“อาแสง?”เรนหันขวับทั้งที่ไม่ใช่ชื่อตัวเอง
“อาแสงจริง ๆ ด้วย” ผู้มาเยือนฉีกยิ้มกว้าง “บังเอิญจังเลยครับ”
‘เขา’ คือชายหนุ่มผู้มีใบหน้าหล่อเหลาในชุดเสื้อกั๊กสูทเรียบกริ๊บ เส้นผมสีดำสนิทแสกกลางดูสะอาดสะอ้านตั้งแต่หัวจรดเท้า ผิวขาวอย่างผู้ดี และมีดวงตาโศกสวยที่ละสายตาไม่ได้...
“อโณ....” แสงเรียกชื่อเขาอย่างอ่อนโยน “แกมาทำอะไรเนี่ย”
“ร้านอาหารก็ต้องมากินข้าวสิครับ” หนุ่มหล่อยิ้มหวาน ช่างสุภาพขัดกับคำตอบ “ยังนึกอยู่เลยว่ามาร้านประจำอาแสง แต่ไม่คิดว่าจะเจอด้วย”
“ก็ฉันนึกร้านอื่นไม่ออกแล้วนี่หว่า”
“ฮะ ๆ ๆ” ฝ่ายนั้นหัวเราะ ก่อนจะเหลือบมาเห็นนเรนทร์ที่อยู่ “อ๊ะ! อามากับลูกค้าเหรอครับ ถ้าอย่างนั้นผมขอตัว....”
“ไม่ใช่ลูกค้าหรอก” แสงเหล่มองมองเรนนิดหน่อย “แกก็มานั่งคุยกันก่อนสิ คนที่นัดไว้ยังไม่มาใช่ไหม”
“จะดีเหรอครับ?”
“นั่ง”
คำสั่งนั้นทำหนุ่มหล่อคลี่รอยยิ้มจาง ๆ เขาขยับก้าวเข้าไปในเรือนศาลาพร้อมส่งสายตาขออนุญาตกับนเรนทร์ ตำแหน่งที่เลือกนั่งคือข้างแสงอย่างไม่ต้องสงสัย
“สวัสดีครับ” ชายหนุ่มเอ่ยทัก “ผมชื่ออโณชา เรียกอโณก็ได้”
“มันชื่อเรน เด็กกว่าแกตั้งหลายปี” แสงโพล่งขึ้นกลางวง “ไม่ต้องสุภาพขนาดนั้น”
“ชินน่ะครับ”
“เรน” คราวนี้แสงหันมาเรียกเด็กบ้าง “นี่อโณ หลานฉันเอง”
“หา!?” คนฟังร้องเสียงหลง “หน้าไม่เห็นเหมือนกันเลยครับ”
“ฮ่า ๆ ๆ” อโณชาโบกไม้โบกมือ “ไม่ใช่หลานแท้ ๆ หรอกครับ จะว่าไงดีล่ะ....แม่ผมเป็นเพื่อนกับอาแสงน่ะครับ”
“เจ้าของบ้านหลังที่ตอนนี้ฝรั่งเช่าอยู่น่ะ” แสงหันมาอธิบายเพิ่ม “ที่แกเคยถามฉัน”
“อ้อ!” เรนนึกออกในทันที บ้านสองชั้นหลังนั้นนั่นเอง
“เป็นเพื่อนบ้านก็เลยนับเป็นญาติกันไปเลย” ระหว่างนั้นบริกรก็ยกจานมาให้อีกชุด “อ๊ะ! ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวผมก็---”
“แกก็กินอะไรรองท้องกับฉันไปก่อน” หนุ่มใหญ่บุ้ยปาก “นั่นไง ทอดมันมาแล้ว”
อาหารจานแรกยกมาเสิร์ฟในจังหวะนั้นพอดี ทอดมันกุ้งเหลืองกรอบน่ากินส่งกลิ่นหอมเรียกน้ำย่อยในกระเพาะ ในเมื่อผู้ใหญ่ว่าอย่างนั้นอโณชาก็ไม่ขัดศรัทธาคว้าช้อนส้อมขึ้นมา
“งั้นก็ทานกันเลยดีกว่าเนอะครับ” ชายหนุ่มว่าขณะตักใส่จานให้คุณอา “รอบนี้ไม่สั่งปลากรายเหรอครับ”
“อันนี้ไอ้เรนสั่ง”
“ดีเลย ความจริงผมก็ชอบทอดมันกุ้งมากกว่า” ว่าแล้วก็เปลี่ยนมาตัดใส่จานให้เรนบ้าง “ร้านนี้ทอดอร่อยมาก รับรองไม่ผิดหวังแน่นอนครับ”
เจิดจ้าจนตาพร่า.... เรนแทบจิ้มทอดมันไม่ถูก เกิดมายี่สิบสี่ปีเพิ่งเคยมีคนมาใส่ใจบริการให้ถึงขนาดนี้ นอกจากเป็นคนดีแล้วยังรูปหล่ออีก ชาติที่แล้วทำบุญด้วยอะไร....
“บริษัทแกเป็นไงบ้างล่ะ”
“ก็เรื่อย ๆ แหละครับ ล่าสุดเพิ่งออกกฎเพิ่มภาษีนำเข้า ผมล่ะปวดหัวแทบแย่”
“ลูกค้าฉันก็บ่นเรื่องนี้เหมือนกัน”
บรรยากาศตอนที่แสงอยู่กับอโณชาต่างจากคนอื่นจนนเรนทร์สัมผัสได้ ไม่หน้าหงิก แถมยังผ่อนคลายอบอุ่นอย่างไม่น่าเชื่อ พวกเขาสนทนาภาษากฎหมายในหัวข้อที่เรนไม่รู้เรื่อง ดูฉลาดทันกันไปหมด แถมคุณอโณชายังรูปหล่อจนต้องเผลอจ้องอยู่หลายครั้ง..
สู้ไม่ได้เลยแฮะ...“ดูซิ ผมชวนอาแสงคุยแต่เรื่องภาษี” ดวงตาโศกปรายมายังคนฝั่งตรงข้ามให้สะดุ้งโหยง “น้องเรนเบื่อแย่เลย”
“น้องเรน?” แค่เรียกทวนแสงยังขนลุกไปหมด
“เห็นบอกว่าเด็กกว่าผมเยอะไงครับ” อโณชาคลี่ยิ้มหวาน “เรียกน้องก็ถูกแล้วไง”
“เอ่อ...เรียกเรนเฉย ๆ ก็ได้ครับ” อันที่จริงเรียก ‘ไอ้เรน’ จะชินหูที่สุด แต่นึกภาพคนคนนี้พูดคำหยาบไม่ออกเลยแฮะ
“เรนเป็นเพื่อนอาแสงเหรอครับ อายุห่างกันจังเลยเนอะ” เพื่อไม่ให้ใครต้องเหงาอโณชาจึงเปลี่ยนมาชวนเด็กน้อยคุย “รู้จักกันได้ยังไงน่ะครับ”
“เรื่องงานน่ะ” ทว่าแสงเป็นฝ่ายตอบก่อน ขืนปล่อยให้ไอ้เรนตอบมีหวังตายหยังเขียด “มีเรื่องต้องให้เกี่ยวข้องกันนิดหน่อย”
“อ๋อ”
จังหวะนั้นเองที่อาหารรายการอื่นถูกยกมาเสิร์ฟ อโณชาซึ่งอยู่ใกล้ที่สุดขยับจานวางให้ แถมยังไม่วายหยิบถ้วยมาตักแบ่งต้มยำออกจากหม้อ เขาไม่ได้ตักให้ตัวเอง และไม่ยอมแตะอะไรบนโต๊ะเพิ่มเติมอีกเลย
นเรนทร์มองนิ้วเรียวยาวที่คีบน้ำแข็งใส่แก้วให้เฮียไม่ขาด แถมยังรินเบียร์ทันทีที่พร่องโดยไม่ต้องรอเด็กเสิร์ฟ ช่างเอาอกเอาใจขนาดนี้ไม่หลงก็บ้าแล้ว....
“ถึงจะแค่เรื่องงาน แต่ก็เพิ่งเคยเห็นมีเพื่อนอายุต่างกันขนาดนี้นะครับ” ทั้งที่โดนแทรกก็ยังกลับเข้าเรื่องมาอย่างเหนือชั้น แถมไม่คุยกับแสงด้วย รอบนี้ยิงไปทางน้องเรนเต็ม ๆ “แสดงว่าความชอบใกล้เคียงกัน?”
“เอ่อ....” นอกจากชอบแมนยูเหมือนกันแล้วเรนก็ไม่แน่ใจนักว่ามีอย่างอื่นอีกไหม เช่นเขาชอบเฮียแสง แต่เฮียเหมือนจะยัง แบบนี้ถือว่าความชอบไม่ตรงกันหรือเปล่า?
“อาแสงน่ะคบคนยาก” ในเมื่อคำถามเก่าไม่ตอบชายหนุ่มก็โยนหินไปอีกทาง “ก็เลยคิดว่าเรนต้องมีอะไรน่าสนใจแน่เลย จริงไหมครับ?”
“ผมก็ไม่มีอะไรน่าสนใจหรอกครับ ฮะ ๆ”
“ถามอะไรของแกนักหนา” แสงเข้ามาแทรก ทว่าคนเป็นหลานไม่สนใจ
“ขี้บ่นเนอะ”
“มากเลยครับ”
รอยยิ้มหวานนั่นชวนขนหัวลุกชอบกล เรนนั่งสมองกลวงด้วยไม่รู้จะพูดอะไรต่อดี นี่แหละหนาเขาว่าอย่าเล่นเกมกับคนโง่ หยอกนิดแซะหน่อยมันก็ยังไม่รู้เรื่อง
แต่นั่นไม่ใช่กับอโณชาผู้เชี่ยวชาญด้านนี้...“อาแสงแกก็แบบนี้แหละครับ อย่าไปถือสาเลย” ชายหนุ่มหัวเราะพลางยกนิ้วขึ้นนับ “สูบบุหรี่จัด รักความสะอาด แต่งตัวเนี้ยบ อ้อ...แล้วก็ชอบนอนดิ้น”
“ไม่ดิ้นนะครับ”
พังพินาศ....หนุ่มหล่อคลี่ยิ้ม “อ้อ...อย่างนี้นี่เอง”
แสงกุมขมับ แม่งเอ๊ย...ไม่น่าชวนมันมาร่วมโต๊ะด้วยเลยจริง ๆ “อโณแก....”
“ฮะ ๆ ๆ” นอกจากไม่สำนึกผิดแล้วยังหัวเราะอีก ไอ้หลานคนนี้มันน่าตีนัก
เด็กโง่ผู้คายความลับยังนั่งงงในดงผู้ดี พูดอะไรผิดตรงไหนวะ เฮียแกนอนแข็งเป็นท่อนไม้จริง ๆนะ
นเรนทร์คว้าแก้วโค้กขึ้นจิบนั่งมองสองอาหลานเล่นสงครามประสาท ไม่สิ...พูดให้ถูกคือมองแค่อโณชาคนเดียวต่างหาก
ผมดำ ผิวขาว และตาสวยถูกต้องทุกประการ ยังไม่นับที่คุยกันถูกคอแถมสติปัญญาระดับเดียวกันอีก โธ่เว้ย! หงุดหงิดตัวเองชะมัดที่ปวดหนึบขึ้นมาในอก เขายอมรับก็ได้ว่าคาดหวังมากขึ้นทุกที พอมาเจอความจริงที่ว่าตัวเองอาจจะไม่เฉียดไปใกล้หัวใจเฮียเลยมันยิ่งเจ็บ...
ก็ไม่เจียมตัวเองนี่นาตอนที่วางแก้วลงนั้นเองมือถือของอโณชาก็แผดเสียงขึ้น ทำเอาคนแอบมองสะดุ้งโหยง หลบตาวูบแทบไม่ทัน เหมือนจะได้ยินเสียงหัวเราะเบา ๆ เพราะโดนจับได้ด้วย แม่ง...น่าขายหน้าชะมัดไอ้เรน
“ดูเหมือนจะต้องไปแล้วล่ะครับ”
“มาแล้วเหรอ”
“ก็อยากจะนั่งโต๊ะเดียวกับอาแสงหรอกนะครับ แต่เดี๋ยวหลงจะช็อกตายไปเสียก่อน”
“หึ” แสงพ่นลมออกจมูก “ไว้ฉันโทรไปแล้วกัน”
“ลาล่ะครับ” จะไปยังไม่วายหันมาลาอีกคน “ไว้เจอกันใหม่นะครับเรน”
“ครับ”
อโณชาหยัดกายขึ้นเต็มความสูง แผ่นหลังใต้เสื้อกั๊กสูทนั้นสง่างามจนยากจะละสายตา เขาสาวเท้าเร็วขึ้นกำลังจะถึงบันไดอยู่แล้วเชียว จู่ ๆ มีร่างของใครอีกคนโผล่เข้ามา ผู้มาเยือนคือชายหนุ่มใบหน้าตกกระที่เหงื่อโซมกาย
“คุณอโณ!” ดวงตาของเขาเป็นประกายทันทีที่ได้เห็นหน้าอโณชา “ขอโทษที่ให้รอนานนะครับ”
“ไม่นานหรอก” ชายหนุ่มออกเดินนำไปด้านหน้า “ฉันเจออาแสง เลยมีเรื่องสนุกให้ฆ่าเวลาพอดี”
“เอ๊ะ! เจอคุณอาเหรอครับ” แค่คิดถึงใบหน้าหงิกเป็นส้นตีนนั่นหลงก็ขนลุกซู่ รีบก้าวออกจากตรงนี้ให้เร็วที่สุด จังหวะนั้นเองที่เผลอหันไปเห็นรอยยิ้มแปลก ๆ เข้า “คุณอโณ...”
“มีอะไร...หืม?”
“คงไม่ได้ไปทำอะไรแปลก ๆ ใช่ไหมครับ”
“ไม่นี่”
ปากพูดอย่างนั้น แต่ดวงตาโศกที่วาววับนั้นปิดความลับไว้ไม่มิดเลย จะไม่ให้ผู้ชนะอารมณ์ดีได้ยังไงเล่า ล้วงความลับมาได้ตั้งหลายอย่าง ใครจะไปคิดว่าอาแสงจะกำลังคบหากับเด็กรุ่นราวคราวลูก แถมยังจริงจังระดับพาเข้าบ้านแล้วด้วย โทรไปคราวหน้าคงต้องออกปากแซวหน่อยแล้วล่ะ
“คุณอโณครับ” กำลังคิดอะไรเพลิน ๆ ชายเสื้อก็ถูกกระตุก “อย่าแกล้งคนอื่นสิครับ”
“........”
“แกล้งแค่ผมคนเดียวไม่ได้เหรอ”คำขอของคนรักทำเอาหลุดขำพรวดออกมา...
“หลงเอ๊ย”
เอาเป็นว่าจัดการกับเด็กน้อยน่ารักของตัวเองก่อนก็แล้วกัน……………………………………
…………………….
………….
…..
“จ่ายคนละครึ่งแล้วกัน”
แสงว่าอย่างนั้นตอนที่มองอโณชาค่อย ๆ หายไปจากสายตา ความจริงต่อให้ไอ้อโณไม่มาจิ้มทอดมันกินเขาก็กะจะหารสองอยู่แล้ว ใครจะให้เด็กยาจกติดหนี้หัวโตมาเลี้ยงกันล่ะ เสียศักดิ์ศรีพอดี
ทั้งที่คิดว่าไอ้เด็กซ่งต้องดีใจดี๊ด๊าหรือเอ่ยแซวน่ารำคาญอย่าง ‘เฮียนี่ใจดีจังน้า~’
แต่ผิดคาด มันตอบแค่ “อืม”
จากนั้นทุกอย่างก็เข้าสู่ความเงียบงัน บรรยากาศในซุ้มศาลาเหมือนมีเมฆหมอกอึมครึมปกคลุม แสงไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเกิดอะไรขึ้นกับไอ้เด็กปากมาก ก่อนหน้านี้ยังเจื้อยแจ้วจนอยากจะเอาเข็มเย็บปากแท้ ๆ
ทั้งที่น่าจะสบายหู แต่กลับอยากหนวกหูเสียได้ ตัวเขาเองก็ไม่ใช่คนชวนคุยก่อนอยู่แล้วจึงได้แต่ตักข้าวเข้าปากรอตอบคำถาม แต่จนแล้วจนรอดนเรนทร์ก็ไม่พูดอะไรสักที ก้มหน้าก้มตากินจนกระทั่งเรียกเช็กบิล
อาหารอร่อย บรรยากาศดี แต่ความรู้สึกที่ได้ติดลบไม่คุ้มค่าเอาเสียเลย ถ้ารู้ว่าต้องจ่ายเงินแพง ๆ มานั่งเงียบใส่กันสู้กินข้าวข้างทางยังดีเสียกว่า
แสงรึอุตส่าห์ได้โอกาสแนะนำหลานชายให้รู้จัก…
ไมรู้ทำไมต้องอยากให้มันรู้จักญาติตัวเองด้วย นี่เขากำลังรับมันเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตใช่ไหม? รู้เรื่องที่บ้านแถมยังเป็นตัวการให้เรื่องคลี่คลายได้อีก ถึงจะฉิบหายไปหลายอย่างแล้วก็เถอะ
พอคิดมาถึงตรงนี้ก็หน้าร้อนวูบขึ้นมาชอบกล และก่อนที่ทุกอย่างจะแย่ไปกว่าเดิมเด็กเสิร์ฟก็เอาถาดใส่เงินทอนมาให้ แสงรับมันมาดึงแบงก์สีแดงออกแล้วส่งคืนให้นเรนทร์
“เงินทอน”
“ผมบอกจะเลี้ยงเฮียแท้ ๆ”
“เอาตัวเองให้รอดก่อนเถอะค่อยมาเลี้ยงคนอื่น” ได้ทีจัดสั่งสอนมันสักชุดเลยแล้วกัน “ครึ่งหนึ่งนี่ก็ขนหน้าแข้งร่วงหมดแล้วมั้ง”
“โห! อะไรอะ ผมเศรษฐีเงินแสนนะ”
“แต่หนี้เป็นล้าน”
“งะ!” เด็กซ่งผงะ เถียงไม่ออกเลยทีเดียว
“ไป้! กลับได้แล้ว” ไม่ว่าเปล่าเอื้อมมือมาขยี้หัวเด็กแล้วลุกออกนำไปเลย เด็กมันยอมคุยด้วยแล้วก็สบายใจเฉิบ
ใช่แล้ว....นเรนทร์ปรับตัวเข้ากับสถานการณ์ได้ แม้จิตใจจะยังบอบช้ำสักหน่อย แต่ต้องไม่งอแงหน้าหงิกหน้างอจนเสียเรื่อง เดี๋ยวเฮียรำคาญไม่ยอมให้อยู่ใกล้ ๆ ล่ะแย่เลย เรนยกมือลูบเส้นผมที่ยุ่งเหยิงจากการถูกขยี้เมื่อครู่ลงพร้อมกับออกก้าวไปด้วยรอยยิ้มประดับหน้าดังเดิม
พนักงานเอ่ยขอบคุณพวกเขาไปตลอดทาง ขนาดไต่ลงบันไดมาสาวคนเดิมก็เอ่ยลาด้วยรอยยิ้ม ดูท่าเฮียแสงจะเป็นแขกวีไอพีของที่นี่จริง ๆ แฮะ
ต้นอินทนิลโบกไหวตามแรงลมจนใบหลุดร่วงลงมา พื้นรองเท้าผ้าใบเหยียบย้ำมันไปตามทางพร้อมกับเงี่ยหูฟังเสียงกรอบแกรบ ลานจอดรถนั้นเงียบสนิทไม่มีคนอยู่ คาดว่าเด็กโบกรถจะไปเข้าห้องน้ำล่ะมั้ง
หลอดตะเกียบสีส้มติดเรียงตามเสาไปตลอดทาง ค่ำคืนที่อากาศดีเช่นนี้เขาควรจะทำตัวให้เฮียชื่นใจสักหน่อย เรนสาวเท้าเร็วขึ้นจนไปประชิดข้างตัวแสง
“คนนี้อะเหรอสโนว์ไวท์ที่เฮียชอบ”
“หา!?”
“แหม~” มันถองสีข้างใส่ “หล่อขนาดนี้เป็นผมผมก็ชอบแหละ”
“พูดอะไรของแก”
“ไม่ต้องกลบเกลื่อนเลย ผมรู้น่า ตอนเฮียอยู่กับเขาบรรยากาศไม่เหมือนใครเลย” หลอกอะไรก็หลอกได้ แต่แววตาแสงตอนนั้นมันฟ้องทุกอย่าง “ตรงตามคอนเซ็ปผมดำ ผิวขาว ตาสวยเด๊ะ!”
“เรน....”
“มิน่าเล่าตอนให้เปลี่ยนไม่ให้เรียก ‘ลุง’ เฮียไม่ยอมบอกให้เรียก ‘อา’ แทนเลย” เด็กซ่งเดาะลิ้นล้อเลียน “ที่แท้ก็เก็บไว้ให้คุณอโณคนเดียว”
ทั้งที่คาดหวังให้ทางนั้นเขินอาย แต่แสงกลับตอบด้วยสีหน้าเรียบเฉย
“เฮียก็มีคนเดียวที่เรียกเหมือนกันนั่นแหละ”ประโยคนั้นทำเอานเรนทร์หน้าชา พวกเขายืนนิ่งจ้องกันอยู่อย่างนั้นจวบจนความหมายของมันแทรกซึมเข้าสู่สมอง สีแดงจึงฉาบขึ้นมาบนใบหน้า ต่างฝ่ายต่างหลบตาวูบมองไปยังข้างทาง
“อ่า...นั่นสินะ”
แสงถูจมูกตัวเองหวังจะไล่อาการประหม่าเหมือนเด็กวัยรุ่นออกไป อายุก็ตั้งเท่าไหร่แล้วน่าอายชะมัด เขากระแอมไอ “อโณน่ะ”
“.......”
“มันก็เหมือนลูกชายฉันนั่นแหละ” หนุ่มใหญ่ยกมือเสยผม นึกหงุดหงิดตัวเองที่ต้องมาอธิบายเรื่องนี้ “ฉันสนิทกับบ้านนั้นมากกว่าครอบครัวตัวเองเสียอีก”
“เห็นเขาบอกว่าเฮียนอนดิ้นผมก็เลยนึกว่า...”
“แกนี่มันโง่เกินเยียวยาจริง ๆ” แสงไม่ได้นอนดิ้น มันก็แค่การหลอกถามล้วงความลับ จนถึงตอนนี้มันยังไม่รู้ตัวอีกเหรอเนี่ย “เคยนอนเฝ้ามันตั้งแต่สมัยเด็กแล้ว เปลี่ยนผ้าอ้อม ป้อนข้าว จะเอาอะไรอีกไหมล่ะ”
“มะ...ไม่ต้องแล้วครับ”
“เออ” ต้องให้ออกโรงเปลืองน้ำลายอยู่เรื่อย ว่าแล้วก็ออกเดินต่อทิ้งควายไว้ด้านหลัง ราวห้าวินาทีมันถึงเพิ่งจะรู้ตัวเดินตามมาติด ๆ
หัวใจฟูฟ่องคับอกราวกับลอกคราบไอ้หนุ่มเงียบขรึมเจียมตัวเมื่อครู่ทิ้ง ที่อยู่ตรงนี้คือชายหนุ่มผู้ดี๊ด๊าดีดดิ้นจนน่ารำคาญ
นเรนทร์ขยับเข้าไปใกล้เสียดตัวกับแขนอีกฝ่ายไปมาราวกับหมาจิ้งจอกน้อยโดยไม่ดูขนาดตัว
“เฮีย~”
แสงกัดปากกลั้นยิ้ม “อะไร”
“ไม่มีอะไร” รอบนี้เอาหัวไถดังแกร่ก ๆ ผมสีทองเหมือนฟางข้าวยุ่งเหยิง แต่เรนไม่สนใจตั้งหน้าตั้งตาไถไป
“เป็นหมาหรือไง”
“แฮะ ๆ” รอยยิ้มโง่ ๆ นั่นทำเอาใจอ่อนวาบ แสงกัดปากตัวเองอีกครั้งและพบว่าเขากลั้นยิ้มไม่ไหวอีกต่อไป ก่อนที่ความลับจะแตก มือก็คว้าหมับผลักหัวไอ้จิ้งจอกไปไกล ๆ
“เดินดี ๆ เดี๋ยวก็ล้มกันพอดี” ว่าแล้วก็ทิ้งร่างไอ้เด็กซ่งแล้วก้าวฉับ ๆ ออกไปเลย
“ช่วงนี้เฮียผีเข้าแน่ ๆ” คนหน้าด้านไม่เลิกราตามมาคลอเคลียอ้อนตีนไม่ห่าง “แต่ไม่ต้องออกนะ ให้ผีสิงนาน ๆ เลย”
“พูดอะไรเพ้อเจ้อ”
“ก็จริงนี่นา”
พูดมาก น่ารำคาญ สมองทึบ
ปรายตามองหัวจรดเท้าก็ได้แต่ส่ายหน้า หัวทอง ผิวเข้ม เจาะหูจนพรุน ดูยังไงก็เด็กแว้นชัด ๆ ยังไม่นับตอนที่ตัวเหม็นเหงื่อ เท้าเขรอะฝุ่นจนขาวโพลน
ทั้งที่เป็นอย่างนั้นแต่ก็ ‘น่ารัก’ แสงส่ายหัวกับความคิดตัวเอง...
ให้ตายเหอะ....เลิกเป็นข้อยกเว้นทุกอย่างได้ไหมวะTBC
อ่านคอมเม้นตอนที่แล้ว ถึงกับไม่กล้ามาโพสตอนต่อเลยค่ะ กลัวทุกคนผิดหวัง
ยั้งงงงงง ยังไม่ได้นะคะ ทุกคนต้องใจเย็น ๆ สูดลมหายใจเข้าลึก ๆ เข้าสู่สายปฏิบัติธรรมไปก่อนค่ะ เดี๋ยวมันก็มาเอง นี่ก็สวีตกันจนเลี่ยนแล้ว 55555
ตอนนี้มีแขกรับเชิญด้วย อิหลงกับคุณอโณของบ่าว(กรี๊ดดดดดด) ใครอยากอ่านเรื่องของสองคนนี้เชิญวาร์ปได้ค่ะ ขายของสักหน่อย น่าจะเปิดจองภายในเดือนหน้าค่ะ
>
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=47036.0แล้วเจอกันตอนหน้าค่า <3
ป.ล.อธิบายเพิ่มเติมนิดนึงนะคะ เผื่อเข้าใจผิด เรนเป็นช่างไม่ใช่คนงานก่อสร้างนะคะ กีสสสสสส
คนงานตามไซต์ที่ใส่เสื้อเป็นสี ๆ จะค่อนข้างเน้นใช้แรงงาน แต่ช่างจะมีสกิลเฉพาะทางค่ะ เป็นงานฝีมือมากกว่า