-13-
“เร็วอีกสิวะ เร็ววววววววววววว”
“นั่นมึงว่ายหรือมึงคลานวะ ถ้าแพ้มึงตายยยยยยยยยย”
กิจกรรมแรกของการมาทะเลคือการชิงธง ไม่รู้พวกมันคิดยังไงเล่นเปียกน้ำกันแต่เช้า ผมยืนหัวเราะอยู่กับเพื่อนมองเหตุการณ์เงียบๆไม่ได้เข้าไปยุ่ง พวกกองเชียร์บนฝั่งแลดูจะหัวร้อนกันเป็นแถบเนื่องจากทีมที่แพ้ต้องโดนลงโทษ และเมื่อขึ้นชื่อว่าลงโทษเด็กใหม่ย่อมหวาดกลัวเป็นธรรมดา
กติกาคือการส่งตัวแทนว่ายน้ำไปชิงธงกลางทะเลที่มีอยู่ห้าอัน แต่ละอันมีตัวเลขเขียนไว้ ซึ่งมีแค่เลขหนึ่งที่ไม่มีบทลงโทษ ส่วนเลขอื่นๆก็โทษหนักเบาตามลำดับ เรียกได้ว่าอาศัยความเร็วล้วนๆ เพราะถ้าใครคว้าธงได้แล้วคือได้เลย ห้ามแย่งเด็ดขาด ต้องว่ายไปเอาอันอื่นแทน
ที่พวกผมยืนขำกันอยู่แบบนี้ก็เพราะมันเป็นกิจกรรมร่วมของปีหนึ่งปีสองแล้วก็สุมหัวทำกิจกรรมกับพวกดุริยางค์ด้วย ว่าง่ายๆคือพวกปีสองที่คิดว่าตัวเองจะได้เป็นฝ่ายแกล้งน้องกลายเป็นต้องไปร่วมกิจกรรมกับพวกปีหนึ่งแล้วให้ปีสามมาคุมแทน…ตามกิจกรรมที่พวกมันคิดไว้นั่นแหละ
“ไอ้เชี้ย!ทีมกูแตะธงแล้ว บอกทีมมึงปล่อยเลย!”
และที่สำคัญมันทำให้พวกวิศวะกับดุริยางค์สนิทกันจนด่าพ่อกันได้แล้ว ถือว่าประสบความสำเร็จสุดๆ
“พี่กีล์…น้ำครับ”
ผมหันไปยิ้มตามมารยาทให้เจ้าของเสียงอย่างไม่รู้จะพูดอะไรดี
ดูเหมือนเจ้าตัวจะทำเป็นไม่สนใจสิ่งที่ผมพูดเมื่อวาน คิดว่าจะเข้าใจเพราะเห็นย้ายห้องไปแล้ว แต่กลายเป็นเช้ามาก็เทียวเดินไปเดินมาถามนั่นถามนี่ไม่หยุด เรียกได้ว่าหนักกว่าเดิมเสียอีก
“ขอบคุณครับ”ผมรับขวดน้ำไว้แล้วหันไปมองกิจกรรมต่อ ไม่คิดเปิดน้ำดื่มแต่อย่างใด
ภาพของคนที่ขึ้นฝั่งมาเป็นอันดับหนึ่งทำให้ผมหัวเราะเบาๆ เก้าที่ถือธงอันดับหนึ่งทำหน้าบูดสนิทไม่ได้ดูดีใจเลยสักนิด ในขณะที่ทีมเก้าโดดไปโดดมาด้วยความดีใจ ยกเว้นก็แต่หมาหน้าบึ้งที่มองไปมองมาแล้วก็หน้าบึ้งกว่าเดิม คงเพราะผมยืนอยู่คนละฝั่งกับทีมโซโล่ แถมคนก็บังหมด เขาเลยมองไม่เห็นผมที่อยู่ด้านหลังสุด
“พี่กีล์ไม่ดื่มน้ำเหรอครับ”
นี่ก็ยังไม่ไป…
“แล้วทำไมเคมาอยู่นี่ได้ครับ ทำไมไม่อยู่กับทีมตัวเอง”ผมขมวดคิ้วแล้วหุบยิ้มให้เขารู้ว่าไม่พอใจ เพื่อนคนอื่นร่วมกิจกรรมหมดแต่ตัวเองมายืนคุยกับผมเนี่ยนะ
ขนาดโซโล่ยังไม่เดินมาหาผมเลย แล้วทำไมเขากล้าเดินมา
“คือผมไม่ได้เป็นตัวแทนก็เลย…”เคพูดเสียงอ่อย หน้าเจื่อนไปเล็กน้อย
“ไม่ได้เป็นตัวแทนก็ไม่ควรมาอยู่ตรงนี้ครับ กลับไปเถอะ”อาจจะดูใจร้ายแต่ผมว่าการแสดงท่าทีคลุมเครือน่าจะทำให้เขาเจ็บกว่าเดิม แล้วก็ดีแต่จะทำร้ายเขามากขึ้นไปอีก
เคเดินคอตกกลับไปหาเพื่อน ผมมองพวกโจ้ที่ตบไหล่เคเหมือนให้กำลังใจแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจ ถ้าผมไปให้ความหวังไว้ก็อาจจะเข้าใจเขามากกว่านี้ แต่นี่ผมตัดโอกาสชัดเจนขนาดนั้นไม่รู้ว่าทำไมถึงยังไม่ยอมหยุด
“มึงทำถูกแล้ว”เสียงเบียร์ที่อยู่ใกล้ๆดังขึ้นพร้อมกับที่มันยื่นมือมาตบบ่าผมเบาๆ
“กูไม่อยากให้เขาพยายามทั้งที่ไม่มีความหมาย มันไม่ดีต่อทุกฝ่าย”ไม่ว่าจะตัวเคเอง ผม หรือโซก็ตาม
“มันคิดว่ายังมีหวังไง”เบียร์ยักไหล่แล้วหันไปมองพวกรุ่นน้องที่กำลังฟังบทลงโทษ
“มีหวังทั้งที่กูพูดขนาดนั้นอะนะ”
“ก็มึงยังไม่มีใคร”
“กูมี…”โซ
ไม่ใช่สิ…ยังพูดได้ไม่เต็มปากเท่าไหร่ เพราะเราไม่ได้เป็นอะไรกัน ถึงสถานะตอนนี้สำหรับเราจะชัดเจนแต่ก็แค่ชัดเจนกับเราทั้งคู่ แล้วผมก็ไม่เคยแสดงออกให้คนอื่นเห็นสักครั้ง มันเหมือนกับมีแค่เราที่รู้กันเอง
พอเห็นผมเงียบเบียร์มันก็เหยียดยิ้มใส่แล้วหัวเราะ
“ถ้ามึงยังไม่ชัดเจน ใครมันก็คิดว่ายังมีหวังได้ทั้งนั้นแหละวะ”
คำพูดของเบียร์ทำให้ผมคิดมากจนแทบไม่ได้สนใจกิจกรรมหรือเสียงเฮฮาของคนอื่นอีกเลย เหมือนเบียร์มันก็รู้ว่าผมต้องการเวลาคิดอะไรเงียบๆมันเลยกันพวกไอ้ไวน์ไว้ให้ ผมเลยเดินหลบมานั่งที่เก้าอี้หน้ารีสอร์ทคนเดียว
ผมไม่ชัดเจนเหรอ…ผมมั่นใจว่าผมชัดเจนกับโซ แต่ก็ไม่เคยคิดว่าจะต้องบอกให้ใครรู้ แต่จะว่าไป…ทุกครั้งที่อยู่ใกล้ๆโซ จะมีแต่เขาที่เข้ามาใกล้ๆผมก่อน แล้วก็เป็นฝ่ายเดียวที่แสดงให้ทุกคนเห็น
‘มึงใจดีเกินไป’
คำพูดที่ไอ้โนว์เคยบอกแวบเข้ามาในหัว แน่นอนว่าผมรู้ตัวเองว่าความใจดีที่มีให้แต่ละคนมันไม่เหมือนกัน…แต่คนอื่นจะรู้หรือเปล่า พวกเขาอาจมองว่าผมใจดีเฉยๆก็ได้
มิน่าพวกดุริยางค์ถึงพยายามช่วยโซขนาดนั้น…
“รู้ตัวแล้วสิมึง”
ผมเงยหน้ามองเบียร์แล้วพยักหน้า มันยิ้มนิดหน่อยก่อนจะนั่งลงข้างๆ
“กูไม่ชัดเจนขนาดนั้นเลยเหรอวะ”
“มันไม่ใช่มึงไม่ชัดเจน แต่ภาพลักษณ์มึงมันเป็นคนใจดีแต่แรกแล้ว พวกเพื่อนๆก็คงพอรู้ว่าจริงๆมึงเป็นไง แต่ไอ้พวกเด็กปีหนึ่งปีสองที่ไม่ค่อยได้เจอมึงมันคิดว่าใครๆก็เข้าหามึงได้ทั้งนั้นแหละ”
“ต้องทำขนาดไหนวะ”ต้องแสดงออกขนาดไหนพวกเขาถึงจะรู้ ผมมีความสุขกับที่เป็นอยู่ก็จริง แต่ผมก็กังวลเรื่องโซไม่แพ้กัน
เพราะเขาชัดเจนมาตลอดว่าคิดอะไรไม่ว่าจะอยู่ต่อหน้าใครก็ตาม แต่คนอื่นกลับไม่รู้เลยว่าผมก็รู้สึกแบบเดียวกับเขา แล้วแบบนี้โซจะรู้สึกยังไง…
“มึงไม่คบกันไปเลยวะ”เบียร์ว่าเสียงเรียบเหมือนกำลังพูดเรื่องทั่วไป
“คบเหรอ…”จริงๆผมก็เพิ่งเจอกับโซโล่ไม่นานเท่าไหร่ แม้ว่าความรักมันจะไม่เกี่ยวกับเวลา และถึงจะมั่นใจกับความรู้สึกทั้งคู่แต่… “ก็เขาไม่เคยพูดออกมา”
“มึงรอไรล่ะ ก็พูดก่อนเลยสิวะ”
มันก็ไม่ได้ง่ายขนาดนั้นสักหน่อย โซโล่อาจจะพอใจกับสิ่งที่เราเป็นอยู่อยู่แล้วก็ได้ อีกอย่าง…
“เอาไว้รอโอกาสก่อน…”
“รอไมวะ”
ผมหันหน้าหนีรอยยิ้มรู้ทันของไอ้เบียร์
“กูเขิน”
“หึหึ…มึงอยากรู้ปะว่าควรแสดงออกชัดเจนขนาดไหน”
ผมหรี่ตามองรอยยิ้มไม่น่าไว้ใจของมันแล้วส่ายหน้า
“ไม่อยาก”
“ไม่ทันละเพื่อน”ว่าจบมันก็ยื่นมือมาจับคางผมไว้แล้วขยับหน้าเข้ามาจนติด “ดูแล้วจำ ต่อจากนี้คือความชัดเจนที่มึงควรแสดงออกนะครับเพื่อน”
“3”
นับอะไร…
“2”
“1”
“กีตาร์‼‼”
ผมดันหน้าไอ้เบียร์ออกแล้วขมวดคิ้วเมื่อเข้าใจว่ามันต้องการทำอะไร แต่ตอนนี้ยังไม่มีเวลาด่า ผมรีบหันไปหาเจ้าของเสียงทุ้มที่ตวาดออกมาเสียน่ากลัว ห่างออกไปจากผมพอควรโซโล่ยืนอยู่บนหาดโดยมีเก้ากับเพื่อนอีกคนดึงแขนไว้คนละข้าง กิจกรรมที่นั่นดูหยุดชะงักไปหมดเพราะทุกสายตากำลังมองมาทางผมกับเบียร์
“มึงทำอะไรลงไปเนี่ย”ผมว่ามันเสียงแผ่ว แต่นอกจากจะไม่สำนึกแล้วมันยังมีหน้ามาหัวเราะใส่ผมอีก
“เข้าใจยังว่าการแสดงออกของมึงกับมันต่างกันขนาดไหน แล้วจะไม่ให้คนอื่นคิดว่ามีโอกาสได้ไงวะ”
ผมพยักหน้าเข้าใจโดยไม่พูดอะไรอีก ตอนนี้ที่ต้องสนใจคือคนที่ทำท่าจะพุ่งเข้ามาได้ทุกเมื่อต่างหาก โซโล่ไม่ได้มองผมแต่จ้องหน้าเบียร์เขม็ง ใบหน้าแม้ยังคงเรียบนิ่งแต่ก็เห็นได้ชัดเจนว่าเขากำลังโมโหสุดขีด
“ปล่อยกูสิวะ!”
“ปล่อยมึงไปต่อยพี่เขาหรือไงวะ!”
ผมรีบเดินเข้าไปหาเมื่อเห็นสายตาขอความช่วยเหลือของเก้าที่กำลังจะรั้งเพื่อนไว้ไม่ไหว
“โซ”ผมเรียก แต่คนที่กำลังโกรธไม่แม้แต่จะหันมามอง สายตาของเขายังจ้องไปที่เบียร์ที่นั่งอยู่ที่เดิม
“โซ…”ผมแตะมือที่กำแน่นเบาๆแล้วหันไปพยักหน้าให้เก้ากับน้องที่ช่วยดึงโซโล่ไว้ พวกเขาเลยถอนหายใจแล้วยอมปล่อยแขนออก
“ทำกิจกรรมต่อเลย พี่ขอยืมตัวโซโล่ก่อนนะครับ”ผมหันไปยิ้มให้น้องๆที่พยักหน้ากลับมางงๆ ก่อนจะดึงแขนอีกคนให้เดินตามมาหน้ารีสอร์ทที่เดิม ส่วนเบียร์ไม่รู้ว่าหายไปไหนแล้ว
“โซ…”เจ้าของชื่อมองหน้าผมด้วยใบหน้านิ่งเฉยเย็นชา โซโล่กัดฟันกรอดเหมือนกำลังระงับอารมณ์เต็มที่
“ครับ”
ผมยิ้มบางเมื่อเห็นว่าเขาโมโหแต่ก็ยังพูดจาดีและรอฟังที่ผมพูด โซโล่มองหน้าผมด้วยสายตาอ่อนลงเล็กน้อยแต่ก็ยังดูโมโหอยู่
“เพื่อนพี่มันแกล้งโซ”
“แกล้ง?”โซโล่ทำหน้าประหลาดใจและดูคลายความโกรธลงไปมาก บรรยากาศมืดมนเมื่อครู่จางลงไปกว่าครึ่ง
“แกล้งให้โซเป็นแบบนี้ พี่จะได้รู้ว่าเวลาโซแสดงออกมันชัดเจนขนาดไหน”ผมอมยิ้มเมื่อใบหน้านิ่งๆนั่นกำลังแสดงออกว่าไม่เข้าใจ
เหมือนหมางง
“ทำไม”
“เพราะมีคนเข้าหาพี่…อย่าเพิ่งทำหน้าบึ้งสิครับ”ผมยกมือแปะแก้มคนหน้าบึ้งแล้วกดแรงๆจนอีกคนปากจู๋ก่อนจะหัวเราะออกมา
“ไอ้นั่นอีกแล้วเหรอ”
ผมพยักหน้าตอบโดยไม่ปิดบัง โซโล่ดึงมือผมไปกุมไว้แล้วชักสีหน้าหงุดหงิด
“เพราะมีคนเข้าหาพี่…เบียร์มันเลยอยากให้พี่รู้ว่าควรแสดงออกยังไงให้คนพวกนั้นไม่คิดว่าตัวเองมีหวัง…ก็เลยให้โซแสดงให้เห็น”ผมบีบมือโซโล่เบาๆแล้วพูดต่อ “คิดมากหรือเปล่าครับที่พี่ไม่เคยแสดงออกให้คนอื่นเห็นเหมือนที่โซทำเลย”
“ไม่…”โซโล่ส่ายหน้าแล้วยิ้มน้อยๆที่มุมปาก “ผมไม่ได้ต้องการให้ใครมารู้เรื่องของเราทั้งนั้น ก็แค่ไม่ปฏิเสธถ้าโดนถาม ที่แสดงออกก็ไม่ใช่ว่าต้องการให้ใครเห็น แค่อยากทำก็เลยทำโดยไม่สนใจใครก็เท่านั้น”
นั่นสินะ…ผมอาจจะคิดมากไปเอง เพราะเขาก็ไม่เคยแสดงท่าทีไม่พอใจอะไรเลย
แค่ทำเพราะอยากทำโดยไม่ต้องสนใจใครก็พอ
“กีตาร์ไม่ต้องสนใจใครหรอก…”
“…”
“เป็นกีตาร์ของผมคนเดียวก็พอ”
พูดเฉยๆไม่ต้องยิ้มอ่อนโยนแบบนั้นจะได้ไหม…
ผมหันหน้าหนีรอยยิ้มหายากนั่นแล้วยกมือตบอกซ้ายตัวเองเบาๆ เพราะรู้สึกเหมือนก้อนเนื้อข้างในมันกำลังจะทะลุออกมา
“หูแดง…”เสียงกระซิบกับลมหายใจร้อนข้างหูทำให้ผมตัวแข็งค้างไปสามวิ สมองว่างเปล่าไปหมด แต่พอได้สติก็รีบหันกลับไปดันหมาขี้แกล้งออกไปทันที “…หน้าก็แดง”
“โซ!”
หลังจากหมดกิจกรรมแล้วทุกคนก็แยกกันไปอาบน้ำก่อนจะมาเจอกันที่ลานกิจกรรม ตอนเย็นเป็นช่วงการแสดงของพวกดุริยางค์ ส่วนกลางคืนแน่นอนว่าต้องเป็นวงเหล้า ผมยืนอยู่แถวหน้าสุดของเวทีรีสอร์ทมองดูพวกดุริยางค์จัดการเครื่องดนตรีกัน ข้างๆมีแค่ไอ้โนว์ที่มายืนเป็นเพื่อนเพราะสองแฝดมันบอกยืนใกล้ไปเสียงดัง
ที่ผมต้องอยู่หน้าสุดแบบนี้ก็เพราะทันทีที่เดินเข้ามาในลานทุกคนแลดูพร้อมใจกันเปิดทางให้หมด พอจะเดินหลบออกก็กลายเป็นโดนลากมาหน้าเวที จริงๆตอนแรกก็งงไม่เข้าใจอะไรสักอย่าง แต่พอได้หันไปมองรอยยิ้มน้อยๆของคนที่ยืนต่อสายกีตาร์อยู่บนเวทีแล้วก็เข้าใจทันที
ไอ้พวกทำงานเป็นทีม
“สวัสดีครับผมมม”เสียงใสๆดังขึ้นพร้อมร่างของเก้าที่วิ่งขึ้นมาบนเวที “มาสนุกกันเลยยยยยยย!”
เสียงเพลงเริ่มดังขึ้นเป็นจังหวะสนุก ผมโยกตัวตามจังหวะเบาๆ เก้าที่เป็นเด็กร่าเริงพออยู่บนเวทีกลับดูจริงจังและมีเสน่ห์เหมือนคนละคน เสียงใสๆเป็นเอกลักษณ์ทำให้เพลงที่ร้องออกมาดูน่าฟังและเพลินมาก ผมไม่สงสัยเลยว่าทำไมได้ขึ้นเวทีตั้งแต่อยู่ปีหนึ่ง
สายตาผมเบนไปมองมือกีตาร์ตัวสูงดีกรีเดือนมหา’ลัยก่อนจะยิ้มออกมา เวลาโซโล่เล่นกีตาร์เขาดูแปลกไปจากทุกที จริงๆผมก็สังเกตมาตั้งแต่เห็นเขาเล่นกีตาร์ที่ห้องแล้ว ถึงแม้ใบหน้าของเขาจะนิ่งแต่บรรยากาศที่แผ่ออกมามันทำให้ผมรับรู้ได้ว่าเขากำลังมีความสุข
“พี่กีล์”เสียงคุ้นหูดังขึ้นพร้อมร่างของเคที่เดินเข้ามาหาผม
“ครับ”
“ให้โอกาสผม…ไม่ได้เหรอครับ”เคพูดด้วยเสียงสั่นและใบหน้าที่เหมือนกำลังขอร้อง
มาถึงตอนนี้ผมคิดว่าผมน่าจะเคยไปทำอะไรให้เขาแน่ๆเขาถึงได้พยายามมากขนาดนี้ บางทีอาจต้องพูดกันตรงๆให้ชัดเจนกว่าเดิม แต่ก่อนที่ผมจะหันไปตอบ เสียงดนตรีขึ้นเพลงใหม่กลับดึงดูดความสนใจของผมให้กลับไปมองเวทีอีกครั้ง…
บนเวทีที่เคยมีเก้ายืนอยู่ตรงกลาง ตอนนี้แทนที่ด้วยร่างของเดือนมหา’ลัยที่กำลังมองมาที่ผมพร้อมรอยยิ้ม ในขณะที่เก้าไปยืนเล่นกีตาร์แทน แปลกที่โซโล่ไม่ได้ดูโมโหที่เห็นเคยืนอยู่ข้างๆผม หรือบางทีอาจจะเป็นเพราะ…
ตอนนี้เขามองผมแค่คนเดียว
“รู้สึกเหมือนฉันเพิ่งตื่นจากฝันของคนอื่น
ชีวิตเหมือนได้คืนบ้างห้วงที่หายไป
เพิ่งได้รู้ว่าฝันที่เคยไขว่คว้า
มันช่างไร้สาระขนาดไหน
เมื่อชีวิตที่ฉันเคยมีไม่ว่าดีสักเท่าไร
มันกลับเทียบกันเลยไม่ได้กับในเวลานี้
ตอนที่ใกล้ๆกันมีอีกคน
หนึ่งคนที่ดี คอยเข้าใจ…”
เสียงทุ้มต่ำที่ดังออกมาไม่ได้เรียกว่าเพราะเลยสักนิด แต่มันกลับมีเสน่ห์จนทำให้ผมละสายตาไปจากเขาไม่ได้เลย
“สิ่งที่ฉันนั้นไม่รู้มาก่อน
เธอบอกให้ฉันได้รับรู้ด้วยการสวมกอด
ว่าสิ่งที่ฉันนั้นค้นหา
ที่ชีวิตนี้ไขว่คว้ามาตลอดก็คือเธอ
เมื่อเธอหันมาจ้องมองที่ฉันแล้วยิ้มให้
ตอนนั้นฉันเข้าใจโลกนี้ทุกๆ สิ่ง
ที่ดูสวยมันเพียงแค่ลวงหลอกตา
มีแค่เธอตรงหน้าที่เป็นของจริง…”
ผมหัวเราะออกมาเบาๆเมื่อโซโล่ชะงักไปเล็กน้อยเพราะร้องเพี้ยน แต่ก็มีเก้าคอยสนับสนุนทำให้เขาร้องต่อไปได้ ดวงตาคมคู่นั้นเป็นประกายระยิบระยับเหมือนกำลังขำตัวเองไม่แพ้กัน
“เพราะชีวิตที่ฉันเคยมีไม่ว่าดีสักเท่าไร
มันกลับเทียบกันเลยไม่ได้กับในเวลานี้
ตอนที่ใกล้ๆกันมีอีกคน
หนึ่งคนที่ดีคอยเข้าใจ
สิ่งที่ฉันนั้นไม่รู้มาก่อน
เธอบอกให้ฉันได้รับรู้ด้วยการสวมกอด
ว่าสิ่งที่ฉันนั้นค้นหา
ที่ชีวิตนี้ไขว่คว้ามาตลอดก็คือเธอ…”
สายตาอ่อนโยนที่มองมาพร้อมรอยยิ้มน้อยๆที่มุมปากทำให้ผมรู้สึกร้อนที่ใบหน้าไปหมดจนได้แต่ยิ้มกว้างกลบเกลื่อน สิ้นประโยคนั้นเสียงดนตรีก็พร้อมใจกันเงียบลง เหลือแต่โซโล่ที่ถือไมค์เดินมาหน้าสุด…และก้มลงมองผมที่อยู่ตรงหน้าเขา
“ทุกอย่างที่เธอทำคืนรอยยิ้มให้กับฉัน”
สิ้นประโยคนั้นโซโล่ก็หยุดไปชั่วขณะแล้วยิ้มออกมา…รอยยิ้มกว้างที่ทำให้โลกสดใส
“ราวกับเสียงเพลงที่นานมาแล้วไม่ได้ฟัง
เตือนให้ฉันจำว่าที่เคยคิดต้องการก็เพียงแค่นี้
สิ่งที่ฉันนั้นไม่รู้มาก่อน
เธอบอกให้ฉันได้รับรู้ด้วยการสวมกอด
ว่าสิ่งที่ฉันนั้นค้นหา
ที่ชีวิตนี้ไขว่คว้ามาตลอดก็คือเธอ…”
“Happy birthday my guitar.”
ผมไม่รู้ว่าตัวเองกำลังยิ้มหรือมองโซโล่ด้วยสายตาแบบไหน ไม่ได้สงสัยเลยด้วยซ้ำว่าทำไมเสียงรอบข้างถึงได้เงียบขนาดนี้ ในสายตาตอนนี้เต็มไปด้วยภาพรอยยิ้มของคนที่ผมสบตาอยู่
ทำไมต้องซ้อมหนักขนาดนั้น…
‘ทำไมโซถึงซ้อมหนักทั้งๆที่ก็เล่นดนตรีเก่งอยู่แล้วล่ะครับ’ทำไมไม่ดูแลตัวเอง…
‘มันไม่ถนัดเพลงไทยเพราะเพิ่งกลับมาจากนอกอะพี่’คำพูดที่เก้าบอกตอนที่ผมแอบถาม…
‘ผมมีเวลาซ้อมไม่เท่าเพื่อน แล้วเวทีนี้ก็ขึ้นเป็นเวทีแรก แถมยังเป็นคณะกีตาร์ด้วย’‘ไปนะ’
‘ไปนะ’ตอนนี้คำตอบมันชัดเจนหมดแล้ว
“โซ…”
“ครับ”
ผมยิ้มให้เขา…
ยิ้ม…ที่มีสำหรับคนๆเดียว
“พี่ชอบโซ”
------------------------------------