End ฝนกลางฤดูหนาว (mpreg) -Updeat รอบพรีออเดอร์- 9-5-60
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: End ฝนกลางฤดูหนาว (mpreg) -Updeat รอบพรีออเดอร์- 9-5-60  (อ่าน 47601 ครั้ง)

ออฟไลน์ wavery

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 124
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-2
ฝนหยดที่ 18

เพี๊ยะ!!

           เสียงฝ่ามือหนักที่ตบเข้าไปยังใบหน้าของคนติดตามทั้งสองที่เขาสั่งให้ดูแลน้องชายอย่างอย่างแรงจนหน้าหันด้วยแรงโทสะที่มีมากจนทั้งสองคนนั้นได้แต่ก้มหน้านิ่งยอมจำนนต่อแววตาตำหนิและกล่าวโทษอย่างยอมรับผิด   ความจริงธารอยากจะทำมันให้มากกว่านี้แต่ติดว่าที่นี้ไม่ใช่ที่ของเขาการที่จะแสดงออกมามากไปคงไม่งาม ธานลูบหน้าตัวเองแรงๆหลายครั้งอย่างข่มอารมณ์เพราะไม่อยากทำร้ายร่างกายลูกน้องของตนไปมากกว่านี้

           “ฉันเคยสั่งว่าอย่างไร” ธารถามเสียงสั่นอย่างพยายามสงบอารมณ์ที่เกรี้ยวกราดของตน

           “ดูแลคุณเกลอย่างให้คาดสายตา” พลกับปีแอร์ตอบพร้อมกัน  มันก็รู้แล้วทำไม!!!

           “ก็รู้กันดีนิ แล้วทำไมยังปล่อยให้น้องฉันเป็นแบบนี้อีก ฮะ!!”  ธารตวาดเสียงก้อง ทำเอาสาวใช้ที่เพิ่งเดินออกมาจากห้องนอนของชิตรัตน์ถึงกับตกใจจนเกือบทำกะละมังใส่น้ำตก

           “ผมขอโทษครับ”

           พลตอบ มันเป็นความผิดขอเขาเองแหละทั้งที่อยู่ใกล้ที่สุดกลับไม่ยอมเข้าไปช่วยจะอ้าวว่าเป็นเพราะ คำสั่ง ที่เขาได้รับก่อนหน้าคงใช่เรื่อง  ในเมื่อเขาผิดเขาก็ไม่คิดโยนเรื่องนี้ให้เจ้านายต้องมาแก้ต่างให้ เช่นเดียวกับปีแอร์ที่สะเพร่าคิดว่าแค่มีพลอยู่ทุกอย่างคงไม่เป็นอะไรจนลืมไปว่านอกจากเป็นหมอแล้วตนยังเป็นบอร์ดี้การ์ดของเกลด้วยอีกคน..........
...............................................................................
 
           ช่วงอกบางขยับขึ้นลงอย่างสม่ำเสมอตามจังหวะการหายใจของเจ้าของร่างที่นอนหลับอย่างสงบนิ่งหลังจากได้รับยาคลายกล้ามเนื้อจากการฉีดยาเข้ากระแสเลือดไปตั้งแต่ตอยนที่ถูกนำตัวเข้ามาในห้อง ชิตรัตน์นั่งมองดูใบหน้าซีดเซียวที่เริ่มจะดูดีขึ้นเพียงเล็กน้อยนั้นอย่างเป็นกังวล  อาการของเกลหนักขนาดนี้เลยงั้นเหรอ.........

           ผ้าพันแพ้สีขาวที่พับยาวตั้งแต่ฝ่ามือยาวจนเกือบถึงข้อศอกกับอีกข้างที่ยาวถึงข้อมือเล็ก ยิ่งได้มองมันชั่งเจ็บปวดต่อหัวใจของเขายิ่งนักโดยฉะเพราะเสียงร้องอย่างน่าเวทนานั้น มันเป็นเพราะเขาเองทั้งหมดถ้ามันนั้นเขาเลือกเกลในวันนี้ทุกอย่างในวันนี้มันอาจดีกว่าที่เป็นอยู่  อย่างน้อยถึงเกลก็จะไม่ต้องร้องไห้แบบนี้ เขาผิดเองเขาพลาดเองที่เลือกผู้มีพระคุณมากกว่า

           “ฮึก...ฮึก”

           เสียงสะอื้นของเกรทที่ถึงจะร้องไห้จนหลับคาไหล่ของชาติไปแล้วแต่ก็ยังคงละเม่อสะอื้นออกมาให้ได้ยินอยู่เป็นพักๆ    ชิตรัตน์เดินเข้าไปอุ้มลูกชายมาจากชาติก่อนจะบอกให้อีกฝ่ายออกไปรอข้างนอกก่อน

           “ไม่ร้องแล้วครับคุณแม่ไม่เป็นอะไรแล้ว” เขาเอ่ยปลอบขวัญลูกชาย พร้อมกับว่างตัวของเกรทลงข้างๆกับเกล ถ้าตื่นมาแล้วเกลคงอยากจะเห็นหน้าลูกเป็นอย่างแรก..............
 

           ชิตรัตน์นั่งมองคนที่นอนหลับอยู่อย่างนั้นจนธารเปิดประตูเดินกลับเข้ามา พวกเขามองหน้ากันอยู่สักพักแล้วหันหนีจากกัน ธารเลือกที่นั่งตรงอีกฝั่งของเตียงแล้วนั่งเงียบอยู่อย่างนั้นโยไมพูดจากัน  ครั้งนี้เขาจะไม่โทษว่าเป็นเพราะชิตรัตน์เหมือนครั้งก่อนเพราะครั้งนี้เขาเองที่ใจอ่อนไม่รู้เวลาทั้งที่เขาควรอยู่ใกล้ๆน้อง  ตอนนี้ทั้งชิตรัตน์และธารต่างกล่าวโทษตัวเองในใจว่าเรื่องที่เกิดขึ้นต่างเป็นเพราะตนที่ไม่เป็นสาเหตุทำให้บรรยากาศในห้องอึมครึมและกดดันเป็นอย่างมาก จนกระทั้งแรงขยับจากร่างที่ยังนอนไร้สติอยู่บนเตียงพลิกกายไปมาอย่างกระสับกระส่ายเรียงความสนใจจากทั้งสองคนที่อยู่ภายใต้ความเงียบของห้องให้ลุกจากที่นั่งเข้ามาใกล้

           “เกล เกลได้ยินพี่ไหม”

           “น้องเกลตื่น ลืมตามองพี่”

           ชิตรัตน์รีบขึ้นไปนั่งที่ข้างเตียงตรงหัวนอนพยายามกุมมือเย็นและร้องเรียกชื่อคนที่นอนหน้านิ่วคิ้วขมวดนั้น  ในขณะที่ธานเองก็พยายามตบลงที่ใบหน้าเรียวที่ชื้นไปด้วยเหงื่อของน้องชายเบาๆเพื่อเรียกสติ ส่งผลให้เด็กชายที่นอนอยู่ข้างเคียงสะดุ้งตื่นขึ้นมามองพ่อกับลุงแล้วหันไปกอดร่างของแม่เอาไว้แน่นก่อนจะเริ่มร้องไห้ขึ้นมาอีกครั้ง

            ร่างโปร่งของเกลนั้นพลิกหน้าพลิกตัวไปมาอย่างแรงอยู่หลายครั้งท่ามกลางเสียงเรียกของบุคคลทั้งสองและเสียงสะอื้นเบาของเด็กชาย  เกลได้ยินเสียงเรียกนั้นของทุกคนแต่ว่ามันเหมือนมีความรู้สึกบางอย่างว่ากำลังฉุดรั้งเขาเอาไว้ไม่ให้ตื่น เขาพยายามสะบัดมันออกอยู่หลายครั้งแต่ก็ไม่เป็นผล  เขาพยายามอยู่หลายครั้งก่อนเปลือกตาที่ปิดสนิทอยู่จะลืมโผล่ออกอย่างรวดเร็วเหมือนคนที่สะดุ้งตื่นจากฝันร้ายพร้อมเด้งตัวขึ้นมาจากเตียงนุ่มอย่างแรง พร้อมเสียงหอมหายใจอย่างหนักขอบตาปรือไปด้วยม่านน้ำตาเมื่อมองตรงไปพบแต่เพียงความว่างเปล่าของสถานที่ใหม่ ก่อนครางชื่อเรียกที่อยู่ในใจออกมาเบาๆจนแทบไม่ได้ยินเสียง

           “ตาหนู”
 
           “คุณแม่!”

           เสียงเรียกพร้อมกับแรงกอดจากวงแขนเล็กเรียกสติของเขาให้หันไปสนใจแรงกอดจากแขนเล็กของเด็กชายที่กอดเขาไว้แน่น  เกรท....   มือที่ถูกพันไปด้วยผ้าพันแผลยกขึ้นอย่างเกร็งๆขึ้นลูบหัวทุยของลูกชายช้าๆ ก่อนจะหันมองไปรอบๆห้องแห่งนี้อีกครั้ง ก่อนจะมองลงไปที่มืออีกข้างที่วางอยู่ มันมีความอุ่นจากฝ่ามือของใครอีกคนที่ส่งผ่านมาให้เขาได้รู้สึกจนมองไล่ไปจนพบกับใบหน้าของคนรักที่ทำหน้าเหมือนจะร้องไห้จนปลายจมูกโด่งรั้นนั้นขึ้นสีเมื่อเห็นว่าเขาตื่นขึ้นมา และอีกข้างก็เป็นพี่ชายคนดีของเขาที่ดูโล่งอกอย่างเห็นได้ชัด

           “พี่ชิน  พี่ธาร”   เกลเรียกชื่นคนทั้งสองเสียงแผ่ว

           “พี่อยู่นี้แล้ว พี่อยู่นี้”

           ธารคว้าศีรษะน้องชายเข้าหาตัวเช่นเดียวกันฝ่ามือใหญ่ของเขาที่ลูบหัวปลอบขวัญน้องชายเอาไว้เรื่อยๆ เกลไม่เป็นอะไรแล้วขอบคุณพระเจ้า..............

          อ่า คราวนี้เขาไม่ต้องตื่นมาเจอแต่ความว่างเปล่าอีกต่อไปแล้ว.... ตอนนี้เขามีคนที่รักอยู่เคียงข้างแล้วลูกชายที่เขารักกับคนรักที่ใจดี อยู่ต่อหน้าเขาแล้วจริงๆ................

 
           “แม่ไม่เป็นอะไรแล้ว หยุดร้องได้แล้วนะคนเก่ง”
           ธารก้มหัวลงไปพูดกับเกรทที่ยังคงสะอื้นเบาๆอยู่อย่างนั้น  เกรทเงยหน้าตาแดงช้ำขึ้นมามองคุณแม่เล็กน้อยก่อนจะร้องไห้ออกมาอีกครั้ง

           “เกรทเป็นห่วงคุณแม่ ฮึก คุณแม่เจ็บ แงงงงงงง”

           เกลยิ้มบางๆให้กับท่าทางของลูกชายก่อนขยับเปลี่ยนท่าใหม่อิงแอ่นซบเข้ากับอกของคนรักโดนชิตรัตน์เองก็ปล่อยมือที่กุมไว้มาเป็นโอบกระชับไหล่บางของคนรักกับไหล่เล็กของลูกชายที่ร้องไห้โยเย

           ธารมองภาพครอบครัวตรงหน้าด้วยความคิดความรู้สึกที่หลากหลาย  บางทีนี้อาจเป็นสิ่งที่น้องชายของเขาต้องการมาตลอดก็เป็นได้.....  และเขาที่เป็นพี่ก็คงไม่ควรที่จะอยู่ขัดขวางความสุขเล็กๆนี้ของน้องชาย ชายหนุ่มเริ่มขยับออกจากที่นอน เพื่อว่าจะตรงไปที่ประตูแล้วออกจากห้องไปอย่างเงียบๆ    หากแต่แรงยวบที่หายไปจากที่นอนทำให้คนที่อยู่เป็นศูนย์กลางของความรักหันไปมองคนเป็นพี่ที่ลุกขึ้นหนี

           “จะไปไหนหรือครับพี่ธาร”  เกลถามขึ้น

           “พี่จะลงไปรอข้างล่าง รู้สึกดีขึ้นแล้วเราจะได้กลับบ้านกัน”

           เสียงเข้มเตอบ  จากเหตุการณ์เมื่อครู่ที่เกิดขึ้นเขาคงไม่สามารถปล่อยให้น้องอยู่ร่วมโต๊ะกับผู้หญิงคนนั้นได้หรอก แม้ชิตรัตน์หน้าหมองลงเล็กน้อยแต่ชายหนุ่มก็เข้าใจถึงเจตนาที่เป็นห่วงน้องชายของอีกคนและเขาเองก็เป็นห่วงเกลเช่นกัน และเขาก็คงไม่อยากเสี่ยงเอาความเห็นแก่ตัวของตนเองมาทำร้ายคนรักได้
 
           “เราจะไม่อยู่กินข้าวก่อนหรือครับ”
           หากแต่คำถามของเกลกลับเรียกความแปลกใจและไม่เข้าใจให้คนทั้งสองเป็นอย่างมาก ว่าเหตุใดเจ้าตัวถึงพูดเช่นนั้นหลังจากเพิ่งผ่านเหตุการณ์เลวร้ายนั้นมา

           “แต่เกล...”ธารแย้ง

           “เรามาที่นี้เพราะคุณหญิงเชิญมา ถ้าไม่อยู่จนถึงหลังอาหารน้องว่าคงดูเสียมารยาทแน่”

            เกลพยายามปั้นหน้ายิ้ม ข่มเสียงไม่ให้สั่นแต่มือที่ลูบหลังของเด็กชายกลับสั่นจนไม่สามารถบังคับได้ทำให้เกรทกระชับแขนที่กอดรอบเอวบางของแม่ให้แน่นขึ้นเพื่อเพิ่มแรงใจ

           “พี่ว่าอย่าฝืนเลยดีกว่า กลับบ้านอย่างที่คุณธารว่าน่ะดีแล้ว” ชิตรัตน์พูดเสริม เพราะเขาเองคงทนไม่ได้ถ้าจะให้เห็นภาพเช่นนั้นให้มันบาดลึกกลางใจอีก  เกลมองหน้าธารที่ดูท่าแล้วงานนี้คงจะไม่ยอมให้เขาอยู่ต่อแน่ๆ ซึ่งเขาก็พอเข้าใจดีแต่ถ้ายอมให้เขาอยู่ต่อจริงเขาก็คงไม่ไหวแล้วเช่นกัน

           เมื่อธารเห็นว่าน้องชายของขายอมตกลงที่จะกลับบ้านตามที่เขาบอกแต่โดยดี เขาจึงเดินออกมาจากห้องแล้วพูดคุยสั่งให้ปีแอร์เข้าไปดูอาการของเกลอีกครั้งส่วนตนจะลงไปรอข้างล่าง

           ฝ่ายคุณหญิงโฉมฉวีเองที่ดูเหมือนจะไม่ทุกข์ร้อนอะไรกับเรื่องที่เกิดขึ้นกลับทำท่าร้อนรนจนนั่งไม่ติดทันทีที่แม่บ้านมาบอกว่าคนที่ตนประณามตราหน้าไว้สารพัดนั้นคือน้องชายคนเดียวของธารแขกคนสำคัญที่หล่อนเป็นคนเอ่ยปากเชิญมาด้วยตัวเอง  ถึงตอนแรกคุณหญิงจะมีท่าทีเหมือนไม่เชื่อที่แม่บ้านพูดมา แต่พอมาได้ยินจากปากของธารที่กำลังต่อว่าลูกน้องอยู่นั้นก็พลันทำให้ใบหน้าหล่อนซีดลงทันที

           นี้มันมันเรื่องบ้าอะไรกันเนี่ย................

           ทั้งที่หล่อนมั่นใจอย่างแน่วแน่แล้วว่าข้อมูลที่ได้มานั้น ระบุไว้แน่ชัดแล้วว่าเด็กนั้นเป็นลูกกำพร้าที่พ่อแม่แยกทางกันแถมยังอาศัยอยู่ที่โบสถ์คริสเตียนอีก แล้วทำไมอยู่ดีๆมันถึงกลายมาเป็นลูกชายคนเล็กของตระกูลใหญ่ของอังกฤษแบบนี้ได้กัน  บ้าเอ๋ยแล้วอย่างนี้แผนการของหล่อนก็จบสิ้นหมดสิ

           หล่อนเดินไปเดินมาอยู่ภายในห้องนั่งเล่นอยู่หลายครั้งจนหางตาไปสะดุดเข้ากับร่างของธารที่กำลังเดินลงบันไดมา ไม่ได้จะปล่อยให้กลับไปง่ายๆแบบนั้นไม่ได้..   คุณหญิงไม่รอช้าที่จะรับสาวเท้าเดินออกไปตรงเชิงบันไดเพื่อให้ทันก่อนที่อีกคนจะเดินลงมาถึง

           “จะกลับแล้วหรอคะ”
           ธารชายตามองคุณหญิงตรงหน้าที่ท่าทางดูนอบน้อมเสียเหลือเกิน เหอะ ไม่ทันแล้วมั้ง...

           “ครับ น้องชายผลรู้สึกดีขึ้นเมื่อไรเราจะกลับกันทันที”

           คุณหญิงหน้าเจื่อนไปอย่างเห็นได้ชัด เมื่อเจอน้ำเสียงที่ดูห่างเหินเย็นชานั้นตอบกลับมา ธานมองหน้าคุณหญิงอย่างสมเพชทำตัวเองทั้งนั้นแล้วยังจะมาทำเป็นคนดีอีก

           “ดิฉันต้องขอโทษจริงๆนะคะที่แสดงกริยาแบบนั้นออกไป ดิฉันไม่ดะ....”

           “ไม่ได้ตั้งใจหรอครับ” ธารพูดดักเย้ยหยันคำที่ออกมาจากปากของคนตรงหน้า

           “ไม่ต้องมาขอโทษผมหรอกครับ เพราะคนที่คุณควรจะไปขอโทษนะคือ น้องชายของผมต่างหากล่ะครับ”

           ธานพูดเน้นฐานะของเกลใส่คุณหญิงแล้วยืมมองปฏิกิริยาที่ดูจะพยายามข่มอารมณ์นั้นของผู้หญิงตรงหน้าอย่างขบขันแต่ไปขอโทษแค่นี้มันจะดูเสียศักดิ์ศรีขนาดนั้นเชียวหรือ

           “ไม่ต้องห่วงนะครับ ผมไม่ล้มโครงการที่ทำร่วมกับคุณชิตรัตน์หรอกครับ ผมแยกเยาะได้”

           ธารกล่าวทิ้งท้ายเอาไว้แค่นั้นแล้วเดินผ่านหน้าของคุณหญิงออกไปเลยโดยไม่สนใจหันกลับมามองว่า อีกคนจะทำหน้าเช่นไร เพราะมันไม่เรื่องสำคัญอะไรที่เขาจะต้องมารับรู้นิ

           “บ้าที่สุด”

           คุณหญิงบ่นฮึกฮักออกมาอย่างขัดใจเป็นที่สุด จะให้หล่อนไปขอโทษเด็กนั่นน่ะเหรอฝันไปเถอะ.... ถึงมันจะกลายเป็นน้องชายของธานแต่สำหรับหล่อนมันก็ยังคงเป็นเด็กแพศยาอยู่วันยังค่ำต่อให้ชุดตัวเปลี่ยนตัวเองเสียใหม่ยังไงมันก็เป็นได้แค่นั้น หล่อนไม่มีทางลดตัวลงไปเลือกกลั้วด้วยแน่

           แล้วอย่างนี้หล่อนจะทำยังไง ปลาตัวใหญ่นั้นดูท่าจะหลุดมือของหล่อนไปแน่ อย่างนี้แล้วหล่อนจะทำยังไง....................
 
       
   :fire:

ออฟไลน์ wavery

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 124
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-2
 
:fire:

  “เท่าที่ดูก็ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงแล้ว เดี๋ยวล้างหน้าล้างตาแล้วก็กลับบ้านกัน”

           ปีแอร์ว่าหลังจากตรวจวัดชีพจรของเกลที่ตอนนี้กลับมาเป็นปกติอีกครั้งพร้อมกับส่งผ้าขนหนูเปียกที่บิดหมาดแล้วให้กับคนไข้ของตนรับไป

           “เกรทอยากไปด้วย”
           เด็กชายพูดความต้องการของตัวเองออกมา เขาอยากอยู่กับคุณแม่เขาไม่อยากอยู่กับคุณย่าแล้ว คุณย่าใจร้ายเขาเกลียดคุณย่า.....

              “เกรทอยากอยู่กับคุณแม่คุณพ่อ เกรทไม่อยากอยู่กับคุณย่า”
           เกลก้มมองดูลูกชายก่อนจะหันไปมองคนรักที่ดูจะคิดหนักเหมือนกันกับคำพูดของเกรทและท่าทีที่ดูจะไม่ยอมปล่อยเอวของเขาไปง่ายๆอีกด้วย

           “ถ้าอย่างนั้น เกรทก็ไปอยู่กับคุณแม่ที่บ้านนู้นแล้วเดี๋ยวพ่อจะไปหาทุกเย็นดีไหม”

           ดีเหมือนกันต่อจากนี้เขาจะได้ไม่ต้องกังวลว่าลูกชายจะต้องทนต่อคำว่าร้ายที่เกินจริงหรือคำพูดรุนแรงต่อใจดวงน้อยของลูกอย่างไรอีก เพราะแค่วันนี้ลูกเขาก็เจ็บช้ำกับการกระทำของคนเป็นย่ามากพอแล้ว แต่จากนี้เขาไม่รู้ว่าลูกจะต้องเจอกับอะไรอีกยิ่งตอนนี้แม่ของเขาเจอเกลแล้ว คนที่จะต้องรับผลร้ายก็คือตาเกรท  การที่ให้ลูกไปอยู่กับเกลที่นู้นอย่างน้อยก็คงช่วยฟื้นฟูความสุขภาพจิตให้ดีขึ้นได้ทั้งแม่และลูก

           “จริงนะครับ”
 
           ไม่ใช่แค่เกรทหรอกที่รีบถามกลับอย่างดีใจ เพราะเกลเองก็ย่างไม่เชื่อหูตัวเองเหมือนกันว่าชิตรัตน์จะตัดสินใจเช่นนี้ออกมา ไม่ใช่ว่าเขาแปลกใจกับคำพูดนั้นแต่เพราะเขาดีใจต่างหากล่ะการได้อยู่กับลูกใช้เวลาร่วมกันคือสิ่งที่เขาเฝ้าฝันมาตลอด แล้วตอนนี้มันกำลังจะเป็นจริง

           “จริงๆนะ พี่ชินไม่โกหกเกลกับลูกนะ”   เกลถามย้ำอีกครั้ง

           “พี่ไม่เคยโกหกเราอยู่แล้ว คนดีของพี่”

           และเพื่อยืนยันคำพูดของตัวเอง ชิตรัตน์หันกลับไปสั่งให้ชาติเดินไปเก็บของใช้บางส่วนร่วมถึงอุปกรณ์การเรียนของลูกชายใส่กระเป๋าให้เรียบร้อยเพื่อเตรียมย้ายไปนอนที่บ้านนู้นตามความตั้งใจของเกรท

           แต่เมื่อเขาตัดสินใจทำเช่นนั้นลงไปเขาก็ต้องรับมือกับผลที่จะตามมาเช่นกัน  และเมื่อเสียงเครื่องยนต์รถคันใหญ่ที่ขับออกไปจากบริเวณบ้านเขาเรื่อยๆนั้น ก็เปรียบเสมือนระเบิดเวลาที่รอเวลาประทุขึ้นด้วยแรงอารมณ์ของคนที่ไม่เห็นด้วยกับความคิดของเขา

           “ตาชิน กลับมาคุยกับแม่ให้รู้เรื่องเดี๋ยวนี้เลยนะ”   เสียงตะโกนก้องของนายหญิงประจำบ้านแผดเสียงดังลั่นทั่วโถงกลางบ้าน เพื่อหวังฉุดรั้งลูกชายเพียงหนึ่งเดียวของตนให้หันกลับมาอธิบายเรื่องที่เกิดขึ้น

           “นี้ตาชินได้ยินที่แม่พูดไหม” หล่อนรั้งเข้าที่ท่อนแขนหนาของลูกชาย เพื่อให้หันมา

           “อะไรหรือครับคุณแม่”

           “ทำไมแกถึงยอมให้เกรทไปอยู่กับมันง่ายๆแบบนั้น”  คุณหญิงแว้ดเสียงใส่อย่างไม่พอใจ หลานของหล่อนก็ต้องอยู่กับหล่อนสิจะไปอยู่กับคนอื่นแบบนี้ได้ยังไงกัน

           “ทำไมจะไม่ได้ล่ะครับ ในเมื่อเกลเป็นแม่ เขาก็มีสิทธิที่จะได้อยู่กับลูกมันก็ถูกต้องแล้วนิครับ”

           ชิตรัตน์รู้สึกเหนื่อยหน่ายเป็นอย่างมากกับที่จะต้องมานั่งอธิบายถึงเรื่องเดิมๆซ้ำๆแบบนี้ให้คุณหญิงฟัง บางทีนิสัยที่ไม่ยอมรับความจริงของคุณหญิงก็ทำให้เขาเบื่อหน่ายเป็นอย่างมากเหมือนกัน

           “แต่ฉันไม่ไว้ใจให้เด็กนั้นเลี้ยงหลานของฉันหรอกนะ จะพาไปเสียผู้เสียคนหรือเปล่าก็ไม่รู้” หล่อนบ่น

           ชิตรัตน์ได้แต่กรอกตาไปมาอย่างสุดจะเอือมกับความคิดด้านลบของคุณหญิงที่ไม่เคยคิดจะมองใครในแง่ดีเยสักครั้ง เกลไม่มีท่าทำอะไรแบบนั้นยิ่งกับเกรทด้วยแล้วเกลไม่มีทางสอนอะไรลูกแบบผิดๆเหมือนที่คุณหญิงพยายามทำอยู่ทุกวันนี้แน่ๆ

           “ผมคิดถูกจริงๆนั้นแหละที่ให้ลูกไปอยู่กับเกล”

           “.....”   คุณหญิงหรี่ตามองลูกชายอย่างไม่พอใจ

           “เพราะผมเองก็ไม่แน่ใจว่าคืนนี้คุณแม่จะพูดอะไรกรอกหูหลานให้เสียใจอีก ยอมรับเถอะครับว่าคนที่จะทำให้ตาเกรทเสียผู้เสียคนนะคือคุณไม่ใช่เกล”   ชิตรัตน์เอ่ยทิ้งท้ายไว้ก่อนหมุดตัวขึ้นไปยังห้องของตัวเองที่อยู่ชั้นสองทันทีโดยไม่ฟังเสียงเรียกที่ดังไล่หลังจากบุพการี

           “แกกล้าด่าฉันหรอตาชิน จำไว้แกจะเสียใจที่เลือกมันได้ยินไหมตาชิน แล้วแกจะเสียใจ!!”

           ความเกรี้ยวโกรธของคุณหญิงที่แสดงออกมาจนใบหน้าแดงก่ำตัวสั่นพร้อมกำมือแน่นอย่างเจ็บปวดหัวใจ หลานหล่อนไม่มีทางมีความสุขแน่ถ้าต้องไปอยู่กับแม่แบบนั้น  ไม่มีทาง............

           แต่ใครจะรู้ละว่าในความคิดกับความเป็นจริงนั้นมันไม่ได้เป็นอย่างที่คุณหญิงคิดเลยแม้แต่น้อย เมื่อตอนนี้ เกรทมีความรู้สึกตื่นเต้นไม่น้อยที่เขาจะได้อยู่กับแม่ของตัวเองตามที่เคยวาดฝันเอาไว้ ทั้งๆเขาเองก็มาอยู่ประจำแต่ก็อดไม่ได้ที่จะเผลอชะเง้อมองไปทั่วห้องนั่งเล่นไปมา อาจเพราะสถานะที่เขามาอยู่ในบ้านนี้มันไม่ใช่แค่แขกเหมือนทุกครั้งแต่ว่าตอนนี้เขาเป็นสมาชิกอีกคนของบ้านหลังนี้ และอีกไม่นานเกรทก็เชื่อว่าคุณห่อของเขาก็จะต้องมาเป็นสมาชิกของที่นี้เหมือนกับเขา

           “ตื่นเต้นหรอครับน้องเกรท”

           เกลที่นั่งมองท่าทีของลูกชายมาสักพักเอ่ยถามขึ้น  เกรทสะดุ้งเล็กน้อยก่อนจะหันไปฉีกยิ้มกว้างให้คนข้างๆอย่างไม่รู้จะพูดว่าอะไรดี ก็มันตื่นเต้นจริงๆนี่นะ......

           “คืนนี้...เกรท..จะได้ไปนอนกับคุณแม่จริงๆใช่ไหมครับ”
          เด็กชายถามขึ้นอีกครั้งอย่างตะกุกตะกัก ไม่ใช่ว่ากลับจะถูกส่งกลับบ้านแต่เขาก็แค่อยากให้มันแน่ใจก็เท่านั้นว่าเขาตอนนี้เขาไม่ได้ฝันไปเอง

           “จริงสิครับ หรือน้องเกรทไม่อยากไปนอนกับแม่แล้ว” เกลเอ่ยเย้าลูกชายโดยแสร้งทำเสียงเศร้า

           “ไม่ๆๆ เกรทจะนอนกันคุณแม่”

           เด็กชายรีบสายหน้าเป็นพัลวัน  ทำเอาแก้วกล้าที่นั่งมองสองแม่ลูกคู่นี้อยู่ถึงกับหลุดเสียงหัวเราะออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ ก็นะเกรทชอบมาพูดว่าอยากจะทำนู้นทำนี่กับแม่ของตัวเองมาตลอดนี่นะ

           “อาแก้วอย่าขำเกรทสิ” เด็กชายยู่หน้าลง

           “แต่ว่าเกรทก็ไม่นอนกับอาแก้วนานแล้ว วันหลังเกรทขอไปนอนกับอาแก้วได้ไหมครับคุณแม่”

           เด็กน้อยรีบรีเควสขึ้นมาทันทีเมื่อนึกขึ้นมาได้ว่าตนเองก็ไม่ได้ไปนอนกับคุณอาสุดที่รักมานานแล้วเช่นกัน   เขาจำได้ว่าตอนนั้นคุณพ่อมีประชุมที่ต่างจังหวัดแถมคุณย่าก็ไม่อยู่ อาแก้วเลยต้องมานอนเป็นเพื่อนที่บ้านเล่าเรื่องอะไรให้เขาฟังเยอะแยะไปหมด  แค่คิดก็ตื่นเต้นแล้ว

           “คงไม่ได้ละครับน้องเกรท”

           ธารเอ่ยขัดขึ้นขณะเดินเข้ามาพร้อมกับไรอันหลังจากที่ขอตัวไปรายงานการพูดคุยรายละเอียดของรีสอร์ตและเรื่องที่เกิดขึ้นให้ไรอันฟังเสร็จพวกเขาก็เดินเข้ามาทันฟังว่า หลานตัวน้อยกำลังจะแย่งหมอนข้างกิติมาศักดิ์ของเขาไป

           “อ้าว ทำไมละครับเกรทนอนไม่ดิ้นนะรับรองว่าไม่กวนน้องตัวเล็กกันอาแก้วแน่นอน”
           เกรทตอบกลับไปอย่างใสซื่อตามประสาเด็กที่คิดเอาว่าคุณลุงตัวโตของเขากลับเขาจะนอนดิ้น แต่เกรทไม่นอนดิ้นนะเกรทนอนกับอาแก้วได้...

            “คือ..” ธารทำหน้าคิดหาเหตุผล “ถ้าเกรทไปนอนกับอาแก้วแล้วลุงจะไปนอนไหนหืม”

              “อาแก้วนอนห้องเดียวกับคุณลุงหรอครับ” เด็กชายถามอย่างสงสัย

           “ใช่ครับ ลุงต้องดูแลอาแก้วกับน้องในท้องไง” ธานให้เหตุผล

           “เกรทก็ดูแลได้นะครับ”  ยังคงไม่ยอมแพ้

           จนคนกลางที่นั่งนิ่งเป็นฉนวนเหตุของเรื่องถึงกับต้องกุมขมับกับการที่ต้องมานั่งฟังคนแก่ที่อายุมากกว่าตนต่อล้อต่อเถียงกับเด็กอายุแค่ห้าขวบอย่างเพลียใจ

           “อย่าเยอะนะธาร เรื่องแค่นี้ให้หลานไปเถอะ” ไรอันเอ็ดขึ้นอย่างเซ็งๆ

           “แต่ว่า..” ธารพยายามจะเถียงแต่ก็ต้องสงบปากลงทันทีที่เห็นสายตาเขียวปั้ดของไรอันที่มองมา คนท้องนี้อารมณ์น่ากลัวกันทุกคนเลยหรือไง...........

           “นายควรพาเกลไปพักได้แล้วนะ”  ไรอันเอ่ยปากไล่ทางอ้อม  พร้อมอาสาเป็นคนดูแลเกรทกับแก้วกล้าให้ระหว่างที่พาเกลไปพักซึ่งธารเองก็ไม่ได้ขัดอะไร ไม่สิ ต้องบอกว่าขัดไม่ได้มากกว่า

           ธารพาน้องขึ้นมายังห้องของอีกคนที่ดูเหมือนว่าไรอันจะให้คนมาจุดเทียนหอมไว้รอจนหอมผ่อนคลายไปทั่วห้องที่เปิดแอร์เย็นกำลังเอาไว้  โดยมีเจ้าของห้องตัวน้อยอีกตัวนอนแกว่งหางไปมาอย่างสบายอารมณ์อยู่ที่เบาะนอนของมัน

           “อาการเป็นไงบ้าง”  ก่อนจะสวมบทหมอถามไถ่อาการของน้องชาย

           “ดีขึ้นแล้วครับ”

           “พี่บอกแล้วว่าอย่าไปๆน้องก็ไม่เชื่อ” ธารบ่น “พี่เป็นห่วงมาแค่ไหนเกลรู้ไหม  พี่เจ็บขนาดไหนที่จ้องทนเห็นน้องของพี่เป็นแบบนั้น”

            คิ้วเข้มขมวดแน่น เมื่อเผลอนึกถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นในวันนี้ ถึงจะไม่มาเท่าช่วงแรกที่เป็นแต่ไม่ว่าครั้งไหนที่เห็นน้องเจ็บคนเป็นพี่อย่างเขาเจ็บเสียยิ่งกว่า

           “น้องขอโทษนะครับ”  มือผอมประคองซีกแก้มขวาของพี่ชายเอาไว้อย่างรู้สึกผิด จนมือของเขาสั่นอย่างคุมไม่อยู่ มันสั่นของมันเองเมื่อหวนนึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจนฝ่ามือหนาของธานต้องกุมไว้อีกชั้นอย่างเบามือเพื่อไม่ให้เผลอไปโดนแผลของนองชาย

           “แต่ที่น้องทำ...เพราะ...”

           เกลพยายามจะอธิบายหากแต่เสียงของเขาเริ่มติดขัด จังหวะการหายใจเริ่มทำได้ยาก ขนาดเน็ตตี้เป็นเพียงแค่สัตว์ยังสามารถรับรู้ถึงอาการที่แปลกไปของเจ้านายได้ชัดเจนจนต้องร้องเรียกขึ้นพร้อมเดินเข้ามาใกล้

           “เกล ใจเย็นๆนะค่อยๆหายใจเข้าก่อน ค่อยๆพูดไม่ต้องรีบ”

           ธารรีบสารวนลูบหลังให้น้องอย่างตื่นๆ เมื่ออยู่ๆอาการของเกลทำท่าจะกำเริบ เริ่มแรกแค่อาการสั่น ต่อมาคือจังหวะการหายใจที่ผิดปกติ สายตาเริ่มล่อกแล่ก และสุดท้ายคือสติที่คุมเอาไว้ไม่อยู่ 

              คนเป็นพี่ตัดสินใจช้อนตัวน้องขึ้นอุ้มให้น้องนั่งลงที่ท่อนแขนแข็งแรงและซบหน้าลงกับไหล่อย่างที่เขามักจะทำเป็นประจำทุกครั้งตั้งแต่เด็กในยามที่น้องร้องไห้เสียใจหรือหวาดกลัวต่อสิ่งรอบตัว

           “ค่อยๆเล่าพี่ฟังอยู่”  ธานตบลงไปบนแผ่นหลังที่สั่นอยู่เบาๆ

           “เล่าให้พี่ฟังได้ไหมว่ายังไง”  ศีรษะเล็กโผงะขึ้นลง ก่อนสูดหายใจเข้าปอดเฮือกใหญ่ก่อนเงยหน้าขึ้นสบพี่ชายที่ค่อยๆวางร่างของเกลกับเตียงตามเดิม

           “เกลอยากให้เขารู้”  เขาเว้นวรรค

           “เกลอยากให้พี่ชินรู้สึกผิด เกลต้องการให้พี่ชินเห็นว่าน้องเจ็บปวดแค่ไหนตอนเสียลูก ให้เขารู้สึกผิดกับสิ่งที่เขาเคยทำลงไป”  เกลว่าเสียงเรียบนิ่ง

           “และก็อยากให้พี่ชินเห็นว่าคุณหญิงทำร้ายเกลมากขนาดไหน” มือบางที่พันไปด้วยผ้าพันแผลทั้งสองข้างแบออกมาตรงหน้าให้พี่ดู

           “แล้วยังไง น้องต้องการแค่ให้ไอ้หมอนั้นรู้สึกผิดก็ไม่เห็นต้องลงทุนขนาดนั้นเลยนิ ถ้าเกิดเราเป็นอะไรหนักขึ้นมาจะทำยังไง” ธารแย้ง เขาไม่เห็นด้วยที่น้องจะเอาอาการที่ไม่สามารถเดาได้มาจะคุมดีคุมร้ายเอาแน่เอานอนไม่ได้แบบนี้มาล้อเล่น ถ้าเขาไม่กำชับปีแอร์เรื่องให้เอายาไปด้วยน้องเขาจะเป็นยัง

           “พอแล้วนะ พี่ขอสั่งห้ามเด็ดขาดไม่ให้เรายุ่งกับเรื่องนี้ ถ้าอยากให้นายชิตรัตน์กับเกรทมาอยู่ด้วยพี่จะจัดการเองน้องไม่จ้องเข้ามาเกี่ยวกับเรื่องนี้แล้ว”

           หนามยอกเอาหนามบ่งอะไรกัน แบบนี้มันมีแต่แย่ลงไปนะสิไม่ว่า พอแล้วที่เหลือเขาจะเป็นคนจัดการเองต่อให้เขาเกลียดขี้หน้าไอ้ชิตรัตน์ขนาดไหนแต่ถ้ามันเป็นความสุขของน้องแล้วล่ะก็เขาจะทนร่วมชายคาบ้านกับหมอนั้นก็ได้ แต่ขอแค่อย่างเดี๋ยว อย่าให้เขาต้องมาเห็นน้องเป็นแบบวันนี้อีกเลย

            “ได้ เกลจะหยุดเกลก็ไม่อยากให้ลูกมาเห็นเกลเป็นแบบนี้อีกแล้วเหมือนกัน.....”

           เกลว่าเสียงแผ่วอย่างรู้สึกแย่ แววตาของลูกในตอนนั้นต่อให้สติเขาจะแตกละเอียดขนาดไหนแต่เขาไม่มีทางที่จะไม่เห็นสีหน้าและแววตาที่ปวดร้าวของลูกชายที่พยายามยื่นมือมาเขาได้เลย  เขาพลาดเองที่เผลอทำร้ายจิตใจดวงน้อยของลูกชายแบบนั้น

              “เกลไม่ได้อยากดึงให้ลูกมาเห็นอะไรแบบนี้ เกลสงสารลูกแค่นี้เกรทก็เจ็บปวดมากพออยู่แล้วการที่เด็กตัวแค่นั้นต้องมาเห็นแม่อยู่ในสภาพแบบนั้นอีก เกล..เกล..เกลสงสารลูกพี่ธาร เกลสงสารลูก”

           น้ำตาหยดใสอาบไหลทั่วใบหน้าสวยเป็นทาง ไม่ใช่ว่าเขาจะยอมปล่อยเรื่องนี้ไปง่ายๆ แต่เกลไม่อยากให้ลูกต้องมาเห็นอะไรแบบนี้อีกแล้ว สองมือที่เจ็บอยู่นี้มันไม่เจ็บเท่าน้ำตาของลูกเขาเลยแม้แต่น้อย

           ธารนิ่งเงียบมองดูน้องชายที่เขารักร้องไห้อย่างหนักจนตัวโยกไปหมด เขาไม่รู้ว่าจะสรรหาคำใดมาพูดปลอบเพราะแบบนี้มันละเอียดอ่อนเกินไป ดังนั้นเขาจึงเป็นเพียงคนนอกที่ไม่สามารถพูดหรือทำอะไรได้มากไปกว่าการเป็นหลักนิ่งให้น้องซบกอดเท่านั้น
 
           Rrrrrrr
           เสียงโทรศัพท์ที่แผดเสียงร้องอยู่เรียกความสนใจจากเด็กชายตัวน้อยที่นอนกลิ้งเล่นอยู่กับคู่ปรับสีขาตัวขาวให้หันกลับไปคว้าเอาโทรศัพท์มือถือของผู้เป็นแม่ที่วางอยู่มาดู

           “คุณแม่!! คุณพ่อโทรมา”

           เกรทชูโทรศัพท์เครื่องสีขาวขึ้นเพื่อให้คุณแม่ที่กำลังค่อยๆเดินออกมาจากห้องได้เห็น  เกรทกดรับสายแบบวีดีโอคอลเพื่อให้เห็นหน้าของคนที่โทรมาพร้อมเสียงเจื้อยแจ้วที่พูดนู้นนี้ไม่หยุด

           “หือ เกลเดินเองได้บ้างแล้วหรอ”

               ชิตรัตน์ที่มองภาพคนรักที่เดินเองด้วยตัวเองแม้จะมีไม้ค้ำยันสี่ขาค่อยช่วยพยุงอยู่บ้างผ่านหน้าจอเล็กจึงอดที่จะเอ่ยทักขึ้นไม่ได้ เพราะเขาเองก็ยังไม่เคยเห็นหรือรู้ว่าเกลนั้นเดินได้เองมากน้อยเพียงใด

           “ครับ แต่ก็คงต้องมีผู้ช่วยอยู่บ้าง” เกลว่า

           “อือ ฝึกเดินบ่อยๆนะครับ พี่รอเดินจูงมือเกลกับลูกอยู่นะ” เกลอมยิ้มหวานกับคำพูดคนรักที่แม่อยู่ไกลแต่สายตาที่ส่งผ่านมาเปรียบด้วยรักที่ยากจะปิดบัง

           “เกรทอยู่นี้ทั้งคน คุณแม่ต้องมีแรงใจแน่นอนเผลอๆพรุ่งนี้คุณแม่ก็เดินได้แล้ว”

           “ฮ่าฮ่าฮ่า” ชิตรัตน์กับเกลอดที่จะขำกับคำพูดของลูกชายตนไม่ได้ นี้ละนะเด็กคืออย่างไรก็พูดออกมาไม่ปิดบัง

           ชิตรัตน์ยิ้มขำกว้างจนอดคิดไม่ได้ว่าเขาเองไม่ได้ยิ้มว้างๆแบบนี้มานานแค่ไหนแล้วนะ บ้างที่อาจเป็นเมื่อเก้าปีก่อนก็ได้  แต่ตอนนี้เขากำลังยิ้มได้กว้างอีกครั้งเพราะสองคนตรงหน้า

           “ขำอะไรกันครับ เกรทจริงจังนะ”  เขาส่ายหัวให้กับหน้าที่บูดบึ้งจนแก้มสองข้างป่องจนน่าตีของลูกชาย

           “ทำเป็นพูดไป เมื่อกี้ยังปล่อยให้คุณแม่เหงาอยู่คนเดียวเลยนะ” เสียงเง้างอของเกลดังมาตามสาย พร้อมภาพคนรักที่ค่อยๆเอนหลังพิงกับเบาะหัวเตียง

           “ไม่จริงอะ” เด็กชายแย้ง

           “ก็เมื่อกี้ไงครับ น้องเกรทยังแย่งอาแก้วกับคุณลุงอยู่เลย”  เกรทหน้าแดงซานด้วยความอายก่อนจะรีบหันมาแก้ต่างให้คนเป็นพ่ออย่างเขาฟัง  แต่มีหรือที่คุณแม่ขี้น้อยใจจะยอมหยุด เมื่อหนึ่งแย้งอีกหนึ่งก็ค่อยค้าน จนคนที่คอยฟังเสียงเถียงกันไปเถียงกันมาของสองแม่ลูกอย่างเขาอมยิ้มตามไม่ได้

           เช่นเดียวกับคนที่แอบฟังอยู่หลังบานประตูไม้สีน้ำตาล ธารเองตั้งใจว่าจะมาบอกราตรีสวัสดิ์น้องน้อยของเขาอย่างเช่นทุกคืนคงต้องพับความคิดนั้นเก็บไปเสียแล้วเพราะดูท่าน้องของเขาก็คงอยากมีเวลาของคำว่า ครอบครัว เป็นของตัวเองบ้าง ส่วนเขาก็คงต้องรีบสร้างครอบครัวของเขาบ้างเสียแล้วกับคนที่รอเขาอยู่ในห้อง

           “เกลครับ ปิดหูก่อนได้ไมพี่มีเรื่องอยากคุยกับลูกหน่อย”  เกลมองหน้าคนรักอย่างใคร่รู้แต่ก็ยอมทำตามอย่างว่าง่าย

           ชิตรัตน์ที่เห็นคนหน้าสวยตรงหน้าเขาปิดหูแล้วก็หันมาพูดกับลูกแทน แต่จะว่าเป็นความลับก็ไม่ใช่เพราะแค่ฝ่ามือที่ปิดหูไม่ได้ช่วยให้คลื่นเสียงที่เดินทางในอากาศไม่สามารถผ่านไปได้ ยังไงเสียก็ไดยินด้วยกันหมดอยู่ดี แต่เขาก็ยังอยากทำแบบนี้

           “น้องเกรทต้องดูแลคุณแม่แทนพ่อนะครับ เพราะคุณแม่เป็นคนที่พ่อรักและเกรทก็เป็นลูกที่เกิดมาจากความรักของพ่อกับแม่ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นพ่อจะเป็นปกป้องเรากับคุณแม่เองนะ แต่ตอนนี้พ่อไม่ได้อยู่ด้วยเกรทจะดูแลคุณแม่แทนพ่อได้ไมครับ”  ชิตรัตน์มองหน้าลูกสลับกับคนรักผมยาวด้านหลังที่ตอนนี้ใบหน้าสวยหวานขึ้นรอยริ้วแดงบวกกับกลีบปากบางเผยยิ้มอ่อนชวนมองส่งมาให้

           “ได้ครับ”  เกรทรับปากเสียงดังฟังชัด ด้วยสายตาที่มุ่งมั่น

           “ดีมากครับ งั้นฝันดีนะครับพรุ่งนี้ต้องไปเรียนแต่เช้า”

           “ฝันดีครับคุณพ่อ”

           “พ่อรักเกรทกับคุณแม่เกล มากนะครับ”  เขาส่งยิ้มล้อให้คุณแม่คนสวยที่ยิ้มเขินอยู่ด้านหลัง

           “เกรทก็รักคุณพ่อกับคุณแม่ มากมากเลย” เกรททำปากส่งจุ๊บให้คุณพ่อผ่านหน้าจอก่อนจะหับไปหอมแก้มใสนุ่มของคุณแม่ที่นั่งพิงอยู่ด้านหลัง

           “แล้วเกลละ จะไม่พูดหน่อยหรอ” ชิตรัตน์เอ่ยทวงเมื่ออีกหนึ่งสมาชิกในครอบครัวเขายังไม่เอ่ยบอกรักให้ฟัง

           “ครับ คุณแม่รักน้องเกรทกับคุณพ่อน้องเกรท มากที่สุดเหมือนกันครับ” เกล คลี่ยิ้มบางก่อนเอ่ยคำรักออกมา  ชิตรัตน์ยิ้มคำก่อนที่ทั้งสามจะล่ำลากันเพื่อแยกย้ายกันเข้านอน

           “เกรทอยากให้คุณพ่อมาอยู่ตรงนี้ด้วยจัง” เกลที่กำลังเลิกผ้าห่มขึ้นห่มถึงลำคอเล็กของลูกชายหันมองหน้าลูกน้อย

           “ทำไมหรอครับ” ก่อนค่อยๆลมตัวนอนข้างๆ

           “ก็...” เกรทขยับตัวเล็กน้อยเพื่อนำหัวเล็กๆของตนวางทับที่ช่วงแขนเล็กของเกล

           “เกรทอยากนอนกับคุณพ่อคุณแม่เหมือนตอนที่เราไปทะเลกันนี้ครับ” เด็กชายว่าพรางกระชับกอด

           “หึหึหึ แต่วันนี้คงต้องนอนกอดคุณแม่คนเดียวไปก่อนแล้วกันนะครับ”  ริมฝีปากบางที่กดนายไปบนหน้าผากโหนกพร้อมแรงโอบกระชับทำเอาเกรทยิ้มหน้าบานในความมืด  แค่นี้ก็สุขใจแล้ว แค่มีคุณแม่อยู่ข้างๆแค่นี้ฝันร้ายก็จะไม่มีอีกแล้ว...........

________________________________________________________

ก้าวแรกสู่การเป็นครอบครัวของเกลเริ่มขึ้นแล้วคร้า
บอกแล้วว่านิยายเรื่องนี้เป็ยนิยายใสๆ สไตล์ครอบครัวอบอุ่น ดราม่า มาม่าต้ม อะไรไม่มีเยยยย

ขอบคุณที่ติดตามนะคะ

ออฟไลน์ wavery

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 124
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-2

ฝนหยดที่ 19



              เรื่องราวที่ผ่านเข้ามาในชีวิตของแต่ละคนยอมมีทั้งเรื่องร้ายและดีเพื่อที่จะได้นำมันมาเป็นประสบการณ์สอนให้เราให้ได้เติมโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ที่แข็งแรงทั้งกายและใจ แต่กับเรื่องบางเรื่องความโหดร้ายก็เข้ามาในชีวิตเร็วเกินไป ชั่งน่าสงสารเด็กน้อยที่เป็นเหมือนผ้าขาวกลับต้องมาแปลกเปื้อนกับรอยด่างอันน่ารังเกลียดเพราะจิตใจของคนเป็นผู้ใหญ่  ความเศร้าหมองในใจเด็กใครว่าไม่สำคัญเพราะถ้ามันซึมลึกจนแผ่รากลึกลงไปยอมกลายเป็นตราบาปในวัยเด็กเหมือนคมมืดอันแหลมคมที่กรีดลึกลงบนแผลจนแหวะแม้จะหายดีก็จะกลายเป็นแผลเป็น แต่ในความโหดร้ายอันแสนเศร้ายังมีแสงสว่างที่ส่องทางให้เห็น

           สมุดโน้ตเล่มน้อยที่เขาจำได้ดีว่าเป็นคนซื้อมาเป็นของฝากให้เด็กชายตอนที่เขากับอดีตคนรักไปเที่ยวด้วยกัน แต่ใครจะนึกว่าเขาจะมีโอกาสได้เห็นมันมาอยู่ที่นี้ ในห้องธารกัน

           ตอนแรกแก้วกล้าก็อดสงสัยอยู่ไม่น้อยที่เห็นสมุดเล่นนี้วางอยู่บนโต๊ะทำงานของคนตัวโตตอนแรกเขาก็ไม่ได้คิดหรอกว่ามันจะเป็นของเกรทจนตอนที่เขาแอบเห็นที่มุมปกด้านหน้าที่ลงชื่อของเจ้าของตัวจริงเอาไว้  และนั้นมันก็ทำให้เขารู้ว่านอกจากชีวิตประจำวันที่สนุกสนานตามวัยแล้วมันกลับมีความเศร้าที่คล้ายจะหยั่งรากลึกเป็นปมในใจของเจ้าของสมุดนั้น  ถึงเขาจะรู้ว่าคุณหญิงโฉมฉวีร้ายกาจมากมายเพียงใดแต่เขาไม่เคยนึกเลยว่าหล่อนจะกล้าหามน้ำใจของหลานตัวเองได้ขนาดนี้ และยิ่งการป้ายสีความเกลียดชังให้เด็กวัยกำลังเรียนรู้เช่นนี้มันมากเกินที่เขาจะรับไหวกับการที่เด็กวัยกำลังสดใจต้องร่ำไห้กับคำว่าร้ายที่แม่ได้รับ

           ไม่รู้ว่าอ่านไปแล้วกี่หน้าอ่านจนเวลาผ่านไปเท่าไรแล้วจนคนร่วมเตียงหรือก็คือเจ้าของห้องที่แท้จริงเดินกลับเข้ามาพร้อมแก้วนมของเขาถึงกลับต้องร้องทักอย่างตกใจที่เห็นใบหน้าเปื้อนน้ำตาขอเขาเงยขึ้นมามอง

           “แก้ว แก้วเป็นอะไร”

          ธานร้อนรนเป็นอย่างมากเมื่อเห็นว่าแก้วกล้ากำลังร้องไห้จนหน้าแดงอยู่ทั้งที่ก่อนเขาจะออกไปเอานมมาให้อีกคนยังปกติไม่มีทีท่าว่าจะมีเรื่องเศร้าแม้แต่น้อย

           “คุณธาร”

           เสียงแผ่วเบาที่สั่นเครือกับหน้าสมุดที่เปิดค้างอยู่ที่หน้าตักจัดเป็นหลังฐานอย่างดีที่บอกถึงที่มาของรอยน้ำตาบนแก้มใสที่ทำให้เขาเป็นห่วงกังวล  ธารจัดการปิดสมุดเล่มนั้นทันทีแล้วโยนมันไปด้านข้างบนเตียง พร้อมกับรั้งร่างอวบของคนท้องให้เข้าสู่อ้อมกอดของตน

           “ชู่ๆ ไม่ร้องแล้วแก้วไม่ร้อง”

           เขาลูบไปตามท่อนแขนเล็กและแผ่นหลังเพื่อปลอบคนที่เอาแต่สะอื้นเงียบไร้เสียงร้อง ปลอบอยู่ครู่หนึ่งจนคนท้องผละตัวออกจากอ้อมแขนเป็นเชิงว่าดีขึ้นแล้ว ชายหนุ่มจึงลุกขึ้นแล้วหายเข้าไปในห้องน้ำแล้วกลับออกมาพร้อมผ้าขนหนูผื่นเล็กที่ชุ่มน้ำพอหมาด นำมายื่นมันให้อีกคนรับไปเช็ดหน้าเช็ดตาให้รู้สึกสดชื้นขึ้น

           “ดีขึ้นยัง” ธานถามเสียงนุ่ม ซึ่งคนฟังก็ทำเพียงพยักหน้ารับพร้อมเช็ดหน้าเช็ดตาไปด้วย

           “เรื่องในสมุดนั้น” แก้วกล้าเอ่ยขึ้นหลังหยุดสะอื้น แบนสายตามองสมุดปกน้ำตาลเจ้าปัญหาที่นอนนิ่งอยู่อีกด้านของเตียงนอน

           “ของหลานเกรท”  ธานเองก็ไม่คิดปิดปังไหนๆก็เห็นแล้ว สู้บอกเสียจะได้ไม่หมางใจกันเพราะเรื่องแค่นี้

           “ผมรู้ แต่ที่ผมอยากรู้คือทำไมถึงมาอยู่ที่คุณ” เขาถามอย่างแคลงใจ

           “น้องเกลให้ฉันมา”

           ธารบอกออกไปแค่นั้นแก้วกล้าก็พอที่จะรู้ได้แล้วว่าเรื่องของเกรทนั้นทุกคนรับรู้กันหมด และนั้นมันยิ่งทำให้เขาเศร้าหนักกับการที่เขาต้องมารู้ว่าเด็กชายที่ยิ้มสดใสนั้นภายในต้องเจ็บปวดขนาดไหน  ไม่ชอบแม่เนี่ยก็พอรู้แต่ทำไมถึงต้องเอาความเกลียดชังไปลงที่เด็กที่ไม่รู้เรื่องแบบนี้แย่ที่สุด..................

           “อ๊ะ คุณธาร”

            แก้วกล้าถึงอุทานขึ้นอย่างตกใจทันทีเมื่ออยู่แก้มนิ่มนุ่มทั้งสองข้างของเขาถูกมือของธารจับเข้าเข้าที่แก้มพร้อมกับออกแรงดึงให้ยืดจนต้องรีบตะปบมือคู่นั้นออก

           “หมอพลอยบอกว่าห้ามเครียดไงครับ ไม่เอาแล้วไม่คุยเรื่องนี้แล้วมาคุยเรื่องของเราแทนดีกว่า”  ไม่ว่าเปล่าหนุ่มร่างใหญ่ก็ล้มตัวลงนอนบนเตียงนุ่มข้างๆคนท้องคล้ำหัวกับมือที่วางเท้ากับหมอนใบหนาใหญ่สีขาว จ้องมองคนที่นั่งพิงหัวเตียงอย่างเพลินอารมณ์

           “เรื่องของเรา?”
           แก้วกล้าท้วนคำพูดของธารพร้อมมองอีกคนที่นอรมองหน้าเขาอยู่ข้างๆอย่างไม่เข้าใจ เรื่องของเรา เรื่องอะไรเขาไม่เข้าใจ

           “ก็เรื่องของฉันกับแก้วไง ฉันรออยู่นะ”

            สายตาที่สื่อถึงอารมณ์บางอย่างที่ไม่เคยแอบซ่อนแต่นับวันยิ่งแสดงออมาพร้อมมือที่ค่อยๆลูบลงหน้าท้องนูนอย่างเบามือ ธานไม่ได่ต้องการที่จะเร่งเร้าเอาคำตอบจากอีกคนในตอนนี้หรอก เขารอได้  รอให้แก้วกล้าเปิดใจยอมรับเขาเข้าไปในใจเหมือนที่อีกคนเคยเปิดประตูหัวใจให้แทนไทได้เข้าไป...................

         
           “นี้คุณธาร ผมถามอะไรหน่อยสิ”

              แก้วกล้าที่กำลังหาทางออกจากบรรยากาศความรักสีหวานแหว๋วที่ธานสร้างขึ้นก็เรียกอีกคนขึ้นมาเมื่อนึกถึงเรื่องที่บางเรื่องที่เขาอยากจะถามขึ้นมาได้

            “อะไรเหรอ”

           “เรื่องวันนี้” คนถามเกิดอาการลังเลเล็กน้อยแต่ก็กลั้นใจถามต่อ

           “มันเกิดอะไรขึ้นหรือเปล่าครับ” ธารเลิกคิ้วมองอย่างสงสัยพร้อมยันตัวขึ้นนั่งดีๆ

            “คือ ผมเห็นน้องเกรทดูซึมๆนะครับ แถมเหมือนเขาดูกังวลอะไรด้วยเอาแต่บอกว่าจะอยู่กับแม่ไม่อยู่กับย่าอะไรนี้แหละ”

           เมื่อถามเสร็จเขาก็รีมเม้มปากแน่นอย่างไม่รู้ว่าจะได้คำตอบหรือไม่ และไม่รู้ว่าคนถูกถามจะหาว่าเขาสอดรู้เรื่องภายในครอบครัวหรือเปล่า แต่เขาอดเป็นห่วงไม่ได้จริงๆ ยิ่งนึกถึงแววตาเป็นห่วงของเด็กชายกับท่าทางที่พยายามชะเง้อมองหาแม่ตลอดเวลาจนเขาต้องพาเข้าไปนอนกับเกลด้วยนั้นแบบนั้นมันเขาอดที่จะกังวลไม่ได้ว่ามันอาจเกิดเรื่องอะไรบางอย่างที่กระทบจิตใจของเด็กหรือไม่แต่เขาก็กลัวเกินกว่าที่จะถามเด็กออกไป

           “ทำไมถึงอยากรู้”

           เสียงถอนหายใจหนักๆของคนตัวโตทำเอาคนคิดมากเริ่มคิดเยอะว่าสิ่งที่ถามไปเมื่อครู่นี้มันเป็นสิ่งที่ไม่สมควรถามออกไปหรือเปล่าหรือว่ามันอาจเป็นเรื่องที่เขาไม่ควรเข้าไปยุ่งด้วยหรือไม่

           “ถ้าไม่อยากบอกก็ไม่เป็นเป็นไรครับ” ถึงรู้อยู่แล้วว่าคงไม่ได้คำตอบแต่ก็อดน้อยใจไม่ได้ ทั้งที่เป็นห่วง

           “ไม่ใช่ไม่ได้เสียหน่อย” ธารรั้งต้นแขนเล็กของคนที่ทำท่าจะมุดตัวเข้าผ้าห่มให้หันกลับมา

           “มันเป็นเรื่องภายในครอบครัวผมเป็นคนนอก...”

