ทวงครั้งสุดท้าย
“มะ...มันจะเยอะเกินไปหรือเปล่าครับ”
“แหม ไม่เป็นไรหรอกจ้า” เสียงหวานดังขึ้นจากอีกฝั่งของโต๊ะ “ขืนไม่รีบตัดสินใจทางฉันก็กินดอกไปเรื่อย ๆ อยู่ดี”
ฉึก! พูดตรงเสียจนเรนแทบหงายหลังตกเก้าอี้ ชายหนุ่มคว้าพนักให้มั่นพลางตั้งสติทบทวนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เริ่มเมื่อไหร่ดีล่ะ?
เมื่อวานเย็น....ใช่ ๆ เมื่อวานตอนที่นั่งอยู่ท่ามกลางลังกระดาษจู่ ๆ เฮียก็โทรมาบอกว่า ‘พรุ่งนี้เช้าไปออฟฟิศเฮียใหญ่ด้วย ซ้ออยากเจอ’ บอกแค่นั้นไม่อธิบายอะไรเพิ่มเติมทิ้งให้เขาเดินงงโดนตีหัวลากเข้าตึกมาโดยลำพัง
เรนนั่งอยู่ในห้องอวลกลิ่นพิมเสนของเฮียใหญ่ ทว่าไม่เห็นแม้แต่เงาเจ้าของ มีเพียงซ้อนั่งประจำการที่เก้าอี้ผู้บริหาร หล่อนเป็นหญิงแก่ที่ไม่โทรมเลยสักนิด รักสวยรักงาม แถมยังชอบท่องเที่ยว เรียกได้ว่าเป็นคนรวยที่มีความสุขกับการใช้เงิน ไม่ใช่เศรษฐีเก็บกรุสมบัติแบบที่เรนชอบพบเจอ
ปลายนิ้วขาวเหมือนหยวกกล้วยแต่งแต้มด้วยสีแดงถูกยกขึ้นประสานไว้ใต้คาง เหนือขึ้นไปมีรอยยิ้มใจดีปนน่าเกรงขาม นี่สินะออร่าของนางพญา
“ว่าไงล่ะ” เจ้าหล่อนเลิกคิ้วที่สักไว้เสริมโหวงเฮ้ง “จะเป็นลูกจ้างจนวันตายหรือลองเสี่ยงอีกทางดู”
“มันก็...เอ่อ...” เรนงึมงำ “พูดยากนะครับ ผมก็ไม่เคยมีประสบการณ์เป็นผู้รับเหมาเองมาก่อน ตอนที่ทำกับพ่อมันก็...”
“เจ๊ง” ซ้อต่อคำให้ทันที ซ่งคนลูกยกมือไหว้พ่อในใจพร้อมกับพยักหน้ายอมรับความจริง “เธอแค่ต้องเขี้ยวสักหน่อย ให้แสงช่วยดูบัญชีก็ได้”
“ไปกวนเฮียเขาแบบนั้นไม่ได้หรอกครับ”
“ทางนั้นเป็นคนบอกให้ฉันลองยื่นข้อเสนอให้เธอเองนะ” หล่อนยกชาจีนชั้นดีขึ้นจิบ “เท่ากับว่าสนับสนุนไม่ใช่เหรอ”
เมื่อวันก่อนเธอนัดแสงกินข้าวไว้พร้อมยื่นข้อเสนอให้มาทำงานประจำด้วย แน่นอนว่าเจ้าตัวปฏิเสธเสียงแข็งบอกว่าขอรับเป็นจ๊อบ ๆ ไปดีกว่า ผู้หญิงดื้อด้านอย่างเธอไม่ยอมแพ้ สุดท้ายก็ต้องยอมบอกความจริง
อยากจะตอบแทนเรื่องที่ด่าเฮียใหญ่ให้.... ที่ผ่านมาหล่อนน้ำท่วมปาก เป็นสะใภ้คนจีนที่ก้มหน้าก้มตารับคำมาตลอด ถึงสามีจะไม่เคยกดขี่ข่มเหง แต่ความเกรงใจก็มีอยู่มาก ตอนที่ลูกสาวคนเดียวของบ้านโดนไล่หล่อนร้องไห้ปานใจจะขาด แต่ฝั่งญาติสามีกลับเห็นดีเห็นงามและเลิกพูดถึงเรื่องนี้เหมือนอาเหมยไม่มีตัวตน
แต่แล้ววันที่ป๊ายอมโทรหาเหมยก็มาถึง... หล่อนตื้นตันใจเกินจะมอบให้แค่คำขอบคุณ แม้จะเป็นการพูดโดยไม่ได้ตั้งใจหรือด่าทอระบายอารมณ์ก็ช่างสิ เธอต้องขอบคุณแสงไม่ว่าทางใดทางหนึ่ง
