ทวงครั้งที่ 23
ขณะนี้เวลาเก้าโมงเช้า
แสงลืมตาเพราะแดด ทั้งที่ตั้งใจจะตื่นสายฟื้นสภาพหลังสังสรรค์กับเพื่อนเมื่อคืนแท้ ๆ หนุ่มใหญ่พลิกตัวหลบไอร้อนอย่างเกียจคร้าน
ตอนนี้เตียงเป็นของเขาแต่เพียงผู้เดียวแล้ว...
อาณาเขตกว้างขวางกางแขนกางขาสบาย ตื่นเมื่อไหร่ก็ได้ นอนเมื่อไหร่ก็ตามใจ ไม่ต้องมีเสียงเคาะกระทะปลุกในตอนเช้าหรือตื่นเพราะคนพลิกตัวกลางดึก ทุกอย่างกลับเข้าสู่สภาวะปกติ
ทั้งที่โหยหาสิ่งนี้มานาน พอสำเร็จแล้วดันโหวงในอกขึ้นมาเสียได้
หลับต่อไม่ลงแล้ว...
จากที่หมายมั่นจะนอนให้เต็มอิ่มกลายเป็นยันตัวขึ้นมานั่งพิงหัวเตียง แสงเสพติดการกินอาหารเช้าไปแล้ว อย่างตอนนี้ท้องเจ้ากรรมก็ส่งเสียงประท้วงโครกครากสร้างความลำบากใจให้เจ้าของยิ่งนัก เขาเอี้ยวตัวหย่อนขาลงข้างเตียง เลื่อนบานประตูออกไปพบกับโต๊ะกินข้าวที่ว่างเปล่า
ขนมปังปิ้ง ไข่ดาวและกาแฟเป็นอาหารเช้ายอดนิยมของชายโสดเพราะทำง่ายแถมยังใช้เวลาน้อย แสงละเลียดมันช้า ๆ ขณะไถมือถือเช็กข่าวสารบ้านเมือง
วันนี้มีนัดกับพี่นกตอนบ่าย เห็นว่าเจอที่ดินน่าสนใจแถวบางนา อยากให้ช่วยไปคุยกับเจ้าของพร้อมหาวิธีเลี่ยงนายหน้าให้หน่อย ลูกค้าชั้นดีแถมมีบุญคุณต่อกันขนาดนี้แสงเต็มใจรับงานอย่างที่สุด
กลิ่นกาแฟหอมติดปลายจมูกยามยกขึ้นจิบ ความเงียบสงบที่ถวิลหาโอบล้อมรอบกาย นเรนทร์หายไปราวกับเผาเสร็จพร้อมกลับมาเก็บรอยเท้าเรียบร้อย ในห้องไม่มีร่องรอยของมันอีกแล้ว แม้แต่ไซต์งานก็ย้ายออกเช่นกัน เมื่อวานแสงเพิ่งเดินสวนกับฝ่ายขาย ดูท่าเพื่อนร่วมชั้นคนใหม่จะเป็นสาวมหา’ลัยที่พ่อแม่ซื้อคอนโดให้เป็นรางวัล
แสงเปิดแอพพลิเคชั่นเช็กตารางตัวเองคร่าว ๆ เสาร์นี้มีนัดกับเฮียใหญ่เรื่องสัมปทานถนน วันก่อนแกโทรหา เห็นว่าคนที่ใต้โต๊ะไว้อยากขอให้ช่วยจ้างซัพฯ เป็นบริษัทหลานตัวเอง เฮียดูอิดออดไม่อยากแบ่ง แต่ก็ขี้เกียจมีปัญหาเลยเรียกเขาไปคุยรายละเอียดด้วย อ้อ...แล้วก็....