           “แก้วไม่ใช่คนนอก แก้วเป็นคนรักของฉันก็ถือว่าเป็น คนในครอบครัว เหมือนกัน แต่ที่ไม่บอกเพราะไม่อยากให้เครียด หมอพลอยก็บอกแล้วนิว่าไม่ให้เครียด”

           ธานเอ่ยขัดขึ้นมาอย่างใจเย็น ถึงจะไม่พอใจที่ว่าที่คุณแม่พูดว่าตัวเองเป็นคนนอกไม่ควรรู้เรื่องภายใน ทั้งที่บอกทั้งที่ย่ำอยู่เสมอว่าเป็นคนรักของเขาหรือเขายังพูดไม่ตรงอีกฝ่ายถึงไม่เข้าใจความหมาย ไม่เป็นไรเดี๋ยวครั้งนี้เขาจะเน้นย้ำให้ฟังชัดๆเอง

           “ผมก็แค่อยากรู้”
           ชายหนุ่มระบายยิ้มออกมากับน้ำเสียงแผ่วเบาเหมือนรู้สึกผิดของคนตรงหน้าจนอดใจไม่ไหวคว้าตัวเข้ามาใกล้แล้วกอดเอาไว้

           “ถ้าอยากรู้ฉันก็จะเล่า แต่สัญญาก่อนว่าจะไม่คิดมาก”

           เสียงขานรับเบาดังสนองรับคำ ธารถึงยอมเปิดปากเล่าในสิ่งที่ไปประสบ แต่ก็ข้ามเรื่องที่ว่าเป็นแผนการของที่จะเข้าหาคุณหญิงของเขากับน้องเขาไป เพราะมันคงไม่ดีเท่าไรหากจะให้คนรักมองน้องของเขาในทางที่ไม่ดี

           “มิน่าละ แล้วคุณเกลดีขึ้นแล้วหรอครับ”

           “อือ ได้ยาดีขนาดนั้นไม่หายก็ไม่รู้จะว่าอย่างไรแล้ว”

           ธารว่าพลางนึกถึงเสียงเจี๊ยวจ๊าวของหลานชายกับภาพครอบครัวทางไกลที่เขาแอบฟังอยู่หลังประตูห้องของน้อง ตอนที่ลงไปเอานมให้อีกคน  พูดถึงนมแล้วธารก็เพิ่งนึกได้ว่าเขาลงไปอุ่นนมมาให้อีกคนแต่เพราะเรื่องของสมุดไดอารี่นั้นทำให้เขาลืมไปมันเสียสนิทกว่าจะหันไปหยิบมาให้แก้วกล้าดื่มได้ความอุ่นของนมก็หายไปหมดแล้ว

           “ส่วนสมุดนี้ไม่ต้องอ่านมันแล้วนะ ฉันจะเอาไปคืนเกล” ธารเบี่ยงตัวไปหยิบสมุดเจ้าปัญหานั้นก่อนลุงนำไปวางที่โต๊ะทำงานเป็นเชิงว่าห้ามอ่าน

           “รู้แล้ว ผมนอนล่ะพรุ่งนี้ต้องตื่นไปทำงานอีก”

           แก้วกล้าว่าก่อนค่อยๆล้มตัวลงนอนหันข้างเพื่อเตรียมตัวนอน แต่ยังไม่ทันไรเขาก็รู้สึกได้ถึงเงาขนาดใหญ่ที่ค้อมตัวเขาจนบดบังแสงนีออนจนมืดไปหมด

           “แต่ฉันไม่ให้ไป” ธานค้าน

           “ทำไม” เขาถามอย่างสงสัยเจือด้วยความไม่พอใจ

           “เธอท้องอยู่”  เหตุที่ได้ทำเอาเขากรอกตาไปมา

           “แต่ก็ไม่ได้ใกล้คลอดนิ อีกอย่างผมยังมีงานค้างที่ต้องเคลียร์ก่อนลาคลอดอีกนะ”

            ถึงจะแย้งไปแต่งานค้างที่ว่าก็ไม่ได้มากอย่างที่พูด ส่วนหนึ่งเพราะชิตรัตน์ให้ชาติเขามาช่วยด้วยเหตุผลว่าชาติเป็นผู้ช่วยของเขาต้องเรียนรู้งานเพื่อว่าเขาคลอดชาติจะได้ทำงานแทนได้อย่างไม่มีปัญหา แต่ดูท่าแล้วคนตัวโตที่ค้อมเขาอยู่จะไม่รับฟังเหตุผลของเขาเลยสักนิดและยังคงที่ดึงดันต่อไปอีก

           “แล้วยังไง ถึงไม่ใกล้คลอด แต่แก้วมีสิทธิคลอดก่อนกำหนดได้ทุกเวลาแค่ขอลาหยุดก่อนสักสองสามเดือนจะเป็นไรไป”

           “นี้คุณผมเป็นลูกจ้างนะไม่ใช่เจ้าของบริษัทที่จะนึกอยากจะหยุดก็หยุดนะ”

           แก้วกล้ากรอกตาไปมาก่อนจะเถียงกลับด้วยความรู้สึกไม่สบอารมณ์กับความเอาแต่ใจของคนตัวโตที่ดูจะจู้จี้กับชีวิตเสียเหลือเกิน แก้วกล้าจึงดึงผ้าห่มที่โดนทับให้ออกจากการโดนกดทับมาขึ้นคุมตัวจนถึงคอแล้วหลับตาหนีอีกคนเพื่อที่ว่าจะได้ไม่ต้องมาต่อล้อต่อเถียงกันอีก

           ธารมองคนหัวรั้นแล้วได้แต่ส่ายหน้า เขาก็แค่เป็นห่วงกลัวว่าจะเกิดเรื่องตอนนี้เขาไม่อยู่แถมหมอพลอยยังบอกว่าแก้วของเขามีโอกาสคลอดก่อนกำหนดเพราะความเสี่ยงในเรื่องครรภ์เป็นพิษมันยิ่งทำให้เขาเป็นกังวล แต่ดูสิคนที่เขาเป็นห่วงกลับรั้นจะไปทำงานเขาล่ะเหนื่อยใจจริงๆนี้อีกคนจะรู้บ้างไหมว่าเขาเป็นห่วงขนาดไหน   ธานบ่นกับตัวเองในใจก่อนจะล้มตัวนอนซ้อนหลังของคนท้องกอดกระชับแขนกอดรอบครรภ์โต

           “ฉันแค่เป็นห่วงกลัวแก้วกับลูกจะเป็นอะไรก็เท่านั้น”

           “เอางี้ไหม ถ้าแก้วเป็นห่วงเรื่องงานที่ค้างอาทิตย์นี้แก้วก็ไปเคลียร์มันสะแล้วหลังจากนั้นจนกว่าจะคลอดก็เอางานมาทำที่บ้านดีไหมอย่างน้อยให้มีคนคอยดูแก้วเวลาฉันไม่อยู่ฉันจะได้สบายใจ ตกลงนะ”

            เมื่อเห็นอีกคนไม่มีท่าทางขัดขืนข้อตกลงที่เขาว่างเอาไว้จึงสรุปโมเมว่าอีกคนตกลง ธารเลยลุกขึ้นจากเตียงคว้าโทรศัพท์ส่วนตัวออกไปหน้าระเบียงกดไล่หาเบอร์ที่เขาต้องการแล้วโทรออก คงไม่ต้องเดาให้มากว่าคนที่ชายหนุ่มลูกครึ่งต่อสายหายามวิกาลแบบไม่เกรงใจจะเป็นใครไปได้ในตอนนี้ถ้าไม่ใช่เจ้านายเพียงคนเดียวของแก้วกล้าอย่างชิตรัตน์

           คนท้องที่แกล้งหลังเมื่อครู่ลืมตามองแผ่นหลังของจอมเผด็จการที่คลายอ้อมกอดแล้วออกไปคุยโทรศัพท์ข้างนอก เจ้าตัวได้แต่ส่ายหน้ากับความเจ้ากี้เจ้าการไม่เข้าเรื่องของอีกคนแต่ก็อดไม่ได้ปฏิเสธว่ารู้สึกดีที่มีคนคอยเป็นห่วงเป็นใยเช่นนี้จนเผลอยิ้มอย่างพอใจแบบไม่รู้ตัว

           “หมียักษ์เอ๋ย”
 
.....................................................
 
           เช้าวันต่อมาแก้วกล้ายังคงมาทำงานตามปกติอาจมีเพิ่มเติมเล็กน้อยในตอนเช้าที่มีเด็กชายมาสร้างสีสันให้มื้อเช้าดูครึกครื้น อ้อ คงต้องเพิ่มสายตากลุมกลิ่มของเจ้านายหน้าหล่อที่ส่งมาให้ตั้งแต่ตอนเช้านั้นด้วย จนคนช่างสงสัยเช่นเขาทนต่อความอยากรู้ไม่ไหวจนต้องเข้าไปถามให้รู้แล้วรู้รอด

           “มองผมแบบนี้หมายความว่าไงครับ”

            เสียงแหลมเล็กที่พยายามดัดให้ดูเข้มขึ้นเพื่อหวังว่าจะทำให้คนฟังรู้สึกน่ากลัวแล้วยอมตอบคำถามของเขา หากแต่ผลที่เขาคาดหวังไว้กลับผิดถนัดเพราะมันกลับทำให้คนฟังนั้นอดที่จะอมยิ้มขำไม่ได้

           “ก็เปล่านิ แก้วอย่างคิดมากสิ” ชิตรัตน์บอกปัดทั้งที่มุมปากยังยกยิ้มขำอยู่ จนเจ้าของชื่อเริ่มหน้าหงิกงออย่างขัดใจ

           “คุณชิน!”

           “ฮ่าฮ่าฮ่า”
           คราวนี้ชิตรัตน์ปล่อยเสียงหัวเราะออกมาทันทีที่โดนแก้วกล้าท้าวสะเอวเรียกชื่ออย่างสุกกลั่น ทำเอาคนที่ถูกหัวเราะใส่ต้องเบาะปากไม่พอใจ

           “คุณชินครับเลิกแกล้งคุณแก้วเถอะครับ”
            เป็นชาติที่ยืนมองอยู่นานเอ่ยขัดเจ้านายของตนขึ้นมาเมื่อเห็นท่าทางคนท้องเริ่มที่จะแสดงออกมาว่าไม่พอใจ

           “นั่งก่อนดีกว่าเนอะแก้ว ชาตินายไปเอาน้ำผลไม้มาให้แก้วหน่อยละกัน”
           ชิตรัตน์เบี่ยงประเด็นพร้อมผายมือเชิญให้แก้วนั่งลงที่โซฟาก่อนที่ตนจะเดินไปนั่งลงตรงที่ว่างฝั่งตรงข้ามคนท้อง เพื่อจะได้คุยกันได้สะดวก

           “คราวนี้พูดได้ยังครับ”

           “ใจร้องจังนะ เดี๋ยวหลานฉันก็กลายเป็นเด็กขี้หงุดหงิดหรอก” ชิตรัตน์เอ่ยแซว

           “คุณก็พูดมาสิครับ ว่ามีอะไรทำไมต้องกลั้นขำด้วยเวลาเห็นแก้ว”

           แก้วกล้าเริ่มขึ้นเสียงอย่างไม่พอใจ เพราะตั้งแต่เช้าที่เจอหน้ากันทั้งชิตรัตน์และชาติดูจะชอบยิ้มกลุ้มกลิ้มเวลาที่มองมาทางเขาแปลกๆเหมือนมีเรื่องอะไรสักอย่างและตนถึงเมื่อกี้นี้อีกที่เขาเอารายงานการประชุมเมื่อเช้าเข้ามาให้ชิตรัตน์ก็ดูจะยิ้มแปลกๆใส่เขาจนจากที่นาสงสัยกลายเป็นหน้าหงุดหงิดเอาดื้อๆ

           “เมื่อคืนคุณธารโทรหาฉัน เธอรู้ใช่ไหม”  ชิตรัตน์เท้าความขึ้นให้เขานึกตามก่อนจะพยักหน้ารับ ก็เมื่อคืนเขายังไม่ได้หลับนิเรื่องที่พูดกับเขาได้ยินหมดแหละ.....

           “เขาโทรมาขอลางานให้เธอตั้งแต่อาทิตย์หน้าจนกว่าเธอจะคลอด”  เจ้ากี้เจ้าการไม่เข้าเรื่อง.....เขาบ่น

           “ดูคุณธารจะเป็นห่วงเธอมากเลยนะ”

           “...”

           “ใจอ่อนให้เขาแล้วสินะ”

           “คุณชิน!”

           คนท้องว่าเสียงดังเพื่อกลบเกลื่อนอารมณ์ร้อนผ่าวที่แทบระเบิดบนใบหน้าแดงตัวเอง ทำให้คนที่เพิ่งเดินเข้ามาใหม่อีกครั้งอย่างชาติอดสะดุ้งตามไปด้วยไม่ได้

           “ก็ดีแล้วไม่ใช่หรอที่มีคนมาดูแลนะ”

           “...”

           “คุณธานเขาก็เป็นดี ดูท่าแล้วจะรักแก้วมากด้วยมันก็ดีแล้ว”

           “...”

           “แต่ที่ฉันอยากรู้คือเรื่องของเธอนะแก้ว”
           น้ำเสียงหยอกล้อเมื่อครู่เปลี่ยนเป็นน้ำเสียงจริงจังในช่วงพริบตาจนคนท้องรู้สึกแปลกใจ  เรื่องของเขามันมีอะไรน่าสนใจด้วยหรอ....

           “วันนั้นที่ไปหาหมอเธอจะบอกว่าไม่เป็นอะไรมากแต่สีหน้าและอาการเป็นห่วงจนมากเกินเหตุของคุณธารมันทำให้ฉันคิดนะ มันมีอะไรมากกว่านั้นใช่ไหม“  ชิตรัตน์ไล่ต้อนถามอย่างจับผิด

            “คือแก้ว...”

           “แก้ว ที่ฉันถามเพราะว่าเป็นห่วงเธอเองก็อยู่กับฉันมานานจนเป็นเหมือนน้องชายของฉันอีกคนแล้วยิ่งมาเห็นที่แม่ทำกับเธอวันนั้นแล้วฉันยิ่งไม่สบายใจเกิดเธอเป็นอะไรขึ้นมามากกว่าที่พูดจะทำยังไง"

           เสียงของชิตรัตน์ที่มักจะอ่อนโยนอยู่เสมออยู่ก็กลับแข็งกร้าวขึ้นมายามเมื่อพูดถึงเรื่องวันนั้น จนแก้วกล้ากับชาติรู้สึกได้แต่ก็ไม่มีใครพูดอะไรออกมา

           “หมอบอกว่าแก้วมีความเสี่ยงที่จะครรภ์เป็นพิษ มีโอกาสคลอดก่อนกำหนด” มาถึงขั้นนี้แล้วปิดไปก็รั้งแต่ทำให้รอบข้างเป็นห่วงเสียเปล่าๆ

           “คุณธารกลัวว่าจะเกิดอะไรขึ้นเลยอยากให้แก้วหยุด แต่แก้วยะ..”

           “ทำตามที่คุณธารว่านั้นแหละดีแล้ว” ชิตรัตน์เอ่ยขัดขึ้น เสี่ยงที่จะครรภ์เป็นพิษมันไม่ใช่เรื่องเล่นๆและยิ่งมีโอกาสที่จะคลอดก่อนกำหนดได้ทุกเมื่อแบบนี้ก็เท่ากับว่าคนเป็นแม่ร่างกายไม่สมบูรณ์พอ ดังนั้นเรื่องนี้เขาจึงเห็นด้วยกับความคิดของธาร

           “แต่ว่า...”

           “ฉันรู้ว่าเธอไม่อยากจะหยุดงาน ฉันคุยกับชาติแล้วว่าตั้งแต่อาทิตย์หน้าฉันจะให้เธอทำงานอยู่แต่บ้านจนกว่าจะคลอดและส่วนงานที่บริษัทชาติจะเป็นคนจัดการ”

           “คุณแก้วไม่ต้องห่วงครับหากมีงานอะไรเข้ามาใหม่ผมจะแจ้งให้ทราบตลอดเวลา”

           ชาติเสริมขึ้น เขาเข้าใจดีว่าแก้วกล้าเป็นคนมีความรับผิดชอบสูงถ้าเป็นเรื่องงานแล้วล่ะก็อีกคนจะไม่ยอมปล่อยมันจนกว่าจะเสร็จเรียบร้อย  แต่ถึงยังไงเขาก็ทำหน้าที่ผู้ช่วยเลขาของแก้วกล้ามานานงานของแก้วกล้าเขาก็เป็นคนคอยช่วยอยู่ตลอดเขาก็พอที่จะรู้เรื่องเกี่ยวกับการทำงานของอีกคนดี

           “ตารางงานในแต่ละวันแก้วก็จัดการให้ฉันปกติ  ส่วนเอกสารที่ต้องผ่านการพิจารณาฉันจะให้ชาติส่งให้เธอดูอีกรอบก่อนเอามาให้ฉันเซ็น ตกลงไหม”

           “ก็ได้ครับ”

           เมื่อชิตรัตน์กับชาติพูดมาขนาดนี้แล้วเขาก็ไม่เห็นถึงความจำเป็นอะไรที่จะดื้อเพ่งเถียงต่อไปให้คนอื่นเป็นห่วง ดังนั้นเขาจึงยอมตกลงกับข้อเสนอนี้นั้นไป

           “ดีแล้ว งั้นกินน้ำผลไม้ให้หมดแล้วก็ไปเคลียร์งานสะ เพราะเธอคงต้องหยุดยาวหลายเดือน” ชิตรัตน์ระบายยิ้มพอใจ

           แก้วกล้ายอมที่จะรับแก้วน้ำที่บรรจุของแหลวสีม่วงอมแดงขึ้นมาดื่มจนหมดพร้อมกับส่งแก้วเปล่านั้นให้ชาตินำไปเก็บ หากแต่ตัวของเขานั้นยังคงนั้นอยู่ที่เดิมจนชิตรัตน์เอ่ยทักขึ้นอย่างแปลกใจคิดว่าอีกคนอาจมีเรื่องที่จะคุยกับตนเป็นการส่วนตัวหรือเปล่า

           “มีอะไรหรือเปล่าแก้ว”

           “คือ....เรื่องเมื่อวาน”

           “ทำไม “

           “แก้วอยากรู้ ว่าคุณชินจะเอายังไงต่อ”

           จะว่าเขาสอดรู้ก็ได้นะแต่เขาอยากจะรู้จริงๆ ในเมื่อเรื่องมันมาขนาดนี้แล้วเขาก็อยากรู้ว่าชิตรัตน์จะเอายังไงต่อไปถ้าถึงกับว่าเอาเกรทมาให้อยู่กับเกลแบบนี้แล้วแสดงว่าเจ้านายของเขากำลังที่จะทำอะไรบางอย่างอยู่แน่..........

           “ก็คงต้องเลือก”

           ชิตรัตน์เอ่ย สำหรับเรื่องนี้แก้วกล้าถือเป็นคนที่มีส่วนไม่มากก็น้อยเพราะเขาเองก็มักจะปรึกษาหารือเรื่องนี้ด้วยเป็นประจำ ดังนั้นเมื่ออีกฝ่ายถามเขาจังไม่ลังเลที่จะพูดหรือปกปิด

           “เลือกหรอครับ?”

           “ใช่  เมื่อก่อนฉันแคร์และตามใจคุณแม่มาตลอดอาจเพราะโรคหัวใจที่ท่านเป็นอยู่ร่วมถึงฉันเหลือท่านเพียงคนเดียวด้วยละมั้งเลยทำให้ไม่ว่าท่านจะพูดหรือตั้งข้อแลกเปลี่ยนอะไรฉันก็ไม่เคยขัด  แต่จากเหตุการณ์วันนั้นที่เกิดกับเธอ กับเหตุการณ์เมื่อวานคุณธารคงเล่าให้เธอฟังบางแล้วสินะ” เขาพยักหน้าแล้วรอฟังต่อ

           “ฉันคิดว่าฉันคงสปอยด์ท่านมากเกินไป ปกติก็เอาแต่ใจตัวเองอยู่แล้วยิ่งฉันสปอยด์ท่านอีกก็เลยคิดว่าตัวเองเป็นศูนย์กลางของทั้งโลก ข้อนี้ฉันผิดเองละ”

           ข้อดีอย่างหนึ่งที่แก้วกล้ามักชื้นชมเจ้านายมาตลอดเลยก็คือ เขามักจะวิจารณ์การทำงานหรือพฤติกรรมคนแบบตรงไปตรงมาไม่กลัวว่าจะเสียผลประโยชน์แม้จะเป็นลูกค้าหากผิดก็ว่าตามที่ผิด

           “และฉันก็ต้องขอโทษเธอด้วยนะ ที่ดูแลเธอได้ไม่ดี”

           “ไม่หรอกครับ คุณทำดีที่สุดแล้ว” เขายิ้มรับ

           “ส่วนเรื่องเกล ยังไงฉันก็จะเดินหน้าต่อไปถึงคุณแม่ไม่ยอมรับก็ไม่แคร์ นี้ครอบครัวของฉันฉันเลือกแล้ว”

           สายตามุ่งมั่นอย่างมีความหวังของชิตรัตน์ที่เขามักจะเห็นทุกครั้งที่อีกคนพูดถึงครอบครัวมันแสดงให้รับรู้ได้ตลอดเวลาว่าชิตรัตน์รักครอบครัวของตนมาเพียงใด แม้จะผิดพลาดแต่อีกคนไม่เคยท้อที่จะผสานมันกลับคืนมาเลยสักครั้ง แต่สิ่งที่เขากังวลไม่ใช่เรื่องนั้นหากแต่เป็น....

           “แต่คุณหญิงคงไม่หยุดแค่นี้แน่”  ใช่ คนอย่างคุณหญิงถ้าลองพูดว่าเกลียดแล้วต่อให้ดีหรือถูกใจมากแค่ไหนอีกฝ่ายก็ไม่เห็นดีเห็นงามตามแน่นอน

           “ก็คงงั้น แต่ฉันก็คงไม่งอมืองอเท้าปล่อยให้ลูกเมียฉันเป็นอะไรแน่ ถ้าท่านไม่ยอมหยุดฉันนี้ละจะเป็นคนที่ทำให้ท่านหยุดเองไม่ว่าจะด้วยวิธีไหนก็ตาม”

           แก้วกล้านั่งฟังก็พอเข้าใจความรู้สึกของชิตรัตน์ที่ถือว่าเป็นคนกลางของเรื่องนี้พอควรจนอดเห็นใจไม่ได้ ฝ่ายหนึ่งก็แม่ที่เลี้ยงดูมาตั้งแต่น้อยแถมยังเป็นญาติที่เหลืออยู่เพียงคนเดียว  อีกฝ่ายก็ลูกกับคนรักชั่งเป็นการเลือกที่ยากลำยากพอควรจริงๆ

           เขานั่งคุยกับชิตรัตน์ในเรื่องงานต่ออีกสักพักก่อนขอตัวออกไปจัดการงานที่ค้างอยู่  ชาติที่มีโต๊ะทำงานอยู่ใกล้ๆบอกเขาว่าเมื่อครู่ฝ่ายบริการเอารายงานประจำเดือนมาให้ซึ่งเจ้าตัวตรวจสอบแล้ววางไว้ให้ที่โต๊ะเพื่อให้เขาดูอีกรอบก่อนส่งให้เจ้าของห้องที่เขาเพิ่งเดินออกมา แก้วกล้าลงมือตรวจสอบแล้วเรียงความสำคัญของงานไปเรื่อยๆตามหน้าที่ที่ได้รับ
 
          ปิ๊บ ปิ๊บ
 
           เสียงข้อความจากโทรศัพท์ดังขึ้นพร้อมแรงสั่นเบาๆที่โต๊ะทำให้เขาต้องละความสนใจจากงานในมือ มองไปที่เจ้าเครื่องมือสื่อสารที่ตอนนี้ดับแสงแจ้งเตือนลงแล้ว  แก้วกล้าคว้ามันขึ้นมาก่อนเปิดดูเพื่อว่ามีอะไรสำคัญ

          //ตอนเที่ยงคงไม่ได้ไปกินข้าวด้วยต้องไปเช็คของที่ท่าเรือ แต่เดี๋ยวตอนเย็นจะรีบไปรับนะ ดูแลตัวเองด้วยฉันเป็นห่วง
             รักแก้วนะ //

           ตัวอักษรที่ส่งผ่านมาจากคนที่ถึงแม้จะไม่เห็นหน้าแต่ดูเหมือนความรู้สึกจะส่งผ่านมาถึงจนอดอมยิ้มขึ้นมาไม่ได้  อ่า นั้นสินะถึงเวลาเปิดใจรับอีกคนเข้ามาจริงๆแล้วเสียที คงอีกไม่นานนี้แล้วละที่เขาจะกล้าพูดได้อย่างเต็มปากว่า รัก ผู้ชายตัวโตคนนี้เสียที

           ขอเวลาอีกนิดนะ ขอให้เขามั่นใจกว่านี้ว่าเขาเองก็รู้สึกเหมือนที่อีกคนรู้สึกแล้วเขาจะเป็นคนพูดคำนั้นต่อหน้าอีกคนเอง................

________________________________________________________

ขอบคุณที่ติดตามนะคะ

ออฟไลน์ Jibbubu

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3385
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-6
หวังว่าจะสมหวังในเร็ววันนีนะคะ

ออฟไลน์ saseum

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 413
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0


เกลียดแม่พระเอกจริงๆ เหมือนเป็นโรคจิตเนอะ คุณแม่เนี่ย

ออฟไลน์ wavery

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 124
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-2

ฝนหยดที่ 20



           “งานเลี้ยงครบรอบ70ปีของโรงแรงหรือครับ”

           เสียงแหลมใสของแก้วกล้าเอ่ยขึ้นอย่างฉงนเมื่อไล่สายตามองเอกสารที่ทางฝ่ายสถานทีของโรงแรมนำมายืนให้เขาพิจารณาก่อนที่จะส่งต่อให้ชิตรัตน์เซ็นชื่อรับรอง

           “ครับ อย่าบอกนะครับว่าคุณแก้ว ลืมนะ” คุณณัฐชา หัวหน้าฝ่ายสถานที่เอ่ยถามเมื่อเห็นสีหน้างงงวยของคู่สนทนา

           “อ่า ต้องขอโทษด้วยจริงๆครับคุณณัฐชาผมลืมจริงๆ”

           แก้วกล้าหน้าเจือลงทันที ก็นะงานครบรอบของโรงแรมนี้ถือว่าเป็นงานใหญ่ประจำปีเลยก็ว่าได้แต่เขากลับลืมมันเสียได้ทั้งทีมีการปิดประกาศรอบโรงแรมมาตั้งแต่ต้นเดือนแล้ว ไหนจะโปรโมชั่นราคาที่พักพิเศษอีก นี้ยังไม่ร่วมถึงราคาจองคอนโดใหม่ที่ลดพิเศษตอนรับเดือนแห่งการครบรอบด้วย และที่สำคัญงานมีในอีกสองอาทิตย์ที่จะถึงนี้แล้วด้วย ตายๆๆ เขาลืมงานสำคัญแบบนี้ไปได้ยังไงกัน....

           “ไม่เป็นไรหรอกครับ”

           แก้วกล้ายิ้มเจือพร้อมกล่าวขอโทษถึงความสะเพร่าของตนเองก่อนจะแจ้งผู้เป็นนายใหญ่ของโรงแรมได้ทราบแล้วจึงเชิญผู้มาเยือนให้เข้าไปเพื่อแจกแจงรายระเอียดต่างๆเพิ่มเติม

           ก๊อก ก๊อก

           “กำลังรออยู่เลยครับ”

           ชิตรัตน์วางปากกาในมือลงพร้อมเงยหน้าขึ้นยิ้มรับการมาของณัฐชาหนุ่มวัยกลางคนที่มากไปด้วยความสามารถที่ใช้เวลาไม่นานก็สามารถไต่เต้าขึ้นสู่ตำแหน่งหัวหน้างานได้อย่างไม่ยากเย็นด้วยวัยเพียงแค่สี่สิบปี จนเขาเองยังอดชื้นชมอยู่ในใจไม่ได้

           “นี้ครับรายละเอียดสถานที่จัดงานแล้วก็กำหนดการต่างๆที่ทางผมคิดไว้คราวๆ ยังไงรบกวนคุณชิตรัตน์ตรวจดูอีกสักรอบด้วยนะครับว่ามีปัญหาอะไรที่ต้องแก้ไขเพิ่มหรือต้องการจะเพิ่มเติมในส่วนไหนบ้าง”

           ณัฐชาหันเอกสารที่ตนนำติดมือมาด้วยให้ชิตรัตน์ตรวจสอบสิ่งที่เจ้านายของเขาต้องการให้ทางฝ่ายสถานที่ลงรายละเอียดเพิ่มมากขึ้นจากที่เขาเสนอไปในช่วงการประชุมเช้าเมื่อวานที่ผ่านมา

           ชิตรัตน์ไล่มองรายละเอียดของสถานที่จัดงานรวมไปถึงตารางกำหนดการในวันนั้นรวมถึงรายชื่อแขกสำคัญต่างๆที่จะต้องเชิญในงานและนักข่าวจากสำนักพิมพ์ที่ทางโรงแรมอนุญาตให้เข้ามาทำข่าวภายในงานได้

           นักข่าวหรอ ?

           “มีปัญหาอะไรหรือเปล่าครับ”

            ณัฐชาเอ่ยทักเมื่อเห็นสีหน้าเหมือนคนคลุมคิดบางอย่างจนหัวคิ้วชนกันเป็นปมแน่นของเจ้านายหนุ่มตรงหน้า จนอดไม่ได้ถามออกไป ด้วยเกรงว่ารายละเอียดงานที่ตนกับลูกน้องช่วยกันบรีฟออกมาจะเกิดปัญหาจนเป็นที่หน้าไม่พอใจหรือยังมีอะไรที่ขาดที่พวกเขามองข้ามไปอีก

           “เปล่าหรอกครับ ผมแค่นึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้เฉยๆ”

           ชิตรัตน์ว่าตัดความกังวลของอีกฝ่ายพร้อมส่งยิ้มน้อยๆให้เพื่อแสดงว่าตนไม่ได้มีเจตนาจะติติงงานของอีกคนจริงๆดังทีว่า เขาก็แค่นึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้

           “อย่างให้เพิ่มอะไรหรือเปล่าครับ”

           “ครับ ผมมีเรื่องอย่างให้คุณช่วยเพิ่มเข้าไปให้ด้วย”

           เขายกยิ้มกับความรู้ใจของรุ่นพี่ผู้มากประสบการณ์ตรงหน้า ที่แค่มองหน้าก็รับรู้ได้ว่าเขาตรงการสิ่งใดอย่างนี้ค่อยคุยกันง่ายหน่อย.....

.....................................................

              “ไม่ได้ แม่ไม่ยอม” เสียงไม่พอใจของคุณหญิงโฉมฉวีดังให้ได้ยินมาจากห้องนั่งเล่น ทำเอาคนที่เดินตามเข้ามาอย่างชิตรัตน์ได้แต่ถอนหายใจออกมาอย่างแรงกับความดื้อดึงของมารดา

           “แต่แม่ครับ”

           “นี้ตาชิน แม่บอกแล้วไงเพลงที่จะใช้ในต้องเป็นดนตรีสดบรรยากาศในงานเลี้ยงตอนเย็นมันจะได้ดูดี ไหนจะช่วงที่มีการแถลงข่าวเรื่องโปรเจคใหม่ของเราอีกละ” 

           คุณหญิงบอกถึงความเห็นในการจัดงานที่ลูกชายนำรายงานที่ได้รับวันนี้มาให้ดูคราวๆก่อนจะพบกับความผิดปกติบางอย่าง  แต่จริงๆแล้วมันก็คือความต้องการของหล่อนเองด้วยนั้นที่อยากได้นักดนตรีมาเล่นสดในงาน

           “ผมก็เข้าใจความต้องการของแม่นะครับ แต่ว่าเราจะหาได้ทันหรือครับงานมันจะมีอาทิตย์หน้านี้แล้ว”

            เขาแย้ง จริงๆเขาก็คิดเหมือนกับแม่อยู่เหมือนกกันในเรื่องนี้แต่บังเอิญว่าวงดนตรีคลาสสิกที่ตกลงกันเอาไว้ในตอนแรกไว้เกิดเหตุเฉพาะกิจบางอย่างทำให้ไม่สามารถมาเล่นในวันงานได้ แถมเพิ่งยกเลิกไปเมื่ออาทิตย์ที่แล้วด้วยทำให้การจะมองหาวงดนตรีวงใหม่มาเล่นแทนก็หาตัวยากมากเพราะไม่มีวงไหนเลยที่มีคิวว่างตรงกับวันงาน

           “แล้วเลขาตัวดีของแกเขาไม่จัดหามาให้หรือไง หรือว่าวันๆเอาแต่ทำเรื่องไม่เป็นเรื่อง” พอไม่ได้ดังใจต้องการก็เริ่มที่จะว่าแขวะแดกดันคนอื่นแทน ทำเอาคนที่ฟังอยู่ได้แต่ส่ายหน้ากับอคติที่คุณหญิงมี ซึ่งบางทีมันก็เยอะไป....

           “ไม่ใช่อย่างงั้นครับ”

           “ปกป้องกันดีจริงนะ”

           “แม่ครับ”

           “อ่ะๆๆๆ เอาอย่างงี้ละกัน ถ้ามันหาไม่ได้จริงๆ ก็ค่อยเปิดแผ่นเอาเดี๋ยวมันจะมีคนหาว่าฉันเป็นพวกเรื่องมาก” ว่าจบก็กอดอกเชิดหน้าไปอีกทาง

           “ครับ แล้วแม่จะเข้าไปดูการจัดงานที่โรงแรมไหมครับ”

            เขาถามเพราะปกติแล้วเวลามีงามเลี้ยงรับรองหรืองานใดๆที่มีความสำคัญของโรงแรมคุณหญิงท่านจะลงเป็นแม่งานจัดงานเองทุกครั้ง และครั้งนี้ก็คงเช่นกันเลยลองถามยันเชิงดูก่อนเพื่อจะได้นำไปบอกให้คุณณัฐชากับพวกเด็กๆฝ่ายจัดงานให้ได้เตรียมตัวรอรับมือ

           “ยังจะถามอีกหรอขืนไม่ลงไปทำเดี๋ยวก็ได้ทำงานใหญ่เละกันพอดี” ถึงแม้ที่ผ่านมาการจัดเลี้ยงหรือรับรองแขกสำคัญของโรงแรมแม้ตนจะไม่ได้ลงไปดูเองก็จัดกันได้อย่างไร้ที่ติ จะว่าไม่ไว้ใจหรือก็ไม่แต่คงเพราะกลัวว่าจะไม่ได้ออกมาตามความต้องการของตนมากกว่าเลยต้องลงไปดู ยิ่งงานสำคัญต่อกิจการครอบครัวอย่างงี้แล้วยิ่งต้องเข้าไปกำกับเอง

           “เดี๋ยวพรุ่งนี้สักบ่ายๆฉันจะเข้าไปแล้วกัน รอทานข้าวพร้อมกันด้วยละ”  คุณหญิงว่าก่อนลุกขึ้นเพื่อกลับไปยังห้องนอนของตัวเองเพื่อพักผ่อน ทิ้งชิตรัตน์ไว้เพียงลำพัง

 
           ค้อยหลังของผู้เป็นแม่ไปชิตรัตน์ก็ล้วงมือหยิบโทรศัพท์ส่วนตัวของตนออกมากดต่อสายถึงคนที่คิดถึงทันทีโดยไม่ลืมที่จะชะโงกมองเพื่อความแน่ใจว่าแม่จะไม่มาย้อนกลับลงมาเห็นว่าเขากำลังทำอะไรอยู่ จนเผลอคิดไม่ได้ว่าการกระทำของเขาในตอนนี้เหมือนกับพวกเด็กวัยรุ่นริมีรักที่ต้องแอบครอบครัวคบกันยังไงอย่างนั้น

           // ครับพี่ชิน//

           เสียงใสที่เอ่ยทักขึ้นมาหลังที่รอสายเอยู่สักพักเป็นเหมือนยาชูกำลังขนาดหนึ่งที่แต่ได้ยินเสียงก็รู้สึกกระชุมกระชวยช่วย

           “ทำอะไรอยู่ครับคนดี”

           //เพิ่งทานข้าวเย็นเสร็จครับ พี่ชินละทานอะไรหรือยัง”

           “พี่กินเรียบร้อยแล้ว แล้วลูกทำอะไรอยู่”

           //น้องเกรทนั่งดูการ์ตูนอยู่กับปีแอร์ที่ห้องนั่งเล่นน่ะครับ พี่ชินจะคุยกับลูกไหม//

           “ปล่อยแกดูไปก่อนเถอะ พอดีพี่มีเรื่องจะคุยกับเรานะ”

           //เรื่องอะไรหรือครับ//

            “อาทิตย์หน้านี้เกลกับคุณธารว่างหรือเปล่าคือพี่ไม่แน่ใจว่าแก้วได้บอกเรื่องนี้ให้ฟังหรือยังนะ แต่มันเป็นวันครบรอบของโรงแรมพี่แล้วพี่คิดจะจัดแถงข่าวเรื่องโปรเจคที่พี่ทำร่วมกับคุณธารนะ เลยอยากจะเชิญคุณธารมาร่วมในงานนี้ด้วย”

           //ครับ เห็นคุณแก้วก็เปรยๆไว้อยู่แต่ไม่ได้พูดเรื่องงานแถลงข่าวเดี๋ยวยังไงเกลบอกพี่ธารให้แล้วกันนะครับ//

           “แต่งานนี้พี่อยากให้เกลมาด้วยจะได้ไหม”

           //.....//

           “เกล..”

           // ...//

           อยู่ๆปลายสายก็เงียบไปถึงจะเข้าใจอยู่ลึกๆว่าเพราะอะไรแต่เขาก็อยากให้อีกคนมาร่วมงานด้วย

           “พี่อยากให้เกลไปร่วมงานด้วย พี่เชื่อว่างานใหญ่ขนาดนี้แม่พี่คงไม่กล้าทำกระโตกกระตากแน่”

           งานใหญ่ที่ถูกอ้างย่อมหมายถึงหน้าตาและชื่อเสียงเขามั่นใจเต็มร้อยว่ามารดาแสนเอาแต่ใจของเขาคงไม่คิดอาละวาดกลางงานให้ความน่าเชื่อถือร่วงถึงชื่อเสียงของตนต้องมัวหมองแน่นอน

           //แต่ว่าคน...//

           เป็นเขาเสียเองที่ได้ยินคำพูดนั้นแล้วถึงกับต้องเงียบเสียงลง    ...อ่า...  นั้นสินะเขาลืมคิดถึงเรื่องตรงนี้เสียสนิทเกลยังไม่ปกติดีในเรื่องของการอยู่ร่วมกับคนหมู่มากและในวันงานรับรองได้เลยว่าคนต้องเยอะพอตัวจากที่คุณณัฐชาเอารายชื่อแขกมาให้ดูเมื่อเที่ยงอย่างต่ำก็อยู่ที่ห้าสิบแล้ว  งานนี้คงจะต้องตัดใจเสียอย่างน้อยเพื่อสุขภาพจิตของอีกฝ่าย

           //แต่ถ้าพี่ชินอยากให้ไปเกลไปด้วยก็ได้นะครับ//

           “ไม่ต้องหรอกเกล ถ้ามันต้องฝืนมากเกลไม่ต้องก็ได้พี่เข้าใจ” เขาเข้าใจดีถึงจะถูกปฏิเสธเขาก็เข้าใจดีไม่ถือโกรธอีกคนแน่นอน

           //ไม่ครับ เกลไหวเกลไปได้แต่....// เสียงปลายสายเว้นวรรคไปช่วงหนึ่ง ก็ไม่ได้ลดทอนความดีใจที่อยู่ในอกลงได้แม่แต่น้อย

           //เกลขอให้พี่ชินอยู่กับเกลได้ไหม//

           คำขอร้องแสนน่ารักนั้นอดที่จะทำให้เขาเผลอระบายยิ้มออกมาไม่ได้ ในเมื่อเด็กน้อยแสนขี้กลัวของเขาขอมาขนาดนี้แล้วมีหรือเขาจะปฏิเสธได้ จริงไหม......

           “ได้สิครับ ถึงเกลไม่ขอพี่ก็จะอยู่ข้างๆเกลตลอดทั้งงานอยู่แล้ว”

           //จริงนะ// เสียงตื่นเต้นระคมดีใจที่รอดมาตามสายทำเอาอดนึกถึงใบหน้าสวยที่ส่งยิ้มร่าอย่างดีใจให้ไม่ได้เลย

           “จริงสิครับ งั้นเดี๋ยวพี่ขอไปจัดการกับตัวเองก่อนนะแล้วเดี๋ยวจะโทรไปใหม่”

           //ได้ครับ เกลจะรอนะ//

           ชิตรัตน์ค่อยๆลดแขนข้างที่ถือโทรศัพท์ลงเมื่อสิ้นสัญญาณการโทรลง เดินตรวจเช็ครอบในตัวบ้านก่อนจะสั่งให้แม่บ้านที่กำลังผ่านมาจัดการล็อกบ้านเสียให้เรียบร้อย  ก่อนจะจัดการอาบน้ำแต่งตัวเตรียมพร้อมเข้านอนโดยไม่ลืมเวลาครอบครัวที่รับปากคนบางคนไว้ในใจว่าจะไม่ให้ต้องรอนาน

           การพูดคุยกันเพียงเล็กน้อยก็สามารถทำให้ความรู้สึกไกลที่มีมาเริ่มลดทอนลงเหลือเพียงแค่เอือม แต่เชื่อสิว่าอีกไม่นานนี้แหละเขาจะคว้ามันมาไว้ในมือได้อย่างแน่นอน

 
           “ไม่ได้”

           “พี่ธารครับ”

           เกลรู้สึกอ่อนใจอย่างยิ่งกับท่าทีดื้อรั้นไม่ฟังใครของพี่ชายตัวโตตรงหน้าที่เกิดอาการไม่พึ่งใจกับเรื่องที่เขานำมาพูดบนโต๊ะอาหารในตอนเช้า

           ซึ่งความจริงแล้วหลังจากพูดคุยกับชิตรัตน์เสร็จตอนแรกก็ว่าจะบอกเรื่องที่อีกคนฝ่ากบอกมาให้พี่ชายรู้เรื่องเลย แต่กลับต้องพับเรื่องเก็บไว้เพียงเพราะไม่อย่างขัดอารมณ์คนที่กำลังทำหน้าที่สามีที่ดีบีบนวดขาให้ว่าที่ภรรยาอยู่ในห้อง เพราะกลัวจะไปทำให้อีกบรรยากาศดีเสียเอาเลยว่าบอกตอนเช้าที่เดียวน่าจะดีกว่าเพราะยังไงพี่เขาก็ต้องไปส่งคนรักอยู่แล้วมีอะไรค่อยส่งให้ไปเคลียร์กับชิตรัตน์เอง

           “น้องก็รู้เหตุผลดีไม่ใช่หรือไงว่าเพราะอะไรพี่ถึงห้าม แล้วทำไมยังจะดื้อกับพี่อีก”  คนน้องถอนหายใจอย่างแรงหลังจบประโยคคำพูดของพี่ชาย

           “แต่งานนี้พี่ชินเชิญเราสองคนไปนะครับ”

           “พี่รู้เดี๋ยวพี่ไปเองเรานะอยู่บ้านเลยไม่ต้องไป”

           “แต่น้องรับปากแล้วว่าจะไป” เขาแย้ง

           “เดี๋ยวพี่ไปยกเลิกให้”

           “พี่ธาร”

           “น้องเกล พี่ขอละอย่าไปเลยถ้าเกิดเรื่องแบบคราวที่แล้วละจะเป็นยังไงพี่คงทนไม่ได้ถ้าน้องชายของพี่จะเป็นอะไรไปอีกต่อหน้าต่อตาพี่แบบนั้น พี่ทนไม่ได้จริงๆเข้าใจพี่นะ”

           เกลมองพี่ชายตัวโตที่ลุกจากเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามมานั่งชันเข่าอยู่ข้างๆวีลร์แชร์พร้อมกุมมือเขาเอาไว้ข้างหนึ่งเหมือนต้องการความเข้าใจในเจตนาที่สื่อมาให้

           “น้องรู้ว่าพี่ธารเป็นห่วงน้องแต่พี่ชินสัญญาแล้วว่าจะอยู่ข้างๆน้องตลอดงาน ถึงยังไงพี่ชายพี่พลแล้วก็ปีแอร์ก็ไปด้วยไม่มีอะไรเกิดขึ้นแน่นอนเชื่อน้อง”

           เขาพยายามเกลี่ยกลอมพี่ชายที่ดูจะไม่หมดความมานะในการขัดข้างเสียเหลือเกิน จนเขาเองเริ่มอ่อนใจจึงหันไปสบตาขอความช่วยเหลือจากอีกสองคนที่อยู่ร่วมโต๊ะ

           “เรื่องนี้ผมเห็นด้วยกับธารนะ งานเลี้ยงย่อมหมายถึงคนที่มารวมกันคุณเองก็ใช่ว่าจะเจอผู้คนมากแล้วไม่เป็นอะไรอยู่บ้านกับผมน่าดีกว่า”

           ธารรีบพูดเห็นด้วยกับคำพูดของไรอันที่เอ่ยขึ้นมา เพราะนอกจากเรื่องที่กลัวว่าคุณหญิงจะหาเรื่องน้องเขาแล้วยังมีอีกเรื่องที่เขาหวั่นใจไม่แพ้กันคือเรื่องของจำนวนคนที่จะไปร่วมในงาน นี้ละเหตุผลที่เขาจะสามารถกันน้องให้ออกจากงานบ้าๆนี้ได้เสียที

           “แต่ทางโรงแรมมีห้องรับรองไว้ให้ ถ้ากลัวว่าคุณเกลจะไม่คุ้นชินกับคนหมู่มากเดี๋ยวผมพาไปพักที่ห้องนั้นเองก็ได้”  เกลหับไปยิ้มรับคำพูดของอัศวินท้องโตที่อยู่ตรงข้ามไม่ได้ที่หยิบยื่นข้อความอันเป็นผลดีให้แก่เขา

           “แต่ว่าแก้ว...”

           “เอางี้นะคุณก็ไปคุยรายละเอียดกับคุณชินเอาเองละกันเพราะตอนนี้ผมสายมากแล้ว”

            แก้วกล้าตัดบทลุกขึ้นแล้วเตรียมจะออกไปขึ้นรถที่จอดรออยู่ข้างนอกคล้ายกับเป็นการมัดมือชกให้อีกคนหยุดพูดเรื่องที่ดูจะไม่จบง่ายๆนี้ลงเสียที ธารเองที่ยังไม่ทันโต้แย้งอะไรออกไปก็รีบเดินตามคนท้องไปแต่ไม่ลืมที่จะเข้าท่หอมแก้มน้องเป็นการลาก่อนเหมือนทุกครั้งด้วย

           “ดื้อจริงๆนะครับ” ไรอันบ่นเสียงเบาให้คนที่นั่งอยู่ข้างๆ ซึ่งคนถูกตำหนิก็เอาแต่หัวเราะคิกคักไม่สำนึกจนคนแก่กว่าได้แต่ส่วยหน้ากับนิสัยของสองพี่น้องบ้านนี้เหมือนกันจริงๆโดยเฉพาะความดื้อเนี่ย  ถอดกันมาอย่างกับแกะ.........

           “อย่าพูดอย่างงั้นสิครับพี่ไรอัน”

           ไรอันส่ายหน้าไปมาอย่างระอาก่อนก้มหน้าฝืนกินข้ามต้มหมูในชามต่อแม้จะรู้สึกผะอืดผะอมกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้าขึ้นมาหน่อยๆจนรู้สึกอิ่มแล้วขอตัวออกไปเดินเล่นหลังบ้านแทนปล่อยให้เจ้าเด็กดื้อที่ตนประมานไว้ก่อนหน้านั่งละเมียดข้าวต้มอย่างอารมณ์ดีต่อคนเดียว

           เกลเหลือบมองแผ่นหลังของพี่ชายบุญธรรมที่เดินออกไปจากห้องทานข้าวไปก่อนสั่งเด็กรับใช้ที่ยืนรอรับคำสั่งให้ไปตามชายกับพลมาหา

           เกลก้มลงทานมื้อเช้าของตนต่อจนหมดก็ประจวบเหมาะกับที่คนสนิททั้งสองที่เขาเรียกหามาถึงพอดี ทั้งคูก้มหัวเล็กน้อยให้นายน้อยตรงหน้าก่อนจะเป็นชายที่ให้เด็กมาเก็บชามข้าวของเจ้านายออกไปแล้วปิดล็อกประตูห้องทานข้าวเสีย

           “เกลจำได้ว่าวันก่อนพี่ชายกับพี่พลมีเรื่องจะบอกใช่ไหมครับ” เขาเริ่มต้นบทสนทนาเป็นเรื่องที่ค้างอยู่หลังจากกลับจากบ้านของชิตรัตน์แต่เพราะมีเกรทอยู่ด้วยจึงผลัดออกมาก่อน

           “ครับ”

           “เรื่องอาการป่วยของคุณหญิง ผมลองถามป้าคนหนึ่งที่แกอยู่บ้านนี้มานานแกเล่าว่าหลังจากสิ้นคุณท่านพ่อของคุณชินคุณหญิงก็เริ่มป่วยเรื่อยๆจนมาเป็นหนักเพราะโรคหัวใจ บ่อยครั้งที่มักเอามาเป็นขอต่อรองให้คุณชินทำเรื่องนู้นเรื่องนี้ให้”

           “เพราะแบบนี้เองสินะ แล้วยังไงต่อครับ”

           “ผมกับชายเคยส่งรายงานเรื่องอาการป่วยของคุณหญิงไปแล้วเพราะงั้นผมขอข้ามส่วนนี้ไปนะครับ  ที่ผมว่าน่าสนใจคือเรื่องนี้ต่างหากครับ...............................”
 
..................................................
 
         
o18

ออฟไลน์ wavery

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 124
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-2

o18

 “ยินดีต้อนรับท่านผู้มีเกียรติ์ทุกท่านเข้าสู่งานเลี้ยงฉลองครบรอง70ปีของการก่อตั้ง บริษัทนพเทพ ผู้นับด้านอสังหาริมทรัพย์อันดับต้นๆของประเทศที่มีรากฐานที่มั่นคือโรงแรมแห่งนี้ ...........................”

           เสียงหวานของพิธีกรสาวสวยมากความสามารถที่ถูกเชิญมาเป็นส่วนหนึ่งของผู้ดำเนินการจัดงานยืนกล่าวต้อนรับแขกที่เข้ามาร่วมงานในวันนี้พร้อมบรรยายความเป็นมาของ นพเทพกรุ๊ป กลางเวทีขนาดกลางดังก้องไปทั่วห้องบอลลูนของโรงแรมที่ใช้จัดงานและดังลอดออกไปถึงหน้าประตูห้องจัดเลี้ยงขนาดใหญ่แห่งนี้ ความลื้นไหลของานที่แม้จะเพิ่งเริ่มงานมาได้ไม่นานแต่ก็คลาคลั่งไปด้วยผู้มีเกียรติ์ที่ถูกเชิญมา ส่วนหนึ่งเป็นผู้ถือหุ้น บางส่วนเป็นลูกค้ากิติมาศักดิ์ที่ใช้บริการกันมานานร่วมถึงนักการเมืองระดับสูง และนักข่าวที่ได้รับอนุญาตเข้ามาทำข่าว โดยความเรียบร้อยของงานอยู่ภายใต้การดูแลและกวดขันของคุณหญิงโฉมฉวี ที่รับหน้าดูแลแขกภายในงานและให้ชิตรัตน์ยื่นต้อนรับอยู่หน้างานพร้อมลูกชาย

           ความจริงแล้วชิตรัตน์ไม่ได้มีจุดประสงค์เพียงแค่ว่ามารอต้อนรับแขกที่เพิ่งมาถึง แต่ที่เขาต้องการคือมารอรับ แขกพิเศษ ของเขามากกว่า ชายหนุ่มยืนตอบคำถามมากมายของนักข่าวเกี่ยวกับเรื่องงานในวันนี้บางก็ถามหาลูกชายของเขาว่าหายหน้าหายตาไปไหนไม่มาร่วมงานด้วย แต่ส่วนใหญ่แล้วก็คงเป็นพวกความรู้สึกที่ได้มีวันนี้ขึ้น ซึ่งมันก็คำถามทั่วๆไปที่นักข่าวต้องถามตัวเขาเองก็ไม่คิดอะไรมากในการตอบคำถาม แต่ดูเหมือนว่าหนึ่งในนักข่าวกลุ่มนี้จะมีคนที่หูตาไวเอาเรื่องอยู่คนหนึ่ง

           “จริงหรือเปล่าคะ ที่ว่างานในวันนี้จะมีการเปิดตัวบุคคลสำคัญของคุณชิตรัตน์ด้วย”

           นักข่าวสาววัยน่าจะเพิ่งแตะเลขสามที่ดูจะมีไฟในการทำงานมากเป็นพิเศษถามขึ้นท่ามกลางความสนใจของเพื่อนร่วมอาชีพคนอื่นที่เริ่มเงียบแล้วหันไปทางเจ้าหล่อนแทนอย่างสนใจในหัวข้อข่าวที่พวกตนเองก็เพิ่งจะได้ยิน

           “ไปเอาข่าวนี้มาจากไหนหรือครับ”

           ชิตรัตน์ยกยิ้มชอบใจกับคำถามที่ได้ บวกกันคำตอบที่ก่ำกึ่งจะปฏิเสธหรือก็ไม่จะยอมรับหรือก็ไม่เชิง ยิ่งกระตุ้นเร้าความกระหายใคร่รู้ของนักข่าวเกือบร่วมสิบที่อยู่ตรงนี้ได้ไม่ยาก ยิ่งผู้ที่จะให้ตอบได้ก็เอาแต่ยกยิ้มไม่หื้อไม่อือด้วยแล้วพวกเขายิ่งอยากรู้

           “คุณพ่อ!!” 

           ทุกคำถามย่อมมีคำตอบ เมื่ออยู่ๆเสียงของคุณหนูน้อยของนพเทพกรุ๊ปก็ร้องตะโกนเรียกคนที่อยู่ในวงล้อมของนักข่าวนั้นให้หันมาสนใจการมาถึงของเขา

           ผู้มาใหม่สามคนพร้อมผู้ติดตามอีกกลุ่มหนึ่งที่เพิ่งออกจากลิฟต์มา หนึ่งในนั้นพวกเขาพอคุ้นตาเพราะคือเลขาที่มักไปไหนมาไหนกับผู้ที่ยังคงอยู่ในวงล้อมของนักข่าวแต่หนุ่มลูกครึ่งตัวโตดูภูมิฐานที่เดินเคียงข้างมาด้วยนั้นพวกเขาไม่เคยเห็นหน้าแม้สีหน้าจะแสดงถึงความไม่พอใจอยู่ลึกๆแต่ก็ไม่ทำให้ความดูดีนั้นน้อยลงเช่นเดียวกับหนุ่มใบหน้าสวยที่นั่งอยู่บนวีลร์แชร์ที่สวยสยบทุกสายตา และยิ่งมาพร้อมกับคุณหนูน้อยของที่นี้ด้วยแล้วยิ่งสร้างความสนใจมากขึ้นเป็นเท่าตัว

           “ขอตัวนะครับ” เสียงขัดของชิตรัตน์ที่เอ่ยเรียกความสนใจของนักข่าวให้หันกลับมามองนักธุรกิจหนุ่มคนเดิม ที่เดินแทรกตัวฝ่าวงล้อมนักข่าวไปหยุดอยู่ตรงหน้าหนุ่มหน้าสวยปริศนานั้น

           “พี่ดีใจที่เกลมาได้”

           ชิตรัตน์เอ่ยเบาๆหลังละริมฝีปากออกจากแก้มขอคนรักท่ามกลางสายตาอยากรู้อยากเห็นและแสงจากกล้องถ่ายรูปที่รัวกดชัตเตอร์เพื่อเก็บภาพเมื่อสักครู่

           “ก็สัญญาไว้แล้วนิครับ”

            ชิตรัตน์มองรอยยิ้มหวานสวยอย่างปิติแสร้งทำเมินสายตาจิกกัดไม่พอใจของหนุ่มตัวโตข้างๆ และมีหรือภาพการแสดงความรักของนักธุรกิจเจ้าของงานจะรอดพ้นสายตาหลายคู่ของคนบริเวณนั้นไปได้โดยเฉพาะเหล่าผู้ทำข่าว ที่จับจ้องมองและเก็บภาพตั้งแต่อีกฝ่ายเดินฝ่าวงล้อมไปหยุดหน้าผู้มาใหม่พร้อมก้มลงหอมแก้มของหนุ่มปริศนาคนงามพร้อมคำเรียกแสดงความสัมพันธ์ของเด็กชายและหนุ่มนิรนาม

           “คุณชิตรัตน์ค่ะ ได้โปรดตอบคำถามด้วยค่ะ”

           “เป็นคนคนนี้จริงๆใช่ไหมคะ

           “ไม่ทราบว่ามีความสัมพันธ์กันอย่างไรคะ”

           และคำถามอีกมากมายที่ถูกส่งมา ชิตรัตน์ไม่ได้กังวลเรื่องการตอบคำถามนั้นอยู่แล้ว แต่ที่เข้ากำลังตกใจคือการเข้าคุกคามอย่างรวดเร็วจนคนรักของเขาเกิดอาการชะงักที่ถูกรุมจากผู้คนมากมายอย่างไวจนเกาะเข้าที่ท่อนแขนของเขาอย่างไวและออกแรมบีบอย่างตระหนก

           “ขอความกรุณาอย่าเข้าใกล้ครับ”  เป็นเสียงของพลที่เข้ามาทำหน้าที่หัวหน้าการ์ดที่เข้ามากันกลุ่มคนให้ออกห่างพร้อมลูกน้องอีกสองคนที่ตามมาด้วยกระจายกันข้างไม่ให้คนเหล่านั้นเข้ามาใกล้เกินจำเป็น

           “ถ้างั้นคุณชิตรัตน์จะตอบคำถามของพวกเราเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างคุณกับคุณ ..เอ่อ.ผู้ชายท่านนี้ว่ายังไงคะ” เป็นนักข่าวสาวเจ้าเดิมที่เคยเอ่ยประเด็นนี้ขึ้นคนแรกรับหน้าที่เป็นตัวแทนเพื่อนร่วมอาชีพถามขึ้นแม้ไม่แน่ใจในเพศสภาพของคนที่ตกเป็นหัวข้อความสนแต่ก็พอเดาได้ว่าเป็นผู้ชาย

           เมื่อได้ฟังคำถามชิตรัตน์ก็ลุกขึ้นยื่นเต็มความสูงจัดเสื้อผ้าให้เข้าที่ยกมือขึ้นกุมคนรักเอาไว้แน่นเพื่อส่งถ่ายความเข้มแข็งให้คนที่ตระหนกตกใจรู้สึกดีขึ้น

           “ครับ อย่างที่คุณเคยถามผมเมื่อครู่นะครับคุณนักข่าว ผมขอตอบว่าเป็นจริงครับที่วันนี้ผมจะเปิดตัวคนรักของผม”  สิ้นคำตอบของชายหนุ่ม เสียงอื้ออึงพูดคุยของนักข่าวก็เริ่มดังขึ้นเป็นผึ้งแตกรังนี้ยังไม่ร่วมถึงเหล่าแขกที่อยู่บริเวณนั้นและที่เดินออกมาดูจากในงาน

           “เป็นคุณคนนี้ใช่ไหมครับ”

           “ครับ นี้คุณไนติงเกลเป็น ภรรยา ของผมและเป็นแม่แท้ๆของน้องเกรทครับ”

            ชิตรัตน์เน้นย่ำความสัมพันธ์ที่ทุกคนใคร่อยู่เสียงดังพร้อมส่งสายตาให้คนรักได้สบตลอดการพูดที่เอ่ยออกมาก่อนจะหันไปมองเหล่านักข่าวที่อยู่รอบๆ  โดยไม่ทันสังเกตว่าคนที่ตนละสายตาจากมานั้นหันไปมองใคร

           คุณหญิงโฉมฉวีที่ก่อนหน้านั้นอยู่ในงานกำลังรับรองแขกอยู่นั้นก็ต้องเป็นอันเดินตามคำชวนของคุณนายท่านนายพลออกมาเพราะเห็นว่าข้างน้องเกิดเสียงดังเรียกความสนใจจากแขกเป็นจำนวนมาก ก็มาทันได้ฟังคำเปิดตัวลูกสะใภ้นอกความต้องการของหล่อนพอดี หล่อนยอมรับว่าตกใจมิใช่น้อยที่อยู่ๆลูกชายเพียงคนเดียวของตนออกมาพูดแบบนี้ทั้งที่ตนสั่งห้ามมิให้เอ่ยถึงแม่ของหลานชายมารวมหลายปี แต่วันนี้มันไม่ใช่ลูกชายหล่อนประกาศต่อหน้าธานกำนันมากมายโดยเฉพาะต่อหน้านักข่าวมากมายที่กำลังรั่วถ่ายภาพแถมเจ้าตัวปัญหาก็อยู่ข้างกายเป็นหลักฐานชั้นดีแบบนี้หล่อนยิ่งไม่พอใจ ยิ่งพอเผลอไปสบตาเข้ากับ สายตาอย่างผู้มีชัยเหนือกว่าของคนที่หล่อนเกลียดด้วยแล้วยิ่งแสนแค้นใจที่เพราะมันไม่ต่างอะไรกับถูกการเยาะเย้ย

           ....... มันแค้น แค้นจนคับอก อยากเข้าไปกระชากร่างโสมมนั้นออกมาให้ห่างจากลูกชายของตน ด่าทอให้สำนึกถึงความไม่คู่ควรแต่ก็ทำไม่ได้หากทำอย่างงั้นชื่อเสียงของวงศ์ตระกูลและบริษัทต้องบ่นปี้ไม่เหลือแน่ เพราะงั้นสิ่งเดียวที่ทำได้คือกำมือข่มอารมณ์เอาไว้จนข้อข่าว

           “เราจะได้เห็นดีกัน”
 

           งานเลี้ยงฉลองครอบรอบ70ปีดำเนินไปได้ด้วยความราบลื้นและยิ่งเป็นที่จับตามองยิ่งขึ้นเมื่อมีการประกาศร่วมธุรกิจกับทางเอลเมอร์ซี่ ที่งานนี้ท่านรองประธานเดินทางมาร่วมงานด้วยตนเองที่งานนี้เกินเสียงวิจารไปทั่วแห่งว่านี้อาจเป็นการร่วมธุรกิจกระชับความสัมพันธ์หรือไม่ เพราะตอนเริ่มงานชิตรัตน์ออกมาเปิดตัวคนรักที่มีศักดิ์เป็นบุตรชายคนเล็กของท่านประธานแห่งเอลเมอร์ซี่นับว่าเป็นหนึ่งในผู้ถือหุ้นอีกคนของบริษัทระดับโลก แม้ในแวดวงสังคมในประเทศจะไม่ค่อยมีใครเห็นหน้าคาดตามากแต่ในต่างประเทศไนติงเกลถือว่าเป็นบุคคลที่เป็นรู้จักในระดับหนึ่ง ดังนั้นงานในวันนี้จึงเหมือนเป็นการเปิดตัวที่สำคัญอย่างยิ่งของทั้งสองบริษัท

           “เหนื่อยไหมครับ” ชิตรัตน์เอ่ยถามคนรักที่ตั้งแต่เข้างานมามือของทั้งคู่ยังไม่ละออกจากกัน ตามสัญญาที่เขากล่าวไว้ว่าจะอยู่ข้างๆตลอดเวลา

           “ไม่หรอกครับ ห่วงแต่ตาเกรทเถอะไม่รู้ว่าหายไปไหนแล้ว”   เกลว่าอย่างเป็นห่วงเมื่อมองซ้ายมองขวาแล้วยังไม่เจอลูกชายหัวแก้วหัวแหวน

           “อย่าห่วงเลยครับ ปีแอร์อยู่ด้วยทั้งคนคงไปหาอะไรเล่นกันอยู่ล่ะมั้ง”  นั้นละที่น่าห่วง ยิ่งอยู่กันปีแอร์ด้วยแล้วไม่รู้ว่าจะชวนกันไปเล่นอะไรแพล่งๆกันหรือเปล่า

           “ห่วงแต่เราเถอะ ดูสิหน้าซีดหมดแล้วกลัวอยู่หรอ”

           มือหนาไล่ไปตามรูปหน้าอย่างเบามือเหน็บปอยผมที่ล้วงทัดเขาที่หลังหูให้อย่างอ่อนโยน ดูสิหน้าขาวซีดหมดแล้วทั้งทีอยู่ในห้องแอร์ หรือยังตื่นกลัวผู้คนอยู่กัน

           “ออกไปสูดอากาศข้างนอกหน่อยไหมเพื่อจะดีขึ้น”

            เขาเสนอซึ่งดูท่าแล้วอีกฝ่ายก็ไม่มีทีท่าว่าจะขัดหรือย่างไร ชายหนุ่มจึงพาอีกคนไปที่สระว่ายน้ำของโรงแรมที่อยู่ใกล้ๆกันตามคำร้องขอของอีกคนโดยมีพลเดินประกบตามออกไปด้วยเพื่อความปลอดภัย

           สระว่ายน้ำที่ชิตรัตน์พามาเป็นสระว่ายน้ำกลางของโรงแรมอยู่ติดกับสวนหย่อมขนาดเล็กของที่นี้ส่วนใหญ่มักมีการเช่าพื้นที่จัดปาร์ตี้ริมสระอยู่บ่อยครั้งเพราะที่ตรงนี้มีความเป็นส่วนตัวอยู่ในระดับหนึ่ง

           “ออกมาข้างนอกรู้สึกดีกว่าจริงๆด้วย” เสียงใสเอ่ยอย่างเอาใจเมื่อมาถึงบริเวณสระน้ำ

           “มันจะดีหรอเกลมาที่สระน้ำเนี่ย เกิดตกน้ำตกท่าขึ้นมาจะทำยังไง” เขาเอ่ยอย่างเป็นกังวล

           “พี่ชินก็ผายปอดให้เกลไงครับ”
           เสียงเย้าแหย่ของคนที่นั่งอยู่ไม่ได้ทำให้ความกังวลของเขาลดน้อยลงเลยจริงๆ จนอดที่จะปรามไม่ได้ว่าเอาแต่คิดว่ามันเป็นเรื่องตลก

           “น่าพี่ชิน เกลไม่เป็นอะไรหรอกครับ”

           “แล้วทำไมอยู่ๆถึงอยากมานั่งที่สระละ หืม”
           เขาเอ่ยถามขณะทรุดตัวนั่งลงที่เก้าอี้ริมสระข้างๆอีกคน ความจริงไปนั่งเล่นในสวนน่าจะรู้สึกสดชื่นมากกว่านะ

           “ก็อยู่ใกล้น้ำแล้วมันรู้สึกเย็นดีนี้ครับอีกอย่างที่โล่งๆแบบนี้น่าจะเห็นดาวด้วย”

           ชิตรัตน์ถอนหายใจกับความคิดของอีกคนก่อนที่ทั้งคู่จะนั่งคุยกันไปเรื่อยๆ มีชี้ขึ้นไปบนฟ้าบ้างเมื่อเห็นดาวดวงน้อยที่ส่องแสงแข่งกับแสงไฟในเมืองหลวง

           “เอ่อ ท่านประธานค่ะ”

            เสียงของพนักงานสาวที่คาดว่าน่าจะเป็นพนักงานใหม่เดินเข้ามาในบริเวณสระน้ำเรียกความสนใจให้พวกเขาหันกลับไปมองท่าทีเก่กังของหญิงสาว

           “คือว่าคุณหญิงให้ดิฉันมาตามท่านประธานเข้าไปในงานบอกว่ามีคนอยากคุยด้วยนะคะ”
           หล่อนว่าพลางก้มหน้าก้มตา ส่อแววพิรุธบางอย่าง ชิตรัตน์ลังเลใจอยู่ครู่หนึ่งเขาไม่ต้องการทิ้งคนรักไว้ลำพังแม้จะมีพลอยู่เป็นเพื่อนก็ตามที

           “ไปเถอะครับพี่ชิน เกลอยู่ได้”

           “แต่...” เขาคิดไม่ตก ไม่อยากทิ้งอีกฝ่ายแต่ดูท่าทางนั้นคงจะเป็นเรื่องงานถึงได้ส่งคนมาตาม

           “พี่พลก็อยู่เชื่อเกลสิไม่มีอะไรแน่นอน  บางที่อาจเป็นเรื่องงานรีบไปเถอะครับ”

           ท่านประธานหนุ่มหันมองคนที่ถูกพาดพิงครู่หนึ่งก่อนลุกตามสาวเจ้ากลับเข้าไปในงานอีกครั้งจำใจ แม้เกลจะไม่ว่าอะไรแต่เขาก็ไม่อยากจะไปโดยทิ้งอีกคนไว้อยู่ดี.....

           “น้ำค้างเริ่มลงแล้วคุมไว้หน่อยนะครับ”

           เกลยิ้มรับและปล่อยให้คนดูแลคลี่ผ้าคุมไหล่ผืนไม่หนามากพันรอบตัวก่อนช้อนสายตาขึ้นประจวบเหมาะกันที่ดวงตาเรียวตี่เล็กอย่างคนเชื้อสายจีนของพลสบเข้ามาพอดี

           การสื่อสารด้วยสายตาที่ไม่มีอะไรมากไปกว่าคำว่าขอบคุณและห่วงใยเหมือนพี่น้องที่มีแต่ความปราถนาดีต่อกันเพียงเท่านั้น แต่ความคิดนั้นคงไม่ได้เกินเข้ามาในความคิดของผู้มาใหม่ที่ค่อยเฝ้าดูมาสักระยะเพราะภาพจากมุมที่หล่อนเห็นมันไม่ใช่แค่การคุมผ้าให้กันแต่เป็นการโอบกอดและการสัมผัสของริมฝีปาก เมื่อนึกออกแล้วว่าคนคุ้นหน้าที่เคยเจอที่บ้านวันนั้นเป็นใครริมฝีปากที่เคลือบด้วยสีนู้ดก็ยกมุมปากอย่างเหยียดหยามก่อนปรากฏตัวทำลายบรรยากาศตรงหน้า

           “ถ้าคิดจะมั่วก็ควรเลือกสถานที่หน่อยนะ” เกลและพลผละหน้าออกจากันทันที่เมื่อเสียงอันไม่พึ่งประสงดังขึ้น โดยเฉพาะเกลที่คราวนี้ไม่เก็บซ้อนความไม่พอใจจนแสดงออกมาทางแววตา

           “คุณหญิงโฉมฉวี” 
_______________________________________________________

ใครมาเจอไม่เจอดันมาเป็นคุณหญิงเสียนี้พูดได้คำเดียวเลยว่า งานเข้า !!

ในที่สุดก็เดินทางมาถึงครึ่งเรื่องกันสักทีเนอะ
อาจดูยืดๆยานๆ แต่ก็จะลงจนจบนะคะไม่ต้องห่วง
เจอกันตอนต่อไปตอนเที่ยงคืนเน้อ

ขอบคุณที่ติดตามนะคะ

ออฟไลน์ wavery

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 124
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-2
ฝนหยดที่ 21

“มันคันนักหรือไงถึงต้องอดทนรอไม่ได้ต้องมาทำกันกลางแจ้งให้คนอื่นเขาเห็นแบบนี้นะ”

คุณหญิงว่าประณาม หล่อนมั่นในภาพที่เห็นเพระนี้ไม่ใช่ครั้งแรกที่หล่อนเจอ ..ใช่ หล่อนเคยเห็นภาพแบบนี้มาแล้วครั้งหนึ่ง...   ต่อหน้าชิตรัตน์ทำตัวแสนดีเป็นคนน่าสงสานแต่นี้อะไรกันพอลับหลังลูกชายเขาได้ยังไม่ทันพ้นดีเลยก็มากอดจูบกับคนอื่นเสียนี้ จะไม่ให้หาว่าเพศยาก็คงไม่ได้..........

“มันไม่ใช่อย่างที่คุณหญิงเข้าใจ”

เกลพยายามแก้ต่างอย่างใจเย็น  การมาแบบไม่มีปี่มีขลุ่ยของคุณหญิงทำให้ตัวเขาเองตกใจอยู่ไม่น้อยเหมือนกันยิ่งเพิ่งผ่านเหตุการณ์แบบนั้นมาได้ไม่กี่วันต่อให้เขาจะพยายามฝืนตัวเองขนาดไหนร่างกายก็ยังคงที่จะอดสั่นออกมาไม่ได้

“ไม่ใช่หรอ เหอะฉันไม่ใช่ควายนะที่จะได้ดูไม่ออกนะว่าเมื่อกี้พวกแกทำอะไรกัน บัดสีบัดเถลิงที่สุด”

              คุณหญิงเบาะปากอย่างเหยียดหยามอย่างมาก  เกลพยายามสูดหายใจเข้าลึกสุดปอดอย่างอดทนแม้จะยังหวาดกลัวแต่ใช่ว่าตอนนี้เขาจะไม่โกรธกับความโลกแคบของหญิงแก่ตรงหน้าที่เอาแต่สิ่งที่ตนคิดเป็นสำคัญจนไม่แม้จะฟังคำอธิบายใดๆ

“คุณหญิงควรฟังที่คนอื่นพูดบางนะครับไม่ใช่เอาแต่ความคิดตัวเองแบบนี้”

              พลที่ไม่พูดอะไรยังเริ่มที่จะต่อการถากถางของคุณหญิงตรงหน้าที่กล่าวหาเจ้านายของเขาไม่ไหวจึงต้องพูดขึ้นมาเพื่อว่าจะให้อีกคนยอมฟังคำอธิยาบบ้าง แต่คงไม่ใช่กับคุณหญิงคนนี้ที่ต่อให้มีสติก็คงไม่รับฟัง

           “จะแก้ตัวอะไรกันละ” หล่อนว่าพรางทำเสียงขึ้นจมูก ก่อนเชิดหน้ากอดอกเดินเข้ามาใกล้คนที่เดินไม่ได้

              “อย่าคิดว่าฉันไม่รู้นะว่าแกกับไอ้ขี้ข้าส่วนตัวเนี่ยเป็นอะไรกัน”

            ดวงตาคมสวยตะหวัดมองคนตรงหน้าอย่างไม่พอใจ เขาไม่ชอบใจอย่างยิ่งที่มีใครมาว่าจิกหัวคนในปกครองของตนอย่างนี้เพราะเขาไม่เคยทำและไม่คิดจะทำด้วย เขาอยู่กันมาเหมือนพี่น้องแล้วนี้อะไรกันผู้หญิงตรงหน้าถึงวาจาต่ำทรามเช่นนี้ใส่เขาและคนที่นับถือเช่นพี่ชาย ถึงสีหน้าพลจะเรียบนิ่งแต่เขามองออกมาอีกคนก็คงไม่พอใจเป็นอย่างมากเช่นกัน

           “มันจะไม่มากไปหน่อยหรือครับคุณหญิง”

           “ทำไมอย่าบอกนะว่าเป็นเดือดเป็นร้อนแทนกันนะ  ก็อย่างว่าละนะคนมันเคยๆกันนิ อ๋อ ไม่สิคงต้องบอกว่าคนมันเคยกันอยู่ทุกวันสินะ”

           คำประณามที่ออกจากปาก ยิ่งทวีแรงโทสะที่สุมเก็บไว้ในอกบางให้กระพือยิ่งขึ้น จนคนฟังได้แต่มองอย่างไม่เข้าใจว่าเพราะเหตุคุณหญิงถึงได้พูดจาหยาบคายแบบนั้นออกอย่างไม่อายปาก นี้หรือคนที่ถือตัวว่าเป็นเพชรสูงค่าแต่วาจาการกระทำมันชั่งต่ำทรามยิ่งกว่าก้อนกวด

           “ผมไม่เข้าใจที่คุณหญิงพูด  ทำไมถึงต้องกล่าวหาผมกับพี่พลเขาเช่นนี้ด้วย”

            เสียงถามที่สั่นคอนไปด้วยความโกรธของคนที่ก้มหน้าอยู่ แต่คนฟังกลับคิดว่าเป็นการสั่นกลัวของคนมีชนักติดหลังมันยิ่งทำให้คนที่คิดเข้าข้างตัวเองว่าถือตนเป็นต่อ เหยียดยิ้มเดินวนรอบวีลแชร์อย่างถือดี

           “ฉันจะบอกให้เอาบุญนะไอ้เรื่องความสัมพันธ์คาวๆของแกกับไอ้ขี้ข้านั้นนะฉันรู้มาตั้งนานแล้ว เหอะ ลักลอบได้กันมากี่ครั้งแล้วละคิดว่าฉันจะไม่รู้หรือไง”

           คิ้วสีน้ำตาลเริ่มขมวดจนเป็นปมอย่างใช้ความคิด เขาไม่เข้าใจที่อีกคนพูดเพราะเขากับพลไม่เคยทำเรื่องเสื่อมเสียแบบนั้นแน่       ลักลอบอะไรกันคิดเองเออเองสิไม่ว่า...........

           “หยุดตีหน้าโง่หน้าเซ่อใส่ฉันสักทีเถอะฉันไม่โง่เหมือนตาชินหรอกนะ เพราะฉันเห็นมันมาเองกับตา  ถ้าวันนั้นฉันไม่แอบไปหาแกที่คอนโดฉันคงไม่ได้เห็นแกกับไอ้หมอนี้ยืนกอดกันกลมอยู่หน้าห้องคอนโดก่อนจะลากกันเข้าไปในห้องอยู่นานสองนาน  แล้วไม่ใช่แค่นั้นยังแอบพบกันข้างนอกอีก หึ ชอบสินะไอ้แอบกินกันในที่ลับนะ”

           เรื่องที่ออกมาจากปากของคุณหญิงเขาพอจะเข้าใจแล้วว่ามันมาจากสาเหตุอะไรที่ทำให้เกิดเรื่องเกิดราวใหญ่โตเช่นนี้  วันนั้นพลมาหาเขาที่คอนโดจริงแต่เพราะเขาป่วยหนักอีกคนจึงเข้ามาดูแลแทนเนื่องจากชิตรัตน์ไปต่างจังหวัดแถมชายก็ยังตามมาที่หลังด้วยเรื่องนี้ชิตรัตน์ก็รู้  ส่วนเรื่องกอดกันก็เป็นธรรมดาของพวกเขากับชายเองเขาก็ทำ ส่วนที่ออกมาเจอกันข้างนอกก็เพราะเขาเองก็ไม่อยากให้ชิตรัตน์รู้สึกไม่ดีที่พาคนอื่นขึ้นไปห้องที่เป็นเหมือนพื้นที่ส่วนตัวของของเราสองคน

           ซึ่งเขาก็พอที่จะเข้าใจแล้วว่าเรื่องทุกอย่างมันเกิดจากความเข้าใจผิดบางทีหากอธิบายคุณหญิงน่าจะพอเข้าใจได้ เขาคิดเช่นนั้นจริง แต่เพราะคำพูดต่อมาของแม่มดแก่แสนร้ายกาจทำเอาเขาเปลี่ยนใจในทันใด

           “แต่ก็ยังถือว่าโชคดีนะที่ตาเกรทน่ะยังเป็นลูกของตาชิน”

           “หมายความว่าไง” เขาหรี่ตาลงอย่างแคลงใจ

           “นี่ยังต้องให้ฉันพูดอีกหรอย่ะว่าหมายถึงอะไร แม่มันมั่วมันร่านขนาดนี้ฉันก็ต้องการความแน่ใจเป็นธรรมดาว่าเด็กที่เกิดมาเป็นหลานของฉันจริงๆ”

           “นี้คุณไม่เชื่อหรอว่านั้นเป็นหลานของคุณนะ”

           “ใช่ ฉันจับตาเกรทตรวจDNAจนแน่ใจว่าใช่ลูกของชิตรัตน์แน่ๆฉันถึงรีบไปรับตัวมาเพราะฉันเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าถ้าปล่อยให้คนอย่างแกเลี้ยงเนี่ย จะเอาความร่านไร้ยางอายแบบไหนใส่สมองเด็กกัน”

           “ทั้งที่คุณก็แน่ใจว่าตาเกรทเป็นหลานแท้ๆของคุณแล้วทำไมถึงทำแบบนั้นกับแก ทำให้แกเจ็บปวดทำไม!!”  เกลตะหวาดอย่างเหลืออด เขาไม่เข้าใจตระกะของผู้หญิงตรงหน้าแม้แต่น้อยทั้งที่รู้อยู่เต็มอกว่านั้นคือหลานคือสายเลือดของตนแล้วทำไมต้องทำลายจิตใจดวงน้อยของเด็กที่ยังไม่รู้ความด้วย

           “ฉันพูดอะไรหรอ อ้อ ตาเกรทหลานฉันคงบอกแกแล้วสินะว่าฉันสรรเสริญความเลวทรามของแม่มันว่ายังไงมั่ง เป็นไงถูกต้องอย่างที่ฉันว่าไหมละ” คุณหญิงว่าอย่างสาแก่ใจก้มหน้ามองคนที่อยู่ต่ำกว่า

            “แต่ตาเกรทยังเด็กคุณไม่ควรพูดแบบนั้นให้แกฟัง” เกลค้านพร้อมมองด้วยสายตาอย่างจะกินเลือดกินเนื้อจนคนมองถึงกลับสะดุ้งไปเล็กน้อย

          เพี๊ยะ!!     

           “แกไม่มีสิทธิมามองหน้าฉันอย่างงี้นะ”

           เพราะไม่ชอบให้ใครดูถูกและวางอำนาจใส่ หล่อนจึงฟาดฝ่ามือลงเข้าที่หน้าของคนอ่อนอายุกว่าอย่างเหลือทน ก่อนจะจิกเข้าที่กลุ่มผมยาวของอีกคนที่หน้าหันตามแรงตบให้มาเผชิญหน้าใหม่   พลที่เห็นท่าไม่ดีก็ตั้งท่าจะเข้าไปห้ามแต่ก็ต้องหยุดเท้าลงเมื่อคนเป็นนายยกมือห้ามไว้เสียก่อน               
           “ทำไมผมจะไม่มีสิทธิ ผมเป็นแม่ของเขาในเมื่อคุณหญิงไม่คิดจะเลี้ยงเขาด้วยความรักผมก็จะเอาลูกผมคืน”           

          เพี๊ยะ!     

              “อย่ามาพูดว่าไม่มีสิทธิกันฉันนะ นั้นหลานฉันฉันจะรักหรือจะร้ายยังไงกับมันก็ได้เพื่อไม่ให้เชื้อแม่มันแผลงออกมา แต่ดูท่าเชื้อแม่มันจะแรงถึงได้ดื้อด้านเหมือนกันไม่มีผิด”

           หล่อนตวาดเสียงแข็งก่อนออกแรงเหวี่ยงคนที่จิกหัวอยู่ให้ลงไปนอนกับพื้นหินกรวดของขอบสระที่ถูกปูไว้ป้องกันแขกที่มาเล่นน้ำลื้นล้มทำให้แผลเดิมที่ดูจะสมานกันดีแล้วเกิดมีเลือดซึมออกมาอีก

           “คุณเกล”

            พลวิ่งเข้าประคองคนเป็นนายที่ลงไปอยู่นั่งที่พื้นผมเผ้าที่สลวยยาวอย่างเมื่อตอนมากลับยุ้งเหยิงเพราะถูกจิก  แต่อะไรก็ไม่สำคัญเท่าฝ่ามือที่มือผ้าพันไว้แต่เดิมเริ่มมีเลือดซึมออกมาจากแผลเก่าที่ปริออก

           “ห่วงกันขนาดนี้ยังมีหน้ามาบอกว่าฉันเข้าใจผิดอีกหรอ เหอะ นังเพศยาเอ๊ย” หล่อนเดินเข้ามาใกล้คนที่ล้มอยู่ที่พื้นอย่างสะใจ

           เกลตวัดสายตามองอย่างเหลือทนกับกริยาวาจาที่แสนทรามด่าว่าเขาก็พอทนแต่นี้เอาความเกลียดชังที่มีต่อเขาไปลงที่ลูกผู้ไม่รู้ความของเขาแบบนี้เขาทนไม่ได้ ในเมื่อไม่คิดคืนให้เขานี้ละจะเป็นคนเอาลูกคืนมาเอง

           เกลบิดตัวออกจากการประคองของพลผลุดลุงขึ้นยืนเต็มความสูงของตนตะหวัดฝ่ามือเข้าที่ใบหน้าที่เต็มไปด้วยเครื่องสำอางราคาแพงอย่างแรงส่งผลให้คนที่ไม่ทันตั้งตัวและไม่สามารถต้านแรงของเขาได้เซถลาตกไปยังสระน้ำที่อยู่แค่เอี่ยม

          ตูม!!!

          เสียงมวลน้ำที่กระจากออกเป็นวงกว้างพร้อมกับร่างของคุณหญิงโฉมฉวีที่พลัดตกลงไปอย่างแรงจนเกิดเสียงดัง เกลที่ลุกยืนขึ้นอย่างฉับพลันนั้นเริ่มแสดงอาการโงเงหลังจากอะดรีนาลินในร่างกายกลับมาเป็นปกติจนเกือบจะล้มลงไปกับพื้นอีกรอบ ดีที่พลอยู่ใกล้จึงสามารถคว้าร่างนั้นเอาไว้ได้ทัน

           “กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด นี้แกกล้าดียังไงมาตบฉัน”

          “แล้วคุณมีสิทธิอะไรมาทำร้ายผมละ”
           เกลตอบกลับอย่างไม่ยอมแพ้ ถึงจะกลัวแต่เขาก็ไม่ยอมถูกกระทำอยู่ฝ่ายเดียวเหมือนกันถ้าเขาเจ็บมันต้องเจ็บมากกว่า

          “จำใส่กะโหลกหนาๆของคุณเอาไว้สะคุณหญิงทุกสิ่งที่มันเป็นของผม ผมจะเอาคืนมาทั้งหมด ทั้งลูกและก็พี่ชินต้องเป็นของผม จำเอาไว้”

           เกลทิ้งท้ายเอาไว้เสมือนเป็นคำประกาศเจตนาของการกลับมาให้คู่แค้นรับรู้ก่อนขอให้พลพาตนกลับไปยังงานเลี้ยงด้านใน เพราะตัวเขาเองก็เริ่มรู้สึกไม่ดีกับที่นี้ขึ้นมาพอดี

           นับว่าโชคดีอยู่ไม่น้อยที่บริเวณที่ไม่มีคนผ่านมาเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นคงต้องยกความดีความชอบครั้งนี้ให้กับหญิงแก่มากความที่กระฟัดกระเฟียดอยู่ในน้ำที่สั่งไม่ให้ใครเข้ามาบริเวณนี้ก็ถือว่าเป็นผลดีต่อเขาไม่ใช่น้อยเช่นกัน  แต่ทว่าคงไม่เป็นเช่นนั้นเมื่อพวกเขาผ่านมาถึงบริเวณทางออกของสระน้ำก็พบกับเข้ากับผู้เห็นเหตุการณ์หนึ่งเดียวที่ซ้อนตัวอยู่หลังพุ่มไม้

           ฤดีมาศ ที่ถูกชิตรัตน์สั่งให้มาดูแลคนรักของเขาด้วยเพราะเมื่อมาถึงยังห้องจัดเลี้ยงก็ไร้เงาของผู้เป็นแม่ที่เป็นคนสั่งให้คนมาตามเขาเข้ามาครั้นจะเดินกลับไปก็ไม่ทันเมื่อแขนเหลื่อต่างพากันเข้ามาคุณกับถึงเรื่องต่างๆจนไม่สามารถปลีกตัวไปได้ไหนจะธารที่ต้องค่อยดูแลคนท้องที่เริ่มยื่นไม่ไหวจนต้องพาไปพักที่ห้องข้างๆ จนเหลือเพียงเขาที่ต้องรับหน้าแขกเองการที่เจ้าภาพจะหายกันไปหมดคงไม่ดีแน่ เขาจึงสั่งให้หัวหน้าฝ่ายบุคคลที่ถือว่าสนิทกันอยู่ในระดับหนึ่งไปดูแลคนรักแทนเพราะสังหรณ์ใจแปลกๆกลัวจะเกิดอะไรขึ้นเพราะการที่แม่เขาหายไปเช่นนี้มีทางเดียวคือต้องตามไประรานหาเรื่องคนรักเขาเป็นแน่

           ซึ่งก็เป็นดั่งชิตรัตน์คาดการณ์ไว้เพียงแต่ยังไม่ทันที่สาววัยกลางคนผู้ที่ถูกส่งเป็นม้าเร็วมาช่วยจะได้ทำอะไร ฉากเด็ดที่คุณหญิงผู้แสนร้ายกาจตบหน้าลูกสะใภ้ครั้งที่สองพร้อมคำพูดที่กล่าวมาหล่อนได้ยินชัดแจ้งแต่พอจะเข้าไปช่วย คนที่ตนจะเข้ามาห้ามก็ถูกลูกสะใภ้คนงามของตนเองตบจนตกสระ จนมาตอนนี้ที่ทั้งสองสบตากับ ฤดีมาศยอมรับว่าอดหวั่นใจไม่น้อยเพราะสายตาเย็นเยือกของคนที่ใครๆก็บอกว่าสวยนั้นบ่งบอกได้ว่าเขาพร้อมจะฆ่าได้ทุกคนที่มาขว้าง

           “ปะ เป็นอะไรไหมคะ เอ่อ.. คุณชิตรัตน์สั่งให้ดิฉันมาดูคุณนะคะ”

           ฤดีมาสถามตะกุกตะกัก อย่างน้อยทำให้อีกคนรู้ว่าเขาไม่ได้มีเจตนาทำร้ายน่าจะเป็นสิ่งที่ดีที่สุด  และมันก็ได้ผลเมื่อสายตาแข็งกร้าวเมื่อครู่ดูอ่อนลงอย่างเห็นได้ชัดแต่มือที่สั่นนั้นก็ยังคงมีอยู่ให้เห็นจนหล่อนแอบคิดว่าเหตุการณ์เมื่อครู่อีกคนจะต้องโกรธมากขนาดไหนกันถึงเปลี่ยนความกลัวเป็นโทสะได้ขนาดนั้น

           “อย่างนั้นเหรอครับ”

           เกลยิ้มรับก่อนทำหน้าคลุมคิดบางอย่างพร้อมมองผู้หญิงตรงหน้าไปด้วย บางทีถ้าเขาขอความช่วยเหลือจากอีกคนก็น่าจะได้ถึงเขาจะสัญญากับพี่ธารไปแล้วว่าจะไม่ยุ่งกับเรื่องนี้แต่เขาไม่ได้พูดนิว่าจะขอให้มีคนช่วยไม่ได้......
 
           “พี่มาศไปไหนมานะ”

           เสียงของนิดที่กำลังเดินดูความเรียบร้อยของงานแทนหัวหน้าที่อยู่ๆก็หายไปเสียดื้อๆไม่บอกกล่าวรีบโบกมือหย่องๆเรียกคนที่กำลังตามหาอยู่ทันทีที่เจอหน้า

           “คุณชิตรัตน์วานพี่ไปดูคุณไนติงเกลมานะ”   หล่อนตอบก่อนจะกระดกน้ำเข้าปากเสียอึกใหญ่

           “เหรอๆ แล้วเป็นไงมั่งพี่”

           หญิงสาวถามกลับอย่างอยากรู้ ก็แม้อีกคนเป็นถึงภรรยาเจ้าของโรงแรมที่หล่อนทำงานนี่นะ มันก็ต้องอยากรู้บ้างไม่เห็นแปลกจริงไหม..

           “คือ...”

           “..”

           “..”

           ฤดีมาสอ้ำอึ้งไม่ยอมพูดอะไรออกมาจนนิดเริ่มรู้สึกว่าพี่หัวหน้าฝ่ายของตนจะต้องไปเจอกับเรื่องอะไรที่มันน่าจะเป็นหัวข้อของวงสนทนาในวันพรุ่งนี้ของโรงแรมแน่ๆ เธอจึงไม่รอช้าที่จะรบเร้าให้อีกคนพูดมันออกมาจนหมด

           “พี่ไป...............”
 
              ร้อนถึงหูของธารที่ได้ข่าวถึงเรื่องนี้จนต้องรีบออกจากงานมายังห้องรับรองที่อยู่ด้านข้างเพื่อดูน้องน้อยสุดที่รักก็อดไม่ได้ที่จะโกรธลมออกหู เพราะเจ้าตัวดีที่ที่นั่งหน้าสลดทำแผลให้น้องเขาใหม่อยู่นั้นมันรับปากเป็นมั่นเป็นเหมาะว่าจะดูแลน้องของเขาแต่นี้อะไร แผลที่มือปริจบเลือดซึม ใบหน้าขาวมีรอยแดงครบทั้งห้านิ้วทั้งสองข้าง ผมเผ้ายุ้งไม่เป็นทรง ธารไม่เสียเวลาคิดไตร่ตรองอะไรให้มากความรีบตรงเข้าไปหาชิตรัตน์ที่นั่งอยู่แล้วกระชากอีกคนขึ้นมาประจันหน้าก่อนจะส่งหมัดหนักๆเข้ากระแทรกใบหน้าหล่อนั้นอย่างแรง

 
     
    :katai1:

ออฟไลน์ wavery

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 124
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-2
:katai3:

 ผลั๊วะ

           “ไหนมึงบอกว่าจะดูแลน้องกู แล้วทำไมเป็นแบบนี้”

           คำหยาบที่นานๆครั้งจะหลุดออกมาจากปากของธารพร้อมกับแรงกระชากที่ขอเสื้อของชิตรัตน์อย่างเอาเรื่อง อุตส่าห์ไว้ใจให้มันดูแลแล้วนี้อะไรยังไม่ทันไรน้องเขาก็ได้แผลอีกแล้วอย่างนี้จะให้เขาไว้ใจมันได้ยังไงกัน

           “พี่ธารอย่า”

           เกลร้องห้ามไม่ให้พี่ชายทำอะไรคนรักของตน แต่ธารไม่ฟังอะไรทั้งนั้นรัวหมัดใส่หน้าอีกคนที่ยอมยืนนิ่งเป็นกระสอบทรายให้เขาต่อยอย่างแรงอยู่หลายครั้งจนแรงรั้งที่ท่อนแขนของเขาที่ทำให้ธารต้องยกแขนค้างกลางอากาศทำให้คนเลือดร้องอย่างธารนิ่งลงแล้วหันมามองคนที่เข้ามาห้ามอย่างไม่พอใจ

           “คุณธาร แก้วขอพอได้แล้ว”

           “ไม่เห็นแก่แก้วก็เห็นแก่เด็กเถอะ คุณมาทำร้ายพ่อต่อหน้าลูกแบบนี้มันไม่ใช่เรื่องเลยนะค่อยๆคุยกันก็ได้”

           แก้วกล้าพยายามไกล่เกลี่ยให้ธารใจเย็นลง เพื่อให้ชาติอาศัยจังหวะนี้เข้าไปพยุงเจ้านายของตัวเองขึ้นมาธารมองหน้าชิตรัตน์อย่างไม่สบอารมณ์แต่ก็ทำอะไรไม่ได้เมื่อเห็นสายตาตำหนิจากแก้วกล้าและเสียงร้องสะอื้นของเกรท ธารดูขัดใจเป็นอย่างมากจึงเลือกที่จะเดินกระแทรกเท้าออกจากห้องรับรองนี้ไป

           “คุณชินเป็นอะไรไหมครับ”

           ชิตรัตน์ส่ายหน้าเบาๆก่อนจะรับเอาผ้าเย็นจากใครสักคนในห้องที่ยื่นมันมาให้เขารับไปประคบหน้า ก่อนจะบอกให้แก้วกล้าตามธารไปเพื่อว่าอย่างน้อยอีกคนที่ปั้นปึ่งออกจากห้องไปอยากจะมีคนพูดระบายอะไรด้วย  ส่วนเขาก็มีเรื่องอยากจะสารภาพบาปกับคนรักเช่นกัน

           “พี่ขอโทษนะเกลที่ทำตามสัญญาไม่ได้”

           ความรู้สึกผิดตีตื้นขึ้นมาที่อก เขาไม่เคยที่จะปกป้องคนที่รักไว้ได้เลยสักครั้งเดียว มันก็สมควรแล้วที่เขาจะต้องมาโดนอะไรแบบนี้ เขาไม่โกรธธารเลยจริงๆที่ต่อยเขาไม่ยั้งแบบนั้น ดีเสียอีกเขาจะได้รู้สึกผิดน้อยลงเพราะอย่างน้อยเขาก็ได้รับการลงโทษ

               “ไม่หรอกครับ” เกลปลอบ

            “เพราะอย่างน้อยเรื่องที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ทำให้เกลรู้แล้วว่าทำไมคุณหญิงถึงไม่ชอบเกล”
           เกลพูดขึ้น ก่อนจะเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมดให้ให้ชิตรัตน์ฟังโดยมีฤดีมาสที่ถูกตามตัวมาเป็นพยานยืนยันเรื่องราวที่เกิดขึ้นรวมกับพล
         
          ปึ้ง!!

            “ตาชิน ออกมาให้ห่างๆไอ้เด็กตอแหลนั้นเดี๋ยวนี้นะ”

           บานประตูถูกผลักเปิดออกอย่างแรงด้วยฝีมือของคุณหญิงที่ร่างกายเปียกปอนไปหมดจนดูไม่ได้ห้อง พร้อมพนักงานหญิงอีกสองคนที่วิ่งเอาผ้าเช็ดตัวผื่นขาววิ่งตามมาที่หลังเพื่อนำมาห่มให้ร่วมถึงธารและแก้วกล้าที่ตามมาสมทบที่หลัง

           “คุณหญิงค่ะ เช็ดตัวก่อนเถอะนะคะเดี๋ยวจะไม่สบายเอา ว้าย!” แต่ความเป็นห่วงของเธอก็ไม่ประสบผลเท่าใจนักเมื่อได้รับการตอบแทนเป็นแรงผลักจนเกือบล้มลงกับพื้นโชคดีที่ชายอยู่ไม่ไกลเข้าไปรับได้ทันท่วงที

           “แม่ หยุดนะครับ” ชิตรัตน์ลุกขึ้นมาขว้างทันทีที่แม่ของตนพุ่งเข้ามาหมายจะทำร้ายที่ตื่นตกใจอยู่บนวีลแชร์

           “ปล่อยแม่ แม่จะฆ่ามันไอ้สารเลวนี้มันตบแม่ทำให้แม่ตกน้ำ ปล่อยสิ!!”
              คุณหญิงพยายามดิ้นให้หลุดจากแรงเหนี่ยวรั้งของลูกชาย จนชิตรัตน์หันไปสั่งพนักงานหญิงที่เข้ามาพร้อมแม่เขาให้ไปตามชาติเข้ามา

           “แม่ใจเย็นๆหน่อยได้ไหม เกลเขากลัวจะแย่อยู่แล้วเห็นไหมครับ”  เขาพยายามพูดแต่แรงดิ้นและเสียงต่อขานก็ไม่มีทีท่าว่าจะลดละลง หนำซ้ำยังทวีความโทสะของคุณหญิงให้ลุกเป็นทวี

           “กลัวหรอ เหอะ แกนะโดนมันหลอกแล้วไอ้ตัวลิ้นสองแฉกอย่างนี้หรอกลัว ตอแหลละสิไม่ว่า”  ถ้ามันกลับหล่อนจริงมันจะกล้าลุกขึ้นมาตบหล่อนจนตกน้ำตกทาแล้วนี้หรือไง

           “คุณแม่!”

           ชิตรัตน์ขึ้นเสียงใส่มารดาอย่างเหลือทน ต่อให้เกลตบหน้าแม่ของเขาจนตกสระเป็นเรื่องจริงแต่ใครละที่เป็นคนเริ่มเรื่องหากไม่ใช่แม่ของเขาเอง เกลแค่ป้องกันตัวเองทำไมไม่เคยเข้าใจคนอื่นเสียมั่งเลย

           “นี้แกกล้าขึ้นเสียงใส่ฉันงั้นเหรอตาชิน”

           คุณหญิงเงยหน้ามามองลูกชายคนเดียวของหล่อนที่แสดงสีหน้าทะมึนใส่แววตาแสดงออกถึงความผิดหวังและเสียใจอย่างไม่ปิดกั้น  จนความรู้สึกเจ็บจี้ขึ้นมาที่หน้าอกอย่างเช่นเวลาที่โรคประจำตัวที่เป็นอยู่นั้นกำเริมขึ้นมา

           “ชาติให้คนไปเตรียมรถแล้วพาคุณหญิงกลับบ้านไปสะ เดี๋ยวฉันจะอยู่รับหน้าแขกเอง”

           ชิตรัตน์หันไปสั่งการกับชาติที่เข้ามาถึงพอดี ก่อนส่งร่างของคนเป็นแม่ที่แสดงสีหน้าเจ็บปวดเพราะอาการของโรคหัวใจ แต่เขาก็หาสนใจไม เพราะถ้าเป็นยามปกติเขาจะเป็นคนเข้าไปดูแลหยิบยาให้ทานปรนนิบัติดูแลไม่ห่าง แต่ครั้งนี้มันต่างออกไป เขาผิดหวังอย่างแรงกับสิ่งที่แม่ของเขาทำไม่ใช่แค่เรื่องวันนี้แต่ในหลายๆเรื่องๆโดยเฉพาะคำบอกเล่าที่เขาได้ฟัง แม่ของเขาแคลงใจในตัวหลาน เขาเชื่อในคำที่พลเล่าเพราะมันไม่มีเหตุผลใดเลยที่ทางนั้นโกหกเขาและหากมองย้อนกลับไปในหลายๆครั้งเขายิ่งปักใจเชื่อ ทุกการกระทำของแม่เขาคือการเอาความเกลียดชังในคนรักของเขามาลงที่ลูกที่เป็นหลานแท้ๆอย่างอำมหิต

           “พาออกไปทางด้านหลังอย่าให้แขกรู้เรื่องนี้เข้าใจไหม  ส่วนที่เหลือกลับไปทำงานสะ”  เขาหันไปสั่งพนักงานเสียงนิ่ง อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน จนพนักงานที่แอบดูอยู่หลังประตูต้องรีบจรลี่กลับไปทำงานแทบไม่ทัน ด้วยเพราะไม่เคยมีครั้งไหนที่ท่านประธานคนปัจจุบันของเขาจะดูโกรธเท่าครั้งนี้

           “เกลกลับบ้านไปก่อนนะ” ชิตรัตน์หมุนตัวกลับมาหากุมมือสั่นๆของคนที่นั่งขวัญเสียอยู่บนเก้าอี้

           “แล้วพี่ชิน”

           “พี่ต้องรอส่งแขก กลับไปกับคุณธารสะพาลูกกลับไปด้วยเดี๋ยวพี่ตามไป”
           ชิตรัตน์กดจูบที่ขมับเพื่อเป็นการปลอบขวัญ พร้อมเพิ่มแรงบีบที่มือของคนรักที่เต็มไปด้วยความกลัวนั้น

           “คุณธารครับ ช่วยพาเกลกับแก้วกลับไปก่อนนะครับเดี๋ยวผมขอจัดการทางนี้เสร็จแล้วจะตามไป”

           ถึงอีกฝ่ายจะไม่บอกเขาก็พร้อมที่จะพาน้องชายของเขาออกจากที่แห่งนี้ตลอดเวลาอยู่แล้ว ความจริงเขาอยากพาน้องชายเขากลับตั้งแต่แถลงข่าวการร่วมหุ้นเสร็จแล้วด้วยซ้ำถ้าไม่ติดว่าน้องเขาขอเอาไว้ว่ามันจะดูเป็นการเสียมารยาทเขากลับไปแล้วไม่มาอยู่จนเกิดเรื่องเกิดราวเช่นนี้หรอก
 
           หลังจากที่ธารพาเกลและคนอื่นๆกลับไปแล้วชิตรัตน์ก็รับหน้าดูแลแขกเหลื่อต่างๆต่อ แม้จะมีสายตาอยากรู้อยากเห็นของนักข่าวที่พยายามที่จะเข้ามาถามเขาถึงเหตุความวุ่นวายข้างนอกที่พวกตนไม่ได้รับอนุญาตออกไปทำข่าวเช่นเดียวกับแขกทุกคนที่ถูกกักตัวอยู่แต่ภายในห้องจัดงานจนเรื่องทุกอย่างจบลง

           หลังจากงานดำเนินต่อไปเรื่อยๆอย่างราบรื้นจนถึงเวลาสุดท้ายของงานเลี้ยงที่เขาจะต้องส่งแขกทั้งหลายให้เดินทางกลับอย่างปลอดภัยหลังจากที่เขาเพิ่งจะส่งแขกที่มางานหมดกลับเสร็จเรียบร้อยแล้ว และกำลังที่จะหันไปสั่งงานเรื่องการเก็บจัดสถานที่เพื่อใช้รับรองสำหรับงานอื่นอยู่นั้น เจ้าเครื่องมือสื่อสารส่วนตัวของเขาก็แผดเสียงร้องออกมาจนประธานหนุ่มต้องถอดถอนลมหายใจอย่างแรงเมื่อลองเดาถึงผู้ที่กดต่อสายหาเขาในเวลานี้เวลาเกือบเที่ยงคืนอย่างนี้ และเมื่อล้วงมือหยิบดูก็ยิ่งได้แต่ส่ายหน้าแล้วกดรับสายของผู้มีศักดิ์เป็นบุพการีผู้เหลือเพียงหนึ่งเดียว

// ได้ยินที่แม่สั่งไหม กลับบ้านเดี๋ยวนี้//

คำทักทายแรกของปลายสายมิได้เอ่ยถามไถ่ความเป็นห่วงว่าบุตรชายคนนี้เหลือล้าจากงานที่ทำหรือไม หากแต่เป็นคำกล่าวหาที่คิดว่าเขามั่วแต่ลุ่มหลงในคนรักจนไม่ยอมกลับบ้านไปดูแลพร้อมยกเรื่องเมื่อครั้งหลังที่มักมีเขาคอยดูแลแม่คนนี้อย่างไร จนต้องชิตรัตน์ต้องบอกความจริงแก้ไขให้ทราบว่าตนทำอะไรอยู่กันแน่ ซึ่งตอนแรกดูเหมือนปลายสายจะเริ่มเข้าใจแต่พอเขาบอกว่า ไม่กลับ เพราะตั้งใจจะอยู่เป็นเพื่อนลูกน้องจนกว่าทุกอย่างจะเรียบร้อยซึ่งดูท่าแล้วคงไม่พ้นต้องกลับดึกดื่นจึงว่าจะนอนเสียมันที่โรงแรมนี้แหละ แต่เขาคงลืมไปว่าที่คุยกันอยู่นั้นคือ คุณหญิงโฉมฉวีผู้เอาแต่ใจและคิดเองได้เก่งกาจจนคนฟังได้แต่กุมขมับเดือดร้อนให้บริกรชายหญิงที่เดินผ่านคิดว่าเจ้านายผู้มอบเงินเดือนให้ไม่สบายกุลีกุจอหายูงหายากันยกใหญ่

           ชิตรัตน์ต้องยกเหตุผลที่ตนคิดไว้แต่แรกมาพูดให้ฟังแต่เพราะอีกฝ่ายไม่ฟังซ้ำยังประณามเขาว่าเป็นพวกโง่เขลาและชอบโกหก  ทางเขาเองก็เหนื่อยที่จะฟังเช่นกันจึงตัดสายแล้วปิดเครื่องเสียจะหาว่าเขาอกตัญญูบุพการีก็ได้ แต่ตอนนี้เขายังไม่อยากพบหน้าแม่ของเขาด้วยหลายๆเรื่องที่เข้ามาโดยเฉพาะเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อครู่นี้ ทำไมเขาจะดูไม่ออกละว่าที่แก้มตอบของแม่เขาเป็นรอยแดงจากฝ่ามือไม่ใช่บลัชออนสีโปรดที่ใช้ประจำ แต่จะให้ถือโทษคนทำก็ไม่ได้เพราะฝ่ายนั้นก็มีผลงานแบบเดียวกันอยู่ทั้งสองข้างแก้มแถมเขายังมีความคิดที่ว่า คุณหญิงแม่ของเขาสมควรโดนแล้วเหมือนกัน ถึงต่อให้เป็นแม่แต่ถ้าผิดเขาก็ต้องว่าตามผิด โดยเฉพาะเมื่อคิดเริ่มก่อนก็ต้องรับให้ได้หากอีกคนจะทำกลับ

           เขาไม่สงสารหรือเห็นใจแต่สิ่งเดียวที่เขารู้สึกต่อคนเป็นแม่ในตอนนี้คือเขาเหนื่อยกับนิสัยเช่นนี้และเห็นควรอย่างยิ่งที่จะดัดนิสัยเสียๆแบบนี้อย่างจริงจังหรือไม่มันก็คงต้องถึงเวลาที่เขาจะต้องแตกหักกับคุณหญิงจริงๆเสียที........................

...........................................................
 
           ความเดือดดาลใจที่มีมาแต่เดิมยิ่งประทุหนักขึ้นเมื่อสายที่กำลังคุยเมื่อครู่ถูกตัดทิ้งอย่างไร้เยื่อใย  เจ็บใจ นี้คือคำที่พุดขึ้นมาในหัวของคุณหญิงที่กำโทรศัพท์ไว้แน่นอยากจะขว้างทิ้งเสียแต่ก็ต้องทน

           “จะนั่งมองกันอีกนานไม มีอะไรทำก็ไปทำสิ ไป!!”   หล่อนตวาดใส่สาวใช้สองคนที่นั่งอยู่ไม่ไกลจนทั้งสองต้องรีบลุกออกไปด้วยกลัวว่าอารมณ์ที่เดือดดานจะไหลมาลงที่พวกตน

           “เป็นเพราะแก อีเด็กเพศยาเป็นเพราะแกคนเดียว” เพราะคิดว่าใช่แน่ว่าใครคือสาเหตุให้ลูกชายไม่กลับบ้าน คุณหญิงเองก็ไม่รีรอที่จะเอ่ยประณาม แต่ไหนแต่ไรมาชิตรัตน์ไม่เคยแม้จะขัดใจยิ่งถ้าอาการของโรคที่เป็นอยู่กำเริมขี้ขานจะรีบมาดูแลอย่างทำท่วงที แต่ครั้งนี้ไม่ใช่ ต้องเป็นเพราะเด็กนั้นมันกักตัวลูกชายเขาไว้เพราะมันลูกของเขาเลยกล้าแข็งข้อด้วย ความอาฆาตมุ่งร้ายที่มีต่อฝ่ายไม่เคยจะปกปิด คุณหญิงแสดงออกมาทางสีหน้าและแววตาอย่างชัดแจ้ง หล่อนเกลียดเด็กคนนั้น เกลียดเด็กสารเลวที่กล้าหลอกลูกชายเขา
 
          ปิ๊ด ปิ๊ด

           เสียงเตือนของข้อความที่ถูกส่งเข้ามายังโทรศัพท์ในมือพร้อมแรงสั่นเล็กน้อย ทำให้หญิงมากอายุและโทสะหันมาสนใจสิ่งที่ถูกส่งมาด้วยความหงุดหงิด เพราะเวลานี้สมควรเป็นเวลานอนและตามมารยาทที่พึ่งมีกันนั้น ถ้าไม่มีใครตายก็ควรเงียบไปเสีย

           แต่เบอร์แปลกที่ไม่ได้ถูกจัดเก็บเข้าบัญชีรายชื่อนี้ยิ่งทวีความสงสัยอย่างยิ่งจนต้องกดเข้าไปอ่าน แต่ดูเหมือนว่าหล่อนจะคิดผิดอย่างแรงที่ยอมเปิดอ่านข้อความที่ไม่รู้จักแบบนี้ เพียงแค่ประโยคสั่นๆที่แม้ไม่ระบุผู้ส่ง ไม่ครบองค์ประกอบของประโยคแต่มันกลับทำให้โกรธจนใบหน้าแดงก่ำได้ไม่ยาก

           //  อยู่คนเดียวเหงาไหมครับ  //
           ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าใคร เจตนาหรือก็เดาไม่ยาก จงใจจะเยาะเย้ยเขาอยู่แล้ว คุณหญิงแก่ไม่รอท่ากดโทรหาเบอร์นิรนามนั้นทันทีที่ตั้งสติได้

           //สวัสดีตอนกลางคืนครับ คุณหญิง//  เสียงปลายสายไม่แม้จะแปลกใจ คงรอที่จะให้โทรมาอยู่แล้วสินะ

           “แก แกกล้าดียังไงถึงส่งข้อความบ้าๆนั้นมาหาฉัน”

           // ผมก็แต่เป็นห่วง เห็นว่าคืนนี้ต้องอยู่คนเดียวเลยส่งไปถามด้วยความเป็นห่วง//

           “ห่วงหรอ อย่ามาตอแหลเสียให้ยากตาชินอยู่ไหนแกเอาลูกฉันไปกกไว้ไหน”

           //นั้นสินะครับ เอาไปไหวที่ไหนกันน่ะ//

           ปลายสายแย้มยิ้มสนุกพรลงลองนึกถึงท่าทีตีโพยตีพายของคนที่จงเกลียด เมื่อสักพักใหญ่เขาเพิ่งได้รับข้อความจากชิตรัตน์ว่าอีกคนจะไม่กลับมานอนกับเขาเพราะจะอยู่ช่วยลูกน้องเก็บงานเสียก่อน  นั้นจึงเป็นโอกาสที่ดีที่เขาจะหาเรื่องแกล้งแหย่ใครบ้างคนที่คงจะเป็นบ้าเป็นหลังกับการที่ลูกชายไม่ยอมกลับบ้านแบบนี้แน่  และมันก็จริงคุณหญิงตีโพยตีพายเสียใหญ่โตตามที่เขาคิดจริงๆ

           “อย่ามาเล่นลิ้นกับฉันนะ ที่ตาชินไม่กลับเป็นเพราะแกใช่ไหมไอ้เด็กสารเลว”

           // จุ๊จุ๊  แน่ใจหรือครับว่า สารเลว นะมันใช้เรียกผมได้// เกลส่ายหน้าขำกับคำพูดที่ย้อนศรไปเสียอกคนพูด

           // ถ้าอย่างผมเรียกสารเลวแล้วคุณหญิงละครับเรียกอะไร พรากแม่พรากลูกกีดกันคนรักกันทำตัวเช่นพระอาทิตย์เป็นศูนย์กลางจักรวาลทั้งที่ตัวเองเป็นแค่เศษดินเศษผงของจักวาลแท้ๆ อย่าเพิ่งกรี๊ดนะครับ ฟังให้จบ //    เสียงหวานเอ่ยขัดอย่างรู้ทัน เพราะอยากจะรีบพูดรีบวางสาย ถึงจะกล้าโทรมาแต่ก็ใช่ว่าจะอยากคุยด้วยนานๆเสียเมื่อไรกัน

           // ผมก็แค่อยากเตือนคุณหญิงว่าอย่าลืม  ว่าต่อให้แสงของพระอาทิตย์จะเป็นที่ต้องการของใครๆแต่เพราะแสงที่ส่องมามากเกินไปมันแผดเผาผู้ที่อยู่รอบๆจนทุกคนต้องถอยหนี ก็เหมือนกับคุณหญิงไงครับ จิตใจต่ำความคิดทราม ใครๆเขาก็ไม่อยากอยู่ใกล้ ผมพูดถูกไหมครับ คุณหญิงก้อนกวด //

           “กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด”   เสียงกรีดร้องอย่างเจ็บทนที่โดนด่าดังมาตามสายสนทนา คนหน้าสวยทำเพียงนำมือถือออกห่างๆจากใบหูพร้อมยกยิ้มสะใจ ก็แหม่พูดความจริงทำมาเป็นรับไม่ได้

           “แกกล้าดียังไงมาด่าฉันแบบนี้หะ ไอ้เพศยา” คุณหญิงเองก็ไม่น้อยหน้า

           // ไมได้กล้าดีครับ แค่พูดความจริง//

           “นี่แก !”

           // ครอบครัวจะเป็นครอบครัวได้มันต้องมีความรักต่อกัน เมื่อไม่รักไม่ไว้ใจคำว่าครอบครัวมันก็ไม่เกิดหรอกนะ //

           เกลทิ้งท้ายไว้แค่นั้นก่อนตัดสายทิ้งอย่างไร้เยื่อใย รู้ว่าไร้มารยาทที่ทำกับคนอาวุโสกว่าแต่แล้วไงล่ะ คนแบบนี้หรือจะให้เขาเคารพ ไม่ล่ะ ถ้าเป็นเมื่อก่อนอาจพอทน แต่นี่ไม่ใช่ เขาพอแล้วกับผู้หญิงบ้าอำนาจคนนี้ อีกอย่างก็คือเขาไม่อยากประสาทหูเสื่อมเพราะเสียงกรี๊ดของคนไร้สมองพันธ์นั้นด้วย

           สายลมของช่วงเวลาดึกสงัดที่พัดมากระทบร่างของเขาที่ยื่นนิ่งอยู่ที่ระเบียงของห้องช่วยให้อารมณ์ร้ายๆที่ไม่สงบให้เบาบางลง  เขารู้ตั้งแต่หลังกลับมาถึงบ้านแล้วว่าชิตรัตน์ต้องอยู่เคลียร์งานต่อที่โรงแรมและด้วยวิสัยลีดเดอร์ชายหนุ่มจะไม่ยอมกลับจนกว่าลูกน้องคนสุดท้ายจะขึ้นรถออกจากโรงแรมไปเพราะฉะนั้นทางเลือกที่ดีที่สุดคือการนอนที่โรงแรมเสีย และก็เป็นจริงดังเขาคิดเมื่ออีกฝ่ายโทรมาบอกว่าคงไม่ได้มาหาเพราะต้องอยู่เคลียร์งานตรงนี้ให้สิ้นเสีย เขาเองก็เข้าใจดีและไม่ได้ว่าอะไรที่อีกคนจะผิดคำพูด

           คราแรกเขาเองก็เข้านอนพร้อมลูกชายไปแล้วแต่ก็ต้องตื่นขึ้นเมื่ออีกคนส่งข้อความมาบอว่างานเสร็จแล้ว อยู่ๆความคิดบ้าๆก็เข้ามาอยากลองส่งข้อความไปหาคุณหญิงดูว่าเป็นเช่นไร และจริงอย่างเข้าคิดคุณหญิงกล่าวหาว่าเขาเป็นคนผิดที่ทำให้ลูกชายไม่กลับบ้าน ทั้งทีชิตรัตน์น่าจะแจ้งให้ที่บ้านทราบแล้วว่าเพราะเหตุใด

           “บัวใต้ตมจริงๆ”
           เป็นบัวใต้น้ำยังมีสิทธิที่จะโผล่ขึ้นมาเบ่งบานแต่นี้นอกจากจะไม่พ้นน้ำแล้วยังจมฝั่งอยู่ใต้ตมจนยากที่จะผลิบานได้ทั้งตัวและจิตใจแบบนี้อีก

           เกลส่ายหน้าอย่างละอากับจิตใจของคนที่ไม่ชอบหน้าก่อนหมุนตัวเดินกลับเข้าไปในห้องช้าๆ ถึงจะยังเดินเองมากไม่ได้แต่เขาก็ต้องพยายามเดินด้วยตัวเองให้ได้ยิ่งเดินเองได้เร็วเท่าไรเขาก็จะยิ่งสามารถปกป้องเด็กชายตัวน้อยนอนหลับสนิทอยู่บนเตียงคนนี้ได้เร็วมากขึ้นเท่านั้น

           กลุ่มผมสีน้ำตาลเข้มเช่นเดียวกับเขาถูกลูบเบาๆสองสามทีก่อนะจัดแจงดึงผ้าห่มให้สูงขึ้นจนปิดลำคอเล็กเพื่อป้องกันไม่ให้เด็กที่ภูมิคุ้มกันยังไม่แข็งแรงป่วยหรือเป็นหวัดเอาได้จากอุณหภูมิที่เย็นลงจากเครื่องปรับอากาศ

           “ใครไม่รักลูกของแม่แม่ไม่สน แต่แม่รักลูกมากและแม่จะไม่ให้ใครมาทำร้ายจิตใจลูกได้อีกแล้ว”

           คำกล่าวเหมือนคำปฏิญาณจบลงด้วยรอยจูบที่ข้างแก้มป้องเล็กของเจ้าตัวเล็ก สิ่งแรกที่เข้าจะทวงคืนจากแม่มดต่ำทรามนั้นคือ ลูกชาย ของเขาและคนต่อไปก็คือ ลูกชาย ของมันเพราะอีกไม่นานทุกอย่างจะจบ ฝนในใจตลอดหลายปีนี้จะจบลงเสียที

_________________________________________________________

คิดไปเองหรือเราคิดว่าคุณหญิงแกมีปมหว่าาา
มีใครคิิดเหมือนเราบ้างมั้ย???

ขอบคุณที่ติดตามนะคะ

ออฟไลน์ Jibbubu

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3385
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-6
คุณหญิงแกคงต้องการความรัก แต่ถ้าเรียกร้องแบบนี้ แบบที่ไม่เห็นหัวใครกระทั้งลูกตัวเองแบบนี้ เป็นเราคงไม่สนใจและปล่อยให้อยู่ตัวคนเดียวแบบนั้นต่อไปแน่ๆ รับไม่ได้กับความเอาแต่ใจและคิดถึงแต่ตัวเองเห็นตัวเองเป็นศูนย์กลางทุกอย่าง ไม่เคยคิดถึงคนอื่นบ้างเลย ระวังเถอะทำกับคนอื่นไว้มากๆ กรรมจะสนองคืน

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ wavery

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 124
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-2

ฝนหยดที่ 22



 หลังจากเหตุการณ์สระน้ำเดือดในคืนวันครบรอบเจ็ดสิบปีของโรงแรม เรื่องราวความขัดแย้งของคุณหญิงโฉมฉวีกับไนติงเกลน้องชายของหุ้นส่วนรีสอร์ตใหม่ที่พ่วงตำแหน่งคนรักของท่านประธานก็กลายเป็นประเด็นเด็ดให้เหล่าพนักงานทุกระดับได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันอย่างออกรสทุกครั้งที่ว่างเว้นจากงานที่ทำ ยิ่งกับคนที่อยู่ในเหตุการณ์ตบสะท้านสระน้ำในวันนั้นอย่างฤดีมาสหัวหน้าฝ่ายบุคคลด้วยแล้วถือเป็นคนสำคัญไปอย่างเสียไม่ได้เพราะไม่ว่าจะเดินไปทางไหนก็มันจะโดนลากตัวให้เล่าเหตุการณ์ในครั้งนั้นให้ฟังอีกหลายสิบรอบและทุกรอบก็มักจะจบลงแบบเดิมคือความเห็นอกเห็นใจที่ทุกคนมีให้ต่อนกน้อยปีกหักที่ถูกทำร้ายแถมไม่มีการถือโทษโกรธที่ฝ่ายนั้นโต้กลับจนเจ้านายวัยเกษียณตกน้ำตกท่าออกจะเห็นด้วยเสียด้วยซ้ำไป

           “นิดละอยากอยู่ในเหตุการณ์อย่างพี่มาสจริงๆเลยอ่ะ อยากรู้ว่ามันจะเหมือนฉากตบกันแบบในละครหรือเปล่า”

           “นั้นสิ แต่คุณไนติงเกลแกก็สุดยอดเลยนะกล้าโต้กลับคุณหญิงแบบนั้นนะ”  นุ่นกล่าวเสริม

           “ดี โดนกลับเสียบ้างจะได้รู้สึก” นิดยักไหล่พร้อมยกแก้วน้ำขึ้นดื่มแต่กลับโดนหัวหน้าสาวหยิบเข้าที่แขนจนร้องออกมา

           “โอ๊ย พี่มาสนิดเจ็บนะคะ” หล่อนว่า

           “ก็ทำให้เจ็บนะสิย่ะ ไปพูดแบบนั้นได้ยังไงเดี๋ยวคนอื่นเขาจะมองไม่ดีเอาเจ้านายมานินทาแบบนี้”

           ฤดีมาสออกเสียงปราม เพราะตอนนี้พวกเธอทั้งสามกำลังนั่งทานมื้อเที่ยงกันอยู่ที่โรงอาหารสำหรับพนักงานที่แยกส่วนออกมาจากตัวโรงแรมเพื่อความเป็นส่วนตัวของพนักงานและถือเป็นมุมพักผ่อนไปในตัวด้วย

           “โธ่ พี่มาสก็ มาถึงขั้นนี้แล้วนิดถามจริงเถอะมีใครเขาไม่รู้เรื่องนี้มั่งล่ะ เชื่อดิใครๆก็คิดแบบนิดทั้งนั้นละ ไม่เชื่อพี่มาสไปถามลุงยามหน้าตึกได้เลย”  สาวเจ้าว่าหน้าเชิด

ฤดีมาสถอดถอนใจอย่างเหนื่อยอ่อน หล่อนไม่แย้งหรอกนะว่าที่ลูกน้องสาวฝีปากกล้าจอมอยากรู้อยากเห็นข้างๆพูดมาไม่จริง แต่เพราะมันเป็นจริงนี้ละหล่อนถึงเพลียจิต เพราะหากนี้คือความต้องการบางอย่างที่แอบซ้อนมากับการให้หล่อนเป็นคนปล่อยข่าวลดความน่าเชื่อถือของคุณหญิงแล้วละก็หล่อนยอมรับเลยว่าไนติงเกลทำสำเร็จแล้วเพราะตอนนี้ความน่าเชื่อถือของคุณหญิงมันเริ่มหมดลงไปเรื่อยๆ  โอ๊ะ ไม่สิ มันหมดลงมาเรื่อยๆตั้งนานแล้วแค่ทางนั้นเข้ามาเป็นตัวเร่งปฏิกิริยาให้มันหมดลงเร็วขึ้นเท่านั้น เพราะทุกวันนี้ถ้าไม่นับว่าคุณหญิงถือสิทธิในความเป็นเจ้าของโรงแรมและบริษัทในเครือแล้วละก็ ไม่เคยมีใครพูดถึงคุณหญิงในแง่ดีเลยทั้งนั้นยกเวนเรื่องการทำงานล่ะนะ ที่ท่านเก่งกล้าและเนี้ยบไปทุกกระบวนการ

           “ฉันละเบื่อกับการต่อล้อต่อเถียงกับเธอจริงๆ ไปละ” หัวหน้าสาวใหญ่ตัดรำคาญลุกขึ้นจากเก้าอี้

           “จะไปแล้วหรอคะพี่มาส”  หล่อนหันกลับมาพยักหน้ารับให้นุ่นก่อนเดินเอาจานไปเก็บแล้วเลยออกจากห้องอาหารไป

           ตอนแรกฤดีมาสคิดจะกลับขึ้นไปที่ออฟฟิตเพื่อจัดการเคลียร์เอกสารเพื่อทำการส่งมองให้ท่านประธานเซ็นอนุมัติเรื่องการเปิดรับพนักงานเข้าใหม่ที่จะมาประจำที่รีสอร์ตแห่งใหม่ที่เพิ่งเปิดตัวไปพร้อมทั้งเรื่องการรับเด็กนักศึกษามาฝึกงานตามที่ทางมหาลัยต่างๆยื่นเรื่องขอเข้ามา

           “พี่มาสครับ พี่มาส” เสียงเรียกของของรีเซฟชั่นหนุ่มที่อยู่ประจำตรงล็อบบี้ร้องเรียกให้หัวหน้าของตนที่กำลังเดินผ่านมาให้หยุดกก่อนที่จะเดินตรงไปที่ลิฟต์

           “มีอะไรหรอ”

           “คือมีคนมารอพบพี่น่ะครับ”

           “ใคร”

           หล่อนถามอย่างสงสัยเพราะเธอไม่มีญาติพี่น้องที่ไหนเหลือแล้วนอกจากหลานชาย ส่วนสามีนี้ตัดไปได้เลยเพราะ ณ ตอนนี้เธอยังนั่งหนาวอยู่บนคานอยู่เลย อีกอย่างวันนี้เธอไม่ได้มีนัดหรือนัดใครไว้ด้วย แล้วใครกันที่มาหาเขาถึงที่นี้...

           “ไม่ทราบเหมือกันครับ เขาไม่ได้บอกเอาไว้  บอกแค่ถ้าพี่มาให้ไปหาเขาด้วย เขานั่งอยู่ตรงนั้นนะครับ” รีเซฟชั่นหนุ่มแจ้งให้คนตรงหน้าทราบก่อนชี้ไปยังที่นั่งพักผ่อนของลูกค้าที่ตอนนี้มีชายหนุ่มคนหนึ่งจับจองที่นั่งอยู่เพียงลำพัง

           ฤดีมาสพยักหน้ารับก่อนเดินเข้าไปหาชายหนุ่มที่มารอพบ หนุ่มตรงหน้าน่าจะอายุอ่อนกว่าหล่อนไม่มาก แต่ก็ยังถือว่าดูดีเสื้อยืดสีชมพูอ่อนกับกางเกงขาสามส่วนสีน้ำตาลแถมท้ายด้วยรองเท้ารัดส้นแฟชั่นเปิดหน้าเท้า มองผ่านๆก็คงเหมือนนักท่องเที่ยวทั่วไป จนนึกแปลกใจที่อยู่ๆอีกฝ่ายอยากพบเธอ

“ขอโทษนะคะ ไม่ทราบว่าคุณมีธุระอะไรกับดิฉันหรือเปล่าคะ”
              หล่อนเอ่ยทักด้วยประโยคคำถามอย่างสุภาพที่สุด เพื่อว่าคนตรงหน้าจะเป็นแขกที่มาพักกับทางโรงแรมและต้องการความช่วยเหลือจากตน

“คุณฤดีมาสที่เป็นหัวหน้าฝ่ายบุคคลใช่ไหมครับ”   ชายเอ่ยถามเพื่อความแน่ใจก่อนดันแว่นสายตาไร้กรอบให้เข้าที ก่อนผายมือเชิญให้คนที่ยืนอยู่นั่งเมื่อทางนั้นยืนยันตัวตนเสร็จ

“ใช่ค่ะ ดิฉันเอง” หล่อนตอบก่อนจะทรุดตัวนั่งลงตรงเก้าอี้ฝฝั่งตรงข้ามตามที่อีกฝ่ายเชื้อเชิญ

“ไม่ทราบว่าคุณมีอะไรหรือคะ หรือว่าพนักงานของเราทำอะไรให้คุณไม่พอใจ” มีอยู่ไม่กี่เรื่องเท่านั้นหรอกที่จะทำให้ลูกค้าของโรงแรมต้องเรียกหัวหน้าฝ่ายบุคคลมานั่งคุยด้วย และแน่นอนว่ามันย่อมทำให้หล่อนอดเป็นกังวลไม่ได้ว่าสิ่งที่อีกคนจะพูดจะเป็นเรื่องที่คิด

“อ๋อ ไม่ใช่หรอกครับ” ชายรีบส่ายหน้า ก่อนหยิบซองเอกสารบางอย่างส่งให้แทน

           “ผมชื่อ ชาย นะครับ ที่ผมมาวันนี้เพราะคุณเกลไหว้วานให้เอานี้มาให้ต่างหากล่ะครับ” เอกสารซองน้ำตาลถูกหยิบขึ้นมาวางลงที่โต๊ะกระจกตรงหน้า

           “คุณเกล คุณไนติงเกลนะเหรอคะ”  หล่อนถามย่ำเพื่อความแน่ใจ

           “ครับ”  หัวคิ้วที่บรรจงวาดเขียนอย่างสวยงามขมวดแน่นอย่างไม่เข้าใจ แม้สองมือจะเอื้อมไปหยิบซองเอกสารขึ้นมาพลิกดูแล้วก็ตาม

           “คุณเกลฝากผมให้มาหาคุณแต่จะเป็นเรื่องอะไรคุณคงทราบดีอยู่แล้ว”
           น้ำเสียงสบายๆของคนตรงหน้าไม่ได้ช่วยให้ใจหน่อยสบายตามไปด้วย ความคิดหลากหลายเข้ามามากมายถึงสาเหตุที่อีกฝ่ายส่งคนมาหาเขาวันนี้

           “อย่าทำหน้าแบบนั้นสิครับ เดี๋ยวตีนกาขึ้นเยอะกว่าเดิมไม่สวยนะ”
           ฤดีมาสส่งสายตาเขียวปัดให้อย่างแรงให้อีคนยกมือสองข้างเชิงยอมแพ้ คุยกับผู้หญิงใครใช้ให้พูดเรื่องรอยตีนกากันย่ะเสียมารยาทที่สุดเลย

           “เอ่อ ผมว่าคุณเปิดซองอ่านก่อนดีกว่าไมครับ”

            ชายเบี่ยงประเด็น ก็แหม่เขาทำงานอยู่กินกับเพื่อนการ์ดที่เป็นผู้ชายแทบตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง ถึงจะมีเจอบรรดาแม่บ้านบ้างแต่ก็เถอะแต่ก็แซวเล่นแบบนี้ไม่เห็นมีใครมองแรงใส่เขาเลยนิ หรือเขาพูดอะไรผิดไปเหรอ

           ฤดีมาสสะบัดหน้าใส่คนชื่อชายที่หามีความเป็นสุภาพบุรุษทางการพูดตรงหน้าไม่ มาสนใจเอกสารในซองที่ถืออยู่แทน ก่อนที่เปลือกตาทีแต่งแต้มด้วยเครื่องสำอางสีชมพูอ่อนจะเบิกกว้างอย่างตื่นตกใจหยิบเอกสารทั้งหมดออกมามองสลับไปมาหลายครั้งเพ่งอ่านใหม่อยู่หลายรอบ ก่อนหันขึ้นมามองชายที่นั่งยิ้มรออยู่

           “นี้มันหมายความว่ายังไงคะ” หล่อนถามอย่างไม่เข้าใจ ทำไมอยู่ๆอีกฝ่ายถึงคิดจะช่วยเขา

           “ก็หมายความตามที่เอกสารบอกนั้นละครับ  น้องณัฐหลานชายคุณป่วยเป็นโรคลิ้นหัวใจรั่วมาแต่กำเนิด ถูกต้องไหมครับและเมื่อต้นเดือนอาการก็แสดงออกอย่างรุนแรงจนต้องเข้าโรงพยาบาลหมอวินิจฉัยว่าต้องได้รับการผ่าตัดอย่างเร่งด่วน คุณเกลแกเลยจะขอรับอาสาดูแลเรื่องค่าใช้จ่ายตลอดการผ่าตัดซ่อมแซมหัวใจแถมคุณเกลยังได้จัดหาหัวใจอีกดวงมาเพื่อใช้สำหรับผ่าตัดเปลี่ยนหัวใจให้ใหม่หากหัวใจดวงเดิมของน้องเกินเยียวยา เพียงคุณเซ็นรับรองตรงนี้น้องณัฐก็สามารถเข้ารับการผ่าตัดนี้ได้ทันที” 

           ชายชี้ไปที่ช่องว่างด้านล่างขวามือให้ฤดีมาสดู พร้อมอธิบายถึงเนื้อความและความตั้งใจของเจ้านายตนที่ส่งให้เขานำเอกสานนี้มาให้ผู้เป็นป้าของเด็กได้ดู

           “เพื่ออะไรคะ คุณไนติงเกลทำแบบนี้เพื่ออะไรคะ”

           ฤดีมาสเอ่ยถามอย่างไม่ไว้ใจ ถึงเรื่องที่ชายพูดมาเกี่ยวกับอาการป่วยของหลายชายจะเป็นเรื่องจริง แม้เงินเดือนของหัวหน้าฝ่ายจะสูงแต่ก็แค่มีใช้จนเหลือเก็บแถมเงินค่ารักษาก็สูงเกินกว่าที่หล่อนจะรับภาระค่าใช้จ่ายได้ อีกอย่างหล่อนไม่เคยทำอะไรให้อีกฝ่ายจนเป็นบุญคุณขนาดที่จะต้องตอนแทนกับมากมายขนาดนี้

           “เพื่อตอบแทนไงละครับ” หล่อนฉงน

           “หรือคุณจำไม่ได้ว่าคุณเกลฝากฝั่งให้คุณทำอะไรไป”

           “ถ้าเรื่องนั้น ก็ไม่เห็นต้องตอบแทนกันขนาดนี้เลยนี้ค่ะ แบบนี้มันมากเกินไปดิฉันไม่กล้ารับหรอกค่ะ”

            ถึงใจจริงอยากจะรับไว้แทบขาดใจเพราะนี้มันหมายถึงชีวิตหลานชายที่เป็นญาติเพียงคนเดียวที่เหลืออยู่ แต่เพราะมันมากเกินไปสำหรับการปล่อยข่าวเรื่องที่สระน้ำวันนั้น เว้นแต่ว่า....

           “หรือว่าเจ้านายคุณต้องการให้ดิฉันทำอะไรให้อีก”  ชายยิ้มอย่างพอใจกับไหวพริบของผู้หญิงตรงหน้าที่อ่านเกมออกอย่างรวดเร็ว

           “เป็นอย่างที่คุณเกลบอกจริงๆนะครับ ว่าถ้าคุณเห็นเอกสารแล้วจะเข้าใจความหมายของมัน เก่งจริงๆครับ”  เสียเยินยอที่แม้มาจากใจแต่หล่อนกลับไม่รู้สึกดีด้วยเลยสักนิด

           “แฮ่มๆ คืองี้นะครับ คุณเกลมีเรื่องอยากให้คุณช่วยหน่อยสักเรื่องสองเรื่อง แลกกับการที่ทางเราจะช่วยเหลือเรื่องค่ารักษาของหลานชายคุณ วินวินเนอะงานนี้ แต่ถึงจะบอกว่าวินวินก็เถอะ แม้ว่าพอคุณฟังรายละเอียดเรื่องที่ทางเราจะให้คุณช่วยแล้วคุณเกิดไม่โอเคกับมันจนไม่อยากช่วยก็ไม่เป็นไรครับ เพราะยังไงเสียทางเราก็จะยังดูแลเรื่องค่าใช้จ่ายในตรงนี้ต่อไปอยู่ดี แถม..” ชายเว้นวรรคไว้ก่อนยกแขนซ้ายที่มีนาฬิกายี่ห้อดังรัดติดอยู่กับข้อมือขึ้นดูเวลา ก่อนพูดสิ่งที่ทำเอาคนที่นั่งฟังอยู่ต้องตกใจเพิ่มขึ้นเป็นอีกหลายเท่าตัว

            “ดูจากเวลาแล้วปานนี้หลานชายคุณคงตรวจร่างกายเพื่อเตรียมพร้อมก่อนเดินทางไปผ่าตัดที่ฝรั่งเศสเสร็จเรียบร้อยแล้วแน่ๆ”

            “อะไรนะคะ !?”
           ฤดีมาสแทบไม่เชื่อหูตนเอง ตรวจร่างกายเตรียมผ่าตัด แบบนี้มันเหมือนมัดมือชกโดยการสร้างบุญคุณกันชัดๆ

           “พวกคุณจะให้ดิฉันช่วยอะไรว่ามาเลยค่ะ ดิฉันตกลงช่วย”  หล่อนตอบรับคำของกึ่งบังคับนั้นอย่างไม่มีข้อแม้ ซึ่งคนรอฟังคำตอบอย่างชายก็ยิ้มรับกับผลงานตรงหน้า

           “ก็ไม่มีอะไรมากหรอกครับ แต่จะให้คุยกันที่นี้คงไม่ดีเอาไว้เดี๋ยวผมจะติดต่อไปอีกทีดีกว่านะครับ” ชายยิ้มเป็นมิตรให้คนตรงหน้า แต่หางตาของเขากับสะดุดเขากับอีกเป้าหมายหนึ่งที่ทำให้เขาต้องมาที่นี้

           “น้องชาติครับ!”

            ชายโปกไม้โปกมือเรียกหนุ่มหน้ามนที่เพิ่งเดินออกจากลิฟต์ให้หันมา แต่ไม่รู้ว่าเขาเรียกดังไปจนคนมองกับเต็มหรืออย่างไร ทำไมคนที่เขาเรียกต้องทำหน้าดุอย่างไม่สบอารมณ์ใส่เขาด้วย แถมยังเดินปึงปังมาหาเขาด้วย วันนี้ทำไมมีแต่คนทำหน้าดุใส่เขาด้วยละ ชายทำไรผิด...

           “มีอะไรหรือครับพี่ชาย”

            ชาติว่าเสียงนิ่งอย่างไม่ชอบใจ แน่ล่ะ ใครมันจะไปชอบกันในเมื่อตัวเขาเองก็ไม่ใช่ๆเด็กๆที่จะมาให้ใครเรียกอะไรแบบนี้ด้วยแถมตัวเขาก็ไม่ได้บางร่างน้อยเหมือนผู้หญิงที่ไหนเผลอๆตัวจะใหญ่กว่าไอ้คนที่เรียกนั้นอีก

           “คือว่านี้ครับ” ชายว่าพร้อมส่งกระเป๋าเอกสารที่อยู่ข้างๆพร้อมรอยยิ้มละไมเพื่อหวังลบล้างความผิดเมื่อครู่ให้อีกคน

           “คุณแก้วฝากพี่เอามาให้นะ เห็นบอกว่าเอกสารพวกนี้ผ่านการพิจารณาแล้วให้คุณชิตรัตน์เซ็นได้เลย ส่วนนี้ให้เราตรวจอีกรอบถ้าไม่ผ่านก็ตีกลับ”

           ชายว่าพร้อมแจงงานที่ตนได้รับให้ผู้ช่วยเลขาได้รับทราบ ชาติพยักหน้าเข้าใจก่อนจะหันไปเป็นเชิงถามเมื่อเห็นว่าเด็กส่งของตรงหน้าไม่ได้อยู่คนเดียว

           “คุณมาสรู้จักกับเขาด้วยหรอครับ” ฤดีมาสมีท่าทีกระอักกระอ่วนใจไม่รู้ว่าจะตอบคนอายุอ่อนกว่าอย่างไรดีแถมเธอไม่รู้ด้วยว่าชาติมาส่วนรู้เห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้ด้วยหรือไม่ แต่ดีที่ว่าชายไหวตัวทันเลยชิงตอบเสียแทน

           “อ้อ พอดีว่าญาติพี่เขากำลังหางานนะ พี่เลยเอาประวัติมาให้คุณฤดีมาสดูนะว่าพอจะรับไว้ได้หรือเปล่านะ นี้ไง”

           ไม่ว่าเปล่าชายยังชี้ไปยังซองเอสารสีน้ำตาลที่วางนิ่งอยู่บนตักของหญิงตรงหน้า ซึ่งชาติเองก็ไม่ได้ติดใจอะไรก่อนขอตัวออกไปซื้อของให้เจ้านายที่ร้านคอฟฟี่ช็อป
           “หัวไวเป็นลิงเลยนะ” ฤดีมาสว่าเหน็บ แต่ชายกลับไม่สะทบสะท้านใดๆออกจะนึกว่าเป็นคำชมเสียด้วย
           “งั้นผมขอตัวกลับก่อนดีกว่า ยังมีของที่ต้องซื้อกลับอีกเยอะเลย”
            ชายลุกขึ้นจัดแจงเสื้อผ้าให้เข้าที่ก่อนหันมาล่ำลาคู่สนทนาตรงหน้าแล้วเดินหายลับไปที่ประตู  ทิ้งสาวใหญ่ให้นั่งทำหน้าคิดไม่ตกอยู่เพียงผู้เดียวอย่างเหนื่อยใจ หล่อนไม่รู้ว่างานทีจะได้ทำต่อจากนี้ไปจะเป็นอย่างไร ไม่รู้ว่าในอนาคตจะเกิดอะไรขึ้น แต่ที่หล่อนรู้มีเพียงอย่างเดียวคือ คุณหญิงไม่รอดแน่
 
       
  :katai2-1:

ออฟไลน์ wavery

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 124
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-2

:katai2-1:

   “นี้มันหมายความว่ายังไงกันคะคุณสุวิทย์ ไหนคุณว่าคุณจัดการเรื่องเอกสารการผ่าตัดให้ดิฉันเรียบร้อยแล้วไงค่ะ แล้วนี้มันหมายความว่ายังไง” 

           เสียงโวยวายดังลั่นบ้านอย่างคนไม่พอใจดังขึ้นทันทีที่ชายวัยดึกที่ได้รับเชิญมาอย่างเร่งด่วนก้าวขาเข้ามาในบ้าน สร้างความแตกตื่นให้เหล่าสาวใช้เป็นอย่างยิ่ง แม้พวกหล่อนจะเจอทอร์นาโดอารมณ์ของคุณหญิงผู้เป็นนายอยู่ทุกวันก็ใช่ว่าจะชินเสียที่ไหนกัน ยิ่งกับผู้มาใหม่ด้วยแล้วถึงกับต้องปาดเหงื่อกันเลยทีเดียว

           “ใจเย็นๆก่อนสิครับคุณหญิง ค่อยๆพูดค่อยๆจากันเถอะครับ”

           สุวิทย์หรืออีกนัยหนึ่งคือเลขาส่วนตัวของคุณหญิงที่แม้จะขอเกษียณตัวเองสักกี่ครั้งก็ไม่เคยสำเร็จ ไม่รู้ว่าคุณหญิงแกจะติดอกติดใจการทำงานของเขาไปถึงไหนถึงไม่ยอมให้เขาได้หยุดอยู่บ้านเลี้ยงหลานเสียที

           “ค่อยๆพูดหรอ ค่อยๆพูดอะไรกันละ ฮะ!!!!”   แม้จะเจ็บที่หน้าอกจนต้องเอามือกำเสื้อจนยับยู่ ก็ไม่ทำให้ความอยากอาละวาดของคุณหญิงลดน้อยลงเลย

           “ถ้าไม่เพราะวันนี้ฉันโทรไปถามเรื่องของผู้บริจาคหัวใจ ฉันคงไม่รู้เลยสินะว่ามันมีคนตัดหน้าฉันไปนะ ทั้งๆที่ฉันก็ย้ำกับคุณตั้งหลายครั้งแล้วว่าฉันต้องผ่าตัดให้เร็วที่สุดนะ”

           หนุ่มใหญ่ร่างท้วมได้แต่ยกผ้าเช็ดหน้าในมือขึ้นซับเหงื่อจางๆตามขมับอย่างไม่รู้จะทำเช่นไรดี  ตอนแรกเขาอยู่ออฟฟิตกำลังเคลียร์เอกสารเพื่อว่าสุดสัปดาห์นี้จะได้พาหลานๆไปเที่ยวทะเล แต่อยู่ๆก็มีสายด่วนกระชากวิญญาณที่พอรับสายก็ไม่มีแม้แต่คำทักทายเพราะประโยคแรกก็คือคำสั่งให้มาพบหล่อนเดียวนี้ และพอมาถึงก็อย่างที่เห็นสาดคำพูดความไม่พอใจใส่เขาจนตั้งตัวไม่ทัน

           “แต่ผมก็จัดการตามที่คุณต้องการหมดแล้วนี้ครับ วันนั้นคุณหญิงเองก็อยู่ด้วยตอนที่เจรจากับคุณหมอเรื่องการเข้าผ่าตัด แล้วทำไมถึงเกิดเรื่องแบบนี้ได้ละครับ”  เรื่องการเข้ารับผ่าตัดเปลี่ยนหัวใจของคุณหญิงที่ฝรั่งเศสนายสุวิทย์เป็นหนึ่งในผู้ที่อยู่ร่วมในเหตุการณ์ครั้งนั้นด้วย คุณหญิงให้เขาย้ำกับหมอที่ดูแลเคสว่าถ้าตรวจดูแล้วหัวใจของใครสามารถเข้ากันได้กับของคุณหญิงให้รีบติดต่อกลับมาทันที เขาก็ทำตามที่สั่งแล้วคุณหญิงก็อยู่ฟังด้วยแล้วทำไมถึงยังมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นได้อีกกันนะ

           “คุณหญิงได้โทรกลับไปถามทางนั้นแล้วหรือยังครับ”

            บางทีทางนั้นอาจมีเหตุผลบางอย่างก็เป็นได้ เรื่องแบบนี้ต้องลองคุยกันก่อน แต่ดูท่าแล้วคุณหญิงคงไม่ได้ถามเป็นแน่สุวิทย์จึงลองถามหยั่งเชิงดู แล้วมันก็จริงดังคิดเมื่อเจ้านายแสนเอาแต่ใจของเขายื่นโทรศัพท์ส่งมาให้

           “เอาไปคุย ฉันจะรอฟัง”

           สุวิทย์ยื่นมืออูมๆออกไปรับอย่างเสียไม่ได้ก่อนกดเบอร์โทรทางไกลข้ามประเทศไป  ถือสายรออยู่ครู่ใหญ่ก็สามารถถามไถ่ถึงรายละเอียดความผิดพลาดที่เกิดขึ้นได้ แต่ข้อความที่ถูกถ่ายถอดออกมามันทำเอาคนวัยเกษียณเช่นเขาถึงกับคิดไม่ตกไม่รู้จะนำความแจ้งแก่ผู้หญิงตรงหน้ายังไง

           คุณหญิงเองที่ทำเหมือนไม่สนใจการสนทนาทางไกลของเลขาวัยใกล้เคียงกันแต่ก็อดสังเกตไม่ได้เมื่อสุวิทย์มันเหลือบตามามองตนอยู่บ่อยครั้งจนผิดปกติ จนคันปากอยากตะถามอยู่หลายครั้งแต่ก็อดทนรอจนกว่าเลขาจะคุยเสร็จ

           ครึ่งชั่วโมงผ่านไปพร้อมความอดทนของคุณหญิงที่สิ้นสุด ทันทีที่เห็นว่าสุวิทย์วางสายเรียบร้อยหล่อนจึงโผล่งถามออกไปในทันที

           “ว่ายังไง”

           “เออ คือ...” ช่างเป็นเรื่องยากที่จะอธิบายออกไป

           “อย่ามาอ้ำอึ้งนะ พูดออมาสักทีสิ”

           อาการยึกยักของอีกคนทำเอาคนอารมณ์ร้อนเช่นคุณหญิงไม่พอใจ สุวิทย์รู้ดีว่าถ้าขื่นยังไม่ยอมพูดไม่แคล้วระเบิกคงลงกลางบ้าน จมูกกลมสูดหายใจเข้าปอดลึกกว่าปกติก่อนกลั้นใจพูดสิ่งที่ได้รับรู้มาเมื่อครู่ออกไป

           “ทางโรงพยาบาลบอกว่าผลการตรวจออกมาเมื่อประมาณช่วงกลางสัปดาห์ที่ผ่านมาแล้วแต่ติดต่อไม่ได้อีเมล์ที่ส่งไปก็ถูกตีกลับ.. “

           “ติดต่อไม่ได้อะไร โทรศัพท์ฉันก็เปิดอยู่ตลอด” คุณหญิงแย้งขัด

           “อันนี้ผมก็ไม่ทราบครับแต่ทางนั้นยืนยันว่าติดต่อหาคุณหญิงแล้วจริงๆ”  สุวิทย์พยายามพูดตามที่ฟังมา

           “แล้วยังไงต่อ”

           “เออ....” สุวิทย์รู้สึกหนักใจที่จะพูดต่อ แต่เพราะสายตาคาดคั้นของอีกคนทำให้เขาจำใจต้องพูดออกไป

           “คือ หลังจากที่ทางนั้นติดต่อคุณหญิงไม่ได้สองวันหลังจากนั้นก็มีคนอ้างตัวว่าเป็นญาติกับคุณหญิงโทรไปขอเลื่อนการผ่าตัดเพราะเกิดป่วยขึ้นมากระทันหันแล้วยังยินยอมให้หัวใจดวงนั้นกับเด็กผู้ชายอีกคนไปครับ”

           “ญาติที่ไหนกันอีกละ ทำไมโรงพยาบาลทำงานกันแย่แบบนี้ไม่ไหวเลย แล้วทีงี้จะทำไงแล้วไอ้เด็กนั้นที่มันปาดหน้าฉันมันเป็นใคร”

           “ทางโรงพยาบาลไม่ได้บอกว่าเป็นใครนะครับ บอกแค่ว่าเป็นคิวแทรกพิเศษกำลังจะเข้ารับการผ่าตัดด่วนในอีกสองสามวันนี้นะครับ” สุวิทย์บอก

           “พิเศษยังไง พิเศษกว่าฉันตรงไหนย่ะฉันก็จ่ายเงินให้เหมือนกัน”  คุณหญิงว่าเสียงขัดใจ กอดอกหน้างอจนคนฟังได้แค่ยิ้มแห้งอย่างไม่รู้จะพูดไงต่อดี

           “ผมก็ไม่ทราบครับ ทางนั้นบอกแค่ชื่อของผู้อุปถัมภ์ของเด็กที่จะรับการผ่าตัดแทนคุณหญิงเท่านั้นเองครับ”  สุวิทย์ปาดเหงื่ออีกรอบ โดยไม่รู้ว่าคำพูดของตนเรียกความสนใจของคุณหญิงได้ไม่น้อย

           “ใคร บอกมา” และชื่อที่ชายร่างท้วมกำลังจะพูดก็เหมือนเป็นการสาดน้ำมันเข้ากองไฟ เมื่อชื่อนั้นคือ

           “รู้สึกว่าจะชื่อ  ไนติงเกล ดิ เอลเมอร์ซี่ นะครับ เอ๋ นามสกุลนี้คุ้นๆนะครับว่าไม่ครับคุณหญิง”

           สุวิทย์ผู้ยังไม่รู้ชะตากรรมเอ่ยทักถึงความสงสัยในนามสกุลของคนที่เป็นผู้อุปถัมภ์คนไข้ โดยไม่ได้มองดูเลยว่าใบหน้าขาวของคุณหญิงเปลี่ยนเป็นแดงก่ำเพราะความโกรธ จนมือสองข้างกำแน่นก่อนพรวดพราดคว้ากระเป๋าแล้วออกจากบ้านไปทันที  ไม่สนใจสุวิทย์หรือแม่บ้านที่พยายามถามไถ่ว่าจะไปไหนอยู่ด้านหลัง ทะยานรถยนต์สีขาวพุ่งออกจากรั้วบ้านอย่างรวดเร็ว

           จุดหมายปลายทางของคุณหญิงก็ไม่ใช่ที่ไหนไกล บ้านพักตากอากาศที่ไทยของตระกูลดิ เอลเมอร์ซี่ บ้านหลังใหญ่ที่ไม่โตมากเกินความจำเป็นบนที่ดินพื้นงามที่ครั้งหนึ่งหล่อนเคยหมายตาไว้เมื่อครั้งยังสาว

 
          เอี้ยดดดดด

           เสียงดอกยางรถที่บดเบียดกับพื้นถนนอย่างแรงจนดังลอดเข้าไปถึงในตัวบ้านก่อนจะตามมาด้วยเสียงโวยวายที่ดังตามมา สร้างความแปลกใจให้ผู้อยู่อาศัยเป็นอย่างยิ่ง

           “ข้างนอกมีอะไรกันหรือเปล่า”  แก้วกล้าเอ่ยถามพลางชะโงกหน้ามองออกไปนอกหน้าต่างบานใหญ่ แต่ก็ถูกต้นไม้ที่ปลูกปังไว้จนมองไม่เห็น  เช่นเดียวกับไรอันที่แม้จะทำหน้านิ่งแต่สายตาก็ยังคงสอดสายไปมา แต่คงจะมีแต่หนุ่มผมยาวบนวีลแชร์ที่ดูไม่ทุกข์ร้อนอะไรแถมยังยกยิ้มเหมือนรู้ว่ามีอะไรเกิดขึ้นอยู่อีกฝั่งของรั้วบ้าน

           “พี่ไรอัน เดี๋ยวเกลวานให้พาคุณแก้วกลับขึ้นไปบนห้องทีนะ ส่วนปีแอร์สั่งเด็กในบ้านทุกคนห้ามขึ้นมาที่บ้านไม่ว่าจะได้ยินเสียงอะไรก็ตามเข้าใจไหม”  เกลสั่งการก่อนหันไปมองหน้าพลเป็นนัยๆว่าให้พาแขกที่ไม่ได้รับเชิญเข้ามา

           “ทำไมละเกลลี่ มีเรื่องอะไรหรอแล้วทำไมต้องห้ามไม่ให้ใครขึ้นมาในบ้านด้วยละ” เด็กจำไมเอ่ยถาม

           “ทำตามที่เกลบอกนะปีแอร์ พี่ไรอันด้วยอยู่เป็นเพื่อนคุณแก้วในห้องอย่าออกมาจนกว่าเกลจะให้คนไปตาม”

            ไรอันมองหน้าเกลนิ่งก่อนจะลุกขึ้นเป็นคนแรกพยุงให้คนท้องแก่ลุกตามแล้วพาขึ้นบันไดไป ในเมื่อเป็นคำสั่งเขามีหน้าที่ปฏิบัติตามถึงรู้ว่าเรื่องที่กำลังจะเกิดขึ้นมันคืออะไรในเมื่อไม่ได้รับอนุญาตให้รู้เขาก็มีหน้าที่แค่รอดูผล

           “ไปได้แล้วปีแอร์”

           เกลออกปากไล่ แม้ปีแอร์จะออกอาการขัดใจอยู่บ้างแต่ก็ไม่ได้พูดอะไรเดินไปทำตามหน้าที่ที่ได้รับ ทำให้ตอนนี้เหลือแค่เกลที่ยังนั่งรอต้อนรับแขกกิตติมาศักดิ์อยู่ข้างล่างเพียงลำพัง

           “สวัสดีครับคุณหญิง  ไม่ทราบว่าลมอะไรหอบคุณมาถึงบ้านผมได้ละครับ”   เกลส่งยิ้มละไมให้แขกของบ้านที่เดินปึงปังเข้ามาพร้อมพลกันการ์ดอีกสองคน

           “หยุดรอยยิ้มแสแสร้งของแกไปเดี๋ยวนี้เลยนะ อีงูพิษ”

            ใครจะมองว่ารอยยิ้มตรงหน้าหวาดหยดสักแค่ไหน แต่สำหรับหล่อนแล้วมันก็แค่การเสแสร้งที่ต่อให้มีให้กับใครจากใจแต่ที่แน่ๆมันไม่ได้มีความยินดีส่งมาให้หล่อนแน่

           “อยู่ดีๆก็มาว่าผมแบบนี้มันไม่ดีนะครับ”

           เกลว่ายิ้มๆ แม้ภายนอกจะดูไร้ความกลัวแต่หากจริงๆแล้วแก้วตาหวานยังดูสั่นเช่นเดียวกับมือบางที่สั่นจนต้องกุมเอาไว้ที่ตัก  ทุกคนอาจมองข้ามแต่ไม่ใช่กับพลและการ์ดที่ถูกฝึกให้มีทักษะเรื่องการช่างสังเกตโดยเฉพาะพลที่อยู่ใกล้ชิดเกลมากที่สุดมีหรือจะไม่รู้ว่าที่แสร้งทำเก่งตรงหน้า ทุกครั้งหลังจากเผชิญหน้ากับแม่มดร้ายแล้วตัวจะสั่นเป็นลูกนกอย่างคุมไม่ได้นานแค่ไหน

           “อย่ามาพูดให้ฉันขำนะ ไอ้เด็กบ้า!” พลดึงสติกลับมาจองมองเหตุการณ์ตรงหน้าต่ออีกครั้งเมื่อเสียงแหลมแสบแก้วหูของคุณหญิงวีนขึ้น

           “แกใช่ไม่ที่เป็นคนโทรยกเลิกการผ่าตัดที่ฝรั่งเศสของฉัน แกกล้าดียังไงฮะ!!!!”

            ไม่พูดเปล่าร่างบอบบางของคุณหญิงก็พุ่งปรี่เข้าไปกระชากอีกคนให้หลุดออกจากที่นั่งบนวีลแชร์แล้วออกแรงเขย่าอย่างแรงจนหัวสั่นหัวคอน  ทำให้การ์ดอีกสองคนที่ยื่นอยู่รีบเข้าชาร์จล็อกตัวผู้บุกรุกที่เข้าทำร้ายเจ้านายของตนทันที พลรีบเข้าไปประคองให้ยืนขึ้นก่อนจะคอยพยุงเอาไว้

           “รู้ด้วยหรือครับว่าผมเป็นคนทำ รู้ด้วยหรอครับว่าผมกล้า”  เสียงเยาะอย่างถือดีของเกลดังขึ้นหลังจากที่ตนแสร้งก้มหน้าอยู่เมื่อครู่ สร้างความไม่พอใจให้คุณหญิงมากขึ้นเป็นทวีพยายามบิดแขนบิดตัวออกจากการควบคุมแต่ก็ไม่สำเร็จด้วยเพศสภาพและวัย

           “ผมยอมรับก็ได้ครับว่าผมเป็นคนทำ แต่ก็นะเด็กคนนั้นสมควรได้รับการผ่าตัดอย่างเร็วที่สุดอีกอย่างตัวคุณหญิงเองก็ออกจะแข็งแรงดี ก็ไม่เห็นมีอะไรเสียหายเลยนี้ครับ” เกลอ้างเสียงใส

           “แกไม่มีสิทธิทำแบบนี้ นั้นมันหัวใจของฉันมันเป็นสิทธิที่ฉันจะได้”  คุณหญิงว่าเสียงกร้าว แววตาราวโรจอย่างไม่พอใจ

           “เด็กคนนั้นก็มีสิทธิที่จะได้เช่นกัน คุณหญิงน่าจะดีใจนะครับที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของการทำบุญครั้งนี้เพื่อว่าความดีที่สละหัวใจให้คนอื่นจะช่วยให้จิตใจของคุณหญิงสูงค่ามากขึ้นตาม”

           เสียงราบนิ่งพร้อมใบหน้าที่ไร้ความรู้สึกของคนพูด ทำเอาคนฟังอยากกรีดร้องออกมาเสียงดัง แต่ก็ทำอะไรไม่ได้เมื่อหนึ่งในการ์ดที่จับกุมตัวหล่อนไว้นั้นเหมือนรู้ทันยกมือปิดปากหล่อนไว้เสียก่อน

           “ก็แค่รอผลตรวจครั้งต่อไปคงไม่นานเกินรอหรอกครับ ยังไงก็ได้เปลี่ยนอยู่แล้วละครับหัวใจเน่าๆนี้นะ”  นิ้วเรียวจิ้มเข้าไปที่ตำแหน่งเหนือหัวใจคนใจร้ายเบาๆ

           “แกกล้าดียังไงมาว่าฉันแบบนี้ เหอะ ฉันละอยากรู้จริงๆว่าถ้าตาชินรู้เรื่องที่แกทำวันนี้แล้วยังจะเข้าข้างแกอยู่อีกไม่”  คุณหญิงสะบัดหน้าให้หลุดก่อนพูดออกมาอย่างเป็นต่อ เมื่อเห็นสีหน้าของอีกคนที่ดูเหมือนคาดไม่ถึง

           “หึ แกเตรียมตัวออกจากชีวิตลูกชายฉันไปได้เลย ยังไงเสียชินไม่มีวันเห็นแกดีกว่าแม่อย่างฉันแน่”

           สีหน้าที่ดูเป็นต่อของคุณหญิงทำเอาเกลนิ่งอย่างทำอะไรไม่ถูก  เขารู้ดีว่าชิตรัตน์รักแม่ของจนเองมากเพียงใด แต่แล้วยังไงละ มาถึงขั้นนี้แล้วเขาพร้อมเสี่ยงทุกอย่าง

           “แม่เลวๆที่ทำร้ายจิตใจลูกได้อย่างเลือดเย็นนะหรือครับ โธ่ๆ ผมว่าคุณหญิงเอาเวลาสร้างความแตกแยกของครอบครัวผมไปดูแลตัวเองให้อยู่ให้ถึงวันที่จะได้เปลี่ยนหัวใจครั้งถัดไปเถอะครับคุณหญิง เพราะหัวใจของนักบุญคนนั้นมันไม่เหมาะสมกับคนที่มีจิตใจเลวทราบเป็นบัวที่จมอยู่ใต้โคลนตมสงปรกแบบนี้หรอก ส่งแขก”  เสียงประกาศิตของผู้เป็นนายดังออกมา สองหนุ่มร่างใหญ่ก็จัดการลากดึงคุณหญิงที่เมื่อไม่มีอะไรปิดกั้นฝีปากให้ไม่สามารถขยับได้แล้วก็พ่นคำด่าแบบสาดเสียเทเสียหมดความเป็นผู้ดีที่สั่งสมมานาน จนคนมองได้แต่ระอากับสิ่งที่ได้พบเห็น
 
          ผลุบ
 
          ทันทีที่คุณหญิงหายลับไปจากตัวบ้านอาการขาแข้งอ่อนแรงของคนเก่งกล้าเมื่อครู่ล้มพับตัวสั่นอยู่ในอ้อมกอดของพี่เลี้ยงหนุ่มทันทีเมื่อมโนภาพที่มองเห็นไม่สามารถจับภาพคุณหญิงหรือใครๆได้อีก

           “ใจเย็นๆครับ ใจเย็นๆ หายใจเข้าลึกๆนะ”

           พลลูบปลอบ ก่อนจะสั่งการให้สองคนที่ไปส่งคุณหญิงเมื่อครู่ไปบอกคนอื่นๆในบ้านว่าทุกอย่างเรียบร้อยแล้วก่อนจะช้อนตัวเด็กเจ้าแผนการขึ้นไปพักต่อที่บนห้องนอน

           “รู้ผลที่จะตามมาดีใช่ไหมครับ”  พลเอ่ยขึ้นหลังจากจัดแจงวางคนในอ้อมแขนเมื่อครู่ลงบนเตียงห่มผ้าให้เรียบร้อย

           “เรื่องนี้พี่เชื่อว่ายังไงก็ต้องรู้ถึงหูของคุณชิตรัตน์แน่ คุณพร้อมรับมือกับสิ่งนี้ยังครับ” คนถูกถามพลิกหน้ามามองนิ่งก่อนจะหลับตาลงช้าๆ อย่างรับสภาพ

           “เกลรู้ครับว่าถ้าพี่ชินรู้เขาต้องโกรธเกลมาก” เขาพอรับผลที่ตามมาของการกระทำนี้แล้ว แม้อีกคนจะโกรธแต่เขาก็ไม่คิดจะถอยหรอกนะ

           “แล้วคุณเตรียมรับมือไว้แล้วหรือยัง”  เกลส่ายหน้าช้าๆ เขาไม่ได้เตรียมแผลรองรับไว้นั้นคือเรื่องจริง

           เมื่อเห็นว่าอีกคนเงียบไปนานจึงไม่อยากกวนในเมื่อไม่อยากพูดก็คงเสียเวลาเปล่าที่จะถามคำถามเดิมออกไป  พลละจากจุดที่ยืนอยู่เมื่อครู่เดินออกไปจากห้องพร้อมปิดประตูให้อย่างแผ่วเบา

           ความแค้นที่มีมันไม่อาจดับได้ด้วยการปล่อยวาง เขาแค่ต้องการที่จะเอาของที่เป็นของเขาคืนมาก็เท่านั้น แม้วิธีจะรุนแรงแต่เพื่อได้มาเขาก็ไม่หวั่น แต่เกลอาจลืมไปอย่างว่านิสัยคนพาลอย่างคุณหญิงแล้วเมือสู้กับเขาไม่ได้ ก็ยังมีเหยื่ออีกตัวที่คนพาลจะลงอารมณ์ใส่

______________________________________________________________


มาส่งทุกคนเข้านอน(หรือนอนกันแล้ว หว่าาา) กันสักหนึ่งตอน
ตอนนี้ทางฝ่ายน้ำเงิน(เกล)เริ่มเปิดการ์ดโจมตีมาแล้วนะครับท่านผู้ชม
เรามาเอาใจช่วยฝ่ายแดง(คุณหญิง)กันว่าจะมีแผนตีกลับเช่นไรหรือว่าจะหัวใจวายตายก่อน
 :katai1:

เจอกันอีกทีช่วงดึงนะคะ

ขอบคุณที่ติดตามนะคะ

ออฟไลน์ Jibbubu

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3385
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-6
เกลคงต้องเตรียมรับมือกับความโกรธและความสงสัยไม่เข้าใจว่าทำไมต้องทำถึงขนาดนี้ให้พี่ชินเข้าใจแล้วล่ะ แต่นี่ถ้าเป็นเวอร์ชั่นเก่ายัยคุณหญิงมันไม่ได้เป็นโรคหัวใจแต่เวอร์นี้เหมือนจะเป็นจริงๆ ใช่มั้ยค่ะไรท์

ออฟไลน์ wavery

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 124
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-2
ฝนหยดที่ 23


           “แม่ไม่ยอมนะตาชิน ยังไงแม่ก็ไม่ยอม”

           เสียงเรียกร้องถึงความไม่พอใจของคุณหญิงดังขึ้นไม่ขึ้นหยุดหย่อน นับตั้งแต่ชิตรัตน์เหยียบย่างผ่านเข้าประตูบ้านมาในช่วงบ่าย ทีแรกเขาคิดจะเข้ามาเอาของที่ลืมไว้แต่ยังไม่ทันได้ไปไหนไกลก็ถูกคนเป็นแม่ที่นั่งรออยู่แต่เดิมลากเข้ามาคุยถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อน  ตอนแรกเขาเอกก็ยอมรับว่าตกใจที่อยู่ๆการผ่าตัดถูกเลื่อนออกไปและยิ่งตกใจมาขึ้นไปอีกเมื่อรู้ถึงสาเหตุตัวการเกิดจากฝีมือคนรักของตัวเองแบบนี้

           “ผมว่ามันอาจเป็นการเข้าใจผิด”  เขาพยายามแย้ง

           “เข้าใจผิดอะไรกัน มันเป็นคนบอกแม่เอง มันพูดเองอยู่กับปากแกยังจะเข้าข้างมันอีกหรอ”  คุณหญิงเริ่มไม่พอใจ ขนาดว่าตนพูดขนาดนี้แล้วชิตรัตน์ยังคิดเข้าข้างอีกฝ่ายอยู่ อะไรมันโง่และไม่ได้ความขนาดนี้กัน

           “ผมว่า ผมจะลองถามเกลดูอีกทีหนึ่งก่อน”

           “ยังต้องถามอะไรกันอีกฮะ!! นี้ตาชินแกยังเป็นคนอยู่อีกมั้ยหรือว่าเป็นควายไปแล้วถึงดูไม่ออกกว่ามันตอแหลนะ”

           “แม่ครับ” ชิตรัตน์ว่าอย่างเหนื่อยใจ

            “ผมจะยังไม่ตัดสินอะไรทั้งนั้นจนกว่าจะได้พูดกันเกล ผมต้องฟังความทั้งสองฝ่ายนะครับแม่ จะได้ตัดสินถูกว่าใครผิดไม่ผิด”

           ถึงจะพูดไปอย่างงั้นแต่ ลึกๆ แล้วชิตรัตน์เองก็แอบหวังว่ามันจะไม่จริงอย่างที่แม่เขาพูด  เขายอมรับว่าพอได้ยินครั้งแรกเขาเองก็ทั้งโกรธและตกใจ แต่เขาพยายามไม่เอาอคติมาบดบังความคิด เรื่องนี้มันต้องฟังความทั้งสองฝ่ายถึงจะถูก แม้ท่าทางเขาเองจะแสดงออกว่าไม่พอใจอยู่ก็ตาม

           “แกจะรอฟังคำโกหกตอแหลอะไรของมันอีกในเมื่อฉันก็พูดให้แกฟังอยู่นี้ไง”

           “เดี๋ยวผมจะออกไปคุยกับเกลให้รู้เรื่องแล้วกันนะครับ”

            เมื่อเห็นว่าลูกชายไม่สนใจคำเรียกร้องของตนเอง แถมยังผลุดลุกไปเสียดื้อๆ มีหรือที่หล่อนจะยอมเรื่องนี้ยังไงหล่อนก็ถือว่าเป็นผู้ถูกกระทำอย่างแท้จริงยังไงก็ไม่ยอมให้มันผ่านไปง่ายๆอย่างนี้แน่

           “งั้นฉันไปด้วย”     

            คุณหญิงลุกขึ้นตามแล้วเดินลิ่วไปที่รถเปิดประตูแล้วเข้าไปนั่งโดยไม่สนใจว่าเจ้าของรถจะอนุญาตให้หล่อนไปด้วยหรือไม่ เพราะถึงจะห้ามหล่อนก็จะไป ถ้าคราวนี้เด็กนั้นมันเป่าหูลูกชายเขาให้กลายเป็นควายอีกสิเขาไม่ยอมแน่ หน้ากากแสนดีนั้นวันนี้หลอนจะเป็นคนกระชากออกมาเอง

 
            ว่าทางนั้นรีบร้อนแล้วทางนี้ก็คงร้อนยิ่งกว่า ธารรีบออกจากออฟฟิตอย่างรวดเร็วเมื่ออยู่ๆคนสนิทที่ตอนนี้อยู่ช่วงพักร้อนต่อสายตรงมาหาเขาแล้วบอกถึงการมาเยื่อนของแขกที่ไม่ได้รับเชิญที่เขาไม่ชอบหน้า แม้ไม่มีรายละเอียดอะไรแต่แค่รู้ว่าใครมาชายหนุ่มก็หุมหันกลับบ้านทันทีไม่สนแม้แต่น้อยว่าเลขาสาวที่เดินถือแฟ้มเอกสารเข้ามาจะมีเอกสารสำคัญด้วยหรือไม่

           ทันทีที่เขามาถึงบ้านทุกอย่างดูนิ่งสงบจนน่าใจหาย มันสงบเกินไปชายหนุ่มตั้งท่าจะวิ่งขึ้นไปยังชั้นสองของบ้านแต่ก็ต้องหยุดชะงักเมื่อเห็นพลกำลังเดินสวนลงมาพอดี

           “ทำไมกลับมาไวจังครับ”  พลรู้สึกตกใจไม่น้อยที่อยู่ๆคนเป็นนายอีกคนก็ด่วนรีบกลับมาเร็วเพียงนี้

           “มันเกิดอะไรขึ้น ไรอันโทรหาฉันบอกว่าคุณหญิงผีนั้นมาที่นี้ มันเกิดอะไรขึ้นแล้วน้องฉันอยู่ไหน”

           ธารเค้นเสียงตามไร้ฟันถามถึงสิ่งที่เกิดอย่างร้อนใจเป็นด้วยห่วงความปลอดภัยของน้อง

           พลเองก็ไร้เหตุผลที่จะปิดจึงผายมือเชิญให้คนเป็นนายลงไปคุยกันข้างล่างแทนการยืนข้างบันไดเช่นนี้ ธารจำใจยอมเดินตามคนสนิทของน้องชายลงมาข้างล่างก่อนจะเป็นฝ่ายเปิดปากถามถึงสิ่งที่เกิดขึ้นทันที

           “ตอนนี้คุณเกลนอนพักอยู่บนห้องครับ บางทีอาจยังไม่พร้อมคุยกับใคร”


           ทั้งๆที่เขาย้ำนักย้ำหนาแล้วว่าอย่าเข้ามายุ่งแล้วเป็นไง โดนอีกฝ่ายบุกมาหาเรื่องถึงบ้านแบบนี้ไอ้พวกการ์ดพวกนี้ก็เหมือนกันปล่อยให้คนนอกเข้ามาในบ้านง่ายๆแบบนี้ได้ยังไง

           “หึ ทำอะไรเป็นเด็กๆ”

           ธารบ่นการกระทำของน้องชาย ไอ้ที่โดนเขาตามหาเรื่องถึงบ้านแบบนี้เจ้าตัวแสบต้องไปทำอะไรที่มันเป็นเรื่องเป็นราวใหญ่โตมาอีกแน่ๆ อุตส่าห์บอกว่าเขาจะจัดการเองแท้ๆ

           “นายครับ”

             เสียงของการ์ดที่อยู่ๆๆก็วิ่งเข้ามาดังเรียกความสนใจของทั้งคู่ที่หลบมุมคุยกันอยู่ในสวนดังขึ้น  พร้อมรายงานการมาเยือนของคนที่เพิ่งจากไปไม่นาน ตอนแรกธารตั้งใจจะปฏิเสธไม่ต้อนรับการมาของทั้งคู่แต่เพราะอยากที่จะเคลียร์ปัญหาที่ว่านั้นให้เรียบร้อยจึงตัดสินใจที่ยินยอมให้การ์ดเปิดประตูรับสองคนนั้นเข้ามา

           พวกเขาเดินกลับเข้ามาในบ้านเพื่อที่จะไปรอรับแขกที่ประตู แต่ดูเหมือนว่าจะมีคนที่เร็วกว่ามายืนรออยู่ก่อนแล้ว

           “น้องเกล”

           ธารครางชื่อน้องชายออกมาด้วยความตกใจ เมื่อเห็นคนที่แทบจะไม่ลุกขึ้นจากวีลร์แชร์มายืนด้วยขาทั้งสองข้างที่ไม่มั่นคงของตนแบบนี้

           เช่นเดียวกับชิตรัตน์ที่รีบวิ่งลงมาจากรถเข้าไปประคองร่างคนรักที่ยืนขาสั่นอยู่ตรงประตูทันทีทันทีที่จอดสนิท

           “เกลทำไมเดินลงมาเองแบบนี้”   ชิตรัตน์ถามอย่างเป็นห่วงกลัวว่าถ้าเกิดล้มลงไปจะเป็นยังไง....  ผิดกับใครอีกคนที่เดินตามลงมาจากรถ

           “เผยไต๋ออกมาแล้วหรือไงย่ะ”  เกลยังคงยิ้มแม้เสียงถากถางนั้นจะดังขึ้นมา

           “เข้าไปคุยกันข้างในก่อนดีไม่ครับ”
           เกลเสนอและไม่รอให้ใครตอบกลับรั้งแขนของชิตรัตน์ที่พยุงตนเองอยู่นั้นให้พาเข้าไปยังห้องนั่งเล่นเพื่อจะได้พูดคุยถึงการมาเยือนครั้งนี้ของทั้งคู่
         
              “พี่ชินมีเรื่องอะไรจะคุยกับเกลหรือเปล่าครับ” เมื่อมาถึงห้องรับแขกเกลชิงเป็นคนเปิดประเด็นขึ้นมาก่อนโดยจงใจเมินหนีคุณหญิงที่กำลังอ้าปากพูดให้นิ่งค้างอยู่อย่างงั้น

           “พี่อยากรู้เรื่องที่แม่พี่พูด เกลเป็นคนขอเลื่อนเคสผ่าตัดจริงหรือเปล่า”  ชิตรัตน์ยิงประเด็นขึ้นมาทันทีเพื่อกันไม่ให้คุณหญิงเป็นฝ่ายถาม

           “อ้า ถ้าเรื่องนั้นเกลยอมรับครับว่าเป็นคนทำตามที่คุณหญิงพูดเองจริง”

           เขายอมรับในสิ่งที่ทำ ก็อย่างที่บอกไปว่าเขานะไม่มีแผนสำรองสำหรับการกระทำครั้งนี้เขาพลาดเองละที่ลืมจุดจุดนี้ไป ทำให้ตอนนี้ไม่มีอะไรจะทำได้ไปมากกว่าการยอมรับความจริง ที่ทำเอาคนที่รอฟังอยู่ถึงกับนิ่งเงียบอย่างไม่คิดว่าจะเป็นเรื่องจริงคงจะมีแต่คุณหญิงนั้นละที่ยิ้มเยาะชอบใจส่งสายตาให้ลูกชายเป็นเชิงว่าฉันบอกแล้วให้อีกคนหน้าม่ายลง

           “เกลทำแบบนี้ทำไม”

           ชิตรัตน์ถามเสียงอ่อนแรง เขาไม่รู้ว่าจะอธิบายความรู้สึกนี้ยังไง ผิดหวังหรือก็น่าจะเป็นไปได้ ทั้งทีเขาพยายามพูดให้อีกคนหลุดพ้นข้อกล่าวหาแต่อีกคนดันมายอมรับแบบนี้มันทำเอาเขาเองก็ไปต่อไม่ถูกเช่นกัน

           “เกลขอโทษนะครับพี่ชิน แต่ที่เกลทำเกลคิดดีแล้ว”

           ชิตรัตน์มองหน้าคนรักอย่างไม่เข้าใจ มันมีบางอย่างเปลี่ยนไปเกลตรงหน้าเขาตอนนี้มีบางอย่างที่ต่างออกไปเหมือนว่ามีบางอย่างที่เขายังไม่รู้

           “เห็นไหมละตาชิน ฉันบอกแกแล้ว” ยิ่งเสียงแหลมเล็กของคุณหญิงที่จีบปากจีบคอพูดใส่อย่างเย้าเย้ยลูกชายของตัวเอง

           “เกลทำไปทำไม” มันยิ่งทำให้เขาอยากรู้

           “เพราะเกลว่าคุณหญิงไม่มีความจำเป็นต้องได้รับการผ่าตัด”  เกลว่าเสียงนิ่ง  “ผลการตรวจของคุณหญิงมันยังไม่จำเป็นถึงขั้นต้องผ่าตัด แค่กินยาอีกสักระยะก็พอจะบรรเทาให้ดีขึ้นได้ แต่คุณหญิงกลับคิดจะผ่าตัดโดยการกั๊กผู้บริจาคไว้เกือบสิบทั้งทีพอตรวจแล้วมีแค่สี่คนเท่านั้นที่คุณหญิงสามารถรับหัวใจไว้ได้ เกลก็แค่ขอหัวใจดวงเดียวเพื่อให้เด็กที่ต้องการผ่าตัดด่วนที่สุดก่อน เกลผิดหรือครับ”  เขาบอกทุกคนตามความเป็นจริงพร้อมยื่นซองเอกสารที่ครั้งหนึ่งเคยได้รับจากชายและพลส่งให้ชิตรัตน์ได้อ่านมัน

           “แต่นั้นมันเป็นสิทธิของฉัน ฉันมีเงินฉันจะทำอะไรก็ได้แกไม่มีสิทธิมายุ่ง”   คุณหญิงว่าเสียงกร้าวเมื่ออยู่ๆ ความลับเรื่องการรักษาของตนถูกเอามาเปิดเผยทั้งทีมันไม่ควรจะมีใครรู้

           “ผมรู้ครับว่าไม่มีสิทธิ แต่ผมคงทนเห็นความเห็นแก่ตัวของคุณหญิงทำให้คนที่มีความจำเป็นต้องตายลงต่อหน้าโดยไม่ช่วยอะไรไม่ได้หรอกนะครับ”  เกลอ้าง

           “ไหนแม่บอกผมว่าอาการมันหนักมากจนต้องได้รับการผ่าตัดโดยด่วนไงครับ แต่ในเอกสารนี้มันบอกว่าอาการของแม่ยังไม่จำต้องผ่าตัดไงครับ”    ชิตรัตน์นี้นั่งเงียบอ่านเอกสารอยู่ขมวดคิ้วไม่เข้าใจกับผลการตรวจที่มันขัดแย้งกับคำพูดที่เขาเคยได้ยิน

           “แม่โกหกผมหรอครับ”  กลับเป็นหล่อนเสียเองที่ถูกลูกชายอย่างชิตรัตน์ไล่ต้อนถาม คุณหญิงมองซ้ายขวาเลิ่กลั่ก เมื่อจนด้วยพยานเอกสารตรงหน้า

           “ก็ตอนนี้มันจำเป็นต้องผ่าแล้วนี้ไง” หล่อนเถียง

           “แต่ใบนี้มันผลตรวจเมื่อเดือนก่อนที่แม่ไปตรวจที่ฝรั่งเศสนะครับ” ชิตรัตน์ชูเอกสารขึ้นพร้อมชี้ระบุวันที่ให้แม่ดูอย่างเคืองใจ

           “แล้วยังไงละ ฉันอยากจะผ่าตัดให้มันหายๆแต่ไอ้เด็กเวรนี้มันมันขโมยหัวใจของฉันไปแกต้องจัดการให้ฉันสิ”   เมื่อไม่รู้ว่าจะเถียงต่อไปอย่างไรดีคุณหญิงจึงโยนความผิดให้โจรขโมยหัวใจตรงหน้าไปแทน

           “ได้ครับผมจะจัดการให้ แต่แม่ก็อยากหวังว่าผมจะกลับไปเชื่อคำพูดของแม่อีกเลยแล้วกันนะครับ” พอกันทีกับคำลวงหลอกเรื่องอาการป่วยบ้าๆนี้จนชีวิตครอบครัวเขาพัง พอกันที

           “นี้แกหมายความว่ายังกันตาชิน แกพูดแบบนี้ได้ไงหะ!!”  คุณหญิงลุกปรี่เข้ามาเขย่าแขนลูกชายอย่างไม่พอใจ 

           “ก็หมายความตามที่พูดนั้นละครับ”

           ชิตรัตน์ว่าเสียงนิ่งก่อนทำท่าก้มลงอ่านเอกสารที่อยู่ในซองต่อไม่สนใจท่าทีเป็นเดือดเป็นร้อนของคนเป็นแม่  ที่ยืนกระฟัดกระเฟียดไม่พอใจอยู่กลางห้อง

           หล่อนไม่พอใจเป็นอย่างยิ่งที่อยู่ทุกอย่างกลับตาลปัตรไปในทิศทางนี้ทั้งที่หล่อนเชื่อว่ายังไงเสียครั้งนี้หล่อนก็ชนะแน่ แต่ทำไมกันทำไมมันถึงมีเอกสารการรักษาของหล่อนอยู่ในมือได้  คุณหญิงกระทืบเท้าเสียงดังปังเมื่อไม่มีใครสนใจ นอกจากรอยยิ้มแสนสะใจของตัวต้นเหตุที่หล่อนคิดว่าครั้งนี้จะกำจัดออกไปได้  แต่ไม่ใช่.... หล่อนอยากเข้าไปกระชากเด็กนั้นมาตบให้หายแค้นแต่ถ้าทำมีหรือที่คนของมันจะยอมให้เข้าถึงตัวได้ หล่อนแค้น.... สายตามาดร้ายกวาดมองไปรอบบริเวณ ก่อนจะหมุนตัวออกจากห้องนั่งเล่นไปทำในสิ่งที่ไม่ว่าใครก็คิดไม่ถึงเมื่อหางตาหล่อนเผลอไปสบเขากับคนช่างยุ่งที่เพิ่งเดินลงมาจากบันได

           หล่อนไม่รอให้ใครรู้ตัวว่าหล่อนจะทำอะไรตรงเข้าไปกระชากไหล่ของคนท้องที่เพิ่งเดินลงมาจากบันไดให้หันกลับมาก่อนตบเข้าไปที่ซีกหน้าขาวฉากใหญ่

           “เพราะแก ถ้าแกไม่ช่วยตาชิตตามหาไอ้เด็กนี้ลูกชายฉันก็คงไม่คิดต่อต้านฉันแบบนี้ เพราะแก”   แก้วกล้าที่ยังไม่ทันตั้งตัวแม้จะโดนตบไปรอบแล้วยังต้องหัวสั่นหัวคอนกับการถูกหญิงอารมณ์ร้ายเขย่าอย่างแรงจนเวียนหัวทำได้แค่ปัดป้องตัวเองกับลูกในท้องเท่านั้น

           “คุณหญิงปล่อยเดี๋ยวนี้เลยนะ”  ธารที่วิ่งตามออกมาคนแรกพยายามเข้ามาแยกทั้งคู่ออกทันที

           “แม่ปล่อยแก้ว” พร้อมด้วยชิตรัตน์ที่เข้ามาขว้าง

           “พวกแกสิต้องปล่อยฉัน ฉันจะฆ่ามัน”

            คุณหญิงว่าเสียงเขียวก่อนใช้แรงที่มีอยู่ทั้งหมดเหวี่ยงร่างอวบของคนท้องที่ไม่ทันตั้งตัวลงไปอยู่กับพื้นอย่างแรงส่งผมให้เกลที่ผละตัวออกจากพลเพื่อที่จะเข้าไปรับร่างของแก้วกล้าเอาไว้พลอยล้มหัวกระแทกพื้นบ้านที่ปูด้วยหินอ่อนไปด้วยอีกคน

           “แก้ว / เกล”

           ชิตรัตน์ที่เข้ามาล็อกแขนคุณหญิงเพื่อกันไม่ให้ลงมือทำร้ายใครอื่นอยู่เมื่อครู่รีบเหวี่ยงแม่ตัวเองไปอีกทางออกอย่างไม่ลังเลก่อนจะรีบวิ่งเข้าไปดูคนรักของตนที่นอนสลบอยู่กับพื้นทันที  ธารรีบออกคำสั่งเสียงดังลั่นให้เตรียมรถออกก่อนสั่งให้เอาตัวคุณหญิงที่ถูกล็อคเอาไว้ไปขังเก็บไว้ที่ห้องก่อนรีบตรงหรี่เข้าไปหาคนท้องที่นั่งหน้าซีดอยู่ที่พื้น

           “แก้วเป็นไงมั่ง”  ธานถามเสียงร้อนรน เมื่อมองหน้าอีกคนที่ซีดลงเรื่อยๆสลับกับใบหน้าของน้องชายที่เปื้อนคาบของแหลงสีแดงที่ไหลออกมาจากขมับ

           “คุณธารผมเจ็บ”

            เสียงแผ่วลงของแก้วกล้า ทำให้ชายหนุ่มใจเสียก่อนต้องร้อนรนเมื่อหางตาดันไปสบเข้ากันช่วงขาเรียวที่พ้นขอบชุดคุมท้องที่ตอนนี้อาบไปด้วยของแหลวสีแดงจำนวนมากจนน่าหวั่นใจ

           “คุณธารรีบพาแก้วกันเกลไปโรงบาลเถอะครับ”

           ชิตรัตน์ที่เห็นท่าไม่ดีรีบช้อนตัวคนรักขึ้นก่อนจะหันไปรีบเร่งอีกคนที่ยังทำอะไรไม่ถูกได้สติ ซึ่งพอดีกับที่การ์ดนายหนึ่งวิ่งมาแจ้งว่ารถพร้อมแล้วธารถึงตั้งสติของตัวเองได้รีบช้อนตัวอีกคนขึ้นแนบอกแล้วเร่งฝีเท้าไปที่รถ

           ตลอดทางชายหนุ่มนั่งประคองบีบมือเล็กอย่างให้กำลังใจ พูดปลอดสารพัดที่จะช่วยผ่อนปรงความกังวลของคนท้องลงได้แม้จะอ่อนแรงแต่ด้วยความเป็นแม่สิ่งที่แก้วกล้าห่วงมากที่สุดคือเจ้าตัวเล็กที่ยังไม่ลืมตาดูโลก ธารรู้ดีและหากว่าทั้งสองเป็นอะไรไปเขาก็ไม่เอาคุณหญิงโฉมฉวีไว้เช่นกันต่อให้น้องเขาเอ๋ยปากขอจัดการเองอย่างไรเขาก็จะไม่สนใจอีกแล้ว

           ทันทีที่รถจอดเทียบที่หน้าทางเข้าโรงพยาบาลเหล่าบุรุษพยาบาลและนางพยาบาลต่างกรูกันเข้ามาร่างของเกลถูกนำตัวแยกไปอีกทางเพื่อเข้าไปยังห้องฉุกเฉินแม้แผลที่ขมับจะไม่ร้ายแรงจนถึงต้องเย็บปิดแต่เพราะเลือดที่ออกมาเยอะมากจนเกินไป แต่นั้นก็ยังไม่น่าเป็นห่วงมากเมื่อเทียบกับอีกคนที่ถูกหามเข้าห้องคลอดเพื่อทำการผ่าตัดทำคลอดเป็นการด่วน โชคดีที่ว่าหมอพลอยรัมภาเข้าเวรอยู่พอดีการผ่าตัดทำคลอดครั้งนี้เจ้าหล่อนจึงรับหน้าที่เป็นผู้ดูแล

           “คุณรออยู่ข้างนอกก่อนนะคะ” คุณหมอสาวดันชายหนุ่มไว้เมื่อเห็นท่าว่าอีกคนพยายามรั้งจะเข้าไปในเขตห้าม

           “แต่ผมเป็นห่วงแก้ว ผมอยากเข้าไป” ธารว่าร้อนรน

           “ไม่ได้ค่ะ” คุณหมอว่าก่อนหายลับเข้าไปหลังบานประตู ธารทิ้งตัวตัวลงกันเก้าอี้หน้าประตูอย่างสิ้นทาง

           เวลาแห่งการรอคอยมักจะยาวนานเสมอโดยเฉพาะการรอคอยคนที่เราไม่มีทางรู้ว่าจะเป็นตายร้ายดีอย่างไร เขาไม่รู้ว่าเวลาตอนนี้ผ่านมานานแค่ไหนแล้วหรือว่ากี่ครั้งแล้วที่พยาบาลผลัดกันเข้าออกห้องคลอดกันให้วุ่น สีหน้าเคร่งเครียดของคนเหล่านั้นยิ่งทำเขาหวั่นวิตก

           หนุ่มลูกครึ่งนั่งหน้าเครียดไม่ไหวติงไม่สนแม้การ์ดที่มาด้วยจะแจ้งรายงานอาการของน้องชายแสนรักว่า ปลอดภัยและกำลังย้ายไปห้องพักฟื้นแล้วก็ตามทีเพราะอย่างน้อยเขาก็รู้ดีอยู่แล้วว่าน้องของเขามีคนคอยดูแลอยู่แล้วจึงไม่ต้องเป็นห่วงอะไรมาก แต่ตอนนี้เขาห่วงอีกคนเสียมากกว่า แก้วกล้าเข้าไปนานแล้วแต่ยังไรซึ่งสัญญาณที่ดีจากอีกฝากของบานประตู จนกระทั้ง

 
          แอ๊ด

          บานประตูห้องผ่าตัดถูกเปิดออกพร้อมกับร่างระหงในชุดผ่าตัดสีเขียว ทำให้ธานรีบเด้งตัวขึ้นเข้าหาหญิงสาวที่เพิ่งเดินออกมาอย่างร้อนรน

           “หมอพลอย แก้วกับลูกเป็นยังไงมั่ง” ร่างอรชรของคุณหมอสาวที่ก้าวออกมาจากบานประตูด้วยสีหน้าอิดโรยแฝงความลำบากใจอย่างเห็นได้ชัด

           “หมอ” 

           “คนไข้มีอาการตกเลือดอย่างหนัก” หล่อนเกรินนำด้วยสีหน้าไม่สู้ดี ก่อนสูดลมหายใจลึกๆเข้าไปให้ทั่วปอดแล้วเอ๋ยสิ่งที่เกิดขึ้นภายในห้องต่อ

           “หมอเลยต้องทำการผ่าตัดด่วนเพื่อทำคลอดก่อนให้คนไข้ก่อนกำหนด และก็ดีใจด้วยแก้วกับคุณได้ลูกสาว” คุณหมอสาวปั้นยิ้มยินดีให้ว่าที่คุณพ่อ ที่พอได้รับฟังเรื่องราวก็พอที่จะทำให้ความกังวลคลายลงแล้วเปลี่ยนเป็นยิ้มได้

           “จริงหรอหมอ แล้ว แล้วแก้วกับลูกละเป็นไงมั่งผมขอเข้าไปดูได้มั้ย”

             ว่าที่คุณพ่อหนุ่มออกอาการดีใจอย่างเห็นได้ชัดตั้งท่าจะเดินผลักบานประตูนั้นเข้าไปหาคนที่รักข้างในแต่กลับถูกสาวเจ้ายกแขนดันอกเอาไว้เสีย สร้างความไม่เข้าใจฉงนงงให้เป็นอย่างมาก แต่เมื่อจ้องมองไปยังผู้ผ่าตัดใบหน้าเปี่ยมยิ้มเมื่อครู่กลับสลดลงอีกครั้งเมื่อใบหน้าสวยเชิดของคนเป็นหมอมีแต่ความตึงเครียด

           “เกิดอะไรขึ้นข้างในหรอหมอ” ธานกลั่นใจถาม คิ้วดกสีน้ำตาลเข้มขมวดชิดแน่น

           “เด็กปลอดภัยค่ะแต่เพราะคลอดก่อนกำหนดยังคงต้องอยู่ในตู้อบสักพักเพื่อดูอาการก่อน แต่แก้ว...”

           “ทำไมหมอ หมอพูดมาสิแก้วเป็นอะไร”
           หัวใจดวงน้อยของเขาแทบหยุดเต้นยิ่งหมอพลอยรัมภาทำสีหน้าที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกนั้นด้วยแล้ว เขายิ่งเป็นกังวล

           “หมอ แก้วเป็นอะไร” ธานบีบรั้งตรงแขนเล็กของหมอหญิงตรงหน้าออกแรงเขย่าเล็กน้อยอย่างร้อนใจ  ได้โปรด อย่าพาคนที่เขารักไปอีกเลย...........

           “ใจเย็นๆนะคุณ ตอนนี้แก้วปลอดภัยแล้วถึงจะไม่ร้อยเปอร์เซ็นต์ก็เถอะ” หล่อนว่าพรางบิดตัวออกจากการบีบรัดที่ต้นแขน

           “หมายความว่าไง”

           “แก้วมีอาการตกเลือดอย่างหนัก และระว่างผ่าตัดก็มีอาการช็อกจากการเสียเลือดมากถึงสองครั้งแต่เดิมแก้วก็เป็นพวกเลือดน้อยเลือดจางเป็นทุนเดิมพอเจอเรื่องแบบนี้คงไม่แปลกที่จะมีอาการช็อก ยังไงเสียตอนนี้หมอให้เลือดเพิ่มแล้วคงต้องพักฟื้นเพื่อดูอาการต่ออีกสักระยะ เพราะไม่แน่ว่าช่วงที่ช็อกไปนั้นเกิดภาวะแทรกซ้อนหรือไม่”

           “แล้วผมต้องทำยังไง มีทางไหนที่พอจะช่วยแก้วได้มั่งไหม หมอพลอยบอกผมสิ”

            ธารเร่งเร้าเอาคำตอบเหมือนคนกำลังสติแตก แต่พอไม่ได้คำตอบตามที่หวังมันเหมือนกับว่าอยู่ๆเขาก็รู้สึกเหมือนว่าร่างการสูญเสียจุดศูนย์ถ่วงเซกายลงนั่งที่เดิมกับความรู้สึกที่มันแคว้งไปหมดจนต้องยกมือขึ้นกุมขมับ เขาไม่อยากสูญเสียอะไรไปอีกแล้ว ..............

           “แก้วจะปลอดภัยใช่ไหมหมอ แก้วจะไม่เป็นอะไรใช่ไหม”
            หมอพลอยไม่รู้จะหาคำใดมาปลอบทำได้แค่นั่งลงข้างๆยกมือตบบ่าหนาสองสามทีก่อนจะบีบไว้เพื่อหวังให้แรงใจที่มีอยู่ส่งผ่านไปสู่อีกคน

           ธานใช่เวลาตลอดคืนในการอยู่เฝ้าแก้วกล้าที่ห้องพิเศษติดกับห้องของเกลหลายครั้งที่การ์ดเวียนเข้ามาเพื่อขอเฝ้าแทนเพื่อให้คนเป็นนายได้พักแต่เขาเองก็ปฏิเสธอยู่ร่ำไป จนเวลาล้วงเข้าสู้ช่วงสายของอีกวันธานผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนยอมยกหน้าที่เฝ้าแก้วกล้าให้กับลูกน้องคนหนึ่งเพื่อออกไปยังห้องเด็กอ่อน ถ้าแก้วกล้าตื่นมาถามเขาจะได้มีคำตอบให้อีกคนได้......

           ธารเดินก้มมองสิ่งมีชีวิตแสนบริสุทธิที่เพิ่มออกมาสู่โลกอันแสนวุ่นวายที่อยู่หลังกระจกบานใหญ่ที่กั้นกลางระหว่างเขากันเหล่าเด็กอ่อนตัวแดงที่นอนเรียงรายน่าเอ็นดูในรถเข็น ธารเดินไล่มองเด็กน้อยไปเรื่อยๆจนไปหยุดอยู่ที่หน้าตู้อบที่ภายในฝาครอบใสมีร่างของเด็กหญิงตัวเล็กที่น่าจะเล็กกว่าบรรดาเด็กคนอื่นๆในห้องนอนอยู่พร้อมสายมากมายที่พาดผ่านไปตามร่างกาย โครงหน้าที่คล้ายถูกถอดออกมาจากแม่พิมพ์ทำให้แม้จะมองอยู่ไกลๆเขาก็พอที่จะเดาได้ว่าเด็กคนนั้นคือลูกของแก้วกล้า ลูกของคนที่เขารัก ลูกสาวของเขา...  แม้จะไม่ใช่สายเลือดแต่แค่แรกเห็นก็รู้สึกรักและเอ็นดูจนอดไม่ได้ที่จะยกมือข้างหนึ่งขึ้นมาวางทับในระดับเดียวกับใบหน้าเล็กๆสีชมพูนั้นพร้อมลูบเบาๆไปมา

           “นายครับ”  แต่ความสุขเล็กๆของเขากลับถูกขัดขึ้นด้วยเสียงของชาย ธารละสาวตาจากเด็กหญิงตัวน้อยมาสบตากับผู้มาใหม่เชิงถาม

           “คุณเกลให้มาเชิญไปพบครับ”  ธารพยักหน้ารับกับสิ่งที่อีกคนได้รับมอบหมายมา ก่อนออกเดินนำอีกคนไปโดยไม่วายหันมามองเด็กในตู้อบอีกครั้งก่อนออกเดิน
 
_____________________________________________________________
เปิดตัวสาวน้อยสมาชิกใหม่ของบ้าน เย้!!

ขอบคุณที่ติดตามนะคะ

ออฟไลน์ Jibbubu

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3385
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-6
แก้วจะต้องปลอดภัยค่ะพี่ธาร แก้วจะต้องปลอดภัย

ออฟไลน์ wavery

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 124
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-2
ฝนหยดที่ 24

ความเจ็บจากรอยแผลใต้ผ้าพันแผลสีขาวที่มาพร้อมอาการมึนเบลอ คือความรู้สึกอย่างแรกที่คนเจ็บรู้สึกเป็นอย่างแรกแม้จะยังไม่ทันได้ลืมตา  แรงขยับศีรษะเบาๆนั้นเรียกความสนใจของคนที่ฝืนลืมตาทนอดนอนกว่าค่อนคืนให้รีบลุกปรี่เข้ามาหาเจ้าของแพรขนตาบางที่พยายามขยับกระพริบตาเพื่อปรับสายตาให้คุ้นชินกับภาพตรงหน้า
 
              “เกลเป็นไงบ้าง ได้ยินพี่ไหม”
 
เสียงทุ้มนุ่มแสนอ่อนโยนของคนพูดที่แฝงความเป็นห่วงอย่างชัดเจนของชิตรัตน์ที่รีบลุกจากเก้าอี้ขึ้นมาดูอาการของคนรักทันทีทีมีการขยับบตัวแม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม
 
“แค่มึนๆ ไม่เป็นอะไรแล้วครับ”
 
“เดี๋ยวพี่ตามหมอมาแล้วกันนะ”
 
  ชิตรัตน์กวาดสายตาหาปุ่มฉุกเฉินข้างเตียงเพื่อที่จะเรียกให้พยาบาลที่เข้าเวรอยู่ข้างนอกไปตามหมอเจ้าของไข้มาตามที่ได้สั่งเอาไว้ว่าหากคนไข้ฟื้นแล้วให้รีบแจ้งพยาบาล  แต่ยังไม่ทันที่ปลายนิ้วของเขาจะสัมผัสลงบนปุ่มกดแรงรั้งที่ข้อมืออีกข้างก็เรียกให้เขาหันมาสนใจคนเจ็บที่นอนมองหน้าเขาอยู่บนเตียงแทนอย่างสงสัย
 
 “อย่าเพิ่งตามหมอได้ไหมครับ”
 
“...”
 
“นะครับ"  ชิตรัตน์ชั่งใจอยู่ครู่หนึ่งแต่พอได้เห็นสีหน้ากึ่งอ้อนขอของอีกคนเขายอมที่จะวางปุ่มกดฉุกเฉินลงที่เดิมแล้วกลับมานั่งที่เก้าอี้ข้างเคียงตามเดิม
 
           “งั้นเดี๋ยวอีกสักพักพี่ค่อยไปตามหมอมาให้แล้วกันนะ” เขาบอก
 
           เกลยิ้มรับก่อนจะเกิดความเงียบขึ้นภายในห้องสี่เหลียมของคนไข้พิเศษที่ตอนนี้มีเพียงแค่แสงแรกของวันสาดส่องเข้ามา คนเจ็บเหลือบมองคนข้างกายอยู่ครู่หนึ่งก่อนตัดสินใจเอ่ยถามเรื่องที่ค้างคาใจ
 
            “พี่ชินโกรธเกลไหมที่เกลทำแบบนั้น โกรธไหมที่เกลโกหกพี่”  เสียงถามเบาๆคล้ายกลัวคำตอบของคนบนเตียงที่ถามขึ้นทั้งที่สายตาเอาแต่จดจ้องอยู่แต่กับมือสองข้างที่เดี๋ยวกำเดี๋ยวคลายไปมาอย่างคนมีกังวล
 
           “โกรธสิ” เกลหน้าม่ายลงจนคางแทบชิดอก  ถึงจะรู้คำตอบอยู่แล้วแต่เขาก็ไม่คิดว่ามันจะเสียดแทงใจได้ขนาดนี้ และยิ่งเจ็บเมื่อชิตรัตน์พูดต่อ
 
           “พี่โกรธมากที่เกลทำแบบนั้นกับแม่พี่ ถึงพี่จะเข้าใจว่าเกลอยากเอาคืนแต่แบบนี้มันมากเกินไปถ้าเกิดว่าแม่พี่ต้องได้รับการผ่าตัดเร่งด่วนจริงๆแล้วเกลทำแบบนี้เกิดแม่พี่เป็นอะไรขึ้นมาจะเป็นยังไง เกลคิดถึงตรงนี้บ้างไหม”
 
           คิดสิ ทำไมเขาจะไม่เคยคิดแต่ที่เขาไม่ทันได้คิดไปจริงๆก็คือความรู้สึกของคนรัก ไม่ว่าจะดีจะร้ายหรือจะเลวแค่ไหนผู้หญิงคนนั้นก็คือแม่ แม่ที่เลี้ยงดูชิตรัตน์มาตั้งแต่เล็กแต่น้อย ถึงจะยังไม่ได้เตรียมใจเรื่องที่จะโดนอีกคนโกรธแต่เขาก็ไม่ว่าหรอกถ้าชิตรัตน์จะดุจะว่าเขา แต่ขอแค่อย่างเดียวเท่านั้น... ขออย่าได้เกรียดเขาเลย
 
           “เกลขอโทษ ขอโทษ”  แต่พอคิดว่าจะถูกเกลียดน้ำตาที่อยู่ๆไม่รู้มาจากไหนก็เริ่มหน่วงๆอยู่ตรงขอบตาจนร้อนผ่าวไปหมด     
 
           “เกลขอโทษ เกลผิดเอง ฮึก เกลเอาแต่คิดถึงแต่เรื่องของตัวเองเอาแต่คิดว่าอยากจะเอาพี่ชินกับลูกคืน เอาแต่คิดว่าเอาชนะคุณหญิงจนคุณแก้วต้องมาพลอยคิดรากแหไปด้วย ฮึก แต่เกลไม่ใช่คนเริ่มนิ คุณหญิงต่างหากที่เริ่มก่อน ฮึก คุณหญิงแย่งพี่กับลูกไปจากเกล เกลผิดหรอที่อยากจะเอาพี่กับลูกคืน เกลผิดเหรอ ฮึก เกลผิดเหรอ ฮือ”  เกลพร่ำพรูสิ่งที่อยู่ในใจออกมาทั้งน้ำตายกสองมือขึ้นปิดหน้าด้วยไม่อยากที่จะต้องเห็นว่าตัวเองต้องถูกอีกคนมองด้วยสายตาเกลลียดชังมากขนาดไหน
 
           และไม่ใช่ว่าเขาไม่รู้สึกผิดที่ทำไปแบบนั้น แต่เพราะเขาคือคนที่โดนกระทำก่อนเท่านั้นเขาแค่อยากเอาคืนบ้าง อยากทวงสิ่งที่เขารักคืนก็เท่านั้น แต่ไม่เคยรู้เลยว่าต้องมีคนมารับผลร้ายจากสิ่งที่เขาทำด้วย  ตอนที่เห็นคนท้องโดนเขย่าอย่างแรงก่อนถูกเหวี่ยงลงพื้นทั้งที่ตั้งใจว่าจะเข้าไปรับแต่เพราะขาที่ไม่ได้เดินบ่อยถึงจะเดินได้ปกติก็ใช่ว่าจะมีแรงมาก แรงเหวี่ยงทำให้ร่างที่ต้องการจะไปช่วยกระแทรกจนเป็นเขาเองที่ล้มหัวฟาดพื้น แต่ภาพสุดท้ายที่เขาเห็นแม้จะพร่าเลือนแต่มันกลับเด่นชัดกรีดแทงใจให้เจ็บทุกครั้ง
 
            ภาพของคนท้องที่อยู่ในอ้อมกอดของพี่ชายกับกองเลือดที่นองอยู่ที่พื้นอาบย้อมข้อขาขาวจนน่ากลัว ความรู้สึกผิดแล่นริ้วขึ้นมาจับใจยามที่นึกถึง จนตอนนี้เขาภาพนั้นยังคงเด่นชันมากขึ้นจนปวดหัวไปหมดยิ่งส่ายหน้ายิ่งปวดแผล แรงสะอื้นหนักๆทำให้การหายใจเริ่มลำบากขึ้นอย่างห้ามไม่อยู่
 
          หมับ
 
           “ไม่ต้องร้องแล้วหายใจเข้าลึกๆนะ ใจเย็นๆ”
 
           ชิตรัตน์คว้าเอาร่างสั่นเทาของนกน้อยซบลงที่อกกว้างของเขาพร้อมกับมือที่คอยลูบปลอบที่หัวเพื่อให้อีกคนบรรเลาความกดดันในใจของตนลง แม้ตอนแรกจะตกใจและสับสนแต่เกลก็ไม่รีรอให้ชิตรัตน์กอดตนอยู่ฝ่ายเดียว สองแขนยกขึ้นกอดตอบอย่างไม่ลังเลพร้อมกำขยุมเสื้อของคนรักแน่นจนยับปลดปล่อยน้ำตากับความรู้สึกที่มีทั้งหมดออกมาจนเปือกชื้นไปทั่วอกอีกคน
 
           ใช่เวลาอยู่นานกว่าเกลจะหยุดร้องแล้วกลับมาหายใจได้ปกติอีกครั้งและถึงจะนานจนแสงสีฟ้าของรุ่งสางแปลเปลี่ยนเป็นแสงสว่างจนมองเห็นทุกอย่างได้ชัดเจน  มือของชิตรัตน์ก็ไม่หยุดที่จะลูบไปที่ศีรษะและแผ่นหลังของอีกคน
 
            “ดูสิตาบวมๆแดงก่ำไปหมดแล้วจมูกก็แดง นี้ถ้าลูกมาเห็นต้องบ่นพี่แน่ๆที่ทำคุณแม่เขาร้องไห้”   ชิตรัตน์ผละออกก่อนใช่นิ้วมือเกลี่ยหยาดน้ำตาสีใสที่ไหนออกจากดวงตาหวานอย่างเบามือ
 
           เกลมองคนตรงหน้าอย่างไม่เข้าใจ มองสบสายตาที่เมื่อครู่ไม่กล้าที่จะสบตาอีกคนเพราะกลัวสายตาอย่างที่ตนคิด แต่มันไม่ใช่ ณ ตอนนี้สายตาที่เขาเห็นจากตนตรงหน้าที่เปลี่ยนมานั่งที่ขอบเตียงข้างเขานั้นมีแต่ความรักที่ส่งมาให้เหมือนทุกครั้งแม้จะไม่มากมายเหมือนแต่เดิมเพราะเจือด้วยความรู้สึกบางอย่างที่เขาไม่มั่นใจแต่เขาแน่ใจได้ว่ามันไม่ใช่คำว่าเกลียดแน่นอน
 
           “พี่ชินไม่โกรธเกลเหรอ จะด่าจะว่าเกลก็ได้เกลยอม”
 
           “เกลอยากให้พี่โกรธเราจริงๆหรอ” พอได้ยินแบบนั้นเข้าจริงๆกลับเป็นตัวคนถามเองที่รีบพุ่งกลับไปกอดอีกคนแน่นแล้วส่ายหน้าเป็นพัลวัน
 
           “ไม่เอา ไม่ๆอย่าโกรธเกลอย่าเกลียดเกลนะ”
 
           “ไม่หรอก พี่ไม่เคนโกรธหรือเกลียดเกลหรอกนะ”
 
           “แต่เมื่อกี่....”  เกลเอ่ยอย่างไม่แน่ใจ  ก็เขานึกว่าจะโดนอีกคนโกรธจริงๆ นี่นะ
 
           “ตอนแรกที่พี่รู้เรื่องยอมรับเหมือนกันว่าโกรธเรามากแต่ไม่รู้ทำไมพี่ถึงเกลียดเราไม่ลง อาจเป็นเพราะเกลมีเหตุผลที่ทำลงไปเป็นพี่พี่ก็คงทำแบบเดียวกับเกลแต่พี่คงไม่ทำให้มันยุ่งยากแบบนี้หรอกนะพี่คงจะทำให้จบเร็วๆอยากกลับมาอยู่พร้อมหน้าพร้อมตาพ่อแม่ลูกเสียที   และอีกเหตุผลที่พี่คิดว่าทำไมพี่ถึงเกลียดเกลไม่ลงก็คงเพราะพี่รักเรามากเกินไปจนมองข้ามความเกลียดที่ควรจะมี เหมือนที่เกลไม่เคยเกลียดพี่เลย ไม่ว่าพี่จะไม่ได้เรื่องแค่ไหนก็ตามเกลก็ยังรักและให้อภัยพี่เสมอ”  คนในอ้อมกอดพยักหน้ารับ
 
           “แล้วเราก็ไม่ต้องรู้สึกผิดเรื่องของแก้วนะ ตอนนี้แก้วกับลูกปลอดภัยแล้วเห็นว่าได้ลูกสาวคงสมใจเจ้าตัวเขาแล้วละ”
 
           “จริงหรอครับ แต่ว่าเลือดนั้น” เกลละหน้าออกจากแผ่นอกของอีกฝ่ายมาถามอย่างไม่เชื่อหู ก็เขาเห็นเลือดนิแถมเยอะด้วย
 
            “เห็นว่าต้องผ่าคลอดก่อนกำหนดทันทีแต่ตอนนี้ปลอดภัยแล้วแต่เด็กยังต้องอยู่ในตู้อบไปก่อนเพราะคลอดก่อนกำหนดเลยต้องคอยดูเรื่อยๆ”  ถึงชิตรัตน์จะบอกว่าทั้งสองปลอดภัยดี แต่เกลเองก็อดรู้สึกแย่ไม่ได้เพราะเขาเองก็มีส่วนทำให้ลูกของแก้วกล้าคลอดก่อนกำหนดจนอาจเกิดปัญหาเรื่องสุภาพของเด็กในอนาคตได้
 
           “ไว้เดี๋ยวเราค่อยไปเยี่ยมแก้วกับลูกกันตอนเย็นนะ”
 
           “แล้วพี่ชินจะไปไหนหรอครับ” เกลเอ่ยถามเมื่ออยู่ๆอีกคนก็ผละออก
 
           “พี่มีประชุมตอนสิบโมงนะมีเรื่องที่ยังต้องจัดการอยู่อีกสักหน่อยนะ เดี๋ยวจะได้ไปรับลูกมาหาเราด้วยไงเมื่อคืนนี้ปีแอร์โทรมาบอกว่าร้องไห้ใหญ่เลยคงเสียขวัญนะ เดี๋ยวพี่จะรีบกลับมานะคนดี นอนพักเยอะอย่าคิดอะไรมาก ยังไงพี่ก็อยู่ข้างเราเสมออยู่แล้ว” ชิตรัตน์บอกก่อนจะเดินกลับมาจูบเบาๆลงหัวที่มีผ้าสีขาวพันรอบอยู่ พร้อมรอบยิ้มบางๆแล้วเดินออกจากห้องไป
 
            เกลมองตามแผ่นหลังของคนรักจนหายลับไปที่อีกฝั่งของประตูและพออยู่คนเดียวความคิดต่างๆที่อยู่ในหัวก็ไหลเข้ามาให้คิดจนปวดหัวไปหมด สักพักหมอที่ดูเหมือนจะเป็นเจ้าของไข้ของเขาก็เข้ามาตรวจก่อนออกไป เขาจึงเรียกให้คนที่อยู่เฝ้าหน้าห้องไปตามพี่ชายของเขาให้มาหา  เขาตัดสินใจแล้วเขาควรทำให้มันจบเร็วๆอย่างที่ชิตรัตน์พูด เขาควรหยุดเล่นได้แล้ว...............
 
           “ใครอยู่ข้างนอกเข้ามาที”
 
............................................................................................


:L2:

ออฟไลน์ wavery

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 124
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-2
:L2:


              “ถ้าไม่มีอะไรแล้วผมขอจบการประชุมไว้เพียงแค่นี้นะครับ”
 
              เมื่อไม่มีใครเอ่ยค้านอะไรขึ้นมาประธานหนุ่มก็ลุกขึ้นเต็มความสูงก่อนจะก้าวเดินออกจาห้องห้องประชุมไปเป็นคนแรก ทิ้งไว้เพียงเสียงวิจารณ์ของเหล่าผู้บริหารระดับสูงต่างๆที่ถูกเชิญมาเข้าร่วมประชุมในครั้งนี้
 
ใครจะหาว่าเขาเป็นลูกอกตัญญูก็ได้แต่เพราะเหตุผลที่เขานำเข้าไปแถลงในที่ประชุมมันก็คงมากเพียงพอแล้วที่เขาจะยกขึ้นมาเป็นข้ออ้างในการสั่งปลดคุณหญิงโฉมฉวีออกจากการเป็นหนึ่งในผู้ถือหุ้นใหญ่ของโรงแรมและให้มีสิทธิแค่ในนามแต่ไม่มีอำนาจออกความเห็นใดๆต่อการบริหารโรงแรมและโครงการต่างๆของบริษัทในเครือนพเทพทั้งหมด ส่วนสาเหตุที่ปลดก็เป็นผลสืบเนื้องมาจากวันที่คุณหญิงไปก่อเรื่องในวันงานครบรอบของโรงแรมเมื่อหลายวันก่อนแม้จะไม่มีข่าวแพร่ตามหนังสือพิมพ์แต่ใช่ว่าจะไม่มีข่าวลือ และมติในที่ประชุมนั้นก็ออกมาเป็นเสียงเดียวกันนั้นคือการปลดคุณหญิงออกเพราะการกระทำดังกล่าวส่งผมกระทบโดยตรงต่อชื่อเสียงของทางโรงแรม และประเด็นสำคัญที่คือเขาพบหลักฐานสำคัญที่คุณหญิงเคยแอบลักลอบนำที่ดินที่ใช้สร้างหมู่บ้านจัดสรรโครงการหนึ่งไปแบ่งขายให้นายทุนอีกคนเพื่อเอาเงินกระเป๋าตนเองก่อนจะโยนความผิดให้พนักงานคนหนึ่งในบริษัทด้วยเหตุผลบ้าๆที่ว่าไม่ชอบหน้า  และไหนที่การกระทำลับหลังเขาอีกหลายเรื่องที่เขายังไม่หาหลักฐานที่เอามามัดตัวแบบจังๆได้อีก
 
           “ไม่ทำเกินไปหน่อยหรือครับคุณชินถ้าคุณหญิงรู้เข้า....”
 
           “ก็ให้รู้ไปสิ” ชิตรัตน์พูดขัดขึ้นอย่างไม่สนใจ “ลางานให้ฉันเรียบร้อยแล้วใช่ไหม”  ก่อนจะเปลี่ยนประเด็นเอาเสียดื้อๆโดยที่สายตาไม่ละไปจากการหยิบจับเอกสารที่จำเป็นเก็นใส่กระเป๋า
 
           “เรียบร้อยแล้วครับ” และเมื่อได้รับคำตอบที่น่าพึ่งพอใจชิตรัตน์ก็เดินนำผู้ช่วยของตนออกจากห้องไปเพื่อไปรับลูกชายที่โรงเรียนแล้วพาไปหาคนรักที่รออยู่
 
           ถ้าถามว่าเขาไม่คิดห่วงคุณหญิงโฉมฉวีหน่อยหรือที่ถูกธารเอาตัวไปขังเอาไว้ที่บ้านหลังนั้น เขาก็ตอบเลยว่าห่วง แต่แล้วยังไงละในเมื่อเมื่อครู่นี้พี่ชายคนสนิทของเกลโทรมาบอกชาติว่าธารเพิ่งจะให้คนนำตัวคุณหญิงกลับมาส่งบ้านเป็นที่เรียบร้อยแล้วพร้อมกับอาการแก้วหูอักแสบของการ์ดที่พามาส่งอีกสามคนดังนั้นเขาจึงไม่มีความจำเป็นใดๆที่จะต้องเป็นนั่งห่วงคนที่ปลอดภัยดีอยู่แล้วเช่นกัน
 
 
            “คุณแม่ไม่เป็นอะไรแล้วจริงๆใช่ไหมครับ”
 
            คำถามที่เต็มไปด้วยความเป็นห่วงของลูกชายที่นั่งอยู่ข้างๆ ทำให้ชิตรัตน์สลัดเรื่องที่อยู่ในหัวออกแล้วหันมาสนใจแก้วตาดวงน้อยที่ขอบตาบวมจากการร้องไห้หนักไปเมื่อคืนและกำลังตั้งท่าที่จะร้องอีกรอบหากเขาไม่พูดอะไรเลย
 
           “จริงสิครับ พ่อจะหลอกเราทำไมกัน” ฝ่ามือใหญ่ลูบหัวเล็กๆของลูกชายที่อุ้มอยู่ให้คลายกังวล
 
           “อีกอย่างนะ เกรทจะได้เจอน้องแล้วนะดีใจไหม” ชิตรัตน์เบี่ยงประเด็นโดยเลือกที่จะยกประเด็นที่ทำให้เด็กชายต้องทำตาโตอย่างตื่นเต้น
 
           “จริงหรอครับ เกรทจะได้เจอน้องตัวเล็กแล้วหรอครับ เย้ๆ”
 
            ชิตรัตน์ยกยิ้มให้กับอาการของเด็กที่เมื่อครู่ยังทำหน้าเศร้าอยู่แท้ๆพอรู้ว่าจะได้เจอน้องเท่านั้นละดีใจยิ้มแก้มปริเลย ทำให้ตลอดทางจนถึงโรงพยาบาล เกรทเอาแต่ถามถึงน้องตัวเล็กไม่ขาด จนลืมไปแล้วว่าตัวเองตั้งใจจะไปหาใครกันแน่
 
           “คุณแม่!!”
 
             เสียงร้องของเด็กชายที่วิ่งผลักบานประตูเข้ามาแย่งความสนใจจากเจ้าของห้องที่กึ่งนั่งกึ่งนอนดูรายการเกมโชว์อยู่กับเหล่าการ์ดคนสนิทให้หันกลับมายิ้มให้ก่อนที่ชายกับพลจะขอตัวออกจากห้องไป
 
           “น้องเกรท” เกลยิ้มพร้อมอ่าแขนกว้างกอดรับลูกชายที่ปีนขึ้นมาหาถึงบนเตียง
 
           “คุณแม่เจ็บมากไหมครับ” เกรทถามพรางจ้อมมองผ้าก๊อดสีขาวที่พับรอบหน้าผากของผู้เป็นแม่ด้วยความรู้สึกที่เรียกว่าแค่เห็นก็รู้สึกเจ็บแทนแล้ว
 
           “ไม่เจ็บเลยครับแค่หัวโขกเฉยๆเอง” เกลเลือกที่จะโกหกเพื่อไม่อยากให้ลูกชายต้องรู้สึกไม่ดี เพราะดูจากที่ดวงตากลมๆนั้นยังช้ำอยู่ก็พาเดาได้ว่าเกรทคงจะร้องไห้มากอยู่พอดูเลย
 
           “จริงหรอครับ” เกรทถามอย่างไม่เชื่อจนต้องหันไปทางคนเป็นพ่อที่นั่งมองอยู่ตรงโซฟาข้างๆอย่างหาคนช่วยยืนยัน
 
           “นั้นสิ พ่อก็ไม่รู้เหมือนกันว่าคุณแม่หายเจ็บจริงหรือเปล่า” แต่แทนที่ชิตรัตน์จะตอบคำถามที่ช่วยคลายความคับข้องใจให้ลูกชาย เจ้าตัวกลับเลือกที่จะตอบเป็นความไม่แน่ใจแทนเสียงอย่างนั้นแถมยังลุกขึ้นย้ายที่มานั่งอีกฝั่งของลูกชายข้างๆคนเจ็บที่มองอย่างไม่เข้าใจ
 
           “แล้วเกรทต้องทำยังไงให้คุณแม่หายเจ็บละครับ”เด็กน้อยดูจะเป็นกังวลมากจนแทบจะปล่อยให้ของแหลวใสที่คลอหน่วงอยู่ที่ของตาไหลออกมาเมื่อตะหนักได้ว่าตอนนี้แม่ของเขากำลังเจ็บปวดอยู่กับบาดแผลที่ขมับ
 
           “ก็ทำแบบนี้ไงครับ”  ชิตรัตน์พูดไว้แค่นั้นก่อนรั้งเอวบางของคนเจ็บที่กำลังพยายามนั่งปลอบลูกชายให้เข้ามาใกล้พร้อมกดริมฝีปากจูบลงเหนือบาดแผลผ่านผ้าสีขาวเบาๆ ก่อนละใบหน้ามามองคนที่อยู่ในระดับสายตาเดียวกันที่ตอนนี้ใบหน้าเริ่มขึ้นสีแดงจางๆ
 
           “หายเจ็บยังครับ” น้ำเสียงอ่อนโยนที่ส่งมายิ่งทำให้ใบหน้านวลขึ้นสีจนแดงจัดจนต้องหลบหน้าหนีไปอีกทางอย่างเขินอายด้วยไม่คิดว่าคนตรงหน้าจะกลัวทำแบบนี้กับเขาต่อหน้าลูก
 
           “เกรซทำมั่ง ให้เกรททำบ้าง”  เมื่อเห็นแบบนั้นเด็กชายก็ไม่รีรอที่จะเสนอตัวพร้อมยื่นนแขนทั้งสองข้างของตัวเองโอบรอบคอคุณแม่คนสวยแล้วจุ๊บเบาๆที่แก้มนิ่มทั้งสองข้างไปมา
 
           “จุ๊บ หายเจ็บนะครับคุณแม่ เกรทจุ๊บให้แล้ว” เกรทยิ้มกว้างหลังจัดการร่ายมนต์ใส่
 
           “ครับ คุณแม่หายเจ็บแล้ว ไหนขอแม่จุ๊บน้องเกรทมั่งสิครับ”  เกลตอบยิ้มหวานก่อนดึงลูกชายให้เข้ามาอยู่ตรงกลางระหว่างเขากับชิตรัตน์แล้วจัดการหอมแก้มป้องๆนั้นไปมาอย่างหมั่นเขี้ยว
 
           “ฮ่าฮ่าฮ่า คุณแม่อะแก้มเกรทช้ำหมดแล้วดูสิ ไปหอมคุณพ่อมั่งเลย” เจ้าตัวแสบยกมือขึ้นปิดแก้มทั้งสองข้างก่อนโบ้ยไปให้คุณพ่อหนุ่มรับช่วงต่อ
 
           เกลหันไปมองหน้าคนรักที่อยู่ข้างกายอย่างสื่อความใน ก่อนยอมทำตามที่ลูกชายเอ่ยสั่งหอมแก้มของคนรักเบาๆแต่เนินนานก่อนจะละออกมาเล็กน้อย และเป็นชิตรัตน์เองที่เอื้อมมือไปปิดตาลูกชายตัวน้อยที่อยู่ตรงกลาง ก่อนเคลื่อนใบหน้าเขาใกล้คนรักอีกครั้งแต่ครั้งนี้ไม่ใช้แก้มของเขาที่ได้สัมผัสริมฝีปากนิ่มแต่เป็นริมฝีปากของเขาเองที่ประกบเข้ากับของอีกคนเตะเบาๆก่อนดูดดึงไปที่กลีบปากล่างของอีกคนจนขึ้นสีก่อนผละออกแล้วหันไปกระซิบที่ข้างหูด้วยประโยคที่คนฟังต้องหน้าแดงหนักกว่าเดิม
 
           “พี่ติดไว้ก่อน ออกจากโรงบาลเมื่อไรไม่ใช่แค่ปากแน่”
 
           “คุณพ่อจะปิดตาเกรททำไมเนี่ย”
 
            เด็กชายที่อยู่ๆก็กลายเป็นส่วนเกินในโลกส่วนตัวของพ่อกับแม่บ่นอุบขึ้นมาอย่างไม่เข้าใจ พยายามดึงมือของพ่อที่ปิดตาทั้งสองข้างของเขาออกด้วยก่อนจะทำหน้าตาไม่พอใจใส่
 
           “พ่อว่าเราไปเยี่ยมอาแก้วกันดีกว่า ปานนี้คงจะตื่นแล้วละ” ชิตรัตน์เปลี่ยนเรื่อง
 
           “คุณพ่อไม่ต้องเปลี่ยนเรื่องเลย คุณพ่อแกล้งคุณแม่ใช่ไหมบอกเกรทมานะ” แต่ดูท่าแล้วเด็กชายจะไม่ยอมง่ายๆ
 
           เกลมองภาพสองพ่อลูกหยอกล่อโต้เถียงกันไปมาจนอดที่จะยิ้มตามไปด้วยไม่ได้ จนทำให้อดคิดไม่ได้ว่าหากเมื่อหลายชั่วโมงก่อนหน้าชิตรัตน์ไม่ให้อภัยกันเรื่องที่เขากำลังอยู่ในเวลานี้เขาจะยังยิ้มได้แบบนี้หรือไม่ บางทีตอนนี้เขาอาจกำลังนั่งร้องไห้คนเดียวอยู่ในห้องนี้ก็เป็นได้และเขาอาจไม่ได้เห็นหน้าลูกอีกเป็นครั้งที่สอง แต่เมื่อมันเป็นแบบนี้เขาอยากจะขอคิดเข้าข้างตัวเองได้หรือไม่ว่าชายหนุ่มอนุญาตให้เขาจัดการกับคุณหญิงได้อย่างอิสระ
 
           “คุณแม่ครับ ไปหาอาแก้วกับน้องกัน”
 
           แรงเขย่าที่แขนเบาๆเรียกให้เกลหันกลับมาสนใจสิ่งที่เป็นอยู่ในตอนนี้ เกลยิ้มรับกับคำชวนนั้น ก่อนที่ชิตรัตน์จะเดินไปนำวีลแชร์ของเขาที่อยู่ไม่ไกลมาให้แล้วยังค่อยช่วยพยุงมานั่งก่อนจะเดินไปอีกห้องที่อยู่ข้างๆกัน
 
           บางทีเกลก็อยากจะทำเป็นลืมเรื่องราวร้ายๆที่เคยเกิดขึ้นมาในอดีตทั้งหมดที่มีมาแล้วเริ่มต้นใหม่กับความสุขที่เขากำลังได้รับอยู่ในตอนนี้ ตอนที่มีคนรักอย่างชิตรัตน์อยู่ข้างๆพร้อมเข้าใจในสิ่งที่เขากำลังทำและให้อภัยเขาเสมอ ไหนจะลูกชายคนเดียวที่เป็นเหมือนโซ่ทองที่คล้องใจสองดวงของพวกเขาให้เป็นหนึ่งเดียวกันคนนี้อีก  แต่เขาก็ทำไม่ได้เมื่อบานประตูอีกห้องหนึ่งเปิดออกมันคล้ายกับว่าเขาหลุดออกจากความฝันแสนหวานอันเปี่ยมสุขกลับเข้าไปสู่ความเป็นจริงบางอย่างที่เขาเกือบหลงลืมไป
 
           ใบหน้าขาวซีดแลดูอิดโรยของคนที่นอนทอดตัวอยู่บนเตียงสีขาวของโรงพยาบาลหลังมือข้างหนึ่งที่วางทับอยู่เหนือผ้าห่มมีสายน้ำเกลือบเสียบอยู่พร้อมด้วยถุงเลือดที่พร่องไปครึ่งหนึ่ง  รอยยิ้มเมื่อครู่ที่ยังแต่งแต้มอยู่บนใบหน้าสวยค่อยๆหุบลงช้าๆอย่างใจหาย
 
           “คุณแก้วเป็นยังไงมั่งครับ”
 
            เกลถามออกไปเสียงเบาจนคล้ายว่าเขาพึมพำกับตัวเองเสียมากกว่าเป็นคำถามที่ถามคนที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกล จนชิตรัตน์อดไม่ได้ที่จะออกแรงบีบเบาๆที่หัวไหล่มนของคนรักเพื่อให้กำลังใจ
 
           “แก้วเพิ่มตื่นเมื่อกี่เอง นี้หมอพลอยกำลังดูอาการอยู่นะ" ธารตอบแทนคนบนเตียงที่ตอนนี้ยังอ่อนเพลียอยู่ แก้วกล้าจึงส่งยิ้มให้บางๆกลับไปแทนเพื่อจะบอกว่าตนสบายดีไม่มีอะไรที่ต้องเป็นห่วงแล้ว
 
           “ถ้ามากันครบแล้วหมอขอพูดเลยแล้วกันนะคะ” หมอพลอยรัมภาเอ่ยขึ้นอย่างเป็นทางการก่อนก้มลงไปอ่านรายงานอาการของคนไข้คนสนิท
 
           “แรงกระแทรกจากอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นเมื่อวานทำให้ช่องคลอดฉีกขาดเลยทำให้ต้องมีการผ่าคลอดก่อนกำหนดตอนนี้หมอได้ทำการเย็บปิดปากแผลเป็นที่เรียบร้อยไม่ต้องเป็นกังวลกันนะคะแต่ก็ต้องคอยระวังอย่าให้แผลได้รับการกระทบกระเทือนจนกว่าจะปิดสนิท และในระหว่างผ่าตัดแก้วมีอาการตกเลือดอย่างรุนแรงจนช็อกไปถึงสองครั้ง หมอเลยให้เลือดเพิ่มเข้าไปแต่ก็ยังต้องอยู่ดูอาการต่ออีกสักระยะว่าได้รับผลข้างเคียงจากการตกเลือดครั้งนี้มากน้อยแค่ไหน ส่วนในตอนนี้อาจมีอาการอ่อนเพลียไปบางไม่ต้องกังวลไปเดี๋ยวหมอจะจับยาบำรุงให้เพิ่มเติม”  หมอพลอยรัมภากล่าวก่อนหันไปยิ้มให้คุณแม่มือใหม่ที่นอนอยู่ข้างๆ
 
           “แล้ว..ลูกของแก้วละพี่หมอ” คำถามที่แก้วกล้าถามอย่างอยากรู้ด้วยน้ำเสียงอ่อนแรงนั้นทำให้คุณหมอสาวเผลอทำหน้าเครียดขึ้นมาแวบหนึ่งก่อนปรับให้เป็นปกติ ก่อนค่อยๆยกมือลูบหัวอีกฝ่ายเบาๆไปทีหนึ่งก่อนตอบ
 
           “ยัยหนูปลอดภัยดีแต่เพราะคลอดก่อนกำหนดทำให้ตัวเล็กมาก แต่ถ้าเทียบกับวัยของเขาแล้วถือว่ายัยหนูของแก้วแข็งแรงมากเลยนะ”  หญิงสาวพยายามปลอบ
 
           “ตอนนี้พี่ให้เขาอยู่ในตู้อบเพื่อปรับอุณหภูมิก่อน แต่พี่อยากให้แก้วเข้าใจไว้อย่างหนึ่งนะว่าเด็กที่คลอดก่อนกำหนดนะจะให้มีร่างกายที่แข็งแรงสมบูรณ์เหมือนเด็กคนอื่นไม่ได้ แต่พี่จะพยายามดูแลเขาให้ดีที่สุด เชื่อพี่นะแก้ว”
 
           แก้วกล้าพยักหน้ารับทั้งน้ำตาที่ร่วงออกมา  แค่ได้ยินว่าลูกของเขายังมีชีวิตรอดอยู่แค่นี้สำหรับคนที่เพิ่งได้เป็นแม่อย่างเขาแล้ว เรื่องนี้ถือว่าเป็นเรื่องที่ดีที่สุดแล้วจริงไหม
 
           “ผมขอพาแก้วไปดูลูกได้ไหม”
 
           ธารถามขึ้น  ซึ่งคุณหมอเองก็ไม่ได้ห้ามอะไรก่อนจะแนะนำเรื่องการดูแลตัวเองหลังคลอดสองสามเรื่องแล้วอาการของเจ้าตัวเล็กที่อาจมีผลในระยะยาวอีกนิดหน่อยก่อนจะขอตัวออกไป
 
           หลังจากคุณหมอคนสวยเดินออกจากห้องไปพวกเขาทั้งหมดจึงมุ่งหน้าสู่ห้องเด็กอ่อน ธารเข็นวีลแชร์ที่แก้วกล้านั่งอยู่เข้าไปใกล้ๆบานกระจนใหญ่ที่เป็นตัวกลางคั่นระหว่างพวกเขากับเด็กหญิงตัวเล็กที่นอนอยู่ในตู้อบพร้อมเครื่องช่วยหายใจอันเล็กที่อยู่ตรงจมูกเล็กๆ
 
           “โตขึ้นน้องต้องสวยเหมือนอาแก้วแน่ๆเลย”
 
           เกรทพูดเสียงตื่นเต้นเกาะกระจกมองตามมือของธารที่ชี้ให้ดูว่าเด็กคนไหนคือน้องตัวเล็กๆของเขา  ก่อนจะเป็นธารที่เริ่มคุยโม้ถึงความสามารถในการหาเจ้าตัวเล็กเจออย่างรวดเร็วจนเกลเองยังอดหมั่นไส้พี่ชายตัวเองไม่ได้ จึงบอกไปว่าอีกคนแอบมาดูยัยหนูน้อยก่อนหน้าพวกเขาไปแล้วตอนเช้า งานนี้เลยกลายเป็นว่าคุณลุงตัวโตต้องมาโต้เถียงกับหลานชายตัวเล็กต่อเพราะเกรทไม่ยอมกล่าวหาว่าธารขี้โกง จนเกิดเป็นสงครามย่อมๆให้คนที่เหลือได้อมยิ้มตาม
 
           “เอ่อ ขอโทษนะคะ” เสียงของพยาบาลสาวในชุดปลอดเชื้อที่เดินเข้ามาพร้อมแผ่นบางอย่างเอ่ยขึ้นเป็นระฆังห้ามทัพของลุงหลานให้หันไปมองสาวเจ้า
 
           “คุณแก้วกล้าใช่ไหมคะ พอดีว่าดิฉันกำลังจะเอาเอกสารไปให้ที่ห้องพอดีเลยนะคะ” พยาบาลสาวเอ่ยด้วยน้ำเสียงเป็นมิตรพร้อมกับยื่นของที่ถือไปให้แก้วกล้าที่นั่งอยู่รับไป
 
            “นี้คือรายละเอียดเรื่องชื่อของน้องแล้วก่อนเรื่องการแจ้งเกิดนะคะ รบกวนคุณแม่กรอกให้ด้วยนะคะ”
 
           พร้อมอธิบายสิ่งที่อยู่ในระดาษนั้นให้ฟังก่อนจะขอตัวกลับเข้าไปในห้องเด็กอ่อนโดยบอกว่าเมื่อกรอกรายละเอียดให้นำมาส่งที่นี้ได้เลยหรือจะให้พยาบาลเอามาส่งให้ก็ได้
         
           พวกเขากลับเข้ามาในห้องของอีกฝ่ายเรียบร้อยแล้วสิ่งแรกคุณแม่มือใหม่ทำคือการเอาใบเมื่อครู่ที่ได้มากรอกรายละเอียดในส่วนของตัวเองลงไป ก่อนจะมาหยุดตรงชื่อของเจ้าตัวเล็ก
 
           “แก้วคิดชื่อให้ลูกแล้วหรือยัง” ชิตรัตน์ถามขึ้นเมื่อไม่เห็นว่าคุณแม่มือใหม่จะเขียนอะไรลงไปสักที
 
           “ยังเลยครับ แต่ก็พอคิดได้อยู่ชื่อหนึ่งนะ”
 
           เจ้าตัวบอก จริงๆแล้วแก้วกล้ายังไม่ได้คิดหรอกว่าลูกของเขาควรจะชื่ออะไรดีเพราะเขาคิดว่าคงอีกนานกว่าจะได้เห็นหน้ากันบวกกับเขาไม่รู้ว่าลูกน้อยของเขาจะเป็นเด็กชายหรือเด็กหญิง แต่พอมาตอนนี้ถ้าไม่คิดก็คงไม่ได้แล้ว
 
           “ชื่ออะไรหรอครับ” เกลถามอย่างอยากรู้ แม้จะถามได้ไม่เต็มเสียงก็ตาม
 
           “งามเทวี เด็กหญิงงามเทวี ส่วนนามสกุลก็ใช้ของผม รวมไผท”  เจ้าตัวตอบยิ้มๆก่อนบรรจงเขียนชื่อที่คิดได้ในขณะนั้นลงในเอกสารและสายข้อมือเล็กๆที่จะนำไปคล้องให้เจ้าตัวเล็ก
 
           “แล้วชื่อเล่นละครับอาแก้ว จะเรียกน้องว่าอะไรดี”
 
           เด็กชายถามขึ้นทั้งๆที่สายตายังไม่ละไปจากเอกสารบนโต๊ะอย่างสนอกสนใจ  แก้วกล้าชะงักปลายปากกาทันทีเมื่อคิดถึงตรงนี้ นั้นสินะเขายังไม่ได้คิดเลยว่าจะเรียกยัยหนูว่าอะไรดี แต่ขณะที่เขากำลังทำหน้าคิดอยู่นั้นเสียงของคนคนหนึ่งที่ไม่เคยห่างกายเขาไปไหนตั้งแต่หลับตาจนลืมตาตื่นก็พูดขึ้น
 
           “วีนัส เรียกลูกว่าวีนัสดีไหม เทพธิดาวีนัสคือเทวีของความงามและความรักแก้วให้ลูกชื่อจริงว่า งามเทวี ที่แปลกลับกันแล้วได้เป็นเทวีแห่งความงาม ฉันว่าวีนัสก็น่าจะเป็นชื่อที่เหมาะกับเขานะ”
 
           “โห่ คุณลุงนี้เก่งจริงๆเลย” เกรทตบมือแปะแป๊ะสองสามที่ก่อนจะชูนิ้วโปรงให้คุณลุงตัวตัวอย่างชื้นชม
 
           แก้วกล้ายิ้มออกมาบางๆก่อนจะเขียนชื่อที่อีกฝ่ายเสนอลงไป แต่พอจะเลื่อนลงไปกรอกรายละเอียดข้างล่างฝ่ามือใหญ่ของอีกคนก็กุมเข้ากับหลังมือข้างที่เขาใช้จับปากกาอยู่เหมือนต้องการห้ามไม่ให้เขาเขียนต่อ คนตัวเล็กเงยหน้าขึ้นไปมองสีหน้าที่ดูก้ำกึ่งในหลายๆความรู้สึกของคนตัวโตอย่างแปลก
 
           “ฉันยอมให้เธอเขียนชื่อพ่อของยัยหนูเป็นนายแทนไทได้เพราะนั้นคือความเป็นจริงที่ฉันไม่อาจปฏิเสธได้ แต่นามสกุลของยัยหนูนะขอให้เป็นของฉันได้ไหม”
 
           ธารพูดเสียงจริงจังจนแก้วกล้าไม่รู้จะพูดอะไรออกมาดีกับคำขอของคนตรงหน้า ถึงธารจะเคยบอกว่ายอมรับเขากับลูกได้แต่เขาไม่คิดว่าอีกคนจะใจกว้างขนาดให้ยัยหนูของเขาใช้นามสกุลของอีกฝ่ายด้วย เพราะนั้นมันเท่ากับว่าอีกคนยอมรับลูกของเขาไม่ใช่แค่ในฐานะที่เป็นลูกของเขาเท่านั้นแต่เป็นในฐานะลูกของเขากับธาร
 
           “หลังจากแจ้งเกิดให้ยัยหนูแล้วฉันจะจดทะเบียนรับยัยหนูเป็นบุตรบุญธรรมมีสิทธิเท่าเทียมกับลูกที่เกิดจากเลือดเนื้อของฉัน ฉันจะดูแลยัยหนูให้ดีที่สุดเท่าที่พ่อคนหนึ่งจะดูแลลูกสาวคนหนึ่งได้และได้โปรดเถอะแก้วขอให้ฉันได้มีสิทธิดูแลเธอในฐานะสามีที่พร้อมจะมอบชีวิตและหัวใจทั้งหมดให้กับเธอได้ไหม ชีวิตที่เหลืออยู่ทั้งหมดของฉัน ฉันขอใช้มันดูแลเธอกับลูกได้ไหม”
 
           แก้วกล้าคางชื่ออีกฝ่ายเบาๆในลำคออย่างไม่อยากเชื่อหูตัวเองราวกับเคลิ้มฝันไปแต่หากสัมผัสอุ่นร้อนที่กอบกุมมือของเขานั้นกลับเป็นเครื่องยืนยันได้ดีว่าเขานั้นไม่ได้ฝันไป ไหนจะชิตรัตน์ที่นั่งชันเข่าโอบไหล่บางของภรรยาคนสวยอย่างเกลไว้ข้างกายพร้อมด้วยพยานรักของทั้งคู่ที่ทำหน้าอายม้วนซบไหล่คนเป็นพ่อบิดไปมานั้นอีก จนใบหน้าซีดขาวจากการเสียเลือดมากของเขาเมื่อครู่กลับเริ่มแดงขึ้นนิดๆเมื่ออยู่ๆคนที่เงียบไปดันพูดขึ้นมาใหม่กับคำที่เขาไม่เคยคิดว่าชีวิตนี้จะได้ยินมันแล้ว
 
           “แต่งงานกับฉันนะแก้ว”
 
………………………………………………………
 
          โครม!!
 
           “นี้มันหมายความว่ายังไงกันคุณสุวิทย์ ทำไมอยู่ๆฉันถึงถูกปลดออกจากบริษัท”
 
           คุณหญิงโฉมฉวีกวาดเอกสารทั้งหมดที่วางอยู่ตรงหน้าออกอย่างแรงโดยไม่สนว่ามันจะมีความสำคัญเช่นไร ด้วยอารมณ์ที่เดือดดาดอย่างสุดกั้น หลังจากเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวานหล่อนถูกคนของธารเอาตัวไปขังไว้ในห้องพักของแขกจนเวลาผ่านไปจนช่วงเช้าหล่อนถึงถูกปล่อยตัวกลับมาที่บ้านแต่ไม่วายมีคนของธารมาเฝ้าสังเกตการอยู่หน้าบ้านตลอดเวลาจนไปไหนไม่ได้แบบนี้ก็นับว่าทำให้หล่อนรู้สึกเหมือนเป็นนักโทษมันก็แย่มากพออยู่แล้ว และเมื่อกี้นี้อีกที่อยู่ดีๆเลขาวันเกษียณของหล่อนก็วิ่งหน้าตั้งมาหาถึงบ้านพร้อมบอกรายงานการประชุมบอร์ดผู้บริหารระดับสูงที่มีมติปลดหล่อนออกจากทุกตำแหน่งให้เหลือแค่ชื่อเพียงในนามเท่านั้น
 
           “มันเป็นมติจากที่ประชะ...”
 
           “ฉันรู้แล้ว!! แต่ฉันอยากรู้ว่าใครมันเป็นคนเสนอปลดฉันออกต่างหากไอ้โง่”
 
           เสียงเกรียวกราดของคุณหญิงดังขัดขึ้นมา ใบหน้าบูดเบี้ยวอย่างไม่พอใจแสดงออกอย่างแจ้งชัดจนสุวิทย์ได้แต่ยกมือขึ้นซับเหงื่ออย่างไม่มั่นใจว่าคำตอบที่ตนได้รับมาจะทำให้คุณหญิงคลั่งกว่าเดิมมากแค่ไหน
 
           “ตอบมาสิ!!”  เพราะสุวิทย์เอาแต่เงียบไม่ได้ดั่งใจ คุณหญิงจึงปรี่เข้าไปเขย่าตัวชายร่างท้วมอย่างแรงจนหอบออกมาเสียงดัง
 
           “ใจเย็นๆก่อนนะคะคุณหญิง”  จนสาวใช้ที่อยู่ใกล้ๆต้องทำใจกล้าเข้าไปรั้งร่างของคนเป็นนายออกมาเพื่อให้ได้นั่งพัก
 
           “คือ คนที่สั่งปลดคุณหญิงก็คือ....” สุวิทย์ลอบกลืนน้ำลายอึกใหญ่ ก่อนสูดหายใจเรียกกำลังที่มีอยู่
 
           “พูดมาสิ”
 
           “คือ.. คือคุณชิตรัตน์ครับ”
  ___________________________________________________________
พี่ธารคนจริงจะมีเมียแล้วคร้าาาาา
อย่าลืมเข้ามาให้กำลังใจคุณหญิงกันเยอะๆนะคะ ตอนนี้คุณหหญิงต้องการกำลังใจหนักมา
ตอนที่ 25 เจอกันดึกๆนะคะ
 
ตอนนี้ทางเพจของสนพ.อีวามีกิจกรรมต้อนรับวันแห่งความรักอยู่เพื่อนๆสามารถเข้าไปร่วมสนุกได้ที่
EVA Publishing

เพื่อนๆสามารถติดตามความเคลื่อนไหวการอัพนิยายได้ที่ พริ้วไหว/wavery
 
ขอบคุณที่ติดตามนะคะ

ออฟไลน์ wavery

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 124
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-2
ฝนหยดที่ 25
 


           “จะไม่รับสายสักหน่อยหรอครับพี่ชิน” 

           เสียงเรียกเข้าของโทรศัพท์มือถือที่เงียบไปไม่นานดังขึ้นอีกครั้งพร้อมคำถามจากคนบนเตียงที่ตัดสินใจเอ่ยถามเจ้าของเครื่องขึ้นหลังจากปล่อยให้มันดังอยู่อย่างนั้นมาสักพักใหญ่โดยที่เจ้าของของมันไม่คิดที่จะชายตามองด้วยซ้ำว่าใครเป็นคนโทรเข้ามาและดูท่าว่าคนปลายสายคงจะไม่ยอมหยุดมือง่ายๆจนกว่าชิตรัตน์จะรับสาย  ชายหนุ่มหลุดถอนหายใจออกมาก่อนเอื้อมมือออกไปกดตัดสายแล้วปิดเครื่องก่อนจะเก็บลงกระเป๋ากางเกงแล้วลุกขึ้นยืนเต็มความสูง

              “งั้นพี่กลับเลยแล้วกัน เกลจะได้พักด้วย”
              ชิตรัตน์ว่าก่อนจะเดินเข้าไปหอมแก้มลูกชายที่ง้วนอยู่กับการระบายสีภาพลงในกระดาษที่จะต้องส่งคุณครูในวันพรุ่งนี้อย่างขะมักเขม้น เกลไม่รู้ว่าเขาคิดมาไปเองหรือเพราะน้ำเสียงที่ชิตรัตน์เปล่งออกมามันดูเหนื่อยล้าเต็มทน จนเขาเองอดคิดไม่ได้ว่าสาเหตุนั้นมาจากตนหรือไม่

            “ทำไมทำหน้าอย่างงั้นละครับคนดี”  เกลไม่รู้ว่าตนทำหน้าแบบไหนอยู่ในตอนนี้อันเป็นเหตุให้ถูกถาม จนต้องเอามือยกขึ้นจับหน้าอย่างลืมตัว

           “ที่โรงแรมมีเรื่องด่วนเข้ามานะ ช่วงนี้เลยอาจยุ่งๆหน่อยอย่าคิดมากบอกแล้วไงว่าพี่ไม่ได้โกรธอะไรเกล”

           เหมือนว่าอีกฝ่ายจะรู้ความคิดที่อยู่ในใจของเขาเลยชิงพูดออกมาเพื่อให้เจ้าตัวสบายใจ แต่แค่นี้ก็พอแล้วละแค่ได้คำยืนยันว่าอีกคนไม่ได้โกรธเขาพอให้เบาใจคลายกังวลลงไปได้หน่อย

           ชิตรัตน์ส่งยิ้มให้พร้อมกดจูบเบาๆ ที่ข้างแก้มนิ่มก่อนขอตัวกลับ  ก่อนจะเป็นชายกับพลที่เข้ามารับหน้าที่ต่อจากเขาในการดูแลคนหน้าสวยที่อยู่ในห้องแทน
 
           ระยะทางจากโรงพยาบาลกลับมายังบ้านของเขานั้นใช้เวลามากสุดแค่หนึ่งชั่วโมงแต่ตอนนี้เวลาล้วงมาจนเกือบจะสองชั่วโมงแล้วชิตรัตน์ยังกลับไม่ถึงบ้าน เพราะเขาสั่งให้ชาติขับรถเพียงสี่สิบกิโลเมตรต่อชั่วโมงเท่านั้นอีกทั้งยังยังเลือกใช้ทางปกติแทนที่จะเป็นการขึ้นทางด่วนเพื่อประหยัดเวลาเดินทางอีกเพื่อที่จะยืดระยะเวลาการกลับบ้านออกไปให้นานกว่าเดิมอีกนิดหนึ่งแต่ถึงเขาจะประวิงเวลาไปนานแค่ไหนสุดท้ายตอนนี้ล้อรถสีดำก็มาหยุดจอดนิ่งอยู่ที่โรงจอดรถภายในบริเวณบ้านของเขาอยู่

           ประธานหนุ่มถอนหายใจออกมาอย่างแรงครั้งหนึ่งก่อนจะก้าวเท้าเดินเข้าบ้านมาพร้อมเสียงต้อนรับกลับที่ไม่น่าอภิรมณ์ใจเสียเท่าไรในความรู้สึกของเขา

            “อธิบายมาเดี๋ยวนี้เลยนะตาชิน แกมาสั่งปลดฉันออกจากตำแห่งนี้ได้ยังไง”

           เห็นไหมละ ขนาดเท้าของเขายังไม่ทันได้เหยียบลงบันไดทางเข้าตัวบ้านเลยเสียงเอ่ยต้อนรับเข้ากลับบ้านอย่างอบอุ่นก็ดังมาพร้อมกับใบหน้าทะมึนของคุณหญิงที่ยื่นกอดอกมองมาทางเขาอย่างคาดคั้นเอาคำตอบ

            ชิตรัตน์มองคนตรงหน้าเล็กน้อยก่อนยกมือไหว้แล้วเลือกที่จะเบี่ยงตัวหลบไปอีกทางเมินเฉยต่อคำถามและการมีอยู่ของคนตรงหน้าเพื่อกลับขึ้นไปจัดการเอกสารที่นำมาด้วยต่อที่ห้อง แต่ดูเหมือนว่าการกระทำของเขาจะไม่เป็นที่ถูกใจของคุณหญิงเสียเท่าไรนัก หล่อนจึงปรี่เข้าไปกระชากแขนของชายหนุ่มที่มีศักดิ์เป็นบุตรชายเพียงคนเดียวอย่างเดือดดาดใจ

           “แกจะมาทำเมินฉันแบบนี้ไม่ได้นะตาชิน มาคุยกันให้รู้เรื่องก่อน” จนกว่าจะได้คำตอบที่น่าพึ่งพอใจ หล่อนจะไม่มีทางปล่อยให้ชิตรัตน์หนีไปไหนเด็ดขาด

           “ผมว่ามันก็ชัดแล้วนะครับ คุณสุวิทย์เองก็ทำงานได้ยอดเยี่ยมมาตลอดแค่การเอารายงานการประชุมมาให้แค่นี้ไม่น่าจะมีอะไรผิดพลาดนี้ครับ”

            ชิตรัตน์ว่าเสียงเรียบคล้ายไม่ใส่ใจ คือจริงๆเขาก็ไม่ได้ใส่ใจจริงๆนั้นแหละออกแนวเบื่อหน่ายมากกว่าด้วยซ้ำที่ต้องมาพูดเรื่องเดิมซ้ำๆแบบนี้

           “ฉันถึงถามไงว่าแกกล้าดียังไงมาปลดฉันจากการเป็นหนึ่งในผู้บริหาร”

           ชายหนุ่มกรอกตาไปมาก่อนเรียกเด็กรับใช้คนหนึ่งที่แอบฟังการสนทนาเข้ามารับกระเป๋าของเขาขึ้นไปไว้ที่ห้องทำงานให้ ก่อนที่จะหันมาเผชิญหน้ากับคุณหญิงตรงๆอีกครั้ง

           “ทำไมถึงใช้คำว่ากล้าดีกับผมละครับ”  คำถามที่ถูกย้อนกลับมาทำเอาคุณหญิงกดคิ้วต่ำลงอย่างไม่เข้าใจ

           “....”

           “นั้นสินะครับ บางทีคุณอาจไม่ได้เข้าบริษัทนานเกินไปจนหลงลืมไปแล้วว่าตอนนี้ผมคือผู้บริหารสูงสุดของบริษัท
ทั้งหมดในเครือนพเทพ และเป็นประธานบริหารของโรงแรมรุ่นที่สามอำนาจการตัดสินใจที่จะเลื่อนตำแหน่งใครหรือจะปลดใครออกผมมีสิทธิโดยชอบธรรม”  ชิตรัตน์เน้นย่ำคำว่าทั้งหมดเสียงเข้มเพื่อแสดงจุดยืนที่ตนมีอยู่ในตอนนี้ให้อีกคนรับรู้

           “แต่ฉันเป็นแม่แกนะ แกจะมาทำแบบนี้กับฉันไม่ได้” คุณหญิงแย้งเสียงแหลมอย่างไม่พอใจ

           “แล้วยังไงหรอครับ เป็นแม่ของผมแล้วยังไงจะแอบโกงเงินแล้วโยนความผิดให้ใครก็ได้อย่างงั้นหรือครับ”

           คุณหญิงชะงักลงทันทีเมื่อชายหนุ่มพูดเรื่องนี้ออกมา หล่อนมองหน้าลูกชายอย่างไม่เชื่อหูด้วยความที่ไม่คิดว่าจะไม่ล้วงรู้เรื่องนี้แถมพนักงานคนนั้นหล่อนก็ใช้ให้คนสร้างหลักฐานปลอมจนพนักงานคนนั้นถูกมติให้ไล่ออกทันทีไปแล้วนี่นะ แล้วทำไมกัน... ทำไมถึงมีคนรู้เรื่องนี้ได้

           “ตกใจหรือครับ”

           “.....”

           “อ่า นั้นสินะหลักฐานการซื้อขายที่ดินที่คุณทำเอาไว้เพื่อป้ายความผิดให้เด็กคนนั้นมองผ่านๆใครก็อาจเชื่อนะครับ แต่พอดีผมกินข้าวไม่ได้กินหญ้าในสวนและอีกอย่างผมก็มีสมองพอที่คิดได้ว่าควรต้องทำอย่างไรมั่งในการหาคนทำผิด นี้ยังไม่นับรวมคนซื้อที่ที่ยอมร่วมมือกับคุณด้วยนะกว่าจะง้างปากให้พูดได้เนี้ย เล่นเอาเหนื่อยเหมือนกัน ส่วนที่ผมยอมไล่เด็กนั้นออกไปก็เพื่อให้คุณเชื่อว่าผมทำตามที่คุณอยากให้ทำเพื่อที่ว่าผมจะได้ทำอะไรๆให้มันง่ายขึ้นโดยที่คุณจะไม่เข้ามาก้าวก่าย แต่ก็ไม่ต้องห่วงนะครับว่าเด็กคนนั้นจะตกงานเพราะผมส่งเธอไปทำงานที่โรงแรมสาขาอื่นที่ต่างจังหวัดนานแล้ว”

           คุณหญิงอึ้งเงียบอย่างพูดอะไรไม่ออกคำพูดแก้ตัวทุกอย่างมันจุกอยู่ที่ลำคออยากจะแก้ต่างให้ตัวเองแต่การที่ชิตรัตน์อธิบายทุกอย่างออกมาแบบนี้หล่อนเองก็จนที่จะแถไถ่ ปรับสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออกให้กลับมาเป็นปกติ

           “แล้วไงละ” เมื่อแถไม่ได้ก็มีแต่ต้องพุ่งชนสินะ

           “เรื่องแค่นี้ถึงกับต้องปลดฉันออกคิดว่ามันไม่มากไปหน่อยหรือไง” หล่อนว่าอย่างไร้สำนึก

           ชิตรัตน์กระตุกยิ้มมุมปากอย่างเหยียดหยามกับท่าทีเหมือนว่าไม่ผิดของคนต้องหน้า จนเขาเองก็ไม่รู้ว่าจะสันหาคำอะไรมาสรรเสริญความไร้จิตสำนึกของคนคนนี้ดี

           “คุณใช่คำว่าแค่นี้งั้นหรอ เหอะ”

           “....”

           “ที่คุณทำนี้มันเข้าข่ายฉ้อโกงผมไม่เรียกตำรวจมาจับคุณก็ดีเท่าไรแล้วเคยสำนึกบ้างไหม!” 

           เสียงตวาดลั่นของชิตรัตน์ทำเอาคุณหญิงที่อยู่ใกล้ที่สุดสะดุ้งโหงอย่างตกใจอย่างไม่คิดว่าคนใจเย็นอย่างชิตรัตน์จะกล้าขึ้นเสียแบบนี้ เช่นเดียวกับพวกสอดรู้ที่แอบฟังเรื่องของเจ้านายที่ต่างพากันตกอกตกใจกันทั่วหน้า

           “แกไม่กล้าทำอย่างงั้นหรอก”

           แม้จะกลัวแต่หล่อนก็ยังทำใจดีสู่เสืออย่างน้อยหล่อนก็อยู่ในฐานะที่เป็นแม่ที่เลี้ยงชิตรัตน์มาไม่มีทางที่ชายหนุ่มจะทำแบบนี้กับหล่อนแน่

           “ทำไมถึงคิดว่าผมจะไม่กล้าละครับ หรือเพราะคิดว่าเป็น แม่ ผมถึงไม่กล้า”  ชิตรัตน์พูดเสียงเหยียดพร้อมส่ายหน้าอย่างสมเพชที่คุณหญิงคิดจะเอาคำคำนี้มาข่มขู่เขา

           “บางที่คุณอาจลืมเรื่องจริงบางอย่างไปเรื่องหนึ่งนะครับ คุณหญิงโฉมฉวี “ คนถูเรียกชื่อถึงกับสะอึกกับท่าทางและการเรียกชื่อเต็มของอีกคนเพราะแต่ไหนแต่ไรมาชิตรัตน์ไม่เคยเรียกตนแบบนี้มาก่อน

           “ต้องให้ผมรื้อฟื้นความทรงจำเก่าๆให้ไหมครับ บางที่มันอาจมีอีกสักเรื่องสองเรื่องที่ผมจะใช้เป็นเหตุผลไล่คุณออกเพิ่มก็ได้นะครับ”  ชิตรัตน์ย่างสามขุมเข้ามาประชิดคนที่ยืนหน้าเสียปากสั่นอย่างใจเย็น

           “เรื่อง เรื่องอะไร แกหมายถึงอะไรฉันไม่รู้เรื่อง” คุณหญิงทำหน้าเลิ่กลั่ก

           “ก็เรื่องที่..........”
 
           
…………………………………………………………………………

       
   :hao6:

ออฟไลน์ wavery

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 124
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-2
:hao6:

           “จากการสแกนสมองดูแล้วไม่พบเลือกคลั่งหรือความผิดปกติใดๆพรุ่งนี้เช้าก็น่าจะออกจากโรงพยาบาลได้แล้วละครับ”

           เสียงรายงานผลตรวจที่ปรากฏอยู่บนแผ่นฟิล์มเอ็กซเรย์ของคุณหมอวัยกลางคนที่รับหน้าที่เป็นเจ้าของไข้กล่าวอธิบายให้ผู้ป่วยและญาติได้รับรู้ความเป็นไปของการรักษาที่เป็นไปในทางที่ดี

           “เย้! คุณแม่จะได้กลับบ้านแล้ว”

           เกรทร้องดีใจกระโดดไปมาก่อนจะปีนขึ้นเตียงไปกอดซบอกคนเป็นแม่ที่กึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนเตียง และก่อนที่คุณหมอจะขอตัวออกไปก็มีการพูดคุยบางอย่างที่อาจเป็นผลข้างเคียงจากอาการบาดเจ็บพร้อมแนะนำให้ดูแลตัวเองดี

           “ถ้างั้นเกรทไปหาอาแก้วก่อนนะครับคุณพ่อคุณแม่”
           เขาจะรีบไปบอกอาแก้วกับคุณลุงว่าคุณแม่จะได้กลับบ้านแล้ว.... ไม่รอให้ใครต้องอนุญาตเด็กชายก็กระโดดลงจากเตียงคนไข้วิ่งออกนอกประตูไปอย่างลิงโลด

           เกลที่มองตามหลังเล็กของลูกชายจนหายลับไปที่หลังประตูแล้ว ก็หันกลับมาสนใจคนข้างกายที่เมื่อครู่ยังทำหน้ายิ้มแย้มแต่ตอนนี้กลับถอนหายใจออกมาอย่างแรงเหมือนคนมีเรื่องให้คิดไม่ตก โดยเฉพาะท่าทางที่เจ้าตัวมักจะกำนิ้วโป้งแน่นๆเวลามีเรื่องให้คิดมากๆจนติดเป็นนิสัยนี้อีก ไม่รู้ว่าชายหนุ่มจะรู้ไหมแต่ตอนนี้ชิตรัตน์กำลังทำอย่างที่เขาว่าอยู่จนอดไม่ได้ที่จะเอื้อมมือออกไปกุมรอบมือหน้าที่กำเข้าหากันแน่น

           “ทำไมทำหน้าอย่างงั้นละครับพี่ชิน มีอะไรหรือเปล่าครับ”

           “ก็นิดหน่อยนะ”

              เขาเลือกที่จะบอกปัดแทนการเล่าทุกอย่างแทนเพราะอย่างไรเสียนี้ก็เป็นเรื่องภายในที่เขาอยากจะจัดการให้เรียบร้อยด้วยตัวของเขาเอง อีกทั้งตอนนี้เกลก็ยังไม่หายดีด้วยหากเอาเรื่องนี้มาบอกให้อีกคนคิดมากเดี๋ยวอาการจะแย่เสียเปล่าๆ

           “จริงสิ พี่คิดว่าหลังจากจัดการอะไรต่างๆเรียบร้อยแล้วพี่จะย้ายไปอยู่กับเกลด้วย เราว่าดีไหม”

           ชิตรัตน์ถามขึ้น ไม่ใช่เพื่อเอาใจแต่เขาคิดเอาไว้อย่างนั้นจริงๆ หลังจากเรื่องทุกอย่างจบเขาต้องการไปเริ่มชีวิตครอบครัวใหม่อีกครั้งกับคนที่รักจริงๆ

           “จริงหรือเปล่าครับ ไม่ใช่แค่พูดเอาใจลูกนะเกลไม่ยอมจริงๆด้วย”

           เกลว่าเสียงเง้างอนถึงจะยังไม่รู้เรื่องที่เป็นสาเหตุหลักที่ทำให้ชิตรัตน์เอ่ยถึงการย้ายมาอยู่ร่วมชายคาเดียวกับตนแต่เรื่องแบบนี้มันก็เดาได้ไม่ยากไม่ใช่หรอว่าเพราะอะไร บางทีคุณหญิงอาจก่อเรื่องอะไรไว้อีกจนคนใจเย็นอย่างชิตรัตน์รับไม่ไหวเป็นแน่ ซึ่งเขาเองก็คงต้องยอมรับแล้วละว่าเป็นผลดีกับตนอย่างยิ่งที่อยู่ๆก็ได้ลูกและคนรักมาอยู่ข้างกายอย่างไม่ต้องลงแรงอะไรมากมาย

           “พี่เคยโกหกเราด้วยหรือไงละ”

           ชิตรัตน์ตอบกลับก่อนจะขอตัวออกไปรับโทรศัพท์จากหัวน้าฝ่ายรักษาความปลอดภัยของโรงแรมที่ต่อสายตรงมาหาเขาเพื่อแจ้งให้เขาทราบว่าใครคนหนึ่งที่ไม่พอใจผลการประชุมได้บุกมาอาระวาดอยู่ที่หน้าโรงแรมจนตัวเขาเองต้องขอตัวกลับก่อนอย่างเลี่ยงไม่ได้  ฝ่านเกลเองก็ไม่ได้งอแงที่จะรั้งตัวชิตรัตน์หรือถามอะไรให้มากความเพราะเข้าใจดีว่าคนรักต้องทำงานและเขาก็ไม่อยากที่จะทำตัวเรื่องมากให้อีกคนตรงรำคาญใจ ทำให้ตอนนี้เขาทำแค่กดไล่รีโมทในมือเปลี่ยนช่องไปเรื่อยๆอย่างไม่มีอะไรทำแทน
           
          ก๊อก ก๊อก

           เกลมองไปทางประตูห้องผู้ป่วยของตนที่เปิดเข้ามาโดยชายพร้อมกับพลที่เดินตามเข้ามาด้านหลัง ดวงตาสวยมองดูพี่เลี้ยงทั้งสองคนของตัวเองก่อนจะกดปิดโทรทัศน์ลง

           “รายงานความเคลื่อนไหวของทางโรงแรมคุณชิตรัตน์นะครับ”

           หัวข้อรายงานที่เขาได้ยินนั้นเรียกความใคร่เป็นอย่างยิ่ง  ที่โรงแรมเกิดอะไรขึ้นอย่างนั้นสินะ.......

           “คุณฤดีมาสโทรมาเมื่อครู่นี้” ชายเกรินขึ้นอย่างไม่ต้องรอให้เกลถาม

            “บอกว่าคุณหญิงโฉมฉวีโวยวายอยู่ที่ทางเข้าของโรงแรมเนื่องจากการ์ดไม่ยอมให้เข้ามาภายใน”

           “ทำไมละครับ”  เกลหยุดมือจากปุ่มกดลงแล้วหันมาถามคนพูดอย่างสงสัย ในเมื่อคุณหญิงก็น่าจะเป็นหนึ่งในผู้บริหารของโรงแรมแล้วทำไมอยู่ๆถึงจะเข้าไปในโรงแรมของตัวเองไม่ได้อย่างนั้นกัน

           “น่าจะเป็นผลจากมติที่ประชุมบอร์ดผู้บริหารระดับสูงเมื่อวานนี้ที่มีการสั่งปลดคุณหญิงออกจากทุกตำแหน่งของบริษัทในเครือให้เหลือแค่ชื่อ”

           คำตอบที่ได้ทำเอาคนฟังแทบจะไม่อยากเชื่อหูตัวเอง นี้หรือเปล่าคือสาเหตุที่ทำให้ชิตรัตน์รีบกลับไปแบบนั้น...........

           “ใครสั่งปลด”  ถึงจะพอเดาได้อยู่บ้างว่าใครที่มีจะมีสิทธิสั่งปลดคนระดับอย่างคุณหญิงออกตำแหน่งได้ แต่มันเหนือความคาดหมายจากเขามาเกินไปจนอดถามมันออกไป

           “คุณชิตรัตน์ครับ  ส่วนสาเหตุที่ปลดนั้นคุณฤดีมาสไม่ได้บอกเอาไว้แต่ผมคิดว่าน่าจะเป็นเรื่องโกงที่ดิน” พลตอบแทนพร้อมแสดงความคิดเหตุส่วนตัวออกไป

           “แต่เรื่องมันนานมาแล้วทำไมพี่ชินถึงได้เอามาสั่งปลดตอนนี้ละ”

            เกลพึมพำอย่างใช้ความคิด จากเวลาในเอกสารที่ครั้งหนึ่งชายกับพลเคยนำมาให้นั้นเรื่องนี้เกิดขึ้นมาได้หลายปีแล้วน่าจะช่วงที่ชิตรัตน์เข้ามาบริหารงานแรกๆด้วยซ้ำไปแล้วทำไมถึงเพิ่งมาสั่งปลดเอาตอนนี้

           “น่าจะเพราะเพิ่งได้หลักฐานครบนะครับ เพราะเท่าที่รู้มาคุณหญิงแกก็ทำเรื่องงามหน้าลับหลังคุณชิตรัตน์ไว้หลายเรื่องแถมยังมีหน่วยเก็บกวาดคอยเคลียร์ตลอดด้วยคงยากที่จะหาหลักฐานเอามัดตัวได้”

            ชายกล่าวเสริม ซึ่งอันนี้เกลเองก็เห็นด้วยเรื่องการยัดยอกเงินบริษัทและการแอบอ้างชื่อของโรงแรมไปทำเรื่องเสื่อมเสียก็มีมากแต่เหมือนทางนั้นก็เตรียมการมาดีเช่นกันเพราะไม่เคยมีครั้งไหนที่จะมีใครสาวมาถึงตัวหล่อนได้

           “งั้นงานนี้ก็น่าสนุกสิครับ พี่ชายไปบอกพี่ธารนะครับว่าแผนนั้นเริ่มได้ทันทีส่วนพี่พลรวบรวมเอกสารทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับคุณหญิงทั้งหมดที่พอจะหาได้ไม่ว่าจะในนามของใครมาให้เกลที ช้าสุดคืออาทิตย์หน้าเอกสารต้องถึงมือ เขา”

           ทั้งสองรับคำคนเป็นนายก่อนเดินออกจากห้องไป เหลือเพียงรอยยิ้มร้ายที่ปรากฏบนใบหน้าสวยที่แสดงออกถึงความยินดีกับผลที่ได้มาอย่างง่ายดาย

           “ฝากที่เหลือด้วยนะครับ”

....................................................................

           ความวุ่นวานตรงด้านหน้าทางเข้าของโรงแรมหรูที่เกิดมาได้เกือบครึ่งชั่วโมงยังคงเรียกความสนใจจากเหล่าผู้คนที่เดินสันจรผ่านไปมาระแวกนั้นให้หันมามอง  รวมถึงนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติที่เป็นแขกผู้พักอาศัยในโรงแรมที่ทั้งสนใจและรำคาญในกริยาท่าทางที่แสดงออกว่าไม่พอใจสถบคำด่าว่าผู้คนที่มองมาไม่แคร์ใครและพยายามที่จะสะบัดตัวออกจากการกุมตัวของเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยที่ทำหน้าที่อย่างเหนื่อยใจ เช่นเดียวกับชิตรัตน์ที่นั่งมองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ผ่านกระจกฟิล์มมืดก็ได้แต่ส่ายหน้าอย่างละอากับพฤติกรรมของคนที่เรียกตัวเองว่าคุณหญิงตรงหน้า

           “คุณหญิงคงไม่เลิกราง่ายๆแน่ครับ จะเอายังไงดี”

           ชาติปั้นหน้าเครียดไม่แพ้ชิตรัตน์ที่นั่งเงียบอยู่ด้านหลังเมื่อต้องมามองดูจากเหตุการณ์ตรงหน้าพลางคิดคาดการณ์ไปว่าอีกไม่นานกองทัพนักข่าวคงจะแห่กันมาเป็นกองทัพแน่ ไหนจะเหล่าบรรดาไทยมุมที่เริ่มยกกล้องขึ้นมาถ่ายไลฟ์สดส่งตรงจากที่เกิดเหตุแบบนี้อีกไม่แคร์ว่าชื่อเสียงของโรงแรมคงจะต้องติดลบ

              “เดี๋ยวฉันจัดการเอง”

           ชิตรัตน์สั่งการเสียงเข้มก่อนก้าวลงจากรถไปทันทีไม่รอให้ชาติเข้าไปในโรงแรม เดินผ่ากลางวงรอบคนที่มุงดูเหตุการณ์เข้าไปคว้าแขนของคุณหญิงแล้วออกแรงลากให้อีกฝ่ายเดินตามตนเข้าไปข้างใน  ส่วนหน้าที่เคลียร์สถานที่ก็ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของพนักงานรักษาความปลอดภัยไปจัดการ ส่วนพวกคลิปวีดีโอที่เขาคิดว่าต้องมีใครสักคนในนี้ถ่ายเก็บไว้เพื่อเผยแพร่สู่สังคมออนไลน์เขาคงจะตามลบได้ไม่หมดแน่คงจะต้องปล่อยเลยตามเลยไปอย่างช่วยไม่ได้

 
          ผลั๊วะ     

           “โอ๊ย!!”

           ร่างของคุณหญิงถูกเหวี่ยงลงโซฟาทันทีจนยู่หน้าด้วยความเจ็บพร้อมสะหวัดสายตาไม่พอใจใส่ชายหนุ่มที่ยืนจังก้าอยู่ไม่ใกล้อย่างเอาเรื่อง

           “เลิกบ้าได้หรือยังครับ คิดบ้างไหมว่าที่ทำไปมันจะส่งผลอย่างไรกับโรงแรมและความหน้าเชื่อถือของบริษัทมั่ง”

              ชิตรัตน์พยายามข่มอารมณ์ที่จะแสดงออกผ่านน้ำเสียงให้เรียบที่สุดจนกลายเป็นเสียงกดต่ำอย่างข่มอารมณ์ จดจ้องมองคนที่ยังจ้องมาที่ตนอย่างไม่สำนึก

           “แล้วมันจะทำไมละ ที่แกยังกล้ามาปลดฉันออกจากตำแหน่งได้ทำไมฉันจะทำให้มันเสียชื่อมั่งไม่ได้หรือไง”

           คนฟังได้แต่ข่มกรามแน่นอย่างข่มโทสะ

           “แกกับพวกโง่นั้นต้องรับผิดชอบที่ทำกับฉันแบบนี้ ได้ยินไหมแกต้องรับผิดชอบ”  คุณหญิงตะโกนกร้าวเสียงดัง

           “หึ แกคงจะลืมไปอย่างว่าถึงฉันจะไม่มีหุ้นในโรงแรมเฮงซวยนี้แล้วฉันก็ยังมีบริษัทของฉันเองอยู่แกอย่าหวังเลยว่าจะได้เสวยสุขอยู่ได้นานนะ ไม่มีทาง!!”

 

          ผลั๊วะ

           กระเป๋าแบรนด์หรูถูกเหวี่ยงเข้าใส่ใบหน้าของชิตรัตน์อย่างแรงจนหน้าหันพร้อมกับสายตาแค้นเคืองใจของคุณหญิงที่มองจ้องลูกชายตัวดีที่ไม่ได้ดั่งใจก่อนจะกระแทรกเท้าเดินออกจากห้องไป พร้อมเสียงที่ค่อยต่อว่าต่อขานเหล่าพนักงานที่ไม่ยอมทำการทำงานเอาแต่แอบซุ่มมองเจ้านายที่มีมากมายตลอดทางอย่างหัวเสีย    ทิ้งให้ประธานหนุ่มเจ้าของห้องที่ได้แต่มองตามแผ่นหลังนั้นไปด้วยสายตาที่ยากจะคาดเดา

          ชิตรัตน์ยกหลังมือขึ้นเช็ดเลือดที่มุมปากออกอย่างลวกๆ แล้วเดินกลับไปยังโต๊ะทำงานที่ดูท่าว่าวันนี้โรงแรมของเขาคงจะวุ่นวายอย่างมากที่เดียว ไม่สิเพราะบางที่มันน่ารวมถึงโครงการต่างๆของบริษัทในเครือด้วยที่อาจโดนผลกระทบที่เกิดขึ้นและเขาจะต้องเตรียมตัววางแผนเพื่อตั้งรับสิ่งที่จะเกิดขึ้น
         
           บางทีคุณอาจเคยได้ยินหรือเห็นตามละครทีวีหลังข่าวที่มันจะมีเรื่องของการแต่งงานเพื่อผลประโยชน์ของเหล่าทายาทตระกูลดังๆเพื่อต่อยอดเงินและอำนาจที่จะตามมาในอนาคต  กรณีเช่นนี้ก็คงจะเดากันได้ไม่ยากเท่าไร เพราะ นายชินวุฒิ บิดาแท้ๆของชิตรัตน์ก็เป็นหนึ่งคนที่ถูกคุมถุงชนเช่นนั้นกับคุณหญิงโฉมฉวีเช่นกัน

           แต่เดิมครอบครัวของชิตรัตน์มีเพียงแค่โรงแรมแห่งนี้เท่านั้นที่เป็นมรดกตกทอดส่วนบริษัทในเครือร่วมถึงอสังหาริมทรัพย์ต่างๆนี้เกิดขึ้นมาภายหลังการแต่งงานกับคุณหญิงโฉมฉวี ที่เป็นบุตรตรีเพียงคนเดียวของเจ้าสัวใหญ่แห่งวงการอสังหาริมทรัพย์ที่ใกล้ล้มละลายในขณะนั้น ด้วยเหตุนี้บทบาทหลักของคุณหญิงภายในโรงแรมและเครือนพเทพจึงเป็นที่ปรึกษาทางธุรกิจให้คุณชินวุฒิและรั้งตำแหน่งรองประธานค่อยช่วยเหลือสามีโดยกินเงินเดือนตามตำแหน่งและหุ้นที่ถืออยู่ แต่จริงๆแล้วคุณหญิงกลับถือหุ้นใหญ่นั่งเก้าอี้ประธานของบริษัทตนเองอย่างลับๆโดยการแสร้งยุบบริษัทเดิมของตนเข้ากับของนพเทพแล้วตั้งขึ้นมาใหม่พร้อมเปลี่ยนชื่อเสีย ซึ่งบริษัทนี้ก็มีชื่อที่ทางเครือนพเทพคุ้นหูดีในฐานะคู่แข่งทางธุรกิจที่สำคัญเพราะทุกครั้งแนวความคิดที่เสนอต่อลูกค้ามักจะเหมือนกันไปเสียหมดจนเกิดการกล่าวหาว่าลอกเลียนงานของกันและกันอยู่บ่อยครั้ง


              “ร้ายใช่เล่นเหมือนกันนะ นังแก่นั่นน่ะ”

           ธารเอ่ยขึ้นเรียบๆเมื่อมองตามท่าทางของน้องน้อยที่นั่งอ่านเอกสารอยู่บนเตียงคนไข้อย่างสนุกสนานจนเหมือนว่าเอกสารตรงหน้าคือหนังสือการ์ตูนตลกเล่นละสิบบาทยี่สิบบาทตามร้านหนังสือ

           “น้องถึงบอกไงครับว่านั่นน่ะ นังแม่มดเฒ่านั้นมันเจ้าเล่ห์แต่น้องไม่คิดเลยนะว่าข้อมูลของพี่ธารจะทำเอาน้องอึ้งไปได้เยอะเลยทีเดียว”

           เกลว่าพร้อมมองข้อมูลที่ได้รับในมืออย่างสนใจ  ข้อมูลที่ธารหามาได้รวมกับที่ชายกับพลนำมาให้เขานั้นมีแต่เรื่องให้เขาประหลาดใจอย่างไม่น่าเชื่อ คุณหญิงนี้มีเรื่องให้เขาแปลกใจได้ตลอดเวลาจริงๆ

           “แล้วจะให้พี่จัดการเรื่องไหนดีละ”

           “นั้นสินะ”

           เกลมองเอกสารในมือไปมาสลับกันไปมาเหมือนเด็กเลือกของเล่นที่น่าสนใจมาหนึ่งชิ้นจากจำนวนของเล่นมากมาย  แต่ถ้าให้เขาเลือกเขาว่าอันนี้น่าจะเหมาะกับพี่ชายคนนี้ของเขามากที่สุด

           “พี่ธาร”

           “....”

           “น้องว่าน้องอยากให้พี่จัดการอันนี้” นิ้วเรียวยาวคีบกระดาษเอกการชุดหนึ่งยื่นไปตรงหน้าคนเป็นพี่ที่ยืนมองดูอยู่ให้รับไป

           “ทำไมถึงเลือกอันนี้” ธารมองชุดเอกสารในมือพร้อมกระตุกยิ้มอย่างชอบใจกับการเลือกของน้องที่บอกตรงๆเลยว่าถูกใจเขามากที่สุด

           “ก็พี่ธารอยากให้เรื่องมันจบไวๆไม่ใช่หรอ” เกลตอบพร้อมมองสบตากับคนที่เหลือบมามองตนอย่างพอใจ

           “แล้วจะเอาแบบไหนดีละ”

           “อืมมม เอาให้ไม่เหลืออะไรเลยก็ดีนะ”

           “เอาเร็วที่สุดนะครับ แต่อย่าทำให้พี่ชินของน้องเดือดร้อนนะครับ”

           รอยยิ้มหวานถูกส่งมาให้พี่ชายตัวโตที่ตีหน้าบึ้งตึงอย่างขัดทั้งทีใจจริงแล้วธารเองกตั้งใจเอาไว้อยู่แต่เดิมแล้วว่าจะใช้ความวุ่นวายที่จะเกิดขึ้น ตลบหลังชิตรัตน์สักเรื่องสองเรื่องให้อีกคนขาดทุนเล่น แต่น้องเขานี้สิมีตาทิพย์หรือไงกันถึงไม่รู้ความคิดจนพูดดักเขาไว้แบบนี้

           ธารถอนหายใจอย่างเซ็งๆก่อนจะหันไปสั่งให้พลเข้าไปอยู่เป็นเพื่อนคอยดูแลแก้วกล้าแทนตนแล้วจึงขอตัวออกไปจัดการเรื่องที่โดนไหว้วานมาให้เรียบร้อย

           คนบนเตียงมองตามแผ่นหลังพี่ชายออกไปก่อนจะหันมาสนใจเอกสารตรงหน้าอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะสั่งให้การ์ดที่อยู่ในห้องจัดการส่งมันไปให้ใครอีกคนที่เหมาะกับงานนี้

           “เกลว่าเราน่าจะหาหลักฐานเพิ่มกันดีไหมครับ”

           ชายยกยิ้มขึ้นพร้อมเหลือบตามองเจ้านายตัวน้อยของตนที่ดูท่าเหมือนจะนึกอะไรสนุกๆขึ้นมาได้อย่างสนใจจนต้องปิดแฟ้มเอกสารที่เปิดอ่านค้างอยู่ในมือลง

           “จัดให้ตามคำขอเลยครับ”

           เกลยิ้มตาหยีอย่างพอใจแล้วรอให้ชายกดโทรออกไปหาใครบางคนที่พูดจากันเพียงไม่กี่คำแล้วก็ตัดสายทิ้งไปก่อนจะส่งโทรศัพท์อีกเครื่องของเขาที่วางอยู่มาให้อย่างรู้ใจ

 
           //แกกล้าดียังไงโทรมาหาฉันฮะ!! //
           ถึงจะออกแนวโรคจิตไปสักหน่อยที่กลังแสนกลัวแต่กลับอยากแข็งข้อแต่ในเมื่อตอนนี้เขาถือว่าตอนนี้เขาเป็นฝ่ายไล่ต้อนเหยื่อต่อให้กลัวแค่ไหนเขาก็จะไม่ยอมให้อีกฝ่ายแน่ เพราะยิ่งเห็นเหยื่อตัวน้อยในกำมือของตนดิ้นเร้าเอาชีวิตรอดแล้วมันน่าตื่นเต้นและยิ่งเหยื่อตัวที่ว่าคือคุณหญิงโฉมฉวีด้วยแล้ว เขาก็ยิ่งอยากจะเห็นการดิ้นล้นเฮือกสุดท้ายนี้เหมือนกัน
           “ผมก็แค่โทรมากด้วยความหวังดี ทำไมถึงพูดแบบนี้ล่ะครับ”

           //อย่างแกหรอจะมาหวังดีกับฉันอย่ามาตอแหลหน่อยเลย//

           “หึหึหึ”

             //ขำอะไรของแก//

           “ก็ขำคุณนั้นแหละครับ ผมอยากจะรู้จริงๆว่าถ้าวันหนึ่งอะไรๆที่คุณพยายามซ้อนอยู่ในความมืดมันโดนแสงส่องนำให้คนอื่นเห็นคอแข็งๆที่ค้ำเป็นฐานนั้นยังจะทำให้หน้าหนาๆนั้นเชิดได้อยู่อีกหรือเปล่า”

           //แกพูดอะไร//

           “ก็พูดตามความเป็นจริง เพราะสิ่งที่คุณพยายามซ้อนมันจากใครต่อใครตอนนี้มันไม่ได้มีแค่คุณเท่านั้นที่รู้”

           คำพูดส่อเคล้าบางอย่างของคนที่ตัดสายไปทันทีที่พูดจบทำเอาคนที่ยังมีคงชนักติดหลังอันยากที่จะลบล้างให้ออกไปง่ายๆนั้นถึงกับยืนไม่ติดพื้น แสดงอาการร้อนรนออกให้เห็นได้ชัดเจน

           คุณหญิงรีบเก็บโทรศัพท์มือถือลงกระเป๋าสะพายทันทีแล้วรีบสาวเท้าก้าวยาวๆตรงไปยังรถยนต์ของตนที่จอดเอาไว้อย่างรวดเร็ว  แต่ยิ่งรีบร้อนมากเท่าไรหัวใจก็ยิ่งทำงานหนักส่งผลให้อีกตราการเต้นของมันนั้นแรงมากขึ้นจนอาการเจ็บจี๊ดที่หัวใจแริ่มที่จะแสดงอาการออกมามากขึ้นเท่านั้นจนต้องยกมือขึ้นมาขยุ้มอกเสื้อข้างซ้ายเอาไว้แน่น แล้วรีบก้าวต่อไปให้ถึงรถเร็วๆ
           เพราะในตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับหล่อนไม่ใช่การมานั่งกังวลเรื่องอาการของหัวใจแต่คือการตรงไปบริษัทของตัวเองเพื่อไขข้อข้องใจในสิ่งที่ถูกสะกิดความกังวลเมื่อครู่โดยไม่คิดไตร่ตรองเลยว่านี้อาจเป็นหลุมพรางที่ทำให้ตนต้องการมาเป็นนางแบบทำให้กับตากล้องในมุมมืดสองคนที่แอบสะกดรอยตามหล่อนมาตั้งแต่ออกจากโรงแรมของชิตรัตน์

           “ได้รูปมาแล้วครับ”

           //.....//

           ครับ ผมจะจัดการส่งไฟล์ไปให้ คุณเขา ทันทีครับ”

           //...//

           “ครับ ได้ครับ”
 
_____________________________________________________________
ฝนกลางฤดูหนาว เป็นนิยาครอบครัวใสๆ.....
แล้วทำไมมันซ้อนเงื่อนขนาดนี้!!!
 
 
ขอบคุณที่ติดตามนะคะ

ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8893
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ wavery

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 124
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-2
ผักกาด

วันนี้ไม่อัพนิยายนะคะ

เดี๋ยววันเสาร์ อาทิตย์ จันทร์ จะมาอัพให้ยาวๆสามวันติดเลย

 :monkeysad:

ขอบคุณที่ติดตามนะคะ
[/color]

ออฟไลน์ Jibbubu

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3385
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-6
เมื่อไหร่ยัยคุณหญิงมันจะมีสำนึกซะที ว่าตัวเองทำผิดอะไรไปบ้างน่ะ

ออฟไลน์ saseum

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 413
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
เป็นแม่ที่ไม่มีความเป็นแม่เลยนะเนี่ย
ไม่สำนึกอะไรซักอย่าง เมื่อไหร่โรคจะกำเริบซะที

ออฟไลน์ wavery

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 124
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-2

ฝนหยดที่ 26




               ความตึงเครียดและแรงกดดันที่แผ่นรัศมีเป็นวงกว้างครอบคลุมทุกตารางนิ้วของห้องประชุมใหญ่ของบริษัทเชิงอสังหาริมทรัพย์ขนาดกลางน้องใหม่อย่าง วิวัฒน์พงษ์ ที่ถูกก่อตั้งขึ้นมาไม่ถึงสิบปีแต่ก็สามารถก้าวขึ้นมาอยู่อันดับแถวหน้าของวงการได้อย่างไม่น้อยหน้ารุ่นพี่ที่ถือว่าเป็นคู่แข่งทางการที่สำคัญของนพเทพในเวลานี้ แต่ใครจะคาดคิดกันละว่าผู้กุมบังเหียนใหญ่ของวิวัฒน์พงษ์นั้นจะเป็นคนคุ้นเคยอย่าง คุณหญิงโฉมฉวี.........

              “ฉันถามทำไมไม่มีใครตอบ!!”

  น้ำเสียงเกรี้ยวกราจอย่างไม่สบอารมณ์ของคุณหญิงดังขึ้นอีกครั้งพร้อมฝ่ามือฟาดลงกลางโต๊ะอย่างเต็มแรงเพื่อระบายความไม่พอใจกับการที่คำถามของหล่อนไม่ได้รับคำตอบที่น่าพึ่งพอใจกลับมา ไม่สิ...ต้องบอกว่ามันไม่ได้รับคำตอบอะไรกลับมาเลยต่างหาก

               “ผมว่าพี่โฉมใจเย็นๆลงก่อนเถอะนะครับ”
             
              วีรกิตติ์ รักษาการแทนประธานกรรมการบริษัทที่มักจะเป็นคนออกหน้าทำทุกแทนคุณหญิงโฉมฉวีหรือที่รู้จักกันอีกนัยหนึ่งก็คือน้องชายต่างมารดาของคุณหญิง ที่อยู่ๆก็ต้องกลายมาเป็นหุ่นเชิดให้พี่สาวจิกหัวใช้สารพัดจนน่าเห็นใจ
             
               “แกยังจะให้ฉันใจเย็นอีกเหรอฮะ!! “  คุณหญิงตะคอกใส่หน้าวีรกิตติ์เสียงดังอย่างไม่ไว้หน้า

              “ฉันสั่งให้แกเก็บกวาดทุกอย่างให้เรียบร้อยแล้วทำไมตาชินถึงได้รู้เรื่องนี้ได้อีก”

              “....”

              วีรกิตติ์ไม่ตอบอะไรเอาแต่นั่งก้มหน้าก้มตาอย่างสำนึกผิด ทำเอาเหล่าผู้ร่วมประชุมต่างรู้สึกเห็นใจกับท่าทีของผู้ชายคนนี้อย่างยิ่งเพราะนอกจากจะต้องคอยเป็นที่รองมือรองเท้าให้คุณหญิงผู้เป็นพี่แล้ว ถ้าวันใดบริษัทมีข่าวไม่ดีหลุดออกไปเพราะคุณหญิงแล้วละก็วีรกิตติ์ก็ต้องเป็นคนคอยตามเช็ดตามล้างเรื่องให้สะอาด ร่วมถึงเรื่องในครั้งนั้นด้วย....

              “นี้แค่เรื่องที่ดินแกยังทำไม่ได้ แล้วเรื่อง นังนั้น ไม่ใช่ว่ามันรู้ไปถึงหูใครต่อใครแล้วหรือไง”

              เรื่องที่น่าจะเป็นประเด็นให้อีกฝ่ายร้อนใจมากที่สุดสำหรับวีรกิตติ์คิดว่าน่าจะเป็นเรื่องของผู้หญิงคนนี้มากกว่า เพราะถ้าเป็นแค่เรื่องที่ดินเพียงอย่างเดียวแล้วคนอย่างโฉมฉวีไม่มีท่าร้อนรนเป็นเจ้าเข้าแบบนี้แน่  แต่เพราะอะไรต่างหากที่ทำให้พี่สาวเขานึกถึงเรื่องนี้ขึ้นมาอีกในเมื่ออายุความของคดีนั้นก็หมดไปตั้งหลายปีแล้ว

              “...........ไม่มีท่าที่จะมีใครรู้เรื่องนั้นได้หรอกครับ”

              วีรกิตติ์ต้องใช่ความพยายามอย่างยิ่งในการอธิบายสิ่งต่างๆให้คนที่อารมณ์ร้อนได้เย็นลงเพราะถึงแม้จะเบาใจลงมาได้ แต่ก็ใช่ว่าจะว่างใจเสียเมื่อไรกัน

              “แล้วฉันจะแน่ใจได้ยังไงว่า มัน ยังไม่แดงขึ้นมา”

              “วางใจได้เลยครับคุณหญิง เรื่องนั้น ไม่มีทางที่จะมีใครรู้แน่นอนเอกสารทุกอย่างที่เกี่ยวข้องพวกผมจัดการให้คนทำลายหมดแล้วครับ”

                ชายรูปร่างสูงที่ดูจะอายุมากกว่าชิตรัตน์อยู่ไม่กี่ปีเป็นฝ่ายแทรกขึ้นมาแทนเจ้านายของตนที่นั่งก้มหน้าก้มตาอยู่ข้างกันโดยไม่มีใครสังเกตเลยว่ามือหนาที่หลบซ้อนสายตาของใครต่อใครในห้องอยู่ใต้โต๊ะกำลังบีบมือผอมแห้งที่สั่นเทาของวีรกิตติ์เอาไว้แน่น

              “ส่วนเรื่องผู้เกี่ยวข้องหรือพยานที่จะมาเอาผิดคุณได้ มันก็ไม่มีอยู่แล้ว ไม่ใช่หรอครับ”  เขตทัพ เลือกที่จะหยิบยกเอาเรื่องของพยานหลักฐานที่สามารถจับต้องได้อย่างเอกสารและพยานบุคคลมาเป็นข้อโต้แย้งมาที่อีกฝ่ายเคยบอก

           คุณหญิงเงียบไปครู่หนึ่งเมื่อเจอคำพูดที่หยิบยกเอาเรื่องนั้นขึ้นมาพูดพร้อมทำหน้าคิดตามสิ่งที่ชายหนุ่มรุ่นลูกพูดออกมา นั้นสินะ... มันจะเหลือพยานมาได้ยังไงกัน ในเมื่อมันไม่มีอยู่ตั้งแต่แรกแล้วนี่นะ.......

           เหล่าบรรดาผู้ร่วมกระบวนการทั้งหลายจับจ้องมองนผู้กุมอำนาจสูงสุดที่เอาแต่ก้มหน้ากอดอกอยู่หน้าห้อง แต่ก่อนที่จะมีใครทันได้เอ่ยเสนอหรือชี้แจงอะไรเพิ่มเติม เสียงของบุคคลที่อยู่หัวโต๊ะก็ดังขึ้นมาเสียเฉยๆ

           “สั่งให้คนของคุณตรวจสอบเรื่องนี้อีกรอบให้ละเอียดเลยนะฉันต้องการความมั่นใจว่าเรื่องมันจะไม่แดงขึ้นมา”

           คุณหญิงย้ำใส่ชายหนุ่มอีกครั้ง แล้วหันไปมองหน้าหนุ่มใหญ่รูปร่างผอมเก้งก้างอย่างวีรกิติติ์ที่อยู่ข้างๆด้วยสายตาหยามเหยียดปนไม่พอใจก่อนสะบัดร่างออกจากห้องประชุมไปไม่สนใจว่าคนที่รับคำสั่งจะมีคำถามอื่นหรือมีใครต้องการแย้งอะไรเพิ่มเติมและถึงมีหล่อนก็ไม่คิดจะอยู่ฟังอยู่แล้ว  เพราะตอนนี้หล่อนมีเรื่องให้ต้องทำมากกว่า

         
ปัง!
 
          แรงผลักบานประตูไปกระทบเข้ากับกำแพงห้องจนเกิดเสียงดังลั่นอย่างไม่เกรงใจใครเมื่อครู่นั้นไม่ได้อยู่ในความสนใจของเจ้าของห้องเลยว่าเสียงนั้นจะทำให้ใครต่อใครต้องตกออกตกใจกับเสียงนั้นหรือไม่ มือเรียวบางลงกรล็อกประตูห้องทันทีที่เข้ามาในห้องของตัวเองพร้อมกับเหวี่ยงกระเป๋าราคาเหยียบแสนที่ห่วงนักห่วงหนาของตนลงกับที่นอนอย่างไม่ใยดี ก่อนจะรีบพุ่งตัวตรงไปยังตู้เก็บแบบบิวท์อินติดพนัที่อยู่มุมห้องอย่างร้อนรน ควานหากุญแจที่ซ้อนเอาไว้แถวๆนั้นขึ้นมาไข ทันทีที่ประตูตู้ถูกเปิดออกก็เผยให้เห็นตู้นิรภัยสีเทาเงินขนาดเล็กที่ซ้อนตัวอยู่ด้านใน นิ้วเรียวบางบรรจงกดรหัสที่ตนจำได้ขึ้นใจเพื่อปลดล็อกตู้ให้เปิดออก

           ภาพกองเอกสารเก่าๆหลายฉบับที่วางทับกันอยู่ใต้กรอบรูปที่คว่ำหน้าและกองเงินสดอีกหลายปึกยังคงอยู่ในสภาพปกติไร้รองรอยการลื้อค้นหรือสูญหาย จมูกมนพ้นลมหายใจออกมาอย่างโล่งใจที่ของสำคัญยังอยู่ดี แต่ถึงอย่างงั้นมือเรียวสวยที่มีรอยเหี่ยวย่นกลับเอื้อมไปหยิบกรอบรูปนั้นขึ้นมาดูด้วยสีหน้ายากจะอ่านถูก มีเพียงรอยยิ้มเล็กๆที่มุมปากที่บอกได้ว่าเจ้าของร่างกายนี้ไม่ได้มีความอาลัยอาวรณ์คนที่จากไปในรูปนั้นเลยแม้แต่น้อย

           “ทุกอย่างที่ควรจะเป็นของฉันมันก็ต้องเป็นของฉัน คนอย่างฉันไม่มีวันล้มให้คนอย่างแกและไอ้เด็กเหลือขอนั้นจำเอาไว้ ..........”

............................................................................

              “คุณแม่ดูสิ น้องยิ้มให้เกรทด้วย”

           เด็กชายร้องออกมาอย่างตื่นเต้นดีใจ เมื่อน้องสาวตัวน้อยในอ้อมแขนของอาแก้วส่งยิ้มหวานมาให้เขาจนเรียกเสียงหัวเราะบ่นเอ็นดูกับความไร้เดียงสาของเด็กน้อยที่นั่งรอเวลาที่จะเจอน้องอย่างใจจดใจจ่อ

           หลังจากต้องอยู่ในตู้อบมานานถึงสามวันในที่สุดวันนี้คุณหมอพลอยรัมภาก็อนุญาตให้พยาบาลพาเด็กหญิงตัวน้องวัยแรกเกิดมาพบแม่และครอบครัวที่รอรับขวัญหลานสาวตัวเล็กกันอยู่คับห้อง ผิดกับคนที่ถูกสั่งห้ามไม่ให้เข้ามาด้านในอย่างหนุ่มฝรั่งเศสตาน้ำข้าวที่ได้แต่พยายามชะเง้อมองคนในห้องผ่านกระจกทรงผืนผ้าตั้งที่บางประตูอย่างเอาเป็นเอาตายจน ชายกับพลได้แต่ส่ายหน้าไปมาอย่างทำอะไรไม่ได้จำต้องปล่อยเลยตามเลยให้เด็กโข่งต่างชาติทำตัวไม่เข้ากับภาพลักษณ์ของพวกตนที่ต้องออกมายืนกันไม่ให้เจ้าหมอหนุ่มนี้เข้าไปในห้องก่อนจะได้รับอนุญาต

           “ไม่เข้าใจเลย ทำไมเกลลี่ถึงไม่ให้ผมเข้าไปละผมก็อยากจะดูหน้าน้องวีนัสเหมือนกันนะ”

           เสียงงุ้งงิ้งคล้ายเด็กโดนขัดใจที่ปีแอร์ทำออกมาไม่ได้ทำให้ทั้งคู่รู้สึกเอ็นดูหรือเห็นใจเลยสักนิดนอกจากคำว่า ทำไปได้....  แต่ก็ไม่มีใครพูดออกมาจนร่างโปร่งบางของใครอีกคนที่เข้ามาใหม่ยกถุงกระดาษสีน้ำตาลเข้มที่บรรจุตัวยาหลากหลายชนิดขึ้นหวดฝากเข้าที่หัวของตุ๊กแกยักษ์ตรงประตูเข้าอย่างจัง

           “โอ๊ย!!  ดาร์ลิงตีผมทำไม”

            ภาษาไทยสำเนียงแปลกๆดังขึ้นหลังโดนประทุษร้าย ก่อนจะเข้าไปออเซาะคนรักที่ตัวเองแอบปล่อยทิ้งเอาไว้ที่ห้องตรวจแล้วโดดมาเป็นตุ๊กแกอยู่หน้าห้องนี้แทนมันน่านัก

           ไรอันกรอกตาไปมาอย่างนึกเอื่อมกับการกระทำไม่รู้จักโตของปีแอร์ นี้ถ้าไม่ใช่เพราะพลที่ทนภาพประหลาดๆแบบนี้ไม่ไหวจนต้องให้ชายโทรไปหาบอกให้รีบเขามาล่ะก็ เขาไม่มีทางรู้เลยว่าไอ้พ่อของลูกที่บอกจะรออยู่ที่หน้าห้องไม่ไปมันจะแอบหนีเขามาดูหน้าคุณหนูก่อนอยู่นี้ไง......

           ไรอันมองหน้าปีแอร์อย่างนึกเคืองยิ่งช่วงนี้ระดับฮอร์โมนในร่างกายของเขาไม่ปกติด้วยแล้วทำให้เขาไม่ค่อยจะสบอารมณ์เท่าไรเวลามองหน้าคนรัก ไรอันสะบัดมือตุ๊กแกของปีแอร์ออกพร้อมกับเดินกระแทกไหล่เด็กโข่งนั้นแล้วเดินเปิดปรตูเข้าไปด้านในแทน

           “ไรอัน! ตรวจเสร็จแล้วหรอ นี้ๆมาดูลูกสาวฉันสิน่ารักใช่ไหมละ”

           เสียงเริงร่าของคุณพ่อมือใหม่จอมเห่อลูกร้องทักคนที่เข้ามาใหม่ ขณะที่ท่อนแขนหนากำลังโอบกอดห่อผ้าสีขาวอย่างถนอมตามวิธีที่พยาบาลสาวสอนให้เมื่อครู่ แต่สงสัยธารจะหมุนตัวเร็วไปสักหน่อยเลยโดนคุณแม่อย่างแก้วกล้าเอ็ดเอาจนหน้าเจือผิดกับลูกสาวที่มองหน้าคุณพ่อคนใหม่ตาใสแจ๋ว

            ไรอันอมยิ้มขำกับภาพตรงหน้าก่อนจะเดินเข้าไปดูหน้าเด็กหญิงตามแรงจูงของเกรทที่ออกอาการไม่ต่างจากคนเป็นลุงเท่าไรหรือว่าบ้านนี้อาการขี้เห่อจะส่งต่อตามสายเลือดกันจริงๆ แต่พอได้มาเห็นใบหน้าเล็กๆของทารกน้อยตัวแดงที่โผล่พ้นผ้าสีขาวออกมา ดวงตากลมโตสีดำสนิทและไรผมที่ขึ้นบางๆปากอมชมพูถึงจะยังดูไม่ออกว่าเหมือนใครแต่ความน่ารักน่าชังนี้กินขาดเลยไหนจะแก้มยุ้ยๆน่าหยิกน่ากัดนั้นอีก เขาก็ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมหมีควายตัวโตๆอย่างธารถึงได้หลงนักหลงหนาออกนอกหน้าแบบนี้

           “จะลองอุ้มดูหน่อยไหมครับ”

           ไรอันเงยหน้ามองแก้วกล้าที่ถามขึ้นเมื่อเห็นว่าอีกคนมองตามเด็กหญิงอารมณ์ดีอยู่นาน แต่อีกคนก็โบกมือปฏิเสธไปเนื่องจากว่าเจ้าตัวไม่กล้าที่จะอุ้มเด็กอ่อนขนาดนี้ ยิ่งตัวเล็กมากขนาดนี้ด้วยแล้วไรอันยิ่งไม่มั่นใจเท่าไรว่าจะอุ้มได้ดีเท่าคนเป็นแม่จริงๆหรือเปล่า แม้พยาบาลสาวที่ยืนอยู่ข้างเตียงจะบอกว่าจะสอนให้ก็เถอะ

           “งั้นผมขออุ้มน้องได้ไหมครับอาแก้ว”

           เมื่อมีคนปฏิเสธก็ต้องมีคนเข้ามาสวมรอยแทน เกรทที่เห็นว่านี้น่าจะเป็นโอกาสอันดีที่ตนจะได้อุ้มน้องเล็กๆจึงรีบเสนอตัว แต่ก็ถูกชิตรัตน์ปรามเอาไว้ก่อนเพราะกลัวว่าลูกชายตนจะยังรับน้ำหนักตัวของน้องไม่ไหวแล้วจะทำตกเอาเป็นเหตุให้เด็กชายพองแก้มอย่างไม่พอใจจนเกลที่มองอยู่ต้องอาสาจะเป็นคนอุ้มเด็กหญิงน้อยให้แทนเพื่อที่ว่าลูกชายของตนจะสามารถเข้ามาดูน้องได้ใกล้ชิดมากขึ้น ท่อนแขนเรียวยื่นออกไปรับวีนัสน้อยจากพี่ชายของตัวเองที่พยายามส่งเด็กน้อยมาให้เขาอย่างเก้ๆกังๆ

           “น้องวีนัสตัวเล็กมากเลยนะเนี่ย ดูสิครับพี่ชินตัวเล็กกว่าตาหนูตอนคลอดใหม่ๆอีก”

           ดวงตาสวยจ้องมองใบหน้าเล็กๆนั้นก่อนจะขยับท่าทางการอุ้มให้ถนัดขึ้นก่อนจะอดไม่ได้ที่จะเปรียบเทียบน้ำหนักตัวแรกเกิดของเด็กหญิงในอ้อมแขนกับโซ่ทองแสนสำคัญตรงหน้าเขาในตอนนี้ ถึงจะผ่านมาหลายปีแต่เขาไม่เคยลืมหรอกว่าวันแรกที่ได้พบกันที่ลูกชายของเขาตัวใหญ่และอ้วนท้วมสมบูรณ์มากขนาดไหน

           “นั้นสิ สงสัยงานนี้แก้วกับคุณธารต้องขุนยัยหนูเยอะๆแล้วละ” ชิตรัตน์ตอบอย่างเห็นด้วยขณะก้มมองเด็กน้อยในอ้อมแขนคนรักที่นั่งอยู่ข้างๆ

           “เห็นแล้วนึกถึงตาเกรทตอนนั้นเลย ร้องไห้ไม่หยุดเลยตอนหิวนมจนพยาบาลต้องรีบพามาส่ง วิ่งไปวิ่งมาตั้งหลายรอบ”

           เสียงพูดขำๆของคนเป็นพ่อที่พูดถึงลูกชายในระยะเผาขนทำเอาคนที่โดนนินทายู้ปากก่อนเดินหนีไปหลบซ้อนแก้มแดวๆที่หลังแขนของแม่แทน พร้อมคำร้องขอตามประสาเด็กอยาดได้อยากมีเหมือนคนอื่นที่ทำเอาคนเป็นพ่อเป็นแม่พูดไม่ออก

           “เกรทก็อยากมีน้องบ้างอะ คุณแม่มีน้องให้เกรทหน่อยได้ไหมครับ น่ะๆ”

           คนโดนขอร้องได้แต่มองลูกชายตาค้างอย่างไม่รู้จะพูดยังไง ครั้งจะหันไปหาคนรักให้ช่วยพูดก็ดูท่าคงไม่ได้ช่วยนอกจากส่งรอยยิ้มกรุ้ทกริ่มมาให้เขารู้สึกร้อนๆที่ใบหน้าหนักกว่าเดิมอีก

           “ก็ดีนะสิถ้าเกลลี่มีเบบี้อีกคน ต่อจากนี้ไปที่บ้านเราก็จะมีแต่เสียงเด็กร้องวุ่นวายเต็มไปหมดแถมเบบี้ของปีแอร์กับดาร์ลิงก็จะได้มีเพื่อนเล่นด้วยคงจะ Happy สุดไปเลย”

           เสียงของผู้ลักลอบเข้ามาในห้องแล้วแอบเนียนย้องเข้าไปยืนข้างๆสุดที่รักของตัวเองเอ่ยขึ้นอย่างตื่นเต้น ก่อนจะโดยศอกแหลมของไรอันกระทุ้งเข้าเต็มรักที่สีข้างจนร้องลั่น

           “แง แง อึก แง”

           แต่สงสัยเสียงของปีแอร์จะดังไปหน่อยเลยทำให้วีนัสสะดุ้งตกใจอย่างแรงจนอ้าปากกว้างร้องไห้เสียงดัง จนแก้วกล้าต้องรีบรับลูกสาวกลับมาแนบอกอีกครั้งเพื่อกอดปลอบ ส่วนเจ้าตัวต้นเหตุก็ต้องรับกรรมจากทั้งคุณพ่อขี้เห่อกับดาร์ลิงอารมณ์แปรปรวนของตัวเองหิ้วกลับบ้านทันทีพร้อมกับเกลที่เห็นว่าคงสมควรพวกเขาเองควรจะกลับบ้านเพื่อให้แก้วกล้าและลูกได้พักผ่อนหลังจากต้องอยู่รับแขกมานาน

................................................................................
           ช่วงนี้ชิตรัตน์กำลังวิ่งวุ่นกับบางสิ่งที่อยู่ตลอดเวลาเลยทำให้หลังจากที่กลับมาจากโรงพยาบาลแล้วชายหนุ่มก็ขอแยกตัวกลับไปทำงานของตนต่อ ซึ่งเกลก็ไม่ได้คิดติดใจอะไรอย่างที่อีกคนแอบเป็นกังวน

           เกลยืนส่งคนรักออกไปทำงานก่อนจะพาลูกชายที่นอนหลับหมดแรงอยู่ที่ห้องนั่งเล่นขึ้นไปบนห้องส่วนตัวของเจ้าตัวที่เขาให้คนจัดเตรียมไว้ให้  ถึงแม้เขาจะเดินเองได้บ้างแล้วก็ตามแต่การอุ้มลูกแล้วเดินไปด้วยนั้นสำหรับเขาแล้วถือว่ายังเป็นเรื่องที่ยากลำบากอยู่พอตัวทีเดียว ดังนั้นทางเลือกที่ดีที่สุดของเขาคือการกลับไปนั่งเจ้าวีลแชร์ไฟฟ้าตัวเดิมที่เขามักจะนั่งมันอยู่เป็นประจำเหมือนอย่างที่ทำอยู่ในตอนนี้

           เกลประคองหัวของลูกชายมาซบที่ไหล่ของตนดีๆก่อนหมุนปรับตัวควบคุมทิศทางที่ติดอยู่กับที่วางแขนให้ตรงไปยังลิฟต์ที่อยู่ด้านหลังบ้านเพื่อขึ้นไปยังห้องนอนของเกรทที่อยู่ชั้นสอง

           ห้องนอนของเกรทคือห้องที่อยู่ถัดไปอีกฝั่งหนึ่งของห้องนอนของเขา ห้องนอนสีขาวตามแบบนี้เด็กชายชอบ เกลค่อยๆบรรจงวางหัวกลมทุยของลูกชายคนเดียวลงกับหมอนใบโตอย่างเบามือเพื่อไม่ให้เด็กชายร้ององแงเพราะถูกกวนการนอนหลับ โดยไม่ลืมที่จะจูบเบาๆที่หน้าผากนูนโหนกอย่างรักใคร่

          เมี้ยว

          ตั้งแต่ที่เกรทย้านเข้ามาอยู่ที่บ้านหลังนี้อย่างเต็มตัว เน็ตตี้เองก็สถาปนาตนเองเป็นพี่เลี้ยงของเด็กชาย เพราะไม่ว่าเกรทจะไปนอนอยู่ที่ไหนของบ้านร่างกลมๆนุ่มนิ่มของมันก็จะตามมไปนอนซบอยู่ข้างๆไม่ยอมห่าง เหมือนกำลังเฝ้าพี่ชายตัวโตคนนี้แทนแม่ของมัน.....

            “ฝากเน็ตตี้ดูแลตาหนูของเกลด้วยนะ”

           กลีบปากบางเอ่ยฝากฝั่งลูกน้อยเบาๆพร้อมลูบหัวเล็กของเจ้าแมวตัวโปรดไปด้วยก่อนลุกเดินออกจากห้องไปหลังสิ้นเสียงขานรับจากองครักษ์ขนปุยที่จะคอยพิทักษ์การนอนหลับครั้งนี้ของเกรทแทนเขา

           แต่พอบานประตูห้องถูกเปิดออก เกลก็ต้องเอียงคอมองคนที่ยืนนิ่งอยู่ที่อีกด้านของฝั่งประตูอย่างสงสัย

           “มีอะไรหรือเปล่าครับ”  เสียงใสเอ่ยถามผู้ที่มายืนรออยู่หน้าห้องอย่าใคร่รู้

           “ลูกน้องผมนำเอกสารที่คุณเกลต้องการมาให้แล้วครับ”

           ความสงสัยในการมาของคนตรงหน้าเมื่อครู่แปรเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มพอใจเล็กๆที่มุมปากทันทีที่ได้ยินคำตอบจากปากของคนสนิทตรงหน้า เกลเหล่สายตามองลูกชายอยู่พักหนึ่งแล้วจึงบังคับวีลแชร์ของตนนำไปยังห้องทำงานของธาร
 
         
           หัวคิ้วสวยยิ่งทั้งสองข้างแทบจะผูกกันเป็นปมยามที่ดวงตาเรียวกวาดไล่อ่านเนื้อความในเอกสารที่ตนได้รับมาจากชาย  เกลอ่านและฟังมันซ้ำอยู่อย่างนั้นอย่างไม่อยากเชื่อสิ่งที่ปรากฏอยู่ตรงหน้า อย่างไม่อยากจะเชื่อแน่ว่าสิ่งที่ได้มาครั้งนี้จะเป็นเรื่องจริง

           “เราจะมั่นใจได้มากแค่ไหนว่าเอกสารพวกนี้เป็นของจริง””

           ด้วยเนื้อความในเอกสารและคลิปเสียงที่ได้มามันเป็นเหมือนสิ่งที่ไม่ใช่แค่ว่าจะจ้างนักสืบฝีมือดีสักคนสองคนมาจะได้สิ่งของพวกนี้มาอยู่ในมือได้ มันต้องเป็นคนที่อยู่ในเหตุการณ์นั้นด้วยต่างหากและนั้นแหละคือสิ่งที่เขาทำให้ไม่อยากจะเชื่อว่าเขาจะได้มันมาอยู่ในมือแบบนี้

           “เอกสารชุดนี้พลได้มาจากคนใน พี่รับรองว่าทุกเรื่องเป็นของจริง”

           ชายยืนยันสิ่งที่เพื่อนของตนได้รับมาเมื่อสามวันก่อน ตอนแรกพวกเขาก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าจะเป็นกลลวงหรือเปล่า แต่ในเมื่ออีกฝ่ายยืนยันแล้วท้าให้เขาพิสูจน์เรื่องนี้แล้ว พวกเขาก็พบว่ามันเป็นเรื่องจริงที่ยากจะสืบค้นได้แล้วยิ่งเอกสารอีกฉบับที่พวกเขาส่งไฟล์ไปให้ใครอีกคนด้วยแล้วมันยิ่งเป็นเรื่องที่คาดไม่ถึงและน้อยคนนักที่จะรู้เรื่องพววกนี้ได้

           “แถมเขายังบอกอีกว่าถ้าคุณต้องการหลักฐานอะไรเพิ่มเติมให้ติดต่อไปหาเขาได้เลย เขาพร้อมที่จะช่วยเราเต็มทีครับ”

           ถึงจะไม่เข้าใจจุดประสงค์ที่คนในของวิวัฒน์พงษ์มาช่วยเขาแบบนี้ก็เถอะ แต่ก็ต้องยอมรับว่ามันถือเป็นผลดีต่อทางเขาเป็นอย่างมากที่ได้ข้อมูลพวกนี้มาอยู่ในมือ

           “คุณเกลจะให้พวกพี่จัดการต่อเลยดีไหมครับ”       

           “ไม่ เราจะไม่เป็นคนลงมือเอง”

            ชายมองเจ้านายตัวน้อยตรงหน้าไม่เข้าใจเท่าไรนักในเมื่อหลักฐานทุกอย่างมาอยู่ในมือครบแบบนี้แล้ว เรื่องที่จะบีบให้คุณหญิงจนมุมก็ไม่ใช่เรื่องยากอะไรแล้วทำไมเจ้านายของเขาถึงได้เลือกที่จะไม่ทำอะไรแบบนี้

           “ส่งเอกสารทุกชุดที่เรามีไปให้ เขา แล้วเรามานั่งรอดูสิ่งที่จะเกิดขึ้นกันเถอะครับ”
 
........................................................
 
           คุณหญิงอักษรย่อฉ.ฉิ่งถูกปลดกลางอากาศ พร้อมหางโผล่ว่าเป็นบิ๊กใหญ่บริษัทคู่แข่งหวังฮุบสมบัติสามีและลอกงานลูกชายมานานหลายปี
 
           พาดหัวข่าวใหญ่ประจำวันในเข้าวันนี้ถือเป็นประเด็นเด็ดที่ร้อนแรงและเป็นที่สนใจบนโลกโซเชียวเป็นอย่างมาก ยิ่งเมื่อหลายวันก่อนที่มีคลิปหลุดของคุณหญิงที่หน้าโรงแรมนั้นออมาด้วยแล้วยิ่งเพิ่มระดับความน่าสนใจมาขึ้นเป็นเท่าตัวและไม่ใช่แค่หน้าหนังสือพิมพ์เท่านั้นที่เล่นข่าว ตามสื่อออนไลย์ต่างๆก็เริ่มมีการขุดคุ้ยเรื่องราวเบื่องลึกต่างๆออกมาประชันกันอย่างจนกลายเป็นกระแสที่มาแรงที่สุดในตอนนี้เลยกว่าได้

           “พี่ชินเป็นอะไรหรือเปล่าครับหน้าเครียดเชียว”

           มือข้างที่กำลังป้อนข้าวลูกชายอยู่นิ่งค้างกลางอากาศเมื่อหางตาสบเข้ากับสีหน้าที่ดูจะตึงเคลียดของคนรักที่อยู่หลังหน้ากระดาษหนังสือพิมพ์ที่เปิดกางค้างอยู่

            “ไม่มีอะไร พี่ขอตัวก่อนแล้วกัน”

           ชิตรัตน์ตอบปัดอย่างข่มอามรณ์หงุดหงิดก่อนจะพับเก็บหนังสือพิมพ์เจ้าปัญหาเหน็บไว้ที่ข้างแขนก่อนขอตัวออกมาท่ามกลางสีหน้าแปลกใจของสองแม่ลูกที่มองตามหลังเขาออกมา

           การที่ข่าวพวกนี้กระจากออกสู่สังคมเป็นวงกว้างแม้จะทำให้ใครต่อใครรู้จักโรงแรมของเขามากขึ้นอีกหลายเท่าตัวยังไง แต่มันก็ไม่ได้ส่งผลดีต่อภาพลักษณ์ของโรงแรมเลยแม้แต่น้อยกับการที่คนระดับผู้บริหารคิดคดทรยศต่อองค์กรของตัวเองแบบนี้แล้วมันมีแต่เสียกับเสีย............

           ยิ่งกองทัพนักข่าวจำนวนมากที่พร้อมใจรักสามัคคีกันมาจับกลุ่มนั่งรอเขาอยู่ที่หน้าโรงแรมเต็มไปหมด จนเขาต้องต่อสายตรงเข้าไปหาผู้จัดการโรงแรมให้ส่งคนมาเชิญพวกนักข่าวเข้าไปรวมตัวกันในห้องรับรองห้องหนึ่งแทนเพื่อไม่ให้นักข่างเหล่านั้นส่งเสียงเป็นการรบกวนแขกคนอื่นที่มาพักจนอาจส่งผลเสียต่อชื่อเสียงของโรงแรมมากขึ้นไปอีกและอาจก่อให้เกิดความวุ่นวายขนาดย่อมขึ้นมาได้

           “ท่านประธานค่ะ เราจะเอายังไงต่อดีคะ”

           ฤดีมาสที่กำลังดูแลพนักงานอยู่นั้นหันมาเห็นเจ้านายหนุ่มของตนเองที่กำลังเดินข้ามาพอดีก็รีบวิ่งตรงเข้ามาหาชายหนุ่มด้วยท่าทีร้อนใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น แม้ว่าตนจะแก้ไขเฉพาะหน้ามาที่ได้รับคำสั่งมาบ้างแล้วแต่เหนืออื่นใดทุกอย่างก็ต้องผ่านการตัดสินใจของคนที่เป็นใหญ่ที่สุดในที่นี้อย่างชิตรัตน์

           ประธานหนุ่มยืนนิ่งมองความวุ่นวายที่เกิดขึ้นภายในห้องรับรองที่เขาสั่งให้คนเปิดเพื่อกักตัวเหล่านักข่าวเพื่อไม่ให้ออกไปก่อความวุ่นวายให้กับแขกของทางโรงแรมจนเหมือนการเป็นชุมนุมขนาดย่อมของคนกลุ่มหนึ่ง

           “เดี๋ยวรบกวนคุณฤดีมาสสั่งคนให้เอาเก้าอี้และของว่างมาให้พวกนักข่าวด้วยบอกว่าอีกหนึ่งชั่วโมงผมจะจัดแถลงข่าว และส่งคนไปกำชับกับฝ่ายรักษาความปลอดภัยด้วยว่าห้ามคนของเราออกจากโรงแรมหรือตัวออฟฟิตเด็ดขาดถ้าเจอใครที่น่าสงสัยให้รีบเข้าประชิดตัวทันที”           เขาออกคำสั่งอย่างใจเย็น

           “ชาติเอกสารที่นายได้มาเอามาให้ฉันดูหน่อย”

           เพราะคิดอยู่แล้วว่ายังไงคุณหญิงก็คงจะเล่นไม่ซื่อกับเขาแต่เขาเองก็ไม่คิดไม่ถึงเหมือนกันว่าอีกคนจะทำเขาได้เจ็บแสบถึงใจได้ขนาดนี้ และในเมื่อเขาคิดจะเก็บกวาดสิ่งสกปรกในบริษัทให้หมดไปแล้วเขาก็ต้องเตรียมทุกอย่างให้พร้อม

           เอกสารสองชุดที่ชาติได้รับมาจากบุคคลปริศนาที่อยู่ๆก็บุกเข้ามาหาเขาถึงในห้องยามวิกาลถูกส่งให้เจ้านายของตนเองรับเอาไป

           ชิตรัตน์มองซองเอกสารนั้นมาก่อนจะเดินนำชาติไปที่ห้องรับรองส่วนตัวด้านหลังเพื่ออ่านเอกสารโดยไม่รู้เลยว่าข้อความในนั้นจะกลายเป็นเหมือนดาบเล่มยาวที่แทงทะลุผ่านหลังของเขาเข้ามาจนแทบกระอักเลือดตายจากน้ำมือคนที่เขาไว้ใจรักและเคารพมากที่สุด จากคนที่เขาเรียกขานด้วยรักมาตั้งแต่เด็ก คนที่เขาเรียกว่า แม่.......................

____________________________________________________________________

อ้ายยยยย !!
ตอนแรกว่าจะมาลงให้เมื่อวานเสาร์แต่กว่าจะกลับก็ข้ามวันแบ้ว เลยมาลงให้ตอนนี้แทน
อย่าว่ากันเนอะ
อีกไม่กี่ตอนก็จะจบแล้ว จะมาลงให้ยาวๆที่เดียวยันจบเบย

ขอบคุณที่ติดตามนะคะ

ออฟไลน์ Jibbubu

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3385
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-6
อยากเห็นพี่ชินโต้งกลับคุณหญิงกลับไปเร็วจริง แล้วเอกสารที่ได้รับมีอะไรกันแน่ที่จะทำให้พี่ชินต้องเจ็บจนกระอักกันแน่

ออฟไลน์ wavery

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 124
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-2

ฝนหยดที่ 27



     แสงจากแฟลชสีขาวสว่างวูบวาบขึ้นมาทันทีที่สองเท้าของชิตรัตน์ก้าวเข้ามาในห้องจัดแถลงข่าวจนต้องหันหนีด้วยความแสบตา ก่อนจะย่ำก้าวอย่างมั่นคงนำสองตัวแทนผู้บริหารระดับสูงสองคนที่สามารถเรียกตัวเขามาร่วมงานได้ในเวลาอันจำกัดตรงไปยังด้านหน้าของห้องรับรองที่มีการจัดวางโต๊ะตัวยาวที่ปูผ้าสีขาวสะอาดตารอรับเอาไว้สำหรับการแถลงข่าวที่ถูกจัดขึ้นอย่างฉุกละหุก

           ก่อนเริ่มการกล่าวใดๆ ชิตรัตน์กวาดสายตามอมรอบห้องอย่างพิจารณากลุ่มนักข่าวรวมถึงช่างภาพที่อยู่ตรงหน้าหากกะจากสายตาแล้วน่าจะอยู่ที่ประมาณสามสิบคนได้  ส่วนพนักงานบริการของเขาที่กระจายตัวอยู่ตามจุดและฝ่ายรักษาความปลอดภัยทุกอย่างเป็นไปตามมาร์คที่วางไว้แต่หางตาของเขากลับไปสะดุดเข้ากับชายชาวต่างชาติคนหนึ่งที่นั่งประปนอยู่ในกลุ่มนักข่าวตอนแรกเขาก็คิดว่าคงจะเป็นนักข่าวทั่วๆไปเขาจึงไม่ได้สนใจอะไรมาแต่สิ่งที่ทำให้เขาต้องหันกลับมามองผู้ชายคนนี้ใหม่อีกครั้งก็คือแว่นเลนส์ดำแบรนด์หรูที่ถูกสวมบดบังดวงตาของคนข้างล่างที่ราคาสูงเกินกว่านักข่าวทั่วไปจะมีไว้ครอบครองได้ แล้วผู้ชายคนนี้เป็นใครแล้วเข้ามาอยู่ในห้องนี้ได้ยังไง...............

           แต่เขาคงต้องสลัดความสนใจจากหนุ่มต่างชาติปริศนาคนนี้ไปก่อนเพื่อที่จะได้ให้ความสำคัญกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้าได้อย่างเต็มที่ ชิตรัตน์สูดหายใจเข้าปอดอึกใหญ่เพื่อเรียกสติของตนก่อนเอ่ยคำทักทายแขกที่มา

           “ก่อนอื่นผมคงต้องขอกล่าวคำว่าสวัสดีนักข่าวทุกท่านที่สละเวลามาที่นี้ในวันนี้ และผมก็ต้องขอโทษด้วยที่ต้องให้รอนาน”

           “ผมรู้ดีว่าการมาในครั้งนี้ของพวกคุณทุกคนคืออะไร และทางผมยินดีที่จะตอบทุกคำถามของพวกคุณตราบเท่าที่คำถามนั้นไม่กระทบต่อความมั่นคงและความน่าเชื่อถือของโรงแรมร่วมถึงบริษัทในเครือของผม”

           สิ้นสัญญาณอันเป็นการเปิดโอกาสให้พวกเขาได้แสวงหาข่าว เสียงอึกกระทึกครึกโครมแย่งกันถามก็ดังขึ้นเหมือนผึ้งแตกรังจนจับใจความไม่ได้  จนชิตรัตน์ต้องพูดอีกครั้งให้ยกมือถามทีละคนโดยเริ่มจากนักข่าวหญิงคนหนึ่งที่นั่งอยู่ด้านหน้าสุดให้เป็นผู้เริ่มก่อน

           “จากหัวข้อข่าวที่ขึ้นหน้าหนึ่งของหนังสือพิมพ์ทุกฉบับในวันนี้” หล่อนว่าพร้อมหยิบหนังสือพิมพ์ในกระเป๋าข้างกายขึ้นมาประกอบ  “พวกดิฉันอยากได้คำตอบของเนื้อหาข่าวว่าแท้จริงแล้วเป็นเช่นไรกันแน่คะ”

           คำถามที่ได้จากนักข่าวหญิงตรงหน้าไม่ได้เหนือความคาดหมายของตนเท่าไรนัก แต่กลับสร้างความฉงนให้กับเขาเสียมากกว่าที่ทางนั้นกลับมาย้อนถามเขาทั้งที่ตีข่าวลงเรียบร้อยซึ่งก็น่าจะมีข้อมูลที่มีมูลมากพอ แต่ทำไมถึงกลับมาย้อนถามเขา

           “ทำไมคุณถึงได้ถามคำถามที่คุณได้ลงข่าวไปแล้วละครับ”

           เมื่อเช้าตอนที่ได้อ่านข่าวเขายกตกใจเลยที่เรื่องการปลดคุณหญิงออกจากตำแหน่งที่ดำรงอยู่ รั่วไหลออกไปนอกห้องประชุมทั้งๆที่เขาเองก็ย้ำกับทุกคนที่อยู่ในห้องแล้วว่าอย่างเพิ่งให้เรื่องนี้รู้ถึงหูคนภายนอกโดยเฉพาะนักข่าว เลยทำให้เขาอดที่จะถามกลับไปไม่ได้ว่าในเมื่อนักข่าวลงข่าวนั้นกับแทบทุกฉบับอยู่แล้ว แล้วทำไมถึงยังมาถามในสิ่งที่ตัวเองรู้อยู่แล้วด้วย

           “เพราะเอกสารฉบับนี้ครับ”   นักข่าวผู้ชายที่นั่งอยู่แถวกลางๆที่ลุกขึ้นมาพูดพร้อมเอกสารบางอย่างในมือ

           “พวกเราได้รับเอกสารที่เหมือนกันฉบับนี้ถูกส่งมาให้พร้อมกับระบุว่าให้ลงข่าวเรื่องนี้ในฉบับเช้าวันนี้ครับ”

           ชาติที่รู้หน้าที่ของตนดีก็ออกเดินไปหาชายคนนั้นเพื่อขอตรวจดูเอกสารในมือโดยไม่รอให้ผู้เป็นนายสั่ง โดยขณะที่ชาติเดินไปนั้นเสียงพูดคุยกันของเหล่านักข่าวที่นั่งอยู่รอบข้างต่างก็กันมาซุบซิบกันว่าตนก็ได้เอกสารฉบับนี้เหมือนกันและพอลองเอามาเปรียบเทียบกันแล้วเนื้อหาในเอกสารที่ทุกคนได้รับนั้นต่างมีเนื้อความที่ชี้ไปยังทิศทางเดียวกันทั้งสิ้นจนชาติรู้สึกไม่ดีของที่มาของเอกสารพวกนี้จึงรีบนำไปยื่นให้เจ้านาย

           ชิตรัตน์รับเอกสารเจ้าปัญหาดังกล่าวมาเปิดซองดูก่อนที่หัวคิ้วเข้มจะขมวดแน่นกันแน่นจนกดต่ำเรียกสายตาจากผู้คนที่อยู่ในห้องและสองผู้บริหารระดับสูงที่นั่งขนาบข้างอยู่ให้มองหน้ากันก่อนจะเสียมารยาก้มมองสิ่งที่อยู่ในมือของประธานใหญ่

           ข้อความที่ปรากฏต่อสายตาคือเอกสารที่แสดงถึงการจัดตั้งบริษัทอสังหาริมทรัพย์แห่งหนึ่งที่มีการปิดบังรายชื่อบริษัทเอาไว้หากมองคร่าวๆก็คงไม่น่าแปลกอะไรแต่เพราะเอกสารแนบท้ายที่ระบุรายชื่อผู้ถือหุ้นว่ามีใครมั่งพร้อมจำนวนหุ้นในบริษัท ชื่อของคุณหญิงโฉมฉวีคืออันดับหนึ่งของผู้ถือหุ้นใหญ่ที่ถึงจะมีการปกปิดรายชื่อผู้ถือหุ้นบางคนเอาไว้แต่ข้อความในเอกสารกับระบุเนื้อหาไว้อย่างชัดเจนถึงแห่งที่มาต่างๆ รวมทั้งแผนงานที่ไม่ว่าจะมองยังไงมันก็เหมือนกับแผนงานของทางบริษัทเขาที่กว่าจะได้แผนงานมาซักแผนลูกน้องเขาแต่ละคนต้องอดตาหลับขับตานอนกันตั้งกี่คืนไหนจะแผนงานที่เคยใช้เสนอผู้ลงทุนบางรายยังคล้ายกับของเขาอีกแบบนี้มันชุบมือเปิดกันนิ

           ดวงตาคมฉายชัดถึงความไม่พอใจอย่างปิดไม่อยู่ จนหน้าสุดท้ายของเอกสารอันเป็นรายละเอียดการประชุมในวันนั้นที่มีการปลดคุณหญิงออกจากตำแหน่งอีกทั้งยังมีข้อมูลการกระทำความผิดแบบเดียวกับที่เขามีอยู่ในมือด้วย

           “ถ้าคุณชิตรัตน์จะถามว่าใครเป็นคนส่งมาให้พวกเราคงตอบได้แค่ว่าพวกเราไม่รู้ เรารู้กันแค่ว่าอยู่ดีๆก็มีคนนำเอกสารฉบับนี้มาวางไว้ที่สำนักพิมพ์ของพวกเราเท่านั้น”

           นักข่าวชายคนเดิมเป็นคนตอบคำถามที่แม้ชิตรัตน์จะไม่พูดถามแต่สายตาที่ส่งมาให้ทำไมคนที่ทำงานในกับคนมากมายอย่างเขาจะไม่รู้ว่าอีกคนต้องการถามอะไร

           “ครับ เอกสารที่พวกคุณได้มาในเรื่องของการปดคุณหญิงโฉมฉวีออกจากตำแหน่งผมขอยอมรับว่าเป็นจริงส่วนเหตุผลนั้นก็ตามที่เอกสารได้ระบุไว้”

           ชิตรัตน์ตอน ก่อนจะเป็นหน้าที่ของสองผู้บริหารที่อยู่ร่วมประชุมกับเขาในวันนั้นเป็นคนอธิบายเรื่องราว รวมทั้งแสดงความคิดเห็นส่วนตัวประกอบในเรื่องของการแอบทำการลับหลังของคุณหญิงที่ไม่ต่างอะไรกับการลักลอบกระทำการอันเป็นผลเสียแก่หน่วยงานที่สังกัดอยู่
           “แล้วเรื่องนี้จะส่งผลต่อความสัมพันธ์ภายในครอบครัวของพวกคุณด้วยหรือเปล่าคะ”  คำถามที่คล้ายจี้ใจคนฟังอย่างชิตรัตน์เป็นอย่างมาก แต่ก็ทำได้แค่ตีหน้านิ่งตอบคำถามตามจริงเท่านั้น
           “เรื่องนี้ถือเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนเป็นอย่างมาก ผมจะไม่ขอตอบแล้วกันนะครับ”
           “แล้วอย่างนี้คุณมีวิธีการจัดการยังไงคะ ไม่กลัวว่าสิ่งที่ทำไปจะทำให้คนอื่นมองว่าคุณอกตัญญูต่อบุพการีหรือคะ”  คำถามนี้น่าจะเป็นในเรื่องของการที่เขาทำการปลดคุณหญิงออก

            “ผมยอมให้ทุกคนมองว่าผมอกตัญญูต่อคนที่เลี้ยงผมมา แต่ผมคงไม่ยอมปล่อยให้คนทำผิดลอยนวลต่อไปได้ต่อให้คนคนนั้นจะเป็นใครก็ตาม”

           ถามว่าตอนนั้นที่ทำเขาเสียใจไหมนั้นก็คงตอบว่าเสียใจ แต่เพราะเรื่องนี้ถือว่าใหญ่ใช้ได้ ไหนจะพฤติกรรมที่คุณหญิงแสดงออกมาอีกเขายอมรับว่าเขาเองก็ทนต่อสิ่งที่คุณหญิงทำไว้ไม่ไหวจริงๆ

           “มีข่าวว่าสิ่งเป็นต้นเหตุสำคัญที่ทำให้คุณสั่งปลดคุณหญิงจริงๆแล้วเป็นเพราะคุณไนติงเกลคนรักของคุณที่โดนคุณหญิงทำร้ายในวันครบรอบของโรงแรมไม่ทราบว่าเป็นเรื่องจริงหรือไม่คะ”

            ไม่ใช่แค่เขาหรอกที่มองนักข่าวคนที่ถาม หนุ่มต่างชาติคนนั้นก็เช่นกันที่เหมือนจะทำตัวลอบชายสบายอารมณ์กับการแถลงข่าวมาตั้งแต่เริ่มแต่พอชื่อของเกลกลายมาเป็นหัวข้อคำถามแล้วผู้ชายคนนั้นถึงกับหันขวับไปมองทันที และอาการเช่นนั้นมันก็ยิ่งกระตุ้นความสงสัยในตัวตนของอีกฝ่ายในความคิดของเขาเป็นอย่างมาก

            “ผมขอให้มีการแยกประเด็นนะครับ เพราะวันนั้นคุณไนติงเกลมาในฐานะน้องชายของคุณโจนาธานผู้ร่วมหุ้นคนใหม่ของบริษัทผมจึงถือว่าเกลมาในฐานะแขกและคู่ค้าคนสำคัญที่ให้เกียรติ์มาร่วมในงานวันนั้น  ส่วนคุณหญิงเองที่ดำรงตำแหน่งเป็นถึงผู้บริหารระดับสูงในขณะนั้นก็หมายถึงว่าคุณหญิงคือพนักงานคนหนึ่งของที่นี้ มีหน้าที่สำคัญในการขับเคลื่อนให้โรงแรมก้าวหน้าและการที่คุณหญิงโฉมฉวีทำพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมในวันนั้นต่อแขกสำคัญย่อมถือเป็นเรื่องที่ไม่น่าให้อภัยเพราะมันจะส่งผลต่อความน่าเชื่อถือของโรงแรมโดยตรงซึ่งทางเราได้มีการกล่าวตักเตือนคุณหญิงในเรื่องนี้ไปแล้วจึงไม่ของนำมารวมกัน ซึ่งมันก็ประจวบเหมาะกับการที่เราพบถึงความผิดของคุณหญิงที่ส่งผลต่อบริษัทเป็นอย่างมากทางเราจึงขอปลดคุณหญิงออกก็เท่านั้นครับ”

           ชิตรัตน์อธิบายแตกความเป็นประเด็นให้นักข่าวเข้าใจ ถึงแม้ว่าเรื่องการโกงที่ดินนั้นเขาจะทำเป็นปิดหูปิดตามาสักพักแล้วแต่เมื่อเขาได้เอกสารสำคัญมาไว้ในมือครบถ้วนแล้วและคิดว่าอีกไม่นานเรื่องคงจะต้องแดงออกมาเขาจึงต้องรีบชิ่งลงมือจัดการมันเสียก่อนที่เรื่องที่รั่วไหลออกไปเองแล้วส่งผลภาพลักษณ์ความน่าเชื่อถือที่มีจะหมดลง

           “แล้วคุณชิตรัตน์จะดำเนินการทางกฎหมายกับคุณหญิงหรือไม่ครับ”

           “แน่นอนอยู่แล้วครับ ตอนที่ทางเราได้เจรจากับทางฝ่ายกฎหมาย................................”

            และอีกสารพัดคำถามที่ถูกถามออกมาจนเขาเองยังตอบไม่ไหวโชคดีที่ได้เอกสารจากชาติเป็นหลักในการตอบ  ไหนจะผู้บริหารทั้งสองที่มาช่วยสนับสนุนในครั้งนี้ด้วย แต่กว่าจะตอบคำถามได้แต่ละข้อก็เล่นเอาเขาแทบลงไปกองกับพื้นความผิดของคุณหญิงมีมากมายจนเขาไม่รู้จะตอบตรงไหน อะไรที่เขาพอจะเลี่ยงตอบได้ก็เลี่ยงไปจนเวลาล้วงเข้าเกือบสองชั่วโมงคำถามต่างๆเริ่มลดลงจนเขาคิดว่าคงได้เวลาอันสมควรที่จะยุติการตอบคำถามนี้เสียที แต่ก็เหมือนว่าฟ้าเบื้องบนจะไม่เข้าใจถึงความหนังหน่วงในใจของเขาถึงได้หาเรื่องมาให้เขาปวดหัวเพิ่มขึ้นอีก เมื่อจู่ๆคนที่นั่งเงียบมาตลอดตั้งแต่เริ่มแถลงข่าวก็ยืนขึ้นเอามือล้วงกระเป๋ากางเกงพร้อมกับถามคำถามที่เขาเองยังไม่เข้าใจ

           “คุณคิดว่าคุณหญิงโฉมฉวีมีส่วนเกี่ยวข้องกับการตายของคุณวาดฟ้าด้วยไหมครับ”

           สิ้นเสียงพูดความเงียบและความสงสัยเข้าปกคลุมพื้นที่ในห้องทันทีโดยเฉพาะคนที่นั่งอยู่ตรงกลางเวทีอย่างชิตรัตน์ที่อดไม่ได้ที่จะหรี่สายตามองชายหนุ่มชาวต่างชาติตรงหน้าที่ดูอายุมากกว่าตนยิ่งพิจารณาจากส่วนสูงที่เกินมาตรฐานคนเอเชียแล้วเป็นไปไม่ได้ที่อีกคนจะมีเชื้อสายไทยหรือบางที่อาจเป็นเพราะการเรียนรู้กันที่ทำให้ผู้ชายคนนั้นพูดไทยได้ชัดมากเช่นนี้

            “ทำไมคุณถึงถามคำถามนี้”

            หนึ่งในผู้บริหารที่นั่งขนาบข้างชิตรัตน์ลุกขึ้นถามอย่างตกใจกับสิ่งที่เขาเองก็ไม่คาดคิดว่าจะได้ยินใครถามเรื่องนี้ขึ้นมาโดยเฉพาะคนหนุ่มที่ไม่น่าจะเกิดทันเรื่องนี้ 

            “ผมก็แค่ถามเพราะคิดว่ามันน่าสนใจ”

           เสียงพูดสบายๆของคนตรงหน้ากระตุ้นความอยากรู้ของเหล่านักข่าวเป็นอย่างดีแต่เพราะเรื่องที่เกรินนำมานั้นมีมานานจนบางคนในนี้อาจยังไม่ทันเกิดด้วยซ้ำทำให้ไม่มีใครถามถึงเรื่องนี้ออกมา ได้แต่แอบซุบซิบกันเองและรอฟังการสนทนานี้แทน

           “ทางเราจะตอบเฉพาะเรื่องที่เป็นหัวข้อหลังของงานวันนี้เท่านั้น ต้องขอโทษด้วย” ผู้บริหารคนเดินเป็นฝ่ายตอบกลับชายหนุ่มปริศนาที่ดูจะไม่ยี่หระเท่าไรแม้ว่าคำถามของตนเองจะไม่ได้รับคำตอบตามที่ต้องการ

           “อ่า อย่างนั้นเหรอครับ”

           รอยยิ้มถูกแจกจ่ายให้ทุกคนในห้องแต่ไม่ใช่กับชิตรัตน์ที่พอชายแปลกหน้าคนนั้นหันมารอยยิ้มเจ้าเสน่ห์ที่ทุกคนได้กลับแปลเปลี่ยนเป็นเป็นรอยยิ้มเสยะอย่างคนที่กำลังเจอเรื่องสนุกอยู่ตรงหน้า

           “ถ้าไม่มีอะไรแล้วผมขอจบการแถลงข่าวในวันนี้หากมีอะไรเพิ่มเติมทางเราสัญญาว่าจะบอกให้ทราบทุกเรื่องแน่นอนครับ”

            ชิตรัตน์รีบกล่าวตัดจบการสนทนาครั้งนี้โดยไม่รอช้าแล้วออกจากห้องไปทางหลังเวทีโดยมีการ์ดคอยกันนักข่าวที่จะเข้ามาถามเรื่องคดีของวาดฟ้า ซึ่งต่อให้มีนักข่าวหลุดออกมาถามเขาได้จริงๆเขาก็คงไม่มีคำตอบสำหรับคำถามนี้ให้เช่นกัน

           ชายหนุ่มตีหน้าเครียดหนักขึ้นเมื่อเข้ามายังเขตพื้นที่ส่วนตัวอย่างห้องประชุมเล็กที่ถูกสั่งเปิดขึ้นเพื่อใช่พูดคุยถึงสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้นในห้องแถลงข่าว

           “ทำไมเจ้าหนุ่มนั้นถึงได้พูดถึงเรื่องของคุณฟ้าขึ้นมา”   ผู้อาวุโสที่สุดในห้องเอ่ยทำลายความอึดอัดในห้องขึ้นมา

           “แต่เรื่องนี้มันก็นานแล้วนะ จะเกี่ยวกับคุณหญิงจริงหรือเปล่าก็ไม่รู้แถมคดีก็หมดอายุความไปแล้วอีก” คนที่อายุไม่ต่างกันมาเอ่ยเสริม

            “หรือว่าแค่พูดเพื่อปั่นเรื่องให้คุณหญิงเพิ่มครับ”

           ชาติลองเสนอความคิดขึ้นบ้าง ซึ่งสองผู้บริหารอาวุโสเองก็แสดงท่าทางเห็นด้วยอย่างชัดเจน  ผิดกับชิตรัตน์ที่นั่งเงียบรอฟังการสนทนานี้ไม่พูดจาอะไรอย่างหลังโต๊ะใหญ่อย่างใช้ความคิด บางทีเรื่องนี้มันก็ซับซ้อนเกินไปเกินจนเขาไม่แน่ใจว่าประเด็นสำคัญของเรื่องมันอยู่ตรงไหนและเขาเองจะสามารถทนให้เรื่องนี้มันไปจนถึงตอนสุดท้ายได้หรือเปล่า ในเมื่อยังมีความจริงอีกอย่างที่อยู่หลังฉากจากสิ่งที่เขาได้รู้มาจนเสียงร้องบางอย่างในใจกรีดร้องว่าเขาจะไม่สามารถทนกับสิ่งที่จะได้รับรู้

           “ใครจะคิดกันว่าเรื่องวุ่นวายที่เริ่มต้นจากจุดเล็กๆที่คล้ายจะไม่มีอะไรมากมายแต่กลับขยายวงกว้างจนน่าตกใจ” 

.......................................................................
 
           “...คุณชิน...คุณชิตรัตน์... คุณชินครับ!!”

           เสียงเรียกของชาติที่ดังเข้ามาในโสตประสาทปลุกให้เจ้าของชื่อที่ตกอยู่ในห้วงของความคิดของตนเองสะดุ้งหลุดจากภวังค์ให้หันมามองคนเรียกที่ทำหน้าตาตื่นอยู่ข้างกายพร้อมด้วยสองผู้บริหารอาวุโสที่ส่งสายตาเป็นห่วงมาให้อยู่ไม่ไกล

           “คุณชินไหวหรือเปล่าครับกลับไปพักที่บ้านก่อนดีไหม”

            ชาติเสนอเมื่อมองดูที่มีความอ่อนล้าแสดงออกมาผ่านดวงตาให้ได้เห็นแม้เพียงน้อยนิด แต่ก็ไม่อาจพ้นสายตาของเขาที่เป็นคนใกล้ชิดไปได้ ไหนจะอาการเหม่อลอยเมื่อครู่อีกมันยิ่งตอกย้ำว่าเจ้านายของเขาควรจะได้รับการพักผ่อนจากเรื่องที่ดูจะหนักเกินไปนี้ด้วย

           “ฉันไม่เป็นไร เมื่อกี้คุยกันไปถึงไหนแล้วนะผมไม่ได้ฟัง”ชิตรัตน์ส่วยหน้าเบาๆก่อนหันกลับไปทวนคำพูดที่เมื่อครู่ตนไม่ได้ฟัง แล้วรับเอาแก้วน้ำเย็นจากคนหนึ่งในผู้บริหารที่ส่งมาให้อย่างเป็นห่วง

           “ผมว่าคุณควรกลับไปพักก่อนดีกว่านะ วันนี้คุณเจอเรื่องหนักๆมามากพอแล้วเดี๋ยวทางนี้พวกผมจะรับหน้าแทนให้ก่อนแล้ว”

           “แต่...”

             ถึงจะรู้ว่าคนเหล่านี้เป็นห่วงเขามากแต่เขาเองก็อยากที่จะอยู่เคลียร์ปัญหาเหล่านี้ด้วยตัวของเขาเอง ในเมื่อต้นสายของเรื่องวุ่นวายที่เกิดขึ้นคือ แม่ ของเขา เขาที่เอยู่ในฐานะลูกก็คงต้องมีหน้าที่จัดการปัญหาที่แม่ของเขาก่อขึ้น หากแต่ความคิดของชิตรัตน์นั้นดูจะเป็นสิ่งที่ไม่เข้าท่ามากที่สุดในสายตาคนที่ผ่านโลกมานานอย่างสองผู้บริหารอาวุโสทั้งสองที่มันมือชกชายหนุ่มรุ่นลูกให้เก็บของที่นำมาทั้งหมดลงกระเป๋าพร้อมเดินขนาบข้างมาส่งอีกคนถึงประตูรถโดยไม่ลืมกำชับชาติให้ดูแลและให้ชิตรัตน์พักผ่อนให้ได้ และยังอยู่รอจนชาติขับรถยนต์พาชิตรัตน์ออกไปจนพ้นเขตโรงแรมเสียก่อนทั้งคู่จึงจะเดินกลับเข้าไปข้างในอีกครั้งเพื่อสั่งการกับเหล่าพนักงานถึงการเตรียมรับมือกับเหตุการณ์ที่จะนำพาความยุ่งยากมาในไม่ช้า โดยไม่ทันได้สังเกตเลยว่าฉนวนเหตุความวุ่นวายในห้องแถลงข่าวในครั้งสุดท้ายเมื่อครู่นี้นั้นจะยังคงนั่งจิบน้ำชาอังกฤษยี่ห้อดังอย่างสบายใจอยู่ที่ห้องอาหารของโรงแรมพร้อมนั่งมองผู้คนวิ่งวุ่นหัวปั่นกันสนุกสนาน
 
           // ดูมีความสุขจังเลยนะครับ//

           เสียงใสที่ดังออกมาจากจอภาพที่ปรากฏใบหน้าของคนคุ้นเคยบนหน้าจอสี่เหรียมขนาดสิบสองนิ้วที่ตั้งตระหง่านนอยู่บนโต๊ะตรงหน้าดังออกมาเรียกความสนใจจากชายต่างชาติที่กำลังขบขันกับสิ่งที่อยู่นอกห้องอาหารให้กลับมาสนใจคู่สนทนาตรงหน้า

           “แหม่ ก็คนมันมีความสุขนี้ก็ต้องยิ้มสิครับ” หนุ่มอารมณ์ดีตอบกลับคนบนจอภาพพร้อมยกชาอังกฤษรสนุ่มลิ้นขึ้นจิบช้าๆอย่างบายอารมณ์

           // ความสุขที่ได้เห็นคนอื่นเดือนร้อนนี้มันไม่ค่อยจะดีเท่าไรนะครับ //  มุมปากบางใต้ไร้หนวดอ่อนๆยกยิ้มชอบใจไม่ถือโทษกับคำจิกกัดเล็กน้อยของใครอีกคน ออกจะดูเป็นเรื่องน่าขบขันสำหรับเจ้าตัวเสียด้วยซ้ำไป

           “หึ ว่าแต่คนอื่น ตัวเองก็ชอบไม่ใช่หรือยังไง นี้อย่าคิดว่าไม่รู้นะว่าตอนนี้กำลังคิดอะไรอยู่” ยิ่งเห็นรอยยิ้มของอีกคนผ่านจอภาพหนุ่มต่างชาติก็ยิ่งมั่นใจในความคิดที่อยู่ในหัวของตน

           // ก็ไม่ได้เถียงนี้ครับว่าไม่ชอบ //

           “ถึงได้บอกไงว่าไม่มีใครรู้ใจเธอได้เท่าฉันอีกแล้ว My dear”   ริมฝีปากบางสีสดของคนฟังคลี่ยิ้มชอบใจกับสรรพนามที่ถูกเรียกของมาเช่นเดียวกับคนพูดที่มองหน้าเขาด้วยสายตาเปี่ยมรัก

           ทั้งคู่พูดคุยกันอีกสักพักหนึ่งก่อนจะเป็นคนสวยในจอภาพที่เป็นฝ่ายบอกลาหนุ่มต่างชาติเสียจบการสนทนา แต่เพราะคำพูดสุดท้ายของอีกคนที่ฉุดรั้งเขาเอาไว้ด้วยปริศนาบางอย่างก่อนจะเป็นฝ่ายชิงลงมือจบการสนทนานี้เสียเอง

           แม้ภาพคู่สนทนาจะหายไปแล้วแต่ดวงตากลมสีน้ำตาลสกาวยังคงจ้องมองเครื่องมือสื่อสารในมืออย่างไม่ลดละ และไม่ถึงอึดใจให้รอนานข้อความบางอย่างก็ถูกส่งเข้ามาจากคนที่เขาเพิ่งคุยไปเมื่อครู่
 
           -เตรียมตัวรับของขวัญ เรื่องจริงกำลังจะเปิดเผย ทุกสิ่งจะเป็นไปตามที่เธอต้องการ ไนติงเกล-
 
           เกลมองข้อความที่ถูกส่งมาอย่างชอบใจก่อน คนคนนี้ไม่เคยทำให้เขาผิดหวังเลยสักครั้งเดียวคงอีกไม่นานเกินรอแล้วสินะที่เรื่องพวกนี้จะจบลง.........

           เดาตอนจบไม่ออกเลยจริงๆเลยว่าสุดท้ายแล้วแม่มดร้ายของเขาจะไปลงเอยอยู่ที่ไหนกัน

           “มีเรื่องอะไรที่ทำให้ยิ้มได้ขนาดนั้นกันหรือครับ”   เสียงทักของคนที่เพิ่งกลับมาเรียกให้เกลละสายตาของตนออกจากหน้าจอโทรศัพท์มือถือ

           “กลับมาเร็วจังเลย”

           รอยยิ้มกว้างฉายชัดบนใบหน้าสวยยามที่เงยขึ้นมาสบเข้ากับใบหน้าที่ดูอิดโรยของชิตรัตน์พร้อมสองแขนเรียวที่ยื่นออกโอบรอบคอคนรักให้เข้ามาใกล้ก่อนกดหน้าผากแนบกับหน้าผากของอีกคน แล้วเปลี่ยนเป็นประคองใบหน้าที่ดูอ่อนล้าของอีกคนแทน

           “ทำไมหน้าตาดูไม่ดีเลย ที่ทำงานมีปัญหาหรอครับ”

           เกลถามอย่างเป็นห่วงโดยเลือกที่จะเลี่ยงการพูดถึงการแถลงข่าวเมื่อเช้าออกไปเพื่อไม่ให้อีกคนต้องคิดมาก  ก่อนที่ลานไหล่เล็กของเขาจะกลายมาเป็นที่พักพิงให้กับคนตัวสูงที่อยู่ๆก็ซบหน้าลงพร้อมกับกอดเขาเอาไว้แน่น

           “พี่แค่กลับมาขอกำลังใจนะ”

           “จะออกไปไหนอีกหรอครับ

           “จัดการเรื่องบางอย่างนะ พี่เหนื่อยจังเลยเกล” เสียงครางเบาๆของคนที่เริ่มอ่อนล้าทำให้คนที่ยืนนิ่งเป็นที่พึ่งทางใจอดไม่ได้ที่จะยกมือขึ้นลูบหลังให้

           “อีกไม่นานเรื่องทุกอย่างจะผ่านไปด้วยดี เชื่อเกลสิครับอีกไม่นานเราจะได้อยู่กันพร้อมหน้าแล้วอดทนอีกนิดนึงนะครับ”

           ชิตรัตน์ครางต่ำในลำคอ ก่อนจะผละออกแล้วขอตัวออกไปจัดการเรื่องบางอย่างที่ว่าเอาไว้เองลำพัง สร้างความแปลกใจปนกังวลให้คนสนิทอย่างชาติไปไม่ได้เนื่องจากชิตรัตน์ไม่มีงานหรือธุระอะไรอีกแล้วในวันนี้นอกจากการนอนพักผ่อนตามคำสั่งของผู้ที่อาวุโสกว่า และยิ่งเป็นกังวลมากขึ้นไปอีกเมื่อเห็นความเร็วของรถยนต์ที่พุ่งทยานออกไปอย่างรวดเร็ว

           ส่วนจุดหมายปลายทางที่ชายหนุ่มนามชิตรัตน์มาก็ไม่ใช่ที่ซับซ้อนหรือลึกลับอะไรแต่เป็นบ้านของเขาเอง บ้านที่เขาอยู่อาศัยมาทั้งชีวิตของเขาเอง

           ทันทีที่สองขาของเขาเหยียบย่างเข้ามาในบ้านเหล่าคนใช้ที่อยู่ในบ้านต่างกรูกันเข้ามาถามไถ่แสดงความเป็นห่วงเป็นใยต่อเจ้านายที่หายหน้าไป  แต่เจ้าตัวกลับไม่ทำอะไรมากไปกว่าส่งเพียงรอยยิ้มบางๆไปให้ก่อนมุ่งหน้าตรงไปยังห้องทำงานของตัวเองทันที

           ชิตรัตน์ไม่รอช้าเดินตรงดิ่งไปยังโต๊ะทำงานกลางห้องของตัวเองจัดการไขกุญแจลิ้นชักด้านข้างออกแล้วหยิบเอาเอกสารสำคัญจำนวนมากออกมายัดใส่กระเป๋าหนังที่อยู่ไม่ไกลจนหมด ก่อนที่จะเดินไปหยุดอยู่หน้าห้องนอนของคุณหญิงโฉมฉวี ชายหนุ่มหยุดตีหน้าเครียดชั่งใจอยู่พักใหญ่ว่าจะยอมเปิดเข้าไปแล้วเดินตรงเข้าไปหยุดอยู่ตรงหน้าตู้เก็บของติดผนังที่ปิดซ้อนไม่ให้ใครได้รู้ว่าข้างในคืออะไร แต่ไม่ใช่กับเขา...ในตอนนี้.....

           ชิตรัตน์ล้วงมือเข้าไปหยิบกุญแจในกระเป๋ากางเกงออกมาไขปลดล็อกบานประตูตู้นั้นออกกดรหัสตามที่ตนได้รับมา เขาไม่รู้ว่าเขาอุปาทานไปเองหรือว่ามือข้างที่กำลังกดรหัสผ่านนั้นมันสั่นเกินที่เขาจะห้ามมันได้จริงๆ เพราะทุกครั้งที่นิ้วสัมผัสกับปุ่มตัวเลขบนตู้นิรภัยเขารู้สึกเหมือนมวลอากาศรอบตัวถูกกดทับจนหนักอึ้งไปหมด และยิ่งเมื่อกดตัวเลขสุดท้ายเสร็จแสงสีเขียวสว่างก็ปรากฏขึ้นที่หน้าจอพร้อมเสียงปลดล็อกนิรภัย

           เขาก็ได้แต่ภาวนาขอให้สิ่งที่อยู่ในตู้ไม่เป็นอย่างที่เขาคิด แต่ยิ่งเขาคิดเข้าข้างตัวเองมากเท่าไรก็ดูเหมือนว่าทุกอย่างจะไม่เป็นไปตามที่เขาเฝ้าขอ เอกสารเก่าๆมากมายที่วางทับกันอยู่ในตู้ถูกหยิบขึ้นมาเปิดอ่านที่ละแผ่นอย่างช้าๆพร้อมเรี่ยวแรงที่เริ่มหายไปที่ละน้อย ก่อนเรี่ยวแรงทั้งหมดที่มีเหลืออยู่เพียงน้อยนิดของตนจะถูกกระชากออกไปเมื่อกรอบรูปที่ถูกคว่ำอยู่ถูกหยิบพลิกขึ้นมาดู

     !!!

___________________________________________________________________
ได้เวลานับถอบหลังสู่ความจริงกันได้แล้ว

ขอบคุณที่ติดตามนะคะ

ออฟไลน์ Jibbubu

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3385
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-6
รีบมาต่อนะคะ กำลังลุ้นเลยค่ะ

ออฟไลน์ saseum

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 413
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
ม่านฟ้าคือใคร อยากรู้แล้ว รีบมาต่อเร็วๆนะคะ

ออฟไลน์ wavery

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 124
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-2

ฝนหยดที่ 28




- ถ้าอยากรู้ความจริงเกี่ยวกับแม่ของคุณทำตามสิ่งที่ผมบอก -

              เนื้อความสั่นๆในซองเอกสารอันน้อยที่แอบซ้อนอยู่ในซ้องเอกสารสำคัญที่เขาจะสามารถใช้เอาผิดคนคิดไม่ซื่อที่มันนำพาเขามาอยู่ในห้องห้องนี้ พร้อมกับความจริงบางอย่างที่เขาเองก็ไม่อาจรับได้

           มันคล้ายกันว่าอยู่ดีๆร่างกายของเขาเหมือนถูกบางสิ่งที่มองไม่เห็นกระชากร่างให้จมดิ่งลงสู่ส่วนที่ลึกที่สุดของมหาสมุทรแต่ก็ไม่ลึกพอจะทำให้แผ่นหลังของเขาสัมผัสกับพื้นทราบด้านล่างอันมืดมิด เลยได้แต่ลอยเคว้งคว้างอยู่ลำพังที่มองไม่เห็นแม้แสงสว่างที่ลิบหรี่ ทำได้เพียงตะเกียกตะกายหาอากาศที่จะช่วยต่อชีวิตจนสมองเริ่มบีบตัวจนปวดหนึบไปหมดเช่นเดียวกับหัวใจดวงเดียวที่ยังเต้นอยู่ในอกมันบีบตัวแรงและเต้นด้วยจังหวะที่แรงมากจนเขาที่เป็นเจ้าของร่างกายตัวเองยังได้ยินเสียงการเต้นระรัว

ชิตรัตน์พยายามประคองสติให้มั่นคงอยู่ครู่หนึ่งเพื่อระงับอาการสั่นของมือทั้งสองข้างไม่ให้เผลอทำกรอบรูปตกลงมาแตก กวาดเอาเอกสารทุกฉบับที่พบอยู่ภายในลงใส่กระเป๋าหนังคู่กายรวมถึงรูปภาพที่อยู่ในกรอบนั้นด้วยที่เขาจับมันยัดใส่ลงในกระเป๋าเป็นอย่างสุดท้าย และไม่ลืมที่จะปิดล็อกทุกอย่างให้อยู่ในสภาพเดิมเหมือนเมื่อแรกเข้ามาในห้องนี้

ยอมรับว่าตอนแรกที่ได้รับข้อความมาเขาเองก็ไม่อยากจะเชื่อจึงต้องมาพิสูจน์แต่เมื่อทุกอย่างมันเป็นแบบนี้แล้วคงต้องบอกว่าเขาเสียศูนย์มาก มากจนไม่อาจอยู่รอเห็นหน้าเจ้าของห้องห้องนี้ได้ เขาจึงตัดสินใจที่จะเดินออกจากห้องเพื่อออกจากบ้านหนังนี้เสีย
 
          กึก

แต่ไม่ทันที่มือของเขาจะมีโอกาสได้สัมผัสลูกบิดประตูเพื่อออกไป แรงหมุดจากอีกด้านของประตูก็ถูกบิดหมุนแล้วเปิดออกมาอย่างรวดเร็วเสียก่อน

              “แกเข้ามาทำอะไรในห้องฉันตาชิน”  เจ้าของห้องตัวจริงดูจะแปลกใจอยู่ไม่น้อยที่เห็นหน้าชายหนุ่มยืนอยู่ในห้องของตัวเอง ก่อนจะเริ่มร้อนรนออกมาเมื่อเห็นกระเป๋าที่อยู่ในมือของชิตรัตน์

              “ฉันถามว่าแกเข้ามาในห้องฉันททำไม” หล่อนถามเสียงสั่นอย่างคาดคั้นเอาคำตอบขณะมองสลับไปมาระหว่างกระเป๋าหนังที่อยู่ในมือของชิตรัตน์ที่ดูจะตุงแน่นกว่าปกติกับบานประตูตู้ที่อยู่ติดผนัง

ชิตรัตน์มองคนตรงหน้าที่เขายังไม่พร้อมที่จะเจอด้วยความรู้สึกที่หลากหลายก่อนที่จะเลือกไม่ตอบคำถามของอีกคนด้วยการเดินแทรกตัวผ่านผู้หญิงตรงหน้าออกไปจากห้องไป แต่คนโดนเมินกลับไม่ยอมปล่อยให้ไปโดยง่ายคุณหญิงวิ่งลงบันไดตามหลังชิตรัตน์พร้อมตะโกนเรียกให้หยุดเสียงดังลั่น จนลงมาถึงชั้นล่าง

           “ตาชิน หยุดเดี๋ยวนี้นะ”

           “.....”

           “หยุดเดี๋ยวนี้เลยนะ ฉันเป็นแม่ของแกนะฉันพูดอะไรแกควรฟังที่ฉันพูดสิไม่ใช่เดินหนีแบบนี้”  หล่อนใช้แรงที่มีทั้งหมดพุ่งเข้าไปกระชากแขนของชิตรัตน์เพื่อให้หันกลับมาเผชิญหน้ากับหล่อน ชิตรัตน์ไม่มีทางรู้หรอกว่าภายใต้ความรีบร้อนตกใจของคนตรงหน้ามันซ้อนความดีใจเอาไว้มากขนาดไหนที่ได้เห็นเขามายืนอยู่ที่นี้

“แต่ผมไม่มีอะไรจะพูดตอนนี้ครับ” ชายหนุ่มพูดอย่างไร้เยื่อใยพร้อมตั้งท่าที่จะเดินหนีอีกครั้ง

           “แต่ฉันมี”

           “....”

           “แกเข้าไปทำอะไรในห้องฉัน”

           “....”

           “ฉันถามแกก็ตอบมาสิ”

คุณหญิงจ้องมองเพื่อเอาคำตอบอย่างไม่ลดละยิ่งเห็นว่าในมือของชิตรัตน์มือกระเป๋าหนังที่ไว้ใส่เอกสารอยู่ด้วยก็ยิ่งร้อนรนอยากจะแย้งมาจากมือแต่ดูท่าแล้วอีกฝ่ายคงไม่ยอมง่ายๆ ชิตรัตน์มองท่าทีกระวนกระวายของคนตรงหน้าอย่างสมเพชตัวเอง ก่อนจะเอ่ยปากถามในสิ่งที่คนฟังไม่คาดคิด

           “คุณหญิงรักผมไหม”

           คนถูกถามเบิกตากว้างกับคำถามที่ได้ยิน หล่อนจ้องมองใบหน้าเรียบนิ่งของชิตรัตน์อย่างไม่เข้าใจ อาจเพราะคำถามที่เจ้าตัวถามมากมันดูออกจะขัดกับสถานการณ์ที่เป็นอยู่ในตอนนี้ จนเกิดเป็นความระแวงขึ้นมาว่า ชายหนุ่มที่หล่อนเรียกว่าลูกชายมาตลอดหลายสิบปีมีแผนอะไรซ้อนอยู่ในใจ

           “อยู่ดีๆทำไมแกมาถามฉันแบบนี้” คุณหญิงตอบกลับด้วยคำถามแทนอย่างเว้นระยะด้วยน้ำเสียงที่ดูอ่อนลงอย่างเห็นได้ชัด

           “ผมแค่อยากรู้ ตลอดหลายปีที่คุณเลี้ยงผมมาคุณเคยรักผมจริงๆบ้างไหมรักที่มาจากใจ”

           เขาไม่รู้หรอกว่าน้ำเสียงที่เขาเปล่งออกไปเป็นแบบไหน เขารู้แค่ว่ามันคงสั่นไหวไม่มากก็น้อยเท่านั้น

           “รักสิ แกเป็นลูกของฉัน ฉันต้องรักแกที่สุดอยู่แล้ว”

           แววตาสั่นระริกของของชิตรัตน์มองใบหน้าของผู้หญิงตรงหน้าที่เข้ามาลูบตามใบหน้าและเนื้อตัวของเขาอย่างแตกตื่นใจ ก่อนจะก้มลงไปเปิดกระเป๋าที่ถืออยู่ออกแล้วหยิบซองเอกสารบางอย่างออกมา

           “นี้คือพินัยกรรมส่วนท้ายที่ยังไม่มีการแถลงตามเงื่อนไขบางอย่างที่คุณพ่อตั้งไว้ คุณหญิงอยากรู้ไหมละครับว่ามันกล่าวว่าอย่างไรบ้าง”

           แน่ละพูดแบบนี้ไปมีหรือคนอย่างคุณหญิงจะไม่สนใจ หล่อนจ้องมองเอกสารที่ถูกอ้างว่าเป็นพินัยกรรมตาเขม็งเพราะตั้งแต่วันเปิดพินัยกรรมคราวนั้นหล่อนก็ไม่เคยได้เห็นมันอีกเลย เหมือนชิตรัตน์จะเข้าใจความต้องการของคุณหญิงได้โดยที่ไม่ต้องรอให้บอก เขาจัดการเปิดซองเอกสารนั้นออกแล้วพลิกไปแผ่นสุดท้ายของพินัยกรรมที่เป็นประเด็นเมื่อครู่ก่อนเริ่มอ่านออกมาให้คุณหญิงฟัง

           “ในตอนท้ายของพินัยกรรมนี้ข้าพเจ้าของให้นายชิตรัตน์บุตรชายโดยชอบด้วยกฎหมายของข้าพเจ้าเป็นผู้เปิดอ่านด้วยตนเองต่อหน้าคุณหญิงโฉมฉวีคู่สมรสของข้าพเจ้า เมื่อถึงวันที่นายชิตรัตน์บุตรของข้าพเจ้าได้รับรู้ถึงความประพฤติอันมิชอบของคุณหญิงอันมีผลทำให้ชื่อเสียงวงศ์ตระกูลของข้าพเจ้าเสื่อมเสียหรือเป็นเหตุให้บริษัทในเครือของนพเทพทั้งหมดหรือบางส่วนเกิดความเสียหาย”

             ชิตรัตน์เว้นระยะไว้ครู่เพื่อเหลือบมองหน้าของคุณหญิงที่ตอนนี้ฉายแววความตกใจกับเนื้อความในพินัยกรรมส่วนท้ายแต่ก็ยังคงนิ่งเงียบไม่พูดจาเพียงแค่หลบสายตาเขาเมื่อเผลอไปสบตรงกันเท่านั้น

            “ข้าพเจ้าขอเรียกคืนทรัพย์สินทั้งหมดที่เคยยกให้คุณหญิงโฉมฉวีในครั้งแรกคืนและให้ตกทอดแก่นายชิตรัตน์บุตรชายของข้าพเจ้าทั้งหมดแต่เพียงผู้เดียว ข้าพเจ้าขอยืนยันว่าขณะที่ทำพินัยกรรมข้าพเจ้ามีสติครบถ้วนสมบูรณ์ ลงชื่อ นายชินวุฒิ นพเทพสวัดิกุล”

           หลังได้ฟังคำในพินัยกรรม ท่าทางของคุณหญิงที่แสดงออกมานั้นไม่ได้ต่างไปจากสิ่งที่ชิตรัตน์นึกคิดเสียเท่าไร  อาการสั่นของมือที่กำเข้าหากันจนแน่น สายตาที่บอกว่าตนนั้นไม่ยอมรับสิ่งที่เขียนไว้ในพินัยกรรม ชิตรัตน์ถอนหายใจออมาคราหนึ่งก่อนเก็บเอกสารลงกระเป่าเช่นเดิมเพื่อหันหลังกลับไปยังรถยนต์ของตนที่จอดอยู่ไม่ไกล  แต่ยังไม่ทันทำอะไรตามที่ใจคิดเสียงหัวเราะอย่างบ้าคลั่งของคุณหญิงก็ดังขึ้นขัดมาเสียก่อน

            “ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า”

           ชิตรัตน์ชะงักเท้าที่กำลังจะก้าวออกไปให้หยุดอยู่กับที่ก่อนจะหันกลับมามองคุณหญิงอย่างไม่เข้าใจ ที่อีกคนทำราวกับสิ่งที่ฟังเมื่อครู่เป็นเรื่องตลกขบขันหัวเราะตัวโก่งอยู่หลายนาทีก่อนจะสงบลงแล้วสะบัดหน้ามามองเขาอย่างไวจนเป็นตัวเขาเองที่ตกใจ

           “หึ เจ้าแผนการนักนะขนาดตายไปแล้วยังจองล้างจองผลาญฉันไม่ปล่อยอีก” หล่อนสบถออกมากับตัวเองอย่างหัวเสีย

           “แกก็อีกคน หึ คงสาแก่ใจเมียแกแล้วสินะที่ทำให้ฉันจนมุมได้ขนาดนี้นะ”

           “เกลไม่เกี่ยว อย่าพาลกันอย่างนี้สิครับ” ชิตรัตน์กดเสียงต่ำอย่างไม่พอใจ

           “ทำไมจะไม่เกี่ยว  มันนั้นแหละตัวดีถ้าไม่เพราะมันคอยเสี้ยมแกมีหรือแกจะแข็งข้อไม่เชื่อฟังฉันแบบนี้หรอ”

           “มันไม่ได้เกี่ยวกันเลย เรื่องแบบนี้มันอยู่ที่การทำตัวถึงไม่มีเกลเข้ามาเกี่ยวด้วยแต่ถ้าทำผิดก็ต้องว่าไปตามผิด และเรื่องพินัยกรรมเมื่อครู่ก็น่าจะคิดได้แล้วนะครับว่าเพราะอะไรทำไมคุณพ่อถึงเขียนแบบนั้น”

           การที่พ่อเขาเขียนพินัยกรรมแบบนี้ออกมาย่อมต้องหมายความว่าพ่อของเขาไปรู้เรื่องอะไรบางอย่างมาถึงไปตัดสินใจเช่นนั้นออกไป และถ้าให้เขาเดาคงไม่แคล้วว่าจะเป็นเรื่องในทำนองเดียวกับที่เขากำลังเจออยู่เป็นแน่

            “ผมไม่เข้าจริงๆ”   เขาไม่เข้าใจในตัวผู้หญิงตรงหน้านี้สักนิดเดียวทั้งๆที่ก็มีพร้อมไปทุกอย่างแล้ว แล้วทำไมถึงได้ทำอะไรแบบนี้อีก

            “เพราะอะไรหรือครับ เพราะอะไรที่มันทำให้คนที่มีพร้อมไปทุกอย่างอย่างคุณต้องโกงบริษัทหักหลังความเชื่อใจของคุณพ่อ ทำลายครอบครัวของผม เพราะอะไร!”

            ชิตรัตน์ตวาดขึ้นอย่างสุดกลั้นด้วยความสับสน แต่คุณหญิงกลับเลือกที่จะเงียบไม่พูดอะไรออกมา ซ้ำยังทำหน้าไม่ใส่ใจกับท่าทีของชิตรัตน์จนเขาอดไม่ได้ที่จะยิ้มขื่น

           “หรือเพราะผมไม่ใช่ลูกของคุณ”  และเหมือนคำพูดไร้เรี่ยวแรงของเขาจะเป็นผล เมื่อคุณหญิงที่ยืนกอดดกเชิดหน้าหนีเมื่อครู่หันขวับกลับมามองเขาตาโต

           “นี้แก !?”

           “ผมรู้ รู้มานานแล้วเรื่องนี้แต่ผมไม่พูดเพราะผมคิดเสมอว่าคุณคือแม่ ถึงจะไม่ใช่แม่ที่ให้กำเนิดแต่คุณก็คือแม่ที่คอยเลี้ยงดูผมดูแลใส่ใจทุกอย่างที่เกี่ยวกับผม ปลอบผมในวันที่คุณพ่อเสีย ยินดีกับผมในวันที่ผมประสบความสำเร็จ ผมคิดเสมอว่าจะต้องตอบแทนพระคุณของคุณให้ได้มากที่สุดยอมทำตามที่คุณสั่งทุกอย่างเพื่อหวังว่าจะทำให้คุณมีความสุข  มองข้ามความผิดเล็กน้อยที่คุณทำเพราะคิดว่าคุณจะคิดได้แต่ก็ไม่ คุณไม่เคยคิดเลยสักนิดว่าสิ่งที่ทำอยู่มันผิด”

           คุณหญิงมองร่างของชายหนุ่มที่ตนเลี้ยงดูมาแต่เล็กด้วยสีหน้าตกตะลึง หล่อนไม่รู้ว่าอีกคนรู้เรื่องนี้มานานมากแค่ไหนแต่ทุกครั้งที่จำความได้ไม่เคยมีสักครั้งที่ชิตรัตน์จะแสดงท่าทีแปลกไปหรือสงสัยในความสัมพันธ์หนำซ้ำยังปฏิบัติกับหล่อยอย่างที่ลูกชายคนหนึ่งพึ่งปฏิบัติต่อมารดาอย่างดีเสียด้วย เลยทำให้ตอนนี้ที่ได้มาฟังคำพูดของชิตรัตน์เมื่อครู่ความรู้สึกผิดบางอย่างก็พลันวิ่งเข้าสู่จิตใจให้หนาวสั่นเมื่อมองดูชิตรัตน์ยกมือขึ้นปิดตาซ้อนหยาดน้ำแห่งความเสียใจจนไหล่กว้างสั่นเบา หล่อนอยากเข้าไปกอดปลอบคนตรงหน้าอย่างเช่นทุกครั้งเมื่อลูกชายเศร้าหรือหมองใจแต่ก็ทำได้แค่ยกมือค้างกลางอากาศแล้วเก็บเข้าข้างกายอย่างคนละอาไม่กล้าทำ

           “ผมยอมรับได้ทุกอย่างที่คุณทำ ผมพยายาม พยายามแม้จะถูกใครหาว่าเลวที่ทิ้งเมียเป็นไอ้ขี้ขาดที่แม้แต่คนรักยังปกป้องไม่ได้ทำให้ลูกต้องกำพร้าแม่ผมยอมเพื่อให้คุณตกลงว่าจะไปผ่าตัดหัวใจเพราะผมคิดว่าคุณอาจเห็นใจผมกับลูกบ้างแต่ไม่ใช่เลยคุณก็เหมือนเดิม และรู้ไหมสิ่งที่คุณทำให้ผมรับไม่ได้จริงๆคืออะไร”

           “....”

           “....”

           “....”

           “คุณฆ่าแม่ผม”

           !!!
 
           คุณหญิงเบิกตากว้างมองชิตรัตน์ที่ยืนนิ่งพร้อมคราบน้ำตาบนสองข้างแก้มอย่างไม่เชื่อหูตัวเองพร้อมอาการกระตุกวูบของหัวใจ

             “ตาชิน มัน มันไม่ใช่นะ มะ...”

           หล่อนพยายามควานหาเสียงที่เหมือนจะหายไปในลำคอและเรียบเรียงคำเหมือนเด็กหัดพูดเพื่อจะพยายามแก้ต่างให้ตนเอง แต่กลับถูกชิตรัตน์เอ่ยตัดหน้าเสียก่อน

            “อย่าโกหกเลยครับ”

           “ฉัน...”

            หล่อนพยายามส่ายหน้าปฏิเสธ เดินตรงเข้ามาจับเข้าที่ต้นแขนของเขาอย่างพยายามจะอธิบายเรื่องที่เกิดขึ้น ฝ่ายชิตรัตน์เองก็ไม่ได้ขัดขื่นแต่อย่างใด เพียงแต่เขาไม่ได้รับรู้เลยว่าเสียงที่คุณหญิงเปล่งออกมา มีความหมายว่าอย่างไรพูดอธิบายเรื่องราวว่าอย่างไร เขารู้เพียงแค่ตอนนี้มันมืดไปหมดประสาทการได้ยินเหมือนดับไป

           เขามองหน้าคุณหญิงครู่หนึ่งก่อนค่อยๆ จับมือทั้งสองของคุณหญิงให้ออกจากตัว ท่ามกลางความกลัวในใจของคุณหญิงเพราะนี่ไม่ใช่สิ่งที่หล่อนต้องการ หล่อนไม่ต้องการให้ลูกชายเกลียดหล่อน ถึงจะร้ายจะเลวใส่อีกฝ่ายมากแค่ไหนแต่ได้ชื่อว่าเลี้ยงมาย่อมมีสายใยบางๆที่เรียกว่าความรักความผูกพันเชื่อมเอาไว้ชิตรัตน์ก็เหมือนลูก

           แต่ก่อนจะตีโพยตีพายอะไรไปอยู่ๆชิตรัตน์ก็ทรุดตัวลงนั่งคุกเข่าลงต่อหน้าพร้อมยกมือพนมขึ้นไว้ที่หน้าอกสองตามคมจ้องหน้าหล่อนไม่ละหาย

           “ผมไม่รู้ว่าเรื่องที่เกิดขึ้นมันเป็นมายังไง ผมจะไม่กล่าวโทษหรือติดใจเอาความอะไรจากคุณอีก ผมให้อภัยคุณทุกอย่างที่ทำเอาไว้กับผม ครอบครัวผม ครอบครัวของเรา ผมจะถือว่านี้เป็นสิ่งสุดท้ายที่ผมจะทำให้คุณหญิงได้ในฐานะลูกชายคนหนึ่ง เพราะหลังจากวันนี้ไปผมกับคุณหญิงเราจะถือว่าไม่มีความเกี่ยวข้องกันอีก ส่วนความรักที่คุณมีให้นั้นผมจะขอเก็บมันเอาไว้ในใจเพื่อย้ำเตือนผมว่าคุณคือแม่ของผมและผมอโหสิกรรมให้ครับ แม่”

             ชิตรัตน์ก้มกราบแนบเท้าของผู้ที่ตนรักและเคารพในฐานะมารดาผู้เลี้ยงดูพร้อมน้ำตาลูกผู้ชายที่ไม่คิดว่าจะมีออกมาให้ใครได้เห็นอีกไหลจากขอบตาคมตกลงบนเท้าเปลือยเปล่าของคุณหญิง ก่อนลุกยืนขึ้นเต็มความสูงอีกครั้งแล้วเดินไปยังรถยนต์ของตัวเองที่จอดสนิทแล้วขับออกไป แต่ด้วยเพราะรักและอาลัยชิตรัตน์จึงอกไม่ได้ที่จะหันกลับไปมองคนที่ยังคงยืนนิ่งอยู่กับที่ไม่ไปไหน เขาตั้งใจว่าถ้าคุณหญิงไม่มีที่ไปเขายอมที่จะยกบ้านหลังนี้ให้คุณหญิงได้อยู่อาศัยอย่างน้อยก็ถือว่าเป็นสิ่งสุดท้ายที่เขาพอจะทำให้คุณหญิงได้ในครั้งสุดท้ายนี้

           “ลาก่อนนะครับ” 
...........................................................
           
          ไปแล้ว......
 
           ภาพรถยนต์ที่ทะยานตัวพุ่งออกจากเขตรั้วบ้านหลังโตยังคงปรากฏชัดในดวงตาสีเข้มแม้ยามนี้มันจะหายลับไปจาการมองเห็น แต่ผู้ที่มองดูก็ยังคงอยู่ที่เดิมไม่ไหวติงหรือพูดจาจนผิดวิสัยคนอารมณ์ร้ายอย่างคุณหญิงโฉมฉวี ขนาดว่าสาวใช้ที่อยู่ไม่ไกลเดินเข้าถามไถ่หล่อนก็ยังเอาแต่เงียบจ้องมองไปยังประตูที่ปิดสนิท จนป้าแม่บ้านที่อยู่ดูแลมานานนมยังอดรู้สึกหดหู่ใจไม่ได้ที่เห็นสภาพคล้ายคนวิญญาณหลุดลอยเช่นนี้หล่อนจึงรีบพยุงพานายหญิงของตนกลับเข้าข้างในเพื่อพักใจ

           หลังจากเข้าแล้วคุณหญิงก็ยังคงนั่งนิ่งอยู่กับที่เช่นเดิมไม่แม้จะแตะต้องน้ำเย็นที่ถูกยกมาให้ไม่ปริปากพูดกับใคร เหม่อลอยมองดูรอบบริเวณบ้านที่ครั้งหนึ่งตนอยากได้ไว้ครอบครองแต่สุดท้ายมันก็หลุดมือไปหมด ทำไมทุกอย่างที่เขาเคยใฝ่ฝันหาถึงได้ไม่เคยเป็นจริงสำหรับเขาเลย

            ความคิดมากมายสะดุดลงเมื่อสายตาหมองจะสบเข้ากับรูปถ่ายครอบครัวขนาดยี่สิบนิ้วที่แขวนอยู่เหนือโต๊ะไม้ในห้องนั่งเล่นแห่งนี้ แรงขยับลุกจากที่นั่งในรอบหลายนาทีนี้ของคุณหญิงเรียกความตื่นเต้นให้คนรับใช้ที่อยู่ดูห่างๆได้ดีแต่ก็ไม่มีใครพูดอะไรออกมาทำเพียงมองตามร่างเล็กของคุณหญิงลุกเดินไปหยุดอยู่ตรงหน้ารูปถ่ายกลางห้องมือเรียวบางที่เมื่อครู่ไม่กล้าจับต้องตัวลูกชายกลับยกขึ้นสัมผัสบริเวณท่อนแขนของชิตรัตน์ในภาพถ่ายไปมาเหมือนปลอบใจระลึกถึง ก่อนเอ่ยปากเรียกให้ป้าแม่บ้านคนสนิทเข้ามาหาโดยที่สายตาไม่ละไปจาภาพตรงหน้าแม้แต่น้อย

           “นี่ป้า”

           “คะ คุณหญิง”

           “ที่ฉันทำมันผิดมากหรอ”

           หญิงรับใช้วัยใกล้ฝั่งเหลือบมองซีกหน้าของเจ้านายวัยใกล้กันอย่างไม่แน่ใจในคำถาม พอจะถามเพื่อให้รู้ถึงความหมายของคำถามเมื่อครู่คุณหญิงก็พูดขึ้นมาก่อนเหมือนคนละเมอพูด

           “ถึงฉันจะไม่ได้เป็นคนคลอดตาชินออกมาเองแต่ฉันก็รักเขานะรักมาก  ตาชินเหมือนเป็นโลกทั้งโลกของฉันเป็นคนเดียวที่รักฉัน เขาเป็นลูกชายที่น่ารักของฉันเพื่อเขาแล้วทุกอย่างต้องดีที่สุด”

           คนฟังได้แต่ยกมือทาบอกอย่างเห็นใจและเข้าใจถึงความรู้สึกของคนเป็นแม่ที่เสียลูกไป ถึงแม้หล่อนจะเป็นโสดมาตลอดชีวิตแต่ก็เข้าใจได้ว่าความรู้สึกผูกพันที่มีให้เป็นเช่นไร หล่อนเองก็เป็นคนที่เลี้ยงชายหนุ่มมาตั้งแต่แบเบาะจนเป็นหนุ่มแล้วไหนจะต้องคอยดูแลคุณหนูเกรทอีกเล่า ความห่วงหาความเอ็นดูและความรักที่มียอมผลิดอกออกผลอยู่เแล้วยิ่งกลับคุณหญิงที่ตลอดเวลาที่อยู่ในบ้านหลังนี้ชิตรัตน์คือความรักที่จริงแท้ในหัวใจของคุณหญิง การโดนอีกคนพูดจากล่าวตัดสัมพันธ์ฉันแม่ลูกต่อให้โหดร้ายเลือดเย็นอย่างไรก็คงไม่แคล้วเสียใจเช่นคนตรงหน้าเป็นแน่

           “ฉันแค่ต้องการให้เขาได้สิ่งที่ดีที่สุดมันผิดมากเลยหรือไง!!”

           “.....”

           “ทำไมกันละ ฉันเป็นถึงคุณหญิงหน้าตาฐานะฉันก็ได้ด้อยไปกว่าใครแล้วทำไมคุณวุฒิถึงมองข้ามฉันไปคว้าเอาผู้หญิงไร้หัวนอนปลายเท้านั้นมาเย้ยฉันถึงบ้าน ความรักที่ฉันมีให้คุณวุฒิมันไม่มากพอหรือยังไงถึงได้ทำกับฉันแบบนี้ ทั้งๆที่ฉันมาก่อนแล้วทำไมคนที่ได้รับความรักไปถึงเป็นนังวาดฟ้า ทำไม!!!”

           เหมือนว่าความคับข้องใจของคุณหญิงจะมีมากจนเริ่มประทุเดือดขึ้นมาในอก แม่บ้านใจกล้าเพียงหนึ่งเดียวที่อยู่ใกล้ที่สุดอย่างหล่อนจึงขยับตัวลุกขึ้นหมายจะเข้าไปประคองคนที่ทุบโต๊ะตรงหน้าเพื่อระบายอารมณ์

           “แล้วไหนจะไอ้เด็กเพศยานั้นอีกเพราะมารยาของมันที่ทำให้ตาชินหลงมันจนหูหนวกตาบอด เสี้ยมสอนให้ตาชินเกลียดฉันและทิ้งฉันไปเพราะพวกมัน ทั้งนังวาดฟ้าทั้งไอ้เด็กเวรนั้นพวกมันแย่งทุกสิ่งทุกอย่างไปจากฉันทุกสิ่งที่ควรจะเป็นของฉัน สารเลวเอ๋ย!!”
 
          โครม!!

           ข้าวของราคาแพงมากมายที่วางอยู่บนโต๊ะตรงหน้าถูกแขนเล็กกวาดทิ้งลงพื้นไม่เหลือชิ้นดี เวลานี้หล่อนไม่สนแล้วว่าราคาของมันจะสูงแค่ไหนสวยงามเพียงใดไม่แม้จะชายตามองเศษซากความเสียหายบนพื้นที่ตนทำ ไม่มองและไม่รับรู้ว่าเศษซากของรอยร้าวที่แตกออกมากมายยากจะต่อคืนนั้นผลพวงทั้งหมดล้วนมาจากการกระทำของหล่อนเองทั้งสิ้น เอาแต่ฟุบหน้าลงกับโต๊ะว่างเปล่าตรงหน้าทุบระบายความเสียใจพร่ำกล่าวโทษทุกคนที่แย่งความรักนี้ไป จนไม่มีใครกล้าเข้าใกล้

           แต่ก็ต้องสะดุ้งโหยงอย่างตกใจกันเป็นแถวเมื่ออยู่คนที่ฟุบหน้าอยู่กับโต๊ะก็ผงกหัวขึ้นมาอย่างรวดเร็วแล้ววิ่งตรงไปยังบันไดอย่างรวดเร็วเหมือนคนนึกบางอย่างออกจนเกินเสียงตึงตังยามเมื่อเท้าแตะพื้นบันได แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาห่วงเรื่องของมารยาแล้ว เมื่ออยู่ๆหล่อนก็นึกขึ้นมาได้ว่าชิตรัตน์เข้าไปยังห้องนอนของตัวเอง

           ความร้อนรนมีมากกว่าความเศร้าเสียใจหล่อนออกแรงกระชากประตูห้องออกแล้วจัดการเปิดตู้นิรภัยอย่างรีบร้อนความหวาดกลัวเกาะแน่นในใจแม้จะพยายามปลอบใจตัวเองเท่าไรว่าชิตรัตน์ไม่มีวันรู้รหัสเปิดตู้แต่ก็เท่านั้นเมื่อพอเปิดตู้นิรภัยออกแล้วหล่อนไม่เจอสิ่งที่ควรจะอยู่ในนี้เช่นทุกครั้งเรี่ยวแรงที่ใช้พยุงตัวก็เลื่อนหายไปได้แต่ทรุดตัวมองความว่างเปล่าในตู้อย่างไร้ทางไป

            จบสิ้นแล้วชีวิตนี้.......... หลักฐานและเอกสารมากมายที่สามารถระบุได้ว่าหล่อนทำการลับหลังบริษัทมากมายที่สามารถเอาผิดหล่อนได้และที่สำคัญเอกสารเหล่านั้นเชื่อมโยงถึงการตายของวาดฟ้าผู้หญิงอันเป็นที่รักยิ่งของสามีหล่อน

           ไม่......... หล่อนไม่มีทางยอมเน่าตายอยู่ในคุกเน่าๆแบบนั้นแน่ไม่มีทาง หล่อนต้องหนี
 
           เมื่อคิดได้ดังนั้นหล่อนจึงรีบกวาดของมีค่าทั้งหมดที่ยังคงเหลืออยู่ตู้ใส่กระเป๋าเดินทางขนาดกลางทันทีก่อนวิ่งทะหลาไปหยิบกระเป๋าเดินทางใบโตมาเปิดออกแล้วยัดเสื้อผ้าข้างของส่วนตัวลงไปอย่างรีบร้อนจนไม่ได้ยินเสียงความวุ่นวายจากด้านนอกห้องที่มันดังลอดพื้นประตูเข้ามา

           คุณหญิงยังคงสาละวนกับการยัดเก็บข้าวของต่างๆจนคิดว่าคงพอที่จะใช้สำหรับการเดินทางออกนอกประเทศ หล่อนก็ไม่ลืมที่จะคว้าโทรศัพท์มือถือต่อสายหาเบอร์ปลายทางที่ขึ้นท็อปเบอร์โปรด ซึ่งก็ไม่ใช่เบอร์ใครที่ไหนเลขาคนสนิทที่อดีตสามีหล่อนจัดหาไว้ให้เมื่อนานมาแล้วอย่างนายสุวิทย์ และระหว่างรอให้คนปลายทางกดรับสายหล่อนก็จัดการคว้ากระเป๋าลากออกมานอกห้องเพื่อจะเรียกให้สาวใช้ที่อยู่ไม่ไกลมาช่วยกันยกลงด้านล่าง

           แต่ใครมันจะคิดกันละว่าภายในวันเดียวที่เวลาห่างกันไม่มากจะเกิดเรื่องให้ต้องตกใจถึงสองครั้งติดเช่นนี้ เพราะทันทีที่บานประตูห้องนอนของหล่อนเปิดออกเงาร่างสูงใหญ่ของชายฉกรรจ์สองคนยืนจังก้าขว้างหน้าประตูเอาไว้พาดผ่านเข้ามาทำให้ต้องละสายตาจากกระเป๋าใบโตมาสอบมอง ก่อนที่แว่วตาเบิกกว้างอย่างตื่นตระหนกเมื่อเห็นผู้บุกรุกแปลกหน้า จนมือข้างที่ถือเครื่องมือสื่อสารต้องลดระดับลงไปอยู่ข้างตัวจนไม่ทันได้ยินเสียงตอบรับของคนปลายสายที่ตอบรับออกมาก่อนที่หล่อนจะกดตัดสายทิ้งไป

           “พวกแกเป็นใคร” คุณหญิงถามเสียงเครียด แต่ก็ไม่ได้รับคำตอบอะไรออกมา

           “นี้พวกแกจะทำอะไรฉันนะ ปล่อยเดี๋ยวนี้เลยนะ ไม่ยังงั้นฉันจะแจ้งตำรวจ บอกให้ปล่อยไง ปล่อย!!”

           คุณหญิงหวีดเสียงลั่นเมื่ออยู่ๆผู้บุกรุกใบ้ไม่พูดพร่ำทำเพลงอะไรก็เข้ามาล็อกตัวหล่อนคนละข้างแล้วจัดการหิ้วปีกออกมาจากบ้าน ถึงคุณหญิงจะออกแรงขัดขื่นเพื่อให้หลุดจากการจับกุมอย่างมากมายขนาดไหนแต่แรงของผู้หญิงรูปร่างเล็กแถมพ่วงอายุที่มากด้วยแล้วมีหรือจะสู่แรงผู้ชายสองคนที่โตเต็มได้และต่อให้คุณหญิงจะด่าทอหรือกรีดร้องแหกปากขอความช่วยเหลือจากคนในบ้านแค่ไหนก็ไม่มีผลเพราะต่อให้ชะเง้อมองจะคอหักหล่อนก็ไม่เห็นแม้แต่เหงาของคนรับใช้ในบ้านทั้งชายหญิง มีแต่ผู้ชายรูปร่างใหญ่อย่างคนต่างชาติที่ยืนกระจายอยู่ตามจุดต่างๆของบ้านแทน

           ชายฉกรรจ์แปลกหน้าพาตัวคุณหญิงเข้ามาในรถก่อนจัดการนำผ้ามาคาดปิดตาและปากเสียเพื่อไม่ให้รับรู้ถึงเส้นทางที่กำลังจะไปและเพื่อลดมลพิษทางเสียงที่อาจเกิดขึ้นได้ตลอดเวลาจนคนขับอาจเกิดเสียสมาธิแล้วเส้นความอดทนขาดเอาปืนคู่ใจออกมารับขวัญคุณหญิงให้หัวมีรูเล่นจนเจ้านายพิโรธพวกเขาทั้งคู่จึงมองหน้าแล้วเห็นพร้องรวมกันเรื่องมัดปากคุณหญิงเสียงล้านหลอดนี้เพื่ออนาคตทางหน้าที่การงานของตน

…………………………..........

 
             
  :m31:

ออฟไลน์ wavery

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 124
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-2

:m31:


  นานเท่าไรไม่รู้ที่เขาใช้เวลาอยู่บนท้องถนนในเมืองหลวงจนแสงร้อนแรงของพระอาทิตย์เริ่มบางเบาลงจนลาลับขอบฟ้า แต่ชิตรัตน์ก็ยังคงขับรถต่อไปเรื่อยๆอย่างคนไร้จุดหมายบนเส้นทางที่ดูเหมือนจะไร้ที่สิ้นสุดนี้   ส่วนหนึ่งอาจมาจากเรื่องทุกข์ใจที่เกิดขึ้นมากมายในวันนี้ ที่เขาไม่รู้ว่าจะระบายมันออกมาอย่างไร ถ้าจะให้กลับไปบ้านแล้วต้องตีหน้าเศร้าปั้นหน้ายิ้มให้เกลต้องคอยเป็นห่วงเขาก็ขอขับไปเรื่อยๆจนกว่าจะสบายใจขึ้นจะดีว่า คือตอนแรกเขาก็คิดแบบนี้แหละ.........

 แต่อีกส่วนหนึ่งที่น่าจะเป็นส่วนที่สำคัญที่สุดในตอนนี้คงจะเป็นรถยนต์สัญชาติเยอรมันสีอีกาที่ขับตามเขามาได้ซักพักใหญ่ๆที่เขาไม่รู้ว่ามาดีหรือมาร้าย

ตอนแรกชิตรัตน์ไม่ได้ใส่ใจอะไรเพราะคิดว่าคงเป็นของเพื่อนร่วมทางบนท้องถนนในเมืองหลวงที่จะเจอรถที่เหมือนๆกันได้ แต่ไม่ใช่เลยเมื่อพอเขาเริ่มสงบจิตใจลงได้แล้วพิจารณาอยู่สักพักก็พบว่าไม่ว่าเขาจะขับช้าหรือเร่งความเร็วเท่าไรหรือแม้กระทั้งว่าจะทำเป็นไม่สนใจว่าโดนตาม แต่ทุกครั้งที่มองกระจกมองหลังเขาก็มักจะเห็นเจ้ารถตัวปัญหานี้เสมอ ด้วยไม่รู้ว่าอีกฝ่ายที่ตามมีจุดประสงค์อย่างไรกันแน่ชายหนุ่มจึงเลือกที่จะขับรถวนอยู่ในตัวเมืองที่ผู้คนหนาแน่นแทนการตรงกลับบ้านและรักษาระดับความเร็วให้คงทีเพื่อไม่ให้ผู้ที่ตามมารู้ตัว รอเวลาจนการจราจรเข้าสู่ช่วงเริ่มหนาแน่นก่อนจะฉวยโอกาสนี้หักพวงมาลัยรถซอกแซกไปมาเพื่อหวังให้หลุดจากการติดตาม แต่ทางนั้นเอกก็ใช่ย่อยเมื่อเห็นว่าเขาเริ่มไหวตัวทันและทำการหลบหนีก็เร่งเครื่องแล้วแทรกตัวไปมาเพื่อให้เข้ามาใกล้รถของเขาในระยะประชิด แต่ถนนในกรุงเทพต่อให้ขับมานานแค่ไหนถ้าไม่มีความเคยชินในพื้นที่ก็ย่อมเสียจังหวะและสับสนในเลนส์ถนนได้

ชิตรัตน์อาศัยจังหวะที่มีรถกระบะสีขาวเข้ามาแทรกระหว่างเขากับรถปริศนาหัดเลี้ยวซ้ายออกไปประจวบเหมาะกับทางที่เขาเพิ่งเลี้ยวออกมาสัญญาณไฟจราจรได้เปลี่ยนเป็นสีแดง และนับเป็นโชคดีของเขาด้วยที่รถของเขาเป็นคันสุดท้ายพอดีก่อนที่ฝั่งตรงข้ามของรถจะปล่อยรถออกมาทำให้ตอนนี้รถของเขาถูกกลืนหายไปกับฝูงรถยนต์จำนวนมาก

ลมหายใจถูกถอนผ่อนออกมาอย่างแรงอย่างคนปลอดโปล่งคราวนี้เขาจะได้กลับบ้านไปพักผ่อนจริงๆเสียที แต่ก็ไม่วายที่จะหันมองกระจกหลังอีกรอบเพื่อความแน่ใจว่าตนพ้นจากการโดนตามนั้นแล้ว

เมื่อมองไปไม่เจอรถที่ขับตามมาหลายชั่วโมงชิตรัตน์จึงตัดสินใจขับรถวนกลับไปยังเส้นทางที่คุ้นเคย ไม่รู้ว่าปานนี้คนขี้กังวนจะร้อนรนคนมากขนาดไหนที่ป่านนี้แล้วเขายังกลับไม่ถึงบ้าน อีกทั้งโทรศัพท์มือถือของเขาก็มาตายในหน้าที่แบบไม่ได้เอาชีวิตสำรองมาด้วยอีก การติดต่อหากันจึงเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เลยทางเดียวที่มีคือเขาจะต้องรีบขับรถกลับบ้านให้เร็วที่สุด  แต่ก็เท่านั้นเมื่อเขาขับรถมาจนใกล้จะถึงบ้านเจ้าสิ่งที่เขาคิดว่าสลัดหลุดแล้วกลับมาอยู่ตรงหน้าเขาได้
 
 
          เอี๊ยด!!

ชิตรัตน์เหยียบเบรกรถสุดตัวจนหัวกระแทกเข้ากับพวงมาลัยรถอย่างแรงเมื่ออยู่ดีๆรถปริศนาเจ้าปัญหาที่ตามเขาอยู่บนถนนใหญ่เมื่อครู่กลับพุ่งตัวออกมาจากข้างทางที่มืดสนิทมาจอดดักหน้าเขาไว้  ครั้งจะถอยหลังหนีก็กลายเป็นว่ามีรถแบบเดียวกันที่เหมือนกันตั้งแต่ยี่ห้อสีแม้กระทั้งป้ายทะเบียน ชายหนุ่มสบถออกมาเสียงดังเมื่อตอนนี้เขาถูกดักทางหนีไว้ด้วยเจ้ารถฝาแฝด แบบนี้สินะเขาถึงสลัดเจ้ารถบ้านี้ไม่พ้นเพราะมันมีสองคัน

หัวคิ้วของเขากดต่ำลงอย่างคิดหนักเมื่องมองรถทั้งสองคันสลับหน้าหลังไปมาโดยไม่เห็นวี่แววว่าเจ้าของรถจะการกระทำอะไรบางอย่าเลยสักนิด และเพราะไม่มีความเคลื่อนไหวนี้ละที่ทำให้ชิตรัตน์ใจเต้นระส่ำด้วยความมืดที่เข้าปกคลุมท้องฟ้าอีกทั้งพื้นที่บริเวณนี้ถึงจะมีไฟรายทางส่องสว่างแต่เพราะไม่ใช่แหล่งชุมชนการจะมีใครสักคนผ่านมาไม่ใช่เรื่องที่จะเกิดขึ้นทุกสองนาที การจะขอความช่วยเหลือจึงแทบติดลบ  คิดได้ดังนั้นชายหนุ่มจึงค่อยๆเอื้อมมือไปยังที่เก็บของตรงด้านหน้าที่นั่งคนขับช้าๆ เปิดแล้วหยิบกล่องหนังสีดำมาเปิดออกแล้วเอาสิ่งที่อยู่ข้างในออกถือกระชับไว้ให้อุ่นใจ

ปืนโตกาเรฟ  สัญชาติรัสเซียขนาดบรรจุ 9 ม.ม. คืออาวุธป้องกันตัวยามฉุกเฉินที่พึ่งหนึ่งเดียวในตอนนี้ของชิตรัตน์ และเขายิ่งกระชับมันให้แน่นขึ้นไปอีกเมื่อรถคันที่สามมาจอดเทียบเสมอกับรถของเขาแต่คราวนี้ไม่เพียงแค่จอดนิ่งแบบสองคันก่อนหน้า

ความตึงเครียดยิ่งทวีมากขึ้นไปอีกเมื่อประตูด้านหลังของรถด้านข้างถูกเปิดออกพร้อม ใครสักคนที่ก้าวออกมาจากตัวรถเป็นดังสัญญาณให้ที่คนจากบนรถที่จอดดักเขาออยู่ได้ทยอยออกมายืนข้างตัวรถ  เสียงเดินลงส้นของรองเท้าหนังราคาแพงบุคคลที่เดินตรงมายังด้านที่เขานั่งอยู่แม้จะอยู่ในรถที่เปิดแอร์เย็นฉ่ำขนาดไหนแต่เหงื่อกาฬของเขาก็ยังคงไหลซึมมาตามไร้ผมที่ขมับพรอมกับเสียงลมหายใจของเขาดังพอๆกับเสียงการเต้นของหัวใจที่ดังกลบทุกสิ่งรอบข้าง ก่อนจะเบิกตากว้างกับสิ่งที่ใกล้เข้ามาเมื่อคนปริศนาก้มหน้าเข้ามาใกล้
          !!!
 
 
            ยิ่งเข็มของนาฬิกาทรงสูงรุ่นคลาสสิกเดินเข็มบอกเวลาใกล้เลขเก้ามาขึ้นเท่าไร ความกังวลในใจของคนรอก็มีมากขึ้นเท่าทวีตาม  นิ้วมือเรียวที่พยายามต่อสายหาคนรักมาร่วมร้อยสายยังคงกดต่อไปอย่างไม่มีทีท่าว่าจะหยุดลงจนกว่าอีกฝ่ายจะยอมรับสาย

           ชิตรัตน์ออกจากบ้านไปโดยไม่บอกกล่าวอะไรเขาหรือใครเลยสักนิด แล้วจู่ๆก็หายไปขาดการติดต่อเอาเสียดื้อๆแม้ชาติจะติดต่อกลับไปที่บ้านนพเทพแล้วก็ได้ความแค่อีกฝ่ายออกมาตั้งแต่ช่วงบ่ายแก่แล้ว เวลาเกือบหกชั่วโมงที่ชิตรัตน์หายตัวไปมันทำให้เขาจะเป็นบ้า

           “คุณเกลใจเย็นๆก่อนนะครับ เดี๋ยวคุณชินก็คงจะกลับ”

            ชายที่มองเจ้านายตัวเล็กของตัวเองลุกขึ้นยืนแล้วเดินไปเดินมาจนจะล้มอยู่หลายรอบเอ่ยขึ้นเพื่อให้คลายกังวลลงบ้าง เพราะตอนนี้พลเองก็สั่งลูกน้องให้ออกไปตามหาตามที่ต่างๆที่คิดว่าชิตรัตน์น่าจะไปอยู่เช่นกัน

            “เกลเป็นห่วงพี่ชินทำไมป่านนี้แล้วยังไม่กลับอีก ชาติติดต่อพี่ชินได้หรือยัง”

           ชาติที่สาละวนอยู่กับหน้าจอโทรศัพท์เพื่อติดต่อหาเจ้านายส่ายหน้าแทนคำตอบ  ชิตรัตน์ไม่เคยหายไปไหนโดยไม่บอกกล่าวเช่นนี้มาก่อน  ถ้าหากเกิดเรื่องไม่ดีขึ้นกับชิตรัตน์ขึ้นมาเขาจะทำยังไงดี.........

           “พี่พล บอกให้คนของเราออกไปดูรอบๆบ้านกับระว่างทางจากบ้านไปโรงแรมอีกรอบให้ทีเพื่อว่าพี่ชินจะเกิดอุบัติเหตุหรือรถเสีย หรือ ระ อึก อึ๊ก”

           “คุณเกล!!”

           ทั้งสามตะโกนเรียกเจ้านายทันทีเมื่ออยู่ๆคนที่กำลังร้องสั่งก็เกิดอาการชักหายใจไม่ออกขึ้นมาเสียอย่างนั้น พลที่อยู่ใกล้ที่สุดเข้าชาร์ตรับตัวผอมบางของเกลได้ทันท้วงทีพร้อมทั้งทำการปฐมพยาบาลเบื้อต้นให้ จนเกลกลับมาหายใจได้เป็นปกติอีกครั้งแล้วจึงย้ายให้คนอ่อนแรงไปนั่งพักที่โซฟายาวแทน

           “ผมว่าคุณเกลควรกลับขึ้นไปนอนพักที่ห้องก่อนนะครับ เดี๋ยวคุณชินมาแล้วผมจะไปแจ้งให้ทราบ”

          ชาติเสนอทางเลือกให้อย่างเป็นห่วงอาการเมื่อครู่ของคนรักของเจ้านาย ถึงจะเคยเห็นมาแล้วครั้งหนึ่งที่บ้านของชิตรัตน์แต่อาการเช่นนี้ใช่ว่าจะหายได้สนิทเลยที่เดียวเสียเมื่อไร ไหนจะร่างกายที่ผอมบางผิดจากเพศสภาพที่ควรมีไหนจะผิวการที่ดูซีดเซียวในยามนี้ด้วยแล้วชาติยังอดที่จะกลัวไม่ได้ว่าหากมีอะไรกระทบกระเทือนเล็กน้อยร่างตรงหน้าจะสะลายไปหรือไม่....

           “ไม่ ไม่เอา เกลไม่ไปเกลจะรอพี่ชินกลับมา พี่พลส่งคนออกไปดูให้เกลหรือยังส่งไปหรือยัง”

           เกลส่ายหน้าหวือปฏิเสธความเป็นห่วงของชาติ อีกทั้งยังพยายามจะลุกออกไปดูที่หน้าต่างอย่างเดิมร้อนให้ชายกับพลต้องค่อยรั้งอีกคนที่ดูจะเริ่มคุมสติของตัวเองเอาไว้ไม่ค่อยอยู่ให้ใจเย็นลง

            “พี่ส่งคนออกไปดูให้คุณเกลเรียบร้อยแล้วใจเย็นๆก่อนนะครับ ค่อยๆหายใจเข้า”

           เมื่อได้ยินที่พลพูดมาอย่างนั้นเกลเองก็มีท่าทีที่อ่อนลงยอมที่จะให้พลรั้งร่างผอมบางของตนซบเข้าที่อกแล้วยกมือขึ้นลูบหลังเพื่อช่วยในการสูดลมหายใจเข้า ส่วนชายที่นั่งอยู่ข้างๆก็ยกเอาถุงหอมขึ้นใกล้จมูกโด่งเรียวเพื่อประโลงให้หายใจสะดวกขึ้น

           Rrrrrrr

           เสียงเรียกเข้าและแรงสั่นจากสิ่งที่อยู่ในมือทำให้เกลรีบผละออกจากทุกคนที่อยู่รอบตัว กดรับสายของคนที่โทรเข้ามาโดยไม่มองเบอร์หรือชื่อที่เมมเอาไว้ก่อน ตอนนี้ความร้อนใจจากความเป็นห่วงของเขามันมีมากกว่าสิ่งอื่นใด     

           “ฮัลโหล พี่ชินพี่ชินอยู่ไหนครับเป็นอะไรหรือเปล่าบาดเจ็บตรงไหน หระ หรือว่า........”

           // ใจเย็นๆสิครับ เดี๋ยวก็อาการกำเริมหรอก//

           !!!

           เสียงปลายสายจากคู่สนทนาที่โทรเข้ามาหาทำให้เกลต้องยกมือถือออกจากข้างแก้มที่แนบอยู่ออกมาดูอีกครั้งเมื่อเสียงที่ดังลอดมาตามสายกลับไม่ใช่เสียงของคนที่เฝ้ารอ

           “พี่ทิม”

           // ไงครับ เสียใจหรอที่เป็นพี่ไม่ใช่เขานะ// หรือว่า.............

           “พี่ชินอยู่ไหน พี่เอาเขาไปไว้ไหนบอกเกลมานะ พี่ชินอยู่ที่ไหน!!”

           ไม่บ่อยนักที่เกลจะขึ้นเสียงตวาดใส่คนอื่นเสียงดังแบบนี้  ชาติเองที่เพิ่งจะเคยเห็นท่าทีเกรี้ยวกาจเช่นนี้ของเกลเองก็ถึงกลับผงะไปเล่นน้อยอย่างตกใจ

             // จุ๊จุ๊ อย่าพูดเหมือนพี่เป็นคนใจร้ายอย่างั้นสิครับไหนว่าพี่เป็นคนที่รู้ใจเรามาที่สุดยังไงละ//

            “พี่ทิม!!”

           //Calm down my dear. พี่ไม่แกล้งแล้วก็ได้//

           “...”

           //นายชิตรัตน์อยู่กับพี่ มันน่าน้อยใจนะทั้งทั้งทีพี่มาก่อนแท้ๆ เฮ้อออ//   เสียงตัดพ้อน้อยใจของคนที่ปลายสายไม่ได้ทำให้คนฟังเช่นเขารู้สึกดีขึ้นเลยแม้แต่น้อย

           “เกลถามว่าพี่ชินอยู่ไหน” เขาถามย้ำอีกครั้ง

           // โอ๋ๆๆ อย่าใจร้อนสิพี่แค่มีเรื่องจะคุยกับสามีสุดที่รักของเราแป๊บเดียวเอง  เดี๋ยวพอคุยเสร็จแล้วพี่จะพาไปอาบน้ำปะแป้งกินนมนอนแล้วพรุ่งนี้เช้าพี่จะพาไปส่งคืนให้ถึงเตียงนอนเลย รับรองได้ว่าไร้รอยขีดข่วนแน่นอน ไปละบาย//

           “เดี๋ยวก่อน พี่ทิม พี่ทิม!!”

           เกลกรอกเสียงเรียกคนที่ด่วนตัดสายหนีเขาไปดื้อๆอย่างหัวเสีย พร้อมพยายามโทรกลับหาเบอร์ของตัวการเมื่อครู่อยู่หลายครั้งแต่เหมือนอีกฝ่ายจะรู้ทันชิงปิดเครื่องมือสื่อสารหนีทันทีที่วางสายจากกันทำให้เกลเกิดอาการหัวฟัดหัวเหวี่ยงเป็นอย่างมากจนเกือบจะปาสิ่งที่อยู่ในมือทิ้งให้รู้แล้วรู้รอด แต่ดีที่ว่าชายมือไวพอที่จะรั้งท่อนแขนเล็กนั้นไว้ทัน

           “ใจเย็นก่อนที่ครับคุณเกล”

           “ยังจะให้เกลใจเย็นลงอีกหรอครับพี่ชาย พี่ทิมเอาพี่ชินของเกลไปไว้ที่ไหนก็ไม่รู้แล้วถ้าเกิดอะไรขึ้นกับพี่ชินเกลจะทำยังไง”

           “คุณทิมไม่ทำอะไรคุณชิตรัตน์หรอกครับเชื่อพี่สิ” พลพูดขึ้น

           “อย่างน้อยตอนนี้เราก็รู้แล้วว่าคุณชิตรัตน์อยู่กับคุณทิม พี่ว่าคุณก็น่าจะเบาใจขึ้นได้แล้วนะครับ”พลเสริม

            แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้นก็เถอะ...... ถึงจะรู้ว่าชิตรัตน์อยู่กับทิมแต่นั้นก็ไม่ได้หมายความว่าชิตรัตน์จะปลอดภัย ยิ่งอยู่กับคนเจ้าเล่ห์แสนกลอย่างคนคนนั้นด้วยแล้ว เขายิ่งเป็นห่วงชิตรัตน์

           “พี่ว่าตอนนี้คุณเกลขึ้นไปนอนพักผ่อนก่อนดีกว่า เดี๋ยวถ้าคุณธารโทรมาแล้วทราบว่าคุณยังไม่ยอมนอนพวกพี่จะแย่เอานะครับ”

           ชายรีบอ้างถึงเรื่องการโทรมาเช็คของโจนาธานให้อีกคนค้อยตาม ซึ่งมันก็ได้ผลตอบรับที่ดีมาเมื่อคนที่ทำท่าดื้อรั้นเมื่อครู่ยอมผ่อนแรงยื้อยึดลง ชายจึงพยักหน้าให้พลอย่างรู้กันให้อีกคนเป็นฝ่ายพาเจ้านายตัวบางกลับขึ้นไปพักที่ห้องด้านบน ก่อนที่ทั้งชายกับชาติจะแยกย้ายกันไปทำหน้าที่ที่เหลืออยู่ของแต่ละคน
 
 
         
              ฝ่ายชิตรัตน์ที่อยู่ๆก็ถูกพาตัวกลับมานั่งอยู่ในห้องพักรับรองของโรงแรมตัวเองก็ได้แต่มองคนต่างชาติที่มากไปด้วยปริศนาตรงหน้าอย่างระมัดระวัง ยามเมื่อนึกย้อนกลับไปตอนที่เขาเจอกับชายตรงหน้าที่แล้วมาอยู่ที่ได้ก็คงจะเป็นตอนหลังจากนั้น

           ตอนวินาที่ระทึกใจเมื่อเกือบชั่วโมงที่แล้วที่เขาโดนสะกดรอยตามจนมาถึงการดักซุ่มรอ ตอนแรกชิตรัตน์คิดว่าปืนที่ได้มาจะต้องนอนเน่าให้สนิมกินอยู่ในกล่องจะได้เอาออกมาใช้งาน จริงวันนี้เสียอีกถ้าไม่เพราะอยู่ๆเสียงเคาะกระจกรถของเขาก็ดังขึ้น
 
          ก๊อก ก๊อก

           ชิตรัตน์สะดุ้งโหยงตกใจเมื่ออยู่ๆคนที่ห่างออกไปเพีงกระจกคั้นจะยกมือขึ้นมาเคาะกระจกพร้อมทำมือทำไม้บอกให้เลื่อนกระจกลง คราแรกเขาเองก็ไม่ไว้ใจอีกฝ่ายจึงยังคงไม่ลดกระจกลงตามที่บอกและดูเหมือนอีกฝ่ายจะรู้ความคิดเขาจึงตะโกนสั่งลูกน้องเป็นภาษาอังกฤษให้กลับเข้าไปในรถให้หมด จนเขาเองเริ่มเบาใจที่ว่าอย่างน้อยถ้าอีกคนยอมให้ลูกน้องกลับเข้าตัวรถไปเหลือเพียงชายคนนั้นคนเดียวเขาก็ยังพอมีทางสู่ได้อยู่บาง แต่ชิตรัตน์ก็ยังไม่ลดการระวังตัวลงชายหนุ่มจึงเลือกที่จะลดกระจกลงเพียงแค่เล็กน้อยให้เห็นแค่ช่วงตาของตนเท่านั้น

           “ระวังตัวจังเลยนะครับ”

            เสียงพูดสำเนียงไทยชัดเจนติดจะหยอกล้อดังขึ้นชวนขัดอารมณ์จริงจังของเขาเป็นอย่างมา แต่ก็ต้องทำใจให้เย็นเพื่อไม่ให้หลุดท่าใดๆทีที่อาจเป็นฝ่ายเพรียมพร่ำได้

           “คุณเป็นใคร”

           “แหม่ ใจร้ายจังเลยนะครับผมว่าเราเพิ่งจะเจอกันไปเมื่อเช้าเอง ลืมกันแบบนี้ผมเสียใจนะครับ”  ชิตรัตน์ฉงนไปครู่ก่อนหันไปจ้องมองคนที่พยายามยื่นหน้าเข้ามาใกล้พร้อมออกปากให้เขาลดกระจกลงอีกเพื่อจะได้จำหน้าได้

           “คุณที่อยู่ในห้องแถลงข่าว”

           ชิตรัตน์เอ่ยขึ้นอย่างไม่แน่ใจในความคิดเสียเท่าไรเพราะตอนนั้นอีกคนใส่แว่นตาดำบดบังใบหน้าที่ผิดจากตอนนี้ที่ไม่ใส่อะไรไว้ปิดบังตนจนเผยให้เห็นดวงตาสีฟ้าอมเขียวที่กระจ่างเวลาต้องแสงสลัวในความมืด

           “Bingo ถูกต้องนะครับ”

           ชายต่างชาติดูเริงร่าขึ้นมาทันทีเมื่อเขาตอบคำถามถูก ก่อนจะหันมาตีหน้าตาจริงจังใส่เขาอีกครั้งจนชายหนุ่มเริ่มทำตัวไม่ถูกกับท่าทางที่เปลี่ยนไปมาอย่างรวดเร็ว

           “ผมแค่อยากคุยกับคุณ คงต้องขอให้ช่วยมากันผมสักหน่อย”

           “ทำไมผมต้องไปด้วย”  ถึงจะไม่เข้าใจแต่เขาก็คงไม่ใช่พวกที่จะยอมทำตามใครง่ายๆโดยเฉพาะเวลานี้ที่ไม่ว่าใครก็ไม่น่าไว้ใจทั้งนั้น

           “เพราะคุณต้องไปไงครับ”
 
           และนั้นคือบทสนทนาสุดท้ายที่เขาได้ยินก่อนที่อีกคนจะเอาสเปย์อะไรบางอย่างมีฉีดพ่นเข้าที่หน้าของเขาอย่างไม่ทันตั้งตัว แม้เขาจะสูดกลุ่มควันนั่นเข้าไปเพียงเล็กน้อยแต่มันก็ทำให้สมองเริ่มมึนช้าและภาพตรงหน้าเริ่มที่จะพร้ามั่วได้อย่างรวดเร็วก่อนที่ทุกอย่างค่อยๆมือแล้วดับลง     

            เขามาเริ่มรู้สึกตัวขึ้นอีกที่ก็ตอนที่ได้ยินเสียงแว่วเข้ามาในหัว ก็พอจะจำได้ลางๆว่าเป็นของเจ้าสโตกเกอร์ชอบลักพาตัวชาวบ้านที่เพิ่งเจอเป็นคนสุดท้ายนั้น เขาค่อยลืมตากวาดมองไปทั่วห้องพักที่คุ้นตาก่อนจะสะดุดกับร่างสูงใหญ่ของชาวต่างชาติที่ยืนคุยโทรศัพท์อยู่ไม่ไกลถึงจะไม่รู้ว่าอีกฝ่ายคุยกับใครแต่ก็คงเดาได้ไม่ยากว่าคงไม่พ้นเรื่องของตัวเขาเองนี้ละ

           “อ้าวๆๆ ตื่นแล้วหรอครับ มิสเตอร์ชิตรัตน์จะเอาอะไรหน่อยไหมแต่บริการตัวเองนะผมขี้เกียจน่ะ”

           คนพูดยกยิ้มพิมพ์ใจ แต่ในสายตาคนมองอย่างเขาแล้วมันส่อเจตนากวนเบื้องล่างจนอยากเอารองเท้าหนังขัดมันเบอร์สี่สิบสามฟาดหน้ายิ้มๆนี้สักทีให้หายแค้น

           “อย่าทำหน้าน้อยเนื้อต่ำใจอย่างนั้นสิ อะๆๆผมช่วยเปิดขวดน้ำให้ละกัน”

           ชิตรัตน์มองตามคนที่ทำตัวเป็นทองไม่รู้ร้อนต่อสายตาเขาเมื่อครู่เดินเข้ามาใกล้ก่อนเอื้อมมือหยิบขวดน้ำขึ้นมาบิดฝาออกแล้วส่งมาให้ ในตอนแรกเขามีท่าทีระแวงอยู่นิดนึงแต่ก็ยอมรับมาดื่มอย่างกระหายแต่โดยดี ก่อนจะฉงนอีกครั้งเมื่อแผ่นที่แปะรอบขวดน้ำในมือปรากฏชื่อพร้อมสัญลักษณ์ของโรงแรมตน ชายหนุ่มผู้เป็นเจ้าของโรงแรมกวาดสายตามองรอบบริเวณห้องพักที่ตนอยู่อีกครั้งอย่างละเอียดก็พบว่ามันเป็นจริงอย่างที่เขาคิดที่นี้คือห้องพักรับรองแขกพิเศษของทางโรงแรงของเขาเอง

            ชิตรัตน์แบนสายตามามองโจรลับพาตัวตรงหน้าอีกครั้งอย่างไม่เข้าใจจุดประสงค์ ถ้าจะลับพาตัวกันจริงแล้วทำไมถึงพามาที่นี้แถมไม่มีการมัดหรือกักขังเขาแต่อย่างใด ขนาดบริกรชายยังเข็นอาหารเข้ามาเสิร์ฟได้อย่างไม่มีความเกรงกลัวว่าเขาจะร้องให้ลูกน้องช่วยเลยแม้แต่น้อย

           “อย่าทำหน้าเอ๋อเป็นหมางงแบบนั้นสิครับ”

            ชิตรัตน์เริ่มส่งสายตาไม่พอใจไปให้คนที่ทำตัวไม่ทุกข์ร้อนอะไรที่กำลังลงมือตักซุปครีมผักขึ้นมากินอย่างใจเย็น นี้มีนเล่นตลกอะไรกับเขาอยู่กันแน่เนี่ย

           “คุณต้องการอะไรแล้วทำไมถึงจับตัวผมมาที่นี้”  มือที่กำลังส่งช้อนที่บรรจุซุปแสนอร่อยถึงกลับหยุดชะงักกลางอากาศเมื่อเจอคำถามเช่นนั้น

           “ที่นี้ไม่ใช่โรงแรมของคุณหรือไงครับ อะไรกันแค่นี้ก็จำไม่ได้น่าสงสารจริง”

            หนุ่มต่างชาติมองคนที่นั่งอยู่ตรงข้ามด้วยแววตาสงสัยก่อนตอบกลับไปอย่างเห็นใจแล้วลงมือกินต่อ  ไหนหมอบอกว่าสเปย์ยาสลบมันทำให้หลับอย่างเดียวไง ไหนคนโดนถึงความจำเสื่อมไปได้.......

           “ผมทราบครับว่าที่นี้คือโรงแรมของผม แต่ที่ผมอยากรู้คือคุณพาผมมาที่นี้ทำไมและคุณต้องการอะไรจากผม”

           ชิตรัตน์ใช้ความพยายามอย่างยิ่งที่จะสงบจิตใจของตนให้เย็นลงเมื่อเจอวาจากวนประสาทของคนตรงหน้า ทั้งทีใครต่อใครก็พูดว่าเขาเป็นคนใจเย็นมากจนอยากรู้จริงๆว่าหากเขาเป็นคนใจร้อนเขาจะสามารถกระทืบคนตรงหน้าให้ตายคาเท้าเขาได้หรือเปล่า

           “ถ้าคุณทราบก็ดีครับ งั้นผมขออนุญาตคุณเจ้าของโรงแรมรับประทานอาหารตรงหน้าให้เรียบร้อยก่อนนะครับ แล้วผมถึงจะตอบคำถามนั้นเพราะตอนนี้ผมหิวมากมากเลย ”

           ชายต่างชาติยื่นข้อเสนอที่ต่อให้ชิตรัตน์อยากจะง้างปากให้มันตอบคำถามที่ค้างคาในใจเท่าไรก็คงจะทำไม่ได้ จึงได้แต่ข่มอารมณ์ที่มีแล้วนั่งรอคนหิวโหยจัดการอาหารตรงหน้าให้เรียบร้อย

           และถือเป็นโชคดีของเขาที่คนเจ้าเล่ห์มากข้ออ้างตรงหน้าไม่ได้ประวิงเวลาอะไรโดยการค่อยๆกินช้าๆเหมือนพวกรักสุขภาพที่ต้องเคียวอาหารช้าๆครั้งละสามสิบทีให้ละเอียดก่อนกลืนเพื่อระบบย่อยที่ดีอะไรแบบนั้น

           “เอาละ เมื่อกี่เราจะคุยกันเรื่องอะไรนะ”

           “ผมถามว่าคุณเป็นใคร”

           “อ้าว นี้ผมยังไม่ได้แนะนำตัวให้คุณรู้หรอ”  ชิตรัตน์อยากตบหน้าตัวเองแรงๆสักทีเพื่อว่าตอนนี้เขากำลังฝันอยู่ จะได้ตื่นจากฝันบ้าๆที่ต้องมาเจอคนบ้าๆแบบนี้สักที

           “อะแฮ่มๆ สงสัยผมคงจะลืมแนะนำตัวจริงๆ ต้องขอโทษมิสเตอร์ชิตรัตน์จริงๆที่ผมเสียมารยาทขนาดนี้ มิน่าละคุณถึงได้ดูมีท่าทางไม่ค่อยไว้ใจผมเสียเท่าไร ฮ่ะๆ” เขาล่ะอยากจะบ้าตายกับไอ้คนไร้สำนึกตรงหน้า อะไรมันจะลีลาท่าทามากขนาดนี้กัน

           “ผมชื่อ ทิโมธี ดิ.เอลเมอร์ซี ยินดีที่ได้รู้จักนะครับ คุณน้องเขย

           !!!

_________________________________________________________________________

เปิดตัวตัวละครตัวสุดท้ายของเรื่อง
ชายผู้เป็น FC ตัวจริงของคุณหญิงมาแล้วคร้าาาา
นี้ พี่ทิม ไง

ขอบคุณที่ติดตามนะคะ

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด