี้วันเปิดตา ผมขออยู่ด้วยได้ไหมครับ?”

“คุณไม่กลัวว่าดาร์กเขาจะเห็นคุณ?”

“กลัวครับแต่ผมแค่อยากอยู่ในวันนั้นผมอยากอยู่ตรงนั้น”

“ได้ค่ะถ้ายังไงเดี๋ยวดิฉันบอกเองว่าเป็นคนบอกให้คุณมา”

“อีกเรื่องที่ผมอยากจะพูดถ้าเกิดพรุ่งนี้ผลมันออกมาในแง่ร้ายผมขอเป็นคนดูแลพี่เขาไปตลอดได้ไหมครับ?”

“ถ้าคุณจะดูแลเขาในชื่อของเก้าดิฉันไม่โอเคและก็ไม่คิดว่าจะมีใครในนี้โอเคด้วยค่ะถ้าคุณจะดูแลคุณจะต้องดูในนามของคุณเป็นธรรมเท่านั้นอันนี้ในกรณีที่ดาร์กเขายอมด้วยนะคะพวกเราคงไม่สามารถไปตัดสินอะไรแทนเขาได้”

“ครับ ผมรับปากหลังจากนี้ถ้าผมจะต้องดูแลเขาผมจะดูแลในชื่อของผม”

“แล้วเรื่องแม่ของคุณละ? แม่ของคุณเขายินดีกับเรื่องพวกนี้รึเปล่า? เพราะตั้งแต่วันที่เกิดเรื่องจนมาถึงวันนี้พวกเรายังไม่เห็นเขามาที่นี่เลยสักครั้ง”

“ถึงเวลานั้นแม่ผมไม่มีปัญหาครับ”

   คนอื่นอาจจะไม่มั่นใจแต่เขาค่อนข้างมั่นใจว่าถ้าเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นจริงไม่ว่าแม่จะเคยผิดใจอะไรกับพี่ดาร์กเขาเชื่อว่าแม่จะต้องพร้อมที่จะเข้าใจและเห็นด้วยกับสิ่งที่เขาตัดสินใจแน่นอน


TBC

ออฟไลน์ sweetsky

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 150
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +29/-0
บทที่ 21 Rewrite

ความตื่นเต้นในวันนี้ไม่ต่างอะไรในวันที่พี่ดาร์กเข้าผ่าตัดเมื่อครั้งก่อนเป็นธรรมยังคงมาถึงโรงพยาบาลแต่เช้าก่อนเวลานัดเขาจึงแวะตลาดเพื่อซื้อขนมปังสังขยาของมที่พี่ดาร์กอยากกินเมื่อคืนก่อนที่จะขึ้นไปข้างบน

“สวัสดีครับ” ขึ้นไปถึงด้านบนเขาก็เห็นว่าครูสมใจมานั่งรออยู่ที่หน้าห้องพักอยู่แล้ว ท

“มาแต่เช้าเลยนะคะ”

“ผมตื่นเต้นนะครับ นอนไม่ค่อยจะหลับเลยมาเร็ว”

“เหมือนดิฉันเลยค่ะ”

“แล้วทำไมครูถึงไม่เข้าไปในห้องละครับ?”

“พยาบาลกำลังเตรียมตัวให้ตาดาร์กอยู่ค่ะดิฉันไม่อยากเกะกะเขาเลยออกมารอข้างนอกดีกว่า”

“อ่อครับ”

“ช่วงเวลาที่ผ่านมาต้องขอบคุณมากเลยนะคะที่เข้ามาดูแลตาดาร์ก”

“ผมทำด้วยความเต็มใจครับ”

“ดาร์กเขาพูดถึงคุณ ดิฉันหมายถึงคุณเก้าอยู่บ่อยๆ เลยค่ะเขาเล่าให้ดิฉันฟังเสมอว่าที่ผ่านมาคนที่ทำให้เขาคลายเหงาได้ก็เพราะมีบุรุษพยาบาลมาคอยอยู่เป็นเพื่อนเขาในช่วงบ่าย”

“ครับ”

“ถ้าเกิดดาร์กเขารู้ความจริงว่าคนที่ชื่อเก้าก็คือคุณดิฉันเชื่อว่าเขาคงดีใจมากเลยค่ะ”

“ไม่จริงหรอกครับ...คุณครูสมใจก็อยู่วันนั้นที่พี่ดาร์กเขาเอ่ยปากไม่ต้องการให้ผมรู้ความเป็นไปของเขา”

“ดิฉันเชื่อว่าเขามีเหตุผลของเขาแต่ว่าเพราะอะไรนั้นคุณก็คงต้องไปถามเขาเอาเองเพราะดิฉันคงไม่ได้อยู่ในฐานะที่จะมาบอกเรื่องนี้แทนเขาได้”

“มันไม่มีอะไรไปมากกว่าพี่ดาร์กไม่ต้องการให้ผมรู้เพราะเขาไม่ต้องการให้ผมคอยมาอยู่ใกล้ๆ เขาหรอกครับ” เพราะเขารู้ว่าถ้าผมรู้ผมก็ต้องมาดูแลเขารู้จักผมดีกว่าใครและนั้นก็ทำให้ผมรู้ว่าเขาไม่ต้องการผม”

“มันก็คงจะยากที่จะเปลี่ยนความคิดของคุณ แต่ดิฉันก็คงบอกได้เพียงแค่ว่าทุกอย่างมันมีเหตุและผลในตัวของมัน”

“ผมเข้าใจครับ”

“ถ้าไม่รีบทานจะไม่อร่อยนะคะ ของนั้นต้องทานตอนที่ขนมปังยังนิ่มอยู่ทานก่อนก็ได้ค่ะ”

“อันนี้ผมตั้งใจซื้อมาฝากพี่ดาร์กครับผมว่าผมมาเช้าแล้วแต่ก็ยังช้ากว่าพยาบาลอยู่ดีไม่รู้ว่ากว่าพี่ดาร์กจะได้ทานขนมนี้มันยังจะยังกินได้อยู่ไหม?”

เสียงของลิฟท์ถูกเปิดออกพร้อมกับเสียงพูดคุยที่เดินตรงมาทางหน้าห้องพัหของพี่ดาร์ก

“โอ๊ย ที่จอดรถหายากมากขนาดเช้าๆ แบบนี้ คุณเป็นธรรม อ้าวครูทำไมมานั่งข้างนอกกันละครับ?”

เสียงของทั้งสามคนที่เดินบ่นกันเรื่องที่จอดรถดังมาตั้งแต่เสียงของลิฟต์ปิดเป็นธรรมหันไปยิ้มทักทายได้เพียงเท่านั้นคุณหมอที่ดูแลพี่ดาร์กก็เดินตามด้านหลังพวกเขามาพวกเราทั้งหมดจึงเดินตามคุณหมอเข้าไปในห้อง

คนบนเตียงแค่เป็นธรรมมองก็รู้ว่าพี่ดาร์กกำลังตื่นเต้นดูได้จากมือที่คอยหุบเข้ากางออกและมันก็เป็นลักษณะประจำของพี่ดาร์กที่จะทำถ้าเกิดความตื่นเต้นหรือความไม่แน่ใจ    

“พร้อมนะครับ?” คุณหมอหันไปถามพี่ดาร์กก่อนที่จะลงมือแกะผ้า

“ครับ”

“อย่าเพิ่งลืมตาจนกว่าผมจะบอกให้ทำนะครับ”

พยาบาลเดินไปปิดม่านที่หน้าต่างของห้องพร้อมทั้งยังไปปิดไฟ ทำให้ตอนนี้ในห้องมีเพียงแสงสว่างที่ส่องออกมาจากทางประตูของห้องน้ำแล้วก็จากไฟฉายในมือของผู้ช่วยพยาบาลเท่านั้นใจของเป็นธรรมเต้นไม่เป็นจังหวะเพราะนี่จะเป็นครั้งแรกของเขาที่จะได้เห็นหน้าของพี่ดาร์กโดยที่ไม่มีผ้าพันแผลมากั้นและพอเขาได้เห็นใบหน้านั้นตาของเขาก็เบิกออกกว้างขึ้นทันทีที่ผ้าพันแผลชั้นสุดท้ายถูกถอนออก เพราะที่หัวคิ้วเลยลงมาถึงเปลือกตายาวถึงโหนกแก้มทางข้างขวาของพี่ดาร์กมีรอยนูนพาดยาวถึงสองรอยและเป็นสองรอยที่มีความยาวไม่เท่ากันส่วนทางด้านซ้ายเป็นแผลพาดยาวจากหัวคิ้วเลยมาถึงสันจมูกทางด้านบน

“เอาละครับ ค่อยๆลืมตาขึ้นอย่างช้านะครับ”

คุณหมอเอาไฟฉายส่องตรงไปที่ดวงตาของพี่ดาร์กจากนั้นคุณหมอก็บอกผู้ช่วยเดินไปเปิดไฟในห้องแม้ว่าไฟในห้องจะถูกเปิดออกหมดแล้วแต่ทุกคนก็ยังคงยืนห่างจากเตียงออกมาเหมือนเดิมและยังไม่มีใครส่งเสียงอะไรทั้งนั้น

“ที่นี้คุณลองกรอกตาไปมา แล้วบอกหมอทีว่าข้างซ้ายคุณเห็นจากตรงไหนถึงตรงไหน”

“ทางหัวตาผมเห็นไม่ชัดครับเหมือนมีอะไรมาบัง”

“นั้นเป็นแผลเป็นที่อยู่ช่วงหัวตาพอดีงั้นแสดงว่าคุณเห็นได้สุด”

คุณหมอตรวจพี่ดาร์กเพิ่มขึ้นอีกเล็กน้อยไม่ว่าจะเป็นการเข็ญเครื่องมาเพื่อให้พี่ดาร์กมองสแกนผ่านเครื่องเข้าไป หลังจากการตรวจจบลงคุณหมอก็แนะนำวิธีการดูแลดวงตาให้แก่พี่ดาร์ก

“ช่วงแรกอย่าเพิ่งใช้ดวงตามากนะครับมันเพิ่งได้รับการฟื้นฟูทางหัวตามันเชื่อมกับต่อมน้ำตาถ้าคุณใช้สายตามากๆ ต่อมน้ำตาของคุณที่เพิ่งฟื้นตัวอาจจะต้องทำงานหนัก”

“ขอบคุณครับ”

“ส่วนเรื่องแผลเป็นที่เปลือกตาทางด้านขวาคุณต้องการทำศัลยกรรมตกแต่งไหมครับ?”

“ไม่เป็นไรครับ ผมคิดว่าผมอาจจะปิดผ้าพันแผลเอาไว้”

“ถึงตาข้างขวาของคุณจะใช้การไม่ได้แล้วแต่คุณก็ไม่จำเป็นที่ต้องปิดมันเอาไว้อีกอย่างการที่ปิดตาเอาไว้ตลอดเวลามันอาจจะเป็นผลเสียต่อไปได้อีกในอนาคตนะครับ”

“มันไม่น่ามีอีอะไรเป็นผลเสียไปมากกว่าการมองไม่เห็นแล้วครับ”

“ยังไงคุณก็ต้องทำแผลอยู่ดี แผลของคุณยังไม่ได้หายดี”

“…”

“ถ้ารู้สึกผิดปกติเมื่อไหร่สามารถกลับมาหาหมอที่โรงพยาบาลได้ตลอดนะครับ”

เป็นธรรมถอยออกมาให้ไกลออกจากเตียงโดยที่ไม่รู้ตัวมารู้ว่าตัวเองก้าวออกมาหลายก้าวก็ตอนที่คุณเบทแตะตัวทำให้ผมเห็นว่าตอนนี้ผมกำลังยืนอยู่ตรงไหน

“อย่าร้องไห้สิครับถ้าดาร์กเห็นมันจะยิ่งใจไม่ดี”

“ขอ ขอโทษครับ”

มากไปกว่านั้นเป็นธรรมไม่รู้ตัวเองเลยด้วยซ้ำว่าน้ำตากำลังไหลลงมาถ้าไม่ได้คุณเบทสะกิดเตือนให้เขาเช็ดน้ำตาเขาคงเผลอแสดงความอ่อนแอที่จะให้พี่ดาร์กรู้สึกแย่เห็น

“คุณสามารถกลับบ้านได้เลย ก่อนกลับลงไปรับยาที่ชั้นล่างได้เลยนะครับ”

“ขอบคุณครับ”

พี่ดาร์กขอให้พยาบาลปิดตาข้างขวาเอาไว้ให้โดยที่อ้างว่าเดี๋ยวจะต้องลงไปด้านล่างและพี่ดาร์กก็ยังไม่พร้อมให้ใครต่อใครเห็นตัวเองในสภาพนี้หลังจากที่พยาบาลทำตามที่พี่ดาร์กขอและออกไปจากห้องคราวนี้ก็เหลือเพียงแค่เขากับพี่ดาร์กเท่านั้นและนี่ก็เป็นครั้งแรกที่เราได้เจอมองตากันหลังจากวันที่เกิดเหตุไม่มีใครหลบตาใครต่างคนต่างมองตากันจากที่เดินถอยออกมาไกลสายตาของพี่ดาร์กกำลังดึงดูดเขาให้เดินเข้าไปใกล้เขาจึงเดินเข้าไปใกล้เตียงของพี่ดาร์กเรื่อยๆ จนไปหยุดอยู่ที่ข้างเตียงที่ประจำที่เขาต้องไปยืนทุกครั้งที่มาเยี่ยม

“พี่”

“คุณเป็นธรรมสวัสดีครับ”

“พี่ดาร์ก”

เป็นธรรมเอื้อมมือตรงไปทางด้านหน้าหวังสัมผัสกับบาดแผลเหล่านั้นบาดแผลที่เกิดขึ้นเพราะครอบครัวของเขาบาดแผลที่เกิดเพราะพี่ดาร์กเข้ามาช่วยเขามือของเขาห่างจากแผลนั้นเพียงนิดเดียวเท่านั้นเขาก็จะสามารถสัมผัสมันได้แล้วแต่เขาก็เอื้อมไปไม่ถึงเมื่อพี่ดาร์กเอามือของตัวเองมาจับที่ข้อมือของเขาเพื่อหยุดยั้งการสัมผัสนั้นเอาไว้

“ถ้าคุณจะมาดูว่าผมเป็นอย่างไรบ้างตั้งแต่วันนั้นผมว่าตอนนี้คุณก็เห็นมันมากพอแล้วฉะนั้นคุณก็กลับได้แล้วครับ”

“เจ็บไหมพี่? พี่เจ็บมากไหม?”

“มันเป็นสะเก็ดแผลสำหรับผมมันไม่เหลือความเจ็บแล้วครับคุณไม่ต้องมาร้องไห้เพราะสงสารหรือสังเวชผมหรอกครับ”

“คุนเปล่า”

“คุณกล้าพูดว่าเปล่าทั้งที่คุณกำลังยืนร้องไห้ต่อหน้าของผมเหรอครับ? การโกหกคงเป็นพื้นฐานที่คุณได้ติดตัวมาสินะครับ”

“คุนไม่ได้ความว่าแบบนั้น”

“เชิญคุณออกไปได้แล้วครับ”

“แต่คุน...”

“ถ้าคุณเกิดรู้สึกว่าเป็นความผิดของคุณละก็ลืมมันไปได้เลยเพราะมันเป็นเรื่องบังเอิญที่ผมไปเจอก็เท่านั้นและผมก็พลาดเองที่ลงไปช่วยตามสัญชาตญาณมันไม่ใช่เพราะผมทำเพื่อคุณเพราะฉะนั้นคุณอย่าได้เข้าใจผิด”

“คุนรู้” เป็นธรรมอยากบอกเหลือเกินว่าเขารู้ทุกอย่างหมดแล้วว่าวันนั้นมันไม่ใช่เหตุบังเอิญเขารู้หมดแล้วว่าพี่ดาร์กตั้งใจมาช่วยเขา

“ถ้ารู้แล้วก็กลับไปได้แล้วครับ”

“เอาละดาร์กไปเตรียมตัวได้แล้วเอาเสื้อผ้าไปเปลี่ยน เข้าเปลี่ยนคนเดียวได้ไหม?”

“ได้ครับครู” ไม่รู้ว่าครูสมใจกลับเข้ามาในห้องจากการไปเอาเสื้อผ้าที่รถนานแล้วหรือยังเพราะเขาไม่ได้ยินเสียงที่ครูเดินหลับเข้ามาเลย

“พี่ดาร์กเดี๋ยวก่อน”

“คุณเป็นธรรมค่ะ”

ครูสมใจดึงเขาเอาไว้ทำให้พี่ดาร์กเดินออกจากเตียงได้อย่างง่ายดายเขาพยายามแกะมือของครูสมใจที่จับที่ต้นแขนออกเพราะเขาอยากพูดกับพี่ดาร์กให้รู้เรื่อง

“ดิฉันจะลงไปรับยา ไม่ทราบว่าคุณจะพอลงไปเป็นเพื่อนดิฉันได้ไหมคะ?”

เป็นธรรมยอมรับว่าเขาไม่อยากลงไปทางด้านล่างเลยสักนิดเพราะเขากลัวพอกลับขึ้นมาเขาจะไม่ได้เจอกับพี่ดาร์กอีกเขาอยากแก้ความเข้าใจผิดแต่จะให้เขาปฎิเสธครูสมใจมันก็ไม่ได้อีกอย่างยังไงเขาก็ต้องเป็นคนลงไปจัดการค่าใช้จ่ายอยู่แล้ว

“แต่ผมอยากคุยกับพี่ดาร์กก่อนคุณสมใจช่วยรอก่อนได้ไหมครับ?”

“ลงไปพร้อมดิฉันนะคะ”

ในที่สุดเป็นธรรมก็ยอมแพ้และยอมเดินลงไปด้านล่างพร้อมครูสมใจตลอดการนั่งรอที่หน้าห้องรับยาและจ่ายเงินมันเหมือนว่าเข็มวินาทีที่ติดอยู่ที่พนังมันเดินช้ากว่าทุกครั้งและไหนๆ เขาก็ได้มานั่งตรงนี้เขาเลยลองเอ่ยปากเรื่องที่เขาคิดตั้งแต่พี่ดาร์กเปิดตา

“หลังจากออกจากโรงพยาบาลผมอยากเป็นคนดูแลพี่ดาร์กครับ”

“ดาร์กยังคงสามารถมองเห็นดิฉันว่าดาร์กอาจจะไม่ต้องการการดูแลเหมือนสมัยก่อน…”

“แต่ก็แค่เพียงข้างเดียวแถมข้างที่เห็นตอนนี้ก็ยังไม่สามารถใช้งานได้เต็มที่ นะครับคุณสมใจให้ผมเป็นคนได้ดูแลพี่เขาเถอะนะครับ”

“คุณทรงจำรับยาค่ะ”

ยังไม่ได้ทันที่ครูสมใจจะตอบรับหรือปฎิเสธในคำขอร้องของเขาเสียงของคนที่อยู่ห้องยาก็ตะโกนเรียกขัดขึ้นมาเสียก่อนตอนที่เดินไปถึงเค้าท์เตอร์ยาเขาค่อนข้างตกใจกับจำนวนยาที่ถูกกองอยู่ตรงหน้ามันมีทั้งยาทาและยากินเขาพยายามจดจำวิธีใช้ทุกอย่างให้ดีเพราะเขาค่อนข้างแน่ใจว่ายังไงเขาก็ต้องขอเป็นคนดูแลพี่ดาร์กให้สำเร็จ

“ผมขอเป็นคนจัดการเองครับ ยังไงเรื่องก็เกิดเพราะผม”

จากจุดรับยาเป็นธรรมเดินตรงไปที่จุดชำระเงินครูสมใจทำท่าจะเป็นคนรับผิดชอบจ่ายเงินแต่เป็นเขาที่หันไปขอร้องขอเป็นคนจัดการในเรื่องค่าใช้จ่ายพวกนี้ หลังจากจัดการเรื่องทางด้านล่างเรียบร้อยก็ถึงเวลาที่จะเดินกลับขึ้นไปทางด้านบนเขาจึงใช้ช่วงเวลานี้ลองพูดอีกครั้ง

“สรุปแล้วเรื่องดูแลพี่ดาร์กผมขอเป็นคนดูแลนะครับคุณก็เห็นว่ามียาหลายอย่างที่ต้องกินต้องทาผมอยากเป็นคนดูแลในจุดนี้”

“ถึงดิฉันอนุญาตไปถ้าดาร์กเขาไม่ยอมผลก็ไม่ต่างกันคุณอย่าลืมว่าครั้งนี้อาการของดาร์กไม่เหมือนกับครั้งที่แล้ว”

“แล้วคุณจะให้พี่ดาร์กไปพักรักษาตัวที่บ้านเพียงคนเดียวได้เหรอครับ?”

“เขาคงต้องมาอยู่ในความดูแลของดิฉันกับกี้ก่อนแล้วถ้าเขาอาการดีขึ้นเมื่อไหร่เขาก็สามารถเลือกได้ว่าจะอยู่ที่บ้านดิฉันต่อหรือกลับไปที่บ้านของตัวเอง”

“ให้ผมไปที่บ้านของคุณด้วยได้ไหมครับ?”

“คุณเป็นธรรมค่ะแม้ดิฉันจะเป็นครูที่ดาร์กเขาค่อนข้างจะเชื่อฟังแต่ดิฉันก็ไม่เคยใช้ความเชื่อฟังนี้บังคับใคร เพราะฉันนั้นถ้าดาร์กเขาบอกว่าไม่ดิฉันก็คงต้องทำตามความต้องการของเขายังไงคุณลองไปคุยกับเขาดูค่ะ”

“ครับ”

ของในห้องถูกเก็บเรียบร้อยพร้อมออกเดินทางพี่ดาร์กยิ้มให้กับครูสมใจแต่พอเห็นว่าเขาเดินตามมาทางด้านหลังพี่ดาร์กก็หันหน้าหนีแม้เขาจะรู้สึกแย่กับท่าทางนั้นแต่เขาก็ต้องพยายามมองข้ามสิ่งนั้นไปพยายามปลอบตัวเองว่าจะมาหยุดเพียงแค่นี้ไม่ได้

“พี่ดาร์ก”

“ถ้าเรียกว่าทรงจำจะดีกว่าครับ”

“พี่ดาร์กผมขอไปดูแลพี่ได้ไหม?”

มือของพี่ดาร์กที่กำลังคว้ากระเป๋าหยุดลงและหันหลับมาสบตากับเขา

“ผมสบายดีไม่ต้องการใคร”

“แต่…”

“คุณต้องการอะไร?”