พ่อทนายรูปหล่อฟังจบก็ขมวดคิ้ว เอ่ยสั้น ๆ แค่ว่า ‘ถ้าอย่างนั้นก็ให้โอกาสคนคนหนึ่งแทนได้ไหมครับ’
ตอนแรกแสงขอแค่เรื่องง่าย ๆ อย่างผ่อนต่อเดือนน้อยลงหรือลดดอกเบี้ยให้นเรนทร์สักหน่อย แต่คนอย่างซ้อเล่นใหญ่กว่าใคร หล่อนเสนอตัวเป็นแหล่งนายทุนให้ หากนเรนทร์หาโปรเจกต์น่าสนใจมาเสนอก็จะรับไว้พิจารณา ถ้าเห็นว่าควรลงทุนด้วยก็มาทำสัญญากัน แน่นอนว่าดอกเบี้ยน้อยจนฟังแล้วตกใจ
“ค่าแรงต่อวันเธอเท่าไหร่กันเชียว คิดว่าจะคืนฉันหมดเมื่อไหร่ล่ะ” ตอบชักช้านัก ทวงหนี้กดดันมันเสียเลย “ฉันรู้ว่าเธอเป็นเด็กฉลาด”
“มีแต่คนบอกว่าผมโง่นะครับ”
“หมายถึงงานช่างน่ะ” ซ้อน่าจะหมายถึงเรื่องอื่นโง่ด้วยเช่นกัน “เขาว่าเธอมีกึ๋นกว่าช่างทั่วไป คุยรู้เรื่อง จัดการแผนงานได้ เสียอย่างเดียวทวงหนี้ไม่เป็น”
“แฮะ ๆ”
“ว่าไงล่ะ” ปลายนิ้วเคาะบนโต๊ะไม้สักในจังหวะที่เร่งเร้า “จะทำงานงก ๆ จ่ายดอกไปจนตาย หรือลองเสี่ยงทำอะไรใหม่ ๆ เหนื่อยหน่อยแต่ได้เงินเป็นก้อนนะ”
“ผม....”
การก้าวออกจากพื้นที่ปลอดภัยไม่ใช่เรื่องที่ตัดสินใจปุบปับก็จริงอยู่ แต่ก็จริงอย่างที่ซ้อพูด เขาไม่มีทางปิดหนี้ได้ถ้ายังเป็นอยู่อย่างนี้
“ขอบคุณมากครับ” นเรนทร์ยกมือไหว้ก่อนตอบชัดถ้อยชัดคำ “ผมรับข้อเสนอของซ้อครับ”
เท่านั้นริมฝีปากเคลือบสีก็คลี่ยิ้มออกมา “ดีมาก แล้วค่อย---“
ผัวะ! บานประตูเปิดออกมาในจังหวะนั้นพอดี เรนถึงกับหน้าเหวอเมื่อเห็นว่าผู้มาเยือนคือเจ้าของห้องตัวจริง ทางนั้นกวาดตามองเขาแว้บหนึ่งโดยไม่มีทีท่าตกใจเลยสักนิด
“คุณ...เรามีเรื่องด่วน” ชายแก่บอกภรรยา “คุยธุระเสร็จหรือยัง”
“เรียบร้อยแล้ว” ซ้อเลื่อนเก้าอี้ออก เดินตรงไปยังประตูทันที “มีอะไร”
“ออกไปคุยกันข้างนอก”
“ก็ได้” หล่อนถอนหายใจ ก่อนหันมาบอกอีกชีวิตในห้อง “เธอกลับได้แล้ว ถ้ามีอะไรฉันจะโทรหาอีกที”
“ครับ” เจ้าไพร่ยกมือไหว้เก้ง ๆ กัง ๆ “ลาทั้งเฮียทั้งซ้อเลยนะครับ”
ร่างสูงลุกขึ้นยืน ตอนที่จะผ่านกรอบประตูออกไปนั้นเองเสียงแหบแห้งก็เรียกไว้
“อ้อ!” ตาแก่อ้วนท้วนชี้นิ้วมาทางเขา “นึกออกแล้ว มาคุยเรื่องนั้นใช่ไหม”
“ใช่” ซ้อเป็นฝ่ายตอบแทน ทามกลางสีหน้ามึนงงของนเรนทร์ว่าเรื่องนั้นคือเรื่องไหน
“เออ เริ่มใหม่ก็ดีไอ้หนุ่ม” ว่าแล้วมืออวบอูมก็ตบบ่าป้าบ ๆ “จะได้รีบใช้หนี้ให้หมด”
“คะ...ครับ แฮะ ๆ”
“ไม่ต้องห่วง ช่างที่รวย ๆ เมียคุมเงินให้หมดนั่นแหละ” แกชูนิ้วโป้ง “ไอ้แสงช่วยดูให้รับรองว่ารวยแน่นอน!”
เดี๋ยว ๆ เฮียแกเข้าใจอะไรผิด ๆ มาอีก.... แม้จะมึนงงแต่รังสีขับไล่ที่แผ่ออกมาจากด้านหลังเร่งเร้าให้นเรนทร์ออกห้องไป พอปิดประตูเรียบร้อยก็เกาหัวสองสามที ตอนนั้นเองที่แว่วเสียงรื่นเริงจากด้านในห้อง
“ต้นปีหน้าอาเหมยจะกลับบ้านล่ะ!”...................................................
..............................
..............
........
“ฮึบ!”
“กล่องสุดท้ายแล้วใช่ไหม” แสงหันมาถามขณะนิ้วยังคาอยู่ที่ปุ่มเปิดประตูลิฟต์ “ไม่ลืมอะไรอีกนะ”
“สุดท้ายแล้วคร้าบ~” เรนจัดตำแหน่งข้าวของบนรถเข็นให้สมดุลกัน “เฮียปิดได้เลย”
พวกเขาอยู่กับรถเข็นที่บรรทุกกล่องกระดาษจนเต็มพื้นที่ น้ำหนักของมันทำให้เรนจินตนาการว่าลิฟต์จะตกระหว่างทาง ไม่คิดได้ไงเล่า! ช่วงนี้เขามีความสุขเสียจนนึกว่าดึงแต้มบุญทั้งชีวิตมาใช้หมดแล้ว จะตายตอนนี้คงไม่แปลกล่ะมั้ง แต่เอ๊ะ....แบบนั้นเฮียแสงก็น่าจะตายด้วย
“ทำหน้าอะไรของแก” เห็นสีหน้าผ่านกระจกลิฟต์ยังรู้เลยว่าคิดเรื่องไร้สาระ
“ง่า พูดไปคงโดนด่าแหงม เฮียอย่าไปรู้เลย”
“แกนี่มัน....” ทำเป็นถอนหายใจเอือมระอา แต่เรนแอบเห็นจากเงาสะท้อนว่าฝ่ายนั้นกัดปากกลั้นยิ้มจนตีนกาขึ้น มองเพลิน ๆ ไม่ทันไรลิฟต์เจ้ากรรมก็พามาถึงชั้นบนสุดจนได้
เด็กถนัดใช้แรงงานเข้าไปยื้อแย่งรถเข็นมาจากแสง ทางนั้นปรายตามองนิดหน่อย แต่ก็ไม่ว่าอะไร ดีเหมือนกันจะได้ไม่ปวดหลัง ว่าแล้วก็เดินตัวปลิวออกจากกล่องลิฟต์พร้อมกับควานหากุญแจในกระเป๋ากางเกงไปด้วย ตอนที่เข้าใกล้บานประตูนั่นเองเสียงกุกกักจากทางซ้ายมือก็ดังขึ้น
“อุ๊ย! ขอโทษค่ะ” ห้องฝั่งตรงข้ามเปิดออกพร้อมกับร่างของสาวมหา’ลัย เจ้าหล่อนดูตกใจไม่น้อยที่เปิดมาเจอผู้ชายตัวเบ้อเร่อขวางหน้าประตู
“ไม่เป็นไรครับ” แม้จะไม่เข้าใจว่าขอโทษทำไม แต่แสงก็ขี้คร้านจะถาม เขาขยับตัวหลีกทางให้ “เชิญครับ”
สาวน้อยก้มหัว “ขอบ....คุณค่ะ”
เธอเดินผ่านนเรนทร์ที่ทำตัวลีบหลบให้ทางด้วยสีหน้าประหลาดใจ แม้แต่ตอนที่ลิฟต์ปิดลงก็ยังขมวดคิ้วสงสัยไม่เลิก ไม่รู้ว่าจะเอาไปรายงานแม่ไหมว่าชั้นที่พักอยู่อันตรายกว่าเดิมเพราะมีผู้ชายเพิ่มมาอีกคน
“เฮียมีเพื่อนบ้านแล้วเหรอ”
คึ่ก ๆ เสียงล้อไถไปกับพื้นดังตลอดเวลาที่เคลื่อนที่ เพราะเป็นรถเข็นที่ยืมส่วนกลางมาเลยไม่ค่อยได้รับการดูแลรักษาถึงได้ฝืดขนาดนั้น แถมล้อหน้ายังเบี้ยวบังคับทิศทางยากเหลือเกิน “แบบนี้ก็เสียงดังไม่ได้แล้วสิ”
“ฉันไม่เคยเสียงดังอยู่แล้ว”
“ว้า~ แล้วตอนมีอะไรกัน”
“แกจะร้องเป็นควายถูกเชือดเลยหรือไง” ว่าแล้วก็นึกถึงครั้งแรกที่มันอัดคลิปแบล็กเมล์ แสงจำได้ว่าเล่นใหญ่เล่นโตเอาเรื่องอยู่ “ไม่ต้องมาโรลเพลย์อะไรแล้วนะ”
“แฮะ ๆ”
แกร๊ง! ทันทีที่ไขกุญแจเสร็จประตูก็ถูกผลักเข้าไป แสงหันมาเอ่ยเรียก “เข้ามาสิ”
ถึงจะพยายามทำหน้านิ่งอย่างไร แต่เรนก็ยอมรับว่าประหม่าไม่น้อย เสียงบดพื้นของล้อรถดูคล้ายจะกดดันเขาเข้าไปทุกที ชายหนุ่มเผลอกลั้นหายใจตอนที่ข้ามผ่านเส้นแบ่งห้องเข้าไป
ของทุกอย่างวางอยู่ในตำแหน่งเดิมเหมือนอย่างตอนที่จากมา ห้องกว้างใหญ่แห่งนี้ไม่เคยมีตัวตนของนเรนทร์อยู่จริง ๆ เขาเป็นเพียงผู้อยู่อาศัยชั่วคราวมาโดยตลอด
แต่ตอนนี้....“ทำไมกล่องนี้มันหนักจัง” มือใหญ่เอื้อมเข้ามายกกล่องที่อยู่ด้านบนสุดออก “มันเป็นอะไร จะได้วางให้ถูกที่”
“เอ่อ...” เรนขมวดคิ้ว “รู้สึกจะเป็นพวกเครื่องใช้ในครัว”
“มีของแบบนั้นด้วยเหรอไง ตอนนั้นยังให้ฉันกินบะหมี่ในหม้อแท้ ๆ”
ทำเป็นบ่น แต่คนแก่กว่าก็ยกมันไปวางบนเคาน์เตอร์แต่โดยดี แถมยังกรีดเปิดกล่องเอาจานชามสีสะเหล่อ ๆ ในนั้นไปเรียงเข้าชั้น สีสันรุนแรงของมันไม่เข้ากับเครื่องเซรามิกเอิร์ธโทนของแสงเอาเสียเลย
“มองอะไรเล่า จัดของสิ”
“คร้าบ~” นเรนทร์เริ่มจากใบบนสุด เพียงแค่ประมาณจากน้ำหนักก็รู้ทันทีว่ามันคืออะไร ชายหนุ่มยกกล่องเข้าไปตรงตู้เสื้อผ้า เผลอยิ้มออกมาตอนที่เห็นว่าเฮียเว้นลิ้นชักให้เขาหนึ่งชั้นเต็ม ๆ ก่อนหน้านี้ยังต้องรื้อเสื้อจากกระเป๋าเดินทางมาใส่แท้ ๆ พอเห็นเสื้อผ้าตัวเองเข้าไปวางไปแขวนอยู่ด้วยแล้วมันก็....
“เออ จริงสิ” เสียงจากในครัวดังขึ้นเรียกให้เรนหลุดจากภวังค์ “เรื่องซ้อเป็นยังไงบ้าง เรียกไปทำไมน่ะ”
รู้อยู่แล้วว่าซ้อพูดอะไรยังจะถามอีก คนอะไรปากแข็งชะมัด! ถ้าเป็นคนอื่นคงแกล้งโง่ไม่รู้ไม่ชี้ตามน้ำ แต่กับนเรนทร์น่ะเหรอ...โง่จริง ๆ เลยแกล้งไม่เป็น “ก็เรื่องที่เฮียแอบไปขออะไรไม่บอกผมไง”
แก๊ง! จานกระทบกันจนเสียวฟัน ดูท่าจะทำคนแก่เสียศูนย์ไปแล้ว แสงเสยผมเรียกความมั่นใจก่อนจะเก๊กเสียงเข้มถามต่อ “แล้วแกว่าไงล่ะ”
“ตอบตกลงไปแล้วล่ะ”
“งั้นเหรอ” ว่าแล้วก็หยิบแก้วใบสุดท้ายวางเข้าตู้ “ก็ดีแล้วนี่”
“เจอเฮียใหญ่ด้วย”
“หา!?”
“เขาอวยพรผม” ไอ้เด็กซ่งเรียงกางเกงในตัวสุดท้ายเสร็จพอดีเช่นกัน มันปิดงับลิ้นชักดังปัง “บอกว่าช่างรวย ๆ เมียคุมเงินให้ทุกคนแหละ ผมรวยแน่นอนเพราะเฮียช่วยดูให้”
“ตาแก่นั่น”
ปัง! ประตูตู้ถูกกระแทกบ้าง รุนแรงเสียจนแทบหลุดออก “ไล่ไปเรียนความหลากหลายทางเพศนี่ไม่ได้จำใส่สมองเลยสินะ”
“น่า ๆ แกก็พยายามที่สุดแล้ว” นเรนทร์เดินเข้ามาแกะกล่องใบใหม่ ยังไม่วายแวะยักคิ้วกวนประสาท “งั้นเฮียมาเป็นไหมล่ะ”
“ไม่เป็นอะไรทั้งนั้น”
“........”
“แกเป็นคนรักของฉัน....แค่นั้นพอแล้ว” เพราะครอบครัวไม่ได้ประกอบด้วยคำว่าพ่อแม่ลูกเสียเมื่อไหร่… “นั่นสินะ” เรนพึมพำเหมือนวิญญาณหลุดออกจากร่าง บทจะพูดก็พูดได้หน้าตาเฉยเลยแฮะ “อ๊ะ! ลังนี้พวกของใช้ในห้องน้ำ”
“ชักช้าอยู่นั่นแหละ” โดนดุไม่พอแสงยังเข้ามายื้อแย่งของกลางในมือไปอีก คนผิวเข้มไม่ยอมแพ้เดินตามต้อย ๆ ไปที่ห้องน้ำด้วย มันชิ่งล้วงมือเข้าไปในกล่องเป็นฝ่ายหยิบของออกมาเรียงแทน แสงเลยยืนเฉย ๆ แล้วบ่น “สบู่แชมพูใช้ของฉันก็ได้ เอาไปทิ้งเถอะ”
“เสียดายของออก ผมใช้ให้หมดดีกว่า”
“วิถีคนจนสินะ”
“ฮ่า ๆ ๆ เถียงไม่ออกเลยอะ” เรนหัวเราะร่า “แต่เดี๋ยวเดือนหน้าผมก็รวยแล้ว คอยดูนะจะยัดไส้หมอนด้วยแบงก์พัน จัดปาร์ตี้ริมสระว่ายน้ำ ทำฟันทองทั้งปาก”
“เพ้อเจ้อ”
เริ่มจากครีมอาบน้ำ แชมพู โฟมล้างหน้า ยาสีฟัน
แล้วก็...
กึกด้ามพลาสติกของแปรงสีฟันกระทบกับแก้ว กล่องในมือแสงว่างเปล่าแล้ว ทว่าพวกเขายังไม่ขยับออกไป ดวงตาสองคู่สบประสานเข้าหากัน ต่อหน้าบานกระจกและแปรงสีฟันสองด้าม
ตื่นเช้า เข้านอน ทำอาหาร กินข้าว พูดคุยเรื่อยเปื่อย เถียงอะไรโง่ ๆ จากนี้ไปก็จะทำเรื่องแบบนั้นกับคนตรงหน้าซ้ำไปมา....
แสงเคลื่อนริมฝีปากเข้าหา ประทับจูบลงบนหน้าผากสีแทน ไล้ลงต่ำมาถึงปลายจมูก ส่งผ่านความรู้สึกที่ล้นทะลัก ในตอนนั้นเองที่เสียท่าให้นเรนทร์….
จุ๊บ! ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นจูบคืนที่ปลายคาง สัมผัสนั้นน่าเอ็นดูจนแสงหลุดยิ้มออกมา
“หวา~ เฮียยิ้มแบบนี้ผมก็แย่สิ” เรนยกมือขึ้นกุมอก ภายในนั้นเต้นตุบ ๆ จนปวดหนึบ “หยุดเลย ผมจะตายทั้งที่ยังไม่แก่นะ!”
“มาห้ามฉันได้ยังไงกันเล่า” ว่าแล้วก็ดึงแก้มไอ้เด็กพูดมากเขย่าไปมา “แกเองก็เลิกให้ได้ก่อนสิ”
“โอ๊ย! เจ็บอะ”
แดดในยามเย็นลอดผ่านเข้ามาตรงบานหน้าต่างเหนือศีรษะ อากาศร้อนขึ้นนิดหน่อยทว่าไม่มากเกินจะห้ามใจให้สัมผัสกันอีกครั้ง....
ผ่านจุดที่แย่ที่สุด ค่อย ๆ เรียนรู้กันและกัน ร้องไห้ ทะเลาะ แล้วก็หัวเราะเสียงดัง
ครอบครัวมันเป็นแบบนั้นไม่ใช่เหรอ
END
ในที่สุดก็เขียนเรื่องยาวจบเป็นเรื่องที่ 4 แล้วค่ะ เย้ ๆ จุดพลุๆ
(เราจะไม่พูดถึงสปีดในการเขียนต่อปีนะคะ 5555)
เรื่องของอาแสงเราวางไว้ตั้งแต่แกปรากฎตัวในเรื่องหลง(มา)รักแล้วค่ะ เขียนแล้วรู้สึกว่าตาลุงคนนี้น่ารังแกมาก ๆ พวกอปป้าหมาป่าเดียวดายแบบนี้ต้องจัดให้หนัก ๆ เลยได้เป็นน้องเรนออกมาด้วยประการฉะนี้
ถึงจะชอบอวยอาแสง แต่จริง ๆ เราทีมน้องเรนนะคะ เอ็นดูเหมือนลูกเหมือนหลาน หมั่นไส้อาบ้างในบางที แต่ก็ต้องจำใจอวยเพื่อบิ้วด์ทุกคน 5555
พอเขียนจบแล้วก็แอบใจหายเหมือนกัน ถ้าทำให้คนอ่านชอบได้บ้างก็ดีใจแล้วค่ะ แอร๊ยยยยยย
สุดท้ายนี้ ขอบคุณทุกคนที่ติดตามกันจนมาถึงตอนสุดท้ายนะคะ เวิ่นเว้ออะไรไปบ้างต้องขออภัยด้วยจริง ๆ
ถ้ามีผลงานเรื่องใหม่ก็ฝากติดตามด้วยนะคะ //กอด ๆ

เรื่องรวมเล่มน่าจะอีกนาน แพลนไว้ว่าปลายปีนี้-ต้นปีหน้านะคะ ติดตามข่าวสารได้จากเพจเลยจ้า โปรโมทเพจไปอีก
https://www.facebook.com/IndigosFiction/