ตื๊อ ดือ ดื่อ ตือ ดือ ดื่อ ดือ~
ภาพปฏิทินถูกบดบังด้วยหมายเลขสิบหลัก โดยปกติแล้วแสงไม่ค่อยรับเบอร์แปลกแต่รอบนี้ดันเผลอไปโดนใส่จะตัดสายทิ้งก็กลัวเสียมารยาท คิดเสียว่าได้ลูกค้าใหม่ก็แล้วกัน หนุ่มใหญ่แนบมันที่ข้างหู “ฮัลโหล”
“อ๊ะ! รับสักที” ปลายสายว่าอย่างนั้น “คุณแสงใช่ไหมครับ”
หือ? แสงเริ่มสะกิดใจขึ้นมา น้ำเสียงแบบนี้เหมือนเคยได้ยินที่ไหน ไม่ทันจะถามทางนั้นก็เป็นฝ่ายเฉลยเอง
“ผมเดชไงครับ”
“อ้อ” ไอ้ส้นตีนที่โพสเช็ค จ่ายเงินอิดออด โทรจิกมาทั้งสัปดาห์นี่เอง “สวัสดีครับคุณเดช”
“ผมโทรเป็นอาทิตย์แล้วแต่คุณเล่นไม่รับโทรศัพท์เลย”
“ช่วงนี้งานยุ่งน่ะครับ”
“อย่างน้อยก็น่าจะโทรกลับบ้าง” เรื่องมากขนาดนี้อีกนิดก็เป็นเมียแสงแล้ว ไอ้เวรที่ถือคติลูกค้าคือพระเจ้าแบบนี้น่ารำคาญที่สุด คันปากอยากโพล่งใส่ว่า ‘กูก็เลือกนับถือพระเจ้าเหมือนกันโว้ย’
“งานยุ่งครับ”
เพราะโดนทนายเสียงแข็งใส่เดชเลยเริ่มอ่อนลง “คือ....ผมมีเรื่องอยากให้คุณแสงช่วย”
“เรื่องอะไรครับ” เขาเผลอถอนหายใจออกมาหลังได้ยินคำนั้น ไม่รู้จะเลี่ยงยังไงแล้ว เอาเป็นว่าฟังไปก่อนก็แล้วกัน
“พี่ชายผมน่ะสิครับ คงแค้นที่ตอนนั้นคุณแสงไปยึดที่ตรงสุขุมวิทแกเข้า” ใครยึดใคร แสงอยากให้โอกาสมันพูดใหม่อีกที “รอบนี้แกขู่ผมว่าจะฟ้องเอาที่ตรงปากเกร็ดคืน ทั้งที่ผมวางโปรเจกต์จะทำตลาดไปแล้ว”
“ครับ”
“เขาบอกว่ามีทนายมือดีพร้อมจะขุดหลักฐาน ผมเองก็ไม่ยอมเหมือนกัน” เดชเริ่มเกรี้ยวกราดขึ้น “รอบนี้ผมจ่ายให้ไม่อั้น วันนี้คุณแสงพอจะออกมาได้ไหมครับ นัดกันที่----“
“วันนี้ผมไม่สะดวกครับ”
“งั้นก็พรุ่งนี้”
“พรุ่งนี้ก็ไม่ว่างครับ” แสงสูดสมหายใจเข้าลึก ๆ คนแบบนี้คงต้องพูดตรง ๆ ถึงจะยอมหยุด “ช่วงนี้ผมงานยุ่งมากคงจะรับไว้ไม่ได้ครับ”
“ได้ยังไง รอบก่อนคุณยัง...”
“แค่นี้นะครับ ผมจะเข้าประชุมแล้ว”
ไม่รอให้อีกฝ่ายโจมตีกลับแสงชิ่งวางสายทันใด คนต้องเข้าประชุมยกกาแฟขึ้นจิบอย่างสุขุมไม่สนใจมือถือที่แผดเสียงลั่น เขารอจังหวะกดปิดเสียงอย่างรวดเร็ว ประเทศไทยไม่ได้มีทนายแค่คนเดียวนี่หว่า เดี๋ยวเดชก็หาที่ทางของมันได้เองแหละ เก่งนักไม่ใช่เหรอ?
เจอลูกค้าส้นตีนแต่เช้าวันนี้คงซวยไปทั้งวัน นึกแล้วแสงก็พานหงุดหงิดกระดกกาแฟทีเดียวจนหมดแก้ว
.................................................
..............................
...............
......
สว่านเจาะผนังหวีดเสียงดังจนเรนปวดหัว เขาอดทนฟังมันมาร่วมสามชั่วโมงแล้ว หากมากกว่านี้แค่นาทีเดียวสมองขนาดเท่าถั่วอาจสลายสสารหายไปได้ ลองชะเง้อคอดูนาฬิกาตรงข้างฝาก็พลันโล่งใจ อีกแค่สามนาทีก็หมดเวลางานแล้ว
ลุงบุญเริ่มงานใหม่กับเจ๊ร้านขายผ้า โปรเจกต์ตกแต่งเรือนหอให้ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนจะต้องออกมาประณีตงดงามเยี่ยงราชวังแวร์ซายส์ ดีไซน์มีรายละเอียดยิบย่อยชนิดที่ลุงต้องมานั่งคุมนั่งชี้ทีละอันเพราะกลัวช่างทำผิด เดี๋ยวเบิกเงินไม่ได้ล่ะยุ่งกันน่าดู
ไม่รู้ไปสรรหามนุษย์ป้าเขี้ยว ๆ แบบนี้มาจากไหนเยอะแยะน้า อ๊ะ! จะว่าไปเมียแกก็ใช่...
“เอ้า! กลับบ้าน” เสียงแหบแห้งของคนถูกนินทาดังแข่งกับเสียงเจาะผนัง “เดี๋ยวข้างบ้านโทรมาด่าอีก”
“ทันทีเลยครับลุง” เรนขานรับขยับตัวเก็บอุปกรณ์ทันใด กระตือรือร้นยิ่งกว่าตอนทำงาน
“มาเร่งงานแต่ให้เวลานิดเดียว ทำโอก็ไม่ได้” คนแก่บ่นอุบ เจ๊ว่าเยอะแล้วเจอคุณนายข้างบ้างเข้าไปถือว่าเบา ๆ ถ้าหลังห้าโมงมีเสียงดังเมื่อไหร่เจ้าหล่อนจะตื้บมือตื้บเท้ามากดกริ่งด่าจนหูชา ลุงบุญคิดแล้วเครียดลมแทบจับ มองโครงแบบคร่าว ๆ ที่ยังไปไม่ถึงไหน “มันจะเสร็จทันไหมวะนี่”
“ไซต์ที่แล้วลุงก็พูดงี้ ไม่สิ...ที่แล้ว ๆ ก็ด้วย” ลูกจ้างทำทองไม่รู้ร้อนคว้ากระเป๋าสตางค์กับมือถือหย่อนลงกางเกง “ระดับลุงบุญมีเสร็จไม่ทันด้วยเหรอ”
“เฮอะ! ทำเป็นประจบ” แกพ่นลมออกจมูก บ่นไปอย่างนั้น ความจริงก็แอบลำพองใจไม่น้อย “จะไปไหนก็ไปเลย แยกย้าย ๆ”
“งั้นผมไปล่ะ หวัดดีครับลุง”
ลูกรักยกมือไหว้แล้วเดินลิ่ว ๆ ตามหลังบรรดาช่างรุ่นพี่ออกไป กลิ่นเหงื่อพร้อมไอร้อนจากร่างกายโชยไปตลอดทางจนไม่อยากเข้าใกล้ใคร พวกเขาแตกฮือแยกย้ายทางใครทางมันตรงหน้าบ้าน
ท้องฟ้าฉาบด้วยสีส้มอิฐร้อนแรงไม่ต่างจากอากาศ ชายหนุ่มก้มมองเท้าตัวเองที่สภาพเกรอะกรังมีฝุ่นขาวจับจนแตกลายแล้วได้แต่ภาวนาให้ถึงห้องเร็ว ๆ สักที เรนสาวเท้าเร็วขึ้นตัดผ่านตรอกแคบที่เป็นทางลัดไปสู่ถนนใหญ่
จะว่าไปไซต์นี้อยู่ในถิ่นเฮียอู๋เสียด้วย โชคดีชะมัดที่ปิดหนี้เรียบร้อยแล้วไม่งั้นคงโดนไอ้กิจพาเพื่อนมากระทืบตายคาไซต์ เขาเลี้ยวซ้ายตรงหัวมุมอย่างคนชำนาญทาง ถ้าไปเส้นนี้จะใกล้กว่าแถมยังผ่านร้านอาหาร....
ร้านอาหาร....
“ฮัดชิ่ว!” โอ้โห จามมาแต่ไกลสมเป็นโลโก้ร้านจริง ๆ ดวงตาเรียวหรี่ลงเพ่งมองกลุ่มควันโขมงราวเกิดอัคคีภัย มันคือร้านอาหารแสนอร่อยราคาถูกเจ้าประจำของเขานั่นเอง
หลังสร้างคดีโดนไล่ตื้บจนเก้าอี้พังเรนก็ไม่ได้แลหน้ามาแถวนี้อีกเลย นี่เป็นโอกาสอันดีที่จะรีเทิร์นมาเป็นลูกค้าแกอีกครั้ง เขาเดินพุ่งไปยังคุณป้าที่หน้ากระทะในทันที
“ผัดพริกแกงหมูราดข้าวใส่กล่องครับป้า”
“คิวยาวหน่อยนะลูก” ซ่า! แกสาดพริกสาดเกลือลงกระทะ “ยืนรอแป๊บนะ”
เรนยิ้มจนหน้าแห้ง หวังว่าแกจะลืมเรื่องคดีเก่าไปแล้ว เอาวะ...อย่างน้อยป้าก็ยิ้มหวานชื่นคงไม่ได้โกรธเคืองอะไรกันมั้ง ถ้าจะโกรธป้าต้องไปลงกับไอ้กิจสิถึงจะถูก เขาก็เป็นผู้ถูกกระทำเหมือนกันนะ!
เด็กแซ่ซ่งเดินไปต่อหลังเจ๊แม่บ้าน ถัดไปด้านหน้ามีอีกสี่คิวถ้วนรับรองว่ายืนรอจนเมื่อยแน่นอน ร้านนี้เป็นที่นิยมที่สุดในย่านนี้แล้ว ขนาดพนักงานเงินเดือนสูงใส่สูทผูกไทยังมานั่งกันเต็มโต๊ะ อย่างว่าแหละเนอะใครก็ชอบของอร่อยราคาถูก...
“กะเพราไข่เยี่ยวม้าโต๊ะสี่ได้ยังครับ!”
แม้แต่คนเรื่องมากอย่างเฮียแสง...
เรนไม่ได้หันไปดูโต๊ะสี่ เพราะมั่นใจว่าไม่ใช่เสียงเฮีย ทว่าเมนูอาหารโปรดนั้นดันกวนตะกอนในใจขึ้นมา ความทรงจำตอนที่วิ่งหนีตีนไอ้กิจพร้อมจินตนาการภาพรอยยิ้มของเฮียลอยวาบเข้ามา ตอนนั้นเรนทำเรื่องบ้าบอเพียงแค่อยากเห็นฝ่ายนั้นมีความสุข
ดูตอนนี้สิ....แค่หาข้ออ้างไปเจอหน้ายังทำไม่ได้เลย
ใจกระตุกขึ้นวูบหนึ่ง....ทำยังไงดีอยากเจอจังเลย อยากเจอมาก ๆ อยากเห็นหน้า อยากชวนคุย นี่ต้องเป็นบาปกรรมที่อัดคลิปแบล็กเมล์เฮียแน่ ๆ เลยต้องมาทุรนทุรายอย่างนี้
เรนจามอีกครั้งให้สมองโล่งก่อนจะเงยหน้ามองกลุ่มควันที่ลอยเอื่อยอยู่ด้านบน เขาเหมือนถูกรมด้วยยาเสพติดชนิดหลอนประสาทถึงได้แว่วเสียงเฮียแสงที่ข้างหู
‘ฝีมือสู้ป้าร้านสกปรกนั่นให้ได้ก่อนเถอะค่อยมาพูด’
อาจเพราะควันไฟทำลายเซลล์สมองหรือไม่มีสมองอยู่แล้ว นเรนทร์ถึงได้ตัดสินใจชะโงกหน้าเข้าไปอีกครั้ง....
“ป้าครับ เพิ่มกะเพราไข่เยี่ยวม้าอีกกล่องด้วยนะครับ”
เอาน่า...เห็นแค่ประตูห้องก็ยังดี
............................................................
.....................................
.............
......
“ถ้ามีอะไรคืบหน้าพี่โทรหาแสงอีกทีนะจ๊ะ”
“ครับ” พ่อทนายยกมือไหว้ “งั้นผมลาพี่นกเลยนะครับ”
“จ้ะ”
รองเท้าหนังย่ำไปบนผิวซีเมนต์อันร้อนระอุ แสงเดินตัดสนามข้ามพื้นทรายมุ่งตรงไปยังรถของตน พอพ้นสายตาคนอื่นก็เริ่มคลายปมเนคไท ไม่ไหว...อากาศร้อนขนาดนี้ยังต้องสวมเชิ้ตแขนยาวเต็มยศมาสร้างภาพ ก้มมองสารร่างเห็นคราบเหงื่อตรงปกเสื้อกับรักแร้ ไม่ต้องสืบเลยว่าแผ่นหลังจะชุ่มฉ่ำขนาดไหน
Citroen C5 สีเทาเข้มเคลื่อนตัวอย่างเชื่องช้าบนเนินดิน เพราะรถไม่ได้ออกแบบมาให้ลุยทางกันดารเขาจึงต้องใช้ความอดทนมากกว่าปกติกว่าจะโผล่เข้าสู่ถนนได้
ถนนสี่เลนเพิ่งตัดผ่านย่านนี้เมื่อปีที่แล้วทำให้ราคาพุ่งอย่างไม่น่าเชื่อ กระนั้นพี่นกก็มุ่งมั่นจะเอาให้ได้ หล่อนบอกว่ามีโปรเจกต์ในใจแล้ว เอาเถอะ...แสงคงช่วยได้แค่ต่อรองให้ได้ราคาต่ำที่สุด
สมองที่หนักอึ้งค่อย ๆ ผ่อนคลายเพราะแอร์ แสงขับรถอย่างใจเย็นมองสองข้างทางที่เริ่มมืดลง นี่ก็ปาเข้าไปหกโมงแล้ว ขี้เกียจแวะซื้อของชะมัด ไว้ต้มบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปกินก็แล้วกัน
กว่าจะถึงคอนโดก็เมื่อยขบไปทั้งตัว แสงขยับไหล่ไปมาขณะก้าวไปตามทางเดิน เวลานี้คนกำลังทยอยกลับห้องเลยต้องรอลิฟต์นานสักหน่อย ตอนที่เข้าไปเบียดเสียดกับเพื่อนร่วมตึกก็ก่นด่าเจ๊จวงไปด้วย ห้องตั้งเยอะแยะดันมีลิฟต์แค่สองตัวเนี่ยนะ
ฝูงชนลงตามชั้นต่าง ๆ อย่างละนิดอย่างละหน่อย จวบจนถึงชั้น 11 ที่สาวออฟฟิศคนสุดท้ายก้าวออกไป ห้องโดยสารก็ตกเป็นของแสงโดยสมบูรณ์ ดวงตาดุจเหยี่ยวจับจ้องไปยังหน้าปัดรอจนเลขด้านหลังเปลี่ยนเป็น 2
ทางเดินกล่องสี่เหลี่ยมปูพรมสีเทายาวไปตลอดทาง ทุกอย่างเหมือนทุกวัน จังหวะก้าวเท้า แสงไฟที่เปิดเพียงสองดวง
ใช่ มันควรเป็นอย่างนั้น...
ถ้าไม่มีถุงพลาสติกแขวนอยู่ตรงกลอนประตู
อะไรวะนั่น?
คิ้วขมวดจนเป็นรอยบุ๋ม หรือไอ้เวรที่ก่อกวนเขาจะส่งงูมาเซอร์ไพรส์จริง ๆ วะ เอาเถอะ! อย่าเสียเวลาเดาเลย แสงคว้ามันขึ้นมา ของในนั้นทำใจกระตุกเสียยิ่งกว่าเจองูอีก...
มันคือกล่องโฟมฉุนกลิ่นอาหาร เขาง้างฝาออกเล็กน้อย ทันทีที่เห็นว่าด้านในเป็นอะไรแสงก็เข้าใจทุกอย่าง จะมีสักกี่คนที่รู้ว่าเขาชอบกินกะเพราไข่เยี่ยวม้า กี่คนที่เข้ามาที่นี่ได้ คำตอบไม่ต้องไปหาที่ไหนไกลเลย...
ใจที่สงบพลันร้อนรนขึ้นมาอีกคราเมื่อคิดว่านเรนทร์มาที่นี่ นิ้วเกี่ยวถุงหิ้วลงกับกลอนประตูดังเดิม เจ้าของห้องหันซ้ายหันขวา
กล่องยังอุ่นอยู่ หรือว่า....
ตุบ ๆ
สองขาออกก้าวไปก่อนสมองจะทำงาน มุ่งตรงไปยังสุดทางเดิน ณ ที่แห่งนั้นมีบานประตูหนีไฟอยู่ ตอนนี้แสงไม่ได้คิดอะไรทั้งนั้น เขากลายเป็นคนโง่ที่พร้อมจะเอื้อมมือไขว่คว้าอากาศ
แค่อยากเจอ....อยากเห็นหน้า....
ผัวะ!
เสียงรัวกลองในอกชะงัก ทุกอย่างตกอยู่ในความเงียบ....
เส้นผมสีทองที่เขาแสนชังพลิ้วไหวอยู่ตรงหน้า เจ้าของผิวแทนเบิกตาโพลงอย่างไม่เชื่อสายตา ทั้งคู่ยืนนิ่งอยู่อย่างนั้น แข่งกันว่าใครจะหาเสียงที่หายไปเจอก่อน
“เฮีย...เอ่อ...” ดูเหมือนเรนจะเป็นฝ่ายชนะ “ผม...”
“.........”
“ยังไม่ได้ขโมยอะไรนะ”
นี่เขาอยากเจอไอ้งั่งนี่จริง ๆ เหรอวะ... แสงถามย้ำกับตัวเอง กัดริมฝีปากไม่ให้เผลอขำกับคำแก้ตัวโง่ ๆ นั่น ไม่ดีแน่....ขืนอยู่ใกล้กันอย่างนี้ไอ้เด็กซ่งต้องเห็นว่าเขาเก๊กจนหน้าสั่นแน่ ๆ คิดได้ดังนั้นก็ก้าวขึ้นบันไปไปสู่ชั้นพักด้านบน
“ก็ไม่ได้ว่าอะไรนี่ ฉันแค่ออกมารับลม” พูดอย่างนั้นทั้งที่วิ่งลืมแก่แท้ ๆ
“อ้อ” เรนพยักหน้ารับรู้ “วันนี้ร้อนทั้งวัน แต่ตอนเย็นลมแรงเนอะ”
“ชั้น 12 ลมก็ต้องแรงอยู่แล้วสิ”
บทสนทนาเรื่อยเปื่อยไม่เฉียดความจริงในใจเลยสักนิด กระนั้นก็ยังหาเรื่องคุยที่ดีกว่านี้ไม่ได้ แสงเท้าแขนลงกับระแนงเหล็กพลางเงี่ยหูฟังรอให้อีกฝ่ายชวนคุยต่อ ก็มันเป็นหน้าที่ไอ้เรนนี่หว่า....
“เรา...ไม่ได้เจอกันนานเลยเนอะ” คนแซ่ซ่งยกนิ้วขึ้นนับ “ตั้งห้าวันแหนะ”
“หกหรอก” แสงยิ้มเยาะ “โง่จริง”
“โทษที ผมไม่คิดว่าเฮียจะนับด้วย”
ฉึก! โดนแทงเข้าไปกลางอกเกือบหัวคะมำตกตึก โชคดีที่คว้าราวเหล็กไว้ได้ทัน แสงกลืนเลือดที่มุมปากลงคอ ยกมือเสยผมเท่ ๆ เพื่อซ่อนหยดเหงื่อตรงขมับ
“ร้อนชะมัด” มีพึมพำกลบเกลื่อนด้วย มืออาชีพเขาทำกันแบบนี้ คนโง่อย่างไอ้เรนจับไม่ได้ไล่ไม่ทันแน่นอน
“เนอะ ๆ ตับจะแตกแล้วเนี่ย”
แสงลอบถอนหายใจโล่งอก โดนทักว่านับวันที่ไม่ได้เจอกันแม่นเป๊ะนี่มันน่าอายชะมัด
ถึงจะเป็นความจริงก็เถอะ....
เขาไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่ารอคอยเวลานี้มานานแค่ไหน จนกระทั่งได้เห็นใบหน้าเด๋อด๋าของไอ้เด็กซ่งติง หัวใจก็พลันกลับมามีชีวิตชีวา
“ร้อนระดับพี่ที่ไซต์เป็นลมเลยล่ะ” เสียงเจื้อยแจ้วเล่าไม่หยุด “ผมงี้เหงื่อไหลเป็นเขื่อนแตก”
“มิน่าเหม็นตั้งแต่เปิดประตูเลย”
“ยังเหม็นอีกเหรอ ผมก็ปฏิบัติตามกฎแล้วนะ” เรนจำได้น่า...กฎข้อที่หนึ่งว่าด้วยระบบศักดินาของเฮีย ‘ห้ามขึ้นบันไดมาตรงต้นลม’ แต่มันไม่ยอมแพ้ยกคอเสื้อขึ้นดม “เอ่อ...ก็เหม็นเค็มอยู่นิดหน่อย”
“สกปรก”
“ว่าแต่ผม เฮียก็โชกเชียวนะ” ไม่อยากจะทักเรื่องรักแร้เปียกให้เสียเซล์ฟหรอกนะ แต่เสื้อสีเทาเห็นชัดซะขนาดนั้น “ไปหาลูกค้ามาเหรอ”
“ดูที่ให้พี่นกแถวบางนา”
“ว้าว~ คุณนกคนสวยน่ะเหรอ” เรนนึกภาพมื้ออาหารสุดหรูในตอนนั้นออกทันที “สมเป็นเศรษฐีนีจริง ๆ”
“ของเล่นคนรวยน่ะ”
“แล้วรอบนี้เขาเลี้ยงข้าวเฮียไหม” มือที่จับราวเผลอบีบแน่นขึ้นอย่างลุ้นระทึก ลืมคิดไปเลยว่าเฮียอาจจะกินของอร่อยมาจากข้างนอกแล้ว “ไม่รู้เฮียเห็นหรือยัง ผมซื้อกะเพราไข่เยี่ยวม้าร้านสกปรกมาให้ แต่ถ้าเฮียกินไปละ----”
“ฉันจะกินกะเพรานั่นแหละ” พูดให้ถูกคือ ‘ต่อให้กินข้าวมาแล้วฉันก็จะกินกะเพราต่ออยู่ดี’
“ดีใจจัง” นเรนทร์ยิ้มกว้าง เล่นเอาแสงลืมเก๊กชมวิว เผลอหันไปมองรอยยิ้มนั้นเต็ม ๆ ตา “ตอนไปซื้อลุ้นแทบตายกลัวป้าจะเอาตะหลิวเคาะหัวแตก”
“ฮ่า ๆ ๆ” แค่คิดภาพตามก็น่าหัวร่อแล้ว “แกนี่มันสร้างศัตรูไปทั่ว”
“ผมเปล่านะ เป็นผู้เสียหายเหมือนกันแท้ ๆ” ลมหวดเข้ามาที่หน้าวูบหนึ่ง จู่ ๆ เรนก็นึกเรื่องสำคัญขึ้นมาได้ “อ๊ะ! เกือบลืมถามแหนะ เสาร์นี้เฮียว่างไหม”
“ทำไม?”
“ผมจะพาไปเลี้ยงข้าว”
“หา!?” นี่ก็ทำเป็นคนแก่หูตึงไปได้
“เดี๋ยวห้องข้างล่างเขาก็ด่าเอาหรอก” เรนยกนิ้วแคะขี้หูที่เต้นระบำ ท่าทางกวนตีนไม่พอยังมีหน้ามาหลอกด่าว่าแสงไร้มารยาทอีก “ตอบแทนที่ช่วยผมปิดหนี้เฮียอู๋ไง”
“แกรวยแล้วเหรอไง หือ?” คุณพ่อหน้าหงิก “เป็นเด็กเป็นเล็กก็รู้จักเก็บเงินเก็บทองเสียบ้าง ไม่ใช่เอามาสุรุ่ยสุร่ายเลี้ยงข้าวคนอื่นไปทั่ว”
“ไม่ใช่คนอื่นสักหน่อย เลี้ยงเฮียแสงเชียวนะ”
“อย่าเถียง” รอบนี้ชี้หน้าขู่ด้วย “เอาเงินไปใช้หนี้เฮียใหญ่ซะ”
“ลูกจ้างดีเด่นเหลือเกินนะ” หรืออยากรีบตัดขาดกับเรนเร็ว ๆ กันแน่ “ไม่รู้แหละ เงินผม ผมจะใช้อะ”
“เด็กเวรเอ๊ย”
“แค่เลี้ยงผู้ชายสักคนไม่เห็นเป็นไร” ดูมันพูดกำกวมเข้าสิ น่ากระทืบจริง ๆ “เฮียก็อย่าเล่นตัวนักเลยให้ผมใช้เงินซื้อบ้างเถอะ คิดซะว่าจ้างมานั่งกินข้าวให้ดูก็ได้”
“ไม่....”
“นะ” เจ้าจิ้งจอกเดินมาเกาะราวที่ตีนบันไดแล้วช้อนตามอง ออดอ้อนได้ตอแหลถึงขั้วหัวใจ “จะตายวันตายพรุ่งก็ไม่รู้ ขอใช้เงินไม่ได้เหรอ”
“........”
“นะเฮีย...”
“พูดมาก น่ารำคาญ” แสงด่า แต่เรนไม่เจ็บอยู่แล้ว
“เฮียคร้าบ~”
“แค่กินข้าวใช่ไหม”
“เยส!!” มันตบระแนงเหล็กดังแก๊ง “เฮียเลือกร้านได้เลยนะ แล้วโทรบอกผมด้วย”
“จะสั่งให้แกล้มละลายเลยคอยดู”
“อะไรว้า~ เมื่อกี้ยังสอนให้เก็บเงินแท้ ๆ” เรนล่ะงงกับอาการผีเข้าผีออกของเฮียเสียจริง แล้วนี่จะจ่ายเงินยังต้องขอร้องก้มกราบเลียรองเท้า ชีวิตใครจะน่าอดสูเท่านี้ไม่มีอีกแล้ว
แสงเดาะลิ้นแสร้งไม่ได้ยินเสียงค่อนขอด เขาเบือนใบหน้าออกไปด้านนอกอีกครั้งให้ลมปะทะเข้าใส่ สมองค่อย ๆ ผ่อนคลายหลังจากถูกใช้งานมาตลอดทั้งวัน เพราะอยู่กับนเรนทร์แล้วแทบไม่ต้องใช้เลย เหมือนคุยกับลิงที่เพิ่งวิวัฒนาการมาพูดได้เมื่อกี้
พวกเขายืนรับลมเงียบ ๆ อยู่อย่างนั้น มองท้องฟ้าเปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินโดยไม่รู้ตัว ป่านนี้คงทุ่มกว่าแล้วมั้ง นึกแค่ครู่เดียวก็ได้ยินเสียงท้องร้องโครกครากจากไอ้เด็กซ่ง มันหันมาหัวเราะแหะ ๆ แล้วก้มลงไปคว้าถุงใส่กล่องข้าวบนพื้น
“ดึกแล้ว ผมกลับเลยดีกว่า”
เรนช้อนใบหน้ามองคนด้านบนที่ประสานสายตาลงมาพอดี คนพูดมากกลับเศร้าสร้อยอย่างไม่เคยเป็น รอยยิ้มที่ทำเป็นประจำกลายเป็นการฝืน ชายหนุ่มเกี่ยวเส้นผมสีทองขึ้นทัดหูด้วยไม่อยากให้มันบดบังหน้าหงิกงอของเฮียแสง ไหน ๆ ก็จะกลับแล้วขอมองชัด ๆ สักครั้ง
เขาไม่เคยอ่านความคิดคนคนนี้ได้เลย ไม่รู้เพราะสมองทึบหรือเฮียเป็นคนอ่านยาก กระทั่งตอนนี้ที่เขาแสดงออกอย่างชัดเจนแสงก็ยังนิ่งเฉย ตวัดดวงตาดุจเหยี่ยวมองเหยื่ออย่างเย็นชา ดูท่าเรนจะเป็นคนเดียวที่อยากเจอเสียแล้วมั้ง....
หวังอะไรอยู่วะไอ้เรน
แม่ง....แค่เห็นประตูห้องก็พออะไรกันล่ะ นี่มันโลภมากเกินไปแล้ว...
นเรนทร์ไม่อาจทนอยู่ตรงนั้นได้อีก เพราะจิตใจอันละโมบกำลังเรียกร้องอยากฟังคำเหนี่ยวรั้ง อากาศรอบกายหนักอึ้งกว่าฝุ่นผงในไซต์งานก่อสร้างเสียอีก และก่อนที่รอยยิ้มจะบิดเบี้ยวไปมากกว่านี้ เรนขยับเข้ามายังเขตแดนที่ถูกขีดไว้ตรงตีนบันไดพร้อมกับเอ่ยคำลา....
“ผมไปนะ”
ทุกอย่างรวดเร็วจนแสงตั้งตัวไม่ทัน คำเอ่ยรั้งติดอยู่ที่ปลายลิ้น จากมุมนี้เขาเหมือนพระราชาที่อยู่เหนือทุกอย่าง แต่กลับควบคุมอะไรไม่ได้เลย แม้แต่หมากตัวเดียวก็กำลังจะหลุดออกจากฝ่ามือ
ทนายแสงผู้เก่งกาจ ฉลาด และหยิ่งยโสกลับไม่รู้วิธีหยุดเด็กตัวเหม็นเหงื่อเพียงคนเดียว จังหวะที่นเรนทร์หันกลับหัวใจพลันกระตุกวูบ แสงไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองทำอะไรลงไป รู้เพียงแค่อยากเห็นเรนนานขึ้นสักวินาทีก็ยังดี
แก๊ง ๆ
สองขาก้าวลงจากบัลลังก์ ทิ้งกฎบ้า ๆ ไว้เบื้องหลัง
นาทีนี้มีแค่หัวใจเท่านั้นที่ยังทำงาน…
แก๊ง!
พื้นแผ่นเหล็กส่งเสียงลั่นตอนที่รองเท้าหนังเหยียบย่ำลงไป เรนหันกลับมาอีกครั้ง เป็นจังหวะเดียวกันกับที่คอเสื้อถูกกระชากขึ้น มันหวีดร้อง....
“เฮี-----“
ก่อนทุกอย่างจะเงียบสนิท...
สุ้มเสียงถูกดูดกลืนด้วยริมฝีปาก นเรนทร์ถูกช่วงชิงลมหายใจไปในพริบตา คำถามมากมายวิ่งชนกันในหัว แต่สุดท้ายแล้วก็ปล่อยให้สัญชาตญาณนำพาไป...
“อื้อ” ปากล่างถูกดูดดึง ไล้เลียอย่างเชื่องช้า จังหวะอ้อยอิ่งนั้นทำคนไม่ประสาสั่นสะท้านไปทั้งร่าง เรนหลับตาลงขยับใบหน้าเข้าหา เว้าวอนขอจูบที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้น
อกซ้ายทั้งสองเต้นแรงอย่างควบคุมไม่ได้ ราวกับปลายเท้าลอยอยู่เหนือพื้น สยายปีกโผบินออกจากกรงขัง
ไม่มีทิฐิ ข้ออ้าง หรือเหตุผลอื่นใด
มีเพียงความคิดถึงเท่านั้น
TBC
กรี๊ดดดดดดดดดดดดด ซีรีส์เกาหลีไปอี้ก!
แสงอปป้าทำเด็กหวั่นไหวไปหมดแล้ว ออตอกเคคคค 555555
ใช่ค่ะ จบค้างเนอะ เพราะเราอยากให้ทุกคนติดตามตอนต่อไป
แล้วเจอกันตอนหน้าค่ะ (。•̀ᴗ-)✧
ป.ล. ประทับใจเรื่องช่างฟังเพลงหญิงลีของคุณ todiefor มากค่ะ 55555555555