“คุนต้องการเป็นคนดูแลพี่”

“ไม่จำเป็น”

“คุนขอ”

“ผมว่าผมพูดเคลียร์มากแล้วนะครับคุณเป็นธรรมว่าผมไม่ต้องการกรุณาอย่ามาเกะกะผมอีกกลับกันเถอะแชมป์ให้ครูอยู่โรงพยาบาลนานมันไม่ดี”

หลังจากคำพูดของพี่ดาร์กจบลงทุกคนก็เดินออกไปจากห้องพักเหลือเพียงเขาที่ยังอยู่ในห้องนี้เป็นธรรมมองไปรอบห้องเพื่อเก็บความทรงจำที่เกิดขึ้นในช่วงที่มาดูแลพี่ดาร์กเพราะเขารู้ตัวแล้วว่าโอกาสที่เขาอยากได้มันคงมาไม่ถึง

แต่แล้วตาของเป็นธรรมก็ไปสะดุดเข้ากับหนังสือเล่มนึงที่ถูกวางเอาไว้ตรงโซฟาเขาเดินเข้าไปหยิบมันขึ้นมาดูกำลังจะหยิบโทรศัพท์โทรบอกพวกคุณกี้ว่าลืมของเอาไว้ปลายนิ้วของเขาก็สัมผัสเข้ากับกระดาษเล็กแผ่นนึงทางด้านหลังของหนังสือพอผลิกมันขึ้นมาดูก็เจอเข้ากับกระดาษโพสอิทที่ถูกติดเอาไว้

“ร้านร่มรื่น สุขาภิบาล3 อาหารอร่อยน่าไปครับ”

เป็นธรรมไม่รู้ว่าร้านนี้มีความหมายอะไรแต่ความรู้สึกลึกๆ บอกว่ามันเป็นที่ที่เขาควรไปและถึงต่อให้ไปแล้วมันไม่เป็นอย่างที่เขาคิดมันคงไม่เสียเวลามากจนเกิดไปถ้าเกิดเขาจะไปทานอาหารที่ร้านนี้สักมื้อเขาจึงออกเดินทางไปที่ร้านนี้โดยทันที

ความมั่นใจในตอนแรกที่พอมาถึงร้านแล้วเขาจะเจอพวกพี่ดาร์กนั่งทานข้าวอยู่ที่ร้านแต่กลับกลายเป็นว่าตั้งแต่เขาเข้ามานั่งรอจนสั่งอาหารจนอาหารมาถึงที่โต๊ะเขาก็ยังไม่เห็นใครทั้งนั้นเขาเอาแต่เดาไปต่างๆ นาๆ ทั้งเปลี่ยนร้านทั้งเห็นเขาเลยพากันกลับไป 

“เสียเที่ยวแล้วเรา”

อย่างน้อยข้อดีคืออาหารที่ร้านนี้ราคาไม่แพงแถมยังอร่อยก่อนที่เขาจะกลับจึงเรียกพนักงานมาสั่งอาหารกลับไปบ้านอีกหนึ่งชุดเผื่อให้แม่ได้ลองชิม

“อาหารที่สั่งได้แล้วครับ”

“ขอบคุณครับ คุณแชมป์!!! ทำไมคุณถึง?”

“ร้านนี้เป็นร้านของครูกับกี้ครับ”

“งั้นคุณก็เป็นคนที่ทิ้งที่อยู่ให้กับผม?”

“ผมก็แค่ลืมหนังสือแบบไม่ได้ตั้งใจเองครับ”

“พี่ดาร์กอยู่ที่นี่เหรอครับ?”

“คุณเป็นธรรมอยากไปเดินดูรอบๆร้านหน่อยไหมครับ? ไหนๆก็มาถึงที่แล้ว”

“ครับ”

คุณแชมป์พาเขาเดินผ่านห้องครัวออกไปหลังร้านแล้วเขาก็เห็นสนามหญ้าเล็กๆ ที่กั้นระหว่างร้านอาหารกับตัวบ้านในบ้านนั้นที่เขาเชื่อว่าพี่ดาร์กกำลังพักรักษาตัวอยู่ที่นั้น

“ทำไมคุณถึงบอกผม?”

“คำตอบผมเป็นเพียงคำตอบเดียวมานานแล้วครับ”

“งั้นผมเข้าไปเลยนะครับ”

“ผมช่วยแค่บอกที่อยู่แต่ผมไม่ได้บอกว่าคุณสามารถทำอะไรตามใจที่นี่ก็ได้ เพราะฉะนั้นหลังจากนี้คุณคงต้องพยายามเอาเองแล้วนะครับ”

“แค่นี้ก็ถือว่าคุณช่วยผมมากแล้วจริงๆครับ”

เป็นธรรมเดินตรงไปตามทางเดินที่ถูกปูด้วยก้อนอิฐวางยาวนำไปที่ประตูบ้านประตูหน้าบ้านที่ถูกเปิดกว้างเอาไว้มีเพียงมุ้งลวดประตูปิดเพื่อกั้นไม่ให้พวกแมลงเข้าไปในตัวบ้านเมื่อเขาลองมองผ่านมุ้งลวดเข้าไปในตัวบ้านเขาไม่เห็นใครเขาจึงเลือกที่จะนั่งรอเจ้าของบ้านที่ตรงตั่งไม้ทางด้านนอกประตูแทน

“สวัสดีค่ะคุณเป็นธรรม”

“คุณกี้ มาครับผมช่วย”

“ขอบคุณค่ะ”

คุณกี้ถือของพะลุงพะลังเต็มสองมือเขาจึงลุกไปช่วยถือและเดินตามเธอเข้าไปทางหลังบ้าน

“แชมป์เป็นคนบอกคุณเหรอคะ?”

“แค่เพียงส่วนเดียวครับ”

“คุณก็รู้ว่าดาร์กไม่อยากให้คุณเป็นคนดูแล”

“ผมเข้าใจครับ และผมก็จะไม่ขอในสิ่งที่พวกคุณจะลำบากใจ”

“งั้นคุณมาที่นี่ทำไมคะ?”

“ตลอดทางที่ผมเดินทางมาผมนั่งคิดกับตัวเองมาตลอดว่าถ้าเกิดพี่ดาร์กไม่อยากให้ผมดูแลผมจะมาอยู่ตรงนี้เพื่อทำให้พี่ดาร์กไม่สบายใจทำไม? แต่ถ้าจะให้ผมตัดเขาไปออกจากชีวิตเลยผมยอมรับตรงๆ ว่าผมยังทำไม่ได้ผมยังคงเป็นห่วงเขาผมรู้ว่าพี่ดาร์กเสียตาไปข้างเดียวและเขายังคงใช้ชีวิตประจำวันได้เกือบปกติแต่ผมยังคงเป็นกังวลผมยังคงอยากจะมั่นใจว่าพี่ดาร์กยอมรับและใช้ชีวิตอย่างมีความสุขได้จริงๆ แล้วถึงวันนั้นผมจะยอมถอนตัวออกไป”

“…”

“แต่วันนี้ผมขอแค่โอกาสขอให้ผมได้มาเจอเขาก็พอครับไม่ได้ดูแลขอแค่มาให้เห็นถึงความเป็นไปเห็นว่าเขาสบายดีแค่นี้ก็พอ”

“ถ้าดิฉันไม่ให้?”

“ผมก็ยังคงจะมาแบบนี้อยู่เรื่อยๆ ครับ”

“คุณไม่คิดจะล้มความตั้งใจง่ายๆสินะ?”

“ครับ”

“งั้นก็ตามใจแต่ถ้าเกิดดาร์กอยากให้คุณกลับเมื่อไหร่วันนั้นคุณก็ต้องทำตามความต้องการของเขาคุณคิดว่าคุณทำได้ไหม?”

“ผมทำได้ครับ ผมทำได้”

“ถ้าคุณทำได้ดิฉันก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะต้องขัดขวางค่ะ”

“ขอบคุณครับ”

เย็นวันรุ่งขึ้นเป็นธรรมแวะไปที่ร้านอาหารอีกครั้งคุณกี้กำลังวุ่นกับการเสริ์ฟอาหารเขาเลยตัดสินใจเดินเข้าไปช่วย กว่าร้านจะเลิกยุ่งและเขาสามารถเดินเข้าไปคุยกับคุณกี้ได้ก็ครึ่งชั่วโมงผ่านไปแล้ว

“เดินเข้าไปได้เลยค่ะดาร์กอยู่ในบ้านกับแม่”

เป็นธรรมชะเง้อหน้าเข้าไปในตัวบ้านและเขาก็ได้เห็นพี่ดาร์กกำลังนั่งทานข้าวอยู่ที่โต๊ะกับครูสมใจตาข้างขวาของพี่ดาร์กยังถูกปิดเอาไว้ด้วยผ้าพันแผลสีขาวแต่เท่าที่เขาจำได้คุณหมอไม่ได้ต้องการให้พี่ดาร์กปิดแผลนั้นก็หมายความว่าพี่ดาร์กกำลังเอาแต่ใจตัวเอง

เป็นธรรมนั่งดูจนกระทั่งพี่ดาร์กทานข้าวเสร็จและครูสมใจเอายามาให้กับพี่ดาร์กยังดีที่พี่ดาร์กยอมทานยาแต่โดยดีแต่ความโล่งใจนั้นก็อยู่กับเขาได้ไม่นานเพราะเพียงครูสมใจหันหลังพี่ดาร์กก็คายยาที่เพิ่งโยนเข้าปากออกมาและเดินมาที่หน้าต่างเพื่อปามันทิ้งออกมา

“พี่เป็นเด็กรึไงนะ?”

“บ่นอะไรคนเดียวครับ?”

“สวัสดีครับคุณเบท คุณเบทผมว่าเราไม่ควรปล่อยพี่ดาร์กทำตามใจตัวเองแบบนี้ที่ผมแอบดูมาพี่ดาร์กไม่ทำตามที่หมอสั่งสักอย่าง”

“ผมรู้ครับ”

“แต่คุณก็ไม่ทำอะไรเลยรึครับ?”

“คุณก็รู้จักมันมานานคุณก็น่าจะรู้ว่าถ้าเราเดินเข้าไปบอกว่าเฮ้ยดาร์กทำตามหมอสั่งเดี๋ยวไม่หายแล้วผลมันจะออกมาเป็นอย่างไร?”

“พี่ดาร์กก็คงจะต่อต้านหรือไม่ก็ไปแอบทำอะไรไม่ให้เราเห็นอีกเลย เฮ้อ”

“แต่ครูคงไม่ปล่อยให้เป็นแบบนี้ไปตลอดหรอกครับไว้ใจได้”

“ครับ”

“คุณเป็นธรรมครับ ตอนนี้ก็เริ่มดึกแล้วและเราก็กำลังจะปิดร้าน”

“งั้นผมขอลากลับก่อน พรุ่งนี้ผมจะมาใหม่ครับ”

ตลอดอาทิตย์กว่าที่เขาได้แวะไปดูพี่ดาร์กผ่านทางหน้าบ้านเป็นธรรมมักจะเห็นคนดื้อคนนึงที่ไม่ยอมเอาผ้าพันแผลออกแม้ว่าตัวเองจะอยู่แค่ในบ้านไม่ได้ก้าวออกมาจากรั้วนั้นสักนิดเขาบ่นเรื่องนี้กับทุกคนแต่ทุกคนก็ได้ส่ายหน้าว่าหมดหนทางเพราะทุกคนก็ได้ทั้งเตือนทั้งบ่นแต่พีด่าร์กก็ไม่ฟังใครเลย

“วันนี้คุณมาช้านะคะ”

“วันนี้ที่โรงงานมีปัญหานิดหน่อยครับ ผมรู้ว่าดึกแล้วผมขอกวนเพียงครู่เดียวเท่านั้น”

“ตามสบายค่ะ”

วันนี้ที่โรงงานเจอปัญหาเรื่องเสื้อสกรีนลูกค้าตีกลับมาทั้งล็อตเนื่องจากมีสีลอกในบางจุดเป็นธรรมเลยต้องอยู่หาถึงสาเหตุและทำลายของที่ใช้ไม่ได้และผลิตใหม่ทั้งหมด

ตอนที่เขาเข้าไปถึงตัวบ้านไฟของด้านล่างของบ้านถูกปิดหมดแล้วเหลือเพียงไฟด้านบนที่ถูกหรี่เอาไว้เท่านั้นวันนี้เขามาหาพี่ดาร์กคงขึ้นไปพักผ่อนทางด้านบนแล้วเขาเลยไม่สามารถเห็นแม้กระทั่งหน้าของพี่เขาได้ทั้งที่มองไม่เห็นและเขาก็รับปากกับคุณกี้ว่าจะเข้ามารบกวนไม่นานแต่เขากลับทิ้งตัวนอนราบกับหญ้าและมองขึ้นไปที่หน้าต่างห้องของพี่ดาร์ก

“วันนี้คุนเหนื่อยจังเลยพี่วันนี้คุนนั่งหัวหมุนแก้ปัญหาอยู่คนเดียวโดนลูกค้าด่าด้วย เลิกงานมาคุนแค่อยากเห็นหน้าพี่เท่านั้นเองแต่ก็คุนมาช้าเกินไป”

“ถ้าเหนื่อยแล้วจะมาทำไม?”

ใจของเป็นธรรมเต้นไม่เป็นจังหวะเมื่อเขาได้ยินเสียงที่ไม่ได้ยินมาสักพักจากเหนือศรีษะเขารีบลุกขึ้นนั่งและหันไปทางต้นเสียงทันที

“พี่ดาร์ก ทะ ทำไมพี่อยู่ตรงนี้? พี่ไม่ได้ขึ้นไปพักแล้วเหรอ?”

“คุณจะทำให้ได้เลยใช่ไหม?”

“ทำ?”

“เมื่อไหร่จะเลิกมาที่นี่สักที?”

“พี่รู้?”

“ผมไม่ได้โง่ เมื่อไหร่คุณจะเลิกทำแบบนี้สักที?”

“ก็จนกว่าพี่ดาร์กจะหาย”

“ผมได้บอกคุณไปแล้วว่าผมหายดีแล้ว”

“พี่ยังปิดตาอยู่ นั้นก็แสดงว่าพี่ยังไม่หาย”

“อย่ามาที่นี่อีก ที่นี่ไม่มีใครต้อนรับคุณ”

“ไม่จริงตอนที่เดินเข้ามาทุกคนก็ไม่มีใครว่าอะไร”

“นั้นเพราะว่าพวกเขาไม่กล้าที่จะพูดยังไงละแต่คุณก็น่าจะรู้ดีว่ามันเป็นแค่การให้เกียรติกลับไปซะอย่ามาสร้างความลำบากใจให้กับคนอื่นอีก”

ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเป็นธรรมนึกได้ในคำสัญญาที่เขาให้ไว้กับคุณกี้ว่าถ้าวันใดพี่ดาร์กเอ่ยปากไล่เขาจะต้องไปหรือเป็นเพราะวันนี้เขาเหนื่อยมากเขาจึงไม่เหลือแรงให้เถียงสู้พี่ดาร์กเขาจึงยอมลุกขึ้นจากหญ้าแต่โดยดีโดยการไล่ตั้งแต่ครั้งแรกเขาเดินจากออกมากจากตรงนั้นโดยที่ไม่มีคำลาให้พี่ดาร์ก

“เขามาดักรอคุณนะครับ วันนี้คงไม่เห็นว่าคุณมาสักที”

“เขาคงมาดักรอผมจริงๆ ดักรอเพื่อมาไล่ให้กลับไป ยังไงต้องขอโทษด้วยนะครับที่ต้องให้มารอปิดประตู”

“ยังไงผมก็ต้องกลับบ้านของผมอยู่แล้ว ผมไม่ได้อยู่ที่นี่”

คุณแชมป์ยืนอยู่ที่ตรงประตูร้านดูก็รู้ว่ากำลังรอส่งแขกคนสุดท้ายคือเขาจะได้ปิดร้านให้เรียบร้อย

“คุณเชื่อที่ดาร์กมันพูดไหมครับ?”

“เรื่องไหนดีครับ? เรื่องที่พวกคุณผมไม่อยากให้ผมมาหรือเรื่องที่เขาไล่ผม”

“ถ้าเกิดพวกเราเกิดยอมให้คุณมาดูแลดาร์กตามที่คุณขอตอนนี้คุณยังอยากได้โอกาสนั้นอยู่หรือเปล่าครับ?”

“อะไรที่ทำให้พวกคุณเกิดเปลี่ยนใจได้?”

“อาจจะเพราะพวกเราหมดหนทางแล้วก็ได้ครับปล่อยทิ้งไว้อย่างนี้นอกจากตามันจะไม่ดีขึ้นข้างที่เป็นแผลอาจจะแย่กว่าเดิม”

“ผมคิดว่าตัวผมคงทำอะไรได้ไม่ดีกว่าพวกคุณ ถ้าพวกคุณทำดีแล้วก็คงดีได้เท่านั้น”

“คุณดูไม่เหมือนเดิม”

“วันนี้ผมเหนื่อยมั้งครับ”

เขากับคุณแชมป์เดินออกมาที่หน้าถนนใหญ่ด้วยกันคุณแชมป์ยืนยันที่จะยืนรอรถแท็กซี่เป็นเพื่อนเขาก่อนที่จะรถจะมาคุณแชมป์พูดทิ้งท้ายกับเขาไว้ประโยคนึงว่า

“ดาร์กมันเริ่มโหมงานหนักมากอีกแล้วนะครับมันไม่ยอมวางมือจากเอกสารเลยมันบอกว่ามันจะทำเพื่อทดแทนที่มันหายไปคุณก็รู้ใช่ไหมว่าหมอไม่ได้ให้มันใช้ตาหนักในช่วงนี้ผมบอกคุณได้เท่านี้เผื่อคุณจะลองเอาไปคิดดู”

“…”


“แม่ยังไม่นอนอีกเหรอครับ?”

“ยังจ๊ะ วันนี้ได้ข่าวว่าที่โรงงานมีปัญหา”

“นิดหน่อยครับ”

“อยากเล่าให้แม่ฟังไหม?”

กลับมาถึงบ้านเขาก็เห็นว่าแม่กำลังอ่านหนังสือเพื่อรอเขาอยู่ที่ห้องรับแขกเป็นธรรมเปิดปากเล่าเรื่องต่างๆ ให้แม่ฟังทั้งเรื่องงานและเรื่องของพี่ดาร์ก

“แม่พี่ดาร์กเปิดตาแล้วนะครับ”

“แล้วได้ออกจากโรงพยาบาลไหม? คุณหมอว่าอย่างไรบ้าง?”

“ออกครับและผมก็จัดการเรื่องค่าใช้จ่ายไปหมดแล้ว”

“ก็ดีแล้วคุนจะได้ไม่ต้องไปกลับระหว่างโรงงานกับโรงพยาบาลอีก”

“พี่ดาร์กเสียตาไปข้างนึงครับตาข้างขวาของพี่ดาร์กไม่สามารถมองเห็นตอนนี้พี่ดาร์กเหลือแค่ตาซ้ายที่ยังไม่สามารถมองเห็นได้เต็มร้อยเปอร์เซ็นต์อยู่ดี”

“แล้วใครดูแล เราต้องจ้างคนไปดูแลไหม?”

“พี่ดาร์กมีคนอยู่ด้วยแล้วครับ”

“งั้นก็ดีแล้ว เราจะได้หมดห่วงและเขากับเราจะได้จบลงสักที”

“แม่ครับ ผมไม่คิดว่าตัวผมจะออกมาจากเขาได้”

“ลูกไม่ต้องรู้สึกผิดแม่ได้อธิบายเหตุผลต่างๆไปแล้วไง”

“การรู้สึกผิดก็แค่ส่วนนึงเท่านั้นครับแต่สิ่งที่ทำให้ผมยังอยู่กับเขาก็คือผมอยากอยู่กับพี่ดาร์กครับผมอยากอยู่ข้างๆ เขาอยู่ตรงนั้น”

“แล้วลูกยังยืนยันที่จะอยู่ตรงนั้นแม้แม่จะไม่เห็นด้วย?”

“ครับ”

“ผมอยากอยู่ข้างๆ เขาจนกว่าเขาจะดีขึ้นหรือไม่ก็จนกว่าพี่ดาร์กเขาจะไม่ต้องการผม”

“คุน”

“ผมสัญญาว่าเรื่องนี้จะเป็นเรื่องสุดท้ายที่ผมขอต่อจากนี้ผมจะไม่ขัดอะไรแม่อีก นะครับแม่ขอให้ผมได้อยู่ข้างเขาจนกว่าเขาจะหายดี”

แม่เงียบไปพักใหญ่สายตาของแม่จ้องมองอยู่ที่ใบหน้าของเขาอยู่นานเหมือนกำลังพยายามหาว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่

“งั้นถ้าเขาไม่ต้องการลูกลูกก็ไม่ต้องไปดูแลเขาเข้าใจไหม?”

“ครับแม่ ผมตกลง”

เป็นธรรมลุกจากเก้าอี้นั่งของตัวเองเข้าไปกอดแม่ด้วยความดีใจในที่สุดเขาก็สามารถขอแม่ดูแลพี่ดาร์กได้อย่างเต็มตัวและไม่ต้องมานั่งปิดบังและยังไม่ต้องมานั่งรู้สึกผิดกับแม่

“ขอบคุณครับแม่ที่เข้าใจ”

“ไปพักผ่อนเถอะลูก ดึกแล้ว”

“ครับ”


เป็นธรรมเดินขึ้นไปบนห้องนอนด้วยรอยยิ้มส่วนแม่ของเขาที่อยู่เบื้องหลังรอยยิ้มของเธอที่เพิ่งมอบให้แก่ลูกกำลังหุบลงเพราะประโยคเดียวที่ดังในหัวของเธอก็คือ

“จนกว่าพี่ดาร์กเขาจะไม่ต้องการผม”


TBC

ออฟไลน์ sweetsky

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 150
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +29/-0
บทที่ 22 Rewrite

วันนี้คุนไม่เหมือนเดิมคุนยอมล่าถอยง่ายเกินไปทั้งที่คิดว่าตัวเองทำในสิ่งที่ถูกต้องและควรที่จะดีใจแต่กลับกลายเป็นว่าตั้งแต่คุนกลับไปทรงจำเอาแต่ยืนมองลงไปที่สนามหญ้าที่คุนชอบมานอนมองเขาทุกครั้งที่มาที่บ้านหลังนี้ทุกคนในบ้านนี้ช่วยคุนทำให้กว่าเขาจะรู้ตัวว่าคุนตามดูเขาที่บ้านครูก็ปาเข้าไปวันที่ 3 นับตั้งแต่มาอยู่ที่นี่

ทรงจำรู้เรื่องด้วยความบังเอิญวันนั้นเขาลงไปจี้ถามกับทุกคนในบ้านว่าคุนรู้เกี่ยวกับบ้านหลังนี้ได้อย่างไรแต่ก็ไม่มีใครตอบคำถามของเขาและตั้งแต่วันที่รู้เขาก็พยายามเก็บตัวเองอยู่แต่ในบ้านในมุมที่คิดว่าคุนจะเห็นเขาได้ยากด้วยหวังว่าคุนจะหมดความอดทนและหายหน้าไปเองแต่ไม่ว่าเขาจะหลบอย่างไรคุนก็ไม่หายไปไหนยังคงกลับมาที่บ้านเหมือนเดิม

จากที่หวังให้หายไปกลับเปลี่ยนเป็นการรอคอยที่จะเห็นคุนเดินเข้ามาคอยมองหาจากหน้าต่างบานนี้

วันนี้หลังจากกินมื้อเย็นเสร็จทรงจำก็ขอตัวขึ้นมาบนบ้านวันนี้ตอนกินข้าวเขาไม่เห็นคุนผ่านทางหน้าต่างแม้ตั้งใจว่าจะไม่สนใจและบอกตัวเองว่าดีแล้วแต่เขาก็เอาแต่ผุดลุกผุดนั่งอยู่ที่โต๊ะเขียนหนังสือและความกระสับกระส่ายทั้งหมดก็จบลงเมื่อเขาเห็นเงาของคนที่มองหา

“ดึกแล้วยังจะมา”

เมื่อเห็นแบบนั้นขาของทรงจำก็ก้าวเดินลงมาทางด้านล่างของบ้านอ้อมไปทางด้านหลังห้องครัวเดินตรงไปหาร่างที่ตอนนี้นอนราบไปพื้นพร้อมมองขึ้นไปทางหน้าต่างที่ห้องของเขา

เราอยู่ห่างกันเพียงเท่านี้แต่คุนกลับไม่รู้ถึงการมาถึงของเขาการเดินมายืนอยู่ตรงนี้ทำให้เขาได้ยินทุกอย่างที่คุนพูดทุกปัญหาที่คุนกำลังเผชิญและปากเขาก็พูดถ้อยคำที่ทำให้คุนยอมกลับไป

ครืดๆ ในขณะที่ทรงจำคิดย้อนไปเรื่องที่ผ่านมาเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้นแต่เขาก็ปล่อยให้มันดับลงด้วยตัวเองเพราะดึกขนาดนี้คงไม่มีใครโทรมายกเว้นแชมป์ที่เพิ่งเดินกลับออกไปพร้อมคุนเมื่อตอนหัวค่ำและเขาก็ยังไม่พร้อมที่จะฟังอะไร

แต่แล้วเสียงโทรศัพท์ก็ยังคงดังอย่างต่อเนื่องซึ่งมันผิดวิสัยของแชมป์ที่จะโทรมาซ้ำถ้าเขาไม่รับยกเว้นว่ามีเรื่องด่วนเขาจึงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูและเห็นว่าเบอร์ที่โชว์อยู่ไม่ใช่เบอร์ของแชมป์แต่เป็นเบอร์ของคุณธิดาเขาใช้เวลาชั่งใจเพียงครู่ก่อนที่จะตัดสินใจรับสาย

“สวัสดีครับคุณธิดา”

“สวัสดีฉันได้ข่าวว่าเธอออกจากโรงพยาบาลแล้ว”

“ครับ”

“เธอกลับไปพักกับคนของเธอ แล้วทำไมเธอยังต้องรั้งคุนให้อยู่กับเธออีก?”

“ข่าวเรื่องอื่นของคุณอาจจะถูกต้องนะครับคุณธิดาแต่เรื่องที่ผมรั้งลูกของคุณเอาไว้ผมว่าเรื่องนี้คุณคงต้องไปสืบมาใหม่เพราะถ้าคุณธิดาถามผมผมก็ตอบได้แค่ว่าลูกชายของคุณคงจะรักผมมากถึงขนาดที่ไล่เท่าไหร่ก็ไม่ยอมไปไหน”

“เขาคงจะรู้สึกผิดที่เป็นต้นเหตุให้เธอต้องเป็นแบบนี้หรืออาจจะสงสารในสภาพร่างกายที่พิการของเธอมากกว่ารักถ้าเป็นไปได้ฉันก็อยากให้เธอใช้คำให้ถูกต้อง”

มือของเป็นธรรมสั่นเทาหลังจากได้ยินสิ่งที่คุณธิดาตอกย้ำในสิ่งที่เขาคิดมาเสมอจนเกือบจะปล่อยให้โทรศัพท์ที่ถืออยู่ล่วงหล่นลงสู่พื้น

“คุณคงไม่สามารถบังคับให้เขาทำตามคุณได้สินะครับคุณถึงต้องลงทุนโทรมาหาผมเองขนาดนี้ทำไมเหรอครับคุนเขาขาดผมไม่ได้ถึงขนาดขัดคำสั่งคุณธิดาเลยรึครับ?”

“เธอ!!”

“ผมก็ไม่รู้จริงๆ ว่าผมทำอะไรเขาถึงติดใจลูกคุณติดใจอะไรผมคุณพอจะรู้ไหมครับ? ขนาดพิการยังไม่ไปไหนเลยครับ”

“แล้วเธอจะรู้ว่าเขาไม่ได้รักเธออย่างที่เธอคิดฉันจะทำให้เธอรู้ด้วยตัวเอง”

คุณธิดาตัดสายไปแล้วแต่เสียงและคำพูดของคุณธิดายังคงดังก้องอยู่ในหัวของเขา ‘เขาไม่ได้รักเธอ’ ‘เขารู้สึกผิด’ ‘เขาสงสารถึงสภาพ’

“โธ่เว่ย”

หลังจากวางสายไปตอนนี้ทรงจำไม่รู้แล้วว่าความรู้สึกของเขา ณ ตอนนี้มันคืออะไรกันแน่ระหว่างกลัวความสูญเสียไม่แน่ใจหรือความระแวงแต่ที่รู้ๆ ความรู้สึกนี้มันผลักดันให้เขาต้องทำอะไรบางอย่างเขาต้องการให้คุณธิดารู้ว่าคุณรักเขาและไม่รังเกียจเขา

“เบทต้องพังทุกอย่างที่ขวางหน้าแน่นอนที่เห็นคุณในวันนี้ แถมยังมาเร็วกว่าทุกวันเสียด้วย”

“ทำไมเหรอครับ? ผมนึกว่าเขาโอเคแล้วซะอีกหรือว่าพี่ดาร์กสั่งเด็ดขาดแล้วว่าห้ามผมมา”

“เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับดาร์กค่ะแต่เมื่อวานแชมป์โทรมาเล่าเรื่องคุณให้พวกเราฟังพวกเราก็เลยพนันกันนิดหน่อยและดูเหมือนว่าเบทจะเป็นฝ่ายต้องจ่ายให้กับฉันกับแชมป์”

“หวังว่าคุณเบทคงไม่มาไล่ผมออกไปนอกบ้านหรอกนะครับ”

“เข้าไปเถอะค่ะ”

“วันนี้ผมเรื่องอยากรบกวน ไม่รู้ว่าคุณกี้จะโอเคไหม?”

“เรื่องอะไรเหรอคะ?”


ไม่บ่อยครั้งที่ทรงจำจะโผล่มาตรงส่วนของร้านอาหารแต่มันเพราะวันนี้เขาตั้งใจเดินมาหาคุนเพราะเขาว่าเขาเห็นคุนเดินเข้าร้านมาตอนที่เขาเอาขยะในบ้านออกมาทิ้งแต่ไม่ว่าเขาจะรออยู่ในบ้านสักเท่าไหร่คุนก็ไม่เดินผ่านเข้าไปในส่วนของบ้านเสียทีเขาจึงเดินออกมาดูว่าเกิดอะไรขึ้น

“ทำอะไรนะ?”

“ไอ้เบท”

“อ้าว เฮ้ยกลับมาเหรอวะ? แม่งเสียพนันอีกแล้วและนี่มาแอบอะไรยืนตรงนี้? ทำไมมาแอบดูเขาเหรอ?”

“เปล่า เดินผ่านมาก็เลยหยุดดู”

“แม้เดินผ่านมาได้ตรงเวลาดีจริงนะ”

ทรงจำปล่อยให้เบทพูดค่อนคอดไปเรื่อยเพราะตอนนี้เขากำลังสนใจกับคนที่กำลังลงมือทำครัวมากกว่าเสียที่ดังมาจากปากของเบทเขายืนดูจนกระทั่งกะทะพ้นจากเตาและพออาหารทุกอย่างถูกกวาดมาที่จานเขาก็รีบหมุนตัวเตรียมเดินกลับเข้าไปที่ตัวบ้าน

“สรุปแล้วมันยังไง? ไหนว่าไม่รักเขา?”

“แล้วตรงไหนที่ว่ารัก”

“นั้นสิแล้วตรงไหนเรียกว่ารัก”


“สวัสดีครับคุณสมใจ”

คุนเดินเข้ามาในบ้านพร้อมกับผัดไทยที่อยู่จานทั้งสองจานแถมยังมียาคูลปั่นที่เขาชอบเพิ่มมาอีกด้วยสงสัยคงลงมือทำตอนที่เขาวิ่งกลับมาแล้วมิน่าเขาเข้ามาตั้งนานกว่าที่คุนจะตามมา

“สวัสดีค่ะ”

“ขอโทษด้วยครับที่ช้าทำให้เลยเวลามื้อเย็นมานานพอดีผมไม่ได้ลงมือทำนานแล้ว”

“ทำไมถึงเป็นคุณที่ยกอาหารเข้ามา?”

“ก็คุนเป็นคนทำก็ต้องยกเข้ามาสิอะนี่ยาคูลวันนี้คุนรีบมาเลยไม่ได้แวะซื้อปีโป้พี่ดื่มแบบไม่ผสมไปก่อนแล้วกัน ครั้งหน้าเดี๋ยวใส่ปีโป้ให้”

“ครืด” ทรงจำลุกขึ้นจากที่นั่งทำให้เสียงลากเก้าอี้ดังสวนกับเสียงของจานอาหารที่ถูกวางลงบนโต๊ะคุนหันมาคว้ามือของเขาเอาไว้ได้ทันก่อนที่เขาจะเดินหายออกมาจากตรงนั้น

“เดี๋ยวพี่ต้องทานยาหลังทานข้าวนี่ก็เลยมาเยอะแล้วคุนว่าพี่ทานเถอะ”

“ใครใช้ให้คุณเข้ามาก้าวก่าย?”

ทรงจำดึงมือของตัวเองออกและเดินขึ้นด้านบนที่เขาเดินออกมาไม่ใช่ว่าเขาต้องการจะเล่นตัวและไม่ทานอาหารที่คุนตั้งใจทำแต่เพราะเขามีเรื่องอยากจะคุยกับคุนโดยที่ไม่อยากให้ครูรู้

“คุณสมใจทานข้าวเถอะครับผัดไทยถ้าไม่ทานตอนร้อนๆมันจะไม่อร่อยยิ่งเป็นฝีมือของผมแล้วความอร่อยมันจะหายไปเร็วกว่าเดิมสำหรับพี่ดาร์กผมขอตามขึ้นไปทางด้านบนได้ไหมครับ?”

“ได้ค่ะ”

“ขอบคุณครับ”

เสียงของคุนดังตามหลังเขามาเรื่อยๆ และเพียงไม่นานคุนก็เดินตามเข้ามาที่ห้องซึ่งเขาตั้งใจเปิดแง้มมันเอาไว้และเป็นไปตามคาดคุนผลักมันเข้ามาโดยที่ไม่ต้องขออนุญาตเข้าห้อง

“พี่จะหนีคุนไปถึงเมื่อไหร่?”

คุนมองสำรวจไปรอบๆ ห้องคงจะพยายามหาที่วางถาดอาหารแต่ในห้องไม่มีอะไรมากมีเพียงเตียงตู้เสื้อผ้าและโต๊ะเขียนหนังสือที่เต็มไปด้วยกระดาษทรงจำแอบเห็นคุนขมวดคิ้วเล็กน้อยและพยายามดันเอกสารเหล่านั้นไปข้างโต๊ะและวางถาดอาหารลง

“คุนขอครูของพี่แล้วครูของพี่ก็อณุญาตแล้วด้วย”

“ผมไม่ได้ว่าอะไร”

“พี่ก็น่าจะรู้นิสัยคุนว่าต่อให้พี่ไล่คุนก็ไม่ไปอยู่แล้วงั้นพี่ก็มานั่งทานข้าวดีๆ และกินยาได้แล้ว”

“ทำอย่างนี้ไปเพื่ออะไร?”

“ทานข้าว ทานยาก่อน”

“ก็บอกมาก่อนว่าทั้งหมดนี้เพื่ออะไร?”

“ถ้าพี่ทานคุนก็จะตอบ”

“แล้วของคุณ?”

“เดี๋ยวค่อยกินหลังพี่”

“ไปเอาขึ้นมา กินพร้อมกัน”

คุนยืนงงอยู่ที่เดิมพักนึงก่อนที่จะยิ้มกว้างและรีบวิ่งลงไปทางด้านล่างใช้เวลาเพียงไม่นานคุนก็กลับขึ้นมาบนห้องพร้อมกับอาหารของตัวเอง

ทั้งเขาและคุนต่างผ่านอาหารมื้อนี้ไปอย่างเงียบๆ คุนยังคงมองไปทั่วทั้งห้องโดยที่ไม่ได้สนใจว่าเขากำลังจับตามองการกะรทำของคุนอยู่

“ทำไมกระดาษมันเยอะแบบนี้ละ?”

“เคลียร์งาน”

“แต่หมอไม่ให้พี่ใช้สายตาเยอะ พี่ก็ควรเชื่อหมอบ้าง”

“ไม่เห็นว่ามันจะต่างกันตรงไหน”

“ให้คุนช่วยนะ”

“อย่าเลย”

“ให้ช่วยเถอะคุนทำได้จริงๆ”

“แล้วรู้งานที่ผมทำอยู่เหรอ?”

คุนทำท่าเหมือนจะพูดอะไรแล้วก็เงียบไปทรงจำผมยกไหล่และก้มหน้าก้มตาทานผัดไทยต่อหลังจากที่อาหารหมดลงคุนก็เก็บถาดอาหารลงไปทางด้านล่างคุนหายลงไปด้านล่างนานจนเขาคิดว่าคุนคงกลับไปแล้วเขาจึงเข้าไปล้างหน้าล้างตาจะได้ออกมาเคลียร์งานที่บริษัทให้เสร็จตามที่ได้สัญญากับเบทเอาไว้

 
“ทำอะไรนะ?”

“พี่ดาร์กมานั่งนี่กินยาซะอะ”

“เดี๋ยวกินเอง”

“กินเลย” คุนเอาแต่จ้องมองหน้าของเขาทำให้เขาต้องโยนยาเหล่านั้นเข้าปาก

“นั่งดีๆ พี่เดี๋ยวคุนทำแผลให้”

ทรงจำนั่งลงที่เตียงส่วนคุนยืนอยู่ข้างเตียงแกะเอาที่ปิดตาของเขาออกร่างกายของทรงจำเกร็งตัวขึ้นเมื่อพลาสเตอร์ที่ยึดกับผิวหนังของเขาเริ่มหลุดออก

“เดี๋ยวทำเอง กลับไปเถอะ” ทรงจำอดทนให้คุนเป็นคนแกะที่ปิดตาออกมาทั้งหมดไม่ได้

“คุนอยากทำให้”

“ไม่ต้อง”

คุนไม่ยอมฟังและทำตามคำสั่งของเขาคุนยังคงดึงดันพยายามจะแกะออกยิ่งคุนทำแบบนั้นเขาก็กำข้อมือของคุนเอาไว้แน่นขึ้นจนในที่สุดคุนก็ยอมลดมือทั้งสองข้างลงแรงต่อต้านของทรงจำก็ลดลงตอนที่แขนของคุนลดลงมาอยู่ข้างลำตัวเหมือนเดิมแต่แล้วคุนกลับใช้ช่วงเวลาที่เขาไม่ได้ตั้งการ์ดปกป้องตัวโน้มหน้าลงมาแล้วจูบลงบนผ้าปิดแผลที่ตานั้น

“ให้โอกาสคุนได้ทำแผลนี้เถอะนะ”

ไม่มีเสียงปฎิเสธจากเขาคุนจึงเริ่มแกะผ้าปิดแผลออกและเมื่อมันถูกเปิดออกสายตาของคุนก็เปลี่ยนไปจากสายตาที่ห่วงใยกลายเป็นสายตาแห่งความเสียใจจนน้ำตาของคุนไหลออกมา

“แผลของพี่ ทำไมมันเป็นแบบนี้ วันนั้นที่คุนเห็นที่โรงพยาบาล มันไม่ใช่แบบนี้”

“...”

“คุน ขอโทษ”

“อย่าพูดมันออกมาอีก!!”

คำขอโทษของคุนทำให้ทรงจำฟิวส์ขาดเพราะมันเป็นการตอกย้ำว่าสิ่งที่คุณธิดาพูดมาเมื่อวานมันเป็นสิ่งที่ถูกต้องมันย้ำเตือนว่าคุนคอยมาวนเวียนอยู่รอบตัวเขาเพราะอะไรทรงจำพยายามจะยึดของเหล่านั้นคืนมาปิดบังความน่าเกียจของตัวเองแต่คุนก็เอาแต่ยื้อทุกอย่างเอาไว้ในมือเขาจึงผลักคุนออกไปให้ห่างและรีบลุกขึ้นยืนและหันหลังให้กับคุน

“ออกไปซะ ออกไป”

“พี่...”

“บอกให้ออกไปไง ไม่ต้องมามองผมด้วยสายตาแบบนั้นอีก ผมไม่ได้ดูน่าสม...”

“คุนรักพี่คุนมาเพราะรักพี่”

คุนโอบกอดเขาไว้ทางด้านหลังหัวใจของคุนที่กำลังแนบอยู่กับแผ่นหลังของเขาเต้นด้วยจังหวะที่เร็วไม่ต่างกันจากของเขา

“...”

“พี่ถามคุนใช่ไหมว่าคุนมานั่งทำทั้งหมดนี้ไปเพื่ออะไร? ที่ทำไปทั้งหมดก็เพราะว่าคุนยังรักพี่รู้ว่ามันยากที่จะเชื่อแต่คุนยังคงมีความรักให้กับพี่ไม่ว่าจะยังไงก็รักพี่”

คุนหันตัวของเขาให้มาเผชิญหน้ากันและจับตัวเขานั่งลงที่เดิมคุนใส่ยาทำแผลให้กับเขาโดยปราศจากสีหน้าของความสงสารเหลือเพียงแค่สีหน้าของความเป็นห่วงไว้และเพราะสายตาความเป็นห่วงนั้นของคุนทำให้เขายอมนั่งเฉยไร้การต่อต้าน

“ทำให้เห็นสิ”

“ครับ?”

“ทำให้เชื่อและเห็นว่าคุณรักผมจริง”

“แล้วคุนจะทำให้พี่ดู”

คุนเอามือลูบไปตามความยาวของแผลความแสบที่เกิดจากยามันดูทุเลาลงเมื่อมันถูกสัมผัสด้วยมือคู่นี้และสุดท้ายคุนก้มลงจูบตรงเปลือกตาตรงที่แผลของเขา

“ไม่ต้องปิดแผลนะพี่แผลมันแย่เพราะพี่ปิดอยู่ตลอดเวลา”

“ปิดหรือเปิดมันก็ค่าเท่ากันยังไงตาข้างนี้มันก็ใช้งานไม่ได้อยู่ดีตาข้างนี้มันมองไม่เห็นอีกต่อไปแล้ว”

“คุนรู้ๆ แต่คุนขอนะ”

สายตาที่คุนกำลังใช้อ้อนวอนเขานั้นมันดึงดูดให้เขาโน้มหน้าเข้าไปใกล้มากขึ้นจนตอนนี้หน้าของเราใกล้กันมาก ใกล้จนเขาสามารถรับรู้ได้ถึงลมหายใจของคุนที่กำลังส่งผ่านลงที่ใบหน้าของเขา

ครืดๆ เสียงมือถือของคุนดังขึ้นทำให้เราทั้งสองคนผละออกจากกันคุนยืดตัวขึ้นเต็มความสูงและเดินไปหยิบโทรศัพท์ที่ถูกวางเอาไว้ที่พื้นตั้งแต่ตอนที่เราทั้งสองคนนั่งทานข้าวเย็นกัน

“ครับแม่”

ทรงจำเงยหน้ามองขึ้นดูที่นาฬิกาก็ไม่แปลกที่คุณธิดาจะโทรมาตามลูกชายสุดที่รักกลับบ้านเพราะมันก็ดึกมากแล้วผม

“คืนนี้นอนที่นี่ได้ไหม?”

“พี่...”

“แต่ถ้าคุณไม่เต็มใจก็ไม่เป็นไร ผมขอโทษด้วยที่พูดอะไรออกไป”

“นอนสิ”

คุนวางของทุกอย่างลงที่เดิมและเดินมาหยิบชุดนอนของทรงจำที่อยู่ในตู้เสื้อผ้าและเดินตรงไปอาบน้ำแผลที่ตารู้สึกเย็นเล็กน้อยเมื่อถูกกระทบด้วยลมแอร์ที่เปิดไว้เขารู้สึกไม่ชินเพราะนี่คือครั้งแรกที่ยอมเปิดแผลที่ตาข้างนี้จึงยกมือขึ้นมาปิดดวงตาเอาไว้
ทรงจำล้มตัวลงนอนที่เตียงรอให้คุนกลับมาแต่ฤทธิ์ยาที่เขาทานเข้าไปทำให้ง่วงนอนและหลับไปตั้งแต่คุนยังไม่กลับเข้ามาในห้องในห้วงของความฝันเขาฝันว่าข้างกายที่เย็นเฉียบกลับอุ่นขึ้นมือของเขาที่วางอยู่ที่ดวงตาถูกยกออกและถูกความนุ่มอุ่นจรดลงมาและมันก็เหมือนเป็นความอุ่นจนทำให้เขาไม่หวาดกลัวที่จะเปิดแผลนั้นเอาไว้เพื่อรับลม


TBC

ออฟไลน์ sweetsky

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 150
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +29/-0
บทที่ 23 Rewrite

เพียงแค่คุนขยับตัวลงจากทรงจำก็รู้สึกตัวตื่นแม้ตาจะหลับแต่หูของเขาคอยเงี่ยฟังว่าคุนกำลังทำอะไรคงต้องขอบคุณความสามารถพิเศษที่เขาได้มันมาหลักจากที่สูญเสียตาไปหนึ่งข้างเพราะมันทำให้เขาสามารถฟังเสียงได้ดีขึ้นและครั้งนี้มันทำให้เขาสามารถจินตนาการได้ว่าคุนกำลังทำอะไรอยู่ตรงไหนในห้องนอน

“คุนทำให้พี่ตื่นรึเปล่า?”

“เปล่า” ทรงจำเลิกแกล้งหลับตอนที่เสียงลูกบิดของประตูห้องนอนถูกบิดออก

“คุนไปก่อนนะพี่”

ในห้องยังไม่มีแสงแดดรอดเข้ามาเขาจึงเหลือบไปมองนาฬิกาที่ถูกติดเอาไว้ที่ฝาพนังแล้วก็พบว่ามันเพิ่งจะตี 5 เขาอยากถามคุนว่าทำไมถึงต้องรีบออกไปแต่เขาก็ปากหนักเกินกว่าจะถามออกไปได้แต่พยักหน้ารับคำและลุกขึ้น

“พี่ดาร์กปิดแผลทำไม?”

“จะลงไปเปิดประตูให้”

“ไม่ต้องปิดแผลก็ได้นิ”

“แล้วจะเข้าไปช่วยครูทำอาหาร”

“ทำอาหารก็เปิดแผลได้”

“ไม่ได้มีครูอยู่ในครัวคนเดียว”

“ยิ่งปิดคนยิ่งมองไม่ต้องปิดหรอกพี่เชื่อสิ”

หลังจากเถียงกันอยู่ทรงจำก็วางอุปกรณ์การปิดแผลลงไม่ใช่ว่าเขาอยากจะเชื่อหรือทำตามแต่ถ้าเอาแต่ยื้อกันอยู่อย่างนี้ทั้งเขาและคุนคงไม่มีใครได้ออกไปจากห้องนี้แน่

“สวัสดีครับคุณสมใจ”

“สวัสดีค่ะ อยู่ทานข้าวเช้าด้วยกันก่อนไหมคะ?”

“เอาไว้วันหน้านะครับ พี่ดาร์กเย็นนี้อยากกินอะไรเป็นพิเศษรึเปล่า?”

“ไม่”

ตั้งหลายวันทรงจำไม่เคยถามว่าคุนมาที่บ้านนี้ได้ยังไงและเขาก็ลืมเรื่องนั้นไปเลยจนตอนนี้ที่เขาเดินออกมาส่งคุนที่หน้าบ้านและสังเกตุเห็นความว่างเปล่า

“ยังไม่ซื้อรถ?”

“พอได้นั่งรถประจำทางนานเข้าคุนว่ามันก็สะดวกดี”

“รอก่อน”

“พี่จะไปไหน?”

“รอตรงนี้”

เขาพยายามก้าวขาให้ยาวเดินกลับเข้าไปในบ้านตรงขึ้นไปบนห้องทรงจำคว้าไปที่กล่องเหล็กที่เขาเอาไว้เก็บกุญแจต่างๆ เทกล่องเหล็กรื้อขอ ที่สายพันกันมั่วไปหมดออกจากกันแต่แม้ว่าเขาจะพยายามทำทุกอย่างให้เร็วด้วยตาที่สามารถใช้การได้เพียงข้างเดียวทำแต่กว่าจะเจอสิ่งที่ต้องการและเดินกลับลงมาทางด้านล่างคุนก็หายไปแล้วเหลือเพียงแค่ครูที่ยืนล็อคประตูหน้าบ้าน

“คุนฝากบอกขอโทษที่ไม่ได้รอแต่ว่าเขาต้องรีบกลับไปเปลี่ยนเสื้อผ้าที่บ้าน”

“ครับครู”

ทรงจำเดินกำกุญแจที่ถือลงมาตามครูเข้าไปในห้องครัวที่มีคนอื่นช่วยกันทำกับข้าวถวายพระอยู่ที่หน้าบ้านครูยิ้มกว้างที่เห็นใบหน้าของเขาที่ไม่มีผ้าปิดแผลปรากฏเขารู้ว่าครูต้องดีใจเพราะมันเป็นสิ่งที่ครูพยายามขอเขามาตลอดตั้งแต่กลับมาอยู่บ้านและเขาก็ไม่เคยที่จะทำมันและเขาก็คิดว่าเขาน่าจะทำตามที่ครูขอมาตั้งนานแล้ว

แต่ลูกจ้างคนนึงที่เคยเห็นหน้าเขาตั้งแต่ยังไม่เกิดอุบัติเหตุมองเขาตาไม่กระพริบตาตอนที่เขาเดินเข้าไปปรากฏตัวในห้องครัวและนั้นก็ทำให้รู้ว่าเขาพลาดไปแล้วที่เชื่อคุนและลงมาทั้งแบบนี้

“ดาร์กจะไปไหนไม่อยู่ช่วยครูก่อนเหรอ?”

“ผมจะขึ้นไปปิดแผลคนกลัวหมดเดี๋ยวลงมาช่วยครับ”

เด็กคนนั้นสะดุ้งตัวเหมือนรู้ว่าทรงจำกำลังพูดถึง เจ้าตัวทำท่าเหมือนจะพูดอะไรสักอย่างซึ่งถ้าให้เดาก็คงไม่พ้นกับคำว่าขอโทษแต่แล้วเด็กคนนั้นก็เอาแต่อ้าปากขึ้นลงจนเขาเริ่มรู้สึกโมโหจึงรีบเดินออกมาจากครัวดีกว่าที่จะยืนอยู่ต่อและกลายเป็นคนที่ทำให้บรรยากาศยามเช้าขุ่นมัว

“หนูไม่ได้กลัวนะคะ”

ขาที่ก้าวออกมาเพียงข้างเดียวชะงักลงหลังเสียงของเด็กคนนั้นดังขึ้นมาเขาหันกลับไปตามเสียงพูดและมองหน้าของคนที่พูด

“ที่หนูมองพี่หนูไม่ได้กลัวพี่นะแต่เป็นเพราะว่าแปลกใจหนูเห็นพี่ปิดผ้าไว้ตลอดหนูก็คิดไปว่าแผลของพี่คงจะเอ่อ...น่ากลัวกว่านี้แต่พอวันนี้ได้มาเห็นเป็นครั้งแรก มันก็เลยอดไม่ได้ที่จะมอง”

“...”

“จริงๆ นะคะ” เด็กคนงานนั้นพยายามย้ำว่าสิ่งที่เขาพูดเป็นเรื่องจริง

“เมื่อรู้แบบนี้แล้วงั้นก็เข้ามาช่วยครูต่อได้แล้วใช่ไหม?”

“ครับ”

หลังจากใส่บาตรเสร็จทรงจำก็กลับขึ้นมาบนห้องเพื่อสะสางงานที่ค้างเอาไว้กว่าเขาจะรู้สึกตัวว่าควรที่จะพักตาบ้างก็ตอนที่แสงแดดทางด้านนอกเริ่มทอแสงอ่อนจนเข้ามาไม่ถึงตัวเอกสารที่กำลังอ่านอยู่แต่ในเมื่อดูแล้วงานมันเหลืออีกนิดเดียวเขาจึงเอื้อมมือไปเปิดโคมไฟที่โต๊ะแล้วตั้งใจจะทำงานต่อให้เสร็จแต่ตอนที่เขาเอื้อมมือไปนั้นเขาไม่ได้ทันปรับตาให้ดีพอแสงไฟสว่างจ้าออกมาตาของเขาก็แสบแสงไฟจึงผงะไปทางด้านหลัง

“พี่ดาร์กเป็นอะไร!!!”

เสียงของคุนดังแตกตื่นอยู่ทางด้านหลังของเขาสงสัยเขาจะมีสมาธิกับงานมากเกินไปจนเขาไม่สามารถรับรู้ถึงการมาของคุนได้

“ไม่มีอะไร”

“ไม่มีได้ไงคุนเห็นพี่เซ”

คุนกดเปิดไฟดวงใหญ่ของห้องและเดินเข้ามาปิดไฟที่โคมไฟที่โต๊ะทำงานของเขา

“คุณสมใจบอกว่าตั้งแต่ช่วงบ่ายพี่เอาแต่หมกตัวทำงานอยู่บนนี้ไม่ยอมลงไปข้างล่างคุนว่าพี่ทำงานเยอะเกินไปแล้วครับ”

“ครู”

“ครับ?”

“เรียกว่าครูก็ได้”

“คุณ เอ่อ ครู เขาจะยอมให้เรียกเหรอพี่?”

“ทำไมจะต้องไม่ยอม”

“ก็ … โอเคต่อไปนี้คุนจะเรียกคุณสมใจว่าครูแต่ตอนนี้เอาเป็นว่าพี่พอกับงานตรงนี้ได้แล้ว”

คุนดึงให้เขาลุกขึ้นยืนและรีบรวบเอาเอกสารไปเก็บไว้ที่มุมนึงของโต๊ะทำเหมือนกับว่าเขาจะเอื่อมไปหยิบไม่ถึงแบบนั้นเขาเกือบจะโวยวายแต่ยังดีที่คุนยังแยกเป็นกองๆ ตามประเภทงานให้

เห็นการที่คุนพยายามเอาตัวบังโต๊ะทำงานทรงจำก็รู้แล้วว่าเขาคงหมดหนทางที่จะดื้อทำต่อไปเขาจึงถอดแว่นตาออกแล้วยืดตัวบิดขี้เกียจแก้เมื่อยคุนใช้เวลายุ่งอยู่กับโต๊ะอยู่เพียงไม่นานหลังจากนั้นก็หันมาดันให้เขาลงไปด้านล่างเพื่อไปกินทื้อเย็นที่กี้ทำไว้ให้

 
“งั้นผมลาก่อนนะครับครู”

“เย็นแล้วให้กี้หรือแชมป์ไปส่งที่หน้าปากซอยไหม?”

“ไม่เป็นไรครับผมมาจนจำทางได้แล้ว”

หลังจากที่ทั้งเขาและคุนช่วยกันทำความสะอาดเรียบร้อยคุนก็เดินมาลาครูที่ห้องนั่งเล่นความหงุดหงิดเกิดขึ้นโดยไม่ทันตั้งตัวในหัวมีแต่คำถามที่ผุดขึ้นมาว่าทำไมคุนต้องรีบที่จะกลับบ้านมากขนาดนั้น

“โอ๊ย”

คุนกลับมาสนใจเขาแทนบทสนทนาที่เกิดขึ้นกับครูเขาพยายามก้มหน้าลงต่ำยกมือกดตาข้างที่มองไม่เห็นเอาไว้ คุนย่อลงและก้มมองพยายามที่จะแกะมือของเขาออกมือของคุนที่จับทับมือของเขาเอาไว้เริ่มเย็นเฉียบและกำลังสั่น

“ผมอยากขึ้นข้างบน”

“ไปๆ คุนพาไปนะ”

“พี่ดาร์กเปิดตาให้คุนดูหน่อยเป็นอะไรไปพี่เจ็บเหรอ?”

“อืม แต่ตอนนี้โอเคขึ้นแล้ว”

“เอางี้พี่ไปอาบน้ำก่อนดีกว่าเดี๋ยวคุนทำแผลให้”

“ไม่เป็นไรคุณคงอยากกลับบ้านแล้วกลับเลยก็ได้”

“คุนไม่ได้รีบขนาดนั้น”

ทรงจำพยายามทำทุกอย่างให้ช้าที่สุดไม่ว่าจะเป็นเดินหรือแม้กระทั่งนั่งเล่นอยู่ในห้องน้ำแม้ว่าจะอายน้ำเสร็จนานแล้วก็ตาม

“พี่โอเคหรือเปล่า? หายไปนาน”

“โอเค”

“งั้นมาทำแผลกันดีกว่า ว่าแต่เป็นยังไงบ้างไม่ได้ปิดแผล”

“ไม่ดี”

“ไม่ดีหรือไม่ชิน?”

“มีคนตกใจ”

“เพราะพี่ปิดมานาน ลองไปเจอคนอื่นๆ ดูสิ คนที่ไม่เคยเห็นพี่ปิดตาคุนว่าพวกเขาจะไม่แม้แต่จะหยุดมองพี่เลย”

แล้วไม่ว่าเขาจะพยายามถ่วงเวลาเอาไว้มากแค่ไหนก็ดูเหมือนว่าทุกอย่างก็ยังคงผ่านไปเร็วเพราะเพียงแค่สามทุ่มคุนก็ทำแผลเสร็จแถมยังเก็บพวกยาต่างๆ เข้าที่เรียบร้อย

“คุนกลับแล้วนะพี่ พรุ่งนี้เจอกันพรุ่งนี้เกิดพี่อยากได้อะไรจากข้างนอกพี่โทรบอกได้เลยนะ”

“เดี๋ยว”

“ครับ?”

วันนี้ทรงจำก็อยากที่จะรั้งให้คุนอยู่กับเขาเหมือนเมื่อคืนแต่มันก็ไม่มีเหตุผลอะไรให้เขาอีกแล้วเขาเลยถอนหายใจเพราะต้องยอมปล่อยให้คุนกลับบ้านไปทรงจำเดินไปหยิบกุญแจที่เขาเตรียมเอาไว้ตั้งแต่เมื่อเช้าแต่ไม่ได้มีโอกาสที่จะยื่นให้ลงที่โต๊ะหนังสือ

“เอารถไปใช้ มันดึกแล้ว”

“รถใครพี่? พี่ขายไปแล้วนิ”

“ผมซื้อคันใหม่”

“พี่ไม่”

“คุณคงไม่คิดว่าผมจะใช้มันได้ในช่วงนี้หรอกใช่ไหม?”

“แต่…”

“มันเป็นความคิดของครู ครูมาบอกผมตั้งนานแล้วว่าให้รถกับคุณใช้”

“อ่อ เข้าใจแล้วครับ”

เมื่อเอาครูมาอ้างคุนก็ยอมรับกุญแจไปช่วงจังหวะที่เขาเอื้อมมือไปปิดโคมไฟที่โต๊ะเพราะจะลงไปส่งคุนทางด้านล่างมือของเขาดันไปโดนกับกองกระดาษที่คุนกองเอาไว้มุมของโต๊ะเขาจึงต้องหันจับพวกกองเอกสารเหล่านั้นเอาไว้ก่อนที่มันจะล่วงไปที่พื้นและเละเทะไปหมด

“พี่จะทำงานเหรอ? วันนี้พี่ก็เพิ่งจะแย่ลงเพราะทำงานมาทั้งวัน”

“ไม่…” ก่อนที่คำปฎิเสธจะหลุดออกไปความคิดบางอย่างก็เกิดขึ้นและนั้นก็ทำให้คำตอบของเขาเปลี่ยนไป

“ไม่ต้องกังวล ผมโอเคแล้ว”

“ไม่ค่อยทำพรุ่งนี้ต่อ?”

“งานนี้ผมต้องทำให้เสร็จ เหลืออีกไม่มากอีกอย่างงานก็รีบ” ทรงจำนั่งลงด้วยใจที่ลุ้นว่าคุนจะหลงติดกับที่เขาวางเอาไว้หรือจะตัดสินใจกลับบ้าน

“ทำไมพี่เป็นคนแบบนี้นะ?”

คุนเดินเอากุญแจรถมาวางที่โต๊ะพร้อมกับเดินคว้าเอาผ้าเช็ดตัวพร้อมทั้งเปิดตู้เสื้อผ้ารื้อเอาชุดสำหรับใส่นอนเดินออกไปจากห้องในวินาทีที่คุนคว้าผ้าเช็ดตัวเป็นช่วงที่เขายิ้มได้อีกครั้ง

“พี่ลุกออกไปเลยมาคุนช่วยรีบมากใช่ไหม” ใช้เวลาเพียงไม่นานคุนก็เดินกลับเข้ามาในห้องคุนเดินมาผลักเขาให้ออกไปจากเก้าอี้

“คุณไม่รู้เรื่องหรอก”

“พี่ก็บอกสิ”

“งั้นเขียนสรุปไว้แต่ละรายงานก็พอเดี๋ยวผมทำต่อเอง”

บทสนทนานั้นเป็นบทสนทนาสุดท้ายที่เขามีกับคุนในคืนนี้และเขาก็นั่งมองแผ่นหลังของคุนจนเผลอหลับไปเพราะฤทธิ์ของยา

“ทำสรุปไว้หมดแล้วแต่ไม่รู้ว่าถูกหมดไหม”

ตื่นเช้ามาเขาก็ไม่เห็นคุนอยู่ข้างกันแล้วลองจับไปที่นอนข้างๆ มันเย็นมากทำให้รู้ว่าคุนคงจะลุกออกไปได้สักพัก มองดูนาฬิกาไม่น่าเชื่อว่าเขาจะนอนยาวจนถึงเจ็ดโมงเช้าเขาเก็บกระดาษโน้ตนั้นไว้ที่ลิ้นชักใต้โต๊ะและมองดูผลงานของคุนเห็นลายมือที่โย้ไปเย้มาสงสัยว่าคุนคงง่วงแต่ยังคงฝืนทำคิดแล้วก็ไม่รู้ว่าเขาใช้งานคุนหนักไปรึเปล่าบางทีวิธีนี้อาจจะไม่ใช่วิธีที่ดีที่สุดที่จะรั้งให้คุนอยู่ด้วยกันเขาอาจจะต้องเปลี่ยนวิธีแต่อย่างน้อยเขาก็ยโล่งใจที่คุนยังยอมเอารถไปใช้ตามที่เขาบอก

“ว้าว ว้าว ว้าว วันนี้ไอ้คุณดาร์กเดินมาช่วยเปิดร้านได้โว๊ย”

“ปากแบบนี้ทำไปคนเดียวละกัน”

“เบทไปแซวมัน”

“ฮ่าๆ แซวนิดเดียวเอง”

“งานเสร็จแล้วส่วนนึงจะเอาเลยไหม? เดี๋ยวเอาลงมาให้”

“เอาตอนเสร็จเลยทีเดียวก็ได้”

“วันนี้ลงมาช่วยหน้าร้านได้ เมื่อไหร่จะกลับไปทำงานที่บริษัทหว่า?”

“อีกไม่นานหรอก”

“เบทเลิกแซวเตรียมตัวไปตลาดซะที สายมากแล้วเนี่ย”

“จะ 8 โมงแล้วจะเหลืออะไรไหมเนี่ย? ไม่ไปได้ไหม”

“ตื่นสายแล้วยังจะมาขี้เกียจ”

“ก็นอนอยู่ด้วยกันไหมละ?”

การพูดคุยของกี้กับเบททำให้เขาหยุดมือที่กำลังช่วยจัดร้านหยุดลงถ้าทั้งสองคนไม่ได้ออกไปตลาดเมื่อเช้า

“เมื่อเช้าใครเปิดประตูให้คุน?”

“คุนค้างที่นี่?”

“คือไรวะ?”

“สรุปทั้งสองคนไม่มีใครมาเปิดประตู?”

“ครูเป็นคนให้กุญแจบ้านเขาเอง”

“ครับ?”

“เมื่อคืนครูเห็นเขาเดินวนอยู่ทางประตูหน้าบ้านเล็กพอถามเขาก็บอกว่าต้องรีบกลับบ้าน ดาร์กครูขอเตือนนะทีหลังอย่าไล่เขากลับในเวลาแบบนั้นแม้ว่าดาร์กจะให้รถเขาไปใช้แต่มันก็ยากมากที่จะขับรถออกไปในช่วงตีสองตีสามของวัน”

“ตีสองตีสาม?”

“ทีหลังอย่าทำอีก เข้าใจไหม?”

“ครับ”

“เอ่อ เบทงานที่ยังค้างอยู่ทั้งหมดเอามาให้หมดเลย”

“ไม่เป็นไรเดี๋ยวกูกับแชมป์ทำก่อนที่เหลือในส่วนของมึงเดี๋ยวค่อยกลับไปทำตอนที่พร้อมเข้าออฟฟิตก็ได้”

“ไม่เป็นไรช่วงนี้ว่างเอามาเถอะ”

“โอเค”


“ทำไมงานเพิ่มขึ้นอีกแล้วอะพี่? พี่ยังไม่ได้กลับไปทำงานเต็มตัวไม่ใช่เหรอ?”

“เบทบอกว่างานยุ่ง ก็เลยขอให้ช่วย”

“คุณเบทนี่ยังไง?”

“คุณไม่ต้องช่วยผมก็ได้เดี๋ยวผมทำเอง คุณกลับบ้านไปเถอะ”

“ผมจะปล่อยให้พี่ทำได้ยังไง ตั้งแต่เมื่อวานจนเมื่อเย็นพี่ก็ยังเจ็บตาอยู่เลย”

ก่อนที่คุนจะมาถึงบ้านทรงจำหยิบเอาผ้าทำแผลมาปิดตาพร้อมกับนั่งจมอยู่กับกองเอกสารและก็เป็นไปตามคาดทันทีที่คุนก้าวเข้ามาและเห็นก็โวยเสียยกใหญ่ว่าทำไมเขาต้องคอยทำอะไรที่ไม่ดีต่อตัวเองเสียงถอนหายใจดังอยู่หลายครั้ง ก่อนที่คุนจะไล่เขาลุกออกจากเก้าอี้

“งั้นคุนก็ไม่มีทางเลือก”

คุนลงนั่งช่วยงานเขาเหมือนเมื่อคืนต่างกันเพียงแค่ว่าคืนนี้เขาไม่ได้หลับจริงเหมือนคืนก่อนเพราะเขาแอบทิ้งยาที่เป็นสาเหตุของการง่วงไปแต่เขายังคงแกล้งหลับคุนจะได้ไม่สงสัยเขานอนฟังเสียงปากกาขีดเขียนกับกระดาษอยู่นานและเสียงนั้นก็มาสะดุดตอนที่เสียงสั่นของโทรศัพท์ของคุนดังขึ้น

“ครับแม่”

“เดี๋ยวผมก็กลับแล้วครับ”

“ไม่ดึกครับ”

“แม่ เราคุยกันแล้ว”

“ครับๆ”

เสียงคุยเงียบลงไปแล้วพร้อมกับเสียงปากกาที่ถูกวางลงทุกอย่างเงียบจนเขาเกือบจะลืมตาขึ้นมาดูว่าเกิดอะไรขึ้นแต่ก่อนที่เขาจะลืมตาขึ้นมาเขาก็ได้ยินเสียงคุนลุกขึ้นจากที่นั่งและเดินมาหยุดที่เตียงคุนนั่งลงที่เตียงแล้วเอามือมาลูบที่ดวงตาและใบหน้าของเขาคุนพักมือแตะไว้ที่แก้มพร้อมกับลงตัวนอนข้างๆ มันนานจนเขาเริ่มสบายใจที่ในคืนนี้คุนตัดสินใจที่จะค้างที่นี่แทนการกลับบ้านและความสบายใจนั้นก็ทำให้เขาหลับได้โดยที่ไม่ต้องเพิ่งยา


“โธ่โว๊ย”

เมื่อคืนเขาหลับไปเพราะความไว้ใจแต่ลืมตาขึ้นมาข้างกายเขาก็ไม่มีคุนอยู่แล้วที่นอนไม่มีรอยยับเหมือนกับเมื่อคืนที่เขารู้สึกว่าคุนล้มตัวนอนอยู่ข้างกันมันเป็นแค่จินตนาการที่เขาสร้างขึ้นมาเอง

“ถ้าคุนจะเล่นแบบนี้ ได้”

หลังจากวันนั้นเขาขอให้เบทขนเอางานที่ยังค้างอยู่ที่บริษัทกลับมาที่บ้านทุกวันไม่เกี่ยงว่างานนั้นจะเป็นของใคร ขอแค่เป็นงานค้างเขาจะยื่นมือไปทำหมดคุนก็ยังคงเป็นคุนที่อยู่จนเขาหลับและกลับออกไปจากบ้านตอนช่วงตีสองตีสาม เขาไม่หลงเชื่อใจและหลับไปตอนที่คุนเข้ามาลูบแผลที่ตาอีกแล้วและนั้นก็ทำให้เขารู้ว่าคุนจะล้มตัวนอนข้างกันเพียงครู่ก่อนที่จะลุกออกไป

หลายวันหลังมานี้ทรงจำเองก็เริ่มเห็นความเปลี่ยนแปลงของคุนหน้าตาของคุนอิดโรยอย่างเห็นได้ชัดสภาพนั้นทำให้เขาอยากหยุดทำแบบนี้อยากหยุดทรมาณแต่ในทุกเช้าที่เขาต้องลืมตาตื่นแล้วเจอกับความว่างเปล่าความตั้งใจที่จะเลิกนั้นก็หายไป

เกาะๆๆ

“ครูขอคุยอะไรด้วยหน่อยได้ไหม?”

“มีอะไรรึเปล่าครับครู?”

“มานั่งนี่สิ”

“ครับ”

“ดาร์กกำลังทำอะไรอยู่?”

“ผมไม่ได้ทำอะไรครับ”

“ไหนก่อนออกจากโรงพยาบาลดาร์กบอกครูว่าจะยอมปล่อยครอบครัวนั้นไปแล้วไง?”

“ผมปล่อยแล้วแต่เขาเป็นคนเดินกลับเข้ามาหาผมครูก็เห็น”

“ดาร์กก็รู้ว่าครูไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น”

“…”

“ดาร์กพอได้รึยัง? ที่เราทำไปทั้งหมดนั้นครูว่าเขาก็ได้รับบทเรียนของเขาแล้วครูมั่นใจว่าเขารู้แล้วว่าการหักหลังมันเป็นอย่างไรอีกอย่างครูไม่คิดว่าคุนควรมาเจออะไรแบบนี้เป็นครั้งที่สอง”

“ก็คงต้องโทษที่เขาเกิดมาเป็นลูกของคุณธิดา”

“ถ้าดาร์กไม่ได้รู้สึกดีที่คุนเขามาดูแลขอแค่บอกมาแล้วครูจะพูดให้แต่อย่าไปทำร้ายเขาดาร์กไม่เห็นเหรอว่าสภาพร่างกายของเขาตอนนี้เป็นยังไง?”   

“ผมแค่อยากให้แม่ของเขารู้ว่าผมไม่ใช่คนน่าสงสารผมไม่ใช่คนพิการที่น่าสมเพชอย่างที่แม่เขาคิดว่าลูกเขาทำไปเพราะรู้สึกแบบนั้น”

“ดาร์ก”

“ครูรู้ไหมเขาโทรมาพูดกับผมว่ายังไงในวันที่เขารู้ว่าลูกเขามาดูแลผมเขาบอกว่าลูกเขารู้สึกแค่สงสารก็เลยตามมาดูแลผมอยู่อย่างนี้ ครู เขาบอกว่าผมพิการ เขา…”

“ชู่ๆๆๆ พอแล้วๆ”

ครูสมใจดึงเขาเข้าไปกอดเอาไว้แน่นไม่ว่าจะผ่านมานานกี่ปีอ้อมกอดของครูเป็นอ้อมกอดที่อบอุ่นเสมอตั้งแต่เขายังเด็กเขารู้มาตลอดว่าอ้อมกอดนี้มีแต่ความหวังดีและด้วยความหวังดีนี่เองที่ทำให้เขาโถมเข้าหาและไม่ปิดบังความอ่อนแอของตัวเอง

ทรงจำใช้เวลาอยู่ในอ้อมกอดนั้นให้เป็นที่พึ่งอยู่นานจนกี้เดินขึ้นมาตามให้เราลงไปทานมื้อกลางวันแล้วพอกี้เห็นแทนที่กี้จะดึงตัวพวกเราออกจากกันกี้กลับเดินเข้ามากอดทั้งเขาและครูทับไว้อีกที

“หลังจากนี้ ดาร์คลองคิดให้ดีนะว่าที่ดาร์กทำมาทั้งหมดดาร์กแค่อยากพิสูจน์ให้แม่ของเขารู้อยากเล่นเกมส์กับแม่เขาหรือที่จริงแล้วดาร์กแค่อยากพิสูจน์ให้ตัวเองรู้ว่าคุนมาหาเพราะอะไร”

“ผม”

“ไม่ต้องตอบครูแค่ตอบตัวเองให้ได้ก็พอว่าที่ทำไปเพราะอะไร”

“…”

“ถ้าถามครู ครูว่าเขาต้องการดูแลดาร์กด้วยความเป็นห่วงไม่ใช่สงสารและสมเพชแต่ไม่รู้ว่าห่วงในรูปแบบไหน อันนั้นดาร์กต้องหาคำตอบด้วยตัวเองด้วยการคุยกับเขา”

“…”

“และที่สำคัญถ้าได้คำตอบแล้วช่วยตอบข้อต่อไปด้วยว่าแล้วดาร์กจะอยากรู้ไปทำไมว่าเขายังรักดาร์กอยู่ไหม? เพราะดาร์กกลัวจะเสียรักนั้นไปหรือเปล่า?”

“ครูบอกได้แค่ว่าถ้ากลัวว่าจะเสียรักนั้นไปแต่ยังทำแบบนี้อยู่ในเร็ววันนี้ได้เสียมันไปแน่นอน”

“ครับครู”

“บางเรื่องใช้ใจมากกว่าสมองมันก็ไม่ใช่เรื่องที่ผิดนะ”

หรือว่ามันถึงเวลาแล้วที่เขาจะกลับไปเชื่อฟังครูเหมือนตอนยังเป็นเด็กอีกครั้งมันถึงเวลานั้นแล้วหรือยังที่เขาควรยอมรับกับความรู้สึกและทำความเข้าใจกับมันเสียที


TBC

ออฟไลน์ sweetsky

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 150
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +29/-0
บทที่ 24 Rewrite

คำถามของครูเป็นคำถามที่ทำให้เขารู้ตัวว่าก่อนที่เขาจะลงมือทำอะไรมากไปกว่านี้เขาสมควรตอบคำถามนั้นให้ได้ก่อนว่า ‘ทำแบบนี้เพื่อใครกันแน่?’ ระหว่างเพื่อตัวเองเพื่อให้รู้ว่าตัวเองยังคงเป็นที่ต้องการยังเป็นที่รักของคุนหรือเพื่อเป็นการเอาชนะคุณธิดา

“ไปไหนนะดาร์ก?”

“จะกลับบ้าน”

“คอนโดใหม่เหรอ?”

“เปล่า จะกลับบ้าน”

เมื่อทรงจำย้ำว่าจุดมุ่งหมายเขาอยู่ที่ไหนกี้วางมือกับงานที่อยู่ตรงหน้าลงพร้อมกับตะโกนเรียกคนงานให้มาจัดการเรื่องเงินที่เค้าเตอร์แทนเธอชั่วคราว

“ให้ไปส่งไหม?”

“ไม่เป็นไรโทรเรียก Uber มารับแล้ว”

“ถ้ากลับไม่ไหวโทรมาบอกรู้ไหม?”

“อือ”

หมู่บ้านเล็กๆ ในช่วงบ่ายแบบนี้ไม่ค่อยมีผู้คนเดินไปมาหนาตามากนักเขาจึงบอกให้คนขับรถส่งเขาลงตรงทางเข้าหน้าหมู่บ้านและเดินเลาะตามทางมาเรื่อยจนเข้ามาถึงตัวบ้านด้วยตัวเองสมัยที่ยังเด็กเขาคุยโอ้อวดกับเพื่อนๆ ที่โรงเรียนเสมอว่าบ้านของเขาหลังใหญ่เท่าฟ้าทั้งที่จริงแล้วมันก็เป็นแค่บ้านเดี่ยว 2 ชั้นธรรมดาหลังนึงนั้นเอง

แต่แม้มันจะเป็นบ้านหลังเล็กแต่เขาก็พยายามทุกวิธีทางที่จะซื้อบ้านหลังนี้กลับคืนมาเขาพยายามทำงานเก็บเงินให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้และความโชคดีต่อมาเมื่อเจ้าของบ้านคนก่อนหน้าต้องย้ายจังหวัดกระทันหันเร่งทำให้เขาสามารถซื้อมันกลับมาได้ในราคาที่ไม่แพง

“พ่อ แม่ ดาร์กกลับมาแล้วครับ”

ตั้งแต่ได้บ้านหลังนี้กลับมาทรงจำก็ไม่เคยย้ายเข้ามาอยู่มีแค่กลับเข้ามาทำความสะอาดบ้างเล็กๆ น้อยๆ เพราะวางแผนจะเข้ามาอยู่ทีไรมีเรื่องต้องให้ไม่ได้กลับมา เปิดประตูรั้วเข้ามาสวนที่อยู่ทางขวามือถูกปกคลุมไปด้วยหญ้าที่เริ่มสูงหลังจากนี้เขาคงต้องตัดมันออกซะบ้างก่อนที่มันจะเปลี่ยนเป็นที่อาศัยของพวกงูภายในตัวบ้านที่ไม่มีคนอยู่อาศัยเป็นเวลาหลายเดือนยิ่งแล้วใหญ่ พวกโต๊ะ ตู้ ต่างๆ เริ่มถูกจับเต็มไปด้วยฝุ่นที่หนา

ทรงจำปล่อยข้ามเรื่องฝุ่นแล้วเดินตรงไปที่โต๊ะที่มีกรอบรูปพ่อ กับ แม่ เขาหยิบกรอบรูปมาปัดฝุ่นออกและยิ้มให้กับภาพนั้นก่อนที่จะถือมันติดขึ้นมาด้วยทางด้านบนของห้องนอนเขาตรงไปที่เตียงก้มลงไปข้างใต้แล้วดึงเอากล่องกระดาษกล่องนึงออกมาปัดฝุ่นทุกอย่างให้เรียบร้อยและเปิดกล่องที่เก็บความทรงจำออกมา

……………………………………….

“ถ้าไม่รักไม่ชอบเขาจะเก็บเอาไว้ทำไมวะ?” 

แชมป์เคยเอ่ยปากถามในวันที่ไปช่วยเขาย้ายของออกจากห้องเช่าที่เคยใช้อาศัยร่วมกับคุนวันนั้นเขาตอบส่งๆ ไปว่าก็มันมีความทรงจำของเขาร่วมอยู่ด้วยแต่ในความเป็นจริงเขารู้อยู่แก่ใจว่าในกล่องนี้มีแต่ของที่เกี่ยวข้องกับความทรงจำระหว่างเขากับคุนทั้งหมด

ไม่ว่าจะเป็นวันเกิดที่จะมีแต่คุนมาเป็นแขกเพียงคนเดียวของงานวันปีใหม่ที่ก็มีแต่คุนที่แต่งเป็นซันต้าเพื่อมาร่วมฉลองภาพในวันที่เขาไปเริ่มงานครั้งแรกที่คุนไปตามแอบถ่ายเอาไว้ที่หน้าบริษัทแต่ภาพที่อยู่ในความทรงจำมากที่สุดก็คงเป็นภาพวันรับปริญญาของเขาเองในรูปนั้นทั้งเขากับคุนยิ้มสู้กล้องด้วยกันทั้งคู่แม้ว่าแดดจะร้อนมากถึงขนาดที่ว่าในรูปยังสามารถโชว์ถึงเหงื่อที่เกาะอยู่ตามใบหน้าของคุนออกมาก็ตาม

ความทรงจำต่างๆ ไหลออกมาเป็นระลอกในการกระทำของเขาไม่ว่าจะเป็นการจีบหรือการช่วยเหลือคุนบางเรื่องที่เขาทำลงไปเขาไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าเขาทำไปเพราะอยากได้ใจแล้วเอามาแก้แค้นหรือเป็นเพราะว่าเขาได้ตกหลุมรักคุนจริงๆ  แต่สิ่งนึงที่เขามั่นใจคือความทรงจำเหล่านั้นมันคือความทรงจำที่ดีทั้งหมดและไม่น่าเชื่อว่าแต่ละความทรงจำมันทำให้เขายิ้มได้และไม่มีเรื่องไหนเลยที่เขารู้สึกเสียใจที่ทำให้มันเกิดขึ้นมาเขาไม่รู้สึกเสียดายเวลาเหล่านั้นเลยด้วยซ้ำ

ทรงจำวางรูปสองใบคู่กันบนเตียงภาพของพ่อกับแม่ที่เขาเป็นคนถ่ายด้วยตัวเองกับรูปของเขากับคุนในวันรับปริญญารูปที่วางคู่กันทำให้ความรู้สึกผิดและความละอายก่อตัวขึ้นจนรู้สึกหายใจไม่สะดวกเขาก็ไม่รู้เหมือนกันว่าความเกลียดความโกรธแค้นที่เขาสะสมมันมาตั้งนานมันหายไปตั้งแต่ตอนไหน

ตลอดเวลาที่ผ่านมาตั้งแต่ที่เขาได้มีโอกาสเข้าไปในชีวิตของคุนไม่มีคืนไหนที่เขาไม่รู้สึกผิดในสิ่งที่เขาได้ทำเขาพยายามบอกตัวเองว่าไม่เป็นไรความรู้สึกนี้มันจะหายไปแต่แล้วในคืนที่ไม่มีคุนเขาก็ได้รู้ตัวว่าเขาขาดคุนไม่ได้

เขาทุรนทุรายจนต้องกลับไปตามดูคุนที่บ้านแทบจะทุกวันพร้อมเอาแต่หวังว่าคุนจะไม่เกลียดกันแม้ว่าเขาจะลงมือทำร้ายขนาดนั้นเขาพยายามมาเสมอที่จะปฎิเสธใครต่อใครว่าเขาไม่ได้รักแต่ที่รู้สึกว่าทั้งหมดนั้นคือความผูกพันที่เกิดขึ้นสำหรับคนที่เป็นเหมือนคู่รักกันมาเป็นสิบปี

เขาอาจโกหกใครต่อใครได้มากมายแต่คนเดียวที่เขาไม่สามารถโกหกได้เลยก็คือตัวเองเขารู้ว่าที่ผ่านมาเขาเป็นเหมือนแค่คนขี้ขลาดที่ไม่ยอมรับความรู้สึกของตัวเองและเก็บความรู้สึกนี้มันให้ลึกที่สุดเท่าที่จะทำได้และการไม่ยอมรับของเขาก็ทำให้เรื่องเหล่านี้มันยืดเยื้อมานานจนตอนนี้เขาว่าเขาควรจบมันได้แล้วก่อนที่มครสักคนจะต้องเสียใจมากกว่านี้

มาถึงตอนนี้เขามีทางเลือกเพียง 2 ทาง คือยอมรับใจตัวเองและขอให้คุนกลับมาหรือปฎิเสธใจของตัวเองและตัดคุนออกไปจากชีวิตให้เด็ดขาด

 “แม่ พ่อ ถ้าดาร์กขอรักเขาจะได้ไหมครับ?  พ่อกับแม่จะผิดหวังกับลูกคนนี้รึเปล่า? แล้วพ่อกับแม่จะโกรธดาร์กไหมครับ?”


ทรงจำใช้เวลาอยู่กับตัวเองตั้งแต่ช่วงบ่ายจนถึงช่วงค่ำตอนที่เดินเข้ามาในบ้านเขาเดินเข้ามาด้วยความสับสนแต่ตอนนี้ตอนที่เขาก้าวขาออกไปจากบ้านทั้งหัวสมองและหัวใจของเขาได้มีคำตอบไปในทางเดียวกันและเขาก็รู้แล้วว่าเขาจะเลือกทางไหน

“โทรไปก็ไม่รับ”

ทรงจำเสียเวลาติดแหงกอยู่บนท้องถนนอยู่เกือบ 2 ชั่วโมงกว่าจะกลับมาถึงบ้านครูก็ปาเข้าไปจะ 2 ทุ่มพอเขาลงมาจากรถแท๊กซี่ก็เจอกี้ยืนดักอยู่ทางเข้าประตูใหญ่และพุ่งตรงเข้ามาหาทันทีที่ประตูรถเปิดออก

“สบายดี ขอบใจที่ถาม”

“ดาร์ก!!”

“โอเคๆ ไม่ได้เปิดเสียงกับสั่นไว้ว่าไงโทรไปมีอะไรรึเปล่า?”

“ยังจะกล้าถามหายไปตั้งครึ่งวันกะว่าถ้าปิดร้านแล้วยังโทรไม่ติดอีกจะไปตามแล้วเนี่ยกินไรมายังเนี่ย?”

“ยัง”

“อาหารอยู่ในครัวหลังบ้านน่ะ ไปอุ่นเอาแล้วกัน ครูกินไปแล้วนะ”

“ขอบใจ”

ด้านล่างของบ้านมีเสียงโทรทัศน์เปิดคลอเอาไว้แต่ไม่มีคนดูอยู่เขาลองเดินหาดูทั้งด้านบนและด้านล่างของบ้านก็ไม่เจอใคร เขาเดินตรงไปในครัวและเริ่มหยิบอาหารออกมาอุ่นมองดูอาหาร 2-3 อย่างที่ตั้งอยู่ไม่น่าจะมีอันไหนที่เป็นฝีมือของคุนเลยสักอย่างหรือว่าวันนี้คุนจะงานเยอะเลยไม่ได้ซื้ออะไรเข้ามา

“กลับมาแล้วเหรอ?”

ครูเปิดประตูจากหลังครัวกลับเข้ามาในตัวบ้านในมือข้างนึงของครูถือมีดทำครัวส่วนอีกข้างเป็นเม็ดพริกที่ถูกใส่รวมกันในชามเล็ก

“มืดขนาดนี้ ครูไม่น่าออกไปตัด”

“ไม่เป็นไรหรอกหลังบ้านเราไม่ได้มืดขนาดนั้นไฟถนนก็สว่างเข้ามาถึงตัวบ้านอยู่”

“ครับ ครับ”

“เห็นกี้บอกว่า วันนี้กลับไปที่บ้านมาเหรอ?”

“ครับครู”

“เป็นยังไงบ้าง?”

เกิดความเงียบขึ้นระหว่างเขากับครูเป็นความเงียบที่เขาขออยู่กับตัวเองอีกสักครั้งเพื่อทบทวนว่าสิ่งที่เขาตัดสินใจก่อนมาถึงที่บ้านหลังนี้มันได้ถูกต้องแล้ว

“ผมไปขอโทษพ่อกับแม่มาครับ”

“ขอโทษเรื่อง?”

“ผมไม่สามารถตัดคุนเขาออกไปจากชีวิตของผมได้ครับ … ผมเลยไปขอโทษพวกท่านมา”

ครูมอบรอยยิ้มที่อบอุ่นให้กับในขณะที่ทั้งใบหน้าของเขาตอนนี้เต็มไปด้วยน้ำตาครูวางมีดและชามพริกพร้อมกับถอดถุงมือวางลงที่โต๊ะอาหารเดินอ้อมโต๊ะแล้วมาหยุดยืนที่ทางด้านหน้าของผมยื่นมือออกมาจับบ่าทั้งสองข้างของเขาด้วยมือที่อบอุ่นของครู

“ดาร์กฟังครูนะแม้ครูเองจะไม่ได้รู้จักพ่อกับแม่ของดาร์กไม่เคยได้พูดคุยกันแต่ครูขอพูดในฐานะที่ครูก็เป็นแม่คน ครูเชื่อว่าพ่อกับแม่ของดาร์กคงไม่ได้รู้สึกดีใจถ้าสิ่งที่ลูกทำให้มันคือความทุกข์ใจของลูก”

“แต่ผม … ผม…ผิดคำสัญญาที่ให้ไว้กับท่าน”

“ครูเชื่อว่าพ่อกับแม่ดาร์กจะต้องเข้าใจ”

“ขอบคุณครับครู”


“หมายเลขที่ท่านเรียกไม่สามารถติดต่อได้ในขณะนี้”

ทรงจำพยายามกดโทรศัพท์หาคุนตั้งแต่ที่คุยกับครูเสร็จทุกครั้งที่เขากดโทรออกเขารู้สึกตื่นเต้นทุกครั้งทั้งอยากรู้ว่าคุนจะทำหน้ายังไงเมื่อเห็นเบอร์เขาทั้งคุนจะทำหน้ายังไงเมื่อรู้ในสิ่งที่เขาจะพูดแต่ไม่ว่าเขาจะพยายามโทรเท่าไหร่ก็โทรไม่ติด

“เปิดเครื่องแล้วโทรหาพี่ด้วย…”

ข้อความที่กำลังพิมพ์ขึ้นถูกลบออกการโทรไม่ติดก็ดีไปอย่างเรื่องแบบนี้เขาว่าบอกต่อหน้ามันน่าจะเป็นสิ่งที่ดีมากกว่าการที่พูดคุยกันทางโทรศัพท์เขาจึงเลิกใจร้อนและวางโทรศัพท์ลง


“จะไปไหนแต่เช้าเนี่ย?”

“ไปจ่ายตลาดด้วย”

“หะ?”

“ไม่ต้องมา ‘หะ’ ได้ยินแบบไหนก็แบบนั้นแหละ”

“อารมณ์ไหน?”

“อารมณ์อยากไปซื้อของทำกับข้าว”

“กินเอง?”

“เออ นะถามอยู่ได้จะได้ไปไหม?”

เมื่อคืนกว่าจะนอนหลับได้ก็ตอนที่นาฬิกาบอกว่าได้เข้าวันใหม่เพราะเขาเอาแต่นอนคิดอยู่ทั้งคืนว่าเขาสมควรทำอย่างไรกับวันนี้ดีจะบอกคุนในแบบไหนทำเป็นบอกเฉยๆ เหมือนกับกำลังพูดเรื่องดินฟ้าอากาศหรือว่าต้องทำการเซอร์ไพรส์ให้คุนตกใจกับสิ่งที่เตรียมจะบอก

‘เพราะผมยังรักพี่’ คำนั้นคำเดียวจริงๆ ที่ทำให้กล้าทำอะไรแบบนี้ก็ได้แต่หวังไว้แค่ว่าคุนจะยังคงมีความรู้สึกแบบนั้นให้กับเขาอยู่และมากพอที่จะยอมให้โอกาสได้เอ่ยคำว่าขอโทษและถ้าเป็นไปได้นอกจากขอโทษแล้วเขาก็อยากจะขอโอกาสให้เราสองคนเริ่มใหม่อีกครั้งซึ่งข้อหลังนี้บอกตามตรงว่เขาค่อนข้างกังวลแต่เขาก็ยังอยากที่จะลองทำมัน

“กว่าจะเสร็จ”

ไม่น่าเชื่อว่าการเตรียมของเซอร์ไพรส์มื้อเย็นเพื่อใครสักคนต้องใช้เวลานานมากขนาดนี้เขาเริ่มเข้าครัวตั้งแต่ช่วงบ่ายแก่ๆ แต่กว่าทุกอย่างจะเสร็จเรียบร้อยก็ปาเข้าไปทุ่มกว่า

“เดินไปเดินมาอยู่ได้ปวดหัว นั่งสักทีเถอะ”

ก็สมควรที่กี้จะเริ่มบ่นในการเดินวนหน้าร้านของเขาก็เขากำลังเป็นกังวลตอนนี้ซึ่งก็เกือบสามทุ่มแล้วคุนยังมาไม่ถึงแถมไม่ว่าเขาจะพยายามโทรไปหาเท่าไหร่เครื่องมือถือที่ถูกปิดตั้งแต่เมื่อวานวันนี้ก็ยังคงเป็นสัญญาณการปิดเครื่องเหมือนเดิม

“เมื่อวานคุนก็มาดึกแบบนี้รึเปล่า?”

“เมื่อวานคุนไม่ได้มา”

“ทำไมไม่เห็นมีใครบอกกูละ?”

“เอ้า มาโมโหทำไมก็ไม่ได้ถามฉันก็ไม่รู้ว่าอยากรู้รึเปล่า”

“เออๆ”

“หมายเลขที่ท่านเรียก…”

“โธ่เว้ย”

ความกังวลยิ่งสูงขึ้นเมื่อผิดเวลาไปมากไอ้เรื่องที่จู่ๆ คุนจะเปลี่ยนใจไม่มาเขาเองก็ค่อนข้างมั่นใจว่ามันไม่มีทางเป็นแบบนั้นที่สำคัญตอนนี้เขารู้สึกใจคอไม่ค่อยดีเพราะเมื่อคิดย้อนไปก่อนหน้านี้ที่คุนก็มีท่าทางเหนื่อยๆ จึงค่อนข้างเป็นกังวลว่าจะไม่สบายหนักรึเปล่าก็ได้แต่หวังว่าคุนจะแค่ไม่สบายเพียงเล็กน้อยและกำลังนอนพักที่บ้านเพราะห่วงว่าเขาจะติดไปด้วยตามสไตล์ของคุนเลยไม่มาหากัน

“กี้ยืมรถหน่อย”

“จะไปไหนแล้วดึกแบบนี้ แกจะขับรถได้ยังไงตาแกไม่ค่อยดีนะ”

“ไม่เป็นไรจะระวัง”

“ให้ไปส่งไหม?”

“ไม่ต้องไปเองได้”

ทรงจำพยายามเดินผ่านหน้าบ้านและมองเข้าไปในตัวบ้านอยู่หลายครั้งเพื่อที่จะลองมองดูว่ารถของเขาถูกจอดอยู่ที่ด้านในของบ้านรึเปล่าแต่ประตูบ้านของคุนเป็นเหล็กทึบเลยทำให้เขามองเห็นได้ไม่ถนัดตามที่ต้องการเขาเดินวนอยู่หน้าบ้านพร้อมกับคิดว่าเขาสมควรทำอย่างไรดีใจนึงก็อยากเข้าไปหาแต่คนที่อยู่ในบ้านนั้นนอกจากคุนแล้วยังมีคุณธิดาซึ่งเขาเองก็ไม่รู้จะยอมให้เขาเข้าไปในรั้วบ้านไหม

กริ๊ง แต่ในที่สุดความเป็นห่วงและกังวลก็เอาชนะทุกความคิดเขาเดินไปกดกริ่งหน้าบ้านและหลังจากกดกริ่งเพียงไม่นานป้าแม่บ้านก็เป็นคนเดินออกมาเปิดประตูบ้าน

“คุณดาร์กป้าไม่เห็นนานเลยค่ะ”

“สวัสดีครับป้า คือผม…”

“เธอจะมาที่นี่อีกทำไม”

“สวัสดีครับคุณธิดา ผมมาหาคุนครับ”


TBC

ออฟไลน์ sweetsky

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 150
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +29/-0
บทที่ 25 Rewrite

“นี่เธอจะมาไม้ไหนอีกเธอต้องการอะไรจากบ้านนี้อีก?”

“ผมแค่อยากเจอคุนเท่านั้นครับ”

“เลิกทำอะไรแบบนี้ พอได้แล้ว ปิดบ้าน”

“ผมขอแค่เจอหน้าเขา สักนิดได้ไหมครับ?”

“ฉันจะไม่หลงกลอะไรเธออีกแล้ว”

“เดี๋ยวครับคุณธิดา... เดี๋ยวครับ ผมต้องการเจอคุนจริงๆ ครับ ผม ผม ขอแค่เจอเขา...”

เสียงตะโกนของเขามันกลายเป็นเสียงที่ไร้ค่าเมื่อคุนธิดาเดินหันหลังกลับเข้าไปในบ้านและสั่งให้คุณป้าดูแลบ้านปิดประตูรั้ว
ทรงจำกลับไปยืนกดกริ่งซ้ำๆ แต่ก็ไม่มีใครออกมาเปิดประตูเขาหยิบเอาโทรศัพท์ขึ้นมาและลองกดโทรหาคุนอีกครั้งด้วยหวังว่าคุนจะรู้ได้ยินเสียงที่เกิดขึ้นเมื่อกี้ที่หน้าบ้านและเดินออกมาหากันแต่เสียงที่เขาได้ยินกลับมาในสายยังคงเป็นเสียงของการปิดเครื่องติดต่อไม่ได้อย่างเดิมแต่เขาก็ไม่ละความพยายามหวังแค่ว่าคุนอาจจะเปิดโทรศัพท์ขึ้นในช่วงนาทีที่เขาโทรเข้าไปแต่เมื่อเวลาผ่านไปมากกว่าครึ่งชั่วโมงเขาก็ต้องยอมแพ้หยุดการโทรออกแล้วเปลี่ยนมาเป็นพิมพ์เมสเสจหาแทน

ดาร์ก : “พี่รออยู่ที่หน้าบ้านเรานะ” ติ๊ด

“อ้าว เฮ้ย มาดับอะไรตอนนี้”

ทรงจำก็ไม่รู้ว่าข้อความที่ถูกส่งออกไปจะส่งไปถึงคุนรึไม่เพราะแบตเตอร์รี่ที่เหลืออยู่ 1 เปอร์เซ็นต์ก็หมดลงในตอนที่เขากดส่งพอดีเขาทิ้งตัวนั่งลงขวางหน้าประตูโดยไม่ขยับตัวไปไหนคิดเพียงแค่ว่าถ้าเขานั่งอยู่อย่างนี้ยังไงซะเขาก็ต้องได้เจอกับคุนเพราะไม่มีทางที่คุนไม่ก้าวขาออกจากบ้าน

“คุณๆ”

ทรงจำโดนสะกิดให้ตื่นพร้อมกับแสงไฟจากไฟฉายถูกสาดมาที่หน้าทำให้เขาต้องหยีตาขึ้นมองและก็พบว่าเป็น รปภ ของหมู่บ้านนี้เอง

“ครับ?”

“คุณนอนตรงนี้ไม่ได้”

“ผมแวะมาหาเพื่อน”

“ก็กดกริ่งเข้าไปสิ”

“กดแล้วแต่เขาไม่อยู่ผมเลยต้องรอตรงนี้ครับ”

รปภมองเขาด้วยสายตาไม่ไว้วางใจก็แน่ละไฟสวนในบ้านก็ถูกเปิดอยู่แถมถ้าไม่มีคนอยู่ที่บ้านส่วนมากแล้วลูกบ้านในหมู่บ้านก็จะแจ้งเอาไว้ให้กับ รปภ ให้เข้ามาตรวจและก็คงน้อยคนนักที่จะมานั่งหลับอยู่หน้าบ้านเพื่อนในขณะที่เพื่อนไม่อยู่บ้าน

“ถ้าเขาไม่อยู่ คุณก็ค่อยมาใหม่วันหลังเถอะ อย่ามานอนตรงนี้เลย”

ทรงจำยกดูนาฬิกาข้อมือที่ติดตัวมาดูเวลาที่โชว์ตอนนี้ก็เป็นช่วงประมาณ ตี 2 ตี 3 อีกไม่นานก็น่าจะเป็นเวลาที่คุนต้องออกไปทำงานแล้ว

“อีกแป้ปเดียวเพื่อนผมก็ออกมาแล้วครับเดี๋ยวผมลุกมานั่งดีๆ ก็ได้ครับ”

“คุณอย่าทำให้ผมลำบากใจเลยกลับไปเถอะไม่อย่างนั้นผมก็คงต้องเรียกตำรวจ “

“ครับๆ”

ทรงจำต้องยอมลุกขึ้นเดินออกมาจากตรงนั้นเพราะดูแล้วรปภคนนี้คงจะทำจริงอย่างที่เขาพูดขนาดเขาเดินกลับมาที่รถของตัวเองที่ถูกจอดเอาไว้ที่ฝั่งตรงข้ามของบ้านแล้ว รปภ คนนั้นยังไม่ยอมไปไหนเขาพยายามที่จะทำทุกอย่างให้ช้าที่สุดกะว่าถ้ารปภทนไม่ไหวก็คงปั่นไปที่อื่นต่อแต่ไม่ว่าจะผ่านไปนานแค่ไหนรปภยังคงอยู่ที่เดิมจนเขาต้องยอมสตารท์เครื่องขับรถออกมาก

“มาเอาการเอางานอะไรตอนนี้เนี่ย”

ไม่รู้ว่าเขาควรชื่นชมความตั้งใจทำงานของรปภคนนี้ดีไหมเพราะทำถึงขนาดขับจักรยานตามไล่หลังเขามาตลอดทางคงอยากจะมั่นใจว่าเขาออกไปจากหมู่บ้านนี่แล้วจริงๆ

    “เฮ้อ ให้มันได้อย่างนี้สิ”

ทรงจำถอนหายใจออกด้วยความหงุดหงิดในโชคชะตาของตัวเองพอยอมรับความรู้สึกกับตัวเองได้และพร้อมที่จะสารภาพผิดกับคนที่รักก็ไม่สามารถทำได้อย่างที่ใจคิดขนาดจะใช้เวลาที่เหลืออยู่ในคืนนี้นั่งรอยังไม่สามารถทำได้ทุกอย่างมันผิดแผนไปหมดจนน่าหงุดหงิดแต่เขาจะทำอะไรได้นอกจากยอมรับชะตากรรมและขับรถของกี้กลับไปที่บ้านก่อนที่จะถึงเวลากี้ต้องออกไปตลาด


กลับไปถึงบ้านเขาก็เจอเข้ากับศึกใหญ่เมื่อกี้นั่งสัปหงกรอที่ห้องรับแขกและพอเขาปลุกให้ตื่นขึ้นมากี้ก็โวยวายเป็นเรื่องใหญ่เนื่องจากไม่สามารถติดต่อเขาได้ตอนแรกเขาไม่อยากเล่าให้กี้ฟังว่าไปทำอะไรที่ไหนมาแต่พอเห็นความกังวลของเพื่อนเขาเลยเล่าทุกอย่างออกไป

“ถ้าฉันเป็นคุณธิดาฉันก็ทำแบบนั้น”

“ก็ไม่ได้จะอยากเจอกับเขาสักหน่อย”

“แต่นั้นลูกเขาไหมละ?”

“เฮ้อ ทำไมมันต้องมายากอะไรแบบนี้ด้วย”

กี้ตะโกนไล่หลังมาประมาณว่าก็เขาเองเป็นคนที่ทำให้มันยาก ก็ยอมรับแต่ตอนนี้เขารู้สึกผิดแล้วขอโอกาสให้เขาสักหน่อยไม่ได้รึไงกัน

“แล้วนั้นจะไปไหนอีกละ? ออกกลางคืนอีกแล้วเหรอ?”

“คุนไม่มาแถมติดต่อไม่ได้ด้วย”

วันนี้ก็เป็นอีกวันที่เขาไม่สามารถติดต่อคุนได้แถมพอได้เวลาที่คุนจะต้องมาทานข้าวเย็นด้วยกันเหมือนทุกวัน คุนก็ไม่มาวันนี้เขาเลยเริ่มไม่ติดอยู่กับที่ความหงุดหงิดที่คุนหายไปโดยที่ไม่ได้บอกกันถูกพัฒนามาเป็นความกังวลที่เริ่ม

อยากจะหาคำตอบว่าคุนหายไปไหนและการนั่งเฉยๆ รอไปเรื่อยๆมันกำลังจะทำให้เขาเป็นบ้าเขาเลยจะออกไปหาคุนที่บ้านอีกครั้ง

“ถึงไป ถ้าเจอแม่เขา แม่เขาก็ไม่ให้เจออีกอยู่ดี”

“ไม่สนแต่ที่รู้ๆ ก็คิดว่าดีกว่าที่ต้องมานั่งรออะไรแบบนี้ไปเรื่อยๆ แบบไม่มีจุดหมาย”

“แกนี่ก็บ้าทีตอนจะไม่เอาเขาแค้นเขาก็เล่นซะใหญ่แต่พอมาคิดได้ว่ารักเขาก็ทำตัวเหมือนคนบ้าเลิกแค้นแล้วหรือไง?”

“ก็ไม่ได้บอกว่าลืม”

“ดาร์กแกอย่า…”

“รู้นะว่าทำอะไรอยู่ เลิกบ่นแล้วขอกุญแจได้รึยัง?”

จากที่ลอบมองคร่าวๆ หลังรั้วเขาไม่เห็นรถของตัวเองจอดอยู่แต่มันก็เป็นไปได้ที่คุนอาจจะเอารถเข้าไปจอดที่โรงรถถ้าเป็นอย่างนั้นก็ไม่มีสิทธิ์รู้และทางเดียวที่ผมจะสามารถหาคำตอบได้นั่นก็คือการที่เข้าไปในบ้านเพื่อให้เห็นกับตา

‘ปริ้น’ เสียงบีบแตรดังขึ้นทางด้านหลังเมื่อหันหลับไปก็พบว่าเป็นแจงที่นั่งอยู่ฝั่งของคนขับโดยมีคุณธิดานั่งอยู่ที่เบาะของผู้โดยสารด้านหน้า    

“สวัสดีค่ะพี่ดาร์ก”

“สวัสดีครับแจง สวัสดีครับคุณธิดา”

คุณธิดายอมรับไหว้แม้ว่าตาของเธอจะไม่หันมาสบตาของเขาเลยสักนิดป้าคนดูแลบ้านเดินมาเปิดประตูรั้วให้กับแจงเขาจึงใช้ช่วงที่แจงขับรถเข้าไปในตัวบ้านเดินตามเข้าไปในเขตบ้านด้วยและพอเขาเหยียบเข้ามาในพื้นที่ของเขตบ้านรถของแจงก็หยุดชะงักคุณธิดารีบก้าวลงจากรถเดินตรงมาหาเขา

“เธอมีสิทธิ์เข้ามาในเขตบ้านหลังนี้”

“ผมไม่มีสิทธิ์ แต่ผมอยากเข้ามาครับ”

“งั้นก็ออกไปได้แล้วที่นี่ไม่ต้อนรับ”

“แต่ผมต้องการแค่พูดไม่กี่คำเองครับ”

“จะไม่กี่คำก็ไม่ได้เธอไม่ต้องมาพูดอะไรแค่ปล่อยให้คุนกลับมาก็พอเข้าใจไหมเธอจะทำแบบนี้ได้ยังไง เธอ...”

“คุณป้าค่ะใจเย็นๆ ค่ะ พี่ดาร์กแจงว่าพี่กลับไปก่อน”

“แต่พี่แค่ต้องการเจอคุนสักนิดเดียว แจง คุน..”

“ให้คุนกลับมาได้แล้ว”

“นะคะพี่ดาร์กแจงขอมีอะไรแจงจะให้คุนติดต่อไป”

ทรงจำยอมก้าวถอยออกมาจากเขตบ้านของคุนตามคำขอของแจงเพราะแจงบอกแล้วว่าจะบอกกับคุนให้ประตูรั้วบ้านปิดลงไปแล้วแต่เขายังไม่สามารถที่จะขยับตัวไปไหนได้เลยสักก้าวเขายืนรอด้วยความหวังแต่ความหวังของเขาก็หมดลงเมื่อผ่านไปแล้ว 2 ชั่วโมงทุกอย่างก็ยังคงเงียบเหมือนเดิมรวมถึงแจงที่ถึงตอนนี้ก็ยังไม่ออกมาจากข้างในบ้าน

‘เดี๋ยวนี้คุนใจร้ายกับพี่แล้วเหรอ?’ ทรงจำได้แต่พูดกับตัวเองถ้าแจงไม่ออกมามันก็เป็นไปได้มากว่าคุนอยู่ข้างในบ้านแจงคงจะอยู่เป็นเพื่อนคุนจากความมั่นใจว่าคุนยังรักในตอนนี้มันดิ่งลงต่ำจนแทบไม่เหลือความมั่นใจนั้นอยู่อีกแล้ว

‘หรือว่า พี่จะรู้ตัวช้าไป’


เป็นธรรมกลับถึงบ้านอีกทีช่วงประมาณเที่ยงคืนโชคดีที่ทุกคนเข้านอนไปหมดแล้วเพราะเขายังไม่พร้อมจะตอบคำถามของใครโดยเฉพาะของกี้ที่คอยจะซ้ำเติมเขากะว่าจะขึ้นมาอาบน้ำและงีบเอาแรงเพียงครู่ก่อนที่จะกลับไปที่หมู่บ้านของคุนอีกครั้งในตอนเช้ามืดแต่เขากลับหลับไปแล้วตื่นมาอีกทีก็ช่วง 11 โมงเขาเลยต้องเปลี่ยนแผนสายขนาดนี้ถึงต่อให้ไปที่บ้านก็ไม่เจอกันอยู่ดีเขาจึงเปลี่ยนเส้นทางไปที่โรงงานของแทนเขาก็ได้แต่หวังว่าคุนจะไปทำงาน


โรงงานของคุนเปลี่ยนไปมากนับตั้งแต่ที่ออกไปมีเครื่องจักรที่เพิ่มขึ้นและมีคนงานหลายคนก็ไม่คุ้นหน้าเขาเดินตรงไปที่ทางเข้าในตัวตึกออฟฟิตเก่าแต่เขาเจอแต่ห้องสี่เหลี่ยมที่มีผู้หญิงคนนึงนั่งอยู่ข้างใน

“สวัสดีค่ะไม่ทราบว่าติดต่อเรื่องอะไรคะ?”

“สวัสดีครับ ผมต้องการมาผมคุณเป็นธรรมครับ”

“มีอะไรฝากไว้ที่ดิฉันได้ค่ะหรือต้องการให้แจ้งคุณเป็นธรรมว่าใครมาพบดีคะ?”

“ผมอยากพูดกับเขาเป็นการส่วนตัวครับ”

“วันนี้คุณเป็นธรรมไม่เข้าออฟฟิตค่ะ มีอะไรฝากไว้ไหมคะ?”

ไม่เข้าออฟฟิต? ประโยคนี้ทำให้เขาขวมดคิ้วโดยอัตโนมัติถึงคุนจะไม่ได้รักงานที่โรงงานนี้มากที่สุดแต่คุนก็เป็นคนที่มีความรับผิดชอบมากพอที่จะไม่หยุดไปเฉยๆ ถ้าไม่ใช่เพราะมีเรื่องสำคัญต้องไปทำหรือว่าจะป่วยหนักจริงๆ

“ไม่ทราบว่าคุณเป็นธรรมไม่เข้าออฟฟิตมากี่วันแล้วครับ”

ผู้หญิงที่นั่งประจำอยู่ที่หน้าออฟฟิตไม่ได้ตอบคำถามอะไรเพิ่มเติมเพียงแค่ยิ้มให้และก็บอกว่าเขาสามารถฝากข้อความเอาไว้แล้วเธอจะให้คุณเป็นธรรมติดต่อกลับมาดูท่าแล้วเธอคงไม่เปิดเผยความลับของเจ้านายไปมากกว่าที่ควร ทรงจำจึงเดินออกมาแถวเครื่องจักรเผื่อที่จะหาคนถามทางไปที่ออฟฟิตของคุน

“ขอโทษนะครับ ทางไปออฟฟิตของคุณเป็นธรรมอยู่ที่ไหนครับ?”

“ถ้าจะมาติดต่องานคุณติดต่อทางออฟฟิตทางด้านหน้าได้เลยครับ”

“เอ่อ ไม่ใช่ครับผมต้องเอาของมาส่ง”

คนงานคนนั้นมองด้วยความแปลกใจว่าเอาของมาส่งแต่ทำไมไม่เห็นว่าจะถืออะไรติดตัวมาสักอย่าง

“ของอยู่ในรถครับมันหนักก็เลยไม่ได้ถือมาด้วยเมื่อกี้ลองเข้าไปถามทางด้านในแล้วแต่ผมก็ลืมเขาดูกำลังยุ่งกับเอกสารด้วยครับไม่อยากเดินเข้าไปถามอีก”

 “ออฟฟิตคุณเป็นเป็นธรรมอยู่ทางด้านหลังครับ”

“ขอบคุณครับ”

ทรงจำแสร้งเดินออกไปที่รถหยิบเอาแฟ้มเอกสารหนาๆ ที่ติดรถเอาไว้สัก 2-3 แฟ้มขึ้นมาถือเอาไว้ช่วงที่เดินผ่านคนนั้นกลับเข้าไปเขาก็ยกพวกแฟ้มให้ดู ตึกที่มีออฟฟิตของคุนอยู่เป็นตึกเก่าที่ใช้เก็บพวกอุปกรณ์ต่างๆ ตอนนี้มันถูกปรับปรุงขึ้นเล็กน้อยแต่ยังคงใช้เป็นที่เก็บตัวอย่างผ้าและสีที่ทางโรงงงานใช้

ทางด้านล่างเงียบสนิทเขาจึงเดินขึ้นไปทางด้านบนใจเขาชื้นขึ้นมาทันทีเมื่อได้ยินเสียงของเครื่องปรับอากาศทำงานแสดงว่าคุนเองก็อยู่ทางด้านบนแบบที่คิดไว้ ยิ่งใกล้ห้องทำงานของคุนใจของเขาก็ยิ่งเต้นแรงมากขึ้นด้วยความกังวลกังวลที่ว่าถ้าได้พูดออกไปแล้วคุนจะรู้สึกอย่างไรจะเชื่อหรือว่าจะมีความรู้สึกเดียวกับเขาอยู่ไหม?

ความคิดที่สับสนไปมาทำเอาคุนหยุดที่หน้าห้องดื้อๆ และเขาก็ต้องกลั้นหายใจก่อนที่จะเคาะประตูห้องและหวังให้คนหลังประตูนั้นเปิดออก

“เธอ”

“คุณธิดา”

“เธอกล้ามาถึงที่นี่ได้ยังไง?”

“ผมต้องการที่จะเจอกับคุนจริงๆ ครับ”

ทรงจำมองลอดเข้าไปในห้องก็ไม่เห็นใครพอหันกลับมาที่หน้าของคุณธิดาเขาก็พบว่าคุณธิดาไม่ได้มองที่เขาแต่มองข้ามเขาไปทางด้านหลังที่ว่างเปล่าแทน พร้อมทั้งยังแสดงออกถึงความผิดหวังอย่างชัดเจนที่เห็นว่ามันคือความว่างเปล่า

“ผมขอเข้าไปทางด้านในหน่อยได้ไหมครับ?”

คุณธิดาคิดเพียงครู่ก่อนที่จะเบี่ยงตัวให้เขาเดินผ่านประตูเข้าไปทางด้านในได้และยังไม่ทันที่เขาจะได้เดินสำรวจหรือได้นั่งลงคุณธิดาก็เปิดบทสนทนาขึ้น

“เธอต้องการอะไรกันแน่เธอจะมาปั่นหัวฉันอีกทำไม? เธออยากได้คำขอโทษจากฉันฉันก็ให้ไปแล้วหรือว่ามันยังไม่พอถ้ามันยังไม่พอเธอบอกสิว่าเธอต้องการอะไร?”

“ผมบอกแล้วว่าผมไม่ต้องการอะไรเลยผมต้องการที่จะเจอกับคุนเท่านั้นเองครับ”

“เธออย่ามาทำแบบนี้เธออย่ามาทำให้ฉันทุกข์ใจแบบนี้”

“ผม...”

“หรือว่าเธออยากได้โรงงานนี้เธออยากได้มันเหรอเอาไปเลยฉันยกให้ฉันยอมหมดแล้วฉันยอมเธอแล้วเธออยากได้อะไรเป็นการขอโทษที่ทำให้เธอต้องเสียพ่อกับแม่ของเธอไปในวันนั้นฉันยอมหมดแล้วฉันขอโทษและฉันยังขอยืนยันว่าฉันไม่ได้ตั้งใจให้เรื่องแบบนี้มันเกิดขึ้น”

คุณธิดาคงรู้สึกว่าการมาของเขาคือความต้องการทำลายครอบครัวจึงไม่ยอมรับในการปรากฎตัวของเขาคนที่หลอกเอาความไว้ใจความเชื่อใจจากพวกเขามา ถ้าใครจะผิดเขาก้เป้นหนึ่งในนั้นด้วยอีกคนเมื่อเขาเอาแต่เรื่องของความแค้นมาเป็นข้ออ้างและทดแทนความรู้สึกผิดที่หลอกใช้คนๆ นึงเขาย่อตัวลงช้าๆ และค่อยๆวางเข่าทั้งสองข้างลงกับพื้นห้องเขายกมือขึ้นไหว้คุณธิดา

“ผมขอโทษครับ”

“เธอ...”

“ผมขอโทษที่หลอกลวงคุณกับครอบครัว ผมขอโทษครับ ให้โอกาสผมได้แก้ตัวเถอะนะครับ ผมขอร้อง ขอให้ผมได้เจอกับคุนเขาเถอะนะครับ”

ความแค้นที่เคยเป็นจุดมุ่งหมายในการใช้ชีวิตของทรงจำมันทำให้เขากำลังจะต้องสูญเสียความรักไปถ้าเป็นแบบนั้นเขายอมดับความแค้นลงและยอมคุกเข่าให้กับบุคคลที่เขาตราหน้ามาตลอดว่าคือคนที่ทำร้ายครอบครัวของเขาถ้ามันจะทำให้ความรักของเขากลับมา คำขอโทษของเขากลับเป็นเครื่องมือจุดชนวนที่ทำให้คุณธิดาทรุดตัวนั่งลงกับพื้นยกมือทั้งสองข้างปิดหน้าของตัวเองและปล่อยเสียงแห่งความเสียใจออกมา

“นี่ฉันทำอะไรอยู่ฉันทำอะไรลงไป ทำไมฉันถึงทำผิดซ้ำแล้วซ้ำอีก ฉันกำลังทำอะไร”

“คุณธิดาเป็นอะไรครับ? เกิดอะไรขึ้น”

“คุนเขาไม่ได้อยู่กับเธอจริงๆ นะเหรอ?”

“ครับ ผมไม่ได้เจอคุนมาวันนี้ก็เป็นวันที่ 3 แล้ว ผมจึงต้องมาหาเขาด้วยตัวเอง”

“ทำไมวันนั้นฉันไม่ฟังเธอนะ”

“มันเกิดอะไรขึ้นครับคุณธิดา?”   

คุณธิดาพยายามเป็นอย่างมากที่จะไม่ทั้งสะอื้นไปพูดไปแต่มันก็ยังเป็นเรื่องยากเพราะในแต่ละคำพูดที่เธอเอ่ยออกมาไม่มีคำไหนที่ไม่ถูกประกอบไปด้วยเสียงสะอื้นของเธอสิ่งที่เธอทำมันยิ่งทำให้ทรงจำรู้สึกกระวนกระวายมากขึ้นแต่เขาก็ไม่สามารถบอกให้คุณธิดาหยุดร้องและพูดออกมาได้เขาทำได้แต่รอรอให้คุณธิดาพร้อมและเล่าให้เขาฟัง

“คุนเองก็ไม่กลับบ้านมา 2 คืนแล้ว ตั้งแต่วันที่เธอมาตอนนั้นฉันคิดว่าเธอต้องการปั่นหัวฉันเล่น”

“แล้วคุณธิดาติดต่อกับเขาได้ไหมครับ?”

“ไม่ได้เลยฉันติดต่อกับคุนไม่ได้เลยโทรไปก็ปิดเครื่องตลอด”

“งั้น ผมว่าเราไปแจ้งความกันดีกว่า”

“เมื่อวานฉันบอกแจงและแจงไปจัดการให้แล้วไปแจ้งความมาแล้วและตอนนี้พอลกำลังส่งคนไปตามหาที่อยู่ของเธออยู่เพราะฉันยังคงคิดว่าคุนว่าคุนอยู่กับเธอ”

“…”

“ก่อนที่คุนจะหายไปเขาไม่สบายมากเขาตัวร้อนไข้ขึ้นสูงแต่เขาก็ยังยืนยันที่จะออกไปทำงานแล้วหลังจากนั้นฉันก็ติดต่อเขาไม่ได้อีกเลย"

"....”

“มันเป็นเพราะฉันเพราะฉันบังคับให้เขากลับบ้านฉันอยากให้เขาอยู่กับฉันมากกว่าเธอฉันถึงโกหกว่าฉันไม่สบาย คุนถึงต้องเทียวไปเทียวมาระหว่างฉันกับเธอทั้งๆ ที่รู้ว่าเขาจะต้องเหนื่อยแต่ฉันก็ยังทำฉันเป็นแม่ประเภทไหนกันแน่”

มันไม่ใช่เป็นเพราะคุณธิดาเพียงเท่านั้นถ้าเรื่องที่คุนหายไปมันเกิดเพราะเหตุนี้ถ้าจะผิดมันก็ผิดด้วยกันทั้งสองฝ่ายถ้าเกิดอะไรกับคุนเขาไม่มีวันให้อภัยตัวเองไปตลอดชีวิตที่เหลืออยู่

“ฉันจะทำยังไงดีเขาไม่ได้อยู่กับเธอฉันควรจะสบายใจสิใช่ไหม? แต่ทำไมฉันทุกข์ใจเขาหายไปไหนแบบนี้ให้อยู่กับเธอยังจะดีเสียกว่า”

“เขาใช้รถของผมยังไงคงต้องมีเบาะแสอะไรบ้างผมจะรีบออกตามหาเขานะครับ”

“เธอต้องหาเขาให้เจอ”

“ครับ ผมจะตามหาเขาให้เจอ”

“ขอบใจ”

ทรงจำลุกขึ้นยืนเตรียมตัวที่จะออกตามหาคุนด้วยความหวังที่ว่าคุนจะต้องปลอดภัยตอนนี้อาจจะแค่ไปไหนแล้วติดต่อใครไม่ได้

“ดาร์ก”

เสียงของคุณธิดาที่ยังคงแหบเครือได้หยุดขาของเขาเอาไว้ในขณะที่g-kกำลังเอื้อมมือไปผลักประตูออกไปจากห้องทำงานของคุน

“คุนเขารักเธอมากนะ”

“ผมทราบครับและผมก็รู้แล้วว่าผมก็รักเขามากเช่นกัน”

“ที่เธอถามว่าฉันยกโทษให้เธอได้ไหม? ถ้าเธอรักลูกฉันจริงตามที่เธอพูดเธอก็คงต้องพิสูจน์เอาเองฉันคงให้ได้แค่โอกาสกับเธอ”

“ขอบคุณครับ”

ทรงจำเปิดประตูออกก้าวออกไปข้างหน้าแต่ก่อนที่ประตูจะปิดลงเขาคิดว่าเขาก็ยังคงติดค้างคำตอบกับคุณธิดาอยู่เหมือนกัน

“ที่คุณถามว่าผมต้องการอะไรจากคุณผมถึงจะหายแค้นผมบอกคุณธิดาได้แค่ว่าคุนเขาได้ล้างความแค้นนั้นไปหมดแล้วครับเพราะฉะนั้นผมไม่ต้องการอะไรอีกแล้วยกแว้นแค่โอกาสที่จะแสดงความรักที่ผมมีต่อคุนแล้วคุณธิดาก็เพิ่งให้มันกับผมมา”



TBC

ออฟไลน์ sweetsky

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 150
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +29/-0
บทที่ 26  Rewrite

ทรงจำกระแทกลงบนเบรกรถอย่างแรงหลังจากที่เขาเกือบจะขับชนกับรถกะบะคันข้างหน้าหลังจากที่เขาขับออกมาจากโรงงานของคุนได้ไม่เกิน 4 กิโลจากที่เคยมั่นใจว่าเป็นคนที่มีสติมีความคิดที่ไวและเหนือกว่าใครพอมาเจอเรื่องนี้เข้ามันก็ทำให้รู้ตัวว่าเขาก็เป็นแค่คนธรรมดาคนนึงที่ไม่ได้เก่งไปกว่าใคร

“ตั้งสติสิโว๊ย”

เขาเอาหน้าซบลงกับพวงมาลัยเอาหน้าผากเคาะกับมันอยู่ซ้ำๆ เผื่อว่าความเจ็บนี้จะสามารถทำให้สมองของเขาตื่นตัวขึ้นได้บ้าง
ทันทีที่เขารู้แน่แล้วว่าคุนหายตัวไปจริงเขาก็เอาแต่รีบร้อนออกมาจากที่นั้นสมองคิดแค่เพียงว่าจะต้องรีบออกไปตามหาแต่เขาก็ร้อนใจมากเกินไปเป็นเหตุให้เขาออกมาจากคุณธิดาโดยที่ไม่ได้ขอรายละเอียดเรื่องการแจ้งความหรือเบอร์มือถือของแจงพอมีสติสมองได้ทำงานอีกครั้งเขาก็นึกขึ้นได้ว่าเขามีเบอร์ของพอลอยู่เขาจึงกดโทรหาพอลทันที

“สวัสดีครับ”

“ตอนนี้คุณยังอยู่ที่หน้าบ้านของผมรึเปล่า?”

“ผมออกมาแล้วครับ”

“ผมอยากขอเบอร์ติดต่อกับคุณแจง”

“มีอะไรรึเปล่า?”

“คุณน่าจะรู้แล้วว่าเพื่อนของคุณไม่ได้อยู่กับผม”

“ครับ ผมทราบจากคนที่ร้านแล้ว”

“ผมต้องการตามหาเขาและผมก็มีข้อมูลเพิ่มเติมผมอยากเอาข้อมูลนี้ไปแจ้งกับตำรวจเอาไว้”

“เดี๋ยวผมให้แจงโทรกลับหาพี่แล้วกันครับตอนนี้แจงกำลังประชุมอยู่”

“ฝากด้วยครับ”

หลังจากวางสายเขาก็ขับรถเข้าไปจอดที่ปั้มน้ำมันแวะไปล้างหน้าล้างตาสมองจะได้โปร่งเพราะจะให้เขาแค่นั่งรอแจงติดต่อกลับมาเขาคงทำไม่ได้

“ลองหาด้วยตัวเองก่อนแล้วกัน”

ถ้าเกิดอุบัติเหตุขึ้นกับคุนที่แรกที่เขาควรหาก็คือโรงพยาบาลเขาจึงขับรถย้อนดูในเส้นระยะทางจากบ้านของครูไปที่บ้านของคุนและมาโรงงานว่าต้องผ่านโรงงานหรือคลีนิคอะไรในระแวกนั้นบ้างไล่ดูตลอดข้างทางก็พบว่ามีเพียงแค่ร้านขายยาเท่านั้นแต่ถ้าเลยจากตัวปั้มน้ำมันแถวบ้านไปก็จะมีคลีนิครักษาโรคเล็กๆ ตั้งอยู่เขาจึงจอดรถแล้วเข้าไปสอบถามด้วยความหวัง

 “ไม่ทราบว่าคนที่ชื่อ เป็นธรม ไพศาล มารักษาที่นี่หรือเปล่าครับ?”


“เคยเห็นคนในรูปนี้รึเปล่าครับ?”


“รบกวนดูอีกครั้งจะได้ไหมครับ?”

“ไม่มีเลย ครับ//ค่ะ”

แต่แล้วคำถามเหล่านี้ที่เขาพูดมาเป็นหลายสิบครั้งกลับได้เพียงคำตอบเดียวว่าไม่มีที่ไหนเคยเจอคุนเลยจนตอนนี้คลีนิคต่างๆ ก็เริ่มที่ปิดทำการแล้วเขาเลยไม่มีทางออกยกเว้นเริ่มออกหาต่ออีกฝั่งถนนในวันพรุ่งนี้พร้อมคอยปลอบตัวเองว่ายังเหลืออีกตั้งหลายแห่งที่ยังไม่ได้ไปยังไงผมก็ต้องเจอคุนจนได้

ครืดๆ .. ติ๊ด

หน้าจอโทรศัพท์โชว์เบอร์แปลกที่ไม่ได้เมมชื่อเอาไว้เขากดรับทั้งที่มันเพิ่งโชว์เบอร์ได้เพียงเสี้ยววินาทีเดียวเท่านั้น เสียงที่ดังออกมาจากปลายสายเป็นเสียงของผู้ชายที่กำลังพูดอะไรสักอย่างออกมาจากที่ไกลๆ เสียงที่ได้ยินนั้นมันค่อนข้างที่จะคุ้นหูของเขามากเหลือเกินแต่ยังไม่ทันจะได้พูดกันหรือได้ยินอะไรไปมากกว่านี้โทรศัพท์ของเขาก็ดับลง

“เฮ้ยย”

ทำไมแบตเขาต้องมาหมดเอาตอนนี้ยิ่งเฉพาะเสียงนั้นถ้าเขาจำไม่ผิดมันเป็นเสียงของคุนอย่างแน่นอนเขารีบเหยียบคันเร่งให้เร็วที่สุดเท่าที่จะสามารถทำได้ตรงกลับบ้านรีบกลับไปชาร์จแบตโทรศัพท์

“ดาร์กใจเย็นๆ หาอะไรบอกครูเดี๋ยวครูช่วยหา”

เข้าบ้านได้เขาก็รีบวิ่งขึ้นบันไดขึ้นไปบนห้องเพื่อหาที่ชาร์จแบตแต่ก็หาไม่เจอก้มมองหาแถวตียงก็แล้วเดินวนไปรอบห้องก็แล้ววิ่งกลับลงมาที่ทางด้านล่างของบ้านเผื่อบังเอิญว่าเขาหยิบมันติดมือลงมาเขาตรงไปที่กระจาดเก็บของข้างโทรทัศน์เป็นที่แรกแต่เขาก็ยังหาสิ่งที่ต้องการไม่เจอ

“ที่ชาร์ตแบตครับครู”

“เราใช้ครั้งล่าสุดที่ไหน?”

“ในห้องเนี่ยแหละครับครู มันไปไหน ทำไมต้องมาพิการตอนนี้ด้วยวะ แม่งเอ๋ย”

ความอดทนที่มีมายาวนานหมดลงเขาผลักกระจาดที่ตั้งอยู่กับโต๊ะทีวีลงพื้นแต่เขาจะเอาแต่โวยวายและเลิกหาไม่ได้เขาจึงเดินตรงไปที่โต๊ะรับแขกก้มมองที่วางของทางด้านล่างของโต๊ะและพยายามรื้อของตรงนั้นออกมาให้หมด

“ดาร์กใจเย็นๆ”

“ผมหาไม่เจอครับครู ผมหาไม่เจอ”

“ดาร์ก...”

“อาจจะเพราะผมตาพิการผมมองเห็นไม่เยอะผมมองได้ไม่กว้างผมอาจจะมองข้ามมันไปแล้วครูช่วยผมหน่อยได้ไหมครับครูช่วยผมทีครับครูช่วยผมหามันทีผมต้องคุยโทรศัพท์ครับครู”

“แม่ เกิดอะไรขึ้นเสียงดังออกไปข้างนอก...ดาร์กแกพังบ้านทำไม? ดาร์กหยุด”

“กี้ ช่วยหาที่ชาร์ตที”

“ที่ชาร์ตโทรศัพท์อะนะ? อยู่กับฉัน”

“เอามา เอามา”

“มันอยู่ที่หน้าร้าน เดี๋ยวเดิน...”

ทรงจำไม่ได้หยุดฟังเสียงของกี้พอรู้ว่าที่ชาร์ตอยู่ที่ร้านเขาก็รีบพุ่งออกจากตัวบ้านตรงไปที่หน้าร้าน

“เห็นที่ชาร์ตแบตไหม?” เขาตะโกนเข้าไปในร้านถามหาของกับพนักงานที่กำลังออกไปเสริ์ฟอาหารให้กับลูกค้า

“ดาร์กอย่ามาเสียงดังตรงนี้นะ”

“กี้ เรากำลังรีบ เรา...”

“นี่ค่ะพี่”

“ขอบใจ”

ทรงจำหันกลับไปรับสายชาร์ตจากพนักงานและเดินตรงเข้าไปเสียบปลั๊กที่อยู่ทางด้านหลังเค้าท์เตอร์ของร้านทุกเสี้ยววินาทีที่ผ่านไปสำหรับเขามันยาวนานจนแทบจะทนไม่ไหวกว่าที่เครื่องจะมีแบตเพียงพอและพร้อมให้เขาใช้งาน

“คุน”

“ไม่ใช่ค่ะ แจงเอง...นั้นพี่ดาร์กใช่ไหมคะ?”

“ครับ แจงเจอคุนแล้วเหรอ?”

“เปล่านิคะ”

“แต่เมื่อกี้...ก่อนที่สายจะหลุดไป พี่ว่าได้ยินเสียงของคุน”

“ไม่ใช่แล้วค่ะพี่ แจงอยู่กับพอลค่ะ อาจจะเป็นเสียงของพอล”

“แต่...”

“พี่จะคุยกับพอลไหมคะ?”

“ไม่เป็นไรครับ”

ร่างกายที่เคยตื่นตัวด้วยความหวังที่ว่าคนทางปลายสายจะเป็นคุนกลับหมดแรงลงเมื่อรู้ว่ามันไม่ใช่อย่างที่หวังไว้ เขาทิ้งตัวลงนั่งที่พื้นอย่างอ่อนแรง

“เห็นพอลบอกว่าพี่มีเรื่องจะคุยกับแจง”

“ครับ  พี่อยากถามว่าแจงไปแจ้งความเรื่องคุนเอาไว้ที่ สน ไหนแล้วก็กับนายตำรวจชื่ออะไร”   

“ทำไมเหรอคะพี่?”

“พี่อยากจะเข้าไปพบครับ”

“ไม่ได้นะคะพี่!!”

“ทำไม?”

“คือว่า มันไกลจากที่พี่ดาร์กพักน่ะค่ะ ยังไงพี่มีอะไรฝากบอกมาทางแจงก็ได้ค่ะ พี่มีอะไรรึเปล่าคะ?”

“พี่มีเรื่องอยากบอกเพิ่มเติมกับทางเจ้าหน้าที่ พี่อยากไปพูดกับเขาเองไกลไม่เป็นไรพี่ไปได้”

จู่ๆ บทสนทนาก็เงียบลงความเงียบที่เกิดขึ้นหลังจากที่เขายืนยันว่าจะเป็นคนพูดกับทางเจ้าหน้าที่ด้วยตนเองเขาไม่รู้ว่ามันเพราะอะไรแต่ที่แน่ๆ เขาค่อนข้างมั่นใจว่าแจงกำลังปิดบังอะไรบางอย่างอยู่

“แจงมีอะไรที่พี่ต้องรู้ไหม?”

“ไม่มีค่ะ เอาอย่างนี้พรุ่งนี้แจงจะเลิกงานประมาณ บ่าย 2 ไปเจอกันที่บ้านคุนแล้วกันค่ะ แล้วเราจะได้ไปพร้อมกัน”

“โอเค”

แม้ว่าแจงจะวางสายไปแล้วแต่เขาก็ยังไม่ลุกขึ้นเขายังนั่งอยู่ที่หลังเค้าท์เตอร์อยู่แบบนั้นจนกี้เดินเข้ามาหาและทิ้งตัวลงนั่งข้างๆ กัน

“เกิดไรขึ้น?”

“คุนหายไป”

“หมายความว่ายังไง ที่หายไป หายไปจากชีวิตแก?”

“หมายถึงเขาหายไปจริงๆ ไม่มีใครติดต่อเขาได้เลย”

“เฮ้ย ตั้งแต่เมื่อไหร่? แล้วจะทำยังไงต่อ?”

“พรุ่งนี้จะไปหาตำรวจที่เพื่อนของคุนไปเดินเรื่องไว้แล้ว”

“มิน่า ช่วงนี้ออกไปดึกๆ ตลอด มีอะไรให้ช่วยก็บอกนะ”

“ขอบใจ”

“นี่กินไรยัง?”

“ยัง”

“งั้นเข้าไปหาอะไรลองท้องหน่อยเถอะไป”

   “อืม”

ความตั้งใจที่จะเดินมาเข้ามาหาอะไรลองท้องในบ้านถูกเปลี่ยนเป็นการขับรถออกไปนอกบ้านอีกครั้งเมื่อเขาเห็นข่าวรถยนต์ชนกันพร้อมกับซากรถนั้นถูกทิ้งเอาไว้ที่ข้างถนน

“มาสด้า 3 สีดำคันนี้ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าถูกเอามาจอดทิ้งตรงนี้ไว้ตั้งแต่เมื่อไหร่...”

“ขอให้ไม่ใช่...ขอให้ไม่ใช่”

ใจของทรงจำหล่นวูบตอนที่ได้ยินชื่อยี่ห้อและสีของรถแม้ว่าแผ่นป้ายทะเบียนจะถูกแกะออกไปแต่เขาก็อยากไปเห็นและไปดูให้เห็นกับตารถยังถูกจอดเอาไว้ที่เดิมเพราะเพิ่งมีคนแจ้งเข้าไปทางตำรวจวันนี้เมื่อตอนหัวค่ำเลยยังไม่มีหน่วยงานเข้ามาทำการเคลื่อนย้าย เขาจอดรถต่อท้ายและเปิดไฟกระพริบเอาไว้พร้อมกับใช้เวลาทำใจอยู่สักพักกว่าจะกล้าเดินออกจากตัวรถพร้อมกับไฟฉายเดินไปที่รถมาสด้าคันนั้น

มือที่ถือไฟฉายของเขามันถูกหุ้มด้วยเหงื่อทุกอย่างก้าวที่ออกเดินเขาต้องบอกกับตัวเองเอาไว้ว่าอย่าสั่นและอย่ากลัวสภาพของรถทางด้านหน้าถูกชนจนกระโปรงของรถยุบลงไปจนเกือบถึงคอนโซลหน้ารถพร้อมยังมีรอยไหม้ติดอยู่ ส่วนทางด้านหลังก็ยุบเข้ามาจนท้ายรถเปิดเขาพยายามที่จะดูเลขที่หม้อน้ำของรถแต่ก็ทำไม่ได้เพราะมันพังติดไปกันหมดทุกส่วน ทรงจำเลยต้องยอมเสี่ยงกับการถูกจับโดยการพยายามเอื้อมมือเข้าไปทางหน้าต่างด้านคนนั่งและพยายามกระชากที่เก็บของที่หน้ารถเพื่อดูว่าของในนั้นมีอะไรอยู่บ้าง

และเมื่อทรงจำงัดมันออกมาก็พบว่าของที่อยู่ข้างในไม่ใช่ของเขาเลยสักอย่างตอนที่เห็นของเหล่านั้นเขาไม่สามารถบอกได้เลยนี่คือความรู้สึกอะไรกันแน่ระหว่างดีใจที่รถคันนี้ไม่ใช่รถของเขาหรือเสียใจที่เขาก็ยังไม่สามารถหาอะไรเกี่ยวกับคุนได้เลยสักอย่างเดียว

“ดีแล้ว มันดีแล้วที่ออกมาเป็นแบบนี้”

แต่แล้วคำตอบที่เขาได้จากการที่ยิ้มพร้อมทั้งน้ำตามาตลอดทางที่ขับรถกลับบ้านมานั้นเขาว่าเขาดีใจที่รถคันนั้นมันไม่ใช่รถของเขาอย่างน้อยเขาก็ยังสามารถหวังให้คุนสบายดีตลอดหลายวันที่หายตัวไป

“สวัสดีครับคุณธิดา” เช้าวันรุ่งขึ้นเขาไปถึงบ้านของคุนก่อนบ่าย 2 เล็กน้อย

“สวัสดีเมื่อวานเป็นยังไงบ้างได้อะไรเพิ่มมาไหมเห็นแจงโทรมาบอกว่าเธอรู้อะไรเพิ่มเติมเลยให้ฉันรอเธออยู่ที่บ้าน”

“ครับ ผม...”

ทรงจำเล่าเรื่องที่ออกตามหาให้กับคุณธิดาได้ฟังสีหน้าของคุณธิดาหลังจากที่ได้ฟังเรื่องราวทั้งหมดที่แสดงออกมาไม่ได้ต่างจากเขาที่กำลังจะเป็นอยู่ในตอนนี้เท่าไหร่นักและเขาว่าเขาสามารถเข้าใจความรู้สึกของเธอได้ดี ความเงียบที่เต็มไปด้วยการรอคอยถูกทำลายลงด้วยเสียงแตรของรถที่กำลังส่งเสียงอยู่ที่หน้าประตูบ้านแจงคงจะมาถึงตามเวลาที่นัดเอาไว้ ผมลุกขึ้นจากเก้าอี้ที่นั่งพร้อมยกมือไหว้ลาคุณธิดา

“ผมจะออกไปที่สถานีตำรวจกับแจงครับ”

“ฉันไปด้วย...ถ้าอย่างนั้นฉันขึ้นไปเอาของข้างบนก่อน”

“ครับ”

“แม่ ... พี่ดาร์ก”

แต่ก่อนที่คุณธิดาจะได้มีโอกาสก้าวขึ้นบันไดไปด้านบนบุคคลที่เขาไม่คิดว่าจะมาปรากฎตัวก็กำลังยืนอยู่ตรงประตูทางเข้ามาในห้องรับแขก

“คุน....ลูกแม่ คุน...”

ในขณะที่คุณธิดารีบวิ่งกลับที่หาคุนที่ห้องรับแขกและสามารถเรียกชื่อของคุนออกมาได้อย่างเต็มเสียงเขาที่ยืนอยู่ใกล้กับคุนมากกว่าคุณธิดาทำได้เพียงแค่ยืนนิ่งอยู่ที่เดิมมองดูคนตรงหน้าแบบสำรวจให้เต็มตาและได้แค่เพียงกระซิบจนตัวผมเองแทบจะไม่ได้ยินว่า

“คุนกลับมาแล้ว”


TBC

ออฟไลน์ sweetsky

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 150
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +29/-0
บทที่ 27 Rewrite บทจบ

“แม่ ... พี่ดาร์ก”

ภาพที่เป็นธรรมไม่คิดว่าจะมีสิทธิ์ที่จะได้เห็นมันอีกครั้งกลับกลายเป็นว่ามันกำลังเกิดขึ้นจริงภาพที่พี่ดาร์กกับแม่ยืนอยู่ในสถานที่เดียวกันและนั้นก็คือบ้านของเขาเองพี่ดาร์กดูโทรมจากวันที่เจอกันครั้งล่าสุดจะเป็นไปได้ไหมนะที่เขาจะคิดเข้าข้างตัวเองว่าที่พี่ดาร์กเป็นแบบนี้เพราะรู้สึกกังวลเรื่องของเขา

“เป็นอะไรไปลูก? เกิดอะไรขึ้น? ทำไมถึงกลับมาในสภาพนี้?”

แม่ร้องถามเมื่อเห็นว่าแขนข้างขวาของเขากำลังใส่เผือกห้อยเอาไว้กับผ้าที่คอแม่มองสำรวจที่ใบหน้าของเขาแล้วค่อยๆ ยกมือขึ้นมาลูบผ้าพันแผลที่ถูกติดเอาไว้ที่ทางด้านขวาของหน้าผากของเขาอย่างเบามือ ส่วนพี่ดาร์กแม้จะไม่พูดหรือขยับตัวไปไหนแต่สายตาที่มองมาที่เขานั้นมองเขาแบบไม่กระพริบตาทำอย่างกับว่าเขาจะหายไปแค่ด้วยการกระพริบ

ในสายตานั้นของพี่ดาร์กมันสื่อออกมาหลากหลายความหมายแต่เขาไม่สามารถจับใจความอะไรได้ไปมากกว่าความกังวลนั้นก็หมายความว่าพี่ดาร์กอาจจะรู้เรื่องรถของตนเองแล้ว

“ว่าไงลูก เล่าให้แม่ฟังได้รึยัง?”

“ครับ วันนั้นผมนัดกับแจงเอาไว้ครับ..” แล้วเขาก็เริ่มเล่าถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมาเมื่อ 3 วันก่อน

“กลับมาถึงแล้วนะสรุปจะมาเอาหมูแผ่นที่ฝากซื้อจากเมืองนอกเมืองนาเมื่อไหร่ดี?”

“หมูแผ่น?”

“เอ้าๆ ซื้อมาแล้วไม่มาเอานี่มีเรื่องนะ”

“อ่อๆ โทษที ลืมนะ”

เช้าวันนั้นหัวสมองของเป็นธรรมยังคงทำงานไม่ค่อยเต็มที่สักเท่าไหร่อาจเพราะเขาไม่ได้นอนเต็มอิ่มมาหลายวันทำให้หวัดกำลังเล่นงานเข้าให้จนตอนนี้เขาเองก็มึนหัวไปหมด ความจริงตอนที่ลืมตาตื่นเขาก็อยากจะขี้เกียจนอนพักเอาแรงต่ออีกสักหน่อยเพราะกว่าเขาจะกลับมาถึงบ้านก็ตีห้าครึ่งเพิ่งได้นอนไปแค่ชั่วโมงเดียวก็ต้องตื่นมาดูแม่ที่บ่นว่าปวดหัวบ่อยๆ อย่างไม่มีสาเหตุพาไปหาหมอคุณหมอก็ให้คำตอบไม่ได้เขาเลยคิดว่าน่าจะเกิดจากความเครียดมากกว่าที่จะไม่สบาย

แต่เขาก็ต้องทิ้งความคิดอยากอู้นั้นทิ้งไปเนื่องจากวันนี้มีลูกค้ารายใหม่อยากเข้ามาดูโรงงานก่อนที่จะว่าจ้างครั้นจะให้คนอื่นมาดูแลลูกค้าตั้งแต่วันแรกมันอาจจะดูไม่ดี

“เอาสิๆ เดี๋ยววันนี้ช่วงเย็นไปหาได้ไหม? สัก 4 โมงเย็น”

“ได้...งั้นเจอกันร้านเดิมที่ใกล้ที่ทำงานฉันได้ไหม? เพิ่งกลับมาจากเที่ยวถ้าออกไปก่อนเวลาครึ่งวันโดนพ่อแม่ไล่ออกแน่นอน

“เออ ได้ดิ”

เรื่องของฝากเกิดจากเขาเห็นแจงอัพรูปในเฟสบุ๊คที่มีสิงโตติดมาในภาพด้วยพอเห็นแบบนั้นเขาจึงรีบติดต่อหาแจงเพื่อที่จะฝากซื้อหมูแผ่นของอร่อยขึ้นชื่อของที่นั้นมาฝากแม่กับพี่ดาร์กเขารู้ว่าหลายวันที่ผ่านมาทั้งสองคนไม่ค่อยพอใจกับการวางตัวของเขาสักเท่าไหร่พี่ดาร์คแม้ไม่พูดเขาก็ดูออกว่าไม่ค่อยพอใจเมื่อรู้ว่าเขาแอบหนีกลับออกมาตั้งแต่เช้ามืด ส่วนแม่ก็ไม่พอใจที่เขากลับบ้านมาในตอนเช้าเขาเลยอยากที่จะเอาใจทั้งสองคนสักหน่อย

“คุณเป็นธรรมไหวไหมคะ?”

การเดินเข้าเดินออกจากตัวสำนักงานที่เปิดแอร์เย็นเฉียบไปยังที่ตั้งเครื่องจักรที่มีเพียงพัดลมเป่าหลายครั้งต่อวัน มันทำให้เขามึนหัวจนเซไปเกาะโต๊ะของเลขาอยู่บ่อยครั้งแรกๆ พอยืนนิ่งสักพักก็สามารถพยุงตัวเองได้แต่ครั้งสุดท้ายที่เข้าไปสั่งงานในออฟฟิตและเตรียมตัวออกไปหาแจงเขาเซจนเกือบจะลงไปนอนกับพื้นถ้าไม่ได้โต๊ะตัวนี้เอาไว้คงแย่

“ผมขอพารากับน้ำหน่อยครับ”

“ได้ค่ะ”

เป็นธรรมรับเอาน้ำกับยามากินอย่างไม่อิดออดคนรอบข้างทั้งสองคนของเขากำลังไม่สบายอยู่ทั้งคู่เขาจะป่วยอีกไม่ได้เงยหน้าดูนาฬิกาเห็นว่ายังเหลืออีกตั้งชั่วโมงครึ่งก่อนที่จะถึงเวลานัดด้วยช่วงเวลารถก็ไม่น่าจะติดอะไรดังนั้นถ้าได้พักสักหน่อยหลังกินยาก็คงจะดี

“ยังไง อีก 30 นาทีคุณช่วยเข้าไปเรียกผมที่ห้องด้วยนะครับ”

“ได้ค่ะ”

30 นาทีของผมช่างมันผ่านไปอย่างรวดเร็วจนเขารู้สึกเหมือนเพิ่งได้นอนไปไเพียง 3 นาทีเท่านั้นเขาอยากจะยืดเวลาออกไปอีกแต่ถ้าช้ากว่านี้แจงก็ต้องไปนั่งรอแล้วเขาก็คงโดนแจงบ่นจนหูช้าเขาเลยพยายามฝืนตัวเองขับรถออกไปหาแจงเอาไว้คืนนี้เขาค่อยนอนเอาแรงที่บ้านของพี่ดาร์กก็แล้วกัน


โครม

“รถพี่ดาร์ก”

เป็นความผิดเขาเองที่ฝืนขับมาทั้งที่ร่างกายยังไม่พร้อมทำให้ไม่เห็นรถคันข้างหน้าที่กำลังตัดเข้ามาในเลนกว่าจะเห็นและหักหลบก็ตอนที่รถใกล้จะชนกันแล้วโล่งใจที่รถไม่ชนกับคันข้างหน้าแต่ใจของเขาล่วงไปตกอยู่ที่ตาตุ่มเมื่อไม่สามารถเหยียบเบรกได้ทันทำให้เขาชนเข้ากับต้นไม้อย่างจัง

“หูยย เจ็บ”

โชคดีที่เขาคาดเข็มขัดเอาไว้ถึงไม่ได้รับบาดเจ็บมากเท่าไหร่มารู้ตัวว่าตัวเองก็ได้รับบาดเจ็บที่แถวแขนข้างขวาก็ตอนที่พยายามเอื้อมตัวไปที่เบาะข้างๆ เพื่อหยิบเอามือถือมากดโทรออกหาแจง

“ฮัลโหล ถึงแล้วเหรอรอแป้ปนึงจะถึงแล้วเหมือนกัน”

“แจง เรารถชนมาหาหน่อย”

“เป็นอะไรมากรึเปล่า ตายแล้วชนที่ไหนยังไง?”

“ใจเย็นๆ เรายังไม่ตาย”

“คุน”

“โอเคๆ เดี๋ยวเราส่ง Location ไปให้นะ”

“โอเค เดี๋ยวรีบไปหา”

ขณะที่นั่งรอแจงความง่วงก็เข้าโจมตีแต่เขาก็พยายามประคองสติของตัวเองไม่ให้หลับจนกว่าแจงจะมาถึงรถคันนี้ไม่ใช่รถของเขาแม้เขาจะส่งยี่ห้อกับทะเบียนไปให้แล้วแต่ก็กลัวว่าแจงจะไม่เห็นเนื่องจากเขาไม่สามารถเปิดประตูออกไปนั่งรอแจงที่ข้างนอกทำให้ต้องคอยมองอยู่ตลอดเพื่อว่าแจงจะขับรถผ่านไป

ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหนรู้แค่ว่าเขากำมือของตัวเองจนเล็บที่สั้นกุดแทบจะทะลุไปทางหลังมือแต่ก่อนที่เขาจะหลับตาลงตามการเรียกร้องของร่างกายเขาก็ได้ยินเสียงของแจงดังมา

“คุน คุน”

เสียงทุบกระจกดังระงมไปจนถึงเสียงตะโกนโหวกเหวกอยู่ทางด้านนอกแจงมาถึงแล้วสินะพอรับรู้แบบนั้นเขาก็ปล่อยให้ความต้องการของตัวเองเหนือกว่าเหตุผลพร้อมทั้งหลับตาลงในทันที


“แล้วหลังจากนั้นแจงก็เป็นคนดูแลคุนมาโดยตลอดค่ะ สวัสดีค่ะคุณน้า สวัสดีค่ะพี่ดาร์ก” แจงเดินเข้ามาต่อเรื่องจากเขาคิดว่าแจงคงยืนฟังเรื่องทั้งหมดที่ข้างนอกและรอโอกาสนี้อยู่แล้ว

“ตอนที่แจงเอาคุนออกมาจากรถตัวคุนร้อนเป็นไฟเลยค่ะก็ไม่แปลกที่จะเกิดอุบัติเหตุขึ้นแต่วันนั้นโชคดีมากนะคะ ที่คุนเจ็บเพียงแค่นี้”

“แล้วทำไมแจงไม่ส่งเขากลับมาบ้านหรือบอกแม่ละลูก? แจงปิดแม่ทำไม?”

“ความจริงตอนที่แจงส่งตัวของคุนถึงมือหมอเรียบร้อยแจงก็มีความคิดที่จะแจ้งให้กับคุณน้าได้ทราบค่ะแต่พอแจงเปิดมือถือของคุนขึ้นมาแจงก็เลยเปลี่ยนความคิด ประกอบกับคุนหลับๆ ตื่นๆ ไป 1 วันเต็มๆ ก็เลยได้โอกาสพาไปพักฟื้นที่บ้านของแจงต่อ”

“แจง...ไม่ได้บอกแม่ กับ พี่ดาร์กหรอกเหรอ? ไหนแจงบอกว่าบอกทุกคนแล้วไง?”

“ฉันโกหกที่บอกว่าให้นายพักฉันมาดูแม่พอลไปดูพี่ดาร์กแทนนายนะไม่ใช่เรื่องจริงเลย”

“แจง...”

“ขอโทษด้วยที่ทำอะไรโดยที่ไม่ได้บอกแต่วินาทีที่ฉันเห็นเมสเสจแต่ละเมสเสจที่โชว์ขึ้นมาฉันไม่สามารถหยุดความคิดอยากจะลงมือทำแบบนี้ได้เลย”

“คุณน้าค่ะหนูต้องขอโทษด้วยนะคะถ้าการพูดแบบนี้เป็นการล่วงเกินคุณน้าแต่ทุกคนอยากจะเอาแต่เล่นเกมส์ อยากจะเอาชนะโดยไม่มีใครสนใจคุนเลยสักนิด”

“น้า...เข้าใจ”

“ที่ทำลงไปแจงก็แค่อยากรู้ว่าถ้าคุนเขาหายไปทั้ง 2 คนจะเป็นอย่างไรแต่เผอิญว่าพี่ดาร์กไม่ได้เป็นในแบบที่แจงคิดพี่ดาร์กต้องการไปเจอตำรวจด้วยตัวเองแจงเลยไม่สามารถเก็บเรื่องนี้ต่อไปได้อีกเลยพาคุนกลับมาในวันนี้ค่ะ ว่าแต่...สรุปงานนี้ใครชนะใครคะ?”

แม่ปล่อยโฮเสียงดังออกมาทันทีที่แจงพูดจบแจงทำท่าจะพูดอะไรต่อเขาจึงได้ใช้สายตาปรามแจงเอาไว้แม้แจงจะไม่พอใจแต่ก็ยอมหยุดแต่โดยดี

“แม่ขอโทษลูก แม่ขอโทษ”

“ไม่เป็นไรครับแม่ ผมไม่เป็นอะไรเลย ผมกลับมาแล้วไงครับ”

ครืน ใช้เวลาสักพักกว่าแม่จะสงบลงได้และทันทีที่บรรยากาศรอบตัวเงียบลงเสียงเลื่อนจากเก้าอี้ที่พี่ดาร์กนั่งก็ดังขึ้น

“ผมลาครับ”

พี่ดาร์กไหว้ลาแม่เขาได้แต่มองตามทุกการกระทำเขาอยากตามพี่ดาร์กออกไปอยากไปพูดไปอธิบายให้ฟังแต่เป็นธรรมก็ไม่กล้าที่จะปล่อยมือแม่ที่เพิ่งหายจากการเสียขวัญที่เขาหายไปได้

“แม่ไปล้างหน้าล้างตาก่อนดีไหมครับ? พอดีผมได้...”

“ตามเขาไปก็ได้ลูก”

“ครับ?”

“2-3 วันมานี้ ดาร์กเองเขาก็ทุกข์ไม่ต่างจากแม่...เขามาหาลูกตลอด”

“แม่...”

“อย่างที่แจงว่าก็ถูกแล้วแม่ทำพลาดมาเยอะครั้งนี้แม่ก็ได้แต่หวังว่าแม่จะสามารถทำให้ลูกมีความสุขได้จริงๆ ซะที”

“ขอบคุณครับแม่”

“แจงฝากดูแม่ด้วยนะ”

เป็นธรรมหันไปฝากแม่กับแจงก่อนที่จะผละตัวออกมาเพื่อตามหาพี่ดาร์กใจหายเมื่อมองไปทั่วบ้านแล้วพบว่ารถที่เคยจอดอยู่ที่ทางเข้าหายไปมองไปที่หน้าประตูเห็นป้าที่ดูแลบ้านกำลังปิดประตูรั้วบ้าน

“อย่าเพิ่งปิดครับ”

“มีอะไรรึเปล่าคะ?”

“พี่ดาร์กออกไปนานยังครับป้า?”

“เมื่อกี้เองค่ะ”

เป็นธรรมวิ่งตามรถพี่ดาร์กออกมาโดยที่ลืมคิดไปเลยว่าความเร็วจากเท้าจะไปสู้ความเร็วจาก 4 ล้อได้อย่างไรขาที่วิ่งออกจากประตูบ้านเริ่มอ่อนแรงและเมื่อมองไปแล้วถนนที่ตรงออกไปทางหมู่บ้านกลับว่างเปล่าไม่มีรถคันนั้นอยู่

“คุน”

ความหวังที่จะเจอพี่ดาร์กหายไปกลับมาอีกครั้งเมื่อเขาได้ยินเสียงที่คุ้นเคยดังขึ้นจากทางด้านหลังและเมื่อเขาหันหลังกลับไปเขาก็เจอกับเจ้าของเสียงนั้นใน

พี่ดาร์กเดินเข้ามาหาเขาจากอีกฝั่งของบ้านมองกลับไปทางนั้นเขาจึงเห็นรถของพี่ดาร์กไม่ได้หายไปไหนแต่ถูกจอดเอาไว้ที่ฝั่งตรงข้ามกำแพงที่เยื้องไปจากบ้านของเขา

“พี่ดาร์ก...ฟังก่อนนะพี่ คุนขอโทษเรื่องแรกคือเรื่องรถตอนนี้เอาไปซ่อมแล้วเรื่องต่อมาคุนไม่ได้ตั้งใจทำให้พี่รู้สึกไม่ดีคุนไม่รู้ว่าแจงกับพอลจะคิดอะไรแบบนี้ คุนไม่เคยรู้เลยว่าสองคนนั้นจะทำแบบนี้ถ้าคุนรู้ว่า...”

คำพูดอีกมากมายที่อยากจะพูดถูกกลืนกลับลงไปในลำคอตอนที่อ้อมกอดของพี่ดาร์กสวมกอดเขาเอาไว้นานแค่ไหนแล้วที่ไม่ได้อยู่ในอ้อมกอดนี้นานแค่ไหนแล้วที่พี่ดาร์กรังเกียจที่จะสัมผัสตัวของเขาสมองของเขาเลิกสั่งการใดๆ แล้วใช้เวลาทั้งหมดซึมซับความรู้สึกตอนนี้เอาไว้เพราะกลัวเหลือเกินว่าความรู้สึกนี้มันจะอยู่กับเขาได้เพียงไม่นาน

“อย่าร้อง...พี่ขอโทษ” พี่ดาร์กเอามือข้างนึงออกจากตัวของเขาและเอาหัวแม่โป้งเช็ดน้ำตาออกจากใบหน้าให้

“พี่ทำให้คุนร้องไห้อีกแล้วสินะ?”

“เปล่าครับ เปล่า”

“เจ็บมากไหม?”

“ไม่เจ็บครับ”

“พี่ขอโทษ”

“มันไม่ใช่ความผิดของพี่ คุนประมาทเอง”

“ไม่ใช่..ทั้งหมดมันมันคือความผิดพี่แล้วคำขอโทษของพี่มันสำหรับทั้งหมดที่ผ่านมาที่พี่ทำไม่ดีกับคุนเอาไว้ตั้งหลายอย่าง”

“เรื่องเหล่านั้น...คุนไม่เคยโกรธพี่”

แรงกอดของพี่ดาร์กแน่นขึ้นแต่เขาไม่รู้สึกอึดอัดหรือเจ็บเลยสักนิดเสื้อหัวไหล่ทางด้านซ้ายของเขาเริ่มเปียกความเปียกชื้นที่เกิดขึ้นจากน้ำตาของพี่ดาร์กที่กำลังซบไหล่เขาอยู่ เขาเอามือที่ปล่อยเอาไว้ที่ข้างตัวยกขึ้นลูบหัวของพี่ดาร์ก พร้อมกับกระซิบที่ข้างหูว่า “ไม่เป็นไรพี่ ๆ”

“พี่ขอโทษ พี่ขอโทษ..ไม่ว่าจะยังไงพี่ก็ทำร้ายคุนเสมอ  คุนเจ็บใช่ไหม?”

“ไม่เจ็บแล้วครับพี่”

พี่ดาร์กเงยหน้าขึ้นมามองจ้องที่ตาเหมือนกับกำลังสื่อสารในสิ่งที่เขาไม่สามารถกลั่นออกมาเป็นคำพูดได้พร้อมกับลูบแขนข้างที่กำลังใส่เฝือกของเขา

“พี่ขอ..”

“พอแล้วครับพี่ พอแล้ว คุนรู้ๆ ว่าพี่ไม่ได้ตั้งใจ แต่คุนมีเรื่องอยากจะถาม...พี่มาตามหาทุกวันใช่ไหม?”

“ใช่”

“คุนขอถามเหตุผลของพี่ได้ไหมว่าพี่ทำไปทำไม? พี่น่าจะดีใจไม่ใช่เหรอที่คุนหายไปจากชีวิตของพี่ได้สักที”

“เพราะพี่เป็นคนที่ทำให้คุนหายไป มันเป็นเพราะพี่”

“และนั้นคือเหตุผลเดียว?”

“พี่...”

“โอเค...คุนเข้าใจแล้วพี่กลับบ้านไปพักผ่อนเถอะเดี๋ยวพรุ่งนี้คุนจะแวะไปหา”

“พี่รู้ตัวแล้วว่าพี่รักคุน”

ปลายนิ้วของเป็นธรรมที่พยายามแกะมือของพี่ดาร์กออกกหยุดทำงานเมื่อคำพูดที่เขาได้ยินมันเป็นสิ่งที่เกินกว่าที่เขาคาดหวังเอาไว้

“ไม่สิ พี่ต้องบอกว่าพี่เลิกปฎิเสธตัวเองได้แล้วว่ารักคุน...ตลอดเวลาที่ผ่านมาพี่เอาแต่ทำร้ายคุนเพราะทุกครั้งที่พี่รู้สึกดีกับคุนอีกความรู้สึกที่แฝงเอาไว้ในความรู้สึกดีนั้นมาเสมอก็คือความรู้สึกผิดต่อพ่อกับแม่”

“พี่...”

“แต่มาวันนี้พี่รู้แล้วว่าทางเลือกที่อยากจะเลือกให้กับชีวิตของพี่ที่เหลือคือทางไหนระหว่างทางที่ไม่มีคุนกับทางที่พี่จะขอให้มีคุนมาอยู่ข้างพี่”

พี่ดาร์กนั่งคุกเข่าลงกับพื้นโดยที่ยังกำมือของเขาเอาไว้เขาพยายามดึงให้พี่ดาร์คลุกขึ้นเพราะแม้จะเป็นช่วงบ่ายแต่ความร้อนก็ไม่ได้ลดลงเลยแต่พี่ดาร์กก็เอาแต่ดื้อดึงที่จะนั่งคุกเข่าลงไปที่พื้นแบบนั้น

“คุนจะพอยกโทษให้พี่ได้ไหม?”

“คุนบอกแล้วว่าไม่เคยโกรธพี่”

“งั้น ถ้าคุนไม่เคยโกรธพี่...พี่จะกลายเป็นคนที่หน้าด้านที่สุดเลยรึเปล่าถ้าพี่อยากจะให้เราเริ่มกันใหม่อีกครั้ง”

“คุน..”

“พี่รู้ว่าคุนอาจจะไม่เชื่อใจและเชื่อมั่น...พี่ขอแค่โอกาสได้ไหมครับ? ได้ไหม? อย่างน้อยโอกาสที่ให้คุนได้รู้จักตัวตนและความรู้สึกที่พี่มีต่อคุนอย่างแท้จริงสักครั้ง”

สิ่งที่พึ่งได้ยินมันทำให้เขาไม่สามารถยืนได้ขาของเขาหมดแรงเขาจึงเลิกฝืนที่จะยืนแล้วนั่งลงตรงหน้าพี่ดาร์ก อย่างน้อยที่สุดในการกระทำที่เต็มไปด้วยความแค้นของพี่ดาร์กในนั้นก็ยังมี คำว่า “รัก” อยู่ด้วยเช่นกัน  มีคำพูดอีกล้านคำที่เขาอยากพูดออกไปแต่เขาก็พูดอะไรไม่ออกทำได้แค่พยักหน้าเพื่อเป็นการตอบตกลงในการให้โอกาสกับพี่ดาร์ค

พี่ดาร์กยิ้มกว้างพร้อมกับค่อยโน้มหน้าเข้ามาหอมที่หน้าผากก่อนที่จะลุกยืนขึ้นแล้วยื่นมือมาให้เขาเป็นที่เกาะพยุงตัวเองเพื่อลุกขึ้นยืนตามขึ้นมา   

“ผมชื่อ ทรงจำ สุทธิวงค์ ยินดีที่ได้รู้จักครับต่อจากวันนี้ผมขอทำความรู้จักกับคุณเป็นธรรมใหม่อีกครั้งได้ไหมครับ?”

“ยินดีที่ได้รู้จักครับ แต่นี้ไปเราทั้งสองคนจะมีแต่ความจริงระหว่างกันนะครับ”

พี่ดาร์กรวบตัวเขาเข้าไปสู่อ้อมกอดอีกครั้ง

“ขอบคุณครับ ขอบคุณจริงๆ ที่ไม่ไปไหนที่ยังอยู่ตรงนี้กับพี่ขอบคุณที่ยังให้โอกาสกันขอบคุณที่ยังรักกันขอบคุณครับ”

ความรักของเขากับพี่ดาร์กอาจจะเริ่มต้นด้วยความแค้นไม่ได้เริ่มต้นด้วยความรักเหมือนใครๆ แต่ในที่สุดความรักที่จริงใจของเขาที่มีให้กับพี่ดาร์กมาตลอดก็สามารถเอาชนะความแค้นนั้นได้พี่ดาร์กอาจจะยังไม่สามารถลืมเรื่องราวที่เจ็บปวดแม่อาจจะยังไม่สามารถให้อภัยกับพี่ดาร์กได้ทั้งหมด เขาก็ได้แต่หวังและเชื่อว่าการเริ่มต้นใหม่ในครั้งนี้เราจะเริ่มด้วยความรักและความเข้าใจและสามารถเยียวยาหัวใจของทุกคนอย่างสมบูรณ์

จบบริบูรณ์

สวัสดีค่ะ ในที่สุดก็ลง Rewrite จบแล้ว เย้ ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านทุกคอมเม้นท์นะคะ เนื้อเรื่องคงเดิมค่ะแค่มีการปรับเปลี่ยนในเรื่องของการบรรยายค่ะ

แล้วมาคุยกันนะคะในฉบับ Rewrite ที่ #recoupth ค่ะ

ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8896
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80

ออฟไลน์ allmysecret

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 85
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ nOn†ღ

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4390
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +502/-6

ออฟไลน์ Musashi

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 494
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-13
  อีกทั้งน้องสาวของตัวเองแท้ๆ ก็ยังไปกระโดดร่วมวงด้วยอีก”

“ป้าสุวรรณีแค่จะเข้ามาควบคุมไม่ให้มันบานปลายค่ะ แม่ก็รู้”

 
ไม่ใช่แล้ว น้องของแม่เรียกว่าน้าไม่ใช่ป้า

ออฟไลน์ Monnee

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 118
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
 :ling1:แม่น้องคุนเนี่ยไม่ไหวเลย.. เห็นแก่ตัวสุดๆ.. คือต้องรอลูกตายไม่เหลือใครถึงจะยอมละวางไว้ซินะ... น่าสงสารน้องคูน.น้องโคตรคนดีศรีสยามจริงๆ.. ทำเพื่อทุกคน

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด