End ฝนกลางฤดูหนาว (mpreg) -Updeat รอบพรีออเดอร์- 9-5-60
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: End ฝนกลางฤดูหนาว (mpreg) -Updeat รอบพรีออเดอร์- 9-5-60  (อ่าน 47591 ครั้ง)

ออฟไลน์ GuoJeng

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1268
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +44/-1
เกลอ่านไดอารี่ลูกชายแล้วจะเป็นไงอะ
  รออ่านตอนต่อไปคับ

ออฟไลน์ zine

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 168
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-1
สนุกมากค่ะ

ออฟไลน์ zine

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 168
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-1
สู้ๆนะคะ

ออฟไลน์ Jibbubu

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3385
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-6
ความจริงเราอยากเห็นชินตอนเห็นอาการเกลกำเริบจริงๆ เราอยากให้ชินรู้ว่าเกลต้องทรมานขนาดไหน
ที่ต้องอยู่แยกกับลูกตัวเองแบบนี้ อยากเห็นชินสำนึกผิดกับสิ่งที่ทำมากกว่านี้จัง

ออฟไลน์ zine

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 168
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-1
รอตอนใหม่

ออฟไลน์ Warnkt

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 82
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
รอออออออ :mew1: :mew1:

ออฟไลน์ wavery

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 124
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-2
ฝนหยดที่ 10



                เรื่องราวที่เกิดขึ้นด้านล่างเมื่อครู่ ถ้าจะบอกว่าเป็นความผิดของอีกฝ่ายหนึ่งทั้งหมดเลยก็คงไม่ใช่ เพราะคนที่ผิดจริงๆ น่าจะเป็นตัวเขาเองมากกว่าที่เข้าไปก้าวก่ายเรื่องภายในครอบครัวของอีกคนมากเกินไป จนลืมไปว่าตัวเขาเป็นเพียงคนนอกไม่มีสิทธิมีเสียงอะไรกับเรื่องเหล่านั้นและที่สำคัญคือเขาสำคัญตัวเองผิดไป แค่เห็นว่าคนอย่างโจนาธารเข้ามาสนิทชิดเชื้อด้วยมันก็ทำให้เขาเผลอเลอไป จนเพิ่งจะมาสำนึกได้ว่าเขามันก็แค่พนักงานธรรมดาที่ถูกใช้เป็นทางผ่านเพื่อเข้าถึงตัวชิตรัตน์มากขึ้นก็เท่านั้น  ทั้งที่คิดว่าไม่ได้เผลอตัวเผลอใจไปให้อีกคน แต่ทำไมพอโดนพูดแบบนั้นใส่ เขาถึงได้รู้สึกน้อยใจจนต้องหลบมานั่งอยู่คนเดียวแบบนี้ด้วย

               “บ้าจริง จะไหลทำไมเนี่ย”   เขาบ่นขึ้นมาก่อนจะใช้หลังมือเช็ดเอาน้ำตาสีใสที่ไหลออกมาจากดวงตาทั้งสองข้างอย่างลวกๆ  ไม่ใช่ว่าที่น้ำตาไหลมานั้นเป็นเพราะเขาอยากจะร้องไห้หรืออะไร แต่มันไหลของมันเองและเขาก็ไม่รู้ว่าจะหยุดร้องอย่างไรด้วยเช่นกัน


ก๊อก ก๊อก


                “แก้วเปิดประตูให้ฉันหน่อย แก้ว”
                อยู่ดีๆ เสียงเคาะประตูหน้าห้องก็ดังขึ้นพร้อมกับเสียงของคนที่เขาไม่อยากจะเจอหน้าหรือพูดคุยอะไรด้วยในตอนนี้

               เขาพยายามทำเป็นไม่สนใจเสียงดังรบกวนอย่างต่อเนื่องที่หน้าประตูอยู่สักพักใหญ่ๆ ซึ่งเขาไม่แม้แต่จะขยับกายออกจากเก้าอี้หวายข้างเตียงไปไหน จนเสียงนั้นเงียบลง

               “หึ”

                แก้วกล้าทำเสียงขึ้นจมูกอย่างเย้ยหยันในความคิดลึกๆ ของตนเองว่า คนที่อยู่ด้านนอกจะพยายามหรือพูดอะไรมากกว่าคำว่าให้เปิดประตู แต่สงสัยเขาคงจะหวังมากเกินไปจริงๆ

                เหมียววว

               เสียงแมว?

                แก้วกล้าพับเรื่องที่คิดอยู่ลงก่อนหันไปสนใจหาต้นต่อของเสียงแมวปริศนาที่สามารถดึงความสนใจให้เขายอมลุกขึ้นจากเก้าอี้แล้วเดินไปรอบๆ ห้อง เพื่อหาเจ้าผู้บุกรุกตัวน้อยที่ไม่รู้ที่มาที่ไปนั้น จนไปสะดุดสายตาเข้ากับกระเป๋าสะพายใส่ของของตนที่วางอยู่บนเตียงซึ่งขยับไปมาอย่างผิดวิสัย

                เขาค่อยๆ เอื้อมมือเข้าไปจับกุมเจ้าผู้บุกรุกตัวน้อยออกมาจากกระเป๋าก่อนพบว่า สายหูฟังโทรศัพท์ของเขานั้นไปพันเกี่ยวติดกับตะขอป้ายชื่อที่ห้อยอยู่กับปลอกคอซึ่งจมหายเข้าไปในกลุ่มขนขาวปุยฟูนั้น จนเป็นเหตุให้สายหูฟังสีขาวของเขาพันรอบตัวเจ้าแมวดื้อนั่นจนแยกไม่ออก

                ท่าทางจะซนเอาเรื่องอยู่เหมือนกัน เพราะขณะอุ้มเจ้าตัวยุ่งนั่นกลับมานั่งที่เดิมเพื่อแก้สิ่งที่พันตัวของมันออก เจ้านี่ก็เล่นร้องจะเป็นจะตายเสียให้ได้

                “เอาล่ะ เสร็จแล้ว”

                เขาพูดขึ้นหลังจากใช้เวลาอยู่ครู่หนึ่งในการแก้สายหูฟังที่พันอยู่ออก เจ้าผู้บุกรุกตัวขาวกลมหันหน้ามามองเขาเล็กน้อยพร้อมส่งเสียงออดอ้อนแทนคำขอบคุณซึ่งนั่นก็มากพอจะทำให้เขาอมยิ้มออกมานิด ก่อนจะพาผู้บุกรุกขนฟูซึ่งเขาแอบเห็นชื่อที่สลักอยู่บนแผ่นอลูมิเนียมเนื้อดีว่า ‘เน็ตตี้’

                และดูเหมือนว่าความออดอ้อนของเจ้าเหมียวขนฟูนั้นส่งผลให้เจ้าตัวเล็กในท้องของเขาชอบเจ้าขนฟูตัวนี้ด้วยเช่นกัน ดูสิทั้งดิ้นทั้งเตะจนเขาเจ็บหน้าท้องไปหมดแถมเจ้าเน็ตตี้คงสงสัยว่าในนั้นมีใครอยู่จึงเอาอุ้งเท้ามาตะปบท้องเขาเบาๆ สลับกันไป  นี่เล่นกันไม่สนใจคนกลางอย่างเขาเลยว่าจะเจ็บไหม แต่ไม่เป็นไรอภัยให้

                 ขณะที่กำลังเล่นกับเจ้าเหมียวอยู่นั้นเสียงกุกกักที่หน้าประตูก็เรียกความสนใจให้เขาต้องหันไปมอง ก่อนจะตกใจเมื่ออยู่ๆ คนที่คิดว่าไม่อยู่แล้วกลับเปิดประตูเข้าในห้องเขาพร้อมกุญแจสำรองในมือแทนคำตอบที่เขากำลังจะเอ่ยปากถาม ซึ่งนั่นยิ่งทำให้เขารู้สึกไม่สบอารมณ์มากขึ้นไปอีก เมื่อนึกขึ้นมาได้ว่าบ้านที่เขาอยู่ตอนนี้เป็นของอีกฝ่าย การที่อีกคนจะเข้าห้องนู้นออกห้องนี้ได้ก็ไม่ใช่เรื่องผิดปกติอะไร

                “แก้ว”

                ธารเดินเข้ามาในห้องพร้อมเรียกชื่ออีกคนออกมาแผ่วเบา และยิ่งเดินเข้ามาใกล้อีกฝ่ายมากเท่าไร เขาก็ยิ่งสังเกตเห็นความเปียกชื้นที่แพรขนตายาวของคนตัวเล็กยิ่งตอกย้ำให้เขารู้สึกผิด

                “แก้วฉันขอโทษ”

                “ขอโทษ? เรื่องอะไรเหรอครับ”  น้ำเสียงห่างเหินยิ่งกว่าตอนแรกที่เจอกันกลับเน้นย้ำให้เขารู้ได้ว่าอีกฝ่ายคงโกรธเขามากจริงๆ

                 “ก็....”

                 “ผมเหนื่อยมากและก็อยากจะพัก เชิญคุณออกไปด้วยครับ”

                  แก้วกล้าสวนขึ้นมาโดยไม่รอให้ธารพูดจบก่อนจะหยัดตัวลุกขึ้นช้าๆ แล้วเดินไปล้มตัวนอนบนเตียง โดยจงใจหันหลังให้ใครอีกคนที่ยืนนิ่งเป็นอากาศธาตุอยู่ในห้อง เขาถือว่าธารยกห้องนี้ให้เขาได้พัก นั่นย่อมถือว่าช่วงที่เขาอยู่ที่นี่ ห้องนี้จะเป็นสิทธิของเขาและการที่เขาจะไล่อีกฝ่ายทางอ้อมแบบนี้ก็คงไม่เสียหายเท่าไร

                  “ฉันไม่ออก”

                 “ก็แล้วแต่สิ นี้บ้านคุณนี่” เขาสวนกลับทันควันอย่างไม่สบอารมณ์ ในเมื่อไล่แล้วไม่ไปก็เรื่องของคุณแล้วกัน อยากทำอะไรก็ทำไปเขาไม่สนใจ เขาคิดก่อนจะคว้าเอาเจ้าตัวยุ่งที่โดดตามขึ้นเตียงเข้ามาใกล้

                 ธารเองที่เห็นท่าทางของแก้วกล้าจึงพอเดาได้อยู่ว่าอีกฝ่ายเป็นอะไร แต่ยังไม่อยากพูดออกมาให้ระคายอารมณ์ที่ขึ้นๆ ลงๆ ของคนท้องมากนัก เขาทำได้แค่นั่งลงบนเก้าอี้ตัวเดิมที่แก้วกล้านั่งอยู่เมื่อครู่ เพื่อมองเจ้าตัวนอนหันหลังให้กับเขาโดยมีเจ้าแมวผีผู้คอยแย่งความสนใจไปจากเขานอนขดตัวอยู่ใกล้ๆ  บางทีเขาก็อยากรู้เหมือนกันนะว่า มันมีอะไรในใจกับเขาหรือเปล่า เวลาเขาอยากจะอยู่อยากจะอ้อนน้องเกล มันก็จะมาเสนอหน้าให้น้องเกลสนใจมันแทนที่จะเป็นพี่ชายที่น่ารักอย่างเขาแล้วคราวนี้มันยังโผล่หน้ามาในห้องของแก้วกล้าอีก นั่นมันว่าที่เมียฉันนะเฮ้ย ไอ้แมวผี ถ้าไม่ติดว่าทำแล้วจะโดนน้องโกรธ อยากจะจับมันไปโยนลงทะเลให้รู้แล้วรู้รอดจริงๆ


                 ผ่านไปหลายนาทีแต่คนท้องตรงหน้าก็ไม่มีทีท่าจะสนใจเขาเลย หรือว่าอีกคนจะหลับไปแล้วจริงๆ อย่างที่พูด  คิดได้อย่างนั้นธารจึงลุกขึ้นจากเก้าอี้แล้วชะโงกแอบดูอีกคนที่หลับตาพริ้มอยู่บนเตียง

                 เอาวะ! รอตื่นค่อยคุยก็ได้

                เขาคิดแต่แทนที่จะเป็นฝ่ายเดินออกจากห้องไปเพื่อให้แก้วกล้าได้นอนพักอย่างที่อีกฝ่ายบอก แต่เขากลับทำในสิ่งที่ตรงข้ามกันนั้นก็คือการลงไปนอนซ้อนด้านหลังของอีกคน แล้วเอามือโอบกอดแก้วกล้าและหน้าท้องนูนของอีกฝ่ายไว้หลวมๆแทน

                “ทำอะไรของคุณเนี่ย!”

                 แก้วกล้าหวีดขึ้นมาทันทีเมื่อถูกคนที่ตัวเองพยายามไล่ไปให้พ้นหูพ้นตาแต่กลับมานอนกอดเขาหน้าตาเฉยแบบนี้อย่างหัวเสีย ทั้งๆ ที่คิดว่าถ้าแกล้งหลับแล้วธารจะพอมีจิตสำนึกที่ดี เห็นใจเขาให้เขาได้พัก แต่นี่อะไรกลับมาฉวยโอกาสจากเขาแบบนี้ได้ยังไง

                 “เอาแขนออกไปเดี๋ยวนี้เลยนะ ผมหนักเอาออกไป”  แก้วกล้าพยายามดันท่อนแขนหนาของอีกคนให้ออกห่างไปจากตัวของเขาแต่ก็ดูเหมือนว่าอีกคนจะไม่ยอมลูกเดียว จนเขาเองทนไม่ไหวต้องลุกขึ้นนั่งแล้วหันมาประจันหน้ากับคนที่ยังคงนอนมองหน้าเขาอย่างไม่ทุกข์ไม่ร้อนอะไร

                 “อ้าว ไม่นอนแล้วเหรอ”  ธารแหย่ถาม

                  “...”

                  “ไม่นอนก็ดีเราจะได้คุยกันสักหน่อย” เขาว่าก่อนจะเด้งตัวขึ้นนั่ง

                  “แต่ผมไม่มีอะไรจะคุยกับคุณ”   แก้วกล้าเน้นย้ำคำพูดของตนอีกครั้งก่อนจะพยายามลุกขึ้นจากเตียงเพื่อหนีอีกคน ก็ได้ ในเมื่อไล่แล้วไม่ไปเขาไปเองก็ได้

หมับ

                แต่ธารเองก็ไวพอที่จะคว้าเขาที่ข้อมือเล็กและมองหน้าอีกฝ่ายตรงๆทำหน้าจริงจังจนแก้วกล้าเองเริ่มไม่ชอบใจทำเสียงขึ้นจมูกแล้วหันหน้าหนีไปทางอื่นแทน

                “มีอะไรจะพูดก็รีบๆ พูดมาผมอยากจะนอน”  ในเมื่อไล่แล้วไม่ยอมไปก็คงต้องตัดใจเผชิญหน้ากันตรงๆอย่างนี้แล้วสินะ

                 “ฉันขอโทษที่ตะคอกใส่เธอเมื่อกี้”  ธารว่าพร้อมใช้นิ้วเกลี่ยเบาๆ ไปตามข้อมือเล็ก

                “ถ้าเรื่องนั้นชั่งมันเถอะ มีอะไรอีกไหมถ้าไม่ก็ออกไปได้แล้ว” เขาว่าพร้อมชักมือออกจากฝ่ามือหนาที่จับข้อมือของเขาอยู่ออกก่อนจะออกปากไล่อีกครั้ง

                 “ทำไมเธอถึงชอบไล่ฉันนัก ไม่อยากเห็นหน้าฉันขนาดนั้นเลยหรือไง”  ไม่เข้าใจเลยจริงๆ เจอหน้าเขาทำอย่างกับเขาเป็นอะไรสักอย่างที่ไม่อยากเข้าใกล้แถมตอนนี้ยังจะมาไล่เขาอีกทั้งๆที่เขาก็เข้าหาอีกฝ่ายอย่างบริสุทธิ์ใจแท้หรือว่าที่เขาเผลอตะคอกใส่เมื่อครู่มันร้ายแรงขนาดนั้นเลยหรือไงกันแต่เขาก็ขอโทษไปแล้วนะหรือยากจะให้เขาทำอะไรไถ่โทษอีกก็บอกกันมาสิ ไม่ใช่หันหน้าหนีกันแบบนี้

                “ก็รู้นิว่าผมไม่อยากเห็นหน้าคุณ คุณมันเจ้าเล่ห์ ไว้ใจไม่ได้พอใจยัง รู้แล้วก็ออกไปได้แล้ว”

                 “ฉันทำอะไรให้เธอคิดแบบนั้นกัน”  เขาถามด้วยน้ำเสียงจริงจังจะไล่เขายังไงก็ได้แต่ถึงขนาดที่บอกว่าไม่อยากเห็นหน้าเนี่ยเขาทนไม่ได้และไอ้ที่ว่าเขาเจ้าเล่ห์เนี่ยหมายความว่ายังไง

                  “สิ่งที่คุณทำอยู่นี้ไงผมถามจริงเถอะคุณต้องการอะไรกันแน่แล้วไหนจะคุณเกลอีกคุณรู้จักเขาได้ยังไง” แก้วกล้าถามสิ่งที่ติดอยู่ในใจตนเองออกมาทั้งหมดก่อนจ้องมองไปทีอีกคนอย่างต้องการคำตอบ ซึ่งธารเองก็ทำเพียงแค่ถอยหายใจออกมาเบาๆก่อนจะตอบกลับไป

                  “เกลเป็นน้องชายคนเดียวของฉัน”  และคำตอบที่ได้ทำให้เขาต้องตกใจกับเรื่องที่ยินนั้นเป็นอย่างมาก

                  “จะเป็นไปได้ยังไงกันก็ในเมื่อ....”

                  “เป็นไปได้สิ”

                 แก้วกล้ามองอีกคนอย่างไม่เข้าใจในสิ่งที่อีกคนพูดออกมาแต่เขาก็ไม่ได้ขัดอะไรขึ้นมาได้แต่นิ่งเพื่อรอให้ธารอธิบายเรื่องราวนั้นออกมาเอง

                 “ข้อมูลทุกอย่างที่พวกเธอรู้มันเป็นเพียงประวัติปลอมที่พวกเราช่วยกันสร้างขึ้นมาเพื่อป้องกันเกลจากพวกผู้ไม่หวังดี เธอเองก็คงพอจะได้ยินมาบ้างสินะเรื่องเกี่ยวกับตระกูลของฉันน่ะ”  ก็จริงอยู่ที่ตระกูล ดิ.แอลเมอร์ซี่ เป็นตระกูลขุนนางเก่าของราชวงศ์อีกทั้งยังมีอิทธิพลมากมายซึ่งก็คงไม่แปลกอะไรที่จะมีศัตรูค่อยจ้องจะทำร้าย แต่ที่เขาไม่เข้าใจเลยก็คือ

                  “ทำไมคุณถึงไม่ยอมบอกคุณชินตั้งแต่แรกว่าคุณคือพี่ชายของคุณเกลแล้วยังจะพาคุณเกลหนีหายเข้ากลีบเมฆไปแบบนี้อีก คุณรู้บ้างไหมว่าคุณชินเขาเป็นห่วงคุณเกลมากแค่ไหน”  เขาถามอย่างขอความเห็นใจ อย่างน้อยเขาก็อยากให้เกรซได้เจอกับแม่ของเขาบ้าง และเขาเองก็ยังเชื่ออยู่ลึกๆ ว่าคุณเกลเองก็ยังรักเจ้านายของเขาอยู่และเขารับรู้ได้จากเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้น แต่เพราะอะไรกันคนคนนี้ที่ดูเหมือนจะรักและเอาใจใส่น้องขนานนั้นถึงกล้าที่จะไม่ยอมให้ครอบครัวเขาเจอกัน

               “คุณไม่สงสารคุณชินมั่งเหรอ คุณชินตามหาคุณเกลมาตลอดเลยนะ”

               น้ำเสียงที่ดูอ่อนลงในตอนที่พูดถึง ชิตรัตน์ อย่างของความเห็นใจของแก้วกล้ามันทำให้ธารรู้สึกไม่พอใจอย่างมาก เขาไม่เข้าใจว่าทำไมต้องปกป้องกันขนาดนี้ผู้ชายคนนั้นทำให้น้องเขาเป็นแบบนี้ผลักไสน้องเขาเหยียบย้ำหัวใจของน้องจนไม่เหลืออะไรแล้วทำไมทำไมต้องเป็นเดือดเป็นร้อนแทนเจ้านายนักหนาขนาดคนที่ควรจะเป็นเดือดเป็นร้อยจริงๆนะยังไม่เห็นสนใจจะมาถามอะไรเขาเลย

               “ทำไมฉันต้องสงสารคนอย่างมันด้วยแก้ว” เขาคำรามเสียงดังจนอีกคนถึงกับผงะ

               “ทำไมฉันต้องสงสารคนที่มันทำร้ายน้องของฉันด้วย “

                “คุณธาร...”

               “เธอเอาแต่พูดว่าให้สงสารให้เห็นใจมัน แล้วน้องฉันล่ะมันเคยเห็นใจบ้างไหมมันเคยรู้ไหมว่ามันทำอะไรไว้กับคนที่มันพล่ามว่ารักนักรักหนา ฉันจะบอกให้ เพราะมันน้องเกลถึงต้องรักษาอาการทางจิตอยู่ตั้งหลายปีกว่าจะดีขึ้นและเพราะมันอีกนั้นแหละที่ทำให้น้องฉันเดินไม่ได้ เพราะมันคนเดียวที่ทำให้ชีวิตของน้องฉันต้องเจอแต่เรื่องเลวร้ายทั้งหมด”

                 ธารตวาดออกไปอย่างเหลืออด ทำไมใครๆถึงทำเหมือนมันเป็นคนดีนัก เกลก็เหมือนกันทำไมถึงไม่มีอาการอะไรเลยทั้งๆที่เกลควรจะอาละวาทใส่มันสิ ด่ามันให้สาสมกับที่มันทำไว้สิ แล้วทำไมเกลถึงยังยอมให้มันอยู่ข้างๆอีกเพราะอะไร

                “แต่ที่คุณชินทำไปเพราะเขาเองก็มีเหตุผลที่ต้องทำมัน เขาเองก็ไม่ได้เต็มใจที่จะให้เรื่องมันเป็นแบบนี้เสียงหน่อย ส่วนไอ้เรื่องที่ทำให้คุณเกลเดินไม่ได้ผมว่าคุณเข้าใจผิดแล้วล่ะ คุณชินไม่เคยเจอคุณเกลเลยตลอดห้าปีที่ผ่านมาแล้วจะว่ากล่าหากันแบบนี้ผมว่ามันจะเกินไปหน่อยหรือเปล่า”

                แก้วกล้ายังคงค้านความคิดของอีกฝ่ายอย่างไม่ยอมแพ้เช่นเดียวกัน ถึงจะรู้ว่าที่อีกฝ่ายจะโกรธชิตรัตน์นั้นมันก็ไม่ใช่เรื่องผิดอะไรแต่บางทีธารเองก็ควรจะฟังเหตุผลของชิตรัตน์บางถึงแม้ที่ชิตรัตน์ทำไปมันจะผิดจริงอย่างที่อีกคนว่าแต่ก็ไม่ใช่เอะอะอะไรก็โยนให้มาเป็นความผิดชองชิตรัตน์คนเดียวแบบนี้เขาว่ามันไม่ถูกต้อง

               “ไม่เกินไปหรอกนี้ยังน้อยไปด้วยซ้ำกับความชั่วของมันที่ทำเอาไว้ ”  ธารว่ากลับด้วยสายตาวาวโรจน์อย่างถือเอาความคิดและอคติตนเองเป็นที่ตั้ง

                “คุณก็หัดฟังเหตุผลของคนอื่นบ้างจะได้ไหม บะ......”

                “แล้วทำไมแก้วต้องเข้าข้างมันด้วย!!” เขาตะคอกกลับใส่อีกฝ่ายอีกครั้งอย่างเหลืออดทำไมต้องเข้าข้างมันด้วย น้องเขาต่างหากที่น่าสงสารมันทำน้องเขานะ มันสิที่เป็นคนผิดเขาไม่สนหรอกว่าแก้วกล้าจะพูดอะไรจะพูดให้ท้ายให้มันดูดียังไงมันก็เป็นคนผิดถ้าวันนั้นไม่ใช่เพราะมันน้องของเขาก็คงไม่วิ่งลงจากรถเพื่อไล่ตามมันไปจนถูกรถอีกคันชนเข้าให้จนต้องนอนอยู่ในห้องไอซียูเกือบอาทิตย์แถมยังจ้องมาเป็นอัมพาตชั่วคราวแบบนี้อีกแล้วทำไมแก้วกล้าถึงยังมองมันดีอยู่อีก ทำไม หรือว่า...
 
               “ชอบมันหรอหลงมันนักหรือไงถึงออกตัวปกป้องมันขนาดนี้นะแก้ว”  บางทีเขาก็อยากตบปากตัวเองที่มันชอบพูดออกไปโดยไม่คิดเหมือนกัน แต่งานนี้ให้คิดก็คงไม่ได้แล้วเพราะยามอารมณ์ขึ้นเป็นใหญ่เหนือสติ สิ่งที่แสดงออกมามักจะเป็นอารมณ์ดิบในส่วนลึกของจิตใจ

                “คุณพูดบ้าอะไรของคุณ”

                “พูดบ้าอะไร ฉันก็แค่พูดตามที่เห็น เหอะ ออกตัวปกป้องกันขนาดนี้ฉันชักจะไม่แน่ใจเสียแล้วสิว่าไอ้ตำแหน่งงานที่ทำๆกันอยู่เนี่ยมันเป็นแค่ฉากบังหน้าหรือเปล่าหรือได้มาเพราะอะไรๆที่มันน่าขยะแขยงหรือเปล่า เอ๋ คงไม่ใช่ว่าเด็กในท้องนี้ก็ลูกไอ้ชินมันหรอกนะ”

เพี๊ยะ

         
      :katai1:

ออฟไลน์ wavery

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 124
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-2
:m15:



               สิ้นคำพูดถากถางอย่างร้ายกาจใบหน้าของเขาก็หันไปตามแรงตบของเจ้าของฝ่ามือเล็กที่ถึงถึงจะไม่แรงมากแต่ก็ทำให้สติของเขากลับมาได้ทั้งหมดรวมถึงอารมณ์เลือดร้องเมื่อครู่ก็พลันหายไปอย่างรวดเร็ว   ทำให้ตอนนี้ทั่วทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบจนทำให้คนที่เอ่ยถ้อยคำร้ายแรงนั้นได้คิดทบทวนจนเกิดเป็นรู้สึกผิดและใจเสียขึ้นมาเกาะกุมหัวใจของเขาแทน และยิ่งได้เห็นร่างเล็กๆกำลังสั่นไหวรวมถึงมือสองข้างกำไว้แน่นจนสั่นเทา

               เขาเสียใจยอมรับ ความจริงเขาไม่ได้ตั้งใจจะพูดอะไรแบบนั้นออกไปเพื่อดูถูกศักดิ์ศรีของอีกคน เขารู้ว่าแก้วกล้าเป็นคนที่หยิ่งในศักดิ์ศรีมากและการที่เขาพูดออกไปเช่นนั้นก็เหมือนเป็นการดูถูกอีฝ่ายเป็นอย่างมาก    ธารค่อยๆหันกลับมามองคนท้องที่ตอนนี้ลุกมายืนอยู่ตรงหน้า

                “แก้ว....ฉัน”

                “ออกไป”

                “แก้ว”

                “ผมบอกให้ออกไปไง!!” ธารเบิกตาอย่างตกใจใส่คนที่ตะวาทเขา แก้วกำลังร้องไห้

                 เพียงแค่น้ำตาไม่กี่หยดของอีกฝ่ายแต่มันกลับทำให้หัวใจของเขาตกวูบลงไปอยู่ตาตุ่ม ครั้งพอพยายามจะเขาไปหาอีกฝ่ายที่เริ่มเอามือกุมท้องด้วยสีหน้าไม่สู่ดีแบบนั้น เขายิ่งเป็นห่วงอยากจะเข้าไปดูแลแต่อีกคนกลับเดินหนีและขับไล่

                “ผมบอกให้ออกไปไง ออกไปเดี๋ยวนี้!!”  เสียงตะโกนปนสะอื้นทำให้เขาก้าวขาไม่ออกได้แต่ยืนอยู่กับที มองคนท้องทีทรุดตัวลงบนเตียงที่ยังคงกำมือแน่นอย่างสะกดอารมณ์ เขาไม่รู้ว่าแก้วกำลังสะกดอารมณ์ไหนอยู่ แต่ถ้าขืนเขายังอยู่แก้วกล้าก็จะยิ่งเครียดแล้วมันก็คงจะไม่ส่งผลดีต่อเด็กในท้องอย่างแน่นอน  ทางทีดีเขาควรจะออกไปก่อนสินะ รออีกฝ่ายอารมณ์เย็นกว่านี้ก่อนแล้วค่อยคุยน่าจะเป็นทางทีดีที่สุด เมื่อคิดได้อย่างนั้นธารก็เดินออกไปที่ประตูแต่ก่อนทีประตูจะปิดลง ธารมองไปยังแก้วทียังนั่งอยู่ขอบเตียงแล้วพูดออกไปเบาๆ

                “ขอโทษ”

ผลัก

            แรงประทะของหมอนขนเป็นสีขาวที่ถูกปามาใส่แผ่นหลังหนาของเขานั้นยิ่งตอกย้ำให้เขารู้ชัดเลยว่าเขานั้นได้ทำสิ่งที่ผิดพลาดที่สุดลงไปแล้ว  เขารู้สึกชาวาบไปทั้งหน้ายามที่มองกลับไปหาแก้วกล้าที่นอนหันหลังเขาเขาอีกครั้งก่อนจะปิดประตูแล้วออกไปจริงๆด้วยความรู้สึกหนักอึ้งในใจ เพราะความปากพร่อยไม่รู้จักยังคำของเขาแท้ๆรู้ทั้งรู้ว่าอารมณ์ของแก้วอ่อนไหวขนาดไหนแต่เขาก็ยังพูดดูถูกเหยียดหยามอีกฝ่ายอีก

              แค่โดนปาหมอนในนี้มันยังน้อยไปจริงๆ   เขาคิดในใจแต่ดูท่าแล้วจะมีคนที่คิดเช่นเดี๋ยวกันกับเขาด้วยเหมือนกัน

              “มันไม่น่าจบแค่การปาหมอนใส่เลยนะ”  เสียงของไรอัลหนึ่งในผู้รับชมการถ่ายทอดสดอยู่หน้าประตูห้องของแก้วกล้าเอ่ยขึ้นเรียบๆ ใส่อีกคนที่สีหน้ายังคงดูสลดใจอยู่

               “ผมเคยบอกคุณหลายครั้งแล้วนะครับเรื่องการพูดไม่คิดแบบนี้”  คราวนี้เป็นพลเองที่เอ่ยตักเตือนคนเป็นนายที่อายุน้องกว่าตน เพราะนี้ไม่ใช่ครั้งแรกที่อีกคนปากพร่อยพูดจากไม่ดีใส่คนอื่น และพลเองก็เป็นคนหนึ่งที่เวลาพูดหรือเตือนอะไรไปธารมักจะรับฟังมากที่สุด คงจะเป็นด้วยอายุที่มากกว่าและบุคลิกที่เป็นคนพูดน้อยต่อยหนักของเขาด้วยที่แม้แต่ธารยังต้องเกรงใจ

               “ผมขอโทษ” เขาพูด

               “ไม่ครับคนที่คุณควรพูดคำนั้นด้วยคือคุณแก้วครับไม่ใช่พวกผม เอางี้ดีกว่าผมว่าเรารอให้คุณแก้วลงก่อนแล้วค่อยไปขอโทษอีกทีก็แล้วกันนะครับ” ชายเสนอทางแก้ให้ก่อนจะบอกให้เจ้านายตัวโตของเขากลับเข้าไปพักที่ห้องก่อนส่วนเรื่องของแก้วกล้าพวกตนจะเป็นฝ่ายดูแลให้เอง

               “ขอบใจพวกนายมาก เดี๋ยวฉันว่าจะลงไปดูน้องเกลสักหน่อยก่อน”  ธารว่าก่อนจะทำมือให้ชายกับพลที่ยืนขว้างทางลงให้หลบไป แต่กลับถูกปีแอร์พูดขัดขึ้นมาเสียก่อน

               “อย่าเลยครับบอส ตอนนี้เป็นเวลาครอบครัว” เขาเลิกคิ้วอย่างไม่เข้าใจพร้อมกลับหันมามองเจ้าตัวคนพูดที่ทำหน้ายิ้มแก้วปริ

                “หมายความว่าไง”

                “ก็ตอนนี้เกลลี่อยู่กับคุณชินและก็น้องเกรซ นอนกอดกับกลมอยู่ที่ห้องข้างล่างยังไงละครับ”  ปีแอร์ตอบ แต่นั้นก็ไม่ได้ทำให้เขารู้สึกพอใจกับคำตอบเสียเท่าไร

                “ทำไมถึงปล่อยให้มันอยู่กับน้องเกล ถ้ามันทำอะไรน้องฉันขึ้นมาจะทำยังไง” เขาเริ่มโวยวายขึ้นมาอีกครั้ง

                “บางทีบอสก็ควรยอมรับความจริงสักทีนะครับ” น้ำเสียงจริงจังที่นานนานครั้งจะได้ยินมันออกมาจากปากของหมอหนุ่มสัญชาติอิตาลีนั้น ฉุกรั้งให้ธารต้องยืนนิ่งอยู่ที่หน้าขั้นบันได

                “พวกเขาเป็นครอบครัวเดียวกันต่อให้บอสพยายามจะพาแต่น้องเกรซกลับมาแต่บอสคิดจริงๆ หรือครับว่าเกลลี่จะไม่ต้องการให้คนรักลับมาอยู่กับตัวเองด้วย  ยอมรับเถอะครับว่าคนที่จะรักษาเกลลี่ได้จริงๆแล้วก็คือคุณชิตรัตน์”

               คำพูดของปีแอร์ไม่ใช่ว่าเขาไม่รู้แต่เขาแค่ไม่ยอมรับมันเหมือนที่อีกคนว่า เขาแค่ไม่อยากยอมรับมันเท่านั้นว่าสุดท้ายแล้วคนที่ทำร้ายน้องเขาก็คือคนที่น้องเขารักมากที่สุด

                ธารนิ่งไปกับคำพูดนั้นก่อนจะหันหลังกลับเดินเข้าห้องของตัวเองไปเงียบๆแทนท่ามกลางสายตาของคนสนิททั้งสี่ที่ยังคงยืนกันอยู่ที่เดิม

                “น่าเบื่อ”   พลบ่นออกมาก่อนจะเดินลงบันไดไปเพื่อกลับไปเตรียมอาหารสำหรับมื้อค่ำต่อ เช่นเดียวกับชายที่เดินตามหลังเพื่อนสนิทลงไปด้านล่าง แต่เดิมที่ที่พวกเขารีบขึ้นมาข้างบนก็เพราะเสียงทะเลาะของทั้งสองที่ดังลอดออกมาจากบานประตูที่ไม่ได้ปิดและที่ขึ้นมาเนี่ยก็เพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดก็เท่านั้นและเมื่อมันไม่มีอะไรพวกเขาก็แค่กลับไปพักต่อก็เท่านั้น ส่วนเรื่องที่เหลือไว้รอตอนเย็นเดี๋ยวก็ได้รู้กันเองแหละว่าจะเป็นยังไงต่อ   ส่วนไรอัลเองเมื่อไม่เห็นว่ามีความจำเป็นต้องอยู่ต่อเขาเองก็เดินกลับเข้าไปที่ห้องของตัวเองที่อยู่ถัดออกไปโดยมีปีแอร์ที่ยังคงตามง้อเขาอยู่วิ่งตามมาด้วย


               ธารกลับเข้ามานั่งอยู่บนเตียงอย่างใช้ความคิด เขารู้ตัวว่าเขาทำผิดต่ออีกคนมาโดยเฉพาะปากพร่อยๆของเขาที่พูดคำไม่น่าฟังแบบนั้นออกไป จนเป็นเหตุให้เขาต้องมานั่งอยู่ตรงนี้ นี้ถ้าแม่รู้ว่าเขายอมให้อารมณ์เป็นให้อย่างนี้แล้วละก็มีหวังได้กลับไปยืนรับไม้เรียวเหมือนสมัยเด็กอีกแน่ๆ แค่ขึ้นก็เสี่ยวสันหลังวาบแล้วเนี่ย

               “โว้ยยยยยยยยยยยย”

              เมื่อคิดไม่ออกก็หาทางระบายโดยใช่เสียงแทนนี้แหละวะ  เขาร้องออกมาก่อนหงายหลังลงกับที่นอนนุ่มแทนก่อนจะเผลอหลับไปในสุด


ก๊อก ก๊อก

                “คุ..ลุ..ค...”

                อื้มม เสียงอะไรน่ะ

                “คุณ......ลุง.......”

                “อื้ม”

                เขาครางเสียงต่ำในลำคออย่างรำคาญ พร้อมกับยกมือขึ้นปัดบางสิ่งที่กดจิ้มกับแก้มของเขาไปมาอย่างหงุดหงิด ก็แบบคนมันจะนอนแล้วมีอะไรมายุกยิกอยู่กับร่างกายเราแบบนี้เป็นใครใครก็รำคราญถูกไหม?

                และตอนนี้เขาก็รำคราญมากจนต้องพลิกตัวหนี แต่ดูท่าทางแล้วไอ้ตัวน่ารำคาญนี้จะไม่ยอมปล่อยให้เขานอนสบายๆแน่ๆ ไม่ให้นอนก็ไม่นอนวะ

                เขาค่อยๆลืมตาขึ้นก่อนจะกระพริบเล็กน้อยเพื่อปรับโฟกัสของสายตาให้ชัดขึ้นก่อนจะพบหน้าของหลานชายตัวเล็กที่ชะโงกหัวเข้ามาหาเขา

                “เกรซ?”

                “ตื่นๆๆๆ คุณลุงตื่นเร็วไปกินข้าวกัน”

                แรงจากสองแขนเล็กที่พยายามฉุดเขาให้ลุกขึ้นพร้อมกับแกว่งไปมาจนดูเหมือนว่าอยากจะเล่นกับเขาเสียมากกว่าเมาเรียกให้เขาไปกินข้าวอย่างจริงจังแต่ว่านะแรงแค่เนี่ยมีหรือคนที่ทำอะไรเขาได้ มันต้องแบบนี้

หมับ

                “โอ๊ะ!”

                เขาจัดการคว้าเจ้าตัวแสบเขามากอดไว้ก่อนจะพลิกซ้ายพลิกขวาเล็กอย่างเมามันจนเสียงหัวเราะเอิ๊กอ๊ากของเจ้าตัวเล็กดังลั่นไปทั่วห้อง แหม่ หลานใครเนี่ยน่าฟัดจริง

                “ฮ่าฮ่าฮ่า”

                ตัวนิ่มอีกต่างหากเหมือนน้องเกลตอนเด็กเลย เขาคิดก่อนจะจับเด็กน้อยพลิกอีกรอบ แต่ขณะที่กำลังจะพลิกอีกรอบก็ดันมีเสียงขัดขึ้นมาเสียก่อน

                “คุณธาร”
ถึงไม่มองเขาก็จำได้ว่าเสียงที่เรียกชื่อของเขานั้นเป็นใคร แต่น้ำเสียงติดจะหงุดหงิดนี้สินี้เขาเผลอทำอะไรผิดอีกเนี่ย

                “คุณเล่นกับเด็กแบบนี้ได้ไง ถ้าตอนกลางคืนแกผวาขึ้นมาจะทำยังไง”  เสียงเอ็ดอย่างไม่พอใจพร้อมกับอุ้มเจ้าตัวเล็กให้ออกมาจากตัวของเขาทำให้เขาสามารถเห็นสีหน้าไม่พอใจของอีกฝ่ายได้ชัดขึ้นแต่ดูท่าแล้วอีกคนจะไม่ยากแม้จะมองเขาเลยด้วยซ้ำไป

                “หนุก ฮ่าฮ่า เกรซหนุก”  เกรซยืนยิ้มร่าอยู่บนที่นอนของเขาพร้อมกับตบมือไปมาประกอบให้แก้วดู

                “ครับๆๆ”

                แก้วกล้าขานรับก่อนช่วยจับให้เกรซลงจากเตียงของธารซึ่งโชคดีที่เตียงไม่ได้สูงมาจนเขาต้องอุ้มลงไม่งั้นคงจะปวดหลังแย่เลย พอเกรซลงมาได้แล้วเขาก็จูงมือคู่น้อยนั้นเดินไปที่ประตูเพื่อลงไปกินข้างข้างล่างโดยที่เขาเองจงใจเมินสายตาที่เหมือนจะบอกเป็นนัยๆว่ามีเรื่องอยากจะคุยด้วย แต่แล้วยังไงละเขาไม่มีอะไรจะคุยด้วยนิ

                “โอ๊ะ”
                อยู่ๆเด็กน้อยที่จับมือของเขาอยู่นั้นก็สะบัดมือออกก่อนจะวิ่งไปเกาะขาของเจ้าของห้องที่เอาแต่นั่งมองมาทางเขา

                “คุณแม่บอกให้มาตามคุณลุงไปกินข้าว ไปกินข้าวกัน”

                ธารยิ้มพร้อมอุ้มหลานชายของตนขึ้นแล้วเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าของแก้วกล้า  แต่อีกฝ่ายกลับหันหน้าหนีเขาแล้วเดินนำลงบันไดไปเองเสียดื้อๆ  นี้ไม่แม่แต่จะอยากมองหน้าเขาเลยจริงๆหรือเนี่ย  คิดแล้วก็ช้ำใจอยากตบปากตัวเองแรงๆจริงๆ

                “คุณลุงทำอะไรให้อาแก้วโกรธหรอ” อยู่ๆเจ้าตัวเล็กที่เขาอุ้มอยู่นั้นก็ถามขึ้นมา

                “นิดหน่อยนะ” คือตามจริงก็ไม่นิดหรอกนะ แต่ถึงพูดไปเด็กห้าขวบแบบเกรซก็คงไม่เข้าใจหรอก

                “เกรซไม่เชื่อคุณลุงหรอก ขนาดหางตาอาแก้วยังไม่มองเลย  เกรซว่าอาแก้วต้องโกรธคุณลุงมากแน่ๆ”   ก็รู้หรอกว่าเด็กมันพูดแต่ความจริงเพราะโกหกไม่เป็น แต่ก็อย่าซ้ำเติมกันสิ นี้ลุงนะให้กำลังใจกันหน่อยก็ได้

                “เดี๋ยวเรื่องนี้ลุงจัดการเองได้น่า” เขาว่าเพื่อตัดรำคาญแล้วอุ้มหลานชายแสนซื่อของตนเดินไปที่โต๊ะอาหารก่อนจะส่งหลายคืนให้กับน้องชายของเขาที่กางแขนรอรับลูกชายสุดที่รักอยู่ข้างๆคนที่เขาเกลียดขี้หน้าหมายเลขหนึ่งแล้วจึงกลับไปนั่งประจำที่ของตนที่หัวโต๊ะ
 

                ความเงียบที่ปกคลุมทั่วโต๊ะอาหารจนทำให้เกิดบรรยากาศที่ดูอึมครึมนั้นไม่ต้องสืบเขาก็พอรู้ละว่ามันมาจากแก้วกล้าที่ส่งมาให้เขาส่วนการที่เกลกับชิตรัตน์ไม่เอ่ยหรือพูดอะไรออกมาก็คงจะรู้เรื่องที่เกิดขึ้นจากคนที่อยู่ในเหตุการณ์ครั้งนั้นด้วยแล้ว แต่คงจะมีแค่ชาติคนเดียวล่ะมั้งที่ดูจะไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรอยู่คนเดียว   อยากจะพูดอยู่หรอกว่าน่าสงสารแต่ตอนนี้เขาสงสารตัวเองมากกว่านี้ขนาดง้อด้วยการตักกับข้าวใส่จานให้ฝ่ายนั้นก็เขี่ยทิ้งไว้ที่ข้างจานไม่ยอมเตะเลยสักนิด รู้ซึ้งถึงคำว่าน้ำตาตกในก็วันนี้แหละ

                กว่าอาหารมื้อนี้จะจบลงเขามีความรู้สึกว่ามันชั่งยาวนานเสียเหลือเกินจริงๆ แต่ก่อนที่จะมีใครลุกขึ้นจากที่ของตัวเองเสียงของเกลก็พูดขึ้น

                “คืนนี้พี่ชินจะนอนกับเกลนะครับ”  เขายอมรับว่าไม่พอใจอย่างมากที่อยู่ๆน้องก็พูดขึ้นมาแบบนั้นแต่ก่อนที่เขาจะค้านออกไปสายตาของเขาก็สบเข้ากับดวงตาสวยของคนพูดที่สื่อให้เขารู้ว่าที่อีกคนพูดไม่ใช่เป็นการขอแต่เป็นแค่คำบอกกล่าวที่เขาไม่มีสิทธิค้าน

                “ก็ได้”   มันก็แค่ความจำใจล่ะวะ เขาเอาลิ้นดุนกระพุงแก้มไปมาอย่างไม่พอใจโดยสายตาเอาแต่จับจ้องไปยังร่างอวบของคนท้องที่เดินขึ้นไปด้านบนโดยมีชาติและเกรซเดินตามติดไม่ห่าง

                ยิ่งมองยิ่งหงุดหงิด ไม่มองแม่งละ ธารคิดก่อนหันกลับมามองน้องชายของตนที่หันไปคุยกับชิตรัตน์อย่างหน้าชื้นตาบานเห็นแล้วหมั่นไส้

                เขาลุกขึ้นก่อนเดินเข้าไปแทรกกลางตรงช่องว่างของเก้าอี้ที่ทั้งสองนั่งอยู่พร้อมสายตาที่มองทาทางเขาอย่างไม่เข้าใจ แต่มีหรือเขาจะสนในเมื่อตอนนี้ไม่มีใครสนใจเขาเขาก็ต้องเรียกร้องความสนใจจากน้องเขาสิถึงจะถูก

                “อะไรเหรอครับพี่ธาร”

                “...”

                “?”
 
                “ฝันดีนะครับ” เขาว่าก่อนจะก้มลงไปหอมแก้มนิ่มของเกลอย่างเช่นทุกคืนก่อนนอน ถึงคนที่โดนหอมจะมีสีหน้างงๆ ใส่เขาอยู่ไม่นอน แต่ก็ยอมที่จะหอมเขากลับ

                “ฝันดีเช่นกันครับพี่ธาร”     

                เขาส่งยิ้มปลอบใจให้พี่ชายนิดๆ ก่อนจะหันไปหาคนรักของเขาเพื่อที่ว่าพวกเขาจะได้กลับเข้าห้องไปพักผ่อนเพื่อเตรียมตัวสำหรับการลงพื้นที่ในวันพรุ่งนี้  ส่วนเรื่องระหว่างพี่ธารกับเลขาของชิตรัตน์นั้นเขาเองก็ได้ฟังเรื่องที่เกิดขึ้นมาแล้วและงานนี้พี่ชายของเขาผิดจริงและงานนี้เขาจะไม่ของยุ่งด้วยเพราะเขาถือว่าเป็นเรื่องของคนสองคน คนนอกอย่างเขาไม่ของยุ่งด้วยจะดีกว่า อยากได้เขามาเป็นลูกสะใภ้ให้แด๊ดกับคุณแม่ก็พยายามเอาเองละกัน

                “น่าสงสารจังเลยนะ”

                 ธารหันกลับไปมองไรอัลที่ยืนกอดอกมองมาที่เขาถึงหน้าจะนิ่งยังไงแต่สายตาที่มองมานะรู้ว่ากำลังสะใจบ่นขบขันอยู่ข้างๆสามีเด็กของตัวเอง สงสัยจะง้อกันเรียบร้อยแล้วละสิถึงได้ยืนชิดกันจนแทบจะสิ่งกันอยู่แล้วแบบนี้

                “ใครน่าสงสารกัน พูดให้ดีๆ นะ” 

                “คนแถวนี้น่ะ อยู่ดีๆ ก็กลายเป็นขยะเปียก” ดู ดูมันเปรียบ เล่นซะเขาไม่มีค่าเลย

                “ไรรี่ นี่นายอยู่ข้างฉันจริงๆ ใช่ไหมเนี่ย”
                ซ้ำเติมกันจริง  และนั้นไม่ต้องมามองเขาด้วยสายตาแบบนั้นเลยนะ ทำไมเมื่อก่อนก็เรียกอยู่เป็นประจำที่เดี๋ยวนี้ล่ะทำตาเขียวใส่

                “หยุดเรียกฉันแบบนั้นเลยนะธาร”  ไรอัลเริ่มขึ้นเสียงใส่ กลัวตายละตัวก็แค่นี้

                “แล้วจะทำไมหรือครับ ไรรี่”  เขาเน้นชื่อเล่นของอีกฝ่ายเพื่อหวังยั่วโมโห แต่ผิดคาดที่งานนี้เจ้าตัวกลับไม่โกรธและทำเพียงหยักไหล่อย่างไม่สนใจก่อนจะเดินออกไปจากห้องโดยมีมือของปีแอร์โอบอยู่ที่เอวตลอด  เหอะ กลัวหายหรือยังไงกัน

                 “นายจะยืนตรงนี้อีกนานไหมครับ ผมจะเก็บโต๊ะ” เสียงโทรนต่ำอันเป็นเอกลักษณ์ของพลดังขึ้นให้เขาเสี่ยวสันหลังวาบเล่น ก่อนหันไปมองทางด้านหลังที่อีกฝ่ายกำลังเก็บโต๊ะอาหารในส่วนของเขาอยู่และเขาคือสิ่งกีดขวางชิ้นโตในสายตาของอีกคน

                  “ถ้ายังขวางทางอยู่ผมจะให้นายเก็บจานเองนะครับ”

                    ครับ โอเคครับ

                     ไม่ใช่ว่ากลัวหรืออะไรนะแค่เกรงใจเฉยๆ พี่พลน่ะมันพวกพูดน้อยต่อยหนักอย่าได้ริมีเรื่องหรือทำพี่แกไม่พอใจเชียวศพไม่สวยสักรายเพราะงั้นเลี่ยงไว้ดีที่สุด เขายังจำได้เลยเมื่อก่อนตอนเรียนการต่อสู่กับพี่แกเล่นสะเขานอนหยอดน้ำข้าวต้มไปเป็นเดือนส่วนอีกคนนะหรอไร้รอยขีดขวนพ่อเขางี้ชมใหญ่เลยว่าเก่งอย่างนู้นเก่งอย่างนี้ส่วนเขาที่เป็นลูกโดนด่าหูฉีกเลย

                     และเมื่อไม่มีใครสนใจคนอย่างเขาอยู่ไปก็ไร้ค่าเขาจึงระเห็จย้ายร่างโตๆของตัวเองกลับเข้าไปที่ห้องเพื่อจัดการธุระส่วนตัวให้เรียบร้อยแล้วกลับมานอนที่เตียงอย่างคิดหนัก เขาจะง้อคนตัวเล็กอย่างไรดีนะ แถมโดนเจ้าหลานตัวดีพูดแบบนี้อีกงานนี้เขาจะทำอย่างไรดีล่ะเนี่ย 

                  เอาวะลองเดินไปดูที่ห้องก่อนละกัน
 

                เมื่อคิดได้อย่างนั้นธารก็ลุกขึ้นแล้วเดินไปที่ห้องของแก้วกล้าทันที แต่ก็เท่านั้น เมื่อเขาเองไม่กล้าจะเคาะประตูเพื่อเรียกอีกฝ่าย เลยทำได้แค่ยกมือขึ้นทำท่าจะเคาะแล้วก็เอาลง เดินวนไปวนมาอย่างคิดไม่ตกว่า ถ้าอีกฝ่ายเดินออกมาจะพูดยังไงขอโทษเลยโต้งๆ หรือว่าจะยังไงดี

                “มาหาอาแก้วหรอครับ”  เกรซเพิ่งเดินออกจากห้องนอนของตัวเองมาพร้อมสมุดสีน้ำตาลในมือเอ่ยทักคุณลุงที่เดินวนไปวนมาอยู่หน้าห้องอาแก้วอยู่ตั้งนานสองนาน เกรซเห็นแล้วเวียนหัว

                “จะเข้าก็เข้าสิครับ มา เดี๋ยวเกรซเปิดให้” สงสัยคุณลุงจะมาของนอนกับอาแกล้วแล้วเปิดประตูเองไม่เป็นแน่เลย น่าสงสารจัง เดี๋ยวเกรซเปิดให้เนอะ

                “ไม่ต้องๆๆ เดี๋ยวลุงเปิดเอง”  เขารีบก้มไปจับตัวหลานชายออกมาให้ห่างจากประตูทันที คือแบบยังไม่พร้อมเว้ย อย่างรีบ

                   “เดี๋ยวลุงเปิดเข้าไปเองดีกว่าแล้วนี้เกรซจะไปไหนดึกแล้วทำไมไม่ไปนอนครับ”  เขาลูบหัวของเกรซเบาๆ พร้อมถามขึ้น

                   “ผมจะลงไปนอนกับคุณพ่อคุณแม่”  เกรซตอบเสียงดังฟังชัด เขาเองก็พอจะเข้าใจอยู่หรอกในเมื่อชิตรัตน์ลงไปนอนกับน้องเขาที่ห้องด้านล่างและเกรซเองก็คงอยากจะนอนกับพ่อกับแม่บ้างและในมือก็คงจะเป็นพวกหนังสือนิทานก่อนนอนล่ะมั้ง

                  “งั้นก็รีบไปนอนได้แล้วครับ”

                    เขาว่า ก่อนจะเดินไปส่งถึงหน้าห้องนอนของเกลแล้วจึงค่อยเดินกลับขึ้นมาหยุดอยู่ที่ห้องของแก้วกล้าอีกครั้ง เขายืนนิ่งรวบรวมกำลังใจที่มีอยู่สักพักก่อนจะยกมือขึ้นเพื่อเตรียมเคาะประตูแต่ก็ต้องชะงัก

โครม

                เสียงเหมือนของหนักๆกระแทรกกับพื้นเสียงดังลอดออกมาจากห้องทำให้เขาเป็นห่วงคนในห้องเป็นอย่างมากและไม่คิดจะเคาะประตูอีกต่อไป  เขารีบหมุนลูกบิดแล้วเปิดเข้าไปทันทีอย่างร้อนใจกลัวว่าคนในห้องจะได้รับอันตรายอะไร

                “แก้ว!!!”

                ธารตะโกนเรียกอีกฝ่ายเสียงดังทันทีที่เข้าไปในห้องแต่ก็ต้องยืนนิ่งเมื่อเห็นว่าคนที่เขาเรียกเมื่อครู่ยังอยู่ดีแต่ที่ไม่ดีนะคือหัวใจเขาตอนนี้มากกว่าที่ดันพรวดพราดเข้ามาได้จังหวะเห็นอีกคนกำลังเลิกชายเสื้อขึ้นเปิดโชว์หน้าท้องนูนๆ ขาวๆ นั้น แถมท่อนล่างยังเป็นแค่กางเกงขาสั่นโชว์เรียวขาต้นขาขาวๆนั้นอีกมันทำเอาหัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะเลือดลมสูบฉีดอย่างหนักจนรู้สึกเหมือนเลือกกำเดาจะไหล

                 “คุณเข้ามาทำไม แล้วนั้นมองอะไรนะ!!” ธารได้สติทันทีเมื่อได้ยินเสียงแว้ดๆ ของอีกฝ่ายดังขึ้นพร้อมกับรีบเอาชายเสื้อนอนที่เลิกสูงขึ้นนั้นลง นี้ถ้าเขามองไม่ผิดใบหน้าของแก้วกล้าดูจะขึ้นสีแดงนิดๆ ด้วยสิ

                “เอ่อ คือ..ฉันได้ยินเสียงดังมาจากในห้องแล้วกลัวว่าแก้วกับลูกจะเป็นอะไรไป..เลยเข้ามาดู...”  เสียงที่ดูจะประหม่าเป็นอย่างมากจนเขาเองยังไม่แน่ใจว่านี้คือเสียงของตัวเองดังขึ้นแก้ตัว  พร้อมที่มองไปรอบๆห้องเพื่อหาความผิดปกติก่อนจะไปพบกระเป๋าเสื้อผ้าที่ตกอยู่ที่พื้นโดยข้างๆเป็นเก้าอี้ที่น่าจะเป็นต้นกำเนิดของเสียงนอนอยู่ข้างๆ

                “ผมไม่เป็นอะไร เน็ตตี้มันจะกระโดดไปที่ตู้แต่ไม่พ้นเลยทำของตกเสียงดังนะ” ธารหันไปมองคนตอบ ก่อนจะหันไปมองเจ้าตัวปัญหาที่มุดออกมาจากกระเป๋าเสื้อผ้าของแก้วกล้าแล้วมองหน้าเขาเหมือนเขาเป็นตัวประหลาดทั้งที่ในความจริงแล้วมันนั้นแหละตัวประหลาดไอ้แมวผี

                  เขาบ่นในใจก่อนจะเอื้อมมือหนาของตนออกไปอุ้มเจ้าเหมียวนั้นไปวางไปที่เตียงแล้วจึงค่อยหันกลับเก็บข้าวของที่ตกอยู่กับพื้นพับเก็บใส่กระเป๋าให้อีกฝ่ายจนเรียบร้อยแล้วจึงนำกลับไปวางไว้บนเก้าอี้ที่ยกขึ้นกลับมาตามเดิม

                 ธารหันกลับมามองอีกฝ่ายที่ยังทำท่านอนตะแครงข้างโดยมีเจ้าแมวผีนอนออเซาะให้คนท้องลูบหัวอยู่ข้าง เขามองอีกคนอย่างชั่งในอยู่สักพักก่อนจะตัดสินใจเดินไปนั่งที่ข้างเตียงหันมองเสี้ยวหน้าด้านข้างของอีกคนที่ยังนอนลืมตามองหน้าเจ้าเน็ตตี้อยู่

                  “ฉันอยากมาขอโทษแก้ว ฉันรู้ว่าฉันผิดฉันมันปากพร่อยเองอภัยให้ฉันได้ไหม” เสียงเว้าวอนของธารทำให้แก้วกล้าเหลือบตากลับไปมองนิดแล้วหันกลับไปสนใจเจ้าแมวข้างๆแทน

                “ฉันรู้ว่าที่ฉันทำไปมันทำให้แก้วรู้สึกแย่ แต่ฉันอยากให้แก้วรู้ว่าจริงๆแล้วฉันไม่ได้ต้องการจะพูดให้แก้วดูแย่หรือดูไม่ดี” เขาพยายามพูดต่อแม้ว่าอีกคนจะทำเป็นไม่สนใจก็ตาม

                “ฉันรู้ว่าฉันมันแย่ที่ปล่อยให้อารมณ์อยู่เหนือการควบคุม แต่นั้นก็เพราะฉันโมโห ฉันไม่ชอบเลยที่แก้วพยายามปกป้องไอ้หมอนั้นแบบนั้นนะ ฉันยอมรับเลยว่าฉันหึง ได้ยินไหมแก้วว่าฉันหึงเธอนะ แก้วจะให้ฉันทำอะไรก็ได้แต่ให้อภัยฉันเถอะฉันขอโทษจริงๆ”

                ได้ผล คราวนี้มันได้ผลแก้วกล้าหันมามองหน้าของเขาตรงๆแม้จะแค่แปปเดียวแต่อย่างน้อยแก้วก็สนใจเขาบ้างแล้ว

                “กะ..”

                “ออกไปผมจะนอน” ธารหูลู่หางตกจิตใจห่อเหี่ยวทันที ทั้งทีคิดว่าอีกคนจะยอมให้อภัยเขาแท้ๆ

                “แก้ว....”

               “ไหนคุณบอกว่าผมอยากได้อะไรจะทำให้ไง ผมบอกให้คุณออกไปก็ออกไปสิ”           
 
                แก้วกล้าที่เริ่มรู้สึกรำคาญความเป็นคนชั่งตื้อของอีกฝ่ายจนสุดจะทน จึงหันหน้ากลับไปหาแต่เหมือนว่าเขาจะคิดผิดมากที่หันไปเพราะพอเขาหันไปคนที่ง้องอนเขาอยู่เมื่อครู่ทำตาวิ้งวับทันที

               “แก้วหายโกรธฉันแล้วใช่ไหม” ธารลองถามดูอีกครั้งอย่างหยั่งเชิงดูเผื่อฟลุ๊ก

                “จะไม่หายถ้าคุณยังไม่ออกจากห้องของผม”  หัวใจที่ห่อเหี่ยวเมื่อครู่กลับมาฟู่ฟ่องอีกครั้งอย่างมีความหวัง

                “แก้วจะหายโกรธฉันใช่ไหม”

                “ผมจะนอนออกไปได้แล้วอยู่ไปก็น่ารำคาญ”

                “อือๆๆ ไปแล้วๆแก้วก็นอนนะอย่านอนดึกมันไม่ดีกับลูกนะ เจ้าตัวเล็กเป็นเด็กดีนะแด๊ดดี้ไปก่อนนะครับ”  ธารตอบกลับอย่างดี๊ด๊าแล้วกลับห้องของตัวเองไปอย่างง่ายดายเพราะอย่างน้อยเขายังมีหวังว่าแก้วจะหายโกรธ เอาวะ พรุ่งนี้ยังมีหวังวันนี้กลับไปนอนเก็บแรงเอาไว้ง้อแก้วต่อดีกว่า

______________________________________________________________

ก็ว่าเหมือนลืมอะไรไป  ที่แท้เมื่อวันจันทร์เราลืมอัพนิยาย !! :katai1:
เก๋าขอโทษนะเตง

แต่ไหนๆก็กลับมาแล้วเรามาลุ้นกับความรักหวานซึ้ง(?)ของพี่ธารกันดีกว่าเนอะ

ขอบคุณที่ติดตามนะคะ

ออฟไลน์ Jibbubu

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3385
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-6
ง้อสำเร็จจนได้นะพี่ธาร พี่ธารอย่าอารมณ์ร้อนนักซิ อย่าพูดไม่คิดแบบนี้อีกนะเดี๋ยวแก้วจะเสียใจอีก

ออฟไลน์ wavery

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 124
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-2

ฝนหยดดที่ 11



                เพราะความตั้งใจตั้งแต่เมื่อคืนนี้ว่าตอนเช้าเขาจะง้อว่าที่คุณแม่ให้ได้ ทำให้ชายหนุ่มลูกครึ่งลุกขึ้นจากที่นอนตั้งแต่ฟ้ายังไม่สางเพื่อเข้าครัวมาทำอาหารเช้าเองเพื่อหวังว่าเสน่ห์ปลายจังหวะที่แม่ของเขาอุตสาห์พรั่มสอนมาอย่างเหนื่อนยากจะสามารถทำให้อีกคนรับรู้ถึงความตั้งใจจริงในการง้อครั้งนี้ของเขาโดยไม่สนสีหน้าแลดูแปลกใจของลูกน้องที่มีหน้าที่ดูแลเรื่องอาหารอย่างพลที่เพิ่งเดินเข้ามาพร้อมกับมองมาทางเขาด้วยสีหน้าแปลกใจ

                “อ้าวพล พอดีเลยมาๆๆมาชิมสิว่าอร่อยยัง”

                เขาเงยหน้าขึ้นก่อนกวักมือเรียกพลที่ยืนอยู่ให้เข้ามาใกล้ๆเพื่อใช้เป็นหนูลองยาชิมอาหารเช้ามื้อสำคัญของเขาในวันนี้ พลเองก็ไม่ได้ขัดอะไรตัดข้าวต้มเข้าปากช้าๆทำเอาเขานี้ลุ้นอย่างหนักว่าผลที่ออกมามันจะเป็นยังไง ถึงแม้ว่าในตามจริงแล้วแค่ข้าวต้มที่ถือว่าเป็นอาหารเบสิกสำหรับคนหันทำอาหารแล้วไม่จำเป็นต้องชิมก็ได้เพราะถึงยังไงรสชาติมันก็เหมือนๆกันหมดก็เถอะแต่เขาก็อดที่จะลุ้นไม่ได้นี่นะเพราะอย่างน้อยๆนี้ก็เป็นอาหารมื้อแรกที่เขาทำให้แก้วกินเลยนะถึงจะมีคนอื่นได้กินด้วยก็เถอะ

                 “ก็อร่อยดีครับนาย”    เสียงนิ่งๆไม่แสดงอารมณ์พอๆกันเซลล์หนังหน้าที่ตายของอีกคนก็เรียกรอยยิ้มพอใจให้อีกคนได้ดี

                “งั้นไปตั้งโต๊ะเลยเดียวฉันตักข้าวเอง ให้ชายไปตามคนอื่นๆ มาทานข้าวด้วยละ”  ธารว่าหลังจากหันไปมองนาฬิกาที่แขวนไว้บอกเวลาเกือบเจ็ดโมงเช้าก่อนจะหันกลับมาวุ่นกับการตักข้าวต้มร้อนๆ ใส่ชามให้สมาชิกในบ้านจนครบแล้วจึงส่งให้ชายน้ำไปวางไว้ที่โต๊ะให้แต่ละคน

                 หลังจากทุกอย่างถูกจัดวางเป็นที่น่าพอใจแล้วเขาจึงมานั่งรอทุกคนอยู่ที่โต๊ะกินข้าวจนเวลาผ่านไปเกือบสิบนาทีสมาชิกกลุ่มแรกของเขาที่นำมาโดยน้องเกลสุดที่รักของเขาก็ออกมาจากห้องพร้อมกับชิตรัตน์และเกรซ

                ถึงเขาจะไม่ชอบใจเท่าไรที่เห็นชิตรัตน์เดินออกมาจากห้องนอนของเกลแต่ก็ต้องปั้นหน้ายิ้มเข้าไว้เพื่อเรียกคะแนนจากแก้วกล้าที่เดินตามเข้ามาทีหลังโดยมีชาติคอยช่วยประคองเดินช้าๆ

                “เห็นพี่ชายบอกว่าวันนี้พี่ธารลงมือทำอาหารเช้าเองมีอะไรหรือเปล่าครับ” เกลถามขึ้นก่อนมองชามข้าวต้มของตัวเอง

                “ก็ไม่มีอะไรนิ วันนี้พี่ตื่นเช้านิดหน่อยนะ”  ธารว่ายิ้มๆ

                เขารอจนสมาชิกในบ้านทุกคนนั่งประจำที่ครบทุกคนแล้วจึงลงมือตักข้าวต้มในชามของตัวเองเพื่อบอกเป็นนัยๆให้ทุกคนเริ่มจัดการอาหารตรงหน้าได้ แต่หลังจากเริ่มทานไปได้ไม่เท่าไรอยู่ดีๆไรอัลที่สีหน้าดูไม่ค่อยจะดีมาตั้งแต่แรกก็ขอตัวลุกออกจากโต๊ะไปเสียดื้อๆ

                “เดี๋ยวผมไปดูเองครับ”   ปีแอร์พูดก่อนจะขอตัวตามคนรักของตนที่รีบเดินหายเข้าไปในห้องน้ำด้านหลัง

                ธารมองต่างท่าทีของเพื่อนสนิทของตนอย่างนึกเป็นห่วงแต่เมื่อเห็นว่าอีกคนมีคนคอยดูแลอยู่แล้วจึงหายห่วงไปได้เปราะหนึ่ง

                   หลังจากทานอาหารเช้ากันเรียบร้อยแล้วทุกคนต่างก็แยกย้ายกันกลับห้องหรือไม่ก็ออกไปเดินเล่นกันด้านนอก ส่วนธารเองนั้นที่ตั้งใจว่าวันนี้เขาจะเดินหน้าง้อแก้วเต็มที่ถึงขนาดว่าเปิดเน็ตเข้าเว็บไซต์ยอดนิยมหาข้อมูลและวิธีการง้อร้อยแปดพันเก้าสารพัดวิธีที่คิดว่าคนตัวเล็กต้องใจอ่อนแต่สุดท้ายแผนการทุกอย่างก็ต้องพับลงกระเป๋าเมื่อเขาเอาเรื่องนี้มาปรึกษาไรอัลที่อาการเมื่อเช้าเริ่มดีขึ้นมาบ้างแล้วกลับต้องมาเจอคำตอบกลับที่เขาเองก็โต้แย้งอะไรได้เลย
     
                “จะง้อคุณแก้ว เอาไว้หลังจากพาคุณชิตรัตน์ไปดูที่ก่อนจะดีไหมครับ ผมบอกคนดูแลไว้แล้วว่าวันนี้จะเข้าไป”

                และนั้นแหละคือคำตอบที่ทำเอาเขาเข่าแทบทรุดพอจะเอ่ยปากขอเลื่อนวันออกไปก็เจอพูดดักทางแบบนี้อีก สุดท้ายแล้วตอนนี้เขาเลยต้องมาอยู่บนรถที่กำลังมุ่งหน้าไปดูที่ดินสำหรับทำรีสอร์ตกับชิตรัตน์โดยมีไรอัลและพลมาด้วย บรรยากาศในรถเป็นไปอย่างอึมครึมส่วนหนึ่งก็คงเพราะตัวเขาเองเลือกที่จะเงียบไม่พูดกับชิตรัตน์ทั้งที่ฝ่ายนั้นทำท่าเหมือนมีเรื่องอยากจะคุยกับเขาเป็นแบบนี้มาตั้งแต่ก่อนออกจากบ้านจนถึงที่หมาย

                 พอลงจากรถเขาก็ยกหน้าที่การอธิบายรายเอียดเกี่ยวกับที่ดินทั้งหมดให้กับไรอัลเป็นคนจัดการเพราะถึงอย่างไรไรอัลก็รู้เรื่องดีกว่าเขาอยู่แล้ว ส่วนตัวเขานะเหรอแค่เดินตามหลังเฉยๆตอบบ้างแล้วแต่อารมณ์แต่ส่วนใหญ่เลือกที่จะไม่ตอบเสียมากกว่า ก็คนมันพอใจที่จะไม่ตอบนิใครจะทำไม

                “ในความคิดของผมน่ะ ที่ตรงนี้มันมีข้อดีตรงที่เป็นช่วงมุมทำให้มีทั้งด้านหน้าและด้านข้างที่ติดกับทะเลแถมยังมีถนนตัดผ่านอีกหากว่าเราสร้างตัวอาคารที่เป็นตึกเป็นรูปครึ่งวงกลมหรือตัวบ้านหลังเล็กๆกระจายตัวรอบๆคนที่เข้ามาพักจะได้มองเห็นวิวทะเลได้มากขึ้น คุณสองคนคิดว่ายังไงครับ”

                ชิตรัตน์เอ่ยขึ้นหลังจากเดินดูสถานที่รอบๆพร้อมกับฟังสรรพคุณต่างจากไรอัลแล้วจึงเอ่ยถามเขากับไรอัลขึ้น แต่ในความเป็นจริงแล้วคำถามนี้น่าจะเป็นหัวข้อชวนเขาคุยเสียมากกว่า แต่เขาก็เลือกที่จะทำเพียงเหลือบมองหน้าของคนที่คอยจดบันทึกรายละเอียดที่ได้เห็นไปด้วยถ่ายภาพไปบ้างแทนเลขาของตัวเองที่ถูกสั่งให้รออยู่ที่บ้านเพียงเล็กน้อยแล้วหันกลับไปสนใจอย่างอื่นแทนโดยไม่สนว่าชิตรัตน์จะรู้สึกหน้าเสียหรือไม่จนคนที่เขาคิดว่าคงจะทนกับพฤติกรรมของเขาไม่ไหวแล้วอย่างไรอัลถึงกลับต้องกระทุ้งศอกใส่ท้องเขาอย่างแรงก่อนจะเป็นฝ่ายที่ช่วยอีกคนออกความเห็นแทนเขา

                 แต่ก็ต้องยอมรับนะว่าคนอย่างชิตรัตน์ความมีสามารถวิเคราะห์สถานที่ดีคงจะเป็นเพราะด้วยหน้าที่การงานที่มักจะต้องยุ่งเกี่ยวอยู่กับอาคารสถานที่เป็นหลักด้วยก็เป็นได้ได้ดีมีมุมมองความคิดในการจัดวางตัวอาคารได้รวดเร็วแบบนี้ แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้นก็เถอะตอนนี้ทิฐิเขามีสูงกว่าเยอะที่จะมองว่าส่วนนั้นเป็นข้อดีของอีกคน

                   พวกเขาเดินดูที่กันต่ออีกนิดหน่อยเก็บรายละเอียดเรื่องต่างๆเกี่ยวกับสภาพแวดล้อมโดยรอบจนพอใจแล้วธารก็เดินไปที่รถเป็นเชิงว่าจะกลับแล้วทำให้ชิตรัตน์ที่คิดอยากจะเดินอีกสักหน่อยแต่ก็ต้องจำใจเดินขึ้นรถตามเจ้าของที่ดินขึ้นรถไป

                   ไรอัลที่มองเหตุการณ์มาตั้งแต่อยู่บนรถรู้สึกไม่สบอารมณ์ที่เพื่อนวัยเด็กที่ควบตำแหน่งเจ้านายทำตัวเป็นเด็กและเริ่มจะทำให้งานเสียพอเห็นว่าคนทั้งสองขึ้นรถไปแล้วจึงสั่งให้พลจัดการล็อกรถจากข้างนอกทันทีโดยไม่สนใจเสียงร้องตกใจของธารและชิตรัตน์ที่ถูกขังไว้ในรถ

                   “ทำอะไรของนายไรอัล เปิดประตูเดี๋ยวนี้ เปิด”

                   ธารใช้ฝ่ามือทุบลงกับกระจกหน้าต่างของรถในฝั่งของเขาเองอย่างแรงเพื่อหมายให้คนทั้งสองที่ยืนกอดอกมองเขาอยู่นอกตัวรถเปิดประตูให้กับเขาหรือขึ้นมาบนรถสักทาง

                   “ก็ถ้ายังทำตัวเป็นเด็กไม่รู้จักโตก็อยู่ในนั้นไปก่อนละกัน”  ธารมองอีกคนอย่างไม่ชอบใจแต่ก็ทำอะไรไม่ได้เมื่อเจ้าตัวแสบลากพลเดินไปหาอะไรกินที่ถนนใหญ่เรียบร้อยแล้ว  ทิ้งให้เขาต้องนั่งอยู่ในรถกับผู้ร่วมชะตากรรมที่เขาไม่ชอบขี้หน้า หึ ยิ่งหันไปมองก็ยิ่งหงุดหงิด

                  ฝ่ายชิตรัตน์เองก็ใช่ไม่ว่าจะไม่รู้สึกถึงความกดดันกลายๆที่อีกฝ่ายส่งกลับมาให้เขาตลอดเวลาที่อยู่ด้วยกัน แต่เขาเองก็อยากจะพูดคุยเพื่อที่ว่าอย่างน้อยอีกคนจะได้เข้าใจในความคิดของเขาบ้างไม่มากก็น้อย และบางทีนี้อาจเป็นโอกาสที่ไม่มีมากของเขาแล้วก็ได้ที่ไรอัลอุตส่าห์ขังพวกเขาเอาไว้บนรถด้วยกันสองคนแบบนี้

                  “ดูคุณไม่ค่อยอยากจะอยู่กับผมเท่าไรเลยนะครับ” เขาเริ่มบทสนทนาง่ายๆจากความรู้สึกของตัวเองออกมา แต่ก็นั้นแหละเพราะธารทำเพียงแค่เหลือบมองหน้าของเขาทางหางตาเท่านั้นก่อนจะหันไปสนใจที่หน้าต่างอีกครั้ง

                  “ผมรู้ว่าผมผิดที่เคยทำเรื่องเลวร้ายแบบนั้นกับเกลไป ผมจะไม่พูดแก้ตัวอะไรเพราะผมเองก็ยอมรับว่าผมก็มีส่วนผิดด้วย”  ชิตรัตน์พูดออกมาตามที่ตนคิด ถึงบางอย่างเขาอาจไม่ได้ทำไปเองโดยตรงอย่างเรื่องของอุบัติเหตุครั้งนั้นแต่ที่เกลเป็น อย่างนั้นมันก็เพราะเขาอีกนั้นแหละเพราะเมื่อวานนี้ก่อนอาหารเย็นหลังจากที่เขาเห็นว่าสองแม่ลูกหลับไปเรียบร้อยแล้วเขาจึงออกมาจากห้องเพื่อขึ้นไปคุยกับแก้วกล้าในหลายๆเรื่องก่อนจะได้ฟังเรื่องที่น่าตกใจเกี่ยวกับอุบัติเหตุของเกลที่ธารตราหน้าเขาว่าเขาคือสาเหตุของเรื่องนี้ และเพื่อให้แน่ใจเขาจึงย้อนกลับมาถามคนรักของเขาอีกครั้งในคืนนั้น

                  “เกลพี่ถามได้ไหมเรื่องอุบัติเหตุ”

                 เกลมีอาการตื่นเล็กน้อยตอนที่เขาถามเรื่องนี้ ขนาดที่ว่ามีที่กำลังกอดลูกชายอยู่นั้นถึงกับสั่นเบาๆให้ได้เห็น จนเขาเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่าที่เขาถามออกไปนั้นมันจะใช่ความคิดที่ถูกหรือเปล่า

                “ปีก่อน กะ เกลกลับมาไทย...เกลเห็นพี่ชินอยู่บนรถคันนั้น กะ กับผู้หญิง.......พี่ชินมีคนอื่น ฮึก พี่ชินทิ้งเกล”

               น้ำเสียงสั่นที่เล่าเรื่องออกมากระท่อนกระแท่นจนเขาเองแทบจับประเด็นอะไรไม่ได้เลยนอกจากว่าเรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อปีก่อนถ้าให้มานั่งคิดๆดูในช่วงปีที่ผ่านมาเขาแทบจะไม่ได้ให้ใครขึ้นรถเลยนอกจากลูกชายกับเลขาของเขาทั้งสอง เอ๊ะ หรือว่าจะเป็นตอนนั้น

                   “เกลใจเย็นๆ นะฟังพี่ก่อน “
                    เขารั้งอีกฝ่ายกลับมาหาพร้อมกับใช้ฝ่ามือลูบไปทั่วในหน้าสวยที่เต็มไปด้วยคาบน้ำตา

                   “พี่ไม่ได้มีใครจริงๆ วันนั้นพี่คนที่อยู่บนรถกับพี่คือแม่พี่เอง พี่ไม่ได้นอกใจหรือมีใครจริงๆ”

                   “จริงๆ นะ พี่ไม่ได้หลอกเกลใช่ไหม”


                ถึงคืนนั้นเขาจะสามารถพูดให้เกลเข้าใจได้แต่ถึงยังไงสุดท้ายแล้วก็เป็นเขาอีกอยู่ดีที่ทำให้คนรักต้องเจ็บปวดทั้งกายทั้งใจ และตอนนี้เขาเองก็ไม่ได้หวังอะไรจากการอธิบายเรื่องที่เกิดขึ้นให้อีกคนฟังเพราะเขาเองก็ยอมรับคำพูดของธารเหมือนกันในเรื่องนี้

                “ผมอยากบอกคุณว่าผมขอโทษที่ผมเคยทำอะไรที่ไม่ดีกับเกลไปผมเลยอยากจะมาขอโอกาสกับคุณ ขอให้ผมได้เป็นคนดูแลเกลอีกครั้งจะได้ไหมครับ”

                “เหอะ แกคิดว่าอย่างคนอย่างแกมันจะดูแลอะไรน้องฉันได้ แค่ปัญญาจะหาเกลให้เจอแกยังไม่มีเลย”

                 คำพูดและสีหน้าจริงจังที่ชิตรัตน์ส่งมาให้เขานั้นถามว่าเขารับรู้ถึงสิ่งนั้นไหม เขารับรู้แต่แล้วมันจะยังไงละในเมื่อมันมีครั้งที่หนึ่งมาแล้วทำไมครั้งที่สองมันจะตามมาไม่ได้  และถึงเขาจะเป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้อีกฝ่ายหาเกลไม่เจอก็เถอะแต่ได้ทีก็ขี่แพะไล่หน่อยเถอะ

                “ผมพยายามหาแล้วพยายามทุกทางแต่ถ้าไม่มีใครจงใจปกปิดเรื่องของเกลเอาไว้จากผมยังไงผมก็ต้องหาเกลเจอแล้วบางทีอะไรๆอาจไม่ได้แย่ขนาดนั้นก็ได้”  ธารหันขวับกลับมามองหน้าชิตรัตน์อย่างเอาเรื่องกับคำพูดที่เหมือนรู้ว่าเขาเป็นคนทำพร้อมทั้งคำที่เหมือนว่าเขาเองก็มีส่วนในเรื่องนี้ด้วยอย่างนั้น

                “ผมพูดอะไรผิดหรือครับ ผมพยายามหาเกลมาตลอดแต่คุณก็ค่อยที่จะปกปิดมันทุกเรื่องเพราะอะไรล่ะครับ ทำไมอยู่ๆถึงได้พาเกลมาเจอผมด้วยตัวคุณเอง สมเพชผมหรอครับ”  ชิตรัตน์ตอบกลับอย่างเอาเรื่องเช่นกันไม่ใช่ว่าเขาไม่โกรธที่พี่ชายของคนรักทำแบบนี้แต่เขาไม่อยากทำให้เกลต้องคิดมากเพราะแค่นี้เขาก็รู้แล้วว่าอีกคนต้องเจอกับเรื่องราวเลวร้ายแค่ไหน

                “ใช่ ฉันสมเพชคนอย่างแกและที่ฉันพาน้องเกลมาที่นี้ก็เพื่อบอกให้แกรู้ว่าความคิดตื้นๆ ของแกมันทำร้ายน้องฉันมาขนาดไหนฉันจะไม่ยอมยกโทษกับสิ่งเลวร้ายที่แกทำไว้กับน้องฉัน   แกเคยคิดบ้างไหมว่าตลอด5ปีที่ผ่านมาเกลต้องเจอกับอะไรมั่งแกรู้ไหม น้องฉันต้องอยู่อย่างหวาดผวาแค่ไหนกลัวมากแค่ไหนกรีดร้องแทบขาดใจแค่ไหนตอนที่คิดถึงเรื่องแย่ๆที่แกเอาลูกไปนะหะ! ถึงเกลจะยกโทษให้แต่ฉันไม่มีวันให้อภัยคนอย่างแก!!”  เขาระเบิดอารมณ์ที่อัดอั้นทั้งหมดใส่ชิตรัตน์เสียงดังจนต้องมานั่งหอบ ก่อนจะสะบัดหน้าหนีคนที่เบิกตากว้างอย่างตกใจแล้วก่อนจะค่อยๆหลบสายตาเขาไป

                 “ผมขอโทษจริงๆ แต่ตอนนั้นผมไม่มีทางเลือกแล้ว”

                “แกมันก็แค่ไอ้ขี้ขลาด ทำมาพูดว่าเลือกไม่ได้ เหอะ! อย่าพูดให้ขำเลย”

                 ธารไม่สนหรอกว่าคำพูดของตนนั้นนะทำให้ชิตรัตน์รู้สึกเช่นไรแต่เขารู้แค่ว่าคำพูดพวกนี้มันยังน้อยไปด้วยซ้ำกับที่มันทำกับน้องเขา  ทั้งรถตกอยู่ในความเงียบอีกครั้งทันทีที่เขาพูดจบแต่ก็ดีเพราะเขาไม่รู้เหมือนกันว่าหากชิตรัตน์ยังพูดแก้ตัวอะไรขึ้นมาแล้วเขาจะยังยั้งอารมณ์ไม่ให้ต่อยหน้าผู้ร่วมรถได้อยู่หรือไม่   แต่ก็รอไม่นานไรอัลกันพลก็เดินกลับมาธารทำเพียงมองหน้าไรอัลนิ่งๆ แล้วสะบัดหน้าหนีอย่างไม่สนใจจนอีกฝ่ายต้องถอนหายใจออกมาอย่างแรงกับนิสัยเหมือนเด็กๆ ที่แก้ยังไงก็ไม่เคยหาย

 

                ทางด้านแก้วกล้าเองที่พยายามหนีหน้าและไม่สนใจการกระทำต่างๆที่ธารพยายามทำอะไรๆให้เขาอย่างออกนอกหน้าอย่างเช่นข้าวต้มกุ้งเมื่อเช้า แต่เขาก็เลือกที่จะทำเป็นไม่สนใจและพยายามเดินหนีทุกครั้งที่ธารพยายามจะเข้าหาซึ่งโชคก็เข้าข้างเขาอยู่บ้างที่ไรอัลมาจัดการลากเอาทั้งเจ้านายของเขากับเจ้าของตัวเองออกไปดูที่ที่จะใช้ในการทำรีสอร์ต  ตอนแรกเขาก็ตั้งใจว่าจะไปด้วยอยู่หรอกแต่เพราะชิตรัตน์บอกไม่ต้องไปซึ่งเขาก็ไม่ขัดอยู่แล้วเพราะถ้าไปแล้วต้องอึดอัดเวลาทำงานเขาอยู่นี้รอตรวจเอกสารดีกว่าและที่สำคัญเขาแค่ยังไม่อยากเจอหน้าอีกฝ่ายตรงๆด้วยก็เท่านั้น

                  อาจเพราะคำพูดที่เหมือนดูถูกแบบนั้นแล้วไหนจะเรื่องจะคุณเกลกับเจ้านายเขาอีกที่สำคัญเขามีเรื่องที่ยังคาใจอยู่อีกเรื่องหนึ่งที่ต้องถามกับน้องชายของอีกฝ่าย  คิดได้ดังนั้นแก้วกล้าจึงลุกจากโซฟาในห้องนั่งเล่นแล้วเดินไปยังห้องที่เกลอยู่  แต่เสียงที่ดังลอดออมาจากบานประตูที่ปิดไม่สนิทนั้นทำให้เขาต้องหยุดฟังเสียงเล็กๆของเด็กชายคนเดี่ยวที่นี้กำลังพูดเล่านู้นเล่านี้อย่างมีความสุขจนเขาเองก็อดยิ้มตามไม่ได้ น้องเกรซที่ไม่ค่อยจะพูดและชอบทำหน้าเหมือนคิดเยอะตลอดเวลาผิดวิสัยของเด็กกำลังโตตอนนี้กำลังมีความสุขที่ได้อยู่กับคุณแม่คนที่เด็กน้อยมักจะมาพูดกับเขาเสมอว่าอยากเจอ บางทีความสุขของเด็กก็อาจเป็นการได้อยู่กับครอบครัวที่พร้อมหน้าพร้อมตา พอคิดมาถึงตรงนี้แก้วกล้าก็นิ่งไปก่อนค่อยๆยกมือลูบหน้าท้องตัวเองเบาๆ แล้วลูกของเขาละจะมีความสุขเหมือนเกรซในตอนนี้ไม่แล้วถ้าเขาร้องหาพ่อละจะทำยังไง คิ้วเรียวได้รูปเริ่มขมวดกันอย่างคิดหนักถึงเขาไม่อยากเครียดแต่เมื่อเจอเรื่องแบบนี้เขาเองก็อดคิดหนักไม่ได้

                “คุณแก้วเข้ามาก่อนสิครับ”

                !!

                เสียงของคนที่เขาตั้งใจจะมาหาดังเรียกสติเขาให้หันไปสนใจบานประตูที่เปิดออกด้วยฝีมือของหนุ่มต่างชาติที่เขาจำได้ว่าเป็นคนสนิทของเจ้าของห้องพร้อมคำพูดเชื้อเชิญอย่างทีเล่นทีจริงอย่างคนอารมณ์ดีที่ทำให้เขายิ้มตาม

                “อาแก้มมีอะไรหรือเปล่าครับ”

                “คือ...อามีเรื่องอยากจะคุยกับคุณแม่ของน้องเกรซหน่อยนะครับ”  เขาตอบเสียงนุ่มกลับไปให้เด็กน้อยก่อนที่จะหันไปมองเกลอย่างรอคำตอบ

                “งั้น ปีแอร์พาน้องเกรซออกไปเล่นที่ชายหาดก่อนละกันนะ”

                “ครับ”  ทั้งสองตอบรับอย่างยินดีก่อนจะพากันออกไปจากห้องพร้อมปิดประตูให้ แก้วกล้าเองเมื่อทั้งสองออกไปก็เดินไปนั่งที่เก้าอี้ข้างๆเตียง แต่ก็ยังไม่เริ่มพูดอะไรออกไปได้แต่นั่งก้มหน้าอยู่อย่างนั้นเหมือนกำลังเรียบเรียงคำถามที่จะเอ่ย แต่ดูท่าคนที่จะถูกถามกลับต้องเป็นฝ่ายถามขึ้นมาสะเอง

                 “คุณแก้วมีอะไรหรือครับ ดูไม่ค่อยสบายใจนะ” เสียงอ่อนๆที่เอ่ยถามออกมาทำเอาเขาเริ่มใจชื้นขึ้นกับคำถามที่อยากจะถาม

                  “ก็ไม่เชิงนะครับ คือผมมีเรื่องอยากจะถามคุยสักเรื่องหน่อยนะครับ” เขาเอ่ยเสียงแผ่วอย่างไม่ค่อยแน่ใจเท่าไร

                “ถามเรื่องอะไรเหรอครับ”

                แก้วกล้ามองใบหน้าสวยของคนตรงหน้าอย่างชั่งใจอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะหายใจเข้าลึกเพื่อรวบรวมกำลังใจก่อนจะถามคำถามที่เขาคิดอยู่ในใจออกไป

                “คุณเกลยอมให้อภัยคุณชินจริงๆหรอครับ”

                เขาถามออกไปพร้อมจ้องหน้าอีกคนอย่างรอเอาคำตอบ แต่ดูเหมือนคำถามของเขาจะทำให้คนหน้าสวยดูตกใจอยู่ไม่น้อยก่อนจะยิ้มออกมาให้เขาก่อนจะถามกลับ

                “ทำไมคุณถึงถามเรื่องนี้ละครับ”

                “เพราะผมไม่คิดว่าคุณจะให้อภัยคนที่ทำให้คุณต้องเจอเรื่องร้ายมาตลอดหลายปีได้ง่ายๆ แถมพี่ชายคุณยังแสดงออกมาแบบนั้นอีกผม.....”
 
                “หึหึหึ”  อยู่ๆ เกลก็หัวเราะในลำคอขึ้นมาขัดทำเอาแก้วกล้ามองหน้าอีกฝ่ายอย่างไม่เข้าใจ
 
                 “ ???”

                “คุณนี้ชั่งสงสัยดีจังเลยนะครับ ผมชอบ” คำพูดของเกลเหมือนว่าจะเป็นการพูดกับตัวเองเสียมากกว่าการพูดกับเขา

                 “ส่วนที่คุณถามผมก็พอเข้าใจว่าคุณเป็นห่วงพี่ชิน แต่ถ้าผมบอกไปคุณต้องไม่เอาไปบอกคนอื่นนะครับโดยเฉพาะพี่ธารกับพี่ชิน”

                 แก้วพยักหน้ารับพร้อมเอ่ยออกไปเบาๆ หากแต่รอยยิ้มที่อยู่บนใบหน้าของอีกฝ่ายที่ตอนแรกดูอ่อนโยนจนเริ่มทำให้เขาไม่ไว้ใจ แต่ตอนนี้รอยยิ้มของเกลในตอนนี้นั้นดูน่ากลัวและเหมือนมีอะไรที่มากกว่า แต่มันอะไรล่ะ

                เกลยิ้มหวานให้แก้วกล้าก่อนจะเอนตัวพิงกับหัวเตียงเพื่อให้อยู่ในท่าที่สบายกว่าเดิมก่อนจะหันมามองแก้วกล้าตรงๆอีกครั้งพร้อมกับเริ่มพูด

                “ถึงเรื่องที่เกิดขึ้นพี่ชินจะมีส่วนผิดอยู่บ้างแต่สำหรับผมแล้วพี่ชินไม่ใช่คนที่สมควรจะโดนโกรธ”

                “หมายความว่ายังไงครับ” เขาไม่เข้าใจในสิ่งที่อีกคนพูด

                “ถ้าเราไม่อยากให้ฝนตกเราก็ต้องทำให้ท้องฟ้าสว่างสิครับ  ถึงผมจะยกโทษให้พี่ชินแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าผมจะไม่โกรธเลยกับสิ่งที่เขาทำแต่ผมแค่ไม่อยากจัดการที่ปลายของฝนเหมือนพี่ธารเพราะที่ผมต้องการจัดการจริงๆ น่ะคือเมฆฝนต่างหากละครับ”

                “หรือว่าคุณคิดจะ....”
                เกลไม่ได้ตอบคำถามของแก้วกล้าแต่อย่างไรนอกจากเพียงส่งยิ้มมาให้แค่นั้น แต่แค่นี้มันก็ทำให้เขารู้แล้วว่าคนที่เกลอยากจัดการคือใคร

                “แล้วคุณจะทำยังไงกับคุณชินละครับ”

                “ก็ไม่นิ แต่คุณแก้วไม่ต้องกังวนไปนะพี่ธารนะไม่กล้าทำอะไรขัดใจผมหรอก”  ในความคิดของเขาตอนนี้เขาขอถอนคำพูดที่เคยพูดกับชิตรัตน์เมื่อก่อนทิ้งเลยที่ว่าอีกคนดูเป็นคนไม่มีพิษมีภัยอะไร เพราะนี้ทั้งน่ากลัวและเจ้าเล่ห์กว่าคนพี่เยอะเลย

                “แต่ผมดีใจนะที่พี่ชินได้คนอย่างคุณแก้วมาทำงานด้วย และผมก็ยินดีอย่างยิ่งที่พี่ธารจะได้คุณมาอยู่ข้างกาย” เกลยิ้มส่งไปให้คนที่ใบหน้าเริ่มแดงอย่างเขินอาย จนเขาเองยังอดยิ้มขำไม่ได้

                “มันไม่ใช่อย่างที่คุณเกลคิดนะครับ ผมกับคุณธารเราไม่ได้เป็นอะไรกัน”

                 เขารีบยกมือขึ้นส่ายปฏิเสธทันควันที่อยู่ๆดีอีกฝ่ายวกมาที่เรื่องนี้ เขาไม่ได้คิดอะไรกับธารถึงขนาดนั้นถึงมันจะมีบ้างที่เคยเผลอไปแต่มันไม่ใช่แบบนั้นแน่   

                “หึหึ  อย่างนั้นหรอครับ”

                “ครับ”

                เกลอมยิ้มมองคนที่ก้มหน้างุดซ่อนใบหน้าเขินอายนั้นเอาไว้ น่ารักน่าแกล้งถูกใจเขาจริง ไหนๆก็ไหนๆแล้วช่วยพี่ชายสักเรื่องก็คงไม่เสียหายอะไรหรอกจริงไหม?

                “คุณแก้วครับ ถ้าเกิดว่าพี่ธารพูดหรือทำอะไรให้คุณไม่พอใจก็อย่าไปถือเลยนะครับพี่ธารนะบทจะปากหมาก็หมาเลยชอบทำอะไรตามอารมณ์ไปหน่อยแต่ก็เป็นคนดีนะ ถ้าเขาพูดไม่ดีกับคุณไปยกโทษให้เขาไปเถอะนะครับ”  ยอมรับเลยปากหมาเนี่ย เขาละอยากจะพูดออกไปจริงๆ

                “อ่าครับ...จะพยายามนะ”  เขาตอบไปอย่างไม่เต็มเสียงนักแต่ก็ต้องรับปากไปเพราะไม่อยากให้อีกคนคิดมากและเขาเองก็ไม่อยากเก็บมันมาใส่ใจด้วย

                “แล้วหลังจากนี้คุณจะเอายังไงต่อไปหรือครับ” แต่เขาก็ยังคงอดถามอีกคนต่ออย่างสงสัยไม่ได้

                “ก็ยังไม่ทำอะไรหรอกครับ ขอผมมีความสุขอยู่กับครอบครัวของผมก่อนดีกว่า” เกลว่าอย่างสบายๆ ก่อนที่จะเริ่มชวนเขาคุยถึงเรื่องต่างๆแต่ส่วนมากจะเป็นเรื่องของเจ้าตัวเล็กสะมากกว่า
 


       
         :hao5:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ wavery

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 124
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-2
:katai5:



 ผ่านไปสักพักใหญ่ๆเสียงเครื่องยนต์รถก็ดังมาหยุดอยู่ที่หน้าบ้านทำให้แก้วกล้ากับเกลจบการสนทนาทั้งหมดลงประจวบเหมาะกับที่ปีแอร์กับเกรซวิ่งเปิดประตูเข้ามาเพื่อมาบอกว่าคนที่ที่ออกไปธุระข้างนอกกลับมาแล้ว  ปีแอร์ตรงเข้าไปพยุงเกลมานั่งที่วีลแชร์เช่นเดียวกับเกรซที่รีบวิ่งไปจับมือของแม่เอาไว้แล้วเดินออกจาห้องไป ส่วนเขาที่ตอนแรกที่กะว่าจะไม่ออกไปแต่ก็ต้องจำยอมให้ชาติที่ยกเอาเรื่องงานขึ้นมาอ้างพาเขาเดินตามทุกคนออกไป

                เมื่อเดินมาถึงห้องนั่งเล่นก็พอดีกับที่กลุ่มคนที่กลับมาเดินเข้าประตูมาพอดี ธารเดินนำหน้าทุกคนเขามาด้วยสีหน้าไม่ค่อยสบอารมณ์เท่าไรนัก ก่อนจะเดินเข้าไปกอดน้องชายของตนเอง

                “กลับมากันแล้วหรอครับ ไปดูที่มาเป็นไงมั่ง” เกลที่ผละออกจากพี่ชายแล้วจึงถามออกไป

                “ก็ดี พี่ขอตัวก่อนนะ” ธารผละออกจากเกลแล้วเดินเลี่ยงขึ้นห้องของตัวเองไปทันทีโดนไม่แม้จะมองหน้าของแก้วกล้าที่ยืนอยู่ตรงนั้นเลยแม้แต่น้อย จนคนที่ยืนนิ่งมองตามหลังอีกคนที่ดูเปลี่ยนไปอย่างไม่เข้าใจ

                “นี้รายละเอียดกับภาพถ่ายนะ  ตรวจสอบแล้วเอามาให้ฉันด้วยละ” แต่เสียงของชิตรัตน์ก็ทำให้เขาหันกลับสนใจสิ่งที่อยู่ตรงหน้าก่อนจะยื่นมือออกไปรับของจากเจ้านายที่มีสีหน้าเหมือนหนักใจซึ่งเขาก็พอจะเดาเรื่องได้บางแล้วมาระหว่างที่ไปดูพื้นที่กันนั้นคงจะต้องเกิดอะไรบางอย่างขึ้น

                ชิตรัตน์ส่งสมุดโน้ตของตนพร้อมกล้องถ่ายรูปนั้นแก้วกล้าเสร็จก็หันไปหาเกลที่นั่งอยู่ก่อนจะเข็นวีลแชร์นั้นเดินกลับไปที่ห้องของอีกคน

                “คุณพ่อดูไม่ดีเลยนะครับอาแก้ว” เกรซเอ่ยออกมาอย่างเป็นห่วง ซึ่งเขาเองก็คิดเช่นนั้น

                “คงเพราะแดดแรงล่ะมั้งครับ น้องเกรซไปเอาน้ำเย็นๆ ไปให้คุณพ่อที่ห้องดีไหมเพื่อว่าจะดีขึ้น” เขาเสนอขึ้น

                  “ครับ” เด็กชายรับคำก่อนจะดึงให้ชาติที่ยืนอยู่ข้างๆเขาหายเข้าไปในครัวด้วยกัน

                 แก้วกล้ามองทุกคนที่เริ่มแยกย้ายกันไปก่อนที่จะเดินไปทรุดตัวนั่งลงที่เก้าอี้ที่โต๊ะกินข้าวก่อนจะเริ่มหยิบสมุดโน้ตที่ชิตรัตน์จดรายละเอียดมาอ่านพร้อมทั้งเปิดดูรูปภาพประกอบ จากที่เขาดูรูปแล้วพื้นที่ใช้สอยมีมากพอที่จะเปิดเป็นรีสอร์ตขนาดกลางได้และหากจัดสรรดีๆอาจมีเนื้อที่เหลือให้ทำอย่างอื่นอีกด้วย เขาควานมือไปบนโต๊ะเพื่อหยิบแท็บเล็ตเตรียมจะส่งอีเมล์หาบริษัทสถาปนิกที่ดีลงานด้วยกันบ่อยๆอย่างเคยชิน แต่ก็พบแต่ความว่างเปล่าจนนึกขึ้นได้ว่าตนลืมหยิบลงมาจากบนห้องด้วยจึงจะลุกขึ้นเพื่อไปเอาอุปกรณ์สื่อสารที่อยู่บนห้องแต่ไม่รู้ว่าเพราะลุกขึ้นเร็วไปหรืออย่างไรเขาจึงเกิดอาการหัวร้อนหน้าชาๆ จนต้องหยุดยืนและหลับตาเพื่อไล่อาการนั้นออกไปแต่ดูท่าแล้วมันไม่ช่วยอะไรแถมยังทำให้เขาเริ่มปวดหัวจนตาพร่าไปและเริ่มทรงตัวไม่อยู่จนเข้าคิดว่าต้องล้มลงไปแน่ๆ แต่ถ้าล้มไปจริงๆ คงจะไม่ดีแน่เขาจึงพยายามใช้สติอันเลือนรางที่ยังหลงเหลืออยู่รีบเอามือยกขึ้นมากุมท้องเอาไว้แล้วยื่นมืออีกข้างออกไปเพื่อว่าหากล้มลงไปแล้วมือข้างนั้นจะรองรับแรงกระแทกแทนได้ แล้วก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ เมื่อเขาล้มลงไปนั่งกับพื้นโดยมมีมือข้างนั้นรับแรงกระแทกแทนจึงทำให้เขาไม่เป็นอะไรมากแต่ข้อมือข้างนั้นเจ็บมากจนคิดว่ามันคงซ้นแต่เขาไม่มีสติเหลือพอแล้วที่จะหันไปดูข้อมือตัวเองแก้วกล้าจึงตัดสินใจปล่อยเลยตามเลยโดยการราบตัวเองนอนลงไปกับพื้นเมื่อไม่เหลือสติพอที่จะทำอะไรได้แล้ว

                  “แก้ว!!”

                เสียงตะโกนเรียกอย่างตื่นตกใจของธารดังขึ้นอย่างตกใจกับภาพของคนตรงหน้าที่นอนนิ่งราบอยู่กับพื้นอย่างใจเสีย ตอนแรกเขาแค่ว่าจะลงมาหาน้ำดื่มเพื่อดับอารมณ์ร้อนในหัว  แต่พอเดินมาถึงห้องครัวเขากลับลืมจุดมุ่งหมายแรกที่ตั้งใจไว้เสียสนิทพร้อมกับท่อนขายาวของเขาที่รีบพุ่งตัวเข้าไปไปประคองแก้วกล้าที่นอนราบเอามือกุมท้องอยู่ที่พื้น

                 “แก้วๆๆ แก้วได้ยินฉันไหม แก้ว!!”  ใบหน้าของอีกคนซีดมากจนเขาใจหาย แม้จะพยายามตบเบาๆ ที่หน้าของอีกคนเพื่อเรียกสติแต่ก็ไม่ได้ผลความรู้สึกเป็นกังวลยิ่งมีมากขึ้น เขาไม่รู้ว่าอีกคนสลบไปนานแค่ไหนหรือล้มไปแรงขนาดไหนแต่แค่ไม่เห็นเลือดก็ไม่ได้ทำให้เขาเบาใจลงได้เลยสักนิดเดียว เขาหันไปมาอย่างหาคนที่พอจะช่วยได้ก่อนจะตัดสินใจตะโกนเรียกคนที่อยู่แถวนั้นให้มาช่วยแทน

                “ชาย พล ไรอัล ปีแอร์ ใครอยู่แถวนี้มั่งเอารถออกที ได้ยินไหม!!”  ธารตะโกนลั่นบ้านพร้อมกับรีบช้อนตัวแก้วกล้าขึ้นอุ้มทันทีแล้วรีบวิ่งไปที่กลางบ้าน  พอดีกับชายและพลที่วิ่งเข้ามาจากทางหลังบ้านที่กำลังเตรียมเตาบาบีคิวต้องรีบทิ้งทุกอย่างแล้วมาหาคนเป็นนายที่กระวนกระวายทำอะไรไม่ถูก

                “เกิดอะไรขึ้นครับนาย” ชายเอ่ยถามอย่างร้อนใจ

                “รีบไปเอารถออกแล้วไปโรงบาล เร็วเข้า!!”   ธารพูดเสียงดัง พลเองเมื่อเห็นคนที่ซบอยู่แนบอกคนเป็นนายก็พอจะเข้าใจสถานการณ์มากขึ้นจึงรีบวิ่งกลับไปที่ห้องเพื่อไปเอากุญแจรถออกมา

                “ใครเป็นอะไรครับ” เช่นเดียวกับไรอัลเพิ่งที่เดินออกมาจากห้องพร้อมปีแอร์ถามขึ้นเมื่อยินร่างหนาตะโกนเสียงดัง

                “แก้วล้มฉันไม่รู้ว่าจะเป็นไรไหม พวกนายอยู่ที่นี้แล้วฉันจะรีบกลับ”  ธารบอกเสียงสั่นอย่างคนทำอะไรไม่ถูกก่อนจะรีบอุ้มแก้วกล้าไปที่รถทันทีที่ชายกับพลไปเอารถมาจอดที่หน้าประตู

               

                 ตลอดทางไปโรงพยาบาลแก้วกล้าไม่มีทีท่าว่าจะได้สติขึ้นมาเลย ยิ่งทำให้ธารร้อนใจหนักเข้าไปอีกค่อยบีบมืออีกฝ่ายไว้ตลอดทางจนถึงโรงพยาบาลบุรุษพยาบาลรีบเข้ามารับตัวคนที่ไม่ได้สติเข้าไปยังห้องตรวจทันที่และมีบางคนที่เข้ามาสอบถามอาการจากเขาด้วย เวลาผ่านไปเกือบสิบนาทีหมอที่เข้าไปตรวจถึงจะออกมา

                “ใครเป็นญาติคนไข้ครับ” คำถามเบสิกที่ออกจากปากของหมอวัยกลางคนทำให้รีบเด้งตัวขึ้นมาทันที

                “ผมครับ ผมเป็นสามีเขาครับ”  คำตอบที่หลุดออกไปทำเอาชายกับพลหันมองหน้ากันอย่างมิได้นัดหมาย

                “งั้นเชิญทางนี้หน่อยครับ”  หมอพูดขึ้นก่อนผายมือเชิญเขาเดินไปอีกทาง   โดยตลอดทางธารสังเกตว่าสีหน้าของหมอมีอาการวิตกกังวนเล็กน้อยถึงปลานกลาง มันยิ่งทำให้เขารู้สึกคิดหนักขึ้นไปอีก

                “มีอะไรหรือเปล่าครับ ภรรยากับลูกผมเป็นยังไงบ้าง”  น้ำเสียงที่ดูเครียดจนรู้สึกได้ถึงบรรยากาศกดดันที่แผ่ซ่านออกมาทั่วทั้งห้อง

                “หมอตรวจดูแล้วทั้งแม่และเด็กปลอดภัยดีครับ ถือว่ายังโชคดีที่ว่าคนไข้มีสติพอที่ใช้มือรองรับแรงกระแทกเลยทำให้มีข้อมือขวาที่ซ้นจะการล้มเท่านั้นละครับ” ธารยิ้มออกมาอย่างดีใจกับผลตรวจของหมอแต่ก็ต้องเครียดทันทีที่หมอพูดอีกประโยคออกมา

                 “แต่ที่ผมอยากจะพูดคือ คนไข้มีอาการความดันขึ้นสูงกว่าปกติ เท้าบวมเล็กน้อยและมีอาการเครียด ซึ่งมันมีความเสี่ยงที่ว่าคนไข้จะมีอาการครรภ์เป็นพิษหมออยากให้คุณพาคนไข้ไปตรวจให้ละเอียดอีกทีเพื่อความแน่ชัดนะครับ”

                 “ครับ เดี๋ยวผมจะเป็นคนพาเขาไปตรวจเอง”  ธารรับคำด้วยสีหน้าหนักใจ

                 “ดีแล้วครับ เดี๋ยวให้คนไข้นอนพักสักครู่ตื่นมาก็กลับบ้านได้แล้วครับ”  หมอว่ายิ้มๆก่อนที่จะขอตัวออกไป

                  ธารเดินตามหมอออกมาก็เจอกับชายที่ยืนรออยู่หน้าห้องพร้อมบอกว่าทางโรงพยาบาลย้ายแก้วกล้าไปนอนพักอีกห้องหนึ่งโดยมีพลตามไปเฝ้าให้แล้ว   เขาพยักหน้าก่อนเดินตามชายไปยังห้องพักฟื้นที่แก้วกล้าพักอยู่ก่อนจะบอกให้ทั้งสองคนออกไปแล้วให้โทรศัพท์บอกอาการให้คนที่บ้านพักได้รับรู้ด้วยจะได้ไม่ต้องเป็นห่วงอะไรมาก  ส่วนตัวเขาเองนั้นก็นั่งเฝ้าแก้วกล้าอยู่สักพักหนึ่งจนคนบนเตียงก็เริ่มขยับรู้สึกตัวแล้วค่อยๆลืมตาขึ้นมา

                  “แก้ว แก้วเป็นไงมั่ง” ธารรีบเด้งตัวจากเก้าอี้อย่างรวดเร็วพร้อมเอามือประกบเข้าที่สองแก้มของอีกคนอย่างเป็นห่วง

                 “ฉันเป็นห่วงแก้วมากรู้ไหม ตอนที่แก้วสลบไปฉันใจไม่ดีเลย”  เขาจรดหน้าผากของเขาลงแนบกับของอีกคนอย่างเคยชินพร้อมกับพูดความในใจของตนออกมาให้อีกคนรับรู้

                  “ผมไม่เป็นอะไรแล้ว ขอบคุณที่พาผมมาโรงบาล” 

                  “ฉันเป็นห่วงแก้วนะ” เขาย้ำคำอีกครั้งพร้อมจ้องมองลึกเข้าไปในดวงตาของอีกคนเพื่อหวังว่าจะสามารถสื่อความในใจนี้ไปถึงแก้วกล้าได้ แต่เขาคงไม่รู้หรอกว่าการกระทำของเขามันทำให้คนตรงหน้าหัวใจเต้นแรงมากแค่ไหนจนต้องหลบสายตาของเขา

                  “ฉันขอโทษเรื่องที่เมื่อวานฉันพูดไม่ดีกับแก้ว ฉันมันปากไม่ดีเองแก้วหายโกรธฉันเถอะนะ”  ธารพูดต่อโดยยังคงไม่ละใบหน้าและฝ่ามืออกจากใบหน้าของอีกคน เขากลัว กลัวว่าถ้าปล่อยไปอีกฝ่ายจะหันหนีเขาไม่ยอมรับฟังอะไรจากเขาอีก เขาไม่ต้องการ

                  “เอาเถอะเห็นแก่ว่าคุณพาผมมาส่งโรงบาลนะคราวนี้ผมจะยกโทษให้ก่อนแต่ถ้ามีอีกผมจะไม่ยอมแล้วนะ”  แค่นั้นแหละที่เขาอยากไห้ยิน   เพราะมันทำให้เขายิ้มกว้าออกมาทันทีที่เห็นว่าอีกคนยอมยกโทษให้

                  “ขอบคุณนะแก้ว ขอบคุณ ฉันสัญญาต่อจากนี้ฉันจะใช้สติมากกว่านี้จะไม่พูดหรือทำอะไรให้แก้วเสียใจอีก ฉันสัญญา” 

                    ไม่ว่าเปล่าธารรั้งร่างอสบนั้นเข้ามากอดไว้แน่นอย่างดีใจ ผิดกับแก้วกล้าที่ดูจะตกใจอยู่ไม่น้อยกับการกระทำของอีกคนที่เข้าถึงตัวเขาอย่างรวดเร็วเช่นนี้

                    “ผมอึดอัด ปล่อย” เขาว่าเสียงเขียวใส่คนตัวโตที่กอดเขาแน่น แต่ถึงปากจะพูดบ่นไปอย่างนั้นแต่ในใจเขาเองกลับรู้สึกดีที่ได้ยินคำพูดนั้น

                   “โทษที งั้นเดี๋ยวแก้วนอนพักไปก่อนนะ ฉันจะไปตามพยาบาลกับหมอมาให้”

                     ธารว่าก่อนจะเดินออกจากห้องไป  แก้วกล้ามองแผ่นหลังหนาของอีกคนที่หายไปหลับประตูก่อนจะย้อมกลับมาคิดทบทวนถึงเรื่องที่เกิดขึ้น  สำหรับอาการที่เขาเป็นวันนี้คงจะเป็นสัญญาณเตือนบางอย่างจากการที่เขาหมกหมุนอยู่กับเรื่องของธารมากเกินไปจนเผลอลืมคำเตือนของพี่หมอคนสวยนั้น

                “แม่ขอโทษนะตัวเล็ก ต่อจากนี้แม่จะดูแลหนูให้ดีกว่านี้”

                เขาลูบเบาๆไปที่หน้าท้องของตัวเองที่มีเจ้าตัวน้อยนอนอยู่อย่างขอโทษ แต่ยิ่งลูบเขากลับยิ่งคิดถึงอ้อมกอดเมื่อครู่ที่กอดตัวเขาเอาไว้ความรู้สึกมากมายที่ถูกส่งผ่านมายังเขา เขารับรู้ได้ดีว่าอีกคนเป็นห่วงเขากับลูกมากแค่ไหน


________________________________________________________________________________
เมื่อคืนกำลังจะอัพลงในเล้าอยู่ๆโน๊ตบุ๊คก็เป็นอะไรไม่รู้
อยู่ดีๆนางก็ขึ้นหน้าจอสลับสีประดึงเดินสวนสนาม (บางทีก็ไม่ต้องต้อนรับวันเด็กขนาดนั้นก็ได้) :katai1:


ไหนก็ไหนแล้วขอใช้พื้นที่นี้ขายของหน่อยเน้อ(ผิดกฎยังไงก็ขอโทษด้วย)
ตอนนี้ฝนกลางฤดูหนาวได้เปิดให้เพื่อนๆสั่งซื้อนิยายแบบPre-orderแล้วนะ
(ซึ่งภายในรูปเล่มจะมีตอนพิเศษที่จะไม่มีลงในเว็บด้วย)
โดยสามารถเข้าไปดูรายละเอียดต่างๆได้ที่
Pre ฝนกลางฤดูหนาว

 :mew1:
ขอบคุณที่ติดตามนะคะ

ออฟไลน์ wavery

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 124
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-2

ฝนหยดที่ 12




               “..................แกเคยคิดบ้างไหมว่าตลอด5ปีที่ผ่านมาเกลต้องเจอกับอะไรมั่งแกรู้ไหม น้องฉันต้องอยู่อย่างหวาดผวาแค่ไหนกลัวมากแค่ไหนกรีดร้องแทบขาดใจแค่ไหนตอนที่คิดถึงเรื่องแย่ๆที่แกเอาลูกไปน่ะฮะ! ถึงเกลจะยกโทษให้แต่ฉันไม่มีวันให้อภัยคนอย่างแก!!”

                  ทุกคำต่อว่าทุกกริยาที่ธานแสดงออกต่อเขาในตอนนั้นยังคงดังก้องอยู่ในหัวของเขาซ้ำไปซ้ำมาเพื่อตอกย่ำความผิดของเขาให้มากยิ่งขึ้น ต่อให้เขาจะหาข้องอ้างร้อยแปดมาแก้ต่างให้กับการกระทำในวันนั้นยังไงสุดท้ายแล้วเรื่องทุกอย่างมันก็มีจุดเริ่มต้นมาจากเขาทั้งนั้น ยิ่งพอกลับมาแล้วเห็นอีกคนออกมารับด้วยใบหน้ายิ้มแย้มแม้จะไม่กว้างมากมันก็ยิ่งตรอกย่ำว่าเขาไม่รู้อะไรเลยว่าภายใต้รอยยิ้มในวันนี้มันมีกี่หยดน้ำตาในวันที่ผ่านมา ยิ่งมองยิ่งรู้สึกผิดจนไม่กล้าสู้หน้า

                  “กลับมากันแล้วหรอครับ ไปดูที่มาเป็นไงมั่ง” เกลเอยถามสองหนุ่มผู้เป็นที่รักทั้งสอง

                   ชิตรัตน์มองภาพที่สองพี่น้องกอดกันตรงหน้าความจริงที่มันแจ่มชัดว่าคนที่ค่อยดูแลและปลอบโยนเกลมาเสมอไม่ใช่เขา หลังจากที่ทั้งคู่ผละออกจากกันแล้วธานขอตัวที่จะกลับขึ้นไปห้องเหมือนไม่ต้องที่จะเห็นเขาอย่างนั้นเขาเองก็พอจะเขาใจได้อยู่หรอ เลยทำได้แค่ผ่อนลมหายใจหนักๆออกมาก่อนมือหนาของเขาจะยื่นเอาสมุดจดพร้อมกล้องให้กับแก้วกล้าที่ยืนอยู่

                “นี้รายละเอียดกับภาพถ่ายนะ  ตรวจสอบแล้วเอามาให้ฉันด้วยละ”  สายตาที่แก้วกล้ามองมาที่เขาอย่างเข้าใจในความรู้สึกชิตรัตน์ยิ้มบางๆเชิงว่าไม่เป็นไรก่อนที่จะขอแยกตัวไปกับคนรัก

                เขาพาเกลกลับเข้ามาในห้องก่อนช่วยประคองให้คนรักเดินช้าๆไปที่เตียงนอน ส่วนเขาเองก็เดินไปเปิดบานหน้าต่างให้กว้างขึ้นเพื่อรอรับลมที่พัดเข้ามาอย่างใจลอย จนคนที่นั่งมองอยู่บนเตียงต้องทักขึ้นเพื่อเรียกสติของเขาให้กลับมา

                พี่ชินครับ”

                เขาหันกลับมามองคนรักที่สายตาแสดงออกชัดว่าเป็นห่วงเขาขนาดไหน ยิ่งอีกคนแสดงออกว่ารักและห่วงเขามาขนาดไหนแทนที่เขาจะรู้สึกดีแต่มันกลับตรงข้ามอย่างสิ้นเชิง มันเจ็บ

“พี่ชินเป็นอะไรไปหรือครับสีหน้าไม่ดีเลย”   น้ำเสียงเป็นห่วงนั้นมันยิ่งทำเขาหนักใจ

                “พี่ไม่เป็นไร”  และเลือกจะโกหกอีกคน พร้อมกับเดินเข้าไปนั่งที่ขอบเตียงนุ่ม

                “ไหนของเกลดูหน้าคนโกหกหน่อยสิ  ฝ่ามือนิ่มๆที่ประกบเข้าที่แก้มทั้งสองข้างของเขาให้หันไปด้านข้างเพื่อที่เจ้าตัวจะได้มองเห็นหน้าของเขาได้ชัดขึ้น

                  “พี่ธานพูดอะไรอีกละครับ หือ” เกลพูดขึ้นอย่างจับผิดแต่มันก็ทำเอาคนที่มีชนักติดหลังอย่างเขาถึงกับต้องหลบสายตานั้นอย่างเสียไม่ได้

                “อย่าทำหน้าอย่างนั้นสิ พี่ธานก็อย่างนี้แหละอย่าคิดมาเลย”  อย่ายิ้มอย่างนั้น อย่ายิ้มเหมือนกับว่าไม่เป็นอะไรแบบนั้นได้ไหม อย่ายิ้มเหมือนว่าไม่เศร้าสิ พี่เจ็บนะ

                 ชิตรัตน์รั้งข้อมือเล็กๆนั้นออกจากหน้าโดยไม่สนสายตาของเกลที่มองมาอย่างไม่เข้าใจก่อนที่ร่างหนาๆนั้นจะซบลงที่ตักของอีกคน อย่างหาที่พึ่งยามเหนื่อยล้า  เกลมองปฏิกิริยาของคนรักก่อนที่จะค่อยๆยกมือลูบกลุ่มผมนั้นเบาๆ


ก๊อก ก๊อก

                “เกลลี่!!”

                เจ้าของชื่อหันไปมองเจ้าของเสียงที่กึ่งวิ่งกึ่งเดินมาหาเขาพร้อมกับลูกชายตัวน้อยและผู้ร่วมอุดมการณ์อีกสามคนที่พรวดพราดเข้ามาในห้องก่อนจะได้รับอนุญาต จนทำให้คนที่นอนหนุนตักเขาอยู่นั้นรีบเด้งตัวขึ้นนั่งอย่างรวดเร็ว

                “มีอะไรหรอครับ”  เขาถามขึ้นพร้อมกางแขนรับลูกชายที่โดดออกจากหลังชาติมากอดเอาไว้

                “คือ พรุ่งนี้เราก็จะกลับแล้วผมพี่ปีแอร์เลยคิดว่าคืนนี้จะปาร์ตี้บาบีคิวอาหารทะเลกัน คุณแม่ว่ายังไงครับ”  เด็กชายตอบเสียงแจ้วอย่างตื่นเต้น  ปาร์ตี้เลยนะแถมคนเยอะอย่างนี้ต้องสนุกมากแน่ๆ

                “ก็ดีเหมือนกันนะ แล้วของล่ะมีหรือยังขาดเหลืออะไรหรือเปล่า”  นั้นสินะมาเที่ยวทั้งที่นิถ้าไม่มีงานสังสรรค์ก็คงจะไม่ใช่

                “พี่กับพลเช็คของแล้วครับ มีของที่ต้องซื้อเพิ่มเป็นอย่างๆ” ชายเสริมพร้อมกับส่งรายการของที่จะต้องซื้อมาให้เขากับชิตรัตน์ดู  นี่คงจะเตรียมพร้อมกันมาแล้วสินะเนี่ย

                “อือ งั้นไปเอาเตาอะไรมาเตรียมให้พร้อมแล้ว เช็คของอีกรอบด้วยถ้าขาดอะไรจะได้ออกไปซื้อก่อนที่มันจะเย็น”   เขาพูดขึ้นพร้อมส่งใบรายการกลับไปให้ชาย ก่อนที่เขาจะสังเกตว่าไรอันหายไปจากกลุ่ม

                “แล้วนี้ไรอันไปไหน”

                “อ้ออ ดาร์ลิงบอกว่ารู้สึกไม่ค่อยดีเลยนอนอยู่ที่ห้องนะ เกลลี่มีอะไรหรอ” ปีแอร์ตอบพลางนึกถึงสีหน้าซีดเซียวของสุดที่รักแล้วก็ยังนึกเป็นห่วงอยู่เลย     

                “เปล่าๆ แค่เห็นว่าหายไปเลยถามดู”  เขาปฏิเสธไป ก่อนที่จะให้ทุกคนแยกย้ายไปเตรียมทำปาร์ตี้กัน แล้วหันกลับมาสนใจคนที่กลับมานอนหนุนตักเขาอีกครั้ง

               เกลนั่งลูบผมของชิตรัตน์ไปมาอย่างเบามือ เขาไม่ถามหรอกนะว่าอีกคนไปเจอเรื่องอะไรที่ไม่สบายใจมาในเมื่อตอนนี้เพราะเขาเองก็ไม่อยากซ้ำเติมอะไรไปมากกว่านี้แล้ว แต่เขาจะขอเป็นผู้ฟังที่ดีคอยฟังเรื่องทุกข์ใจของอีกคนแทน

               “พี่ขอโทษ พี่มันไอ้ขี้ขาดเหมือนที่คุณธานว่าพี่เป็นแบบนั้นจริงๆถ้าพี่กล้าที่จะขัดคำสั่งคุณแม่ในวันนั้นละก็เกลคงไม่ต้องเป็นแบบนี้”เขายิ้มออกมานิดๆกับคำพูดของอีกคนที่เจือไปด้วยความรู้สึกผิด

                “เกลบอกแล้วไงครับว่าไม่เป็นไร”

                “ถึงเกลจะพูดแบบนั้น แต่ แต่พี่ก็เป็นคนผิดอยู่ดี พี่มันเป็นผู้ชายที่แย่มากแค่คนที่รักพี่ยังปกป้องไม่ได้เลย ยิ่งเกลมาให้อภัยพี่ง่ายๆแบบนี้อีกพี่ยิ่งรู้สึกผิด”  นั้นสินะ เขาคงจะให้อภัยอีกคนง่ายไปจริงๆนั้นแหละ

                “ที่เกลบอกให้อภัยพี่ก็เพราะเกลไม่อยากเห็นลูกต้องร้องไห้อีก เกลสงสารลูกเกลไม่อยากให้แกต้องมาเจอสภาพที่พ่อกับแม่จะต้องมาบึ้งตึงใส่กันแทนที่จะมีความสุขเวลาอยู่ด้วยกัน แต่กับพี่ชินถึงเกลจะรักพี่มากขนาดไหนแต่ลึกๆแล้วเกลกลัวพี่ชิน กลัวพี่ชินจะพาลูกไปจากเกลอีก”

                เขากลัวว่าความสุขที่เขาได้มาในตอนนี้จะเป็นแค่ฝัน ที่พอตื่นขึ้นมาแล้วทุกอย่างจะหายไปเหมือนไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้นมาก่อนเขาไม่เอาด้วยหรอกแบบนั้นน่ะ

                ชิตรัตน์หันหน้าขึ้นไปมองเจ้าของตักที่เขาใช้นอนต่างหมอนอย่างปวดร้าว  ความรู้สึกที่ถ่ายทอดออกมาจากคำพูดนั้นไม่ใช่ว่าเขาไม่เข้าใจแต่เพราะเข้าใจเขาถึงจุกในอกจนยากจะพูดออกมา เกลห่วงความรู้สึกของลูกมากกว่าที่เขาเป็นห่วงอย่างมากบางที่แล้วถ้าไม่ใช่เพราะลูกเกลอาจไม่ยกโทษให้เขาก็ได้

                “พี่ขอโทษ” มันก็มีแค่คำๆ นี้เท่านั้นสินะที่เขาพอจะพูดออกไปได้

                “พี่จะไม่ขอให้เกลเชื่อคำพูดของพี่หรอกนะ แต่พี่สัญญาต่อจากนี้ไปพี่จะทำทุกอย่างให้เรากลับมาอยู่ด้วยกันจะปกป้องเกลให้ได้จะไม่ยอมให้ใครมาทำอะไรเกลอีกแล้วแต่ขอร้องอย่ากลัวพี่หรือหนีพี่ไปอีกเลยนะ พี่ยอมแล้วยอมทุกอย่างจริงๆ” เขายันตัวขึ้นมานั่งดีๆพร้อมกุมมือทั้งสองข้างของเกลเอาไว้แทนการให้คำมั่นสัญญา

                “พี่จะไม่พาลูกไปจากเกลอีกพี่สัญญาและก็จะไม่ยอมให้ใครมาแยกเราสองคนอีกแล้ว”

                เขาขอสัญญาด้วยชีวิตต่อให้คนคนนั้นจะเป็นใครเขาก็จะไม่ยอมปล่อยมือคู่นี้ไปอีกแล้ว พอแล้วกับความผิดพลาดที่เขาหลงคิดว่ามันจะทำให้อะไรอะไรมันดีขึ้นแต่สุดท้ายทุกอย่างกลับแย่ลง

                “พิสูจน์ให้เกลเห็นสิ ทำให้เกลรู้ว่าความกลัวของเกล มันจะไม่มีทางเกิดขึ้นอีกและถ้าเป็นแบบนั้นอีกเกลคงอยู่ไม่ได้”

                “พี่สัญญา”

                เขาพูดอย่างหนักแน่นกับคำสัญญาที่ให้ไป ในเมื่อเกลให้โอกาสเขาแล้วเขาก็จะทำให้ดีที่สุดตอนนี้เขาเป็นหัวหน้าครอบครัวเขามีหน้าที่ดูแลเกลกับลูกให้ดีที่สุด

                “ออกไปข้างนอกกันไหม”

                เขาเกลี่ยปอยผมที่ปกลงที่หน้าของคนรักขึ้นทัดหูเบาๆ แต่ก่อนจะได้ฟังคำตอบจากอีกคนเสียงตะโกนดังลั่นบ้านของธานสร้างความตกใจกับพวกเขาทั้งคู่

                “เกลรออยู่นี่ก่อน เดี๋ยวพี่ไปดูเอง”

                เขาว่าก่อนจะรีบวิ่งออกจากห้องไป แต่ยังไม่ทันได้เข้าไปใกล้เสียงร้อนรนของธานก็ดังพอที่จะทำให้เขาเข้าใจเหตุการณ์ได้ดีความกังวลเริ่มตีตื่นขึ้นมาในอก

                “ฮึก คุณพ่อ “

                เสียงสะอึกสะอื้นของเกรทที่ถูกชาติอุ้มอยู่นั้นเรียกความสนใจให้เขาให้หันกลับไปรับตัวลูกชายตัวน้อยมาอุ้มไว้เสียเอง ก่อนจะเอ่ยปากให้ปีแอร์ไปพาเกลออกมาจากห้องเพื่อมาอยู่รวมกับทุกคนที่ห้องนั่งเล่น

              “คุณแก้วจะเป็นอะไรไม่เกลลี่” ปีแอร์ถามอย่างร้อนใจ ขณะพาเกลออกมารวมกลุ่มกับคนอื่นๆ

             “ไม่รู้เหมือนกัน แต่ก็ขออย่างให้เป็นอะไรมากเลย”  เกลตอบก่อนจะหันกลับไปปลอบลูกชายที่ยังคงสะอื้นไห้ซบอยู่ที่ไหล่ของชิตรัตน์จนตาช้ำแดงไปหมด

               “คงได้แต่รอให้ทางนั้นโทรมาอย่างเดียวแล้วล่ะ” ไรอันเสริมขึ้น ก่อนที่ทั้งบ้านจะตกอยู่ในความเงียบอีกครั้งจนบรรยากาศเริ่มตึงเครียดมากขึ้น


                เวลาผ่านไปได้สักพักใหญ่ๆเสียงโทรศัพท์เคลื่อนที่ของไรอันก็ดังขึ้น คราวนี้ทุกคนที่นั่งอยู่ตามที่ต่างๆรีบหันกลับมาให้ความสนใจเสียงนั้นอย่างรวดเร็ว  ไรอันหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาก่อนจะเปิดลำโพงให้ทุกคนได้ฟัง

                “คุณแก้วเป็นไงมั่งครับพี่ชาย” เกลถามขึ้น

                 // ปลอดภัยแล้วครับ แค่ข้อมือซ้นกับเป็นลมเฉยๆ รอให้ตื่นก็กลับได้แล้วครับ//  คำตอบที่ได้ยินทำเอาความตึงเครียดมลายหายไปในทันที เหลือแต่ความโล่งใจที่อีกคนไม่ได้เป็นอะไรที่ร้ายแรงเกินความคาดเดา

                 “ดีเลยๆ อย่างงี้มันต้องฉลอง” เสียงปีแอร์ดังขึ้นอย่างดีใจ แต่ก็ต้องโดนไรอันหยิกเข้าที่สี่ข้างกับอาการดีใจเกินเหตุจนดูไม่ถูกกาลเทศะ

                //งั้นก็จัดของทำบาบีคิวปิ้งย่างกันไหมพี่เอาของออกมาเตรียมไว้แล้ว คุณเกลกับคุณชินว่าไงครับ//  ชายเสนอขึ้น เพราะก่อนหน้านี้เขาได้ขออนุญาตเจ้าตัวไปแล้วรอบหนึ่ง

              “ก็ดีนะครับ ยังไงก่อนกลับก็ซื้อที่พวกอาหารทะเลกับของสดเข้ามาเพิ่มด้วยนะครับเพื่อทำเป็นของกินตอนกลับด้วยเลย”

                //ได้ครับ คุณเกล//   ชายรับคำก่อนตัดสายไป

                “เย้  เราไปเตรียมของกินรับขวัญคุณแก้วกันเถอะ” ปืแอร์ว่าอย่างดีใจก่อนที่จะลากเอาสุดที่รักของตัวเองไปด้วย และไม่รีบที่จะชวนเด็กน้อยขี้แยที่เกาะพ่อเป็นลูกลิงไปด้วยเป็นลูกมือ

                “น้องเกรทไปเตรียมของกันเถอะ ตามมาเร็วชาติ”  พูดเสร็จปีแอร์ก็จัดการอุ้มเด็กน้อยไปเลยโดยไม่สนว่าเด็กชายจะให้คำตอบแบบไหน แล้วหันมากวักมือเรียกให้เพื่อนใหม่ของตนเดินตามมาด้วย

               “แล้วเราละอยากไปด้วยไหม เดี๋ยวพี่พาไป”  ชิตรัตน์หันมาถามคนข้างกายที่มองตามคนอื่นๆไปจนลับตา

                ก็ดีเหมือนกันเขาเองก็ไม่มีอะไรทำอยู่แล้วตามทุกคนออกไปนั่งข้างนอกบ้างก็คนจะรู้สึกดี  คิดได้ดังนั้นพวกเขาเลยเดินตามสี่คนนั้นไปที่ด้านหลังของบ้านเพื่อจัดเตาย่าง เอาเนื้อสัตว์ต่างๆออกมาล้าง จดลิสต์รายการของที่ขาดแล้วโทรหาชายอีกครั้งเพื่อให้ซื้อเข้ามาเพิ่มเติม แต่ดูท่าแล้วปาร์ตี้ครั้งนี้คงต้องเลื่อนเวลาออกไปอีกสักระยะ เมื่อหัวเรือใหญ่อย่างปีแอร์และเกรทอยากจะเล่นน้ำทะเลกันเสียดื้อๆ ก็นะ ทะเลกับเด็กเป็นของคู่กันมาถึงนี้แล้วจะไม่ได้เล่นน้ำก็กระไรอยู่จริงไหม?
 

               
:katai4:

ออฟไลน์ wavery

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 124
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-2

:katai4:


 เวลาผ่านไปจากบ่ายกลายเป็นช่วงเย็นที่แดดร่มลมตกเสียงเครื่องยนต์ของรถครอบครัวสีดำคันใหญ่มาจอกเทียบที่หน้าบ้านเรียกความสนใจของเด็กชายที่เนื้อตัวเปียกปอนไปด้วยคาบน้ำทะเลให้หยุดจากการวิ่งไล่จับเจ้าแมวเหมียวขนฟูเพื่อหวังจะโยนลงทะเลด้วยข้อหาอ้อนคุณแม่ของเขาเกินเหตุให้หันกลับมาสนใจคนที่กำลังลงจากรถลงมา

                 “อาแก้วววววววววว!!”  เกรทละจากจุดหมายเดิมแล้วรีบวิ่งไปกอดเข้าที่ช่วงเอวของอาแก้วที่ลงมาจากรถที่มีคุณลุงตัวโตของเขาคอยพยุงอยู่ข้างๆ โดยลืมไปว่าตัวเองทั้งเปียกและเหนื่อยจากคาบคาวทะเลที่เพิ่งลงเล่นมาเมื่อครู่เสียสนิท

                 “อาแก้วเป็นไงบ้าง เกรทเป็นห่วงอาแก้วกับน้องตัวเล็กมากๆๆเลย” เด็กชายได้ทีรีบอ้อนคนท้องพร้อมเอาหน้าซุกเข้ากับหน้าท้องนูนๆ จนคนเป็นลุงหน้างอ

                  “อาแก้วกับน้องไม่เป็นครับ แค่ข้อมือเคล็ดเท่านั้นเองครับ” เขาว่าพร้อมชูมือข้างที่มีผ้าก๊อซพัดอยู่ที่ข้อมือขึ้นให้เกรทดู

                  “แล้วนี้ทำไมตัวเปียกๆล่ะเกรท” น้ำเสียงติดจะไม่ชอบใจแบบเด็กๆของเด็กตัวหมี ที่รู้สึกเหมือนโดนแย่งความสนใจเอ่ยถามขึ้นเมื่อมองจากสภาพร่างกายที่และเสื้อผ้าที่เปียกซกของหลานชายคนเดียวอย่างแปลกใจ

                “อ้อ พอดีเกรทกับพี่ปีแอร์เล่นน้ำกันอยู่น่ะครับ”   เกรทว่าเสียงซื่อ
 
                “อ้าว แล้วขึ้นมาวิ่งทำไมตรงนี้ละ” แก้วกล้าถามอย่างสงสัยพลางลูกศีรษะเล็กของเกรทไปด้วย

               “อ๊ะ! ลืมเลยอาแก้วกับคุณลุงเห็นเจ้าแมวผะ.อึ๊บ....เจ้าเน็ตตี้ไหมครับ เนี่ยเกรทตามหาเน็ตตี้อยู่ไม่รู้ว่าวิ่งไปไหนแล้ว” เกรทหันซ้ายหันขวาไปมาก่อนจะหันลับมามองคนทั้งคู่ตาใส

                 “แล้วเกรทจะตามหาเน็ตตี้ไปทำอะไรครับ” แก้วกล้าถามขึ้นอย่างสงสัย

                 “คือ ผมจะพาเน็ตตี้ไปเล่นน้ำทะเลนะครับ”  เกรทยิ้มตาหยีให้อาแก้วของเขาก่อนจะเริ่มออดอ้อนแก้วกล้าอีกครั้งอย่างเคยชิน ก่อนเหลือบไปเห็นคุณลุงพี่เลี้ยงของคุณแม่ทั้งสองคนเดินตรงมาทางนี้หลังจากนำรถไปจอดที่โรงจอดรถพร้อมกับอุ้มก้อนกลมๆขาวๆมาด้วย

               “คุณหนูหาเจ้านี้อยู่หรือเปล่าครับ” พลพูดพร้องชูเจ้าเน็ตตี้ที่ทั้งบิดทั้งถีบตัวไปมาขึ้นให้คุณหนูน้อยดู

               เกรทยิ้มกว้างออกมาทันทีเมื่อเจอสิ่งที่ต้องการผิดกับเจ้าสิ่งมีชีวิตสีขาที่มีสีหน้าตื่นอย่างเห็นได้ชัด เด็กชายเอ่ยขอบคุณพลแล้วรีบเข้าไปอุ้มเจ้าเหมียวที่พยายามตะกายออกจากแขนของเขาอย่างเอาเป็นเอาตายอย่างรู้ชะตากรรมเมื่อมองไปเห็นสายตาเจ้าเล่ห์ของเด็กชายวัยห้าขวบที่อุ้มมันอยู่

          หึหึ เหยื่อมาอยู่ในมือขนาดนี้แล้วคิดหรอว่าเกรทจะยอมปล่อยง่ายๆ ไม่มีทาง จะสั่งสอนให้รู้เลยว่าคุณแม่น่ะเป็นของใคร

                 “อาแก้วกับคุณลุง ไปทะเลกันๆ”  เกรทชวนทุกคนไปที่ชายหาดตามประสาเด็กที่กำลังหาเพื่อนเล่น

                 “เอาไว้คราวหลังนะ วันนี้อาแก้วไปสบายต้องนอนพักเยอะๆ” ธานปฏิเสธคำชวนของหลานชายตัวน้อยที่สีหน้าจ๋อยลงอย่างเห็นได้ชัด แต่เกรทเป็นเด็กที่เข้าใจอะไรง่ายจึงไม่ได้ติดใจอะไร ก่อนจะขอตัววิ่งกลับไปที่ทะเลอีกครั้งโดยมีชายกับพลเดินตามมาข้างหลัง และยิ่งเข้ามาใกล้เท่าไรพวกเขาก็ได้ยินเสียงของไรอันบ่นดังขึ้นมาเรื่อยๆ

                “ปีแอร์ปล่อยฉันลงเดี๋ยวนี้เลยนะ”

                ภาพของปีแอร์ที่ใส่เพียงกางเกงเล่นน้ำสีสันแสบตากำลังอุ้มไรอันที่ทั้งถีบทั้งด่าเสียงดังลงไปยังทะเลที่ลึกจนถึงระดับเอวก่อนจะปล่อยคนที่กลัวลงในน้ำอย่างหน้าชื้นตาบาน ผิดกับคนที่เพิ่งโผล่พ้นน้ำมาในสภาพเปียกปอนทั้งตัวที่มีสีหน้าเจ็บปวดอยู่เล็กน้อยก่อนจะตวัดสายตาไม่พอใจใส่ตัวการก่อนจะเดินกระแทรกไหล่สวนคนตรงหน้าเดินขึ้นฝั่งไปไม่พูดไม่จา  แต่ในสายตาของเด็กอายุห้าขวบแล้วมันก็คือการหยอกล้อกันเล่น

                 “เอานี้ลงไปด้วย!!” เพราะคิดว่าเล่นกันเกรทจึงจัดการโยนเจ้าสี่ขาตัวขาวลงน้ำตามแบบที่ปีแอร์ทำ แต่นั้นกลับทำให้ทุกคนในบริเวณนั้นก็คาดไม่ถึง

เหมียววววววววว!!!!

                “เน็ตตี้!!!”   เกลหันขวับแล้วร้องเสียงหลงร้องเรียกแมวตัวโปรดของตัวเองทันทีเมื่อได้ยินเสียงร้องอย่างตื่นตระหนกของมัน

                 ส่วนเจ้าเหมียวผู้โชคร้ายนั้นก็ได้แต่พยายามตะเกียดตะกายขึ้นจากน้ำทันทีตามสัญชาตญาณเอาตัวรอดของมัน ซึ่งยังถือว่าโชคดีอยู่บ้างที่บริเวณที่มันถูกโยนลงไปเป็นช่วงน้ำตื้นแค่ตาตุ่มคนแต่สำหรับแมวที่เกลียดและไม่ชอบน้ำอย่างเน็ตตี้ เอ่อ ยกเว้นตอนอาบน้ำที่ฟองสบู่เยอะๆอะนะ  การถูกโยนลงน้ำแบบเมื่อครู่จึงถือเป็นเรื่องใหญ่ปานถูกจับถ่วงแปซิฟิก และทันทีที่มันสามารถพาตัวเองขึ้นมาเหยียบลงบนพื้นทราบได้มันก็รีบวิ่งกระโจนขึ้นไปอยู่บนตักของเจ้านายสุดสวาทขาดใจดิ้นของมันที่อ้าแขนรอรับตัวมันอยู่อย่างหาที่พึ่งและเริ่มส่งเสียงร้องเหมือนจะขาดใจตายเสียให้ได้เพื่อฟ้องจ้านายตัวเอง

                “น้องเกรท!” เกลเรียกชื่อลูกชายเสียงเข้มเป็นเชิงดุก่อนจะก้มมองดูสัตว์เลี้ยงแสนรักของตัวเองที่ยังคงส่งเสียงร้องจะเป็นจะตายเสียให้ได้

                “ทำไมถึงทำแบบนี้ครับลูก ไม่น่ารักเลยนะ”  ชิตรัตน์นั่งย่องๆก่อนจะจับตัวลูกชายที่ก้มหน้าหงอยที่โดยดุไปเมื่อครู่ให้มองตรงมาที่เขา

                “ว่าไงครับ บอกพ่อสิทำไมทำแบบนั้น”  เขาพยายามตะล่อมๆถามลูกชายอย่างใจเย็นเมื่อปากเล็กนั้นเริ่มเบาะออกเมื่อจะร้องไห้

                “ก็ ฮึก ก็เน็ตตี้อ้อนคุณแม่ เน็ตตี้แย่งคุณแม่ของเกรท แงงงง”  พอตอบเสร็จเกรทก็ปล่อยโฮออกมาเสียงดัง ทำคนที่ยืนดูอยู่รอบๆถึงกับกลั้นหัวเราะอย่างช่วยไม่ได้กับความไร้เดียวสาของเด็กน้อยที่คิดว่ากำลังถูกแมวแย่งความรักไป

                “เอ่อ ไม่ร้องนะครับ เน็ตตี้ไม่ได้แย่งคุณแม่ไปจากเกรทสักหน่อยแต่ว่าเน็ตตี้รักคุณแม่เหมือนที่เกรทรักคุณแม่ไงครับ เพียงแต่ว่าเน็ตตี้เขาพูดไม่ได้เท่านั้นเอง” ชิตรัตน์พยายามอธิบายให้ลูกชายเข้าใจและหยุดร้องไห้

                “จะ จริงนะครับ ฮึก”

                “จริงสิครับ แต่ว่าสิ่งที่เกรททำไปเมื่อครู่มันไม่น่ารักเลยนะถ้าเกิดเน็ตตี้เป็นอะไรขึ้นมาคุณแม่ต้องเสียใจมากแน่ๆ เกรทอยากเห็นคุณแม่ร้องไห้หรอลูก”

                “ไม่เอา ไม่ให้คุณแม่ร้องไห้”  เด็กชายรีบส่ายหน้าหวือทันทีก่อนจะหันไปกอดคุณแม่ที่ยังคงนั่งมองมาที่เขาอยู่เงียบๆ

                “คุณแม่ เกรทขอโทษ เกรทจะไม่ทำอีกแล้ว เกรทจะไม่แกล้งเน็ตตี้แล้ว”

                 เกลมองลูกชายนิดๆก่อนถอนหายใจออกมาเบาๆ ก่อนจะส่งเน็ตตี้ที่ตัวเปียกชุมให้พลนำไปจัดการต่อให้สะอาดสวยเหมือนเดิมส่วนเขานั้นก็กลับมาหาลูกชายที่ยังคงกอดเอวเขาไม่ปล่อย

                “แม่จะถือว่านี้เป็นครั้งแรกที่น้องเกรททำ แม่จะไม่ว่าอะไรแต่อย่าทำอีกเข้าใจไหมครับ”  เสียงที่ติดจะไม่พอใจของคนคนเป็นแม่ที่พูดมา ทำเอาเด็กชายใจเสียไม่น้อยจนเริ่มที่จะหน่วงๆที่ตาเหมือนจะร้องไห้อีกรอบ อาจเป็นครั้งแรกที่เขาโดนดุด้วยแถมคนที่ดุเขายังเป็นคุณแม่ด้วยเลยทำให้รู้สึกไม่ดีเป็นอย่างมาก

                “หึหึ อะไรกันครับจะร้องไห้อีกแล้วหรอแม่ไม่โกรธน้องเกรทแล้วสักหน่อย” เกลพูดพร้อมยกมือลูบหัวลูกชายเบาๆเป็นการปลอบก่อนจะยกยิ้มบางๆให้เมื่อลูกชายเงยหน้ามามองเขาด้วยน้ำตา ดูสิหน้าแดงหมดแล้ว

                “จริงๆนะครับคุณแม่ไม่ได้โกรธน้องเกรทจริงๆนะครับ”

                “ครับ แม่ไม่โกรธแต่ที่แม่ดุก็เพราะน้องเกรททำไม่ดี ถ้าไม่อยากให้แม่โกรธก็อย่าทำอีกเข้าใจไหมครับ”

                เกรทรีบพยักหน้ารับพร้อมยิ้มกว้างอย่างดีใจก่อนโผเข้ากอดเขาแน่นก่อนจะเอาหน้าผากซบที่ไหล่เล็กนั้นอีกครั้งก่อนจะขอตัวไปเล่นน้ำกับปีแอร์และชาติ พร้อมด้วยชายที่กลับเข้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดสำหรับเล่นน้ำเรียบร้อย ส่วนไรอันที่หลังจากโดนเหวี่ยงลงทะเลก็งอนเดินกลับห้องไม่สนใจใคร
 
                “ดีจังเลยนะที่เกลไม่โกรธลูกน่ะ” ชิตรัตน์เอาขึ้นเมื่อได้อยู่กับเกลตามลำพังอีกครั้ง ขณะทอดสายตามองไปยังลูกชายตัวน้อยที่ดูจะสนุกสนานกับการเล่นน้ำทะเลในครั้งนี้เป็นพิเศษ

                “จะให้โกรธอะไรละครับ” เกลว่าพร้อมเอียงคอมองคนรักที่อยู่ข้างๆ

                “ก็พี่เห็นเราทำเสียงแบบนั้นใส่ลูก ก็เลยคิดว่าคงจะโกรธ”

                “ฮึฮึ ก็ยอมรับนะครับว่าไม่ชอบใจเท่าไรที่น้องเกรททำแบบนั้น”  ก็เน็ตตี้เป็นของขวัญที่แม่เขาให้มานี่นะ ก็ต้องรักมากอยู่แล้ว

                “แต่ที่ลูกทำไปก็เพราะว่ากลัวเกลไม่รักนี่ จะให้โกรธลงได้ไงล่ะจริงไหม” เกลยิ้มบางๆออกไป

                “นั่นสินะ พี่เองก็ไม่เคยดุลูกด้วยคงไม่ดีแน่ถ้าตาเกรทเกิดร้องไห้ขึ้นมา”

                “อย่าคิดมากสิครับเรื่องแค่นี้เอง แถมเจ้านี่ก็ใช่ย่อยที่ไหนล่ะ แกล้งเขาไว้เยอะโดนกลับบ้างก็ดีจะได้เข็ด” เกลพูดพร้อมซบลงไปที่ไหล่กว้างของคนรัก

                แต่กับคนบางคนนะแค่ขอโทษมันยังไม่พอหรอกนะครับ


                 ลมทะเลพัดเอื่อยๆโบกพัดให้ดวงไฟทรงกลมมากมายที่ที่ห้องระโยงระยางไปตามต้นไม้แต่ละต้นส่ายไปมาเบาๆ   เช่นเดียวกับกลิ่นหอมอ่อนๆของเทียนหอมอันน้อยที่วางกระจายไปตามโต๊ะต่างๆ เพื่อสร้างบรรยากาศไหนจะเสียงเพลงคลาสสิกที่เปิดคลอเบาๆ ช่วยส่งให้ช่วงค่ำคืนสุดท้ายของการมาพักที่บ้านตากอากาศทางใต้ของพวกเขารู้สึกผ่อนคลายจากเรื่องหนักๆ ที่ต้องเจอกันมาตั้งแต่มาถึง

                 กลิ่นหอมยั่วน้ำลายของอาหารทะเลที่ถูกย่างปิ้งอยู่บนเตาโชยกลิ่นไปตามลมจากฝีมือการย่างของพลกับชายรับหน้าที่เป็นเชฟเฉพาะกิจที่คอยปิ้งนั้นย่างนี้ตามความต้องการของคุณหนูตัวน้อยประจำทริปที่คอยยืนกำกับงานอยู่บนเก้าอี้ข้างๆชาติที่คอยประคองไม่ให้คุณหนูตัวน้อยของตนหน้าคะมำลงกับเตาเสียก่อน    ส่วนเตาย่างอีกฝั่งที่ส่งกลิ่นหอมแข่งเช่นกันแต่คนละจุดประสงค์เพราะธานกะจะเอาไว้ให้ว่าที่คุณแม่อย่างแก้วกล้าที่นั่งคุยเรื่องงานอยู่กับชิตรัตน์ที่โต๊ะเพื่อหวังเอาใจและเรียกคะแนนที่เสียไปจนติดลบคืน

                 แต่ถ้าจะถามหาตัวการที่คิดจัดงานเลี้ยงปิ้งย่างนี้ขึ้นมาว่าหายไปไหนละก็คงต้องบอกว่าหมดสิทธิเพราะหลังจากจับไรอันโยนลงทะเลไปเมื่อช่วงเย็นทำให้ร่างโปร่งของหนุ่มอังกฤษไม่สบายต้องนอนอยู่กับเตียงและตัวก่อเรื่องก็ก้มหน้ารับผิดชอบผลจากการกระทำของตนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

                น่าเสียงดายจังเลยนะครับที่ไรอันมาไม่สบายตอนนี้” น้ำเสียงเสียดายของคนที่นั่งอยู่บนวีลแชร์เรียกความสนใจจากพี่ชายตัวโตพลางมองกลับเข้าไปยังตัวบ้านที่เปิดไฟสว่างเอาไว้อย่างนึกเป็นห่วง

                “ก็นะ รายนั้นนะแต่ไหนแต่ไรก็ไม่ค่อยจะทนลมทนแดดเท่าไรอยู่แล้ว แถมวันนี้เจอทั้งแดดทั้งลมทั้งน้ำทะเลครบชุดเลยจะป่วยก็ไม่ใช่เรื่องแปลก”  ธานพูดอย่างปลงๆ กับอาการกระหม่อมบางคนเพื่อนวัยเด็ก เพราะเขาคิดอยู่แล้วว่าคงไม่รอดแน่ตั้งแต่ตอนที่เห็นอีกฝ่ายเดินตัวเปียกกลับเข้ามาในบ้านพร้อมหน้าที่เริ่มแดงไม่สิต้องบอกว่าอาการไม่ดีมาตั้งแต่เช้าแล้วมากกว่า

                เกลพยักหน้าเข้าใจแต่ก็อดขำไม่ได้ตอนเห็นสีหน้าที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกของปีแอร์ตอนที่รู้ว่าสุดที่รักของตัวเองป่วยจนลุกจากเตียงไม่ได้และตัวเองจะไม่ได้ไปร่วมวงปิ้งย่างอย่างที่หวังเอาไว้ หน้านี่เหมือนโลกกำลังจะแตกเลย

                “คุณแม่ครับดูสิ กุ้งกับหอยนางรมนางกินมากเลยยย” เกรทว่าอย่างตื่นเต้นพร้อมยกจานที่เต็มไปด้วยของกินให้คนเป็นแม่ดู

                  “น่ากินจังเลยนะครับ งั้นเรากลับไปที่โต๊ะกันเลยเนอะ ลุงพลกับลุงชายจะได้ไปกินมั่ง”  เด็กชายพยักหน้ารับก่อนเดินนำเอาจากของกินไปให้คุณพ่อกับอาแก้วที่รออยู่ที่โต๊ะ โดยเกลมองตามหลังลูกชายไปจนแน่ใจว่าชาติพาลูกของเขาขึ้นไปนั่งบนเก้าอี้เป็นที่เรียบร้อยแล้วก่อนจะหันมาคุยเรื่องส่วนตัวบางอย่างกับพี่ชายของตน

                “คุณแก้วนี้ก็น่ารักดีนะครับ” เขาพูดขึ้นขณะลอบมองคนที่กล่าวอ้างกำลังช่วยแกะเปลือกกุ้งให้ลูกชายของเขาทาน

                “ใช่น่ารัก”

                “แล้วรักเขาไปหรือยัง”   เขาถามเหมือนมันเป็นเรื่องปกติจนธานต้องหันกลับมามองหน้าน้องชายของตนอย่างไม่แน่ใจในสิ่งที่ได้ยิน

                “หมายความว่ายังไง” ธานถาม

                “ก็ตามที่พูด รักเขาไปแล้วหรือยัง แล้วแน่ใจหรือเปล่าว่าที่ให้เขาไปเพราะ รัก ไม่ใช่เพราะอยากให้เอาเขามาแทนใคร”  เกลมองพี่ชายด้วยหางตาอย่างจับผิด สำหรับเขาแล้วแก้วกล้าถือว่าเป็นคนที่ดีคนหนึ่งและหากพี่ชายเขาคิดจะลงหลักปักฐานกับคนนี้จริงเขาก็ไม่ห้ามแต่ต้องไม่ใช่เพราะความเหมือน เพราะถ้าเป็นแบบนั้นจริงเขาคงไม่ยอมแน่

                “ถ้าพี่ธานคิดว่าคุณแก้วแค่น่าสนใจหรือว่าเหมือนใครคนนั้นน้องขอให้พี่หยุดทุกสิ่งเอาไว้แค่นี้ อย่าปล่อยให้คุณแก้วเขาคิดไปไกลกว่านี้เลย”

                 ธานมองน้องชายของตัวเองอย่างอ่อนใจ นั้นสินะ ไม่ว่าเรื่องอะไรเกลก็มองเขาออกทุกอย่างแต่ว่าครั้งนี้มันไม่เหมือนกัน โอเค ตอนแรกเขายอมรับว่าแค่สนใจแต่ว่าตอนนี้มันไม่ใช่แค่สนใจถึงมันจะยังไม่สามารถพูดได้เต็มปากก็เถอะว่ารัก แต่พอเห็นแก้วกล้าสลบไปต่อหน้าต่อตาแบบวันนี้แล้วเขาก็เริ่มจะเข้าใจตัวเองได้ว่าเขาไม่อยากเสียใครไปอีกแล้ว โดยเฉพาะคนคนนี้

                 “พี่เข้าใจที่น้องพูดออกมานะ แต่ว่าสำหรับแก้วแล้วเขาเป็นคนที่พี่อยากจะดูแลเขาจริงๆ ถึงตอนนี้จะยังไม่ชัดแต่พี่เชื่อว่าอีกไม่น่ามันจะต้องชัดเจนๆ และที่สำคัญพี่ไม่เคยคิดจะเอาแก้วมาแทนที่ใครเพราะแก้วไม่ใช่ตัวแทนของใคร”ธานตอบจริงจัง

                เกลมองพี่ชายที่หันไปสนใจกับการย่างปูกับกุ้งต่อ เขาเองก็รู้ว่าธานเป็นคนที่จริงจังกับเรื่องความสัมพันธ์แต่คนที่จริงจังใช่ว่าจะอ่อนไหวไม่เป็น เขาก็แค่เป็นห่วงก็เท่านั้นแต่ในเมื่อเจ้าตัวยืนยันเองแบบนี้แล้วเขาก็คงจะพูดอะไรมากไม่ได้นอกจากปล่อยให้เรื่องนี้เป็นเรื่องของคนสองคนต่อไปส่วนเขาที่เป็นคนนอกก็ต้องถอยออกไปอยู่ในฐานะคนดูก็เท่านั้น

                “ดูแลให้ดีนะครับ คุณแก้วนะ” เกลพูดพลางมองไปทางโต๊ะ ทำให้ธานที่เริ่มจะเอากุ้งใส่จากแล้วต้องมาตามเช่นกัน

                “พี่รู้แล้ว ว่าแต่เรื่องของเราเถอะ” ประโยคหลังธานเอ่ยด้วยน้ำเสียงไม่ค่อยพอใจเสียเท่าไรเมื่อคิดได้ว่าน้องชายเขาให้อภัยชิตรัตน์ง่ายเกินไป

                “เรื่องอะไรหรอครับ”

                “อย่ามาทำหน้าไม่รู้นะ คิดอะไรอยู่ทำไมถึงยอมไอ้ชิตรัตน์ง่ายๆแบบนั้น”  ไม่พูดเปล่าธานวางจานกุ้งที่จะใช้ง้อแก้วกล้าลงบนตักของน้องพร้อมลากเก้าอี้ที่อยู่ใกล้ๆเพื่อนั่งคุยดีๆ

                “พี่ไม่เข้าใจ มันไม่สมเหตุสมผลเท่าไรที่น้องยอมง่ายๆแบบนี้  ทั้งๆที่เมื่อวานเราแสดงออกว่ากลัวมันขนาดนั้น” ธานพูดพร้อมเอาจานคืนและเริ่มแกะเปลือกกุ้งไปด้วย

                “เกลกลัวเขาจะเอาลูกไปจากเกล แต่พี่ชินไม่ใช่ตัวตนคิดนิครับที่ว่าจะเอาลูกไปจากเกล”

                “นี้อย่างบอกนะว่า....”  ธานละสายตาจากกุ้งตัวโตมามองหน้าน้องชายอย่างไม่เชื่อในสิ่งที่อีกคนกำลังคิดอยู่

                “ก็ตามนั้นแหละครับ เรื่องนั้นเกลขอเป็นคนจัดการเอง แต่กับพี่ชินผมไม่ว่านะครับถ้าพี่ธานจะทำอะไรแต่อย่าให้มันมากไปก็พอ เข้าใจนะครับ”  เกลว่ายิ้มๆให้พี่ชาย ที่มองมา

                “กลับไปหาคนอื่นกันเถอะเดียวกุ้งจะชืดไม่อร่อยนะครับ ส่วนเรื่องนี้กลับไปเราค่อยคุยกันก็ได้” ธานพยักหน้าก่อนลุกขึ้นแล้วเข็นพาน้องกลับไปที่โต๊ะ ในหัวก็คิดถึงเรื่องที่เกลพูดเมื่อครู่ การที่น้องยอมให้เขาตอบกลับแทนได้แบบนี้ก็แสดงว่าลึกๆแล้วเกลเองก็คงจะไม่ได้ให้อภัยชิตรัตน์ทั้งหมดอย่างที่เขาเข้าใจแล้วเพราะอะไรถึงทำเหมือนว่าให้อภัยหมดแล้วทุกเรื่อง คิ้วเข้มขมวดเป็นปมอย่างไม่เข้าใจ

                “คุณจะยืนอยู่อีกนานไหมคุณธาน”  เสียงหงุดหงิดของแก้วกล้าเรียกให้เขาหันมามองหน้าเป็นเชิงถาม ก่อนจะเห็นว่าเขามาถึงโต๊ะแล้วแถมยังไม่ยอมนั่งเอาแต่ยืนค้ำหัวเขาอยู่ได้

                “อ่ะ โทษทีๆ”  เขาว่าก่อนที่จะนั่งลงข้างๆแก้วกล้าที่มันตรงข้ามกับชิตรัตน์พอดี

                “นี้คุณ ไม่ต้องชิดขนาดนี้ก็ได้ผมอึดอัด”

                “เอาน่าแก้ว นี้ดูสิฉันย่างกุ้งมาให้ด้วยดูสิตัวโตๆเลย”  เกลมองหน้าพี่ชายที่ทำมึนกับคำพูดของคนตัวเล็กตรงหน้าแถมยังพยายามที่จะป้อนกุ้งที่บรรจงเกาะอย่างพิถีพิถันให้ได้กิน

                ภาพของธานที่ยิ้มเวลาโดนบ่นจากแก้วกล้า เสียงพูดเจี๊ยวจ๊าวของเกรทพร้อมเสียงหัวเราะเบาๆของชิตรัตน์คือภาพความสุขที่คนเดินไม่ได้ต้องการจะเห็นมาตลอดช่วงเวลาเกือบจะสิบปีที่ต้องซ้อนตัวจากผู้คนหวาดกลัวการแยกจากโดนความโหดร้ายจากอดีตเล่นงานทุกครั้งที่หลับตา พี่ชายที่คอยปลอบทุกคืนเวลาฝันร้าย คุณพ่อคุณแม่ที่คอยหาทางเยียวยารักษา คนสนิททั้งสามที่ต้องรองรับกับอาการที่ไม่ค่อยปกติของเขา แต่ตอนนี้เขาหายแล้ว ความเศร้าในใจของเขาหายไปแล้วเพราะในตอนนี้เวลานี้คนที่เขารักทั้งหมดมาอยู่รวมกันที่นี้แล้ว แต่เวลาแห่งความสุขมักจะหมดไปอย่างรวดเร็ว ถึงใครๆอยากจะให้มันอยู่กับเราไปนานๆเขาเองก็เช่นกันเพราะเขาทนทุกข์มามากพอแล้ว

               ดังนั้นความสุขตรงหน้าตอนนี้ก็คือส่วนหนึ่งของความสุขทั้งหมดที่ต่อไปเขาจะได้เพราะหลังจากวันนี้เขาจะเริ่มทวงสิ่งที่เป็นของเขาทุกความรักที่เขาควรจะได้รับคืนมาให้หมดและความเจ็บปวดเศร้าหมองในใจที่ฝั่งรากลึกเป็นฝันร้ายที่คอยหลอกหลอนเขามานานมาก็ต้องมีคนชดใช้เช่นกัน

                แล้วเจอกันนะครับคุณหญิง........................
 
___________________________________________________________________________________

Come back again ล่ะเด้ออออออ
หลังจากที่หายหน้าไปนาน ในที่สุดเราก็กลับมา
ตอนนี้โน๊ตบุ๊คสามารถใช้งานได้ปกติแล้วหลังจากที่เสียตังไปพร้อมน้ำตาเป็นที่เรียบร้อย

ตัวอย่างพวงกุญแจอะคริลิกที่แถมพร้อมกับ Combo Set และยังเป็นหน้าปกติเล่มพิเศษอีกด้วย
สนใจคลิ๊กเลย



วาดโดยนักวาด Sefarlen

ขอบคุณที่ติดตามนะคะ

ออฟไลน์ Jibbubu

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3385
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-6
คุณหญิงคงจะต้องรับศึกหนักซะแล้วงานนี้ ดีค่ะเกลเอาให้หนักเลยกับที่เกลต้องทุกข์อยู่นานปี

ออฟไลน์ wavery

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 124
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-2

ฝนหยดที่ 13



                ผ่านมาสัปดาห์หนึ่งแล้วหลังจากวันที่พวกเขากลับจากดูที่ทำรีสอร์ตพร้อมพักผ่อนที่บ้านพักตากอากาศของธานหลายๆสิ่งเริ่มดูเปลี่ยนไปในหลายๆทาง ตัวอย่างเช่น ปีแอร์ที่กำลังจะเป็นพ่อคนในอีกแปดเก้าเดือนที่กำลังจะมาถึงเพราะตอนนี้ไรอันกำลังตั้งท้องได้สัปดาห์ที่สามแล้ว อาการต่างๆเริ่มแสดงออกมาให้เห็นชัดขึ้นเรื่อยๆและนั้นก็แทบจะทำให้ว่าที่คุณพ่อขี้เห่อประคอบประหงมอย่างดีจนเจ้าตัวแทบจะไม่ต้องหยิบจับอะไรเลยด้วยซ้ำร้อนถึงธานที่อยู่ๆก็โดยขโมยตัวเลขาไปต้องออกโรงมากู้สถานการณ์ให้ไรอันได้ท้วงคืนเสรีภาพของตนกลับมาอีกครั้ง

               ในขณะที่ทางส่วนของชิตรัตน์เองก็ยอมตกลงทำตามข้อเสนอของธานในการใช้ที่ดินของอีกฝ่ายในการสร้างรีสอร์ตโดยยินยอมเซ็นยกหุ้นครึ่งหนึ่งให้กับอีกฝ่ายเป็นเจ้าของร่วมและเริ่มเริ่มลุยงานการสร้างรีสอร์ตพร้อมๆกับการเริ่มเข้าหาเกลมากขึ้นโดยจากการคุยตอนกลางคืนร่วมกันสามคนพ่อแม่ลูกแต่ตอนนี้เขาไม่อยากจะแค่คุยกันตอนกลางคืนแล้วเขาอยากคุยแบบเห็นหน้าอยากสัมผัสไออุ่นจากฝ่ามือนิ่มๆนั้นมากว่าสัมผัสกันผ่านหน้าจอสี่เหลี่ยม เลยลองที่จะขอไปบ้านของธานบ้างโดยเอาเรื่องของรีสอร์ตมาอ้างแม้ทุกครั้งที่มาจะโดนพี่ชายตัวโตของอีกคนคอยขัดด้วยคำพูดทำร้ายน้ำใจเขาต่างๆแต่เขาก็พยายามมองผ่านคำพูดนั้นไปเพราะอย่างน้อยเขากับลูกก็ยังได้มาหาอีกคนที่เป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวแม้จะเป็นเวลาสั้นๆ ก็ตาม

                อย่างวันนี้ก็เช่นกันชิตรัตน์มาหาบ้านของเกลที่บ้านโดยอ้างว่าจะเอาแบบร่างของรีสอร์ตมาให้ทั้งที่จะนัดกันเป็นที่ทำงานของตนหรืออีกฝ่ายก็ได้และเพื่อความสมจริงเขาจึงต้องพาเลขาคนดีที่หน้าตาความสุขติดลบมาด้วยพร้อมลูกชายที่ขอมาด้วยทุกครั้ง

                “นี้เป็นแบบเปลนคราวๆที่บริษัทออกแบบส่งมาให้ดู ไม่ทราบว่าคุณธานชอบหรือไม่ครับ”  คนตรงข้ามรับแปลนร่างของรีสอร์ตขนาดกลางจำนวนสิบชั้นพร้อมบังกะโลอีกจำนวนสิบหลังโดยประมาณจำนวนสามแผ่นมาดูโดยมีแก้วกล้าคอยอธิบายถึงสิ่งที่อยู่ภายในนั้นคร่าวๆ

                “ก็ดี แต่ผมอยากให้เพิ่มลานกิจกรรมหรือไม่ก็ที่นั่งสำหรับพักผ่อนตรงส่วนกลางด้วยเพื่อว่าจะมีคนมาใช้สถานที่จัดงานกลางแจ้ง”  ชายหนุ่มพยักหน้าอย่างเห็นด้วยพร้อม พร้อมบอกให้แก้วกล้าจดรายละเอียดตามที่หุ้นส่วนของเขาต้องการและเพิ่มเติมในส่วนที่เจ้าตัวอยากให้มีลงไปด้วย

                 รายละเอียดของรีสอร์ตในส่วนของแนวห้องพักกับบรรยากาศโดยรอบรวมไปถึงเรื่องบริการต่างๆที่ธานเสนอมานั้น  ต้องยอมรับว่าธานเป็นคนที่แยกเรื่องงานออกจากเรื่องส่วนตัวได้ดีมากหากไม่นับเรื่องที่อีกฝ่ายเมินเฉยเขาในวันแรกที่ไปดูที่และเรื่องของความคิดที่ถึงจะเป็นมือใหม่ในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์แต่ความคิดต่างๆก็จัดได้ว่าใช้ได้เลยซึ่งอาจเป็นผลพรวงจากการทำธุรกิจด้านอื่นมาก่อนก็เป็นได้

                 “คุยกันเสร็จหรือยังครับ” เสียงของผู้มาใหม่เรียกความสนใจจากเหล่าคนที่นั่งคุยงานกันได้อย่างดี โดยเฉพาะชิตรัตน์ที่เงยหน้าขึ้นมาแล้วเห็นว่าเจ้าของเสียงเป็นใครก็รีบลุกขึ้นจากที่เดินไปขอเปลี่ยนหน้าที่กับปีแอร์เพื่อพาเกลเข้ามาแทน โดยไม่สนใจว่าธานจะทำหน้าแบะปากล้อเลียนหรือทำหน้าไม่พอใจแบบไหนลับหลังใส่ตน

                  “แล้วสรุปว่าคุยกันเสร็จยังครับ จะได้ให้แม่บ้านตั้งโต๊ะเลย” เกลถามพลางมองเอกสารมากมายรวมถึงรูปภาพบ้างส่วนที่วางกระจายอยู่เต็มโต๊ะรับแขก

                “เสร็จพอดีครับน้องเกล ให้ตั้งโต๊ะเลยก็ได้” ธานชิงตอบตัดหน้าชิตรัตน์พร้อมหันมาทำหน้าสะใจใส่ เหมือนเด็กที่แย่งตอบคำถามคุณครูได้เป็นคนแรกอะไรแบบนั้น

                “งั้นเดี๋ยวพี่ชินกับคุณแก้วก็อยู่ทานด้วยกันเลยนะครับกลับไปน้องเกรทจะได้อาบน้ำนอนเลย”  เกลพูดด้วยสีหน้ายิ้มๆเชิญชวนให้ทั้งสองอยู่กินข้าวด้วยกันเพื่อหวังต่อเวลาครอบครัวต่ออีกเล็กน้อย ผิดกับพี่ชายของตนที่ทำหน้ามุ่ยเป็นเด็กถูกขัดใจเมื่อรู้ว่าชิตรัตน์จะต้องนั่งร่วมโต๊ะด้วยโดยไม่รู้ว่าแก้วกล้าเองก็ทำหน้าแบบเดียวกันเมื่อรู้ว่าต้องร่วมโต๊ะกับเขาอย่าเลี่ยงไม่ได้

              หลังจากจัดการมัดมือชกให้ทุกคนได้กินข้าวด้วยกันสมใจตนแม้จะขัดใจคนเป็นพี่ของเขาไปบ้างแต่ก็เพราะรู้ว่าพี่ชายตนไม่ขัดความสุขเล็กๆของเขาเป็นแน่เลยให้ชิตรัตน์พาตนไปยังห้องอาหารที่มีลูกชายของพวกเขานั่งอยู่กับไรอันรออยู่ก่อนแล้ว ส่วนแก้วกล้านั้นขอเวลาเก็บเอกสารต่างๆก่อนเดี๋ยวจะตามไปที่หลังซึ่งดูเหมือนว่าคงจะต้องให้เวลาอีกพักใหญ่ๆเลยเพราะมีตัวก่อกวนอย่างธานที่อาสาเป็นคนช่วยเก็บของอย่างหวังดีประสงค์รักคอยก่อกวนอยู่ไม่ห่าง

                ตลอดมื้อค่ำของวันนี้ผ่านไปอย่างราบรื่นสมดังความตั้งใจของเกลเป็นอย่างมาก ถึงแม้ว่าการกินข้าวพร้อมหน้ากันแบบนี้จะไม่ใช่ครั้งแรกก็ตามเพราะหลังกลับจากใต้พวกเขาก็ได้นั่งร่วมโต๊ะกันแบบนี้   ครั้งหนึ่งในวันที่ชิตรัตน์มาที่บ้านเขาครั้งแรกจากกการแอบขับรถตามรถของพี่ชายเขามาโดยไม่ลืมที่จะพาแก้วกล้ามาด้วยเขาจำได้ว่าพี่ชายของเขาโวยวายเสียบ้านแตกแต่พอเจอคนท้องพูดไปไม่กี่คำก็กลับมาสงบเสงี่ยมเหมือนเดิมจนเขาเองยังอดขำไม่ได้

                แต่พอทุกคนกินอาหารเสร็จเรียบร้อยก็ถึงเวลาที่ฝ่ายชิตรัตน์เองจะต้องกลับแล้วเช่นกันเมื่อเวลาที่นาฬิกาบอกว่าใกล้จะสองทุ่มแล้วและเกรทเองก็มีอาการง่วงนอนออกมาให้เห็นเช่นกัน       
     
                สองพี่น้องเดินออกมาส่งทั้งสามที่หน้าประตูก่อนขึ้นรถแต่ถึงจะง่วงนอนจนตาจะปิดขนาดไหนเด็กชายก็ยังหันกลับมาบอกว่าคืนนี้จะโทรหาอีกเช่นเคยให้คนเป็นแม่รอรับด้วยซึ่งนั้นก็ทำให้เกลยิ้มไม่หุบ ในขณะที่ธานเองก็จะเริ่มทำตัวเป็นเด็กๆอีกครั้งโดยการรั้งแขนของแก้วกล้าไว้แล้วบอกสิ่งที่ตนพยายามพร่ำพูดมาตั้งแต่อยู่ที่โต๊ะอาหารในเรื่องที่จะไปส่งอีกฝ่าย

                 “นะแก้ว ให้ฉันไปส่งดีกว่า”

                “อะไรของคุณอีกเนี่ย ผมบอกแล้วไงว่าจะกลับกับคุณชินได้”

                “ก็ฉันไม่ไว้ใจปล่อยให้เธอกับลูกกลับกับไอ้คนไร้ความรับผิดขอบแบบนั้นนะ เกิดเป็นอะไรขึ้นมาจะทำไง”  ก็ยังไม่วายหาเรื่องแขวะ

                “เอ๊ะ! นี้คุณเลิกอคติสักทีมันจะตายไหมและอีกอย่างผมมาพร้อมคุณชินก็ต้องกลับพร้อมเขาสิ”  ธานทำหน้าคิดอย่างไม่สบอารมณ์กับความมีมารยาทของแก้วกล้า ก่อนจะนึกอะไรขึ้นมาได้

                “ก็ได้ ฉันยอมให้นายกลับกับไอ้หนวดนี้ก็ได้” จ๊ะ ตัวเองหนวดเยอะกว่าเขาอีก แก้วกล้าคิดในใจพร้อมกรอกตาไปมาอย่างระอาใจ

                “แต่วันเสาร์ที่จะถึงนี้แก้วต้องไปหาหมอพร้อมกับฉัน ฉันจะโทรนัดหมอพลอยคืนนี้”

                “คุณธาน!!”

                “แก้วผลัดมาหลายครั้งแล้วนะ ไม่รู้แหละถ้าแก้วไม่ตกลงก็จะยังไม่มีใครได้กลับทั้งนั้น”  แก้วกล้าอ้าปากค้างมองคนที่พูดเงื่อนไขแสนเอาแต่ใจอย่างเอาเรื่องก่อนจะหันไปมองหลานชายที่เริ่มหาวอยู่บนรถ

                “ก็ได้ แค่ไปหาหมอใช่ไหม” เขาตอบอย่าจำใจเพราะไม่อยากให้ทุกคนต้องมาเสียเวลาเพราะเขาคนเดียว

                “ดีมากที่รัก เดี๋ยววันเสาร์ตอนเช้าฉันจะไปรับห้ามหนีเข้าใจไหม” ธานพูดย้ำ

                “รู้แล้วน่า”

                “งั้นพรุ่งนี้เช้าฉันจะรออยู่ตรงล็อบบี้หน้าตึกนะ”

                “ฮะ!!”

                “ก็อย่างที่พูด ถ้าปฏิเสธฉันจะเปลี่ยนไปรอหน้าห้องนอนแก้วแทนนะ”

                “เออ!!”   แก้วกล้ากระแทกเสียงตอบอย่างหงุดหงิดแล้วเปิดประตูรถด้านหลังแล้วแทรกตัวเข้าไปข้างในอย่างเร็วไม่รอให้ธานมาช่วย


                เมื่อทุกคนขึ้นรถกันหมดแล้วชิตรัตน์ก็ขอตัวกลับเข้าประจำตำแหน่งคนขับแล้วและออกรถไปทันที หลังจากรถคันงามของชิตรัตน์หายไปลับไปจากรั้วบ้าน ธานก็พาเกลกลับไปยังห้องของเจ้าตัวและเริ่มทำหน้าที่พี่ชายที่แสนดีโดยการพาช่วยคนเป็นน้องอาบน้ำแต่งตัวและพามาส่งยังเตียงนอนของอีกคนเพื่อหวังจะถามในสิ่งที่ค้างใจอยู่

               “น้องเกลจะบอกพี่ได้หรือยังครับ”  ธานเอ่ยถามขึ้นพร้อมกับที่ลากเก้าอี้มานั่งหมายจะคุยให้รู้เรื่อง

               “เรื่องอะไรหรือครับ”  คนถูกถามตีหน้ามึนไม่เข้าในคำถามเมื่อครู่อีกทั้งยังอุ้มเจ้าแมวตัวโปรดขึ้นมาเล่นเป็นข้ออ้าง

                “อยากมาทำเป็นไม่รู้เรื่องน้องเกล ตอบพี่มาดีๆ” ธานกอดอกทำหน้าจริงจัง

                “ก็เกลไม่รู้จริงๆนิครับอยู่ๆพี่ธานก็มาบอกให้น้องพูดอะไรก็ไม่รู้แบบนี้ น้องก็คงตอบไม่ถูกเหมือนกัน”  สรุปนี้เขาผิดหรอที่ถามไม่รู้เรื่อง

                “โอเค พี่ผิดเองงั้นเอาใหม่” ในเมื่อโดนย้อนขนาดนี้แล้วเขาถามใหม่ก็ได้

                “ก็เรื่องที่เราพูดค้างกันไว้ที่ทะเลไง น้องเกลพยายามเลี่ยงพี่มาหลายวันแล้วนะ”  ธานว่าก่อนจะคว้าเอาเจ้าขนฟูตัวปัญหานั้นมาอุ้มไว้เสียเองเมื่อเห็นว่าเกลไม่สนใจในสิ่งที่เขาพูด

                “ก็ไม่มีอะไรนี้ครับ”  เกลยู่หน้าน้อยๆเมื่อโดยแย่งของเล่นไปดื้อๆ

                “เกล น้องคิดจะทำอะไรบอกพี่ได้ไหม”  เสียงจริงจังอย่างเป็นห่วง ถ้าเป็นเมื่อก่อนเกลจะทำอะไรเขาคงไม่ห้ามหรอกนะ แต่ตอนนี้มันไม่ใช่อาการของเกลเองจะกำเริมออกมาเมื่อไรก็ไม่มีใครรู้

                “น้องว่าเรื่องนี้พี่ธานก็น่าจะพอเดาออกอยู่แล้วไม่ใช่หรอครับ” บ้าน่ะ นี่น้องเขาคิดบ้าอะไรอยู่เนี่ย

                “พี่ไม่เห็นด้วยเรื่องพวกนี้ปล่อยให้พี่จัดการเองดีกว่า” ธานผลุดลุกขึ้นมาอย่างไม่ชอบใจกับความคิดที่อยู่ในหัวของเกลเท่าไรนัก ขนาดเจอชิตรัตน์ครั้งแรกยังสั่นขนาดนั้นแล้วถ้ามันเป็นอย่างที่เขาคิดจริงน้องเขาจะเป็นยังไง

                “พี่ยอมรับไอ้ชิตรัตน์นั้นก็ได้ แต่ขอเถอะอย่ายุ่งกับเรื่องนี้เลยนะ ถือว่าพี่ขอถอะ” เขาหันกลับมามองน้องชายของตนอย่างจริงจังเพื่อหวังว่าอีกคนจะล้มเลิกความตั้งใจบ้าๆนั้นเสียเพราะเขาเองคงจะรับไม่ได้ถ้าน้องต้องเป็นอะไรไปอีก

                คราวนี้เกลไม่ตอบอะไรเขาอีกเลยนอกจากส่งยิ้มมาให้เท่านั้น  เขาเองก็จนปัญญากับการจะโน้มน้าวใจของอีกคนที่บทจะแข็งก็แข็งไม่ยอมงอบทจะอ่อนก็อ่อนมาก เมื่อเขาเลือกที่จะเงียบและอีกคนเลือกที่จะไม่ตอบทำให้กลายเป็นว่าตอนนี้ทั่งห้องตกอยู่ในบรรยากาศความเงียบที่พวกเขาเป็นคนสร้างหากแต่เกลกลับเลือกที่เมินเฉยต่อความเงียบนั้นแทน

                 จนกระทั้งเสียงเคาะประตูดังขึ้นเรียกความสนใจของพวกเขาก่อนที่เจ้าของห้องเอ่ยเชิญให้แขกผู้มาใหม่เข้ามาในตอนแรกธานเองก็คิดว่าอยู่ไปก็คงไม่เกิดประโยชน์อะไรเลยคิดจะกลับไปที่ห้องของตนเองเสีย หากแต่แรงรั้งที่ข้อมือหนาของเขาทำให้เขาต้องหันกลับมามองคนที่นั่งอยู่บนเตียงอย่างไม่เข้าใจ

                “อยากรู้ไม่ใช่หรอครับว่าน้องจะทำอะไร”

                เกลพูดขึ้นเหมือนมันเป็นเรื่องปกติแต่สำหรับธานแล้วเรื่องนี้ถือเป็นเรื่องใหญ่สำหรับเขามาก ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่เงยหน้ามองสองคนสนิทของน้องชายก่อนจะไปสะดุดสายตาเข้ากับซองเอกสารสีน้ำตาลไม่หนามาที่อยู่ในมือของชายและพล

                “ของที่เกลฝากหาได้ครบไหมครับ” 

               เกลหันไปพูดเสียงหวานให้พี่เลี้ยงทั้งสองของตนพร้อมกระตุกแขนเสื้อพี่ชายของตนให้กลับลงไปนั่งที่เก้าอี้ใหม่อีกครั้ง

                “ครบครับ  ในนี้คือข้องมูลที่คุณเกลต้องการทั้งหมด” พลยื่นซองสีน้ำตาลซองแรกมาให้เขารับเอาไว้พร้อมเปิดดู โดยไม่วายแบ่งบางส่วนให้ธานได้ดูด้วยเช่นกัน

                “ในนี้มีข้อมูลการรักษาทั้งในไทยและต่างประเทศ จำนวนครั้งที่เข้ารับการรักษา อาการที่แสดงออกในแต่ละครั้ง ส่วนใบสุดท้ายเป็นรายชื่อของผู้ที่บริจาคหัวใจทั้งหมดจากโรงพยาบาลที่เข้ารักษาตัวในตอนนี้ครับ”

                เกลพยักหน้ารับกับคำชี้แจ้งเอกสารพร้อมกับอ่านดูคล่าวๆซึ่งนั้นมันก็ไม่ได้ต่างไปจากสิ่งที่ตนคิดเอาไว้เสียเท่าไร โดยเฉพาะตีหน้าตึงเครียดเหมือนคนกำลังสับสนของธานที่นั่งดูเอกสารอยู่ข้างๆเขานั้นด้วย

                “นี้มันหมายความว่ายังไงกันน้องเกล”  ธานทำสีหน้าสับสนอย่างไม่ปิดบัง

                “คนป่วยก็ต้องคู่กับเอกสารการรักษาอยู่แล้วไม่ใช่หรอครับ นี้ไงโรงพยาบาลเดียวกับน้องเลย”

                เกลว่าเสียงใสพร้อมชูเอกสารที่มีตราประทับของโรงพยาบาลที่ตนเคยเข้ารับการรักษาอยู่เป็นประจำ แต่สงสัยว่าคำตอบของเขาจะยังไม่สามารถไขข้อข้องใจให้กับพี่ชายของเขาได้แน่ๆ เพราะดูสิพี่ธานยังทำหน้ายักษ์ใส่เขาอยู่เลย

                “ส่วนนี้เป็นเอกสารที่คุณธานมีอยู่ทั้งหมดเกี่ยวกับคุณชิตรัตน์และครอบครัว”

                ธานหันขวับไปมองหน้าเกลทันทีที่ชายพูดจบ นี้ถึงขนาดส่งคนไปค้นห้องของเขาเพื่อเอาเอกสารเลยงั้นเหรอ

                 "อย่างมองหน้าน้องอย่างนั้นสิครับ พี่ธานไม่ยอมเอามาให้น้องดีๆเองนี่นะ”   เกลลอบหน้าลอยตาพูดเหมือนว่าเรื่องนี้ไม่ใช่ความผิดของตน แต่ก่อนที่ธานจะได้อ้าปากเถียงอะไรเจ้าตัวแสบนี้พลก็ส่งเอกสารอีกชุดที่อยู่ในมือมาตรงกลางระหว่างเขาทั้งคู่

                “ส่วนนี้เป็นข้อมูลส่วนตัวปลีกย่อยที่คนของผมไปเจอมาดูท่าทางมันจะเป็นข้อมูลที่เป็นความลับเสียด้วย บางทีนี้อาจพอเป็นประโยชน์ให้กับเราก็ได้นะครับ”

                เกลเปิดดูเอกสารนั้นดูก่อนจะยิ้มล้าอย่างคนที่ถือไพ่เหนือกว่า พร้อมเหลือบสายตามามองธานครู่หนึ่งก่อนจะส่งเอกสารบางส่วนนั้นไปให้ธานแทน

                “อันนี้ต่างหากคือสิ่งที่พี่ธานต้องไปจัดการให้น้อง”

...................................................................................................

                 “แล้วคุณชินจะเอายังไงต่อไปดีครับ”

                  คำถามชวนสงสัยของเลขาคนสวยที่ทำหน้าที่เป็นตุ๊กตารถถามขึ้นมาในความเงียบ ทำให้ชิตรัตน์ต้องหันหน้าไปเป็นเชิงถามทั้งที่สายตายังไม่ละไปจากถนน

                 “ก็เรื่องคุณเกลไงครับ จะเอายังไงต่อไป”

                  แก้วกล้าขยายความให้ชัดขึ้นเมื่อคิดว่าเขาคงไม่เข้าใจในคำถามที่ถูกส่งออกมาอย่างห้วนๆ เขาเหลือบตามองกระจกหลังเพื่อให้แน่ใจว่าลูกชายของเขาจะหลับสนิทไปแล้วจริงๆ

                 “ก็คงต้องค่อยเป็นค่อยไปล่ะมั้ง” เขาตอบตามความเป็นจริง

                  อันที่จริงเขาก็อยากที่จะให้ทุกอย่างเป็นไปตามที่เขาต้องการไวๆอยู่หรอกนะ แต่พอได้เห็นอาการของเกลในวันนั้นที่เจอหน้าเขาอีกครั้งแล้วมันก็ทำให้เขาได้รู้ว่ามันไม่มีอะไรเป็นไปดั่งใจเราทุกอย่างได้โดนเฉพาะความรู้สึกของเกลในเวลานี้

                  เกลไม่ได้เกลียดไม่ได้โกรธเขาอย่างที่คิดซึ่งฟังดูแล้วเหมือนว่ามันจะดีน่ะ แต่ในความเป็นจริงแล้วอีกคนกลับ กลัว เขาต่างหาก การทำให้คนคนหนึ่งหายหวาดกลัวในสิ่งที่หยั่งรากลงในจิตใจมันก็พอๆกับการพยายามทำดีให้คนที่เกลียดเราได้เห็น แล้วยิ่งเกลมีอาการของร่างกายและจิตใจที่ไม่เหมือนปกติเมื่อก่อนอย่างนี้ด้วยแล้ว เขาก็ยิ่งไม่รู้เลยว่ามันจะอีกนานไหมกว่าทุกอย่างจะกลับมาเป็นปกติอีกครั้ง

                 “เรื่องแบบนี้มันต้องใช้เวลา จะโผงผางไปก็คงจะไม่ได้” ชายหนุ่มพูดเสียงนิ่งเหมือนซ้ำกับตนเองมากกว่ากรพูดให้แก้วกล้าได้ฟัง

                  “แต่ถ้าคุณหญิงรู้เรื่องนี้ละ”

                  นี้ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่เขาเองก็ไม่รู้เช่นกันว่าจะทำเช่นไรดี คนหัวแข็งไม่ยอมฟังใครอย่างแม่ขอเขานี้แหละที่เป็นปัญหาสำคัญ ถ้าเกิดเรื่องนี้รู้ถึงหูหล่อนเข้าล่ะก็ความปลอดภัยของจิตใจของลูกชายเขาจะเป็นยังไง

                   แก้วกล้าเองก็เป็นห่วงเจ้านายของตนว่าหากคุณหญิงกลับมาจริงมิเท่ากับว่าชิตรัตน์ต้องรับศึกสองด้านเลยหรือแค่ทุกวันนี้เจอแค่คนพี่ของคนรักก็เหนื่อยกายแล้วแล้วนี้ยังมาเจอคนเป็นแม่ที่เอาแต่ใจตัวเองเสียยิ่งกว่าใครอย่างคุณหญิงโฉมฉวีอีกคงไม่แคล้วได้เหนื่อยใจอีก

                 “เธอไม่ต้องเครียดเรื่องนี้แทนฉันหรอกนะแก้ว นี่เป็นเรื่องของครอบครัวฉันฉันต้องจัดการด้วยตัวเอง ฉันทำมันพังมาครั้งหนึ่งแล้ว ฉันจะไม่ยอมให้มันเป็นเหมือนเดิมอีก”  คำพูดจริงจังของชิตรัตน์ที่ดูหนักแน่นพอจะช่วยคลายกังวลของเขาลงไปได้เล็กน้อย

                 “ผมจะคอยเอาใจช่วยนะครับ” ชิตรัตน์ยิ้มออกมากับคำพูดของคนข้างๆ
 
:katai3:


ออฟไลน์ wavery

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 124
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-2

:katai3:


                  ชิตรัตน์ขับรถมาส่งว่าที่คุณแม่ที่หน้าคอนโดเสร็จเรียบร้อยก็มุ่งตรงกลับบ้านของตนทันทีเช่นกัน   ด้วยระยะทางจากคอนโดถึงบ้านเขานั้นปกติใช้เวลาไม่นานทำให้เขาคิดว่ากลับไปถึงค่อยโทรอีกคนรักก็น่าจะไม่ดึกมาก แต่ว่า ณ ตอนนี้เขายังไม่พ้นเขตคอนโดเลยด้วยซ้ำไปจากอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นข้างหน้าเลยทำให้ตอนนี้การจราจรเริ่มติดขัดคาดว่ากว่าจะถึงบ้านนั้นก็คงต้องใช้เวลาอยู่เหมือนกันซึ่งนั้นยากจะเป็นผลดีกับเขาก็ได้เพื่อว่าจะพอทำให้เขามีเวลาคิดอะไรหลายๆอย่าง หลังจากจมอยู่กับความคิดของตัวเองสักพักรถที่ยังคงติดอยู่ก็ไม่มีทีท่าว่าจะขยับหรืออย่างไร    ชิตรัตน์จึงเอื้อมออกไปหยิบหูฟังไร้สายออกมาใส่ก่อนที่จะกดโทรออกที่โทรศัพท์

                //ครับ พี่ชิน//  เสียใสที่ไม่ต้องให้รอนานจากปลายสายทำให้เขาที่เมื่อครู่ยังตีหน้าเครียดอยู่สามารถยิ้มออกมาได้อย่างง่ายดาย

                “รับช้าจัง นอนแล้วหรอครับคนดี” ตามจริงก็ไม่ได้ช้าอะไรอย่างที่เขาพูดหรอก

               //ยังครับรอพี่ชินโทรมานี้แหละ ถึงบ้านแล้วหรอครับ// 

               “ยังเลย รถติดอยู่ตรงหน้าคอนโดแก้วนี้แหละ กลัวว่าถ้ารอให้ถึงบ้านจะดึกเสียก่อน”

               //อย่างงั้นหรือครับ แล้วลูกละครับ//

               “หลับตั้งแต่ออกจากบ้านเราแล้วละ” คำตอบของเขาเรียกเสียงหัวเราะเบาๆจากคนปลายสาย

                เขาใช้ช่วงเวลารถที่รถติดในตอนนี้พูดคุยกับเกลหลายเรื่องไม่ว่าจะเรื่องงานเรื่องที่เจอมาทั้งวันให้อีกคนฟังจนรถที่ติดอยู่เริ่มขยับไปข้างหน้า  ผ่านอุบัติเหตุของรถกระบะสีดำที่ใช้ขนของชนกับรถเก๋งคันเล็กสีขาวทำให้ต้องเดินถนนทางเดียว ชิตรัตน์เล่าเหตุการณ์ที่เจอขณะขับรถให้เกลฟังจนเมื่อใกล้ถึงบ้านของตนก็ล้วนมาเป็นเวลาที่ดึกพอควรแล้วเขาคิดว่าควรให้เด็กน้อยของเขาได้พักผ่อนเสียทีและคงมีคนที่คิดเหมือนกับเขาจนส่งเสียงเขามาตามสายให้เขาได้ยิน

               //น้องเกลนอนได้แล้วนะ........ครับพี่ธาน.....พี่ชินครับเกลคงต้องวางแล้วละ// น้ำเสียงหงอยๆของคนที่ถูกพี่ชายจอมดุบังคับให้นอนทำให้เขาอดยิ้มไม่ได้

               “ครับ พี่เองก็ใกล้ถึงแล้วเหมือนกัน” เขาพูดขณะเลี้ยวเข้าซอยบ้าน

              //งั้นก็ฝันดีนะครับ//

            “เกล” เขาเรียกชื่ออีกคนไว้ก่อนที่อีกฝ่ายจะกดวาง

            //ครับ //

             “............”

            //พี่ชิน  มีอะไรหรือเปล่าครับอย่าเงียบสิ//  เขารวบรวมแรงใจที่มีอยู่ก่อนจะพูดออกไป

            “พี่รักเกลนะ พี่สัญญาว่าจะทำเรากลับมาอยู่ด้วยกันอีกครั้ง”  เขาพูดออกไปอย่าที่คิด  เขาสัญญากับอีกฝ่ายไว้แล้วยังไงเสียคราวนี้เขาต้องทำให้ได้ต้องให้มีอุปสรรคขนาดไหนก็ตาม หรือต่อให้อุปสรรคที่ว่าจะเป็น แม่ ของเขาเองก็ตาม

             //ครับ เกลก็รักพี่ชินนะ เกลจะรอวันที่เราจะได้กลับมาอยู่ด้วยกันพร้อมหน้านะ//  คำพูดเพียงประโยคเดียวที่เหมือนเป็นน้ำทิพย์ชโลมใจให้เขามีแรงที่จะเดินหน้าต่อกรกับอะไรหลายๆเอย่าง นี่ล่ะมั่งที่ใครเขาว่ากันว่าเพียงคำพูดเดียวของคนที่รักก็เหมือนเป็นแรงผลักดันให้เรามีแรงที่จะเดินหน้าต่อ
 

              หลังจากล่ำลาและวางสายจากกันแล้วก็ถึงบ้านของเขาพอดีเขากดรีโมตเพื่อให้ประตูรั้วอัตโนมัตินั้นเปิดออก เอารถเข้าจอดที่โรงรถเรียบร้อย  ก่อนที่แม่บ้านสองคนที่ออกมารับเขาช่วยหยิบเอากระเป๋าเอกสารและสูทตัวนอกของเขาและกระเป๋านักเรียนของเกรทที่ยังคงไม่มีทีท่าว่าจะตื่นไปเพื่อจะนำกลับไปไว้ที่ห้องให้ตามหน้าที่เหมือนปกติ  แต่เขากลับรู้สึกว่าสีหน้าของแม่บ้านดูกระอักกระอ่วนเหมือนจะพยายามจะบอกอะไรเขาสักอย่างอยู่ แต่เขาไม่ทันได้ถามไปเสียงวิ่งกระหืดกระหอบของชาติที่เขาส่งกลับมาก่อนตั้งแต่ช่วงเย็นก็ดังขึ้นมาเสียก่อน

                “คุณชิน”

               “อ้าวชาติ ทำไมถึงต้องวิ่งออกมาด้วยล่ะ”

               เขาถามอย่างสงสัย เพราะปกติแล้วถ้าไม่ใช่เรื่องงานหรือดูแลเกรทแล้วล่ะก็อีกคนจะไม่ค่อยขึ้นไปที่ตัวบ้านของเจ้านายเสียเท่าไร แล้วยิ่งสีหน้าของชาติกับแม่บ้านสองคนที่ยังคงยืนอยู่มีอาการไปในทางเดียวกันอย่างนี้ด้วยแล้ว เขาเองก็ยิ่งรู้สึกสังหรณ์ไม่ดีจนต้องกระชับแขนที่อุ้มลูกชายตัวน้องเอาไว้ให้แน่นขึ้น

              “มีเรื่องอะไรกันหรือเปล่า”  เขาถามดูอีกครั้ง

              “ส่งคุณหนูมาให้ผมจะดีกว่าครับ”

               ชาติพูดแค่นั้นก่อนส่งมือไปเพื่อขอรับเด็กชายจากคนเป็นนาย แม้จะยังไม่ค่อยเข้าใจสถานการณ์เท่าไรแต่ชิตรัตน์ก็ยอมที่จะส่งตัวลูกชายของเขาให้กับคนสนิทไปอย่างง่ายดาย เด็กชายขยับตัวเล็กน้อยก่อนจะพิงหัวลงกับไหล่ของผู้มาใหม่แล้วหลับต่อด้วยความเพลีย

                ชิตรัตน์เริ่มไม่ไว้วางใจกับสถานการณ์ตอนนี้อย่างยิ่งเขารู้สึกได้ถึงความผิดปกติบางอย่างที่ผู้น้อยในบ้างถึงสามคนแสดงออกมาเมื่อยามเจอเขา ชายหนุ่มทำตัวให้ปกติตีหน้าเรียบเฉยเหมือนไม่มีอะไรก่อนจะเดินนำชาติเข้าตัวบ้านไป

                “ทำไมพึ่งกลับมาตอนนี้ตาชิน”

                  !!

               ชิตรัตน์ชะงักกึกขาที่กำลังก้าวผ่านโซนรับแขนด้านหน้าก่อนจะหันไปมองสุภาพสตรีวัยกลางคนตอนปลายที่กำลังนั่งอ่านนิตยาสารอยู่กลางโซฟายาว

                “แม่”

                 เขาพึมพรำกับตัวเองเบาๆก่อนหันกลับไปส่งสายตาให้ชาติกับสาวใช้อีกสองคนให้เดินขึ้นไปด้านบนของบ้านได้เลย ส่วนตัวเขานั้นเดินเลี้ยวเข้าไปในห้องรับแขกนั้นแทน

                 “ดูแกไม่ค่อยจะดีใจหรือแปลกใจอะไรเท่าไรเลยนะที่เห็นฉันกลับมาบ้าน”

                  คำพูดเหน็บแนมจากปากสีแดงสดนั้นทำให้เขาได้แต่ถอนหายใจออกมาเบาๆ ก็ไม่ใช่ว่าไม่ดีใจแต่ก็แค่ยังไงทำอะไรไม่ถูกมันก็เท่านั้น

                  “ไม่ใช่อย่างนั้นสักหน่อยครับ”  เขาว่าปัดพร้อมนั่งลงที่ว่างใกล้ๆ

                  “อย่างนั้นหรอ แล้วทำไมกลับดึก”

                   คุณหญิงเหลือบตามองลูกชายของตนก่อนจะวางนิตยาสารที่ใช้อ่านฆ่าเวลาเมื่อครู่ลงกับโต๊ะรับแขกตรงหน้า พร้อมกับหันไปสั่งให้คนรับใช้ที่เพิ่งเดินผ่านมาไปนำน้ำดื่มมาให้ลูกชายตน

                  “พอดีผมไปคุยเรื่องงานมาครับ”  เขาว่าไปตามตรง ซึ่งอีกคนก็ไม่ได้มีท่าทีท้วงติงอะไรเขาจึงถามกลับบ้าง

                  “ว่าแต่แม่เถอะ ไหนว่าจะอยู่ที่ฝรั่งเศสยาวจนกว่าจะผ่าตัดเสร็จแล้วทำไมถึงได้......”

                   “ก็ฉันเบื่อ”

                  คุณหญิงพูดแทรกขึ้นมาดื้อๆ เขาเองก็พอจะเขาใจนิสัยพวกนี้ของคนที่เลี้ยงดูตัวเองมานานดีแต่ก็ไม่คิดว่าจะเอาแต่ใจตัวเองได้ขนาดนี้เหมือนกัน

                 “แล้วคุณหมอเขาอนุญาตแล้วหรือครับแล้วเรื่องผ่าตัด”

                 “ก็ต้องรอไงว่าจะมีอันไหนที่เข้ากับร่างกายฉันได้ อีกอย่างฉันอยู่นั้นมาตั้งหลายอาทิตย์แล้วมันน่าเบื่อ”  หล่อนแน่นย้ำคำว่าเบื่อเสียงดังให้ชิตรัตน์เข้าใจ และจะได้เลิกเซ้าซี้เสียที

                 ชิตรัตน์เลือกที่จะหยุดถามคำถามอะไรต่อแล้วหยิบแก้วน้ำที่สาวใช้นำมาวางไว้ให้ขึ้นจิบแทน นานแค่ไหนแล้วนะที่เขากับแม่แทบจะไม่เคยได้พูดจากันดีๆเหมือนแม่ลูกคู่อื่น

                  “แล้วนี้กินอะไรกันมาหรือยัง กลับบ้านดึกๆดื่นๆแบบนี้แถมยังเอาลูกไปด้วยอีกคิดอะไรอยู่ ดูสิหลับขนาดนั้นจะได้อาบน้ำหรือเปล่านะ”  แต่อย่างน้องแม่ก็ยังเป็นแม่ล่ะนะ

                  “อาบมาเรียบร้อยแล้วครับ เดี๋ยวผมว่าจะขึ้นไปเช็ดตัวให้ลูกอีกรอบเพื่อแกจะได้สบายตัว”  แต่จะให้บอกว่าอาบมากับเกลนี้คงจะไม่ดีเท่าไรหรอก

                   “นี้แกไปคุยงานมาจริงๆหรอ” คุณหญิงปลายตามองชิตรัตน์ก่อนจะถามอย่างจับผิด ไปคุยงานแล้วลูกจะได้อาบน้ำได้ยังไง

                    “ก็ ไปคุยกันที่บ้านของอีกฝ่ายนะครับทางนั้นก็เลยยอมให้ตาเกรทอาบน้ำก่อนกลับมา”  ชิตรัตน์พยายามอธิบาย แต่มีหรือคนที่คอยจ้องจับผิดอยู่อย่างคุณหญิงโฉมฉวีจะเชื่อง่ายๆ

                    “ก็ขอให้ไปคุยงานจริงๆแล้วกัน ไม่ใช่ว่าเอาเวลาไปทำเรื่องไร้สาระ”

                “หมายความว่ายังไงครับ”

                เรื่องไร้สาระงั้นเหรอ..................

                “เหอะ แกก็รู้ดีอยู่แล้วไม่ใช่หรือยังไงเรื่องของไอ้เด็กใจแตกนั้นนะ”

                “แม่ !”

                ชิตรัตน์ขึ้นเสียงใส่คนด้านข้างอย่างไม่พอใจกับคำประณามว่าร้ายนั้นที่แม่ของเขายัดเยียดมันให้กับใครบางคนที่ไม่ต้องบอกเขาก็รู้ว่าเป็นใคร

                 “รับความจริงไม่ได้หรือไง” หล่อนว่าอย่างไม่แยแสท่าทีเดือดดาดของลูกชายที่มองมาตนอย่างไม่พอใจ แต่ใครจะสนกันในเมื่อหล่อนพูดความจริง ก็คิดดูเอาสิเด็กดีๆที่ไหนเขาจะหอบผ้าหอบผ่อนมาอยู่กับผู้ชายจนท้องโย้ขนาดนั้นแล้วไหนจะความเน่าเหม็นที่หล่อนเจอมาอีกคิดหรอว่าหล่อนจะไม่รู้ธาตุแท้ของของไอ้เด็กนั้นที่คิดจะจับลูกชายของหล่อนไม่มีทางเสียหรอกย่ะ

                 “แต่เกลเขาไม่ได้เป็นอย่างที่แม่พูด ผมอธิบายตั้งหลายครั้งแล้วทำไมแม่ไม่เข้าใจบ้าง....” เขาเริ่มจะเหลืออดกับคำพูดที่ไม่แม้จะคิดตามของอีกคน

                 “อ้าวหรอ นี้ฉันเข้าใจผิดไปหรอ” คุณหญิงทำหน้าเหลอหลาแบบไม่เชื่อใส่เพื่อหวังกวนอารมณ์ลูกชาย และมันก็ได้ผลดีเสียด้วยเพราะคำพวกนั้นมันทำให้ชิตรัตน์โกรธเป็นอย่างมาจนต้องกำมือแน่นเพื่อสะกดอารมณ์

                  “จริงสิ ที่แกบอกว่าแกกำลังทำโครงการรีสอร์ตให้อยู่กับหุ้นส่วนใหม่ใช่ไหมว่างๆก็พาเขามากินข้าวที่บ้านเราบ้างสิ”  คุณหญิงพูดขึ้นอย่างเปลี่ยนเรื่อง

                 “แม่ไม่ต้องมาเปลี่ยนเรื่องเลยนะครับ” เขาว่าอย่างดักทาง อย่างนี้ตลอดพอไม่ได้ดั่งใจก็เปลี่ยนเรื่องเอาดื้อๆ

                 "เปลี่ยนเรื่องอะไร ฉันก็แค่ไม่อยากจะเสียปากว่าเวลาที่ต้องพูดถึงเด็กอย่างนั้นมันก็เท่านั้นเอง”  ความหยิ่งยโสแบบนี้เขาไม่เข้าใจเลยจริงๆว่ามันจะมีสักครั้งไหมที่แม่จะยอมลดทิฐิความคิดของตนลงมาบ้าง

                “แต่เกลเป็นเมียผม ต่อให้แม่เปลี่ยนเรื่องพูดอีกสักกี่เรื่องความจริงที่ว่าเกลคือเมียและแม่ของลูกผมมันก็คือความจริง”

                  “แต่ฉันไม่ยอม แกตามหามันมาตั้งกี่ปีแกเคยที่จะเจอเงามันบ้างไหม ไม่! แกไม่เคยเจออะไรเกี่ยวกับมันเลย ป่านนี้มันคงไปมีความสุขกับผัวใหม่ของมันแล้ว หรือไม่ก็ตายโหงตายห่าไปแล้ว”

                  คุณหญิงตะโกนก้าวอย่าสุดจะทน ไอ้เด็กนั้นมันมีดีตรงไหนกันทำไมลูกชายของเขาถึงได้หลงมันนักหลงมันหนาไม่ว่าหล่อนจะสรรหาลูกผู้ดีไฮโซเพียบพร้อมขนาดไหนมาให้ก็ไม่แม้จะชายตา ตาต่ำเหมือนพ่อมันไม่มีผิด......

                 “ถึงแม่จะไม่ยอมรับแต่เกลก็คือ เมีย ผมต่อให้แม่จะหาใครที่ดีเลิศขนาดไหนมาให้ก็ไม่มีใครมาแทนที่เกลได้ และผมนี้แหละจะพาเกลกลับมาเราอยู่ด้วยกันต่อให้แม่ไม่เห็นด้วยก็ตาม”     ชิตรัตน์เน้นย่ำถึงสถานะของคนรักเสียงดังก่อนจะเดินออกจากห้องนั่งเล่นนี้อย่างรวดเร็วโดยไม่สนใจเสียงเรียกที่พยายามจะสั่งให้เขาหยุดเดิน     

              “หยุดเดี๋ยวนี้นะตาชิน กลับมาคุยกันให้รู้เรื่องก่อน”   คุณหญิงเองก็ไม่ยอมแพ้ง่ายๆเช่นกัน หล่อนพยายามเดินตามลูกชายไปจนถึงบันไดก่อนจะคว้าเข้าที่ท่อนแทนของชิตรัตน์ให้หันกลับมา

             “ผมว่าเราคุยกันรู้เรื่องแล้วครับ นี้คือครอบครัวของผมผมเลือกแล้ว”

              เขาว่าพร้อมสะบัดแขนออกจากมือของอีกฝ่ายแล้วเดินขึ้นบันไดไปไม่แม้จะแลมองดูคนที่ยืนตะโกนเรียกเขาอยู่ที่ปลายบันไดแม้แต่น้อย

               “ตาชิน หยุดเดี๋ยวนี้เลยนะ ตาชิน ตาชะ..โอ๊ะ”  แต่เสียงเรียกก็ต้องหยุดลงพร้อมกับยกมือขึ้นกำหน้าอกของตนยามเมื่อรู้สึกเจ็บจนต้องทรุดตัวลงนั่งเช่นเดิม

               “คุณหญิงเป็นอะไรมั่งคะ” ร่างของสาวใช้ที่แอบดูเจ้านายคุยกันอยู่ด้านหลังกำแพงรีบปรี่เข้ามาหาคุณหญิงด้วยความเป็นตกใจที่อยู่ๆคนตรงหน้าก็ทรุดลงกับราวบันได

              “อย่ามายุ่งจะไปทำอะไรก็ไป!!” หล่อนตะหวาดไล่พร้อมสะบัดแขนข้างที่โดนจับเอาไว้ออกจนแม่บ้านตกใจ

                 “ฉันไม่มีวันยอมรับไอ้เด็กนั่นแน่ แกได้ยินไหม แกกับมันไม่มีวันจะได้อยู่ด้วยกันจำเอาไว้!!!”  คุณหญิงตะโกนออกไปอย่างมาดร้าย นี่ลูกชายของหล่อน ไม่ว่าใครก็ไม่มีสิทธิเอาชิตรัตน์ไปจากเธอ ไม่มีวัน!!!

_________________________________________________________

เปิดตัวบุคคลที่โลกรอ คุณหญิงแม่ มาแล้วจ้าาาา!

กลับมาอัพตามปกติแล้วนะคะ  :mew1:

ขอบคุณที่ติดตามนะคะ

ออฟไลน์ Jibbubu

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3385
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-6
แค่เพิ่งโผล่มาก็ทำให้เราเกลียดได้แล้ว คุณหญิงเธอช่างเก่งจริงนับถือมาก

ออฟไลน์ wavery

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 124
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-2
ฝนหยดที่ 14



              เสียงความไม่ลงรอยกันทางความคิดของผู้ใหญ่สองคนที่โต้คารมใส่กันทำให้คนที่ได้ยินคำพูดที่บั่นทอนความสุขที่มือคู่น้องพึ่งไขว่คว้าจับไว้ได้นั้นแทบใจสลาย

                ชาติก้มมองดูคุณหนูตัวน้อยที่เขาเฝ้าดูแลมานานอย่างเป็นสงสารจับใจ ยิ่งดวงตาแววหวานนั้นฉ่ำไปด้วยคาบน้ำตาแบบนี้เขายิ่งกระชับแขนที่กอดร่างเล็กๆนั้นเอาไว้ให้แน่นขึ้น 

“อย่าคิดมาเลยนะครับคุณหนู”

เขาพูดปลอบก่อนจะใช้ปลายนิ้วเกลี่ยน้ำตาหยดน้อยบนแก้มยุ้ยนั้นออกเบาๆ

“ทำไมคุณย่าต้องเกลียดคุณแม่ด้วย ฮึก คุณแม่ของเกรทใจดีทำไมคุณย่าต้องว่าคุณแม่ด้วย”

แรงสะอื้นจนตัวสั่นของเด็กชายที่ซบหน้าอยู่กับอกของเขา ทำเอาเขาเองก็พูดไม่ออกเหมือนกันว่าควรจะพูดอะไรออกไปดี   เพราะนี้ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาต้องมาอยู่กับเจ้านายตัวน้อยในสถานการณ์แบบนี้ถึงจะไม่กล้าพูดว่าเข้าใจความรู้สึกนั้นเพราะเขาเองก็ไม่เคยเจอกับเรื่องราวแบบนี้ แต่ถ้าใครมาว่าแม่ผู้ให้กำเนิดของเขาละก็เขาก็คงไม่ชอบเช่นเดียวกัน

                “อาชาติ คุณพ่อกับคุณแม่จะได้กลับมาอยู่ด้วยกันไหมเกรทอยากอยู่กับคุณพ่อคุณแม่”

                โธ่ คุณหนูของชาติ หน้าแดงตาช้ำไปหมดแล้ว เขาได้แต่พูดออกมาในใจแต่เมื่อกำลังจะอ้าปากพูดเสียงของคุณหญิงใจร้ายก็ดังแทรกมาเสียก่อน

“ฉันไม่มีวันยอมรับไอ้เด็กนั้นแน่ แกได้ยินไม แกกับมันไม่มีวันจะได้อยู่ด้วยกันจำเอาไว้!!!”

“ฮึก แงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงง”

เขาแทบประสาทเสียกับคำพูดที่อะไรมันจะเหมาะเจาะเจาะจงแบบนี้  แล้วยิ่งเกรทร้องไห้หนักขนาดที่ไม่ว่าเขาจะพูดอะไรเด็กน้อยก็ไม่ยอมรับฟังแบบนี้ คนดูแลอย่างเขาก็ทำอะไรไม่ถูกเหมือนกันคงจะทำได้แค่กอดเจ้านายตัวน้อยไว้แล้วลูบหลังเบาๆเท่านั้น

สักพักหนึ่งบานประตูห้องนอนของเกรทเปิดออกเจ้าของหัวตัวน้อยมีอาการสะดุ้งเล็กน้อยแต่เมื่อพอเห็นว่าเป็นใครที่เปิดประตูนั้นเข้ามาแล้ว เกรทก็เบาะปากร้องไห้ออกมามากกว่าเดิมพร้อมอ้าแขนออกกว้างให้ผู้เป็นพ่ออุ้ม

“คุณพ่อ ฮือฮือ”

เกรทตัวลอยขึ้นจากเตียงเข้าไปซุกหน้าเล็กๆของตนลงกับไหล่กว้างของพ่ออย่างหาที่พึ่งพิง  ใครว่าเด็กฟังไม่รู้เรื่องไม่เข้าใจไม่จริงเลย เด็กสามารถรับรู้ได้ว่าใครเป็นใครและเกิดอะไรขึ้นแต่เพราะเป็นเด็กการแสดงออกจึงอาจไม่ประสีประสา แต่นี้คือผ้าขาวที่ถูกทาร้ายมากๆก็ต้องบางลงและขาดง่ายเป็นเรื่องธรรมดา

“อย่าไปฟังที่คุณย่าท่านพูด ยังไงพ่อก็จะพาคุณแม่กลับมาอยู่กับเราให้ได้แน่”

ชิตรัตน์พูดกับลูกชายเบาๆที่ข้างหูของเกรทที่ซบหน้าร้องไห้จนตัวสั่นเพื่อปลอบโยน เขาเป็นห่วงลูกการที่เด็กตัวแค่นี้ต้องมารับรู้ความรู้สึกเกลียดชังของผู้ใหญ่แบบนี้มันคงไม่ใช่เรื่องดีแน่ ไหนจะสภาพจิตใจของเด็กอีก

 “แต่คุณย่า”  เกรทสะอื้นเบาๆ

“พ่อสัญญา ต่อให้คุณย่าจะพูดอย่างไรพ่อก็จะทำทุกอย่างเพื่อให้เราได้อยู่กับคุณแม่”

ต่อให้ต้องแตกหักกันเขาก็คงต้องยอมรับมัน เพราะยังไงตอนนี้สิ่งที่เขาเป็นห่วงมากที่สุดก็คือลูก เกรทจิตใจย้ำแย่มามากเกินไปแล้วเขาผิดเอง ที่ลูกเป็นแบบนี้ก็เพราะเขา  พ่อขอโทษ.........................

ชิตรัตน์เดนอุ้มลูกชายไปรอบๆห้องอยู่ครู่หนึ่งจนแน่ใจว่าแรงสะอื้นนั้นเริ่มเบาลงเขาจึงหันไปโบกมือให้ชาติที่ยังมองตรงมาที่พวกเขาด้วยสีหน้าเป็นห่วงคลายกังวลลงแล้วออกไปก่อน

เขาพาเด็กน้อยตาบวมช้ำกลับมานอนรอที่เตียงก่อนที่เขาจะจัดการเอาผ้าชุบน้ำที่ชาติวางเอาไว้ที่ข้าวเตียงมาเช็ดหน้าเช็ดตาให้ลูกเสียใหม่พร้อมเปลี่ยนเสื้อผ้าเตรียมนอนให้ โดยเขาตั้งใจว่าจะอยู่เป็นเพื่อนจนกว่าลูกชายของเขาจะหลับเพื่อให้แน่ใจว่าแม่ของเขาจะไม่เข้ามาวอแวอะไรหลานในคืนนี้อีก

“คุณพ่อ..สัญญากับเกรท...แล้ว...นะ”

 ชิตรัตน์ยิ้มชื่นให้ลูกชายที่ละเมอพูดออกมาอย่างเจ็บลึกในใจ  ในฝันลูกเขาจะยังร้องไห้อยู่อีกหรือเปล่านะ เขาคิดก่อนจะจับมือคู่น้อยของเกรทขึ้นมาแล้วจูบลงไปเบาๆ

“พ่อรักลูกนะเกรท”

.....................................................................................

ความมืดยามค่ำคืนถูกแทนที่ด้วยแสงสว่างยามเช้าที่บอกถึงการเริ่มต้นของวันใหม่และสิ่งที่ขาดไม่ได้เลยในตอนเช้านั้นก็คือมื้อแรกของวันที่สำคัญที่สุด กลิ่นข้าวต้มหมูแสนอร่อยของแม่ครัวประจำบ้านหลังโตส่งกลิ่นยั่วน้ำลายรอให้ผู้ที่เดินเข้ามาใหม่อยากลิ้มลอง 

“คุณพ่อ!!”

เสียงแจ้วจ้าวของเกรทดังขึ้นพร้อมเจ้าตัวเล็กที่วิ่งนำชาติเข้ามายังห้องอาหารเรียกความสนใจของเขาที่กำลังนั่งอ่านหนังสือพิมพ์ฉบับธุรกิจยามเช้าให้หันไปมอง

“ไงครับคนเก่ง”

เขาเอี้ยวตัวอุ้มลูกชายขึ้นนั่งที่ตักก่อนจะหอมแก้มยุ้ยนั้นอย่างเคยก่อนจะวางลูกชายลงกับเก้าอี้กินข้าวข้างตัวที่วางเบาะรองเอาไว้เพิ่มความสูงให้เจ้าตัว

“ทานข้าวกันเลยดีกว่าครับเดี๋ยวจะไปโรงเรียนสาย”

ชิตรัตน์พูดขึ้นพร้อมเรียกให้แม่บ้านที่ยืนอยู่ตักข้าวต้มใส่ชามให้พวกเขาได้เลย โดยไม่รอเจ้าของบ้านอีกคนหนึ่งที่ยังคงปรับตัวเขากลับเวลาของไทยไม่ได้เลยเจ็ทแล็กอยู่บนห้อง ซึ่งนั้นก็ดีเพราะเขากับลูกเองก็คงยังไม่พร้อมที่จะเผชิญหน้ากับอีกฝ่ายตอนนี้แน่

หลังจากกินข้าวเช้ากันเรียบร้อยแล้ว เขาก็พาลูกชายขึ้นรถเพื่อจะไปส่งที่โรงเรียนก่อนจะเลยไปที่ทำงานของเขา ชิตรัตน์ทำแบบนี้ทุกวันในตอนเช้าคือการไปส่งลูกชายถึงหน้าห้องเรียนไม่ใช่ว่าไม่ไว้ใจให้ชาติมาส่งเองแต่เพราะอย่างน้อยเขาก็รู้สึกอุ่นใจว่าลูกเขาอยู่ในมือของคุณครูเรียบร้อยและเพื่อไม่ต้องการให้เกรทรู้สึกขาดอะไร ถึงในความเป็นจริงจะไม่ใช่แบบนั้น...

“นี่ คุณพ่อ”

“ครับ” 

“ทำไมคุณแม่ไม่มารับเกรทที่โรงเรียนบ้าง”

นี่ไง คำถามตั้งแต่กลับมาจากใต้ที่เขามักจะได้ยินเป็นประจำ จนเหมือนเป็นคำถามประจำก่อนเข้าเรียนของเจ้าตัวเล็กไปเสียแล้ว

“เมื่อคืนคุณแม่ก็บอกแล้วไงครับ ว่าตอนนี้คุณแม่ช่วยคุณลุงทำงานอยู่เลยมารับเกรทไม่ได้”

เขาตอบออกไป เพราะมันไม่ใช่แค่เขาหรอกที่โดนถาม เกลเองก็โดนถามด้วยเช่นกัน  เกรทเบาะปากเหมือนจะร้องไห้ก่อนจะซบลงกับไหล่กว้างของพ่อแล้วเงียบไปตลอดทานจนเข้าห้องเรียน

ท่าทีเซื่องซึมของเกรทแสดงออกมาชัดจนเอาได้แต่ถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยใจ ไม่ใช่ไม่รู้ว่าเด็กๆต้องการความรักจากครอบครัว โดยเฉพาะเด็กอย่างเกรทที่เพิ่งได้เจอกับแม่แท้ๆ อีกทั้งปมในใจที่มีอยู่เดิมจึงไม่แปลกอะไรถ้าเกรทจะมีปฏิกิริยาเช่นนั้นออกมา

“คิดเรื่องอะไรอยู่หรือครับ”
ชาติที่รับหน้าที่ขับรถอยู่ถามขึ้นหลังจากลอบมองสีหน้าหนักใจของเจ้านายมาได้พักใหญ่ๆแล้วตั้งแต่ออกจากโรงเรียนมา

“หลายเรื่องนะ แล้วก็คิดไม่ตกเลยสักเรื่อง” เขาพูดอย่างปลงๆ

“รวมถึงเรื่องที่คุณหนูพูดเมื่อตอนนั้นด้วยใช่ไหมครับ”   

 “นั้นก็ด้วย  ตาเกรทน่ะคงอยากให้เกลมาส่งมารับบ้าง ไหนๆ ก็เจอแม่แล้วทั้งทีนี่ ก็คงอยากอวดเพื่อนๆ บางตามประสาเด็กนั่นแหละ” เขาพูดยิ้มๆ กับอาการเด็กอยากอวดแม่ของลูกชาย

“หรือฉันจะลองไปของให้เกลมารับตาเกรทเย็นนี้เลยดีไหม”  ถึงจะไม่รู้ว่าอีกคนจะว่างหรือเปล่าแต่ก็น่าจะลองดูสักหน่อย

“ก็ดีนะครับ แต่ว่าคุณธานจะยอมหรือครับ”

“น่าจะได้อยู่นะ” นั้นแหละคือสิ่งที่ทำให้เขาคิดอย่างหนัก เพราะไม่ใช่ว่าไม่รู้ว่าคนที่กำลังพูดถึงนั้นห่วงน้องขนาดไหนถ้าเขาของฝ่ายนั้นต้องไม่ยอมง่ายๆแน่

ทั้งสองคุยกันเรื่องนี้จนถึงที่ทำงานชาติส่งเจ้านายของตนลงที่หน้าประตูทางเข้าก่อนที่ตนเองจะนำรถเข้าไปจอดที่ช่องจอดรถของผู้บริหาร

ชิตรัตน์ทักทายรปภ.ที่เปิดประตูให้พูดคุยเรื่องแขกกับพนักงานตอนรับ ถามความต้องการและความพอใจกับลูกค้าที่เข้าพักที่โรงแรมของตนที่เขามักจะทำจนติดเป็นนิสัยตั้งแต่เข้ามาเริ่มทำงานที่นี้จนกลายเป็นสิ่งที่เขาต้องทำในทุกๆครั้งเนอย่างแรกที่เข้าโรงแรม

 “แหม่  คุณแก้วเนี่ยน่าอิจฉาจังเลยเนอะแก คนเก่าก็ว่าดีแล้วนะ คนใหม่นี่โคตรดีเลย ดูสิมีประคองกันด้วย”

“นั่นสิ ดูแลดีขนาดนี้ฉันล่ะอยากได้บ้าง คุณแก้วนี่ทำบุญด้วยอะไรนะ อยากรู้จริง”

เสียงของพนักงานสาวสองคนที่ยืนอยู่ไม่ไกลเรียกความสนใจของเจ้านายที่ไม่เคยมีเวลาจับกลุ่มนินทาคนอื่นอย่างเขาได้อย่างจัง จนเขาต้องหันไปมองตามสายตาของสองสาวนั้น จึงได้เห็นเลขาคนสวยของตนที่กำลังเดินเข้ามาในตัวโรงแรมพร้อมด้วยหนุ่มลูกครึ่งที่คุ้นหน้าคุ้นตาดีคอยช่วยพยุงทามกลางสีหน้ากึ่งขำกึ่งแซวของพนักงานโรงแรมของเขาที่กำลังมองภาพคู่รักคู่กัดที่กำลังเดินเข้ามา ความหมายของคำพูดเมื่อคืนคงจะเป็นสิ่งนี้สินะ

“เขามาส่งแบบนี้ทุกวันเลยเหรอ” 

 “ว้าย!! ท่านประธาน” เพราะไม่คิดว่าเจ้านายของตนจะเข้ามาร่วมวงด้วยทำเอาสาวเจ้าตกใจกันยกใหญ่

“ว่าไงล่ะ” ถามอีกครั้ง โดยยังไม่ละสายตาไม่จากคนทั้งคู่

“ทุกวันเลยค่ะ เนี่ยประคองคุณแก้วตลอดเลย สงสัยกลัวหาย อิอิอิ” หนึ่งในนั้นบอก

“จริงค่ะ ขนาดท้องอยู่นะคะยังเสน่ห์แรงขนาดนี้ อยากรู้จริงค่ะว่าถ้าไม่มีเจ้าตัวเล็กคุณแก้วจะเสน่ห์แรงขนาดไหน” อีกคนกล่าวเสริม

“นั่นสินะ”  เขาตอบอย่างเห็นด้วย ดูคุณธานแกจะหลงเลขาเขาเป็นอย่างมากเหมือนที่สองสาวนี้ว่าจริงๆนั้นแหละ

“แต่ว่านะคะท่านประธานนิดว่า นิดคุ้นๆหน้าแฟนใหม่คุณแก้วจังเลยค่ะ  เหมือนว่าเขาเคยมาที่โรงแรมเราก่อนหน้าที่จะเริ่มจีบคุณแก้วด้วย” หญิงสาวเอ่ยพลางทำหน้าคิดตามไปด้วย

“หึหึหึ” เขาหัวเราะในลำคอกับความช่างสังเกตของพนักงาน

“ท่านประธานหัวเราะทำไมคะ” หญิงสาวอีกคนถามขึ้น

“อยากรู้ก็ลองถามเจ้าตัวเองสิ นั่นไงมานู้นละ” เจ้านายหนุ่มพูดพลางชี้ไปที่คู่รักซึ่งกลายเป็นหัวข้อสนทนาเมื่อครู่

“แก้ว!”

เขาตะโกนเรียกคนที่กำลังเดินเข้าประตูมาพร้อมโบกมือเรียกให้เจ้าของชื่อเดินเขามาหา ทำให้แก้วกล้ารู้สึกตกใจไม่น้อยที่เห็นว่าชิตรัตน์มาถึงที่ทำงานก่อนตน

“เอ่อ คุณชินมาถึงนานแล้วหรือยังครับ”  เขาถามขึ้นพร้อมพยายามบิดตัวออกจากช่วงแขนหนาของธานที่พยายามโอบเขาเอาไว้ออก

“เพิ่งมาถึงได้ไม่นานนี้เอง  สวัสดีนะครับคุณธาน”

ชิตรัตน์ตอบก่อนจะหันไปทันทายคนที่ทำเมินเฉยต่อตัวตนของเขาเมื่อครู่  เพิ่งพูดถึงอยู่หยกๆเมื่อกี้นี้ตอนนี้เจอมาเป็นตัวเป็นตนเลย ก็ดีเหมือนกันจะได้พูดกันให้รู้เรื่องไปเลย

“ไหนๆก็ไหนๆแล้วผมขอคุยกับคุณเรื่องสำคัญด้วยสักครู่จะได้ไหมครับ”

“ฉันไม่ว่าง มีงานที่ต้องรีบไปทำ” ธานตอบเสียงนิ่งโดยไม่มองหน้าเขา ซึ่งมันก็ไม่ได้ต่างจากสิ่งที่เขาคิดเสียเท่าไรกับการปฏิเสธหน้าตายของธาน

“แต่ผมมี”

ธานหรี่ตามองคนตรงหน้าที่อยู่ๆก็กล้าที่จะหือกับเขาขึ้นมาทั้งทีก่อนหน้านี้แทบจะขอโทษเขาทุกคำพูดเลยด้วยซ้ำไปแล้วทำไมอยู่ๆถึงทำหน้าเครียดแล้วมันมือชกเขาแบบนี้ ถ้าไม่ใช่เรื่องใหญ่เรื่องสำคัญพ่อจะต่อยให้หน้าหงายเลย

“ฉันให้เวลาสิบนาที”

เขาว่าแล้วเดินนำอีกฝ่ายไปนั่งที่เก้าอี้รับแขกตรงหน้าล็อบบี้ ชิตรัตน์ยิ้มกว้างอย่างพอใจก่อนจะฝากฝั่งแก้วกล้าเอาไว้ให้สองสาวเมื่อครู่ดูแลเพื่อรอชาติมาแล้วค่อยขึ้นไปด้านบน

“มีอะไรก็รีบพูดมาฉันต้องรีบกลับไปทำงาน”  ธานว่าเสียงห้วน

“คือวันนี้ผมอยากขอพาเกลไปรับลูกโรงเรียนหน่อยนะครับ”  ชิตรัตน์เองก็ไม่ปล่อยให้เวลาที่ได้มาต้องเสียเปล่า เขาจึงพูดในสิ่งที่เขาหมายมั่นเอาไว้ในใจออกไป

“นี่น่ะเหรอเรื่องสำคัญที่นายว่า เสียเวลา”  ธานเมินคำพูดนั้นก่อนจะลุกขึ้นจากเก้าอี้นุ่มนั้นเพื่อจะออกไปจากตรงนี้ เพราะอย่างไรคำตอบที่เขาจะให้ไป ชิตรัตน์ก็คงรู้อยู่แก่ใจแต่ขนาดมาขอเขาตรงๆแบบนี้ถือว่ากล้ามา

“สำคัญสิครับ”    ชิตรัตน์พูดขึ้นไล่หลังให้คนที่ตัวโตกว่าหยุดเดิน ธานหันกลับมามองคนพูดอีกครั้ง เพื่อรอฟังคำพูของอีกคนต่อแม้ตัวเขาเองจะไม่พอใจอยู่บ้าง

“ความรู้สึกของลูกชายผมก็ถือเป็นเรื่องสำคัญอย่างหนึ่งเหมือนกัน แล้วการที่แม่กับลูกเขาจะได้ใช้เวลาอยู่ด้วยกันมันไม่ใช่เรื่องที่ดีหรือยังไงครับ”

“แล้วยังไง ตอนเย็นแกก็พาเกรทมาหาน้องฉันอยู่แล้วไม่ใช่หรือยังไง แล้วจะพาเกลออกไปตากแดดตากลมให้ป่วยเล่นทำไม”

“คุณไม่เคยเป็นพ่อคน คุณไม่เข้าใจหรอกครับ”

!!

“นี่..แก..” ธานข่มกรามแน่นอย่างเหลืออดที่ถูกพูดจี้ใจเช่นนั้น

“คุณไม่เข้าใจความรู้สึกของผมที่ต้องมองดูลูกชายที่เอาแต่ถามหาแม่ทั้งน้ำตามาตลอดห้าปีหรอกครับว่ามันเจ็บปวดขนาดไหน และดีใจขนาดไหนที่เห็นเขายิ้มได้อีกครั้งตอนเจอแม่ และตอนนี้ความปรารถนาที่เกรทต้องการมากที่สุดผมเองในฐานะที่เป็นพ่อคงนิ่งดูดายเห็นลูกเศร้าโดยไม่ทำอะไรไม่ได้หรอกครับ”

ธานนิ่งเงียบไปกับคำพูดของชิตรัตน์ที่พูดออกมา ก็จริงอยู่ที่เขาไม่ใช่พ่อคนเขาไม่มีทางรู้เรื่องพวกนี้หรอก แล้วมันเป็นความผิดของเขาหรือยังไงที่ไม่ได้เป็น พ่อ นะ

“แต่ฉันไม่ยอมให้น้องฉันออกไปกับคนอย่างแกแน่”  เขาพูดทิ้งไว้แต่นั้นก่อนจะหันหลังเดินกลับไปทานเดิม แต่เสียงของชิตรัตน์ก็ดังขัดเขาขึ้นมาอีกครั้ง

“ผมไม่ได้พูดเพราะต้องการขออนุญาตคุณ แต่ผมแค่มาบอกคุณเอาไว้ก่อนเพราะผมจะไปรับเกลเย็นนี้เลย”

ชิตรัตน์พูดทิ้งท้ายเอาไว้แล้วเดินสวนธานขึ้นไปหาเลขาทั้งสองของตนแล้วเดินเข้าลิฟต์ไปโดยไม่หันมามองคนที่ยังยืนอยู่กับที่เลยแม้แต่น้อย

สรุปคือถ้าเขาไม่ยอมปล่อยให้อีกคนพาน้องเขาไปด้วยเขาจะเข้าข่ายเป็นพวกไร้จิตสำนึกด้วยใช่ไหม?   บ้าที่สุด   ธานสบถออกมาเบาๆแล้วเดินออกจากตัวโรงแรมกลับไปทำงาน

                         ...

อากาศตอนช่วงสายๆของประเทศไทยนั้นขึ้นชื่ออย่างยิ่งในเรื่องของแดดที่แรงกล้าความร้อยที่ถึงจะอยู่ในร่มก็ยังคงสัมผัสได้ดี เช่นเดียวกับคุณหญิงโฉมฉวีที่ถึงแม้จะซุกตัวอยู่ภายใต้ผ้าห่มผืนหนาเปิดแอร์ให้เย็นจับใจเช่นไรแต่แสงที่ส่องรอดผ่านผ้าม่านมานั้นก็แสบตายู่ดี จนปลุกให้คนที่ยังปรับตัวให้เข้ากับเวลาบ้านเกิดไม่ได้จำต้องลืมตาตื่นด้วยความหงุดหงิดใจ ก่อนจะเหลือบมองนาฬิกาตั้งโต๊ะที่ทำจากไม้รูปต้นไม้ใหญ่ที่มีนกตัวน้อยๆสองตัวเกาะอยู่ที่บอกว่าให้หล่อนได้รูปว่าอีกไม่น่าก็จะสิบเอ็ดโมงแล้ว แต่ถึงอย่างนั้นนายหญิงใหญ่ของบ้านก็ยังไม่อยากจะลุกขึ้นจากเตียงไปไหนนอกจากเอื้อมมือไปกดรีโมทที่อยู่บนโต๊ะข้างเตียงเพื่อปิดแอร์แทนเพราะยังรู้สึกเวียนหัวอยู่หน่อยๆจึงยังไม่อยากลุกไปไหน  สักพักเสียงเคาะประตูห้องก็ดังขึ้นพร้อมบานประตูที่เปิดออกโดยร่างท้วมๆของแม่บ้านมากด้วยอายุที่ทำงานรับใช้บ้านหลังนี้มาตั้งแต่ยังสาวๆ

“คุณหญิงตื่นแล้วหรือคะ ป้าเอาน้ำขิงร้อนๆมาให้ ดื่มแล้วจะได้รู้สึกดีขึ้น”  แม่บ้านบอกพร้อมยกแก้วชาใสที่มีน้ำสีออกน้ำตาลใสๆบรรจุอยู่ ยื่นมาตรงหน้าของคุณหญิงที่ยังคงมีอาการมึนงงอยู่เล็กน้อย

  “ขอบใจ” คุณหญิงรับแก้วนั้นมาก่อนบรรจงดื่มช้าๆ จนหมด แล้วส่งแก้วคืนแกคนที่ยื่นรออยู่

“เดี๋ยวฉันว่าจะเข้าไปที่โรงแรมเสียหน่อย บอกให้คนรถเอารถออกด้วย” ไม่ได้เข้าไปดูมาเกือบเดือน เข้าไปสักหน่อยแล้วกัน  หล่อนพูดขณะลุกขึ้นเตรียมจะไปอาบน้ำ

“ได้ค่ะ เดี๋ยวป้าลงไปบอกเด็กๆให้เตรียมรถให้นะคะ เอ่อ แล้วไม่ทราบว่าคุณหญิงจะรับอาหารด้วยไหมคะป้าจะได้ไปอุ่นไว้รอให้”  คุณหญิงชั่งใจว่าจะไปกินพร้อมลูกชายดีไมแต่เมื่อมองไปทีนาฬิกาอีกทีกว่าจะไปถึงก็คงจะเที่ยงกว่า จึงหันไปพยักหน้ารับให้แม่บ้านแล้วเดินหายเข้าไปในห้องน้ำ

ใช้เวลาอยู่ครู่หนึ่งคุณหญิงโฉมฉวีก็เดินลงมาที่ห้องทานอาหารด้วยเสื้อผ้าเรียบๆที่ดูสมฐานะพร้อมเครื่องเพชรชุดโปรดที่ใส่ประจำ เพื่อนั่งกินข้าวต้มที่ป้านวลลงมาอุ่นให้ใหม่พร้อมกับจิบกาแฟอ่านหนังสือพิมพ์ไปด้วย

“คุณหญิงจะไปเลยไหมครับ” เสียของคนขับรถที่เดินเข้ามาเอ่ยถามเมื่อเห็นว่านายหญิงของตนกินข้าวต้มเสร็จเรียบร้อยแล้ว

“อืม ไปเลยก็แล้วกันให้เด็กเอากระเป๋าไปไว้ที่รถรอเลยเดี๋ยวฉันตามไป” คนขับรถก้มหัวรับแล้วเดินไปรอที่รถตามหน้าที่

ใช้เวลาบนท่องถนนอยู่พอควรเนื่องจากเวลานี้เป็นเวลาที่เหล่าคนทำงานออกมาหาอะไรกินกันจึงทำให้กว่าจะถึงที่หมายก็ให้เวลาเกิดกว่าที่หล่อนคาดเอาไว้แต่ก็ไม่มากเท่าใดนัก ดีเหมือนกันจะได้รู้บ้างว่าเวลาแบบนี้พวกพนักงานทำอะไรกัน ถ้าทำเรื่องงามหน้าล่ะก็จะได้ไล่ออกยกชุดเลย

ร้องเท้าส้นสูงราคาแพงเหยียบเข้าที่หน้าประตูทางเข้าโรงแรมนั้นเรียกสายตาของเหล่าพนักงานชายหญิงที่อยู่แถวนั้นให้หันกลับไปมองทางประตูทันทีอย่างหวาดระแวงหลังจากที่ลุงยามที่อยู่ป้อมหน้าโรงแรงวอเข้ามาบอกว่ารถยนต์ส่วนตัวของคุณหญิงโฉมฉวีแล่นเข้ามาเขตโรงแรม และนั้นแหลคือสาเหตุที่ทำให้เหล่าพนักงานก็วิ่งวุ่นออกมาตอนรับเป็นการใหญ่เพราะนานๆครั้งคุณหญิงสุดเฮี้ยบจะเข้ามาที่โรงแรมและหากว่าใครทำอะไรได้ไม่พอใจละก็เตรียมตัวเปลี่ยนงานได้เลย เคสตัวอย่างมีให้เห็นเยอะ

“คุณหญิงสวัสดีค่ะ” ฤดีมาศหัวหน้าฝ่ายบุคคลวัยกลางคนรีบปรี่เข้าหาคุณหญิงทันทีที่อีกคนเดินเข้ามา ที่รีบเดินเข้ามาเนี่ยไม่ใช่หวังประจบหรือเอาหน้าแต่อย่างใด แต่เพราะลูกน้องของหล่อนบางคนที่ยังไม่ถึงการมาของคุณหญิงนั้นมีมากถ้าไม่ส่งสัญญาณเตือนคงจะไม่ดี

“ดิฉันไม่ทราบว่าคุณหญิงจะเข้ามาวันนี้เลยไม่ได้ให้คนเตรียมของว่างไว้ให้ต้องขอโทษด้วยนะคะ” หญิงวันกลางคนเอ่ยออกมาอย่างสำนึกผิด

“ไม่เป็นไร ฉันก็แค่เข้ามาดูความเรียบร้อยเฉยๆ ว่าแต่แล้วตาชินละอยู่ไหม” คุณหญิงตอบอย่างไม่สนใจก่อนมองไปรอบๆโถงทางเดินกว้างเพื่อถามหาบุคคลที่ตนต้องการพบ

“ท่านประธานออกไปกับคุณชาติเมื่อช่วงสายน่าจะออกไปตรวจดูการก่อสร้างคอนโดนะคะ”   ฤดีมาสตอบตามที่ตนรู้ แต่ว่าสิ่งที่หล่อนพูดออกไปกลับทำให้คุณหญิงหันกลับมามองหน้าคนพูดใหม่อีกครั้ง

“ทำไมแม่เลขานั้นถึงไม่ไปด้วย”

 “เออ อันนี้ดิฉันก็ไม่ทราบค่ะ แต่เห็นออกไปทานข้าวเมื่อครู่เดี๋ยวก็คงกลับล่ะมั้งคะ”    อยู่ๆฤดีมาสก็รู้สึกเหมือนตนพูดในสิ่งที่ไม่สมควรพูดออกไปจนอยากยกมือขึ้นปาดเหงื่อเป็นอย่างยิ่ง ขอโทษนะคะคุณแก้ว.............

“หึ เห็นว่าท้องอยู่เลยคิดจะละเลยหน้าที่หรือไงกันไม่ได้เรื่องกลับมาจะต้องสั่งสอนให้รู้หน้าที่เสียบ้าง นี้! เดี๋ยวฉันจะขึ้นไปรอตาชินที่ห้องพวกหล่อนมีอะไรจะทำก็ไปทำ”

คุณหญิงเบาะปากอย่างไม่พอใจก่อนจะหันมาพูดแขวะออกมาให้อีกคนได้ยินแล้วจึงหมุนตัวเดินเข้าไปในลิฟต์เพื่อที่จะไปรอลูกชายที่ห้องทำงานของเจ้าตัว

ลับหลังคุณหญิงไปได้ไม่ทันไรเหล่าพนักงานที่แอบมองดูเหตุการณ์อยู่ห่างๆก็รีบปรี่เข้าหาหัวหน้าของตนอย่างไม่รอช้า

“พี่มาศเป็นไงมั่ง โดยไรไหม” เสียงสาวขาประจำอย่างนิดที่อยากรู้อยากเห็นไปทั่วถามขึ้นพร้อมกวาดสายตามองหัวหน้าตนเองไปด้วยอย่างเป็นห่วง

“พี่นะไม่เป็นไรหรอก แต่คนที่จะซวยนะคือคุณแก้ว” พูดพรางเอามือทาบอก ก็พอจะรู้หรอกว่าคุณหญิงไม่ชอบหน้าคุณแก้วกล้าเลขาของท่านประธานแต่ไอ้ขนาดที่ว่าพร้อมหาเรื่องขนาดนี้หล่อนว่ามันก็เกินไป
“หมายความว่าไงพี่ คุณแก้วจะโดนอะไรไหมพี่มาส”

“โอ๊ย! อย่างเพิ่งมาถามฉันตอนนี้เลย หาใครก็ได้ไปเอาน้ำส้มไปให้คุณหญิงที่ห้องท่านประธานด้วยเร็วๆเลยนะเดี๋ยวโดนกันหมดนี้” ฤดีมาศพูดปรามคนชั่งถามนั้นก่อนจะฝ่าฝูงชนตรงไปที่ล็อบบี้โรงแรมแทน

“เธอต่อสายหาท่านประธานให้ฉันเดี๋ยวนี้เลยด้วย!”

“ค่ะๆ”

“โทรหาท่านประธานทำไมหรอพี่” นิดถามขึ้นเมื่อเห็นสีหน้าของฤดีมาสดูจะเป็นกังวลและร้อนใจเป็นอย่างมาก

“เพื่อต่อชีวิตให้คุณแก้วนะสิ พวกเธอด้วยถ้าคุณแก้วมาอย่าพึ่งให้ผ่านขึ้นไปนะกักตัวเอาไว้ก่อน”

“ไม่ทันแล้วพี่คุณแก้วเดินมาโน้นแล้ว” คนที่สายดีเอ่ยขึ้นทำเอาฤดีมาศลมแทบจับ อะไรมันจะซวยขนาดนี้คุณแก้ว  หล่อนลอบบ่นออกมาในใจก่อนจะหันไปเร่งให้คนที่ล็อบบี้จัดการโทรหาเจ้านายให้ไวที่สุด

“ยายนิดแกไปดักคุณแก้วไว้นะ” ฤดีมาศพูดขึ้นก่อนหันไปรับโทรศัพท์เมื่อพนักงานส่งให้เชิงว่าต่อติดแล้ว

“ได้พี่ ไปนุ่น”

นิดรับคำก่อนจะลากเอาเพื่อสนิทของตนวิ่งไปทางประตูทางเข้าเพื่อหวังเบรกทางแก้วกล้าเอาไว้ก่อนตามที่ได้รับคำสั่งมา

“คุณแก้วว”

คนที่เพิ่งเดินเข้ามาใหม่หันมองสองสาวที่วิ่งหน้าตั้งตรงมาหาเขาอย่างแปลกใจ รู้สึกวันนี้เขาจะเจอเรื่องแปลกใจบ่นน่ารำคาญมาตั้งแต่เช้าแล้วนะเนี่ย

“หือ มีอะไรกัน” เขาถามขึ้น จนสองสาวจะมีอาการลุกลี้ลุกลนแปลกๆ

“เอ่อ คุณแก้วออกไปไหนมาหรอคะ”

“ฉันหรอ ก็ออกไปเอาของให้คุณชินไงแล้วก็ไปกินข้าวกับ.......” กับตัวปัญหาที่มาดักรอเขาอยู่ข้างล่างไง

                “กับคุณคนเมื่อเช้าใช่ไหมคะ”  นิดที่ได้โอกาสจึงพูดขึ้นมาเพื่อไม่ให้บทสนทนาขาดต่อจนลายเป็นช่องว่างให้เป้าหมายไหวตัวทัน

                “แล้วพวกเธอมีอะไรหรือเปล่า”

                แก้วกล้าไม่ตอบแต่ใช่กรถามย้อนกลับไปแทน เรื่องที่ธานมารับเขาไปกินข้าวใครๆเขาก็เห็นกันแล้วอยู่ดีๆสองสาวคู่นี้กลับมาถามเขาในสิ่งที่ตนเองรู้อยู่แล้วแบบนี้มันดูน่าสงสัย

                “เอ่อ...คือ..”

เขามองท่าทีน้ำท้วมปากของคนทั้งคู่ก็ได้แต่ถอนหายใจแล้วพยายามจะเดินเลี่ยงออกจากคนทั้งคู่ไป จนนุ่นที่เห็นท่าไม่ดีจึงรีบคว้าข้อมือเล็กเกินชายนั้นไว้อย่างไว จนคนที่ไม่ชอบการสัมผัสหันขวับมามองอย่าไม่พอใจเล็กจนสาวเจ้าต้องรีบปล่อยมือทันทีที่เพิ่งรู้ตัว

                “พี่ไม่รู้ว่าเราสองคนมีเรื่องอะไรจะพูดกับพี่หรอกนะ แต่ตอนนี้กำลังหงุดหงิดอย่างเพิ่งทำให้พี่โกรธขอตัวนะ”

                เขาเพิ่งปวดหัวมาจากคนบ้าที่เอาแต่จะพยายามยัดเยียดความเป็นพ่อของลูกให้เขามาแล้วนี้ยังจะเจอคนพูดไม่รู้เรื่องแบบนี้อีกหรอ ขอเถอะ   แก้วกล้าทิ้งท้ายไว้แค่นี้แล้วเดินเข้าไปในลิฟต์ทันทีโดยไม่อยู่ฟังคำทักท้วงใดๆจากสองสาวหรือใครก็ตามที่พยายามเข้ามาชวนเขาคุยจนเริ่มมีพิรุธ

ทิ้งให้สองสาวเมื่อครู่ได้แต่ยืนทำหน้าซีดทันทีที่ไม่สามารถรั้งเป้าหมายเอาไว้ได้ ได้แต่หันไปหาหัวหน้าสาวที่ยืนทำหน้าไม่ต่างไปจากพวกตนเท่าไรนัก งานนี้พวกเขาคงจะได้แต่สวดภาวนาของอย่าให้คุณแก้วเป็นอะไรเลยหรือไม่ก็ขอให้คุณชินกลับมาไวๆก็พอ

                                              ..............................................................

             
   :hao5:

ออฟไลน์ wavery

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 124
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-2

:hao5:


 ความตึงเครียดด่านล่างว่ามากแล้ว ด่านบนนี้สิมากกว่าเมื่อหน่วยกล้าตาที่ถูกจับมัดมือชกให้ต้องมาทำหน้าที่เสี่ยงตายเช่นนี้อย่างน้องใหม่ที่เพิ่งเข้ามาทำงานได้ไม่กี่เดือนต้องมายืนขาสั่นอยู่หน้าห้องทำงานของท่านประธานที่ตอนนี้ด้านในมีมารร้ายที่กุมชะตาชีวิตของหล่อนเอาไว้ จนต้องหันกลับไปขอแรงใจจากพี่ๆทั้งหลายที่ยืนเกาะขอบเวทีรอบชมอยู่ห่างๆ

ก๊อก ก๊อก

“น้ำส้มค่ะคุณหญิง” หน่วยกล้าตายที่ฤดีมาศมาเคาะประตูก่อนจะเปิดเข้าไปในห้องนั้นอย่างเกร็งๆ แล้วนำแก้วน้ำนั้นว่างลงที่โต๊ะรับแขกตรงหน้าของคุณหญิง

“คุณหญิงจะรับอะไรเพิ่มไมคะ” เด็กสาวเอ่ยถามอย่างกล้าๆกลัวหลังจากโดนเหล่ารุ่นพี่ไซโครวีรกรรมของคุณหญิงให้ฟังอย่างเต็มอิ่ม

“เอาเป็นขนมหวานไมคะ หรือจะเป็นผลไม้ดี” สาวน้อยใจกล้าถามดูอีกครั้ง เมื่อไม่เห็นทีท่าของคุณหญิงที่นั่งอ่านเอกสารงานของชิตรัตน์อยู่ที่โซฟา

“นี้หล่อน  จะถามอะไรให้มากความฮะ! หมดหน้าที่แล้วก็ออกไปสิ” คุณหญิงตะคอกใส่อย่างหงุดหงิดจนหญิงสาวตรงหน้าหน้าเสียไปไม่น้อย ก่อนจะรีบกุลีกุจอออกจากห้องไปอย่างรวดเร็ว

คุณหญิงถอนหายใจออกมาอย่างแรงอย่างนึกรำคาญพนักงานใหม่ที่ดูท่าแล้วคงจะไม่ได้เรื่องได้ราวอะไร นี้ชิตรัตน์จ่างพนักงานแบบไหนไว้กันเสียชื่อโรงแรมหมด หล่อนคิดก่อนจะกันไปสนใจแฟ้มเอกสารโครงการตัวใหม่ในมือของตนต่ออย่างศึกษาและเก็บข้อมูล

เพราะหลังจากปล่อยให้ชิตรัตน์เข้ามาดูแลกิจการทุกอย่างอย่างเต็มตัวเธอก็ต้องปล่อยวางเรื่องที่บริษัททุกอย่างไปโดยปริยายอาจมีบ้างที่เข้ามาร่วมประชุมในการตัดสินใจเรื่องบางเรื่อง แต่ส่วนใหญ่ตนไม่ค่อยได้เข้ามาที่นี้เสียเท่าไร

แอ๊ด

“อ๊ะ คุณหญิง!”

เสียงอุทานอย่างตกใจของคนที่เปิดประตูเข้ามาใหม่อย่างไร้มารยาทนั้นทำให้หล่อนที่ยังคงนั่งอ่านเอกสารนั้นเงยหน้าขึ้นไปมองเจ้าตัวดีที่หล่อนหมายหัวเอาไว้ตั้งแต่อยู่ด้านล่างเสียงก่อนสะแหยะยิ้มออกมา

“อะไรกันย่ะ เห็นหน้าฉันแค่นี้ทำเป็นตกอกตกใจระวังลูกหลุดนะ

” แก้มกล้ากำมือแน่นอย่างเก็บอารมณ์ที่อยู่ๆแขกที่ไม่ได้รับเชิญเข้ามาอยู่ในห้องเจ้านายตนแถมยังพูดจาไม่น่าให้อภัยแบบนี้อีก

“ขอโทษครับผมไม่คิดว่าคุณหญิงจะอยู่ในห้องคุณชะ.. ท่านประธานนะครับ” คนท้องพูดอย่างเก็บอารมณ์แล้วปิดประตูเข้ามาในห้องดีๆ นี้สินะเหตุผลที่ทำตัวมีพิรุธกันทั้งโรงแรมตั้งแต่ข้างล่างยันข้างหน้าห้อง

“ไม่ทราบว่าคุณหญิงมีธุระอะไรหรือเปล่าครับตอนนี้ท่านประธานออกไปดูงานข้างนอกยังไม่แน่ใจว่าจะกลับเข้ามาอีกทีเมื่อไร”

แก้วกล้าพูดเสียงนิ่งอย่างพยายามใจเย็น เพราะไม่ใช่แค่คุณหญิงหรอกที่ไม่ชอบหน้าเขาเพราะเขาเองก็ไม่ค่อยชอบขี้หน้าคุณหญิงเสียเท่าไร

“ฉันรอได้”

แก้วกล้ามองคนที่นั่งอ่านเอกสารนั้นอย่างไม่ค่อยพอใจเท่าไรแต่จะให้เขาพูดอะไรไปก็คงไม่ได้เพราะตำแหน่งหน้าที่มันค้ำคออยู่และเขาเองก็ไม่อยากจะสร้างปัญหาให้ชิตรัตน์ไปมากกว่านี้เหมือนกัน

“เห็นบอกว่าตาชินออกไปดูงานข้างนอก แล้วทำไมเลขาอย่างเธอถึงไม่ไปกับเจ้านาย”

เสียงแขวะที่ดังขึ้นด้านหลังของเขาหลังจากที่แก้วกล้าตัดสินใจที่จะยุติการต่อปากต่อคำนั้นโดยการเดินออกจากห้องไปจะจำที่ของตนเองด้านนอก แต่ดูเหมือนคุณหญิงจะไม่คิดปล่อยเขาไปง่ายๆ

“ท่านประธานให้รออยู่ที่นี้ไม่ต้องตามไปครับ” แก้วกล้าตอบตามความเป็นจริง โดยตัวทอนข้อความอีกส่วนหนึ่งออกเพื่อกันไม่ให้อีกคนรู้

 “อย่างงั้นหรือ”  คุณหญิงส่งเสียงอย่างไม่ค่อยเชื่อไปให้ หากแต่สายตากลับไปสะดุดเข้ากับซองกระดาษขนาดเล็กที่อยู่ในมือของแก้วกล้า

“แล้วนั้นอะไรขอฉันดูหน่อยสิ”   แก้วกล้ามีท่าทีอึกอักอย่างเห็นได้ชัดและพยายามเบี่ยงซองนั้นไว้ข้างหลังทันทีที่โดนทักขึ้น

“ไม่มีอะไรหรอกครับ”

“ถ้าไม่มีอะไรก็เอามาให้ฉันดูสิ”

                คุณหญิงแบมือออกมาตรงหน้าของแก้วกล้าอย่างดึงดัน ยิ่งเห็นท่าทีที่พยายามปิดบังแบบนี้ด้วยแล้วหล่อนมั่นใจว่าสิ่งที่อยู่ในนั้นต้องเกี่ยวข้องกับชิตรัตน์แน่ และถ้าเกี่ยวหล่อนก็ต้องรู้ให้ได้เช่นกัน

“ไม่ได้ครับ”  เลขาที่ดีต้องไม่เอาเรื่องของเจ้านายไปให้คนอื่น นี้คือคติการทำงานของเจ้าตัว และนี้ก็ถือเป็นงานของเขาเช่นกัน

“แต่ฉันสั่ง เอามา!” 

เมื่อไม่ยอมให้ดีๆก็ต้องมีการแย่งเกิดขึ้น คุณหญิงจึงคว้าเข้าที่แขนของแก้วกล้าเพื่อหมายจะเอาเอาสิ่งที่ซ้อนอยู่นั้นออกมาแต่แก้วกล้าเองก็ใช่ว่าจะยอมถึงจะโดนบีบเข้าที่แขนจนรู้สึกเจ็บไปหมดแต่เขาก็ไม่แพ้ง่ายๆ

 ทั้งสองยื้อซองเอกสารกันไปมาแต่ด้วยความที่เป็นคนท้องทำให้เสียเปรียบได้ด้านรูปร่างและการทรงตัว ดันนั้นเมื่อไม่ทันตั้งตัวคุณหญิงก็จัดการกระชากซอกมาอย่างแรงจนคนท้องเซมาข้างหน้าจนเกือบล้มลงไปกับพื้นแต่โชคยังดีที่แก้วกล้าเอามือท้าวเข้ากับขอบโซฟาได้ทัน

 “ตั๋วเที่ยวสวนน้ำงั้นหรอ”

หล่อนอ่านสิ่งที่อยู่ในมือนั้นก่อนจะตะวัดสายตามองมายังแก้วกล้าที่สีหน้าเริ่มไม่สู้ดีแล้วยิ่งเห็นจำนวนของตั๋วที่อยู่ในนั้นด้วยแล้วความไม่พอใจที่มีอยู่ยิ่งทวีความเพิ่มมากขึ้นไปอีกหลายเท่า

“แกคงจะไม่พูดว่าแกจะเอาไปเที่ยวกับลูกแกหรอกนะแก้วกล้า”  คุณหญิงว่าดักทางพร้อมฝาดตั๋วกระดาษนั้นใส่หน้าของแก้วล้าอย่างจัง

“บอกมาว่าตาชินจะพาใครไป”

“...”

“ฉันถามแกก็ตอบฉันสิ!!”

“ผมไม่ทราบ”   แก้วกล้าโกหกเสียงแผ่ว ตอนนี้เขาปวดที่ท้องเป็นอย่างมากโดยไม่ทรายสาเหตุเขาไม่ชอบเลยความรู้สึกกดดันน่าเวียงหัวแบบนี้

 “ไม่ทราบหรออย่ามาโกหกฉันนะ หรือว่าตาชินเจอมันแล้วใช่ไหม เจอมันแล้วใช่ไมบอกฉันมาสิ บอกมา”

คุณหญิงกรอกตาไปมาเหมือนคนที่เพิ่งนึกบางอย่างขึ้นมาได้ ก่อนจะเข้ามาคว้าตัวของแก้วกล้าเอาไว้แล้วเขย่าตัวอีกฝ่ายอย่างแรงจนหัวสั่นหัวคอนจนสีหน้าที่เริ่มซีดนั้นซีดหนักขึ้นไปอีก

“คุณหญิงพูดเรื่องอะไร” แม้จะไม่ไหวแต่ก็ยังคงกัดฟังทนถามคำถามที่น่าจะพอช่วยเบี่ยงประเด็นได้อยู่ออกไป

“อย่ามาทำหน้าโง่ถามคำถามควายๆกับฉันนะ  อย่าคิดว่าฉันไม่รู้นะว่าแกนะช่วยลูกชายฉันตามหาไอ้เด็กนั้นนะ ฉันเคยบอกแกแล้วใช่ไมว่าห้ามนะ แกนี้มันเลี้ยงไม่เชื่องฉันจะไล่แกออก”

“คงไม่ได้หรอกครับ เจ้านายผมคือคุณชิตรัตน์คนที่จะไล่ผมออกได้มีแค่เขาเท่านั้น”  แก้วกล้าพูดอย่างเป็นต่อ ยิ่งทำให้คนที่อารมณ์ร้อนกรุ่นยิ่งเหมือนโดยสาดน้ำมันเข้าไป

“อ้อ แกจะเอาอย่างนี้ใช่ไหมได้”

 เมื่อทำอะไรไม่ได้คุณหญิงจึงเอามาลงที่คนท้องแทนจากแค่เขย่าร่างกายอย่างแรงเปลี่ยนเป็นเริ่มลงไม้ลงมือ แต่คนท้องใช่ว่าจะยอมเพราะแก้วกล้าเองก็ปัดป้องด้วย ถึงแม้แรงจะยืนเขายังไม่มีแต่เขาก็ไม่ยอมให้ใครมาทำร้ายเขากับลูกฟรีๆเหมือนกัน

            ปัง!

“แม่ / แก้ว!!!”

เสียงบานประตูที่ถูกผลักเข้ามาอย่างแรงจนทำให้คุณหญิงหยุดการกระทำเมื่อครู่ลงแล้วหันไปมองผู้มาใหม่ทั้งสองที่อุกอาจเข้ามายังในห้องนอน

ชิตรัตน์รีบเข้าไปรั้งเอาตัวของคุณหญิงให้ออกมาห่างๆจาก คนท้องที่เริ่มทรงตัวไม่อยู่จนเซไปมาก่อนจะล้วงลงไปในอ้อมแขนของธานที่วิ่งตามเข้ามารับร่างอวบนั้นเอาไว้

“แก้ว!” ธานนึกโกรธผู้หญิงตรงหน้าที่กล้ากระทำการร้ายกาจใส่คนที่กำลังท้องอยู่ได้ขนาดนี้ดูสิแขนขาวทั้งสองข้างแดงเป็นรอยมือไปหมดไหนจะรอยฟกช้ำดำเขียวนั้นอีก แม่งเอ๊ย! เขาสถลออกมาในใจใครมันจะคิดละว่าการที่เขาขับรถวนกลับมาเพื่อนำของที่อีกคนลืมไว้มาให้จะทำให้เขาต้องเจอกับเหตุการณ์อะไรแบบนี้ นี้ถ้าแก้วกับลูกเป็นอะไรไปเขาจะเอาเรื่องอีคุณหญิงปีศาจนี้ให้ถึงที่สุดเลยจริง

“คุณธาน” แต่เสียงเรียกชื่อเขาเบาๆของคนในอ้อมแขนนั้นเรียกสติของเขาที่เอาแต่ต้องมองคุณหญิงอย่างโกรธเคืองนั้นให้หันกลับมามองคนในอ้อมแขนอีกครั้ง

“คุณธานรีบพาแก้วไปโรงพยาลดีกว่าครับ เดี๋ยวทางนี้ผมจัดการเสร็จแล้วจะตามไป”

คราวนี้ธานยอมทำตามที่ชิตรัตน์พูดอย่างว่าไง เขารีบช้อนตัวของแก้วกล้าขึ้นอุ้มแล้วรีบเดินฝ่าผู้คนออกไปโดยมีชาติคอยเคลียทางเดินให้จนไปถึงรถ

ส่วนชิตรัตน์เมื่อเห็นว่าธานพาแก้วกล้าออกไปแล้วเขาก็หันไปสั่งให้คนที่ออกันอยู่เต็มหน้าประตูกลับไปทำงานของตนเสียแล้วรอจนทุกคนออกจากห้องเขาไปจนหมดแล้วจึงปล่อยตัวของคุณหญิงโฉมฉวีให้เป็นอิสระหลังจากที่ถูกจับมานาน

“แม่ทำอะไรลงไปรู้ตัวบ้างไหม”

“หึ รู้สิ ถ้าไม่รู้จะทำไปหรือไง”

“แล้วถ้าแก้วเป็นอะไรขึ้นมาจะทำยังไง”

ชิตรัตน์ขึ้นเสียงอย่างเหลืออดกับการกระทำของแม่ตัวเอง รู้ว่าไม่ชอบแต่อย่างน้อยก็ควรจะมีมนุษยธรรมมากกว่านี้สิ เลขาของเขาก็ท้องขนาดนั้นไม่เห็นหรือไงถ้าเกิดเด็กเป็นอะไรขึ้นมาใครจะรับผิดชอบเขาไม่มีปัญญาไม่ขุดเอาแทนไทขึ้นมาจากหลุมมาทำลูกใช้คืนแก้วกล้าใหม่หรอกนะ

“ก็ชั่งหัวมันสิ”

คุณหญิงสะบัดหางเสียงใส่ชายหนุ่มแล้วเดินกระฟัดกระเฟียดกอดอกแล้วทรุดตัวลงกับเก้าอี้โซฟาอย่างแรง ท่ามกลางสายตาไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัดของชิตรัตน์ที่รู้สึกหมดคำพูดกับการกระทำและคำพูดของคุณหญิงตรงหน้า

“แล้วมันเรื่องอะไรที่ให้แม่ต้องไปทำร้ายแก้วเขาอย่างนั้น ที่นี้มันที่ทำงานนะครับเป็นที่สาธานณะจะทำอะไรทำไมไม่รู้จักยับยังชั่งใจบ้าง และที่สำคัญแม่เป็นถึงผู้บริหารนะครับทำแบบนี้ลูกน้องจะเอาไปนินทาลับหลังได้”

ชิตรัตน์ลูบหน้าอย่างแรงเพื่อให้ใจเย็นลงก่อนจะพูดอธิบายเชิงตำหนิแม่ของตนเองไปด้วย มีอะไรทำไมไม่พูดกันดีๆอายุอานาก็ตั้งขนาดนี้แล้วด้วย

“นี่ฉันต้องแคร์สายตาพวกรากหญ้าพวกนั้นด้วยเหรอ ฉันเป็นเจ้านายนะถ้ามันกล้าที่จะทำตัวไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงฉันก็ไม่เอามันไว้หรอก ไล่ออกไปก็สิ้นเรื่อง”

“แต่นี้มันไม่ใช่วิธีแก้ปัญหาที่ถูก”

“แล้วอะไรถึงจะถูกสำหรับแกล่ะ หรือว่าต้องเอาเรื่องงานมาบังหน้าแล้วแอบย่องไปหาใครเหมือนแก”

คุณหญิงตอกกลับ หล่อนยังไม่ลืมหรอกนะเรื่องที่ลูกชายของหล่อนแอบทำลับหลังมานานนับปีนั้นนะ ฝันไปเถอะถ้าชิตรัตน์จะเอามันกลับมา

“แม่หมะ....”

เสียงของเขาขาดช่วงไปเล็กน้อยเมื่อปลายรองเท้าหนังขัดมันของเขาเผลอไปเหยียบเข้ากับอะไรบางอย่างที่ไม่ใช่พื้นกระเบื้องหรือพื้นพรมในห้อง

“นี่มัน”
ตั๋วสวนน้ำชื่อดังที่เขาสั่งจองไปตั้งแต่เมื่อวานแล้วให้แก้วกล้าไปเอามาทำไมถึงมาตกอยู่ตรงนี้ได้  หรือว่า!!

“นั่นคือบทลงโทษของคนที่กล้าขัดคำสั่งฉัน”

คุณหญิงแสยะยิ้มออกมาพลางนึกถึงใบหน้าของเลขาหน้าสวยของลูกชาย ทั้งๆที่หล่อนสั่งนักสั่งหน้าตั้งแต่แรกให้คอยรายงานความเคลื่อนไหวของชิตรัตน์ทุกฝีก้าวให้ตนรู้ แต่นี้อะไรกลับร่วมหัวกันทำในสิ่งที่ตนเกลียดหลับหลังแบบนี้ แค่นี้มันน้อยไปด้วยซ้ำ

“แต่นี้ สำหรับแกที่กล้าขัดใจฉัน”

หล่อนเดินอ้อมโซฟามาหยุดอยู่ตรงหน้าของชิตรัตน์อีกครั้งก่อนจะถือวิสาสะหยิบเอาตั๋วใบน้อยทั้งสามออกมาจากมือหนาแล้วค่อยๆฉีกมันทิ้งอย่างใจเย็นช้าๆ แล้วขบด้วยการปาใส่ในหน้าคมของชิตรัตน์ที่กำมือแน่นอย่างข่มอารมณ์โทสะ

“ต่อให้แกหามันจนเจอก็อย่างหวังเลยว่าฉันจะยอมให้แกกับมันมีความสุขง่ายๆ จำเอาไว้”

“แต่นี่คือครอบครัวของผม ผมคงจะไม่ยอมให้ใครมาทำลายมันได้อีกแล้วเหมือนกัน”  ถึงมันจะเคยพังเพราะมือเขามาแล้วก็ตาม แต่โอกาสที่จะได้แก้ตัวมันไม่ได้มีให้เขาได้บ่อยครั้ง และครั้งนี้เขาจะไม่ยอมทำมันพังอีกแล้วเขาต้องปกป้องไม่ว่าจากใครก็ตาม

 “แต่แกสัญญากันฉันแล้วนะ” เมื่อเห็นท่าไม่ดีที่ชิตรัตน์ดูจะขึงขึงกว่าปกติ จนหล่อนต้องรีบหาข้ออ้างมากันเอาไว้เสีย

                “แต่ในสัญญามันพูดถึงเรื่องการผ่าตัดครั้งที่แล้วไม่ใช่ครั้งนี้  ดังนั้นข้อตกลงระหว่างเราถือว่ายุติไปนานแล้วต่อจากนี้ไปเป็นเรื่องของครอบครัวผม ได้โปรดอย่างเขามายุ่งอีกเลยครับ”

                เขาร้องขอความเห็นใจ แต่ดูเหมือนคุณหญิงจะไม่พอใจกับคำขอของเขาเป็นอย่างมา ถึงขนาดที่ว่าสะบัดหน้าหนีเขาไปเลย

                “โทรบอกหุ้นส่วนของแกด้วยว่าฉันอยากเชิญเขาและครอบครัวมากินข้าวที่บ้าน และจำเอาไว้ด้วยว่าฉันจะไม่ยอมลามือง่ายๆแน่”

                ชิตรัตน์รู้สึกหนักใจขึ้นมาอีกครั้งหลังมองแผ่นหลังเล็กนั้นคว้ากระเป๋าเดินกระแทรกเท้าออกจากห้องเข้าไป ลองบอกให้เรียกมาทั้งครอบครัวแบบนี้แล้วคงไม่แคล้วที่จะจับคู่ให้เขาอีกแน่  แต่งานนี้ไม่รู้ว่าโชคดีหรือโชคร้ายกันนะที่คนที่คิดจะจับคู่ให้เขาดันเป็นคนที่ตัวเองผลักไสมาตลอด คิดแล้วก็นะ.....

 
ก๊อก ก๊อก

เสียงเคาะประตูห้องพักฟื้นของโรงพยาบาลดังขึ้นเรียกความสนใจของธานที่นั่งหน้านิ่วคิ้วขมวดอยู่ที่ข้างเตียงคนไข้ให้หันไปสนใจผู้มาใหม่อย่างชิตรัตน์ที่เพิ่งเปิดประตูเข้ามาพร้อมกับกล่องอาหารที่มีตราของห้องอาหารจากโรงแรมของอีกฝ่ายเด่นหลาอยู่กลางถุง

“แก้วเป็นยังไงบางครับ”

ชิตรัตน์เอ่ยถามขึ้นเสียงเบาพลางมองใบหน้าซีดที่เริ่มกลับมาเป็นปกติอีกครั้งอย่างเป็นห่วง ที่แก้วล้าเป็นแบบนี้ก็เพราะเขาเองจะไม่ให้รู้สึกผิดก็คงไม่ได้

“ปลอดภัยดีทั้งแม่และเด็ก แต่หมอให้อยู่ที่นี้จนกว่าน้ำเกลือจะหมดเพื่อดูอาการ”  เขาพยักหน้าเข้าใจ ก่อนจะเดินมามองดูเลขาคนสนิทของตนเองอีกครั้งที่ข้างเตียง

“ออกไปคุยกับฉันหน่อย”  ธานเอ่ยเสียงเรียบก่อนจะกระชับผ้าห่มให้คุมรอบคอคนที่หลับสนิทบนเตียงแล้วจึงเดินผ่านหน้าเขาออกไปทางระเบียงห้อง เพื่อที่ว่าเสียงคุยของพวกเขาจะไม่รบกวนการนอนของแก้วกล้า

“ผู้หญิงคนนั้น แม่นายหรอ” ธานถามขึ้นมาทันทีที่ได้ยินเสียงบานประตูกระจกเลื่อนปิดลง

“ครับ”

นั้นสินะ เขาเองก็ถามอะไรโง่ๆ ในเมื่ออีกฝ่ายเรียกเสียงดังขนาดนั้น ธานทำเสียงแค่นจมูกเบาๆ ก่อนจะหันหน้ามามองคนที่ยังยืนนิ่งอยู่ที่หน้าประตูด้านหลังเขา

“แม่นายนี้ท่าทางจะเป็นพวกชอบมีปัญหานะ”  ธานเยาะ

 “แล้วอย่างนี้นายยังจะกล้ารับรองความปลอดภัยของน้องฉันได้อีกหรอ”   นั้นสินะ ใครที่มาเจอเหตุการณ์แบบนั้นเข้าก็คงต้องคิดหักหากจะต้องฝากฝั่งคนในครอบครัวเอาไว้กับเขาแบบนี้

“ฉันจะพูดก็คือจนกว่าจะคลอดฉันจะให้แก้วหยุดไปทำงานกันนาย เพราะฉันคงไม่อยากจะเสี่ยงเอาชีวิตคนที่ฉันรักกับลูกต้องมาแขวนเอาไว้กับความบ้าเอาแต่ใจของแม่นายหรอกนะ”

ตอนแรกธานเองก็คิดเอาไว้อยู่แล้วเรื่องที่จะขอให้แก้วกล้าหยุดงานแล้วอยู่บ้านเฉยๆ แต่พอวันนี้ที่เขาได้ยินที่หมอพูดเขาจึงขอตัดสินใจเรื่องนี้เองถึงจะโดนอีกฝ่ายบ่นจนหูชายังไงเขาก็ยอม แต่เขาจะไม่มีวันยอมให้แก้วกับลูกเป็นอะไรไปเด็กขาด

“ผมอิจฉาคุณจังเลยนะครับที่กล้าตัดสินใจทำอะไรได้ตัวเองตลอดเวลา” ชิตรัตน์พูดเสียงเบากึ่งตัดพ้อตัวเองที่แค่เรื่องของตัวเองยังตัดสินใจไม่ได้ ในขณะที่ธานกล้าที่จะทำมันลงไปเลยเพื่อคนที่รัก

“แต่ฉันกลับสงสารน้องเกลที่ต้องมารักผู้ชายไม่ได้เรื่องอย่างนาย”

“...”

“เย็นนี้ฉันจะพาแก้วไปเก็บของแล้วย้ายมาอยู่กับฉันที่บ้าน...น้องเกลอยู่บ้านอยากจะทำอะไรก็ทำ”

ชิตรัตน์เงยหน้ามองธานที่ทำเป็นหันมองไปทางอีกอย่างตื่นตะลึง

“คุณธาน...”

“อย่ามามองฉันแบบนั้นที่ฉันทำไปก็เพื่อหลานของฉัน  จำเอาใส่สมองของนายเอาไว้ด้วยแล้วกันนะว่าโอกาสสำหรับคนผิดมันไม่ได้มีมาทุกวันจำเอาไว้”

ธานทิ้งท้ายเอาไว้แค่นั้นแล้วเดินผ่านหน้าของชิตรัตน์กลับเข้ามาในห้องเมื่อเห็นว่าร่างของคนที่นอนอยู่บนเตียงเริ่มขยับตัว ทิ้งให้คนที่เพิ่งได้โอกาสแก้ตัวยืนยิ้มอยู่คนเดียงที่ระเบียง

ขอบคุณครับ.....................
____________________________________________________________________________________

เด็กมีปัญหา หา หา ช่วยไม่ได้เลยเธออออ
เอ๊ะ ผิดๆๆๆ
แบบนี้ต้องบอกว่าใครมีปัญหาดีเนี้ยยยยยย

ขอบคุณที่ติดตามนะคะ

ออฟไลน์ หมอตัวเปียก

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1874
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +47/-3
อยากให้ธานไปตอกหน้ายัยคุณหญิง ใหญ่มากก็ต้องเจอคนใหญ่กว่า

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ wavery

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 124
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-2

ฝนหยดที่ 15


            “สรุปแล้วพี่ชินจะพาเกลไปไหนเหรอครับ”

            เกลหันไปถามคนคับหนุ่มข้างกายอีกครั้งหลังจากที่เขานั่งเป็นตุ๊กตาหน้ารถของอีกฝ่ายมาเกือบสิบหน้าแล้ว แต่คนที่อยู่ๆก็มาหาเขาถึงบ้านแล้วก็พาเขาออกมากลับไม่ยอมบอกจุดหมายปลายทางให้รู้เลย ไม่ว่าจะถามสักกี่ครั้งคำตอบที่ได้ก็มีเพียงรอยยิ้มตาหยีของชิตรัตน์เท่านั้น

“นั้นสินะพี่จะพาเกลไปไหนดี”  กับคำพวกกำกวมของอีกคนเท่านั้น

                “พี่ชิน!!”

                เกลขึ้นเสียงเล็กน้อยที่ถูกขัดใจ จึงหันหน้าหนีอีกคนออกไปมองนอกหน้าต่างรถแทน แค่บอกว่าจะไปที่ไหนก็แค่นั้นไม่เห็นต้องทำให้เป็นความลับด้วยเลย

                ฝ่ายชิตรัตน์เองก็ได้แต่อมยิ้มขำกับการงอนแบบเด็กๆของคนรักที่แสดงออกมาใส่เขา ความจริงที่ที่เขาจะพาไปมันก็ไม่ได้เป็นความลับอะไรขนาดนั้น ก็แค่อยากจะเซอร์ไพรส์ก็เท่านั้นเอง  เพราะที่ๆเขาจะพาเกลไปนั้นก็คือโรงเรียนนานาชาติขนาดใหญ่อันมีชื่อแห่งหนึ่งของเมืองหลวงที่อยู่ค้อยไปทางนอกเมืองหน่อยๆที่ถูกแบ่งสรรค์ออกตามช่วงวัยของผู้เรียนที่มีเนื้อที่กว้างขวางเนื่องจากมีส่วนของหอพักสำหรับนักเรียนประจำอยู่ด้วยตอนนี้เป็นเวลาบ่ายสองโมงครึ่ง ถ้าให้เขาเดาปานนี้คงจะเป็นเวลาเก็บข้าวเก็บของและอาบน้ำปะแป้งของเด็กน้อยอนุบาลเพื่อเตรียมตัวรอผู้ปกครองมารับในอีกครั้งชั่วโมงต่อจากนี้  ว่าแต่ตอนนี้ลูกเกรทของเขากำลังทำอะไรอยู่นะ............
 

“เกรท”

                เสียงเรียกชื่อสำเนียงเจ้าของภาษาดังเรียกเจ้าของชื่อที่กำลังง้วนอยู่กับการเก็บเจ้าตุ๊กตากระต่ายหูยาวสีเท่าลงกระเป๋าหนังสือหันกลับมามองหน้าเพื่อนต่างชาติของเจ้าตัว

“มีอะไรหรอ คริส” เด็กแก้มป่องเอ่ยถามเพื่อนร่วมชั้นต่างชาติขณะที่มือยังวุ่นกับการเก็บของ  ที่โรงเรียนแห่งนี้มีกฎอยู่ว่าเด็กต่างชาติต้องพูดภาษาไทยได้เช่นเดียวกับเด็กไทยที่ต้องพูดภาษาอังกฤษได้ ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกหากว่าจะเห็นเด็กต่างชาติที่นี้พูดภาษาไทยกันเสียเป็นส่วนใหญ่

                “ไปเล่นที่สวนกันเถอะ”

                “เอาสิ เดี๋ยวเกรทเก็บตุ๊กตาก่อนนะ”

                เด็กฝรั่งตาสีน้ำทะเลยิ้มกว้างให้เด็กชายตรงหน้าแล้วยืนรอจนกระทั้งเกรทสามารถยัดเจ้าหูยาวของตนลงกระเป๋าเป้ได้สำเร็จแล้วหันกลับมาหาตนก่อนจะที่ทั้งคู่จะพากันออกไปวิ่งเล่นที่ด้านนอกห้องเรียน

                คริสเป็นเด็กผู้ชายตัวสูงสูงกว่าเกรทด้วยแถมยังเป็นเพื่อนสนิทของเกรทอีกเช่นกันอาจเพราะแม่เลี้ยงของคริสที่เป็นคนไทยเป็นเจ้าของบริษัทออกแบบที่มักจะดีลงานกับพ่อของเขาบ่อยๆ เลยทำให้พวกเขามันจะเจอกันอยู่เนื่องๆ ผิดกับใครอีกคนลิบลับเลย....

                “นี่เกรท ทำไมยูถึงเอาตุ๊กตามาโรงเรียนด้วยล่ะ”

                คริสถามขึ้นในขณะที่พวกเขากำลังนั่งเล่นกันอยู่บนชิงช้าในสนามเด็กเล่นส่วนกลางที่ตอนนี้เต็มไปด้วยเด็กในวัยเดียวกับพวกเขาวิ่งเล่นไปมา

                “ทำไมละ เกรทเอามาไม่ได้หรอแต่คุณครูก็บอกว่าเอามาได้นี่”   เกรทเอียงคอถามอย่างสงสัย ก็เมื่อเช้าเขาขอคุณครูแล้วนี้นะ

                “ไม่ใช่แบบนั้น คือไอเห็นยูอุ้มตุ๊กตาตลอดเลยถามดู ใครให้หรอ”

                “อ๋อ  คุณแม่ให้เกรทมาแหละ”

                เกรทยิ้มอย่างภูมิใจทันทียามที่ได้บอกใครต่อใครว่าเจ้าตุ๊กตาหูยาวนั้นใครเป็นคนมอบมันมาให้เขา ไม่ว่าเปล่าสองเท้าน้อยยังรีบวิ่งกลับเช้าไปยังห้องเรียนอีกครั้งแล้วกลับมาพร้อมเจ้าตุ๊กตาตัวดังกล่าวอีกด้วย

                “น่ารักใช่มั้ยล่ะ คุณแม่บอกว่าให้เป็นของขวัญด้วย”   เกรทนำเสนอสุดฤทธิ์ แต่...

“มันจะจริงเหรอ”

                เสียงเอยขัดที่มาจากทางด้านหลังของเขาอย่าง ไม้ เพื่อนร่วมชั้นตัวโตพูดขึ้น ถ้าบอกว่าคริสตัวโตสูงกว่าเด็กวันเดียวกันในห้องจากเชื่อสายยุโรปแล้วละก็ไม้เองก็ไม่ต่างกันเท่าไรหนักเพราะส่วนสูงของทั้งสองถือว่าเท่าเทียมกันเลยทีเดียว จะต่างก็ตรงนิสัยนี้แหละ

“ไม้” เกรทเอ่ยเรียกคนมาใหม่ด้วยความรู้สึกที่หมองลงอย่างเห็นได้ชัด จนคริสที่นั่งอยู่ในตอนแรกเริ่มหงุดหงิดที่ไม้มาแกล้งเพื่อนรักของตนแบบนี้

                “นายมีแม่กับเขาด้วยหรอเกรท ฉันอยู่ห้องเดียวกับนายมายังไม่เคยเห็นแม่นายเลย อย่ามาโกหกสิ”  ไม้พูดเสียดสี อย่างไม่เชื่อเท่าไร

                “แต่ตัวนี้คุณแม่ให้เกรทมาจริงๆ นะ เกรทไม่ได้โกหก”  ทำไมไม้ถึงไม่เชื่อที่เกรทพูดล่ะ คุณแม่ให้เกรทมาจริงๆ นะ เด็กชายเริ่มทำหน้าเบะปากเหมือนจะร้องไห้ขึ้นมา จนคริสเห็นท่าไม่ดีจึงพูดขัดขึ้นแล้วเอาตัวบังเกรทที่ตัวเล็กกว่าไว้ข้างหลัง

“shut up ม้าย ยูอย่ามาว่าเกรทนะ”   คริสที่ส่วมวิญญาณอัศวินตัวน้อยเข้ามาช่วยเหลือเกรทอย่างว่องไว

                 “ทำไมละก็เราพูดความจริงนิ แม่บอกว่าคนโกหกเป็นเด็กไม่ดี”

                ไม้ยังคงยึดถือตามหลักความเข้าใจของตนเป็นที่ตั้งตามลักษณะของเด็กที่ถูกเลี้ยงมาให้มีความมั่นใจในตัวเองสูง และคำพูดนั้นกลายเป็นดาบกรีดแทงใจคนตัวเล็กข้างหลังให้น้ำตาปริ่ม คริสทนไม่ไหวพุ่งมากระชากคอเสื้ออีกฝ่ายทั้งสองมองหน้าหาเรื่องกัน

                “ขอโทษเกรทเลย ม้ายนิสัยไม่ดี”

                “เราพูดความจริงนิ”

                การทะเลาะกันของเด็กสองสามคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าชิงช้าเรียกสายตาของเด็กคนอื่นๆที่เล่นอยู่บริเวณนั้นให้หันมาดูอย่างสนใจในขณะที่บางคนวิ่งไปตามคุณครูเวรที่ยืนอยู่กับเด็กอีกกลุ่มให้เข้ามาดู

“เกรทไม่ได้โกหกนะตุ๊กตาตัวนี้คุณแม่ให้เกรทมาจริงๆ ไม้อย่ามาว่าเกรทนะ ฮึก แงงงงงงงงงงง” เสียงตะโกนพร้อมกับปล่อยโฮออกมาของคนตัวเล็กที่สุดเรียกความสนใจของเด็กตัวสูงทั้งสองที่มองหน้ากันอย่างเอาเรื่องเมื่อครู่ให้รีบหันมามองเป็นตาเดียวกัน ทำเอาเด็กทั้งสองถึงทำอะไรไม่ถูกโดยเฉพาะไม้ที่ตอนแรกตั้งใจว่าแค่จะเรียกร้องความสนใจจากเด็กแก้มป่องที่เมินเฉยต่อเขามาทั้งวันให้หันมาคุยกับตนบ้าง แต่ไม่นึกว่าเขาจะเผลอทำอีกคนร้องไห้กอดตุ๊กตาแน่นแบบนี้

“เกรท Don’t cry นะ ไม่ร้องๆ” คริสรีบผละจากอีกคนอย่างไม่รีรอกลับมาหาเพื่อนตัวเล็กของตนที่ยืนร้องไห้สะอีกสะอื้นอยู่กับที่ทันที

                “ฮึก ฮึก” เสียงสะอื้นที่ยังดังไม่หยุดทำเอาเจ้าตัวต้นเรื่องร้อนใจอย่างหนัก จนต้องเดินเข้ามาหาเช่นกัน พ่อบอกว่าทำผิดก็ต้องรับผิดชอบ เพราะงั้นเขาจะรับผิดชอบเกรทเอง

                “เอานี้” ไม้ยื่นผ้าเช็ดหน้าไปตรงหน้าคนที่ร้องไห้อยู่ไม่ยอมหยุด แต่ดูเหมือนว่าเกรทจะไม่เข้าใจความหมายของผ้าเช็ดหน้าที่ถูกส่งมาให้เท่าไรนั้นเจ้าเด็กชายใจร้อยเลยจัดการคลี่ผ้าเช็ดหน้าสีน้ำตาลออกแล้วกางแปะไปที่หน้าเล็กของเด็กขี้แยทันที

                “โอ๊ะ / เฮ้ย “

เสียงร้องประสาทของเด็กทังสองดังขึ้น โดยคนหนึ่งร้องตกใจที่อยู่ก็ถูกเช็ดหน้ากางแปะเต็มหน้าอย่างรวดเร็ว จนมองอะไรไม่เห็น ส่วนอีกคนก็ร้องเพราะตกใจและคิดว่าเพื่อนกำลังถูกแกล้ง

                “นี้ยูจะทำอะไรเกรทนะ” คริสขึ้นเสียงพยายามรั้งแขนของไม้ให้ออกจากไหล่ของเกรทด้วย โอบทำไม ทำไมต้องโอบไอไม่ยอมนะ

                “ก็เช็ดหน้าไง ทำให้ร้องไห้ก็ต้องเช็ดน้ำตาให้สิ” ไม้ว่าอย่างหงุดหงิดพร้อมลงมือเช็ดน้ำตาให้เกรทไปด้วย นี้เขากำลังรับผิดชอบเกรทอยู่นะ คริสไม่รู้เรื่องเลย

                ส่วนคนที่โดนปิดตาสองข้างจากการเช็ดน้ำตาอยู่นั้นไม่มีทางรู้เลยว่าเพื่อนตัวสูงทั้งสองคนของตนกำลังเล่นเกมจ้องตากันอย่างเอาเป็นเอาตายไม่มีใครยอมใคร ขนาดที่ว่าคุณครูที่จะเข้ามาห้ามยังได้แต่ยืนมองเฉยๆอย่างไม่รู้ว่าจะแทรกตัวเข้าไปขวางยังไงกับศึกครั้งนี้ดี  แต่แล้วเสียงระฆังหมดยกก็ดังขึ้น

                “น้องเกรท”

                เกลที่เพิ่งเคยมาที่นี้ครั้งแรกเอ่ยเรียกลูกชายตัวน้อยที่ไม่ว่าเขาจะพยายามมองหายังไงก็ไม่เจอสักที่ จนต้องลองเรียกดูตามคำเสนอของชิตรัตน์ดู แต่ใครจะรู้ว่าเสียงของเขาจะกลายมาเป็นระฆังแก้วห้ามทัพให้เด็กทั้งสองที่ยืนอยู่ไม่ไกลจากตนนั้นหันมามองก่อนที่เด็กชายตัวเล็กตรงกลางจะรีบบิดตัวไปมาเมื่อจำได้ว่าเสียงที่เรียกตนนั้นเป็นใคร

                “คุณแม่ แงงงงงงงง”

                เกรทรีบผละออกจากแขนของไม้แล้วรีบวิ่งไปหาผู้ปกครองทั้งสองของตนทันที ท่ามกลางสีหน้าตกใจของคนที่มองอยู่ทั้งสองฝั่ง

                “น้องเกรทร้องไห้ทำไมลูก ใครทำอะไรลูก” เกลถามอย่างร้อนใจพร้อมอุ้มลูกชายที่ตาเริ่มบวมแดงขึ้นนั่งตักก่อนจะหันหน้าไปมองชิตรัตน์ที่ทรุดตัวลงมาอยู่ในระดับเดียวกับตน

                “ผมเองครับ”

                ไม้เดินก้าวเข้ามาตรงหน้าของเกล ก่อนจะพูดออกมาเสียงดังฟังชัดโดยมีคริสยืนอยู่ข้างๆ เกลมองหน้าเด็กชายแปลกหน้าที่ยืนอยู่แล้วพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังแบบนั้นอย่างไม่เข้าใจ

                “ผมทำเกรทร้องไห้เองครับ”

                “ม้ายหาว่าเกรทโกหกครับอาชิน”  คริสเสริมขึ้นเพื่อให้ผู้ใหญ่ทั้งสองเข้าใจมากขึ้น

                “แล้วมีเรื่องอะไรกันหรอครับเด็กๆ”

                ชิตรัตน์หันไปถามเด็กชายทั้งสองคนที่พอจะคุ้นหน้าคุ้นตาอยู่บ้างในฐานะที่เป็นเพื่อนของลูกชายที่เวลาเขามารับก็มักจะเจอเด็กทั้งสองคนที่อยู่ข้างๆลูกชายของเขาเสมอ

                “ก็ผมไม่เชื่อนิครับว่าตุ๊กตาตัวนั้นแม่ของเกรทเป็นคนให้มา ก็เกรทเคยบอกว่าไม่เคยเจอแม่แล้วจะมาบอกว่าแม่ให้ตุ๊กตามาได้ยังไง” ไม้ตอบเสียงดังฟังชัดในสิ่งที่ตนคิด ถึงแม้ตอนนี้ความคิดของเขาจะเปลี่ยนแล้วก็เถอะ

                “แต่ยูก็ไม่ควรพูดให้เกรทเสียใจสิ”  คริสตำหนิเพื่อนอีกครั้ง

                ชิตรัตน์ที่มองเด็กทั้งสองคนตรงหน้ายืนเถียงกันอยู่ก็หันมากระซิบบางอย่างกับเกลก่อนจะลุกเดินออกจากบริเวณนั้นแล้วตรงไปยังครูสาวที่ยืนตัวรีบเล็กอยู่ข้างเสาแทน เกลมองตามหลังของอีกคนไปก่อนจะหันกลับมามองเด็กทั้งสองที่เริ่มเถียงกันเสียงดังจนเกรทเองเริ่มหันหลับไปมองบ้างแล้ว

                “ไม่เป็นไรหรอกครับ”

                เกลเอ่ยขึ้นเพื่อเป็นการหยุดการทำเลาะกันของทั้งคู่ แต่เด็กขายตาน้ำข้าวก็ยังไม่วานทำตาขวางใส่คนข้างๆอย่างไม่พอใจ แต่จะให้โกรธเด็กก็คงไม่ถูกเพราะมันจริงอย่างที่ไม้ว่าจริงๆนั้นแหละ

                “น้องไม้ทำถูกแล้วที่ไม่เชื่อในสิ่งที่เห็นตั้งแต่ครั้งแรก แต่ไม่ก็ไม่ควรตัดสินทุกอย่างตั้งแต่ครั้งแรกแบบนี้โดยไม่ฟังอธิบายก่อนแบบนี้ เข้าใจไหมครับ”

                “ครับ” เกลยิ้มให้เด็กชายตรงหน้าอย่างเอ็นดู

                “ถ้าเคลียร์กันเรียบร้อยแล้วเรากลับกันเลยดีไหม”

                ชิตรัตน์ถามขึ้นหลังจากเดินกลับมามารวมกลุ่มกับกับพวกเด็กๆอีกครั้งหลังขอแยกตัวออกไปคุยกับครูเวรผู้เห็นเหตุการณ์ทั้งหมดรวมถึงไปเอากระเป้ของลูกชายมาด้วยเลยเพื่อไม่เป็นการเสียเวลา

                “เกรทมีจะพูดกับเพื่อนหน่อยไหมครับ”

                ชิตรัตน์ถามลูกชายอีกครั้งก่อนจะกลับ โดยเจ้าตัวเล็กเองก็ทำเพียงหันหน้าแดงๆกลับมาไล่มองคริสก่อนจะมองไม้ด้วยสายตาเหมือนน้อยใจแล้วสะบัดหน้าหน้าเอาดื้อๆ

                “เกรท เราขอโทษนะ”

                มือเล็กของไม้เอื้อมไปจับเข้าที่หัวเข่าของเกรทเบาๆก่อนจะพูดออกมาอย่างรู้สึกผิด เขาผิดเองแหละที่พูดออกไปแบบนั้นแต่เขาไม่อยากให้เกรทเสียใจจริงๆนะ

                “เราจะรับผิดชอบเกรทเอง”

                ไม้พูดอย่างหมายมั่นจนดูจะจริงจังเกินวัย เล่นเอาชิตรัตน์เองถึงกับคิ้วกระตุกอย่างแรงกับคำพูดนั้น ผิดกับอีกคนที่ดูจะสนุกกับสิ่งที่เกิดขึ้นเสียมากกว่า

                “ไม้สัญญาแล้วนะ”

                แล้วนั่นลูกเกรทจะไปบ้าจี้ตามคำพูดของไอ้เด็กนี่ทำไมกัน ชิตรัตน์บ่นในใจก่อนจะเป็นฝ่ายที่ตัดบทพาทั้งเกลและลูกออกจากบริเวณนั้นไปขึ้นรถเพื่อกลับบ้านทันที
 
ใช้เวลาอยู่พักใหญ่กว่าพวกเขาจะหลุดพ้นความวุ่นวายของการจราจรในช่วงเย็นยังบ้านได้ของเกลทันตามเวลาที่เขาถูกกำหนดไว้จากพี่ชายของอีกฝ่าย ตอนแรกเขาแอบดีใจที่ว่าได้มีโอกาสพาคนรักออกไปข้างนอกตามลำพังบางแต่อยู่ๆคนที่เอ่ยปากอนุญาตเขาไปเมื่อครู่กลับยืนลิมิตเวลาให้เขาพาอีกฝ่ายกลับมาส่งบ้านก่อนห้าโมงเย็น

“เกลลี่!!”

ทันทีที่ชิตรัตน์จอดรถลงที่หน้าตัวบ้านเสียงอันเป็นเอกลักษณ์ที่มักมาก่อนตัวเสมออย่างปีแอร์ก็ไม่รอช้าที่จะรีบวิ่งลงมารับเขาทันทีเป็นคนแรก

“พี่ปีแอร์”

 “น้องดีเยี่ยม”
แต่พอบานประตูรถเปิดออกจุดมุ่งหมายของคุณหมอต่างชาติก็เบนเข็มไปหาเด็กชายตัวน้อยที่ที่นั่งอยู่บนตักของเกลแทน

“นี่พี่ธานกลับมาหรือยังปีแอร์”
เกลถามขึ้นหลังจากลงจากรถมายื่นโดยมีชิตรัตน์คอยพยุงอยู่ข้างๆขณะรอให้การ์ดนำวีลแชร์ไฟฟ้าของเขาออกมาให้

“บอสหรอ กลับมาแล้วพาคุณตัวเล็กมาด้วยนะตอนนี้อยู่บนห้อง” ปีแอร์ว่าพลางอุ้มเด็กชายเอาไว้

“ใครดหรอฮะ”  เกรทถามเสียงซื่อ เช่นเดียวกับเกลที่ยังมองหน้าเป็นเชิงถาม

“ก็อาแก้วไงลูก คุณลุงเขาจะพาอาแก้วมาอยู่ด้วยที่นี้” ชิตรัตน์เป็นฝ่ายที่บอกขึ้นมา แต่สีหน้ากลับไม่ค่อยสู่ดีเสียเท่าไรในความคิดของคนที่มองอยู่

เกลฝากฝังลูกชายของตนไว้กับปีแอร์ก่อนที่จะขอแยกตัวกลับเข้าห้องไปโดยมีชิตรัตน์ค่อยเป็นผู้ช่วยอยู่ไม่ห่าง บางทีเรื่องที่แก้วกล้าย้ายมาอยู่ที่บ้านของเขามันต้องมีอะไรมากกว่าการที่พี่ชายของเขามัดมือชกอีกฝ่ายแน่

“สีหน้าดูไม่ได้เท่าไรเลยนะครับพี่ชิน มีเรื่องไม่สบายใจหรือเปล่า”   เขาเริ่มเป็นฝ่ายพูดออกมาทันทีที่เข้ามาในห้องแล้วหลังจากสังเกตอาการของคนรักมาพักใหญ่

“ก็นิดหน่อย”   ชิตรัตน์ยิ้มแห้ง

“เกี่ยวกับเรื่องของคุณแก้วหรือเปล่าครับ”  ชิตรัตน์หยักหน้ารับ ก่อนจะก้มหน้ามองมือที่ผสานกันเอาไว้ที่ระหว่างขา

“...”

“พี่ไม่รู้ว่าควรพูดดีไหมนะ แต่ว่าเรื่องนี้มันก็เกี่ยวกับเกลด้วย คือ....”

“..."
“แม่พี่กลับมาแล้ว”

กลับมาแล้ว? คุณหญิงกลับมาแล้ว......?   เกลดูมีท่าทีตกใจอยู่ไม่น้อยกับสิ่งที่ได้ยินถึงมันจะไม่ใช่เรื่องใหม่ที่เขาได้รู้แต่เพราะมีคำที่สามารถบ่งบอกถึงตัวตนของคุณหญิงได้ต่างหากที่ทำให้อยู่ๆมือทั้งสองข้างของเขาสั่นขึ้นมาอย่างคุมไม่อยู่

“มันเป็นเพราะพี่เองที่ไม่รอบครอบให้ดีกว่านี้ แก้วเลยต้องมาโดยอะไรแบบนี้และนี่...”

เขารู้สึกผิดมากกับเหตุการณ์นั้นจากใจ ก่อนจะล้วงมือลงไปหยิบซองใสที่ภายในบรรจุเศษซากของกระดาษที่ถูกฉีกทิ้งเป็นชิ้นๆไว้ภายใน

“พี่ตั้งใจว่าวันหยุดจะพาเกลกับลูกไปเที่ยว เกรทเองก็บ่นว่าอยากไปมาหลายครั้งแล้ว”  เขาว่าอย่าเศร้าๆ ทั้งที่คิดเอาไว้ว่าจะได้ไปด้วยกันพร้อมหน้าแท้ๆ

“แม่มาเจอตอนที่แก้วกำลังเอาเจ้านี้มาให้พี่ที่ห้องล่ะมั้งและคงมีปากเสียงกัน....”  เขาอยากจะเล่าต่อหรอกนะแต่เป็นเหมือนมีก้อนอะไรบางอย่างมาจุดอยู่ที่ลำคอทำให้ไม่อยากจะพูดอะไรออกไปอีก

“อย่าโทษตัวเองเลยครับ พี่ชินไม่ได้ทำอะไรผิด” เกลว่าพร้อมกับโอบลอบคอขอชิตรัตน์จากด้านหลังก่อนจะซบแก้วลงกับแผ่นหลังนั้นเพื่อให้กำลังใจ

ใช่ ชิตรัตน์ไม่ได้ทำอะไรผิดเพราะฉะนั้นก็ไม่จำเป็นต้องเก็บเอาเรื่องนี้มาโทษตัวเอง ยังไงสะคนที่ผิดเขาจะจัดการมันเอง  ต่อให้เขาจะหวาดกลัวคุณหญิงแค่ไหนแต่เขาก็จะไม่ยอมให้ผู้หญิงคนนี้มาทำลายความสุขของเขากับพี่ชายเป็นแน่
 
เขาใช้เวลาอยู่ในห้องอีกสักพักหนึ่งจนความรู้สึกผิดในใจของชิตรัตน์เริ่มเบาบางลงจึงออกมาข้างนอกเพราะเขาเองก็ยังมีเรื่องสำคัญอีกเรื่องที่จะต้องคุยกับธาน

                ชิตรัตน์พาเกลมายังสนามบ้านที่เกรทกำลังเล่นอยู่กับพวกการ์ดของบ้านที่หมดหน้าที่ในวันนี้แล้วก่อนที่ตัวเขาเองนั้นจะเดินไปหาธานที่ห้องของอีกฝ่าย แต่คนที่เขากำลังจะไปหานั้นกลับเดินลงบันไดมาพอดี

                “นั้นนายจะไปไหน” ธานเอ่ยถามขึ้นเมื่อเห็นแขกประจำของบ้านกำลังจะก้าวขึ้นมาบนบันได

                “ผมมีเรื่องจะคุยกับคุณหน่อยนะครับ”  ธานเลิกคิ้วมองอีกคนก่อนจะเดินลงบันไดลงมาแล้วนำไปยังห้องนั่งเล่นแทน

                “มีอะไรก็ว่ามา”

                “แม่ผมต้องการเชิญคุณและครอบครัวไปกินข้าวที่บ้านครับ”  ชิตรัตน์ว่าเสียงเครียด

                “....”

                “คุณไม่ต้องตกลงก็ได้เดี๋ยวผมจะไปบอกแม่เองว่าคุณกับเกลไม่สะดวกที่จะไป”  เขาพยายามหาทางเลี่ยงให้เพราะยังไงธานก็คงไม่คิดจะให้น้องของตัวเองไปเผชิญหน้ากับแม่ของเขาอยู่แล้ว

                “เดี๋ยวฉันจะเป็นฝ่ายโทรไปบอกคำตอบเอง นายไม่ต้องมาคิดเรื่องนี้แทนฉันหรอก” ธานกล่าวบทชิตรัตน์ ก็เข้าใจอยู่ว่าอีกคนก็เป็นน้องเขาไม่น้อยไปกว่ากัน แต่นี้เป็นโอกาสที่ไม่เลวที่เขาจะได้เข้าใกล้ผู้หญิงคนนั้น

                “แต่ว่าถ้าคุณไปเกลก็ต้อง.....”

                “แล้วนายคิดว่านายจะสามารซ้อนเกลให้พ้นจากสายตาแม่นายได้ถึงเมื่อไร สุดท้ายยังไงก็ต้องเจอกันไม่ว่าช้าหรือเร็วอยู่ดี”  นั้นสินะ แต่ถ้าให้เจอกันตอนนี้แล้วสภาพจิตใจของเกลละยอมรับเรื่องนี้ได้มากนน้อยเพียงใจ แค่วันนี้เขาพูดถึงแม่อีกคนยังมีอาการสั่นขนาดนั้นแล้วถ้าให้ไปเจอหน้ากันตรงๆจะไม่แย่หรอ........................

                 
                หลังจากที่พูดคุยกับชิตรัตน์ในห้องนั่งเล่นครั้งนั้นแล้วพวกเขาทั้งสองคนก็ไม่ได้พูดอะไรกันอีกเลยจนกระทั้งถึงเวลาที่ชิตรัตน์ต้องพาลูกชายกลับบ้านไป ธานที่รอเวลานี้มานานจึงไม่รอช้าที่จะเข้าไปคุยกับเกลตามที่เขาตั้งใจไว้

                “น้องเกล พี่ขอเวลาหน่อยได้ไหม”

ธานที่เดินตามเข้ามาที่หลังพูดขึ้นและเดินเข้ามาในห้องโดยไม่รอให้เจ้าของห้องนั้นอนุญาตหรือเชิญตนเข้ามา ซึ่งเกลเองก็ไม่ได้ว่าอะไรนอกจากบอกให้พลที่ยังอยู่ในห้องให้ออกไปก่อนก็เท่านั้น

                “มีอะไรหรือเปล่าครับ หน้าเครียดเชียว”

                เกลเอ่ยถามพลางลอบมองใบหน้าที่แสดงความตึงเครียดของพี่ชายออกมาอย่างปิดไม่มิด ไม่สิ.. เขาว่าเขาสังเกตมาตั้งแต่อยู่ที่โต๊ะกินข้าวแล้วต่างหาก

                “ชิตรัตน์บอกว่าแม่ของเขาต้องการเชิญเราสองคนไปกินข้าวที่บ้านนั้น”

                ไม่ต้องเสียเวลาอ้ำอึ้งนานธานก็ตอบคำถามนั้นออกไปด้วยน้ำเสียงขุ่นมั่ว ต่างกับคนฟังที่มีสีหน้าดูจะตกใจอย่างเห็นได้แต่ก็ปั้นหน้านิ่งตอบกลับ

                “แล้วยังไงต่อครับ”  เกลพยายามข่มน้ำเสียงของตนไม่ให้ดูสั่นเกินไป

                “แล้วไง? พี่สิต้องถามเราว่าน้องน่ะ จะเอายังไงเพราะถ้าถามความเห็นจากพี่ พี่ก็คงตอบได้คำเดียวเลยว่า ไม่ “
                แหง่อยู่แล้วใครมันจะบ้าส่งน้องตัวเองไปเจอนังแม่มดเฒ่านั้นกัน.....

                “แล้วถ้าน้องจะบอกว่าตกลงละครับพี่ธานจะว่ายังไง”   

และนั้นก็ไม่ได้อยู่เหนือความคิดของเขาเสียเท่าไรเลยจริงๆ... ธานถึงกับต้องถอนหายใจยาวออกมากับคำตอบที่ไม่ได้ผิดไปจากที่เขาคิดเสียเท่าไร

“แต่พี่ไม่อยากให้ไป”  เขาว่าเสียงแผ่ว ก็ว่าอยู่แล้วละว่ายังไงเกลก็ต้องไปแต่เขาก็ยังอดเป็นห่วงไม่ได้จริงๆ     

“พี่ไม่รู้ว่าถ้าเกลไปที่นั้นแล้วมันจะเกิดอะไรขึ้น ถ้าเกิดเกลแย่ลงไปกว่าเดิมจะเป็นยังไง พี่... พี่คงทำใจไม่ได้ถ้าน้องจะเป็นอะไรไปอีก” อย่าว่าแต่เจอเลยขนาดพูดถึงยังสั่นขนาดนี้ แล้วจะให้เขายอมให้ไปอีกหรอ..........

“บางทีนี้อาจเป็นวิธีที่ทำให้เกลหายเร็วขึ้นก็ได้นะครับ”

“หมายความว่ายังไง”

“ก็แบบหนามยอกต้องเอาหนามบ่งอะไรแบบนี้ไงครับ”

“...”

“ทุกคนพยายามรักษาน้องมาหลายทางแล้ว ขอเกลลองทางนี้ดูบางจะได้ไหม”

“แต่มันเสี่ยงเกินไป”

ธานว่าเสียงเครียด ถึงปีแอร์จะเคยเสนอวิธีที่ให้เกลเผชิญกับสิ่งที่กลัวมาที่สุดเพื่อเป็นการรักษามาแล้วครั้งหนึ่งแต่มันก็จะเป็นวิธีสุดท้ายที่ปีแอร์แนะนำให้ทำเหมือนกันเพราะมันมีความเสี่ยงสูงที่ผู้ป่วยจะไม่หายขาดแถมยังจะยิ่งตื่นตระหนกไปกับเหตุการณ์เช่นว่านั้นอีกเป็นเท่าตัว นั้นแหละคือสิ่งที่เขาจะไม่ยอมให้มันเป็นแน่แต่การที่อยู่ๆเกลมาพูดว่าจะไปแบบนี้มันก็ทำให้เขาอดคิดไม่ได้เหมือนกันว่าน้องจะมีแผนอะไรซ่อนอยู่ให้ใจหรือไม่

“เกลรู้ว่าพี่ธานเป็นห่วงน้อง แต่ขอเถอะเกลไหว”

เกลยิ้มหวานให้พี่ชายที่นั่งลงข้างเตียงของเขาก่อนจะเอื้อมมือบางของจนไปยังหูจับของลิ้นชักข้างเตียงเพื่อเปิดออกแล้วหยิบเอาบางสิ่งที่อยู่ในนั้นออกมา ก่อนจะส่งสิ่งที่หยิบออกมาให้กับธานที่มองใบหน้าของเขาสลับกับเจ้าสิ่งที่อยู่ในมือเขาไปมาอย่างไม่เข้าใจแต่ก็ยินยอมรับเอาไปแต่โดยดี

                “น้องไม่ได้ไปแค่เพื่อตัวน้องเอง แต่น้องจะไปเอาของๆน้องคืน”

_______________________________________________________________


ซินเจียยู่อี่ซินนี้ฮวดไช้    สวัสดีวันตรุษจีนนะคะทุกคน
มาแบบส่งท้ายค้ามคืนกันอีกแย้วว (ไม่ว่ากันเนอะ)

อีกไม่นานแม่ผัวลูกสะใภ้เขาจะได้เจอกันแล้วล่ะตัวเธอ
มันจะต้องเป็นมื้ออาหารที่มีความสุขมากกกก แน่ๆเลยเนอะ

ขอบคุณที่ติดตามนะคะ

ออฟไลน์ หมอตัวเปียก

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1874
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +47/-3
ได้เวลาเอาคืนแล้วเย้ ๆ

ออฟไลน์ Jibbubu

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3385
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-6
รอเกลเอาคืนอยู่ค่ะ อยากรู้ว่าน้องจะเอาคืนยังไง

ออฟไลน์ wavery

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 124
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-2

ผักกาด ผักคะน้า

เนื้องจากโน๊ตบุ๊คเรามีปัญหา(อีกแล้ว)เลยทำให้จันทร์กับวันพุธที่ผ่านมาไม่ได้มาลงนิยายให้
ต้องขอโทษด้วยที่ไม่ได้แจ้งให้ทราบที่ทางหน้าเพจ

ดังนั้นเพื่อเป็นการไถ่โทษที่มาๆหายๆ เราจะลงนิยายจากวันละตอนเป็นวันละสองตอนไปเลย!!
 :katai4: :katai4: :katai4:
โดยจะเริ่มอัพนิยายตามปกติวันจันทร์เด้อ

ขอบคุณที่ติดตามนะคะ

ออฟไลน์ ::UsslaJlwaJ::

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1011
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +39/-4
แปะป้ายรอเลยค่า

ออฟไลน์ wavery

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 124
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-2

ฝนหยดที่ 16



                เขาไม่เข้าใจในสิ่งที่น้องคิด ไม่เข้าใจทุกอย่างที่น้องกำลงจะทำเพราะอะไรทำไมน้องถึงให้สมุดเขียนเล่นนี้มาให้เขากัน แล้วไหนจะคำพูดที่ทิ้งท้ายไว้ให้เขาอย่างนั้นอีก

                “น้องไม่ได้ไปแค่เพื่อตัวน้องเอง แต่น้องจะไปเอาของๆน้องคืน”

               หัวคิ้วเข้มขมวดมัดกันเป็นปมอย่างใช่ความคิดขณะที่สายตาก็เอาแต่จ้องมองสิ่งที่อยู่ในมืออย่างชั่งใจ เขาควรจะทำตามที่น้องร้องขอหรือว่าเขาควรจะทำหน้าที่พี่ชายที่ดีกันน้องออกจากเรื่องพวกนี้ก่อนที่ตัวของคนชั่งคิดนั้นจะแหลกสลาย เขาควรจะทำยังไงดี............

              “คุณมาทำอะไรอยู่ตรงนี้”

               เสียงทักกึ่งแหบแห้งของใครอีกคนที่เดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าดังขึ้นเรียกความสนใจจากเขาที่มั่วแต่ปั้นหน้าเครียดจมอยู่กับความติดของตนเองให้เงยหน้ามองคนท้องที่มาหยุดอยู่ตรงหน้าของเขาอย่างสงสัย

                “แก้ว ตื่นตั้งแต่เมื่อไรแล้วนี้ออกมาทำไมจะเอาอะไรหรือเปล่า”  ความคิดที่อยู่ในหัวเมื่อครู่ถูกพับเก็บลงไปทันทีเมื่อเขาเห็นว่าใครที่อยู่ตรงหน้าพร้อมรั่วคำถามใส่คนที่เขาเข้าไปประคองเอาไว้  ทั้งๆที่บอกว่าให้อยู่ในห้อง แล้วนี้ออกมาทำไมกัน.......

                 “ผมรู้สึกหิวนิดหน่อยเลยว่าจะลงไปหาอะไรกินที่ข้างล่างนะ”  ความจริงเขาก็ไม่อยากจะเดินหรอมันปวดขาแต่ความหิวมันมีมากกว่าจะให้นอนอยู่เฉยๆก็คงใช่เรื่อง

                  “แต่ฉันให้คนจัดเอาขึ้นมาให้แล้วนิ อ๊ะนั้นไง”

                   ก่อนที่เขาจะหัวเสียกับการที่แก้วกล้ายังไม่ได้กินข้าวทั้งที่เขาสั่งให้แม่บ้านจัดอาหารบำรุงขึ้นมาให้ตั้งแต่ตอนนี้เขาเริ่มทานข้าวกันมันก็ผ่านมาหลายนาทีแล้วแล้วทำไมแก้วของเขายังไม่ได้กินอะไรอีกแบบนี้ หางตาของเขาก็ไปสบเข้ากับร่างอ้วนท้วมของแม่บ้านวัยกลางคนกำลังยกถาดอาหารขึ้นมาให้พอดี  เลยทำให้ความกุ่มๆในหัวเมื่อครู่ลดลงไปได้บาง ก่อนจะก็ได้ความว่าแก๊สหุงต้มหมดเลยเสียเวลารอแก๊สมาส่งนานไปหน่อย

              “คราวหลังป้าจะให้เด็กๆมันตรวจเช็คให้ดีกว่านี้นะคะ”

              ป้าแม่บ้านหันมาพูดกับธานอีกครั้งหลังจากนำสำรับอาหารมาวางไว้บนโต๊ะในห้องเรียบร้อยก่อนเดินออกไป ในเมื่อคนท้องพูดเองว่าเพิ่งตื่นธานเองก็ไม่ได้ติดใจอะไรที่จะต่อว่าคนที่อายุมากกว่าตนให้ดูผิดมารยาทแม้คนนั้นจะมีฐานะน้อยกว่าตนก็ตาม จึงบอกเพียงแค่ให้ตรวจตราดูให้ดีกว่านี้ก็เท่านั้น

              ธานจัดแจงพาแก้วกล้ามานั่งลงยังเก้าอี้ยาวที่เขาใช้นั่งอ่านหนังสือประจำพร้อมกับเลื่อนโต๊ะเข้ามาใกล้เพื่อสะดวกแก่การกินอาหารของคนท้อง ก่อนที่เขาจะขอตัวออกมา

              “เดี๋ยวฉันออกไปคุยธุระหน่อยนะ แก้วมีอะไรก็เรียกได้เลยฉันอยู่ที่ระเบียง”

              เขาสั่งก่อนจะเดินออกมายังระเบียงห้องนอนของตนโดยเปิดผ้าม่านออกกว้างให้สามารถมองเห็นคนด้านในได้เพื่อความอุ่นใจว่าแก้วกล้าจะอยู่ในสายตาของเขาตลอดเวลา

              ธานมองคนที่อยู่ในห้องเริ่มลงมือทานอาหารไปได้เล็กน้อยก็หันกลับมาสนใจเจ้าโทรศัพท์มือถือของตัวเองที่ยังคงกำแน่นอยู่ในมืออีกครั้งอย่างชั่งใจ

ตู๊ดดดดด...

              ยังไงก็ต้องเสี่ยงดูเพราะถ้าการเจอกันครั้งนี้ของเกลมันจะช่วยให้เปอร์เซ็นต์การกลับมาเป็นปกติอีกครั้งมันก็น่าเสี่ยงอยู่ แต่ถ้าไม่ล่ะเขาจะทำยังไง

               //สวัสดีค่ะ บ้านนพเทพสวัสดิกุลค่ะ ต้องการเรียนสายใครค่ะ//   แต่ยังไม่ทันได้คิดอะไรต่อ เสียงของผู้หญิงคนหนึ่งที่น่าจะเป็นคนของบ้านนั้นก็เอ่ยรับสายของเขาเสียก่อน

               “คุณหญิงโฉมฉวีอยู่ไหม บอกว่าโจนาธานหุ้นส่วนของคุณชิตรัตน์โทรมา”

                //สักครู่นะคะ//  ปลายสายเงียบไปสักพักก่อนจะได้ยินเสียงตะกุกตะกักดังมาและตามมาด้วยเสียงของคนที่เขาบอกไปว่าต้องการคุยด้วยดังตามสายกลับมา

               //สวัสดีค่ะคุณโจนาธาน//  เสียงที่ดูตื่นเต้นปนดีใจที่เขาได้ยินนั้นมันชวนให้เขาอยากวางสายทิ้งเสียดื้อๆ เขาไม่อยากจะสนทนากับผู้หญิงคนนี้เลยให้ตายเถอะ

               “ครับ พอดีผมโทรหาคุณชิตรัตน์ไม่ติดเลยโทรเข้าที่บ้านแทนไม่ทราบว่ารบกวนคุณหญิงหรือเปล่าครับ”  นั้นมันก็แค่ข้ออ้างอีกนั้นแหละ.....

                // โอ๊ยไม่เลยค่ะ ดีเสียอีกที่คุณโทรมาหาดิฉันแบบนี้// ปลายสายดูจะไม่ได้ติดใจเรื่องเบอร์ติดต่อเท่าไรนัก ซึ่งก็ดีเขาจะได้ไม่ต้องหาข้อแก้ตัวให้เปลืองสมอง

              “เห็นคุณชิตรัตน์บอกว่าคุณหญิงชวนผมไปทานข้าวที่บ้านด้วยหรอครับ”

              // อ๋อใช่แล้วค่ะ ตาชินกับเกรทไปรบกวนคุณที่บ้านบ่อยๆดิฉันก็เลยอยากจะชวนคุณกับครอบครัวมาทานข้าวที่บ้านบางเพื่อเป็นการตอบแทนแล้วก็จะได้กระชับความสัมพันธ์ด้วยไงคะ//  ธานยิ้มเยาะมุมปากกับคำพูดมีจริตของหญิงมากอายุคนนี้ กระชับความสัมพันธ์งั้นเหรอ.... อยากจะหัวเราะ

              “ฮ่าฮ่า อย่างนั้นหรอครับ....งั้นเอาเป็นวันอาทิตย์เที่ยงๆแล้วกันนะครับ”  ธานรวบรัดเวลานัดหมายทันทีเพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลาเมื่อคนที่อยู่ในสายตาของเขานั้นเริ่มที่จะรวบช้อนอาหารลง

               // ได้เลยค่ะ เดี๋ยววันอาทิตย์ดิฉันจะให้คนรถไปรับที่บ้านดีไหมคะ”  หล่อนเสนอ ด้วยความปรารถนาดีที่จะอำนวยความสะดวกให้แก่คู่ค้าของลูกชาย

               “ไม่รบกวนดีกว่าพวกเราไปเองจะสะดวกกว่า”

               แต่ธานก็คงไม่ขอรับน้ำใจเช่นว่านี้ของอีกคนเช่นกัน  ฝ่ายนั้นเองก็ไม่ได้ค้านหรือซักถามอะไรเขามาไปกว่าถามเรื่องขอจำนวนคนเพื่อที่จะได้จัดเตรียมอาหารรับรองได้ถูกต้องตามความต้องการก่อนจะวางสายไป  เขาถอนหายใจออมาอีกครั้งกับการสนทนาเมื่อครู่ ก่อนจะเลื่อนเปิดบานประตูกระจกกลับเข้ามาในห้องอีกครั้ง  ก่อนจะทักคนที่อยู่ในห้องเรื่องอาหารที่ทานเข้าไปไม่ได้พร่องไปเกินครึ่งเลยแม้แต่น้อย

              “ทำไมกินแค่นี้ กินเข้าไปอีกหน่อยสิ”

              “ผมอิ่มแล้ว”  แก้วกล้าตอบกลับไปพร้อมยกน้ำขึ้นจิบเพื่อบอกกลายๆ ความจริงก็ยังไม่อิ่มหรอกแต่จะให้กินเข้าไปมากกว่านี้เขาก็ไม่ไหวแล้วเหมือนกัน

              “ได้ไงกัน ข้าวเหลือขนาดนี้จะไปอิ่มได้ไงมานี้เดี๋ยวฉันป้อนเองดีกว่า”

              ไม่ว่าเปล่าธานจัดการลากเก้าอี้วางขาที่อยู่ไม่ไกลเข้ามาใกล้แล้วนั่งลงไปก่อนจะหยิบจับช้อนที่แก้วกล้าวางเอาไว้ในจากมาตักข้าวแล้วยกขึ้นจ่อที่หน้าริมฝีปากของอีกคน

              “ผมกินไม่ไหวแล้ว”   แก้วกล้าว่าปัดพร้อมใช้หลังมือดันช้อนนั้นออกห่าง

              “ฝืนเอาหน่อยสิ แก้วรู้ตัวไหมผอมมากขนาดไหนแล้วแบบนี้ลูกจะแข็งแรงได้ยังไง นะแก้วกินอีกหน่อย”

               ไม่ใช่แค่สายตาที่ดูอ้อนวนแต่น้ำเสียงที่ดูอ่อนลงของอีกคนก็พลอยทำให้เขาใจอ่อนลงมาบาง แม้เขาจะฝืนกินต่อได้อีกไม่กี่คำก็ตามแต่เขาก็ยอมกินจนข้าวในจากหายไปมากกว่าเดิมและคราวนี้เขาฝืนที่จะกินต่อไปไม่ไหวจริงๆ ซึ่งธานเองเมื่อเห็นว่าเขาทานไม่ไหวแล้วจริงๆก็ไม่ได้เร่งเร้าอะไรเขาต่อแต่กลับตักเอาอาหารที่เขากินเหลือไว้เมื่อครู่เข้าปากตัวเองจนหมดแทน
 
              “เมื่อกี้คุณคุยกับใครหรอ”  เขาเอ่ยถามขึ้นขณะกึ่งนั่งกึ่งนอนที่เตียงนอนหลังใหญ่ของธาน อย่างนึกขึ้นมาได้เมื่อเห็นอีกคนกดบางสิ่งลงบนหน้าจอทัชสกรีน

              “กับคุณหญิงโฉมฉวีน่ะ”   ธานตอบกลับมาโดยที่สายตายังไมละไปจากหน้าจอแสดงผลที่กำลังบอกถึงตัวเลขหุ้นของบริษัทเขาที่ไทยที่กำลังพุ่งขึ้นอย่างน่าดีใจ จนไม่ทันได้สังเกตเห็นสีหน้าตกใจของคนที่ได้ฟังมัน

                “เจ้านายเธอบอกว่าฉันว่าคุณหญิงอยากกินข้าวกับฉันแล้วก็เกล ฉันก็เลยโทรไปนัดเวลาน่ะ”

               ธานขยายความต่ออีกนิด แต่นั้นก็ไม่ได้ช่วยให้ความกังวลของคนฟังลดน้อยไปเท่าไรเลยแถมมันยิ่งจะดูเพิ่มมากขึ้นจนธานเริ่มสังเกตเห็นมือที่กำเข้าหากันสลับกับคลายมืออกเป็นระยะของแก้วกล้าอันเป็นอาการที่แสดงออกว่าเจ้าตัวนั้นมีความเครียดและกังวลขนาดไหน  ทำให้ธานรีบวางสิ่งที่ดึงความสนใจเขาอยู่เมื่อครู่ลงก่อนจะเดินมานั่งข้างๆกับคนขี้กังวลนั้นแทน

              “ทำไมคุณถึงยอมให้คุณเกลไป คุณไม่กลับคุณเกลเป็นอะไรหรือไง”

              ขนาดเขายังโดนขนาดนี้แล้วถ้าคุณหญิงเจอคุณเกลเข้าจริงๆจะเป็นยังไง...........   แก้วกล้าแทบอยากจะฉีกทึ้งหัวของธานออกมาเสียให้รู้แล้วรู้รอดเลยจริงๆ ไม่ห่วงน้องเลยหรือยังไงทำไมถึงตอบตกลงไปแล้วถ้ามันมีอะไรเกิดขึ้นจะทำยังไง

              แก้วกล้ากดหัวคิ้วต่ำลงอย่างคนคิดไม่ตกกับสิ่งที่ธานทำ ส่วนธานเองก็ใช่ว่าจะไม่เข้าใจถึงสิ่งที่แก้วกล้ารู้สึกหรือคิดอยู่แต่เขาก็คงทำอะไรไม่ได้ในเมื่อน้องเขาเลือกที่จะให้มันเป็นแบบนี้ เพราะฉะนั้นเขาเองก็มีหน้าที่ป้องกันไม่ให้เรื่องราวมันลามไปใหญ่โตก็แค่นั้น

“ไม่เอาน่า แก้วอย่าทำหน้าอย่างนั้นสิเดี๋ยวลูกก็เครียดตามหรอก ไหนขอแด๊ดดี้ฟังเสียงหนูหน่อยสิครับ”

               เขาเปลี่ยนเรื่องขึ้นมาเพื่อหวังเบนความสนใจของแก้วกล้าให้กลับมาอยู่ที่ตัวเขาแทนการคุ่มคิดถึงเรื่องที่เขาพูดเมื่อครู่แทน  ร่างใหญ่โตของเขาเอนกายไปข้างหน้าเพื่อให้หูของเขาได้สัมผัสลงไปกับหน้าท้องนูนของคนตัวเล็กที่มีท่าทีตกใจเล็กน้อยกับสิ่งที่เขากระทำลงไป

               “ไงครับตัวเล็กคิดถึงแด๊ดดี้ไหมเอ่ย แต่แด๊ดดี้คิดถึงหนูกับแม่ทุกวันเลยนะ”

              ธานพูดขึ้นพร้อมใช้ปลายนิ้วมือเกลี่ยเบาๆที่หน้าท้องกลมนั้นไปมาตลอดเวลาที่เขาพูดคุยกับสิ่งมีชีวิตเล็กๆที่อาศัยอยู่ภายในนั้นในขณะที่แก้วกล้าได้แต่มองการกระทำของธานอย่างไม่เข้าใจจนเผลเอื้อมมือออกไปลูกกลุ่มผมสีน้ำตาลเข้มที่ตัดแต่งเป็นทรงสวยนั้นเบาๆทำเอาคนที่พูดกับหน้าท้องของตนถึงกับชะงักแล้วหยุดพูดเงยหน้ามามองหน้าของเขาแทน

              พวกเขามองหน้ากันภายใต้ความเงียบของห้องที่มีเพียงเสียงของเครื่องปรับอากาศที่กำลังทำงานกับเสียงลมหายใจของคนทั้งคู่เท่านั้น  ตอนนี้เขาไม่รู้หรอกว่ามันผ่านไปนานแค่ไหนหรือขนาดที่ว่าสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นกับเขานั้นมันเป็นเรื่องจริงหรือไม่ ยามที่ริมฝีปากหนาที่ล้อมรอบไปด้วยไร่หนวดสากระคายผิวนั้นประกบอยู่ที่ปากของเขาเบาๆก่อนจะละมาคลอเคลียอยู่ที่ข้างแก้มอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะไล่ลงไปย้ำหนักๆที่ลำคอขาวจนน่าจะขึ้นรอย

                 “คุณทำแบบนี้ทำไม”

                 เขาเอ่ยถามคนที่ยังคงซบหน้าลงกับซอกคอของเขานิ่งด้วยเสียงล่องลอยคล้ายคนละเมอพูด แต่ก็นั้นแหละเขาคงจะละเมอพูดมันออกมาจริงๆก็ได้

              “ฉันรักแก้ว”

              ธารละใบหน้าออกจากซอกคอขาวนั้นช้าๆก่อนจะกลับมานั่งตัวตรงพร้อมจ้องมองลึกไปในดวงตาใสของหน้าคนถามนั้นด้วยสีหน้าจริงจังไม่ต่างกับน้ำเสียงที่หนักแน่นของเขาที่สารภาพความในใจนั้นออกไป

               “คุณโกหก”

               “ฉันพูดจริง”เขาแย่ง

               แก้วกล้าถอนหายใจออกมาก่อนจะเบนหน้าหนีหลบสายตาที่มองตรงมาทางตน แต่มีหรือที่ธานจะยอมปล่อยให้เขาละหนีไปง่ายๆเช่นนั้น ไม่เลย ฝ่ามือหนานั้นยื่นออกมาประคองใบหน้าสวยนั้นให้หันกลับมายังตำแหน่งเดิมอีกครั้ง

              “ฉันรักแก้ว”

              พร้อมแน่นย่ำคำพูดเดิมออกมาอีกครั้ง ตอนแรกเขาอาจมองข้ามไปแต่พอเขาได้โอกาสที่จะรักษาสิ่งนี้อีกครั้งเขาก็ไม่รีรอเช่นกันที่จะปล่อยให้มันหลุดมือไปอีก    ยิ่งวันนี้ที่เขาเห็นอีกคนกำลังจะล้มลงไปตอนนั้นมันเหมือนทุกสิ่งทุกอย่างกำลังทะลายลงไปต่อหน้าโดยที่เขาไม่สามารถทำอะไรได้ มันยิ่งตอกย่ำให้เขาแน่ใจแล้วว่าเขารักคนตรงหน้ามากขนาดไหน

             “ฉันแสดงออกไม่มากพอหรือมันไม่ถูกใจแก้วกัน”

              ธารถามเสียงอ่อนก่อนจะขยับร่างกายขึ้นไปพิงหัวเตียงข้างๆอีกคนพร้อมโอบให้อีกคนที่ทำตัวราวกับร่างไร้กระดูกโอนเอนไปทุกทีที่เขาจับให้มาซบลงที่อกแกร่งของตนเอง

              “เธอคิดอะไรอยู่หรือแก้วบอกฉันได้ไหม”

               ธารถามอย่างอยากรู้ เพราะเขาเองก็อดสงสัยไม่ได้เช่นกันที่อยู่ๆแก้วย้อมที่จะให้เขาจูบง่ายๆเช่นเมื่อกี่มันช่างผิดวิสัยคนที่หวงตัวของอีกฝ่ายมากแล้วไหนจะคำถามเมื่อครู่นี้อีก

               “ผมแค่อยากรู้  ว่าคุณทำแบบนี้ทำไม”

                แก้วกล้ายังคงถามคำถามเดิมซ้ำอีกครั้ง ธานมองคนในอ้อมแขนอย่างอ่อนใจก่อนจะกดจูบเขาที่ขมับของคนที่ซบอยู่ที่อกอย่างหนักกับคำถามเดิมที่ยังคงออกมาจากปากหวานๆนั้น

                “คุณสงสารที่ลูกของผมจะไม่มีพ่อหรือเพราะแค่อยากเล่นสนุกไปอย่างนั้น”

                เขาอยากรู้ ได้โปรดเถอะบอกเขาที่ บอกเขาให้เขารู้ความจริงในใจของอีกคนก่อนที่ที่เขาจะถลำลึกกับความรู้สึกดีๆพวกนี้ไม่มากกว่านี้จนถอนตัวไม่ขึ้น

               “ไม่ใช่อย่างงั้นแก้ว อย่าคิดอย่างงั้น”

              อีกคนปฏิเสธ แล้วจะให้เขาคิดยังไงกับสิ่งที่ธานทำมาทั้งหมดเขาเป็นหม้ายนะแถมยังท้องอีกแล้วการที่อีกคนเข้ามาในชีวิตเช้าแบบนี้จะให้เขาคิดว่ายังไง เขาไม่ต้องการหรอกนะความสงสารนั้นนะ เขาเจ็บมาพอแล้วกับคำว่าสงสาร.......

             “แล้วจะให้ผมคิดแบบไหนกัน”  เขาถามเสียงอู้อี้

             “แก้วไม่ต้องคิดอะไรทั้งนั้น เพราะยิ่งแก้วคิดหาคำตอบมาเท่าไรแก้วก็จะมองข้ามความจริงที่ฉันพยายามพูดให้ฟัง ฉันรักแก้ว ไมว่าแก้วจะพยายามหาคำตอบหรือปฏิเสธมันยังไงฉันก็จะยังยื่นยันคำพูดนี้ต่อไปเรื่อยๆ ฉันรู้ว่าฉันเข้ามาในวันที่สายไปแต่ในเมื่อมีโอกาสที่ฉันจะได้อยู่กับแก้วไม่ว่าจะต้องใช้วิธีอะไรฉันก็ยอม”

              ไม่รู้เพราะอารมณ์ที่พาไปหรือฮอร์โมนที่ไม่ปกติของตัวเองอยู่ดีๆน้ำตาของเขาก็ไหลออกมาถูกเสื้อเชิ้ตเนื้อดีของอีกคนเป็นดวงกลมไหนจะรอยยับยู่จากการรอยมือที่กำแน่นของเขาอีก

              “แล้วทำไมถึงเป็นผม ฮึก”

              แรงสะอื้นจากคนตัวเล็กนั้นทำให้ธานอดที่จะถอนหายใจออกมาอีกครั้งไม่ได้ เขาจึงกระชับแรงกอดนั้นให้แน่นขึ้นอีกนิดหนึ่งแต่ไม่มากเพื่อไม่ให้คนท้องนั้นอึดอัด

              “ผมไม่มีอะไรให้คุณได้สักอย่าง แล้วทำไม”             
         
              “ใครว่าไม่มี” ธานพูดดัก ก่อนจะระบายยิ้มออกมาเมื่อมองไปยังหน้าท้องที่ยื่นออกมา

 “ในนี้ไงสิ่งที่เธอมีให้ฉัน” มือหนาลูบไปมาที่หน้าท้องนูนนั้นอีกครั้ง และมันก็ยิ่งทำให้แก้วกล้าร้องไห้ออกมาหนักขึ้น

              “อย่ามาพูดบ้าๆนะ” พร้อมกับกำปั้นเล็กๆทุบเข้าที่อกของเขาดังปักแต่มันไม่ได้ทำให้เขารู้สึกโกรธแต่อย่างใดออกจาชอบเสียด้วยซ้ำกับการแสดงออกว่าอีกคนนั้นเขินอายมากขนาดไหน

              “บ้าที่ไหนกัน ฉันพูดเรื่องจริง” ธานรั้งข้อมือเล็กนั้นไว้ก่อนที่จะโดนอีกคนทุบอีกรอบ ถึงมันจะไม่เจ็บแต่ก็ทำให้จุกได้เหมือนกันนะ         

               “คุณรับได้หรอ ผมไม่ได้มีคุณเป็นคนแรกผมแถมกำลังท้องลูกของคนอื่นที่ไม่ใช่ลูกของคุณอีก คุณรับมันได้จริงเหรอ” 

                   บางที่นี้อาจเป็นสิ่งที่แก้วกล้าอยากพูดบอกธานมาตลอด คำถามที่อยู่ลึกในใจถึงจะพูดเชิงถามแบบนั้นไปแต่ใครจะรู้ว่าเขาเองก็กลัวคำตอบที่จะได้มามากเหลือเกินหากว่าอีกคนรับไม่ได้ละที่ผ่านมาทั้งหมดเป็นแค่การแสดงที่ทำให้เขารู้สึกดีละเขาจะทำอย่างไร

                 “เธอจะพูดอะไรหรือใครจะคิดอย่างไงฉันไม่สน ถึงเขาจะไม่ได้เกิดมาจากฉันแต่เขาก็เป็นลูกของฉันเหมือนกับเธอที่เป็นของฉัน แก้ว”

                มือที่พยายามกำเข้าหากันของเขานั้นถูกมือของธารพยายามที่จะคลายมันออกมาก่อนจะผสานมือจับรวมกับเขาเอาไว้แน่น  เหมือนพยายามจะสื่อบางสิ่งที่ไม่สามารถใช่คำพูดมาอธิบายได้นั้นผ่านไออุ่นจากฝ่ามือนั้นแทน

.................................................................................................

         
   :mew1:

ออฟไลน์ wavery

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 124
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-2

:mew1:

              อาการนอนไม่หลับเกิดขึ้นได้ง่ายในคนท้องอันนี้แก้วกล้าเข้าใจแต่สำหรับคืนนี้แล้วเขาคิดว่ามันคงไม่ใช่อาการของคนที่อายุครรภ์เริ่มมากขึ้นอย่างแน่นอน แต่อาจเป็นเพราะบางทีอาจเป็นคำพูดที่อีกคนเอ่ยคำรักให้ฟังเมื่อช่วงหัวค่ำทำให้ถึงแม้ตอนนี้เวลาจะล้วงเข้าสู่คืนวันใหม่ของอีกวันแล้วก็ตาม หากแต่อาการคันยิบที่หัวใจนั้นต่างหากที่ทำให้เขาไม่อาจข่มตาให้หลับได้สนิทเสียที่แล้วยิ่งกว่าคำพูดหนาวหูที่ก้องอยู่ในหัวแล้วยังมีไออุ่นจากคนข้างๆที่นอนซ้อนอยู่ที่หลังคาดเกี่ยวช่วงท้องนูนด้วยท่อนแขนหนาแข็งแรงนั้นอีกมันยิ่งทำให้เขาหลับไม่ลงเพิ่มอีกเป็นสองเท่า

              มันรู้สึกไม่ชินกับการที่มีคนมานอนกอดแบบนี้...........

              และถ้ารู้สึกนอนไม่หลับต้องลุกเดิน ทฤษฎีแก้ปัญญาการนอนที่เขาเคยได้ยินไม่รู้หรอกว่ามันจะได้ผลหรือไม่แต่มันก็น่าลองไม่ใช่น้อยสำหรับคนที่ง่วงนอนแต่แก่แต่ไม่สามารถที่จะข่มตาให้หลับได้อย่างเขาในตอนนี้

              เมื่อคิดได้ดังนั้นเขาจึงจัดการดันแขนของอีกคนที่ยังคงสภาพหลับไม่รู้เรื่องออกแล้วค่อยท้าวศอกกับที่นอนเพื่อดันกายขึ้นอยู่ช้าๆหนึ่งด้วยกลัวอีกคนตื่นมาในช่วงเวลาที่ไม่อยากพบหน้าอีกหนึ่งคือน้ำหนักที่มากขึ้นจนขยับลำบาก แต่ก็ต้องตกใจเมื่อมือข้างหนึ่งของเขาถูกคนที่คิดว่าหลับไปแล้วรั้งเอาไว้เสียก่อนอีกทั้งยังดูไม่มีอาการงั่วเงียอย่างคนเพิ่งตื่นนอนให้เขาเห็นด้วยซ้ำ

              “นั้น  แก้วจะไปไหนน่ะ”

              ธานถามขึ้นเมื่อเห็นว่าอีกคนพยายามที่จะลุกออกจากที่นอนที่นอนอยู่ ตามจริงแล้วเขาเป็นคนตื่นง่ายเพราะงั้นจึงไม่แปลกอะไรที่แค่แก้วกล้าจะขยับตัวเพียงนิดเดียวแล้วจะทำให้เขาตื่นเช่นนี้ และยิ่งอีกคนทำท่าลุกไปยามวิกาลเช่นนี้ยิ่งทำให้เขาเป็นห่วง

              “ผมนอนไม่หลับเลยว่าจะลุกไปที่ระเบียง” แก้วกล้าตอบเสียงอ้อมแอ้มเหมือนเด็กโดนจับได้ว่าทำผิด

              “แล้วทำไมไม่เรียกละ เดินไปคนเดียวถ้าเกิดล้มขึ้นมาเหมือนวันนั้นอีกจะทำไง”

               “แค่นี้เองไม่เป็นอะไร”

               เขาส่ายหัวไปมาไล่ความมึนงงนั้นก่อนจะรีบลุกขึ้นจากเตียงแล้วเดิมอ้อมมาตรงหน้าของแก้วกล้าอย่างรวดเร็ว มืดอย่างนี้จะปล่อยให้เดินไปคนเดียวได้ไงถึงจะอยู่ในห้องก็เถอะ

              “มา ค่อยๆลุกนะ”

                แก้วกล้ามองตามมือหนาที่รั้งจับเข้าที่ท้องแขนเล็กของตนอย่างชั่งใจว่าจะลุกตามดีหรือไม่ คือเขาอยากอยู่คนเดียวไม่ได้อยากให้อีกคนต้องตื่นมาบริการเขาแบบนี้

              “มาสิแก้วจะออกไปที่ระเบียงไม่ใช่หรือ” ลุกก็ลุกอย่างน้อยจะได้เข้ามานอนได้เสียที......... เขาคิดก่อนจะยอมลุกเดินไปยังระเบียงกับอีกคนอย่างว่าง่าย
 

                ลมเย็นในช่วงเวลาผ่านเที่ยงคืนมาแล้วนั้นต่อให้อยู่ที่กรุงเทพก็สามารถรับรู้ถึงความเย็นของลมที่มาสัมผัสผิวได้เป็นอย่างดีถึงแม้ว่าบนฟ้าจะมองไม่เห็นดาวมากมายเหมือนต่างจังหวัดแต่แสงไฟในสวนก็พอแก้ขัดได้เหมือนกันเพราะอย่างน้อยมันก็ทำให้ผ่อนคลายได้เหมือนกัน

            แก๊ก

            เสียงบานประตูกระจกที่กระทบกันทำให้คนที่กำลังนั่งรับลมยามดึกสะงัดเช่นเขาหันกลับมามองผู้ร่วมห้องอีกคนที่หลังจากพาเขาออกมานั่งที่เก้าอี้หวานพร้อมหาผ้าคุมไหล่ผืนไม่หนามากมาคุมให้แล้วก็เดินหายไป ครั้งจะเอ่ยถามว่าไปไหนมาดวงตาหวานก็สะดุดกับแก้วนมที่อีกคนยื่นมาให้

              “นมอุ่นๆจะได้หลับสบายไง” สัมผัสอุ่นๆที่ได้รับจากแก้วทำให้พอเดาได้ว่าคงถูกอุ่นมาใหม่ เขาค่อยๆจิบมันที่ละนิดในครั้งแรกถึงจะชอบดื่มเครื่องดื่มร้องขนาดไหนแต่อาการลิ้นแมวที่เป็นมาตั้งแต่เด็กทำให้ไม่สามรถดื่มรวดเดียวได้เหมือนคนอื่นแม้มันจะอุ่นอยู่ก็ตาม

              “แปลกที่หรอถึงนอนไม่หลับ”

             เพื่อไม่ให้บรรยากาศมันเงียบจนเกินไป เสียงทุมของธารจึงเอ่ยขึ้นทันที่เมื่อเห็นว่าแก้วเปล่าที่มีคาบนมขาวติดอยู่ที่ขอบแล้วและที่ก้นนั้นถูกวางลงที่โต๊ะ

              “น่าจะ” ใครมันจะกล้าบอกว่าสาเหตุคือคำพูดของคนตรงหน้าละจริงไหม.........

              เกิดความเงียบเข้าแทบที่แต่มันก็ไม่ได้ให้บรรยากาศชวนหน้าอึดอัดแต่อย่างใด ส่วนหนึ่งอาจเพราะไม่ได้มีเรื่องหามน้ำใจกันอยู่แต่เดิมหรือเพราะแต่ละคนอยากอยู่กับความคิดของตัวเองก็ไม่อาจรู้ได้ จนเวลาผ่านไปนานแค่ไหนไม่รู้ที่ทั้งสองนั่งเงียบไม่เอ่ยวาจากันจนธานคิดว่าหากนั่งตากน้ำค้างอย่างนี้ต่ออีกอีกคนจะป่วยเสียก่อน จึงเอ่ยชวนแก้วกล้าที่ตาเริ่มปรือกลับเข้าข้างในจัดแจงท่านอนให้อีกคนได้นอนสบายก่อนที่กายรูปร่างหนาจะสวมกอดเข้าที่ด้านหลังเหมือนเช่นเดิมก่อนจะจมเข้าสู่ช่วงนิทาพร้อมกับบอกลาราตรีอันเงียบเหงาที่ต้องนอนอยู่เดียวดายลงเพราะคืนนี้พวกเขาสามารถหาไออุ่นที่อุ่นไปทั่วทั้งกายและใจได้แล้ว
 
               จากกลางคืนที่แสงจันทร์สาดส่องกลับกลายเป็นแสงแดดยามเช้าส่องเข้ามาในทุกห้องแสดงถึงวันใหม่ที่เริ่มขึ้นคนงานทั้งชายหญิงในบ้านหลังใหญ่ต่างตื่นเช้าเพื่อทำหน้าที่ของตนตามปกติแต่สิ่งหนึ่งที่อาจดูผิดปกติวิสัยคงจะเป็นเจ้าบ้านหนุ่มที่ถ้าเป็นปกติแล้วละก็เวลานี้จะต้องตื่นแต่เช้ามาวิ่งจ๊อกกิ้งกับบรรดาการ์ดที่บริเวณรอบๆบ้านแล้วแต่ตอนนี้สิยังไม่เห็นแม้แต่เงาสร้างความแปลกใจให้เหล่าชายฉกรรจ์ที่รออยู่เป็นอย่างมาแต่กลับไม่มีใครคิดหาคำตอบกับสิ่งที่สงสัยแม้แต่น้อยว่าอะไรเป็นสิ่งที่รั้งตัวเจ้านายของพวกเขาเอาไว้กันแน่  หรือบางทีพวกเขาเองอาจรู้อยู่แล้วก็ได้ว่า ใคร กันที่รั้งตัวของธานเอาไว้ในห้องนอน...................

               “อืมมม”

               เสียงครางอย่างขัดใจของคนท้องที่รู้สึกถึงการก่อกวนตามร่างกายโดยเฉพาะที่หน้าท้องของเขานั้นทำให้แก้วกล้าอดที่จะส่งเสียงออกมาอย่างไม่ชอบใจไม่ได้  หากแต่เพื่อนร่วมเตียงที่ยุกยิกไปมาอยู่ที่หน้าท้องแต่ผู้รุกรานตัวโตหาใส่ใจไมยังคงเอานิ้ววากเขี่ยไปมาที่หน้าท้องนูนที่ไร้เสื้อผ้าบดบัง

               และเมื่อถูกก่อกวนจนทนไม่ไหวแก้วกล้าจึงปรือตาตื่นมองหน้าคนน่ารำคาญที่ยังไม่สำนึกผิดต่อการกระทำ อันเป็นการขัดขวางการนอนของเขานั้น ที่ยังคงส่งเสียหงุงหงิงๆอยู่ที่หน้าท้องเขาบางเขียนนู้นนี้ที่หน้าท้องจนเขาเริ่มรู้สึกรำคาญ

                “ทำอะไรของคุณน่ะ”

               น้ำเสียงงัวเงียติดจะรำคาญใจของแก้วกล้าดังขึ้นถามเมื่อมองไปที่นาฬิกาตั้งโต๊ะเรือนสวยที่พึ่งบอกเวลาหกโมงครึ่งอย่างไม่ชอบใจกับการที่เขาจะต้องมาตื่นเช้าในวันหยุด และสำหรับคนที่ทำงานหนักมาทั้งอาทิตย์แล้วเรื่องแบบนี้ก็ไม่ถือเป็นเรื่องน่าอภิรมใจเสียเท่าไรหรอกหนักจริงไหม

                 “ก็กำลังคุยกับลูกไง นี้ฉันทำให้แก้วตื่นหรือเปล่า”

               ธารมองใบหน้าของคนที่พยายามจะซุกตัวนอนต่อนั้นอย่างเอ็นดู ก็นะเมื่อคืนกว่าจะนอนก็ตั้งค่อนคืนเข้าไปแล้วจะยังง่วงอยู่ก็ใช่เรื่องแปลกอะไร

              “รู้ตัวด้วยหรอ”

              “หึหึหึ” ธารยิ้มขำกับท่าทางคนบนเตียงที่ขนาดหลับตาไปแล้วยังจะต่อล้อต่อเถียงกับเขาได้อีก

              “ถ้าตื่นแล้วก็ลุกไปอาบน้ำกันเดี๋ยวจะได้ลงไปทานข้าว สายๆจะได้ไปหาหมอกัน”

              วันนี้เขานัดหมอพลอยรัมภาเอาไว้ให้แล้วเขาไม่อยากให้แก้วกล้าผลัดวันไปตรวจนานกว่านี้ เพราะเขาเองก็เป็นห่วงเจ้าตัวเล็กไปไม่น้อยกว่าคนเป็นแม่ที่ดูจะทำตัวยุ้งอยู่ตลอดเวลาเช่นนี้เหมือนกัน

                 “แต่พี่หมอนัดอาทิตย์หน้า.....”
                   ที่หลับไปแล้วอีกรอบตอบกลับเสียงยาน ธารสายหน้าไปมาให้เจ้าคนท้องจอมขี้เกียดตรงหน้าก่อนจะเข้าไปประคองตัวแก้วกล้าให้ลุกขึ้นนั่ง

                   “ไม่เอาน่าทำตัวดีๆหน่อยสิไม่ใช่เด็กแล้วนะ”

                 ธานเอ็ดเบาๆเพื่อให้คนที่พร้อมจะหลับได้ทุกเมื่อนั้นตื่นดีๆ แต่แล้วอยู่ๆศีรษะเล็กๆของคนท้องพุ่งแปะเข้าที่หน้าท้องแข็งของเขาอย่างไม่ทันตั้งตัวพร้อมกับสายหน้าไปมาเหมือนไม่ยอม เขาเองที่เริ่มตามอารมณ์คนท้องไม่ทันได้แต่ยืนนิ่งกับท่าทีของอีกคนอย่างทำอะไรไม่ถูก เพราะตั้งแต่รู้จักกันมาไอ้ท่าทีแบบนี้เขาไม่เคยเจอมาก่อน  แบบนี้เขาจะถือว่าอีกฝ่ายกำลังอ้อนอยู่ได้ไหมนะ........................

                “แต่แก้วยังไม่อยากอาบนี่ แก้วอยากนอน”     ธานถึงกับเบิกตากว้างอย่างตกใจกับสรรพนามเมื่อครู่ที่อีกฝ่ายใช้แทนตัวเอง

                “มะมะ ไม่ได้ กะ แก้วตื่นแล้วต้องอาบน้ำสิ” เขาว่า พรางมองหน้าคนที่ผละออกจากหน้าท้องของเขาแล้วแต่ยังคงก้มหน้าอยู่

                   “แก้ว”  เสียงของเขาเริ่มแผ่วลงอย่างใจหายด้วยกลัวว่าจะเผลอทำอะไรที่ไม่ถูกใจอีกคนไปหรือเปล่าถึงได้นิ่งเงียบไปเช่นนี้

                 “อุ้ม..”

              “ฮะ!!” เอาใหม่สิ............  ธานอุทานอย่างไม่เชื่อหู

              “อุ้มแก้วหน่อย” ไม่ว่าเปล่าสองแขนเรียวก็ชูขึ้นสูงแสดงความต้องการออกมาอย่างเห็นได้ชัด หนุ่มลูกครึ่งนิ่งค้างอย่างทำอะไรไม่ถูก ไม่คิดไม่ฝันว่าจะต้องมารับลูกอ้อนจากแม่แมวขี้วีนตรงหน้า

              “ไม่ได้ใช่ไหม เข้าใจแล้วผมไปเองก็ได้” น้ำเสียงกึ่งตัดพ้อของคนที่ทำท่าจะลุกจากเตียงทำเอาธานแทบอยากอุ้มให้ตัวลอย

              “ไม่ใช่อย่างงั้นแก้ว ไม่ใช่ อุ้มใช้ไหมล่ะได้อยู่แล้ว เอาฮึบ!”  เพราะกลัวว่าคนท้องจะเปลี่ยนใจจริงคนตัวโตจึงรีบช้อนตัวอุ้มแก้วกล้าในท่าเจ้าหญิงทันที

“ไม่เต็มใจก็ไม่ต้องก็ได้” เสียงอู้อี้ดังลอดมาเบาๆ

              “อะไรที่แก้วขอฉันเต็มใจทำให้ทุกอย่างนั้นแหละ” เขายิ้มให้อีกคนที่เงยมาสบตา

              “จริงเหรอ” แก้วกล้าว่าอยากไม่เชื่อนัก
              “จริงสิ ปะเดี๋ยวฉันอาบน้ำให้นะ”
เขาว่าอารมณ์คนท้องเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลาดูท่าว่าจะจริงแต่ก็ไม่ใช่ว่ามันไม่ดีอะไรเพราะอยากจะบอกว่ามันโคตรจะดีเลยถ้ามันทำให้แก้วกล้าที่มันจะขู่ฟ่อๆใส่เขาตลอกเวลากลายมาเป็นแม่แมวน้อยขี้อ้อนสุดน่ารักของเขาแบบนี้ละก็จะอะไรก็ดีหมดละ.........
 

                  “ลงมาได้แล้วหรือครับพี่ธาน”

                เสียงใสของเกลที่เอ่ยทักเขาเป็นคนแรกทันทีที่เขาพาแก้วกล้าก้าวเข้ามายังห้องทานอาหาร ธารมองน้องชายที่ส่งสายตาล้อเลียนนั้นมาให้เล็กน้อยก่อนจะหันไปสนใจกับการจัดที่นั่งให้กับแก้วกล้าก่อที่ตนจะกลับไปนั่งลงยังที่ของตนเอง

               “ทำไมละพี่แค่ลงมาช้านิดๆหน่อยๆเอง”    เขาว่าอย่างไม่ใส่ใจทั้งที่ในความเป็นจริงแล้วเขาลงมาช้ากว่าปกติเกือบครึ่งชั่วโมง

              “อย่างงั้นหรือครับ” เกลว่าอย่างไม่จริงจังกับคำตอบนั้นของธาร ก่อนจะเบนความสนใจไปหาแก้วกล้าที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามของตนแทน

              “แล้วคุณแก้วละครับหลับสบายดีไหม”

              “ก็ดีครับ”    แก้วกล้าส่งยิ้มกลับไปให้คนถาม

              “จริงสิ แล้วไรอันกับปีแอร์ไปไหนทำไมยังไม่มาที่โต๊ะอีก”

               ธารเอ่ยถามขึ้นหลังจากมองไปทางประตูอยู่หลายครั้งแต่ก็ไม่เห็นวี่แววว่าคนที่ตรงต่อเวลาเสมออย่างไรอันจะเดินเข้ามายังโต๊ะอาหารนี้เสียที

                “ปีแอร์บอกว่า พี่ไรอันรู้สึกไม่ดีเลยขอไปกินในห้องแทนสงสัยจะแพ้หนักล่ะมั้ง”    เกลว่าพร้อมเริ่มลงมือทานข้าวต้มตรงหน้าเป็นคนแรก

                  ธานพยักหน้าเข้าใจก่อนจะลงมือจัดการอาหารตรงหน้าตาม ไรอันกำลังท้องอยู่เรื่องที่จะแพ้ท้องก็เป็นเรื่องปกติแต่บางที่อาการของไรอันก็น่าเป็นห่วง เพราะดูจะแพ้ไปเสียทุกอย่าง

                      มื้อเช้าผ่านไปอย่างง่ายๆไม่มีอะไรมากมายหลังกินอาหารเสร็จเกลขอตัวกลับห้องของตัวเองโดยมีพลคอยดูแลแทนปีแอร์ที่ต้องไปดูไรอันที่มีอาการแพ้ท้องหนักอยู่ที่ห้องด้านล่างของบ้านใหญ่

              “คุณแก้วค่ะ” เสียงป้าแม่บ้านสูงอายุเดินเข้ามาพร้อมถาดที่วางถ้วยยาสีน้ำตาลดำที่ส่งกลิ่นฉุนไปทั่วบริเวณ ทำเอาคนท้องนั่งยู่หน้าทันทีที่ได้กลิ่น

              “หืม ป้าจวนทำไมกลิ่นแรงแบบนี้ละ” ธานถามขณะพิสูจน์กลิ่นในถ้วยที่แรงได้ใจจนต้องหันหน้าหนี

              “ก็มันเป็นสมุนไพรนะสิค่ะ เนี่ยเมื่อวานป้าให้เด็กมันไปซื้อมาให้เห็นว่าบำรุงครรภ์ได้ดีนักแล ป้าเลยรีบตื่นมาตุ๋นยาจีนมาให้คุณแก้วแต่เช้าเลย”

              ป้าแกพูดพร้อมยกมาตรงหน้าคนท้องที่ทำท่าเกรงใจกลัวว่าหากเอ่ยปฏิเสธไปจะเสียน้ำใจคนทำเพราะกว่าจะได้ยาจีนแต่ละหม้อใช้เวลาไม่น้อยเลยยิ่งถ้าต้องตื่นมาทำให้เขาแต่เช้าขนาดนี้ด้วยแล้ว ยิ่งไม่ต้องถามเลยว่าอีกฝ่ายนั้นต้องตื่นตั้งแต่กี่โมง

              “อื๋มม ขม” แก้วกล้ารีบว่างถ้วยลงทันทีเมื่อจิบไปได้เล็กน้อย น้ำสีเข้มรสชาติไม่น่าพึ่งใจสำหรับเขาเสียเท่าไรบวกกับความร้อนที่สัมผัสลิ้นด้วยแล้วคิดว่าคงจะพองเป็นแน่  ไม่กินได้ไหม.......

              “หวานเป็นลมขมเป็นยานะคะ ถือเสียว่าบำรุงเจ้าตัวเล็กแล้วกันค่ะ เพราะป้าดูแล้วคุณแก้วคงจะไม่ได้กินยาบำรุงอะไรมากมายดูสีท้องขนาดนี้แล้วตัวยังเล็กอยู่เลย”

ป้าแกพูดพร้อมบีบจับไปตามแขนเรียวเล็กของคนท้องซึ่งมันก็จริงอย่างที่คนเคยอาบน้ำร้อนมาก่อนว่า แก้วกล้าเองก็ไม่ได้สันหาอะไรมาบำรุงตัวเองมากนักอย่างที่คนแก่ผู้จริงนั้นแหละ เพราะเขาอาศัยแค่ยาบำรุงจากที่หมอจ่ายให้จะมีเพิ่มเติมก็แค่พวกอาหารแต่จะมีช่วงหลังมานี้ที่น้ำหนักเริ่มขึ้นจากการโดนขุนด้วยฝีมือคนตัวโตนั้นแหละ

              “จริงๆ แก้วตัวเล็กมาแถมยังผอมมากด้วย” ธานมองแล้วคิดตาม กอดไม่เต็มมือเลย.......

              “แต่ว่า...”

              “นะแก้วค่อยๆดื่มก็ได้เพื่อลูกไง” คนท้องคิดหนักแต่ก็ยอมจำใจยกยารสขมนั้นขึ้นจิบที่ละน้อยจนหมดถ้วยด้วยความกลัวว่าคนแก่จะเสียแรงใจที่อุตส่าห์ตื่นแต่เช้ามาตุ๋นให้

“เก่งมาก” ธานเอ่ยชมก่อนจะยกชามคืนป้าจวนไป พร้อมกับส่งแก้วน้ำเปล่าและผ้าเช็ดปากไปให้

“แล้วอีกถ้วยละ ผมเห็นป้าถือมาด้วยนิ”

 ธานถามอย่างสงสัยเพราะเมื่อตอนที่เดินเข้ามาเขาจำได้ว่าเห็นถ้วยยาจีนสองถ้วย แต่เมื่อมองกลับไปอีกครั้งกลับไม่พบถ้วยยาขนาดเดียวกันในถาดนั้น

“อ้อ ของคุณไรรี่เขาน่ะค่ะ”  เพราะชื่อของคนสนิทเขาออกเสียงยากไปสำหรับคนแก่ที่ไม่เคยสันทัดเรื่องภาษาอย่างป้าจวน ไรอัลจึงหยวนๆให้ป้าแกเรียกชื่อเล่นของตนได้

“อืมแล้วเป็นไงมั่งล่ะ ผมยังไม่ได้เข้าไปดูเลย”ธานเอ่ยถามอย่างเป็นห่วง ช่วงนี้เขาไม่ค่อยได้เจอหน้าอีกฝ่ายเลยต่างหากทั้งๆที่อยู่บ้านเดียวกันแท้ๆ แต่กลับไม่เจอกันเลยตั้งแต่เขาอนุญาตให้ไรอันหยุดพัก

“ป้าก็ยังไม่ได้ไปดูเหมือนกันค่ะ นี้ให้ยายน้อยเอายาไปให้เดี๋ยวคงกลับมา” ป้าจวนว่าก่อนของตัวออกไปแล้วให้แม่บ้านที่เหลือมาจัดการทำความสะอาดโต๊ะ

ธานพยักหน้ารับก่อนจะพาแก้วกล้าเดินมาขึ้นรถเพื่อไปยังโรงพยาบาลตามที่เขาตกลงกันไว้เมื่อวาน  ทุกอย่างดูปกติหมดจนกระทั้งเข้าห้องตรวจไป

สีหน้าเคร่งเครียดของคุณหมอคนสวยที่นั่งอ่านเอกสารบนโต๊ะอยู่นั้นทำเอาคุณพ่อคุณแม่มือใหม่ทั้งสองที่เพิ่งเดินเข้ามาอดจะรู้สึกกดดันเล็กๆไม่ได้

“ไงบ้างแก้ว สบายดีนะ”  น้ำเสียงที่พยายามปรับให้เป็นโทรนปกตินั้น เอ่ยทักน้องชายคนสนิทอย่างเช่นทุกครั้ง

“สบายดีครับพี่พลอย” หมอพลอยยิ้มก่อนจะหันไปหาธานแทนแล้วจึงพูดต่อ  “งั้นเราเข้าเรื่องเลยดีกว่านะ คุณช่วยเล่ารายละเอียดอีกทีได้ไหมคะ” 

              ธานพยักหน้าก่อนเริ่มเล่าอาการของแก้วกล้าตั้งแต่วันที่อยู่ใต้ไล่มาจนถึงเมื่อเหตุการณ์เมื่อเช้าที่ป้าแม่บ้านของเขาเอ่ยทักว่าคนท้องมีน้ำหนักที่ดูท่าจะน้อยเกินมาตรฐานที่พึงมี

              หมอพลอยจดรายละเอียดตามที่ธานว่าและยิ่งตีหน้าเครียดเข้าไปให้ แต่เพราะลายมือที่หวัดจนอ่านยาบวกกับศัพท์เฉพาะที่คนทั่วไปไม่เข้าใจทำให้ทั้งคู่ไม่ได้ถามหรือพูดอะไรออกไปจน....

            “แก้วมาใกล้ๆพี่หน่อยสิ” คุณหมอสาวพูดหน้าเครียดทำเอาคนท้องเริ่มใจไม่ดีเขยิบเข้ามาไปใกล้ให้พี่หมอสาวตรวจอย่างละเอียดจนได้ผลออกมา

           “แก้วจำได้ไหมที่พี่เคยบอกว่าแก้วมีความเสี่ยงของภาวะ Preeclampsia นะ” พี่หมอถาม ยิ่งตอกย้ำให้แก้วกล้ายิ่งก้มหน้าหนัก

        “  Preeclampsia นี้คืออะไรหรือครับแล้วทำไมแก้วถึงมีความเสี่ยง” ธานถามอย่างร้อนใจขณะกุมมือเล็กๆที่บีบกันแน่นของอีกคนไว้แน่น

        “มันเป็นอาการของครรภ์เป็นพิษค่ะ ถ้าตามที่คุณเล่ามาเป็นจริงที่ว่าแก้วมีอาการปวดหัวแล้วก็ตาพร่าแล้วละก็ ถือว่าแก้วมีความเสี่ยงที่สูงมาที่จะมีการคลอดก่อนกำหนด ดูนี้” หล่อนว่าพร้อมส่งบางอย่างให้คนทั้งคู่ได้ดู

          “ความดันของแก้วถึงจะไม่สูงถึงขนาดเกณฑ์ที่จะเข้าขั้นที่จะกลายเป็นภาวะ Eclampsi แต่ก็ยังถือว่าสูงกว่าปกติอยู่ดี” คุณหมออธิบาย

         “แล้ว แล้วลูกของแก้วจะเป็นอะไรไหม ” แก้วกล้าว่าเสียงสั่นอย่างใจเสีย

        “เจ้าตัวเล็กนะแข็งแรงดี ไอ้ที่น่าเป็นห่วงนะคือตัวเรานั้นแหละแก้ว” คุณหมอเว้นวรรคถอนหายใจ

        “ไม่ต้องห่วงเท้งนะเพราะอายุครรภ์ของเรานะเกิน 25 สัปดาห์มาแล้วเปอร์เซ็นต์การรอดชีวิตของเจ้าตัวเล็กมีสูงมากไม่มีทางเป็นอะไรง่ายๆแน่นอน” หล่อนพูดปลอบ

         “จริงนะพี่พลอย” แก้วกล้าพูดอย่างมีหวังขณะบีบมือของอีกคนแรงขึ้น

          “แน่นอนสิพี่เป็นหมอพี่ไม่โกหกหรอก แต่เราต้องดูแลตัวเองดีๆเข้าใจไหม”  แก้วกล้าพยักหน้า

           “ดีมาก อะเอานี้ไปอ่านนะเดี๋ยวเรื่องยาบำรุงพี่จัดการให้นอกนั้นก็ไม่มีอะไรแล้วเจอกันอาทิตย์หน้าเลยละกันนะ”  พี่หมอว่าพลางเขียนบัตรนัดและตัวยาต่างๆก่อนส่งให้พยาบาลผู้ช่วยนำออกไปด้านนอก

           หมอพลอยแนะเรื่องการดูแลตัวเองของคุณแม่ใกล้คลอดให้ทั้งคู่ฟังอีกเล็กน้อยก่อนที่ธานพาแก้วกล้าออกมารอรับยาและบัตรนัดที่ล็อบบี้ โดยธานมักจะลอบสังเกตคนข้างๆที่เริ่มตีหน้าเครียดอยู่บ่อยครั้งอย่างเป็นกังวล

           “หมอบอกไม่ให้เครียดไม่ใช่หรือครับ” ธานเอ่ยทัก

           “ก็ผมกลัว ถ้าคลอดก่อนกำหนดลูกจะเป็นอะไรหรือเปล่า” ธานถอนหายใจ ก่อนจะเอื้อมแขนโอบอีกฝ่ายให้เข้ามาใกล้ๆ

           “ฉันอยู่นี้แล้วไง ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นลูกจะต้องปลอดภัยเชื่อฉันสิ”

           “แต่ว่า.....”

           “ไม่เอาสิ ถ้าแก้วมั่วแต่คิดมากอยู่อย่างงี้ลูกก็จะพลอยเครียดตามไปด้วยนะ”

           “ขอบคุณนะครับ”

           “ขอบคุณเรื่องอะไรกัน ลูกแก้วก็คือลูกของฉันฉันก็ต้องรักและดูแลให้ดีที่สุดสิ” ธานพูดอย่างรู้ความหมาย

           “อีกอย่างนะ เพราะแก้วคือคนที่ฉันรักฉันจะไม่ยอมให้แก้วเป็นอะไรไปแน่นอนฉันสัญญา” 

           หลังจากจัดการธุระเรื่องบัตรนัดและฟังรายละเอียดเรื่องการดูแลครรภ์ที่เสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนและการคลอดก่อนกำหนดจากพยาบาลเพิ่มเติมแล้วธานก็พาแก้วกล้าบ้าน

           “อาทิตย์หน้าที่หมอพลอบนัดเราลองให้เขาอัลตราซาวลูกดีไหม”   ธานเอ่ยทักขึ้นทำลายความเงียบที่คนท้องสร้างขึ้นตั้งแต่ออกจากโรงพยาบาลมาจนตอนนี้พวกเขาสองคนนั่งอยู่ที่สนามหญ้าหลังบ้านก็เอาแต่นั่งเงียบจนเขาเอร่มเป็นกังวล

           แก้วกล้าหันมามองคนที่เอ่ยถามเมื่อครู่ก่อนจะส่ายหน้าน้อยๆเป็นเชิงปฏิเสธก่อนจะหันกลับไปมองในเขียวๆของต้นสนเล็กที่วางเรียงเป็นแถวยาวเพื่อแบ่งเขตพื้นที่ส่วนตัวของเจ้าบ้านและเขตเรือนพักของแม่บ้านและการ์ดที่อยู่ด้านหลังอย่างเป็นสัดส่วน

           “ทำไมละ แก้วไม่อยากเห็นหน้าลูกหรอ”

           คนตัวโตถามอย่างแคลงใจก่อนนั่งลงข้างๆอีกฝ่ายอย่างรอคำตอบ  ที่เขาถามแบบนี้ก็เพราะว่าบางที่หากแก้วของเขาได้เห็นหน้าลูกอาจมีกำลังใจเพิ่มมากขึ้นถ้าได้รู้ว่าเจ้าตัวเล็กนั้นแข็งแรงดี

           “อยากเก็บเอาไว้รอวันที่ได้เจอหน้าเขาจริงๆ ไม่ว่าเขาจะเป็นอย่างไรเขาก็เป็นลูกของผม ขอแค่เขาเกิดมาอย่างปลอดภัย แค่นั้น แค่นั้นจริงๆที่ผมต้องการ”  น้ำเสียงแผ่วเบาที่สั่นเครือของอีกคนทำเอาหัวใจคนฟังรู้สึกเจ็บจนอดไม่ได้ที่จะรั้งให้เข้ามาอยู่ในอ้อมแขน  เขาไม่ได้ตั้งใจพูดไปเพื่อสะกิดใจของอีกคน....

           “ไม่เอาสิแก้วไม่ร้องเดี๋ยวลูกจะพลอยเศร้าไปด้วย” เขาปลอบ

           “เชื่อฉันสิแก้ว ลูกของเราจะต้องปลอดภัย เอางี้ไหมพรุ่งนี้เราไปซื้อของให้เจ้าตัวเล็กกันดีไมถึงจะยังไม่รู้ว่าจะเป็นชายหรือหญิงแต่ลงเลือกสีกลางๆไปก่อน เอาแค่ของที่พอจำเป็นก่อนพอคลอดแล้วค่อยซื้อเพิ่มดีไม”   

           แก้วกล้าพยักหน้าน้อยๆเป็นเชิงตกลง

           ทั้งคู่นั่งอยู่ตรงนั้นอีกสักพักก็พากันกลับเข้าไปในบ้านเมื่อแสงแดดเริ่มแรงขึ้นมาเวลาจนต้นไม้รอบๆไม่อาจต้านไว้ได้

           แก้วกล้านั่งอยู่ที่ห้องนั่งเล่นโดยมีน้อยกับป้าจวนป้าแม่บ้านอาวุโสประจำบ้านที่เมื่อเช้าได้เอายาจีนมาให้นั่งบีบนวดขาให้แก้วกล้าอยู่ข้างๆ แม้ตอนแรกเจ้าตัวจะปฏิเสธเพราะด้วยอายุที่อีกฝ่ายมีมันคงจะดูไม่ดีที่คนที่อายุมากกว่าจะมาบีบจับขาให้คนที่อ่อนอายุกว่า แต่ป้าจันแกก็หว่านล้อมไปว่าทำให้น้อยดูเป็นตัวอย่างแก้วกล้าถึงได้ยอม

           ธานเองอยู่ดูได้เพียงแค่ครู่เดียวก็ขอตัวออกมารับสายโทรศัพท์จากลูกน้องที่โทรเข้ามารายงานถึงการตรวจเช็คสินค้าที่ต้องเตรียมจัดส่งให้ลูกค้าในวันจันทร์ว่าครบสมบูรณ์ตามที่ตกลงกันไว้หรือไม่ พอวางสายไปการสนทนาไปแล้วนั้นเขาก็ตั้งใจว่าจะกลับเข้าไปที่ห้องนั่งเล่นต่อเพื่อว่าจะไปศึกษาวิธีนวดเอาไว้บางเพื่อว่าคืนนี้จะได้ลองวิชาเสียดูเองเสียหน่อย แต่กลับถูกเรียกเอาไว้ก่อน

           “ธาน เห็นปีแอร์ไหม”    เป็นหนุ่มอังกฤษตัวโปร่งที่ตลอดหลายวันมานี้เขาแทบจะไม่ได้เห็นหน้าคาดตากันเลย เอ่ยเรียกเขาไว้พร้อมถามถึงคนที่กำลังตามหา

           “ไม่เห็นตั้งแต่กลับมานะ ว่าแต่นายเถอะออกมาเดินแบบนี้ไหวแล้วหรือไง” เขาว่าพรางมองสำรวจคนสนิทที่พ่วงตำแหน่งเพื่อนวัยเด็กที่หน้าตาดูซีดเซียวกว่าปกติ ที่เดินสะโหลสะแหลจนอดกลัวที่จะล้มลงไปไม่ได้

           “ดีขึ้นมาหน่อยแล้ว” ไรอันว่าพร้อมสอดส่องสายตามองหาเจ้าเด็กโข่งที่เป็นตัวการที่ทำให้เขาต้องมีสภาพเช่นนี้  ธานมองคนตรงหน้าก่อนจะเริ่มถามไถ่ถึงอาการที่เป็นอยู่เพราะเวลาที่เขาจะไปหาอีกคนที่ห้องก็ต้องมีเหตุให้คาดกับตลอดอย่างเช่นพอเขาว่างจะไปอีกคนก็หลับไปแล้วอย่างนี้แทน

              “ดาร์ลิ่งจ๋า!! “ เสียงของเจ้าตัวที่เป็นหัวข้อสนทนาเมื่อครู่ดังขึ้นมาจากทางหน้าบ้านทำให้คนทั้งสองที่คุยกันอยู่ต้องหันกลับไปมองเจ้าหนุ่มฝรั่งเศสหน้าเป็นที่หอบหิ้วถุงที่สกรีนชื่อหนังสืออย่างเด่นหลาพร้อมถุงเล็กๆอีกสองสามถุง วิ่งเข้ามาทั้งกอดทั้งหอม ดาร์ลิง ของตัวเองอย่างไม่แคร์เลยว่าบุคคลที่สามที่ยื่นอยู่ด้วยมีศักดิ์เป็นถึงเจ้านาย

           “ออกมาจากห้องทำไม ดูสิหน้ายังซีดอยู่เลย” ปีแอร์เลือกที่จะพูดกับคนรักเป็นภาษาอังกฤษด้วยความเอาใจ  พร้อมโอบประคองกอดเอาไว้ไม่ยอมปล่อย

           “บอสจะใช้งานอะไรดาร์ลิงของผมไม่ได้นะ เพราะในนี้มีเบบี้อยู่” พูดพร้อมเอามือลูบไปที่หน้าท้องที่ยังแบนราบของไรอัน

           “ถ้าบอสใช้งานดาร์ลิ่งของผมหนักจนดาร์ลิ่งกับเบบี้น้อยของผมเป็นอะไรไปละก็ผมจะฟ้องแกลลี่จริงๆด้วย”

           คำพูดที่ดูเหมือนจะเป็นการข่มขู่ที่พูดบ่อยจนเขาจำมันได้ขึ้นใจนั้น ให้คนฟังถึงกับกรอกตาไปมาอย่างเอือมระอากับคำพูดย้ำคิดย้ำทำของเจ้าขี้อวดตรงหน้า ที่ชอบยกเอาน้องน้อยสุดที่รักเขามาอ้างทุกครั้งที่เจอหน้าแบบนี้ นี้คิดว่าเขากลัวหรือไง เหอะ ใช่มันคิดถูก เขากลัวน้อง  จบไหม...........................
_________________________________________________________________



กลับมาอัพตามปกติแล้วเด้ออออออออออ
หลังจากวนเวียนอยู่แต่กับร้านซ้อมคอมมาอย่างยาวนานในที่สุดเราก็กลับมาแบ้ว

เพื่อนๆหลายคนถามเข้ามาว่านิยายจะอัพจนจบก่อนปิดจองไหม?
ลงจนจบแน่นอนค่ะ

และเพื่อเป็นการไถ่โทษที่หายไปทีเป็นอาทิตย์ เราจะอัพวันละสองตอนไปเลย!!!

ขอบคุณที่ติดตามนะคะ

ออฟไลน์ wavery

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 124
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-2
ฝนหยดที่ 17


 รถยนต์ส่วนตัวของธานแล่นออกไปบ้านนานแล้วแต่สายตาของเกลยังคงจับจ้องไปตามทางของบ้านอยู่อย่างนั้นก่อนจะหันกลับมาสนใจหนังสือวรรณกรรมในมือที่อ่านค้างเอาไว้ต่อ

           ทั้งที่วันนี้เขาควรจะได้ใช่เวลากับครอบครัวแท้ๆ แต่ทุกอย่างกลับต้องพังลงเพราะน้ำมือของคนที่เขาทั้งเกลียดทั้งกลัวสุดขั้วหัวใจแบบนี้ ยิ่งคิดยิ่งทำให้อ่านไม่รู้เรื่อง สุดท้ายก็ต้องปิดมันลงอย่างเสียไม่ได้

           น่าเบื่อ........................

           ร่างโปร่งบางถอดถอนลมหายใจอย่างเบื่อหน่ายออกมาเป็นระยะแม้จะมีเจ้าแมวตัวโปรดที่เดินไปเดินมาเรียกร้องความสนใจของเขาอยู่ไม่ห่างนั้นก็ไม่ได้ช่วยให้รู้สึกดีขึ้นเลยสักนิด  แล้วป่านนี้สองพ่อลูกนั้นกำลังทำอะไรกันอยู่นะ อยากรู้จริง.....

           เขานั่งเหม่อลอยออกไปเรื่อยๆโดยไม่ได้โฟกัสสายตาไปที่ได้เป็นสำคัญ มองไปเท่าที่สายตาของเขาจะมองเห็น แต่แล้วอยู่ๆภาพต้นไม้ใบหญ้าตรงหน้าของเขาก็หายไปแล้วถูกแทนที่ด้วยความมืดจนเผลอสะดุ้งออกมาอย่างตกใจ

             “ทายสิใครเอ่ย”

           เสียงเจื้อยแจ้วที่พยายามเล่นคำทานนั้นทำให้อดระบายยิ้มอย่างดีใจออกมาไม่ได้ ยิ่งพอปลายนิ้วเรียวของเขาไล่จับไปตามแขนนุ่มเล็กนั้นไปเรื่อยๆนั้นแล้วก็ยิ่งทำให้รอยยิ้มนั้นกว้างมากขึ้นตาม

           “นั้นสิ ใครกันนะ”

           เกรทหันไปยิ้มให้คุณพ่อที่ยืนมองมาทางเขาและคุณแม่คนสวยของเขาที่ตอนนี้ถูกจากฝ่ามือนุ่มน้อยปิดเข้ากับเปลือกตาทั้งสองเอาไว้ ทีแรกเกรทเข้าใจว่าวันนี้เขาจะได้ไปเที่ยวสวนน้ำตามที่เคยเปรยๆให้คุณพ่อฟังเสียอีก แต่พอเห็นประตูรั้วที่คุ้นเคยนั้น อย่างน้อยวันหยุดเขาก็ยังได้อยู่กันคุณแม่ก็ถือว่าหายกันก็แล้วกันเนอะ

           แต่สงสัยเด็กน้อยจะเผลอเล่อมาไปหน่อยทำให้ไม่ทันระวังตัวโดนท่อนแขนเรียวของคนที่บิดตัวกลับมาหารวบเอาไว้จนร่างเล็กๆนั้นเซถลามาอยู่ในอ้อมกอดบนตักของเกลที่ตอนนี้สายตากลับมามองเห็นอีกครั้ง

           “น้องเกรทของแม่นี้เอง”

           เขาว่าก่อนฟัดแก้มกลมยุ้ยนั้นไปมาจนเสียงหัวเราะเอิ๊กอ๊ากนั้นดังไปทั่วห้อง พลางเหลือบตามองขึ้นมามองคนที่ยังยืนพิงบานประตูห้องของเขาอยู่อย่างนั้นอย่างดีใจเชิงขอบคุณ

           “ฮ่าฮ่า คุณแม่ขี้โกง”

           เกรทยกมือสองข้างขึ้นปิดแก้วแดงๆที่ผ่านสมรภูมิการโดนฟัดมาเมื่อครู่ แม้จะบ่นว่าอีกคนโกงแต่เด็กน้อยกลับเอาหัวซนกันอกของคนขี้โกงเอาไว้ไม่ห่าง

           “แม่ไม่ได้ขี้โกงสักหน่อย เกรทไม่ระวังตัวเองต่างหาก”  เขาว่าก่อนจะจับลูกชายให้นั่งบนตักของเขาดีๆ

           “แล้วทำไมมากันแต่เช้าเลยละครับวันนี้”   เขาถามพลางมองชิตรัตน์ที่ก้าวเดินมานั่งที่เก้าอี้บุหนังด้านข้างที่อุ้มเจ้าเน็ตตี้ที่โดนจากตักของเขาไปตั้งแต่ที่เกรทเข้ามา มาอุ้มเอาไว้แทน

           “คิดถึงเลยมาหา ไม่ได้หรอครับ”

           “ให้มันจริงเถอะครับ”   เกลอมยิ้มจนแก้มปวด ผิดกับชิตรัตน์ที่ยิ้มยิงฟันขาวอยู่ไม่ไกล

           “จริงอยู่แล้วครับ” เขาตอบ

           “คุณแม่ ไปเล่นน้ำกันเถอะ”

           เกรทเงยหน้าขึ้นมองพร้อมเขย่าแขนของเกลเป็นเชิงขอร้องไปด้วย  เกลมองหน้าลูกชายสลับกับคนรักเล็กน้อย ก็เขาใจอยู่นะว่าลูกชายที่แสนน่ารักของเขาอยากไปเล่นน้ำที่สวนน้ำแล้วพอไม่ได้ไปจะเปลี่ยนมาเล่นที่นี้กับเขาก็ไม่ได้ว่าอะไร แต่ว่าอย่างว่าแต่เดินเลยแค่จะลุกขึ้นยืนเขายังต้องให้คนอื่นคอยช่วยพยุงเลย แล้วจะให้เขาไปเล่นน้ำแบบนี้เขาไม่จบน้ำหรือยังไง ตัวเขาเองก็ไม่อยากขัดความตังใจของลูกชายที่พยายามส่งสายตาลูกอ้อนนั้นมาให้เขาด้วย

           “ก็ได้ครับ เดี๋ยวไปตามปีแอร์กับคนอื่นๆมาเล่นด้วยดีไหมครับ”

           สุดท้ายพอปฏิเสธสายตานั้นไม่ได้เขาก็ดันเผลอตอบตกลงไป ส่วนเกรทก็ตะโดดดีใจไปตามประสาเด็กที่ได้สิ่งที่ต้องการก่อนจะขอตัววิ่งไปตามปีแอร์ที่ห้องเพื่อจะได้เล่นน้ำ

           แต่ถึงเกลจะตอบตกลงว่าจะเล่นน้ำไปแต่ในความเป็นจริงแล้วเขาก็ทำแค่นั่งตีขาไปมาอยู่ที่ขอบสระเท่านั้นส่วนคนที่เล่นจริงๆก็คงจะมีแค่สองพ่อลูกกับปีแอร์เท่านั้นที่ลงเล่นอยู่ในสระกว้างนั้น จะมีบางที่ทั้งสามจะหันเข็มรวมหัวกันมาแกล้งเขาจนเปียกไปทั้งตัว และกว่าพลังงานอันล้นเหลือของปีแอร์และเกรทจะหมดก็เล่นเอาคนที่แก่ที่สุดอย่างชิตรัตน์ต้องว่ายกลับเข้าฝั่งไปพักหายใจอยู่หลายรอบ

           สำหรับเขาแล้วมันไม่จำเป็นหรอกว่าจะต้องลงไปเล่นด้วยกันเพราะแค่นั่งมองจากตรงนี้ได้เห็นรอยยิ้มสดใสที่ดูสนุกสนานนั้นอยู่ที่ตรงนี้เขาก็มีความสุขมากพอแล้ว

 
           จนคล้อยบ่ายที่แดดเริ่มแรงถึงจะยอมเลิกกันแม้เจ้าตัวเล็กจะมีงอแงบ้างแต่สุดท้ายพอถูกจับอาบน้ำปะแป้งใหม่เสร็จก็หลับไม่รู้เรื่องไปเลยเป็นคนแรก

           “ลูกหลับแล้วหรอ”

           เกลละสายตาจากใบหน้าไร้เดียงสาที่กำลังหลังตาพริ้มอยู่ข้างๆหันเงยไปมองคนถามที่กำลังเดินออกมาจากประตูห้องน้ำ เขาส่งยิ้มให้แทนคำตอบของคำถามนั้นแล้วหันกลับมามองหน้าลูกชายตัวน้องอีกครั้ง  ชิตรัตน์มองทั้งคู่เล็กน้อยก่อนจะเดินอ้อมไปอีกฝั่งของเตียงแล้วล้มตัวนอนข้างๆลูกชายที่อยู่อีกฝั่งกับเกล พอได้ล้มตัวลงเอนกายลงกับที่นอนนุ่มสบายหลังจากไปปล่อยพลังเกินอายุไปเมื่อครู่แบบนี้แล้วก็พลอยทำให้อยากจะหลับเอาเสียดื้อๆ และไม่นานชิตรัตน์ก็หลับตามลูกชายไปอย่างรวดเร็ว ทิ้งให้คนที่เท้าแขนนอนมองสองพ่อลูกที่พากันหลับนี้ไปนั้นหลุดยิ้มออกมา

           “คงจะเหนื่อยสินะ”

           เกลพูดออกมาพร้อมเลิกผ้าห่มที่พาดบนช่วงท้องของเกรทให้ขึ้นมาปิดอกแล้วตบลงไปตรงนั้นเบาๆ เหมือนกล่อมให้เด็กน้อยดำดิ่งสู่นิทราลึกกว่าเดิม โดยไม่ลืมที่จะทำแบบเดียวกันนี้ให้กับชิตรัตน์ที่นอนอยู่อีกฝั่งด้วยเช่นกัน

           “คุณกำลังยิ้ม”

           เสียงทักของชายดังขึ้นไม่มากนักเรียกให้เกลเงยหน้าไปมองคนที่เปิดประตูเดินเข้ามาในห้องเขาดื้อๆ แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่ได้ว่าอะไรแถมยังส่งยิ้มกลับไปให้อีกด้วย

           “เกลมีความสุข เกลก็ต้องยิ้มสิครับพี่ชาย” ชายยิ้มตามคนเป็นนายที่กำลังทอดมองใบหน้ายามหลับของคนทั้งสองบนเตียงนอนอย่างรักใคร่  ดีจริงๆ........

           “พี่ดีใจที่คุณกลับมายิ้มแบบนี้ได้อีกครั้ง”  เพราะมันนานมากแล้วที่เขาไม่ได้เห็นเกลยิ้มทั้งใบหน้าและหัวใจแบบนี้ แบบนี้ละดีแล้วเจ้านายของเขาเหมาะกับรอยยิ้มมากกว่ารอยน้ำตา

           คลืก คลืก

           ชายปลายตามองต้นเสียงอันเกิดมาจากแรงสั่นสะเทือนของโทรศัพท์มือถือที่วางอยู่บนโต๊ะข้างเตียงจนเกิดเสียง ก่อนจะหันไปมองเกลที่มองตามสายตาของเขามาที่จุดเดียวกัน

           “ใครโทรเข้ามาหรอครับ”

           “น่าจะเป็นคุณหญิงโฉมฉวีนะครับ”   ก็ถ้าโทรศัพท์เครื่องนี้เป็นของชิตรัตน์แล้วล่ะก็ แม่ ในที่นี้ก็คงจะหมายถึงคุณหญิงปีศาจนั้นเป็นแน่

           “เอามาให้เกล”

           ดวงตาสีน้ำตาลวาวประกายขึ้นมาทันทีที่พี่เลี้ยงคนสนิทของตนบอกว่าใครที่เป็นคนโทรเข้ามา  เกลรับโทรศัพท์เครื่องนั้นมาไว้ในมือก่อนจะจงใจกดตัดสายไปเสียดื้อๆ เขาก็แค่เอามาดูเพื่อความแน่ใจเท่านั้นเองว่าจะใช่ตามที่บอกหรือไม่ ก่อนจะขอให้ชายพาตนออกมาจากห้องเพื่อที่ว่าสิ่งที่เขาจะทำต่อจากนี้จะไม่เป็นการรบกวนกานนอนของคนที่รักทั้งสอง

           คลืก คลืก

           ไม่ผิดไปจากที่คิด.......

           ปลายสายคนเดิมที่โทรเข้ามาเมื่อครู่ที่โดนตัดสายไปนั้นโทรกลับมาอีกครั้งตามที่เกลคิดเอาไว้ เขารออย่างใจเย็นก่อนจะกดรับสายนั้นในนาทีสุดท้ายก่อนที่สายจะตัดไป

           // ฮัลโหล     ตาชิน นี้แกอยู่ไหนออกไปตั้งแต่เช้าเมื่อไรจะกลับ // 

           น้ำเสียงที่แสดงออกว่าไม่สบอารมณ์เป็นอย่างมากของคนปลายสายที่ไม่ต้องเดาเขาก็พอจะรู้ได้ว่าเป็นใคร เพราะแค่เสียงแว้ดแหลมที่ดังออกมาก็เผลอทำให้มือข้างที่ถือโทรศัพท์อยู่นั้นกำแน่นจนสั่นไปหมด หัวใจก็เริ่มเต้นแรงมากขึ้นกว่าปกติจนเจ็บอก

           “.....”

           // ฮัลโหล นี้แกได้ยินที่ฉันถามไหม? เมื่อไรจะกลับ นี้ฉันไม่ได้กลับมาเพื่ออยู่บ้านคนเดียวหรอกนะ//

           “....”

           “ตาชิน !!”

           เกลถึงกับเผลอสะดุ้งเฮือกอย่างแรงเมื่อเจอเข้ากับเสียงตะคอกของคุณหญิง ทำเอาชายที่ยืนมองอยู่แทบอยากจะเข้าไปหยิบเอาโทรศัพท์นั้นมาคุยเองเสียให้รู้แล้วรู้รอด

               “พี่ชินนอนหลับอยู่นะครับ”

           เกลตอบเสียงสั่นอย่างเห็นได้ชัด นี้ขนาดได้ยินแต่เสียงเขายังเป็นขนาดนี้แล้วถ้าเจอตัวจริงล่ะ...... ไม่ได้นะ  เขาเลือกแล้วที่จะไปเจอเองจะให้มาล่มเพราะเขาเองแบบนี้ได้

           // ... //

           “...”

           // นั่นแกเป็นใคร //

           คำถามห้วนๆบ่นแปลกใจที่ถามกลับมาหลังจากเว้นช่วงให้เขาได้พอมีเวลาปรับลมหายใจให้กลับมาเป็นปกติอีกครั้ง ก่อนจะตอบคำถามนั้นกลับไป

           “ไม่เจอกันนานขนาดที่ว่าคุณหญิงถึงกับลืมผมไปเลยหรอครับ”

           // !!! //

           “อย่างว่าล่ะนะครับ คนแก่มักจะเละเลือนคุณหญิงเองก็อายุมากแล้วจะหลงๆลืมไปก็ใช่เรื่องแปลก”  พอตั้งตัวได้ใหม่เขาก็เริ่มเปิดฉากไล่ต้อนอีกฝ่ายก่อนทันทีไม่ให้เสียเวลา

           // นี้แก! //  เกลลอบยิ้มออกมาเมื่อเข้าใจว่าอีกคนน่าจะรู้แล้วว่าเป็นเขาที่รับโทรศัพท์ของชิตรัตน์

           “ทำไมคุณหญิงชอบเสียงดังจังเลยครับ เพราะงี้หรือเปล่าทั้งลูกทั้งหลานถึงไม่อยากจะอยู่ใกล้”

           // อ๊ายยยยยย! เป็นแกจริงๆด้วยไอ้แพศยา //

           คำสบประมาทเมื่อครู่ทำเอาเกลถึงกับขบกรามแน่นจนเอ็นขึ้นอย่างไม่พอใจ  เห็นอย่างนี้เขาก็หยิ่งในศักดิ์ศรีเหมือนกันและเขาเองก็ไม่ชอบเวลาที่ต้องถูกใครมาตราหน้าด้วยถ้วยคำหยาบคายแบบนี้เช่นกัน

           //แกเอาลูกกับหลานฉันไปกกไว้ที่ไหน เอาตาชินกันกับตาเกรทคืนมาเดี๋ยวนี้เลยนะ//  คุณหญิงร้องสั่ง แต่มีหรือที่คนอย่างเขาจะยอมง่ายๆ 

           “คงไม่ได้หรอกครับ ผมบอกแล้วไงว่า สามีกับลูก  ผมนอนหลับอยู่เดี๋ยวตื่นแล้วผมจะบอกให้กลับไปหาคุณหญิงเองนะครับ”

           เขาจงใจเน้นความสัมพันธ์เมื่อครู่เพื่อบอกให้อีกฝ่ายรับรู้ถึงฐานะของตนที่มีอยู่ ตอนนี้เขาถือไพ่เหนือกว่าคุณหญิงแล้ว และเขาก็จะไม่ยอมโดนแย่งอะไรไปอีกเหมือนกัน

           //กรี๊ดดดดดดดดด  แก แกกล้าดียังไงมาเรียกตาชินกับตาเกรทแบบนั้น//  เขาแค่พูดความจริงเองทำไมต้องทำเหมือนว่าเขาทำอะไรผิดแบบนั้นด้วย บ้าบอ.......

           “ก็ผมพูดความจริงนิครับ ถ้าไม่มีอะไรแล้วผมขอตัวไปดูพี่ชินกับลูกก่อนแล้วเจอกันครับคุณหญิง”

           เกลตัดสายทันทีที่พูดจบโดยไม่รอให้คุณหญิงได้มีโอกาสมากรีดร้องใส่หูหรือพ่นคำด่าว่าอะไรมากกว่านี้ให้ระคายหูของเขาเพิ่ม พร้อมจัดการกดปิดทั้งระบบเสียงและระบบสั่นทันที ผิดกับร่างกายเขาลิบลับที่ยังคงสั่นไม่หาย

           “ไหวหรือเปล่าครับ" ชายที่มองดูอยู่นานเดินเข้ามานั่งยองลงตรงหน้าของเกลพร้อมถามไถ่อย่างเป็นห่วง ดูสิหน้าซีดตัวสั่นไปหมดแล้วเด็กน้อยของพี่ชาย...

           “เกลไหว ยังไหวอยู่”

           ไม่จริงหรอ.... ชายค้านกับตัวเองพร้อมหยิบเอาโทรศัพท์ที่แม้จะไม่มีเสียงและแรงสั่นแต่หากหน้าจอกับสว่างแสดงให้เห็นว่ายังมีใครพยายามโทรเข้ามาอยู่ไม่ขาด ชายตัดสินใจพาเกลกลับเข้าไปในห้องตามเดิมอย่างน้อยเขาก็คิดว่าการที่เกลยังเห็นว่าทั้งสองคนนั้นยังอยู่ด้วยกันกับอีกคนจะทำให้เกลรู้สึกดีขึ้นได้บ้าง และก็เป็นจริงตามคาดพอเขาประคองให้คนตัวบางย้ายร่างจากวีลแชร์มายังเตียงนอนเกลก็ไม่รีรอที่จะโถมกายเข้ากอดลูกชายกับคนรักเอาไว้แน่นอย่างกลัวว่าหากปล่อยมือไปแล้วสองคนนี้จะสลายหายไปต่อหน้า

....................................................................................

     
   :serius2:

ออฟไลน์ wavery

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 124
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-2

:m31:

   หลังจากเหตุการณ์ปะทะคารมกับผ่านโทรศัพท์ของเกลกับคุณหญิงเมื่อวานที่ทำเอาคนเป็นพี่อย่างธานที่พอทราบเรื่องก็ลมแทบจับกับอาการของน้องที่ชายเล่าให้ฟัง ส่วนชิตรัตน์ก็ยกมือกุมขมับกับคำบอกเล่าที่เหมือนหนังคละม้วนชองคนรักกับมารดาจนชายหนุ่มไม่รู้ว่าใครกันแน่ที่พูดเท็จหรือกล่าวเกินจริง

           และในที่สุดก็ถึงเวลาที่เกลจะได้เจอกันคุณหญิงอีกครั้งเสียที   ในเวลาช่วงสายแก่ๆของวันอาทิตย์ที่ธานได้ตกลงเป็นคนนัดเวลาว่าจะไปเยี่ยมเยือนบ้านของชิตรัตน์ตามคำเชิญของคุณหญิงโฉมฉวี แม้ธานอยากจะโทรไปยกเลิกคำชวนนั้นใจจะขาดด้วยกลัวว่าอาการของน้องเขาจะแย่ลงไปมากกว่าเดิม แต่ในเมื่อเจ้าตัวดึงดันที่จะไปให้ได้เขาเองก็คงต้องเตรียมตัวเพื่อรับมือกับสถานการณ์ที่ไม่คาดคิดเอาไว้ให้รอบคอบมากยิ่งขึ้น

           “น้องเกลแน่ใจแล้วจริงๆใช่ไหมที่จะไป”

           ธานถามย้ำเพื่อความมั่นใจอีกครั้ง แม้ว่าตอนนี้พวกเขาใกล้ที่จะถึงบ้านของชิตรัตน์แล้วก็ตาม ขอแค่เกลพูดมาคำเดียวว่า จะกลับ เขาก็พร้อมที่จะสั่งให้พลตีรถกลับบ้านทันทีเหมือนกัน

           “มาถึงขนาดนี้แล้วยังจะถามอีกหรือครับ”

           เกลถามกลับ เขาเตรียมตัวเตรียมใจมาแล้วและเขาจะไม่ย้อมหันหลังกลับเด็ดขาดจนกว่าสิ่งที่เขาต้องการมันจะมาอยู่ในมือของเขาตามที่ปรารถนา

           “แต่พี่เป็นห่วง”

           “ไม่ไต้องกังวลไปนะครับ พี่ชายพี่พลและก็ปีแอร์ก็อยู่ไม่มีใครทำอะไรน้องได้หรอก”

           เขาสอดมือข้างหนึ่งเข้าไปที่ช่วงแขนหนานั้นเอามากอดไว้พร้อมกับซบลงกับไหล่กว้าง ไม่มีใครเป็นห่วงเขาได้มากเท่าพี่ชายของเขาอีกแล้วจริงๆ.......

            ธานมองน้องชายนิดๆก่อนจะผ่อนลมหายใจออกมาอย่างแรงอย่างคนคิดไม่ตก ถึงแม้บอร์ดี้การ์ดของเจ้าตัวจะมากันครบองค์ก็เถอะแต่ก็ไม่มีใครรับประกันนิว่าจะไม่มีเรื่องอะไรที่มันเกินเลยเกิดขึ้น

            บรรยากาศทั้งรถตกมาอยู่ในความเงียบทันทีเมื่อธานเริ่มที่จะจมอยู่กับความคิดต่างๆในหัวทั้งที่ใครต่อใครก็มักจะบอกว่าเขาคืออัจฉริยะสามารถแก้ไขเกมทางธุรกิจได้อย่างเฉียบขาดแต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่เคยแก้ไขปัญหาของตัวเขาเองได้เลยสักครั้ง โดยเฉพาะเรื่องของเกล เขาไม่เข้าใจว่าทำไม ทั้งๆที่กลัวขนาดนั้นแต่ยังดึงดันที่จะมาให้ได้หรือจะเป็นเพราะสมุดบันทึกของหลานชายคนเดียวที่เกลเอามามอบให้เขาวันนั้น ทั้งที่เขาคิดว่ามันจะเป็นแค่ไดอารี่ธรรมดาของเด็กวัยห้าขวบที่ชีวิตควรจะมีแต่ความสุขสนุกสนานไปตามช่วงวัย แต่ทำไมบางหน้ากระดาษของสมุดที่เขาเปิดอ่านมันถึงได้มีรอยคาบน้ำตาหยดและเนื้อความที่ดูเศร้าแบบนั้น

           ยิ่งคิดก็ยิ่งเครียดพอเครียดก็พาลให้คิดอะไรไม่ออก แต่กว่าจะทำสมองให้ว่างเพื่อที่จะได้หาทางรับมือกับสิ่งที่เป็นอยู่ในปัจจุบันได้นั้นเขาก็พบว่าตอนนี้ล้อรถที่เขากำลังนั่งอยู่นั้นได้หยุดสนิทอยู่ตรงทางเข้าบ้านของเจ้าภาพมื้ออาหารคืนนี้เสียแล้ว

           “สวัสดีครับคุณธาน”

              ชิตรัตน์เอ่ยทักทายแขกทันทีที่ระบบประตูอัตโนมัติของรถคันใหญ่เปิดออกจนสุด ธานมองหน้าของชิตรัตน์อย่างพิจารณาใช่ความคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะ ขานรับในลำคอแล้วก้าวออกจากรถมายืนอยู่ด้านข้าง เช่นเดียวกับเกลที่ได้ปีแอร์ค่อยช่วยพยุงลงจากรถมานั่งยังวีลแชร์ของตนที่ถูกยกลงมารออยู่ก่อนแล้ว    โดยชิตรัตน์อาสารับหน้าที่ดูแลเกลพร้อมพาทุกคนไปยังห้องรับแขกด้านในบ้านก่อนเพื่อดื่มน้ำดื่มท่าและพูดคุยกัน

           “คุณแม่!!!”

           เสียงแจ้วอย่างตื่นเต้นดีใจของเกรทที่กำลังเดินลงบันไดมาพร้อมกับชาติดังลั่นขึ้นมาเรียกความสนใจของกลุ่มคนที่อยู่ด้านล่างให้หันขึ้นไปมองคุณหนูตัวเล็กของบ้านที่พยายามจะวิ่งลงบันไดมาให้ได้จนพี่เลี้ยงเด็กจำเป็นอย่างชาติจ้องรีบจับเอาไว้เพื่อกันไม่ให้ล้มกลิ้งไปก่อนจะถึงพื้น

           “เกรทคิดถึงคุณแม่ที่สุดเลย”

           พอลงมาได้เกรทก็รีบปีนขึ้นไปนั่งบนตักของแม่แล้วกอดเอาไว้ไม่ยอมปล่อย สร้างความสนใจให้เหล่าคนรับใช้ในบริเวณให้หันมามองอย่างอยากรู้อยากเห็น ว่าแขกที่มานั้นเป็นใครมาจากไหนกันแน่

           “เพิ่งเจอกันไปเมื่อวานเองนะครับ”

           “เมื่อวานกับวันนี้มันไม่เหมือนกันไงครับ”  เกลอมยิ้มพร้อมลูบหัวลูกชายเบาๆ     

           ชิตรัตน์พาทุกคนมายังสวนหย่อมขนาดเล็กที่ถูกทำขึ้นภายในตัวบ้านตามคำเรียกร้องของเกลที่บังเอิญไปเจอเข้าแล้วรบเร้าให้เขาพามาที่ตรงนี้  เกลชอบพวกต้นไม้ธรรมชาติมันจริงไม่แปลกอะไรถ้าอยู่ๆอีกคนจะร้องขอให้เขาเปลี่ยนที่คุยจากห้องรับแขกมาเป็นสวนหย่อมกลางบ้านอย่างนี้แทน

           “สวนที่นี้สวยดีนะ”

           ธานอดที่จะเอ่ยชมไม่ได้เมื่อเข้ามาในห้องสวนแห่งนี้   แล้วเลือกที่จะนั่งเล่นบนเบาะสีเขียวอ่อนที่วางอยู่บนตัวของเก้าอี้หวายยาวที่กลางสวน พร้อมกับมองไปรอบๆห้องอย่างชอบใจ

           “เป็นความคิดของคุณพ่อผมน่ะครับ ท่านอยากให้บ้านมีพื้นที่สีเขียวบางจะได้ไม่เครียด”  ชิตรัตน์อธิบาย

            “อย่างนั้นหรอ ว่าแต่แม่นายไปไหนสะล่ะ นัดพวกฉันมาแต่ไม่ออกมาให้เห็นแบบนี้มันดูเสียมารยาทนะ”  ธานถามหยั่งเชิงดู

           “แม่มีประชุมด่วนของทางสมาคมอะไรสักอย่างนี้แหละครับ เห็นว่ากำลังจะกลับแล้ว”

           ชิตรัตน์ตอบ พร้อมบีบมือของคนรักแน่นเพื่อให้เกลคลายกังวลลงบ้าง เพราะตอนนี้ถึงใบหน้าของเกลจะยิ้มแย้มแต่มือที่เขาจับอยู่นั้นมันสั่นจนเขาอดเป็นห่วงไม่ได้

           “จริงสิ   นายมีเรื่องจะคุยเรื่องรีสอร์ตกับคุณชินไม่ใช่หรือครับ”

           แต่ขณะที่ทุกคนกำลังนั่งคุยกันเรื่อยเปื่อยอยู่นั้น ชายที่ยืนอยู่ตรงทางเข้าก็พูดขึ้นมาเรียกความฉงนสงสัยให้ตัวเขาต้องหันกลับมามองคนสนิทของน้องชายพร้อมชี้มือมาทางตัวเอง

           “ฉัน...?”

           “ครับ  คุณไรอันสั่งเอาไว้ว่าให้นายมาคุยเรื่องรีสอร์ตต่อน่ะครับแล้วก็เพื่อกันไม่ให้นายชิ่ง คุณไรอันยังบอกอีกว่าให้นายกลับไปพูดให้เขาฟังด้วย”

            ชายถ่ายทอดคำสั่งของคนที่เขาเจอเมื่อเช้าก่อนออกจากบ้านมาให้คนเป็นนายฟังอย่างไม่มีขาดตกสั่งคำพูดเดียว  ธานพยักหน้ารับอย่างเข้าใจ  ไม่วายนึกบ่นในใจกับความเจ้ากี้เจ้าการของคนมีความรับผิดชอบสูงอย่างไรอันที่แม้ตัวไม่มาด้วยแต่กลับส่งสารผ่านตัวแทนมาให้เข้าแบบนี้

           “ถ้าอย่างงั้นเราไปคุยงานกันก่อนดีไหมครับ เมื่อคืนทางฝ่ายสถานทีส่งเรื่องงบประมาณกับแบบร่างที่ทางสถาปนิกแก้ไขมาให้พอดี”

           “อือ ก็ดีเหมือนกัน” ธานเห็นด้วย ไหนๆก็มาแล้วคุยให้เสร็จไปเลยแล้วกัน

           “งั้นเดี๋ยวผมเดินไปเอาเอกสารมาให้ดูแล้วกันนะครับ” ชิตรัตน์ว่าพร้อมลุกขึ้นเพื่อไปนำเอาเอกสารต่างและโน้ตบุ๊กที่อยู่ในห้องทำงานของตนมายังห้องสวนแห่งนี้เพื่อจะได้คุยงานกับธานให้เรียบร้อย แต่พอเขาทำท่าว่าจะเดินออกไปเสียงเกลขัดเขาเอาไว้เสียก่อน
 
           “เดี๋ยวครับพี่ชิน” ชิตรัตน์หันมามองคนรักเชิงถาม

           “ทำไมไม่ให้พี่ธานไปคุยที่ห้องทำงานพี่ชินเองเลยล่ะครับจะได้ไม่ต้องหอบงานไปมา”  เกลเสนอความคิด เมื่อลองคิดดูแล้วทุกครั้งที่ชิตรัตน์ไปบ้านเขาเพื่อคุยเรื่องงานเอกสารประกอบต่างๆมากมายไปหมดไหนจะต้องเปิดจาโน้ตบุ๊กอีก จะให้หอบไปหอบมาแบบนี้ถ้าเกิดมีอะไรหลนหายขึ้นมาคงจะไม่ดีแน่

           “แต่ถ้าพี่ไปแล้วน้องจะอยู่กับใคร”  ธานค้านขึ้นมา เขาไม่ยอมปล่อยน้องเอาไว้คนเดียวในถ้ำของศัตรูแบบนี้แน่

           “เกลก็อยู่กับลูกไง  อีกอย่างพี่พลกับปีแอร์ก็อยู่ด้วยดังนั้นไม่ต้องห่วงหรอครับ”

           เกลตอบก่อนไปหันไปด้านหลังเพื่อบอกว่าเขาอยู่ได้ไม่ต้องเป็นห่วง  ธานมีท่าทีลังเลใจอยู่ไม่น้อยที่จะต้องทิ้งเกลเอาไว้แบบนี้คนเดียว แต่สุดท้ายเขาต้องยอมที่จะเดินตามชิตรัตน์และชาติไปยังห้องทำงานของอีกคนแต่โดยดีแม้จะจำใจกันเหตุผลที่เกลตอบกลับว่าไม่เป็นไร เพราะตอนนี้คุณหญิงก็ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงอย่างจำใจ ทำให้ตอนนี้เหลือเพียงแค่สองแม่ลูก พลและก็ปีแอร์เท่านั้นที่ยังคงอยู่ในห้องนี้

            “ตอนนี้ก็เหลือแค่เราแล้ว จะทำอะไรกันดีเอ่ย”

           เกลก้มลงถามลูกชายตัวน้องที่นั่งอยู่บนตักของเขา ให้นั่งรอเฉยๆคงน่าเบื่อยิ่งมาอยู่ในบ้านหลังนี้ด้วยแล้วถ้าไม่หาอะไรทำเขาคงต้องเป็นบ้าแน่ๆ

           “นั้นนะสิครับ”  เกรททำปากยู่เมื่อพยายามคิดหาอะไรมาเล่นกับแม่ของเขา ทั้งๆที่ก่อนจะได้เจอกันเขานะชอบพูดให้คุณพ่ออาแก้ว อาชาติฟังอยู่ตลอดว่าจะทำอย่างนั้นจะทำอย่างนี้ถ้าได้เจอกับคุณแม่ แต่ทำไมตอนนี้เขากลับคิดอะไรไม่ออกเลย

           “อ๋อ......เกรทจำได้ว่ามีจิ๊กซอว์ที่ยังไม่ได้ต่ออยู่บนห้อง เราเอามาต่อกันดีไหมครับคุณแม่”   

           เกรทเสนอตาวาวเมื่อนึกได้ว่าเขาเคยได้จิ๊กซอว์มาแต่ยังไม่เคยต่ออยู่ที่ส่วนไดส่วนหนึ่งของห้อง   ซึ่งเกลเองก็พยักหน้ารับอย่างเห็นด้วยดีเหมือนกันเล่นอะไรที่ต้องใช้สมาธิแบบนี้เขาจะไม่ต้องฟุ้งซ่าน

           “ดีเลย พี่ปีแอร์ขึ้นไปหาเป็นเพื่อนเกรทหน่อยสิครับ” เจ้าตัวน้อยรีบโดดลงจากตักของมารดาแล้วไปเกาะที่ชาของพี่ชายคนสนิทแทน ก่อนจะพากันเดินขึ้นไปยังห้องนอนของเกรทที่อยู่บนชั้นสองของบ้าน

           เกลมองตามหลังของลูกชายไปก่อนจะกลับมามองการตกแต่งของสวนขนาดเล็กนี้อีกครั้ง แต่ยังไม่ทันที่เขาจะได้มองสำรวจอะไรให้ถี่ถ้วนดีเสียงเครื่องยนต์ของรถBMWสีขาวรุ่นใหม่ที่เพิ่งขับเข้ามาในอาณาเขตบ้านส่งเสียงให้เขากับพลต้องหันไปมองดูผู้มาใหม่ว่าเป็นใคร และด้วยความที่ถ้าหากมองจากตรงที่เขานั่งอยู่ในตอนนี้ก็นะสามารถเห็นได้ชัดเจนว่าใครเป็นคนที่กำลังก้าวลงมาจากรถยนต์คันงาน มุมปากของเขายกขึ้นเมื่อเห็นแม่งานในครั้งนี้กำลังเดินตรงเขามาในตัวบ้าน

           “พี่พลครับ”

           “ครับ”

           “ก้มหน้าลงมานี้หน่อยสิครับ”

           พลหรี่ตามองเจ้านายก่อนจะยอมก้มหน้าลงไปให้อยู่ในระดันเดียวกับคนที่นั่งอยู่  เกลกระซิบบ้างอย่างที่ข้างหูของพลที่แสดงสีหน้าปั้นยากยามที่ต้องฟังคำพูดนั้นจากริมฝีปากบาง

           “ได้ครับ”

           แม้จะไม่อยากทำแต่เมื่อมันเป็นคำสั่งผู้น้อยอย่างเขามีหรือที่จะขัดอะไรคนเป็นนายได้    พลเลือกที่จะน้อมรับคำสั่งนั้นแล้วออกไปยืนที่หาทางเข้าของห้องสวนนี้แทน เพราะถ้าหากมองมาจากทางประตูทางเข้าบ้านแล้วละก็จะสามารถมองเห็นทางเข้าที่พลยืนอยู่ได้อย่างชัดเจน

           ทางด้านคนที่เพิ่งกลับเข้ามาจากนอกบ้านนั้นก็ดูท่าจะมีเรื่องที่ไม่หาพึงพอใจเสียเท่าไรถึงได้ทำหน้าไม่รับแขกเช่นนี้  เมื่อธุรกิจบางอย่างที่หล่อนกำลังทำอยู่นั้นดูเหมือนจะเริ่มสั่นคลอนและไม่เป็นไปตามที่วางเอาไว้ตั้งแต่แรก ไหนจะเรื่องหุ้นที่เริ่มตกลงนั้นอีก เลยทำให้ตอนนี้หล่อนต้องกลับมาทำใจให้เย็นเพื่อรอรับแขกของลูกชายที่ตนเอ่ยปากชวนเอาไว้เมื่อวันก่อนแทนหล่อนไม่อยากให้เสียเรื่องเพราะงั้นขอไปดับอารมณ์ร้อนนั้นก่อนแล้วกัน    แต่ยังไม่ทันที่สองเท้าของคุณหญิงจะก้าวไม่ไกลสายตาของหล่อนก็ไปสะดุดเข้ากับร่างสูงสมส่วนของผู้ชายแปลกหน้าผิวสีที่ยืนอยู่หน้าทางเข้าห้องสวน  จึงหันไปกวักมือเรียกสาวใช้ที่เดินเข้ามารับสัมภาระของหล่อนให้รีบเดินเข้ามาหา

           “นั้นใคร ทำไมฉันไม่คุ้นหน้า” หล่อนถาม

           “อ้อ คนติดตามของแขกที่คุณชินเชิญมาวันนี้นะคะ” หล่อนพยักหน้าก่อนจะไล่ให้เด็กสาวกลับไปทำหน้าที่ของตนต่อ

           คุณหญิงเปลี่ยนจุดหมายจากห้องน้ำส่วนตัวในห้องนอนมาเป็นห้องสวนทันที ในเมื่อแขกมาแล้วจะไม่เข้าไปทักเลยก็ดูจะไร้มารยาทเกินไป.........

           สองเท้าของคุณหญิงก้าวตรงไปที่ห้องสวนเรื่อยๆพร้อมกับความรู้สึกตงิดใจบางอย่างเมื่อมองใบหน้าของบอร์ดี้การ์ดผิวสีที่ยืนอยู่ตรงนั้น คุ้นๆเหมือนเคยเห็นที่ไหน... แต่เมื่อนึกเท่าไรก็นึกไม่ออกหล่อนถึงละความสนใจแล้วเดินเข้าไปด้านในเพื่อทักทายแขกหนึ่งเดียวในห้องสวนนี้แทน

           “สวัสดีค่ะ ไม่ทราบว่าใช่น้องชายของคุณโจนาธานหรือเปล่าคะ”

            น้ำเสียงนิ่มนวลผิดจากทุกครั้งที่ได้ยินมัน ทำให้เกลที่นั่งเกร็งอยู่รู้สึกคลายกังวลลงเล็กน้อยแค่เล็กน้อยเท่านั้นเมื่อเขาตะหนักได้ว่าคนที่พูดมันออกมาคือใคร    เกลตัดสินใจรวบร่วมแรงใจที่มีอยู่ไม่มากของตนเข้ามาในปอดและพยายามบังคับน้ำเสียงและร่างกายไม่ให้สั่นก่อนจะหันกลับไปยิ้มทักทายเจ้าของบ้านที่อุตส่าห์เดินมาหาเขาถึงที่

           “สวัสดีครับคุณหญิง”

           !!!

           ดวงตาเรียวเชิดถึงกลับต้องเบิกออกกว้างเมื่อเห็นว่าคนที่นั่งอยู่บนวิลแชร์นั้นเป็นใคร

           ทำไมมันมาอยู่ที่นี้..

           คุณหญิงถึงกับปากสั่นทำอะไรไม่ถูกเมื่อเห็นคนที่เกลียดแสนเกลียดนั้นมานั่งอยู่ในบ้านของเขาแบบนี้ หล่อนพยายามยกมือขึ้นชี้หน้าอีกคนแต่เพราะความโกรธที่มีมากทำให้มันสั่นจนยกขึ้นได้ช้าว่าปกติ

           “นี้แก....”

           “...”

           “แก แกกล้าดียังไงมาเหยียบบ้านของฉัน!” 

           คุณหญิงตวาดเสียงดังลั่นพลางจ้องมองอีกฝ่ายไม่วางตา  ทำไมมันถึงมาอยู่ที่นี้...มันมาได้ยังไง...  เกิดเป็นคำถามล้านแปดเข้ามาในหัวของหล่อนเต็มไปหมดกับการที่ต้องมาเห็นเกลอยู่ที่นี้   ไม่ได้ หล่อนจะให้ชิตรัตน์เจอกับเด็กนี้ไม่ได้หล่อนไม่ยอม..

           “ฉันถามแกไม่ได้ยินหรือไง เข้ามาในนี้ได้ไง”  หล่อนถามย้ำ

           “...”

           “ตอบมา!!” คุณหญิงเพิ่มเสียงให้ดังขึ้น ทำเอาเกลเองถึงกับผงะไปเล็กน้อยก่อนจะพยายามทำน้ำเสียงให้เป็นปกติที่สุด

           “อะไรกันครับ ก็คุณหญิงเองไม่ใช่หรือไงที่เอ่ยชวนให้ผมกับพี่ชายมาที่นี้”  เกลยกมือขึ้นเป็นเชิงห้ามเมื่อเห็นว่าพลตั้งท่าจะเข้ามาในห้อง

           เกลเอยน้ำเสียงยียวนด้วยใบหน้าที่แสร้งทำให้ใสซื่อที่สุดเพราะถ้าเดาไม่ผิดพวกคนใช้คงอยู่ไมไกลจากที่ตรงนี้เสียเท่าไรแม้เสียงเขาจะไม่ดังเท่าคุณหญิงแต่ก็คงมีคนหูดีได้ยินอยู่บ้าง

           “ฉันไม่เคยอนุญาตให้แกเข้ามาในบ้านของฉัน ออกไปเดี๋ยวนี้!!”

            คุณหญิงว่าพร้อมปรี่เข้าไปกระชากข้อแขนเล็กของคนที่นั่งอยู่ขึ้นมา ส่งผลให้คนที่ไม่ทันได้ตั้งตัวอย่างไม่ทันระวังถูกคนตรงหน้าเหวี่ยงลงไปนั่งกับพื้นอย่างแรง โดยที่พลเองก็เข้ามารับไว้ไม่ทัน

           “โอ๊ย!”

           ความเจ็บแปลบที่แล่นขึ้นมาจากฝ่ามือบางทั้งสองข้างทำให้เกลถึงกับต้องร้องออกมา แต่ถึงอย่างนั้นคนตัวบางก็ยังพยายามเอาฝ่ามือคู่นี้ยันลงกับพื้นเพื่อพยุงร่างของตัวเองขึ้นมาแต่ก็ต้องหลุดเสียงร้องออกมาอีกครั้ง   จนพลที่ถูกสั่งห้ามไม่ให้เข้ามายุ่งถึงกับทนไม่ไหวต้องวิ่งเข้ามาประคองร่างโปร่งบางนั้นเอาไว้ ก่อนที่จะพบว่าว่าฝ่ามือบางทั้งสองข้างมีรอบถลอกและเลือดซึมออกมาจากรอยถลอกเป็นบางจุดด้วยเพราะขูดไปตามทางกับแผ่นหินที่ปูไว้เดินความหยามของมันจึงบาดเข้ากับผิวหนังบอบบางอย่างไม่อาจเลี่ยงได้ ส่วนท่อนแขนขาวอีกข้างก็มีรอยขูดถลอกเป็นทางยาวจนถึงข้อศอกปะปนอยู่กับฝุ่นดินที่เปาะอยู่เต็มสองข้างแขนเล็ก

            ดวงตาสีน้ำตาลเบิกกว้างอย่างตกใจก่อนเปลี่ยนเป็นแข็งกร้าวอย่างโกรธเคืองตั้งแต่เด็กจนถึงตอนนี้สิ่งเดียวที่ทำให้เขารู้สึกเกลียดมากที่สุดคือการมีแผลไม่ว่าจะส่วนใดของร่างการก็ตาม  เกลมองมือและแขนสองข้างตองตัวเองที่เริ่มสั่นด้วยความโกรธผิดกับตอนแรกที่เขานั้นสั่นไปด้วยความกลัวที่มันยังฝั่งอยู่ในใจ  ดวงตาสวยตะหวัดไปมองคนจนอยากหันกลับไป  แต่ก่อนที่เขาจะได้ตวาดอีกคนดังที่ใจหมายเสียงของลูกชายอันเป็นที่รักก็ดังขึ้น ทำให้เขาต้องหันกลับไปมอง

           “คุณแม่/เกลลี่”

           ปีแอร์ที่ขึ้นมาช่วยเกรทหาของบนห้องนั้นเป็นคนแรกที่ได้ยินเสียงเอะอะบางอย่างมาจากข้างล่างจนรู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดีจึงรีบทิ้งทุกสิ่งที่อยู่ในมือเพื่อจะรีบออกมาดูโดยให้เกรทรออยู่บนห้องแต่เด็กชายไม่ยอม หมอหนุ่มจึงจำต้องอุ้มเด็กชายขึ้นแล้วรีบวิ่งลงมา ก่อนะจะพบว่าลางสังหรณ์ของเขานั้นเม่นยำขนาดไหน เขาไม่รอช้ารีบวางเกรทลงกับพื้นแล้ววิ่งเข้าไปช่วยดูแผลของผู้ป่วยของตนอย่างเป็นห่วง

           “คุณแม่เจ็บ คุณแม่มีแผล” เกรทที่วิ่งตามหลังปีแอร์เข้ามาพูดเสียงล้นเมื่อมองฝ่ามือนิ่มของคนเป็นแม่ที่มันลูบหัวให้เขาปล่อยๆ เต็มไปด้วยทั้งเศษดินและรอยเลือด จนน้ำตาเริ่มหน่วงคลอเต็มเบ้าตาของเด็กชาย

           “ตาเกรทออกมาอย่าไปยุ่งกับมัน”

           คุณหญิงตรงเข้ามากระชากหัวไหล่เล็กของหลานชายออกมาจากผู้เป็นแม่บังเกิดเกล้านั้นที แต่เกรทกลับบิดตัวไม่ยอมทำตามอีกทั้งยังคว้าแขนของเกลเอาไว้แน่นไม่ยอมปล่อย

           “ไม่เอาเกรทจะอยู่กับคุณแม่”  น้ำตาที่หน่วงอยู่ที่ของตาไหลอาบแก้มป้องของเด็กวัยห้าปี ที่ถึงแม้ว่าแขนข้างหนึ่งจะถูกดึงรั้งจากคนเป็นย่าแต่อีกข้างก็ยังคงจับเข้ากับแขนของคนเป็นแม่ไม่ยอมปล่อยเช่นเดียวกับเกลที่คราวนี้เขาจะไม่ยอมปล่อยมือจากลูกชายอีก

           “มันไม่ใช่แม่แก นังเพศยานั้นไม่ใช่แม่ของแกปล่อยมือจากแขนสกปรกของมันเดี๋ยวนี้”

           คุณหญิงย้ำและพยายามยางยิ่งที่จะดึงหลานชายออกมาโดยไม่ได้สนใจเลยว่าแขนของเกรทจะขึ้นเป็นรอยมือของตนหรือไม่  ส่วนเกลเองที่ถึงแม้จะเจ็บที่มือมากแค่ไหนแต่ก็ยังพยายามที่จะจับมือของลูกชายเอาไว้ไม่ปล่อย แต่มีหรือคนอย่างคุณหญิงจะยอม ถึงแม้จะอายุของหล่อนจะมากหากแต่ก็สายตาไวพอที่จะเห็นบาดแผลนั้นจึงพาดฝ่ามืออีกข้างใส่มือที่เป็นแผลของเกลอย่างแรงจนต้องรีบตั้งชักมือหนีจากลูกชายด้วยความเจ็บปวด ทำให้คุณหญิงคว้าตัวหลานชายเอามาไว้ได้ตามต้องการ

           “โอ๊ย!!”

           “คุณแม่/เกลลี่”

           “นี้คุณแบบนี้มันไม่มากไปหน่อยหรือไง” ปีแอร์ที่มองดูเหตุการณ์อยู่รู้สึกรับไม่ได้กับการกระทำของคุณหญิงที่ดูเป็นการกระทำที่เกินกว่าเหตุมาก ชายหนุ่มลุกขึ้นยืนอย่างเหลืออดและพร้อมที่จะมีเรื่องได้ทุกนาที

               “ก็ฉันเคยบอกแล้วว่าอยากเขามาวุ่นวายกับลูกแล้วก็หลานของฉันอีก แต่มันไม่จำ เหอะ แค่นี้น่ะมันยังน้อยไปด้วยซ้ำ” หล่อนเชิดหน้าขึ้นตอบอย่างไม่รู้สึกผิดกับสิ่งที่ทำลงไปก่อนจะออกแรงดึงร่างของหลานชายออกมาไปทางประตู

            เกลเบิกตาค้างกับภาพตรงหน้าลูกชายที่ร้องไห้น้ำตาไหลอาบแก้มพยายามเอี้อมมือมาหาเขากับคุณหญิงที่พยายามลากลูกของเขาออกไป อยู่ๆเสียงรอบตัวของเขาก็เงียบดับลงไปภาพตรงหน้าถูกซ้อนทับด้วยภาพเหตุการณ์เมื่อห้าปีก่อน ภาพลูกชายวัยหนึ่งเดือนที่ร้องไห้อย่างเอาเป็นเอาตายอยู่ในห่อผ้าที่ผู้หญิงใจร้ายคนนี้อุ้มเดินจากไป  ใบหน้าเล็กส่ายไปมารับไม่ได้ก่อนจะกรี๊ดร้องออกมาและทรุดลงกับพื้น

           “อ๊ายยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย”

           “เกลลี่/คุณเกล” ปีแอร์รีบทรุดตัวตามลงเพื่อมองคนที่กรีดร้องอยู่ในแขนของพลอย่างตกใจ ไม่นะ...........

           “ไม่นะ คุณหญิงอย่างเอา ตาหนู ไป”  ภาพเมื่อวันวานซ้อนทับกับภาพในความเป็นจริงจนเขาแยกไม่ออกว่าอันไหนแน่ที่เกิดขึ้นในตอนนี้ ไม่อย่าเอาลูกเขาไป ....  สองแขนยกขึ้นเพื่อหมายคว้ามือคู่น้อยนั้นกลับมาแต่มันไกล ไกลออกไป อีกแล้ว........

           “ได้โปรอย่าเอาเขาไป คืนตาหนู เอาลูกผมมานะ!!”

            เกลที่เริ่มจะประคองสติสติสัมปชัญญะของตนเอาไว้ไม่อยู่พยายามทั้งดิ้นทั้งสะบัดตัวเพื่อให้หลุดพ้นจากแรงรั้งของคนสนิมทั้งสองอย่างแรง และพยายามที่จะลุกขึ้นยืนเพื่อจะไล่ตามไปแต่เพราะความอ่อนแรงของช่วงขาบวกกับความเจ็บจากตอนที่ล้มในคาแรกทำให้ล้มลงไปกับพ้นอีกครั้ง ในเมื่อเดินไม่ได้เกลจึงตัดสินใจใช้ศอกยันกับพื้นเพื่อเคลื่อนที่ไปข้างหน้าแทนแม้ปีแอร์กับพลจะพยายามเข้ามารั้งตัวไว้แค่ไหนก็ไม่ช่วยอะไรเพราะเจ้าตัวคอยที่จะสะบัดออกและร้องโวยวายเหมือนคนเสียสติ

           คุณหญิงโฉมฉวีมองภาพตรงหน้าอย่างนึกสมเพชนอกจากสติจะฟั่นเฟือนยังพิกลพิการหล่อนที่เอามือปิดตาหลานชายไม่ให้มองภาพน่าสมเพชตรงหน้าโดยไม่สนใจเลยว่าภายใต้ฝ่ามือนั้นนะเปียกไปด้วยหยดน้ำตาของคนเป็นหลานมากเพียงใด หล่อนรู้แต่เพียงว่าตอนนี้หล่อนสะใจ ยิ่งเห็นมันทุรนทุรายจะเป็นจะตายแบบนี้หล่อนยิ่งชอบใจ ตายๆไปสะให้สิ้นเรื่อง....

           “เกล !!”

           ชิตรัตน์และธานผสานเสียงกันเรียกคนที่ร้องไห้แทบขาดใจอยู่บนพื้นอย่างตกใจกับภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น  ตอนแรกพวกเขาคุยงานกันอยู่ในห้องทำงานของชิตรัตน์และด้วยความที่เป็นห้องที่กันเสียงรบกวนเข้ามาทำให้คนที่อยู่ข้างในไม่สามารถรับรู้ได้ว่าข้างนอกเกิดอะไรขึ้นจนสาวใช้วิ่งหน้าตื่นขึ้นมาเคาะประตูนั้นแหละพวกเขาถึงได้รู้ว่าข้างล่างเกิดเรื่องราวใหญ่โตขึ้น

           ชิตรัตน์ตรงปรี่เข้าไปประคองกอดคนรักที่ตัวสั่นเทาดวงตาเบิกกว้างอย่างคนที่ตื่นตะหนกอย่างขีดสุด ตอนออกมาจากห้องเขาได้ยินเสียงกรี๊ดร้องของอีกคนชัดเจนมันเหมือนมีมีดที่คมแหลมกรีดลึกเข้าไปที่กลางใจเขาเจ็บมากจนแทบจะยืนไม่อยู่ แต่มันไม่เท่ากันสิ่งที่เข้ากำลังเห็นและได้ยินตอนนี้เพราะมันทำให้เขาแทบไม่มีแรงที่จะทำอะไรต่อจากนี้

           “พี่ชิน...เอา...ลูก...มาให้เกล”  เสียงพูดติดขัดเหมือนคนที่หายใจไม่ทันทำให้เขายิ่งพูดอะไรไม่ออก

           “..”

           “เอาลูกคืนมา เอาเขาคืนมา”  ฝ่ามืออุ่นที่เต็มไปด้วยบาดแผลมากมายจับเข้าที่ท่อนแขนของชิตรัตน์พร้อมพยายามบีบและเขย่าไปมาอย่างไม่รู้สึกเจ็บ ก่อนจะกันไปหาพี่ชายที่อยู่อีกข้าง

           “พี่ธานเอาลูกเกลมา เอาลูกคืนมาให้น้อง”

           งานนี้ไม่ใช่แค่ชิตรัตน์ที่ทำอะไรไม่ถูกธานเองก็ทำอะไรไม่ได้เลยนอกจากมองดูน้องอย่างเจ็บปวด มันไม่ใช่ว่าเขาไม่อยากจะทำอะไรสักอย่างเพื่อน้องชายแต่เพราะมันทำอะไรไม่ถูกมากกว่า

           “เอาตาหนูคืนมาก คืนเขามา อ๊ายยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย อึก”  เกลกรีดร้องออกมาก่อนที่ร่างกายเขานั้นจะกระตุกเกร็งอย่างแรงก่อนจะสลบไปจากการช็อกอย่างรุนแรง  สร้างความแตกตื่นให้คนที่อยู่โดยรอบโดยเฉพาะชิตรัตน์ที่เป็นคนสุดท้ายที่ดวงตาสีสวยนั้นมองสบก่อนเบิกนิ่งแล้วหลับไป

           “เกล!!!”

           เกรทที่ถูกปิดตาเอาไว้ตามตลอดได้แต่ยืนร้องไห้อยู่ตรงนั้นอย่างทำอะไรไม่ถูกจน ได้ยินเสียงกรีดร้องนั้นอีกครั้งจึงรีบสะบัดตัวออกจากย่าที่ไม่ได้สนใจเขา แล้วรีบวิ่งเข้าไปหาคนที่ไม่ได้สติอยู่ในอ้อมแขนคนเป็นพ่ออย่างขวัญเสีย  ธานรีบอุ้มหลานตัวน้อยที่ดูจะเสียขวัญไปไม่น้อยกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ขึ้นมาปลอบ

           ชิตรัตน์เองก็ไม่มัวเสียเวลารีบช้อนตัวคนรักขึ้นมาแนบอกทันที่แล้วเดินผ่านหน้าคุณหญิงที่ยังยืนนิ่งมองมาทางเขาตาเขม็งอย่างไม่สนใจ ตอนนี้สิ่งสำคัญที่สุดคือคนในอ้อมแขน........  พร้อมสั่งให้ชาติไปหายาหอมแล้วนำมันมาให้ที่ห้องของเขาอย่างเร่งด่วน

_______________________________________________

อุ๊ย!!
คุณหญิงกับเกลเจอกันแล้ววววว เอาไงต่อดีเนี้ย
อย่าลืมเอาใจช่วยเกลด้วยนะ

ขอบคุณที่ติดตามนะคะ

ออฟไลน์ Jibbubu

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3385
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-6
เกลหนูจะไหวมั้ยลูก ถึงไม่ไหวก็ต้องไหวนะคะ อย่าไปยอมนังคุณหญิงนั้น ต้องสู้เพื่อครอบครัวที่พร้อมหน้าต้องสู้ค่ะ

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด