End ฝนกลางฤดูหนาว (mpreg) -Updeat รอบพรีออเดอร์- 9-5-60
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: End ฝนกลางฤดูหนาว (mpreg) -Updeat รอบพรีออเดอร์- 9-5-60  (อ่าน 47600 ครั้ง)

ออฟไลน์ wavery

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 124
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-2
ฝนหยดที่ 29

   “เมื่อกี้คุณบอกว่า คุณชื่ออะไรนะ”

           ชิตรัตน์ถามย้ำคนตรงหน้าอีกครั้งอย่างไม่เชื่อหูตัวเอง นี้เขายังเบลอกับยานอนหลับนั้นอยู่หรือเปล่าถึงได้ยินนามสกุลผู้ชายคนนี้เป็นนามสกุลของคนรักได้

“ผมชื่อ ทิโมธี ดิ.เอลเมอร์ซี ครับ อะไรกับยังไม่ทันแก่เลยหูตึงเสียล่ะแย่จริงๆ”

โอเค ชัดเจน.....

ถ้าเป็นเวลาปกติชิตรัตน์คงจะอยากกดหัวคนตรงหน้าลงชามใส่ซุปที่หมดแล้วของอีกฝ่ายให้รู้แล้วรู้รอดไป แต่ตอนนี้ที่เขากำลังอึ้งกับสถานะของคนตรงหน้าที่ได้รับรู้มาเมื่อครู่เลยทำเพียงแค่ยกมือขึ้นชี้หน้าคนตรงหน้านี้แทน

ชิตรัตน์ใช้โอกาสนี้มองสำรวจคนที่อ้างว่าเป็นพี่ชายอีกคนของคนรักอย่างไม่เชื่อเสียเท่าไรนัก เพราะมองดูแล้วนอกจากผมสีน้ำตาลเข้มแล้วก็ไม่มีสิ่งไหนที่จะบอกได้ว่ามีคนทั้งคู่มีความสัมพันธ์ในเชิงเครือญาติเลย แต่ถ้าบอกว่ามีส่วนคล้ายกับโจนาธานที่เป็นพี่ชายของเกลนี้ยังพอมีเค้าโครงอยู่บ้าง แต่กับเกลแล้วผู้ชายคนนี้ห่างไกลจากทั้งคำว่าเหมือนหรือคล้ายมากถึงมากที่สุด

“แหม่ ไม่ต้องมองผมอย่างนั้นก็ได้ ผมรู้ว่าผมไม่เหมือนเกลไม่ต้องตอกย้ำขนาดนั้นก็ได้”

ทิมทำหน้าตาน้อยอกน้อยใจในคำพูดของตัวเองเมื่อครู่หยิบเอาผ้าเช็ดหน้าสีทึบที่อยู่ในกระเป๋าเสื้อสูทราคาแพงของตนออกมาเช็ดน้ำตาด้วยท่าทีที่ดูน่าสงสาร ถึงแม้คนมองจะเอาแต่กรอกตาไปมาก็ตาม แต่เขาก็ขอเถอะ

“Okay ผมไม่แกล้งละ ความจริงคือผมเป็นพี่ชายต่างแม่กับธารแล้วก็เกลน่ะ พูดง่ายๆคือผมเป็นThe eldest brother   พอดีว่ามัมของผมเป็นภรรยาคนก่อนของแด๊ดแต่ท่านเสียไปตอนผมสองขวบหลังจากนั้นแด๊ดก็แต่งงานใหม่แล้วธารก็โผล่ออกมาแล้วก็ตามด้วยมายเดียร์แสนน่ารักเกลลี่น้อย Oh my little angel จบการบรรยายเครือญาติครับ”

              ก็พอเข้าใจเนื้อความที่อีกคนพูดอยู่หรอกนะ แต่ถ้าจะให้ดูดีเหมาะกับสถานการณ์ตอนนี้อีกฝ่ายควรจะตัดไอ้อาการบ้าน้องขึ้นรุนแรงนี้ออกไปหน่อยจะดีมาก

              “แล้วคุณเอาตัวผมมาที่นี้ทำไม ถ้าคุยอยากเจอหรืออยากคุยกับผมก็มาแบบธรรมดาก็ได้ทำแบบนี้ผมตกใจนะครับ”

           ชิตรัตน์ถามอย่างไม่เข้าใจ คนกันเองแท้ๆแค่มีเรื่องจะคุยทำไมไม่เข้ามาคุยกับแบบธรรมดาที่คนทั่วไปเขาทำกัน แค่นี้เขาก็เจอเรื่องน่าปวดหัวมากพอแล้วยังจะให้ต้องมาประสาทเสียกับเรื่องเมื่อกี้นี้อีก  เฮ้อ...........

           “ก็มันน่าตื่นเต้นต่างหาก อีกอย่างนี้มันความฝันของผมเลยนะ ผมน่ะอยากทำแบบนี้มานานแล้ว”

           แต่ไอ้คำตอบที่ได้กลับมาเนี่ยมันทำให้เส้นเอ็นขาเขากระตุกอย่างแรงจนอยากออกแรงถีบไอ้คนที่พูดจาที่เล่นที่จริงแบบนี้ให้หงายหลังตกเก้าอี้ไปจริงๆ

            “นี้คุณ!!”

           ทิมรีบยกมือขึ้นเชิงยอมแพ้ให้กับคนตรงหน้าที่ดูท่าทางแล้วคงจะหงุดหงิดเขาอยู่ไม่น้อย ทำไมทุกคนถึงไม่เข้าใจความบันเทิงแสนระทึกใจนี้ของเขาบ้างนะ.......

            “อย่าเพิ่มโมโหสิ ไหนเกลบอกว่าคุณเป็นคนใจเย็นไงนี้ดูไม่เหมือนที่ได้ยินมาเลยนะ”  แล้วเจอแบบนี้ใครมันจะไปใจเย็นได้บ้างละ ไม่สติแตกตั้งแต่โดนตามก็ดีเท่าไรแล้ว  ไอ้หมอนี้มันบ้าหรือมันบ้ากันแน่....

              “ว่าเรื่องของคุณมาดีกว่าผมเหนื่อยแล้วจะได้กลับไปพักสักที”

           แต่สุดท้ายคนที่ต้องยอมแพ้ให้ลูกบ้าลูกชนกลับเป็นชิตรัตน์ที่ไม่อยากเสียเวลากับเรื่องไร้สาระนี้ไปมากกว่านี้ เลยเป็นฝ่ายที่จุดประเด็นขึ้นมาพร้อมเอนตัวพิงกับพนักพิงอย่างรู้สึกเหนื่อยใจกับการสนทนาครั้งนี้

            ทิมมองชิตรัตน์ก่อนจะก่อนจะส่งสัญญาณให้ลูกน้องที่ยืนอยู่อีกด้านของห้องให้เดินออกไปจากห้อง จนผ่านไปสักครู่หนึ่งก็กลับเข้ามาพร้อมกระเป๋าเอกสารหนังที่ชิตรัตน์มองครั้งเดียวก็จำได้ดีว่าเป็นของตนแน่นอนและซองเอกสารต่างๆอีกหลายซองแล้วนำมาวางไว้ที่โต๊ะตรงกลางระหว่างเขากับทิม

           “ตอนที่คุณหลับไปผมแอบอ่านเอกสารในกระเป๋าของคุณหวังว่าคงจะไม่ว่าอะไรนะ”

            ทิมที่กำลังไล่ดูเอกสารในซองพูดขึ้นโดยไม่มองคู่สนทนา ซึ่งชิตรัตน์ก็ไม่ได้พูดอะไรเพราะถึงเขาจะว่าอะไรไปอีกฝ่ายก็คงทำเป็นไม่รู้ร้อนรู้หนาวเหมือนอย่างเคย

            “คุณหญิงนี่แสบใช่เล่นเลยนะเนี่ย” ทิมเปิดเอกสารไปมาแล้วก่อนจะพูดเบาๆ

           “แล้วคุณจะเอายังไงต่อครับ” ก่อนจะหันขึ้นมาถามคู่สนทนา

           “ก็คงต้องดำเนินคดีตามกฎหมายนั้นละ” ชิตรัตน์เอ่ยออกมาอย่างเหนื่อยใจ

           “เรื่องของโรงแรมและบริษัทก็อีกเรื่องหนึ่ง แล้วเรื่องของแม่คุณละจะเอายังไง”

           “ผมอยากจะถามคุณมานานละ คุณรู้อะไรเกี่ยวกับคุณแม่วาดฟ้าใช่ไหม”

            ชิตรัตน์ว่าเสียงจริงจัง เขามีความรู้สึกแบบนี้มาตั้งแต่เมื่อตอนเช้าที่ห้องแถลงข่าวแล้วว่าผู้ชายตรงหน้าต้องรู้อะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ไม่มากก็น้อย ไม่อย่างนั้นแล้วมีหรือที่คนคนนี้จะกล้าจุดประเด็นสำคัญเช่นนี้กลางสถานที่ที่มีนักข่าวกว่าสามสิบชีวิตแบบนี้โดยไม่มีมูลอะไรเลย

           “ก็รู้เท่าที่เอกสารนี้ที่คุณมีนั้นแหละ อาจเพิ่มเติมตรงที่ผมมีคนที่สามารถเป็นพยานในคดีของแม่คุณได้แถมยังสามารถจับแม่เลี้ยงคุณเข้าไปกินอิ่มนอนหลับในคุกได้สบายๆ”

           “หมายความว่ายังไง ใครที่เป็นพยานได้”

            ชิตรัตน์ทึ้งตัวขึ้นทันทีที่ได้ยินประโยคเมื่อครู่ เพราะเขาคิดมาตลอดว่าพยานในคดีนี้มีเพียงคนเดียวนั้นก็คือวาดฟ้า แม่แท้ๆของเขาที่เสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุเมื่อนานมาแล้ว

           “อย่าใจร้อนสิครับ อ๋อ จริงสิผมให้คนไปรับทนายความของบริษัทคุณมานิ ทำไมยังมาไม่ถึงสักที”

            ชิตรัตน์มองหน้าทิมอย่างหมดคำพูด ที่ว่าไปรับตัวทนายของเขามาเนี่ยไปรับวิธีไหนคุณป้าทนายเขายิ่งอายุอานาไม่ใช่น้อยๆเกิดอีตานี่เล่นพิเรนทร์ป้าทนายได้หัวใจวายตายก่อนจะได้เอาผิดคุณหญิงกันพอดี

           ขณะที่ชิตรัตน์ได้แต่นั่งกุมขมับกับความคิดที่เข้ามาในหัวทิมก็พยายามต่อสายหาคนของตัวเองที่สั่งให้ไปรับคนพิเศษในการทำงานทางกฎหมายมา แต่สายที่กดโทรออกไปยังไม่ทันจะมีใครได้รับสายประตูห้องรับรองพิเศษก็เปิดเข้ามาเสียดื้อๆพร้อมเสียงไม่สบอารมณ์ของคนคุ้นตาของทั้งสองคน

           “ไอ้ทิมแกเล่นบ้าอะไรวะเนี่ย”

           ธานเดินนำเข้ามาพร้อมด้วยชายต่างชาติในสูทสีดำสามคนและอีกหนึ่งหญิงวัยเดียวกับคุณหญิงโฉมฉวีหรือที่ชิตรัตน์เรียกว่าคุณป้าทนายเมื่อครู่ที่เดินอยู่ตรงระหว่างชายชุดดำสองคนในสภาพชุดนอนผ้าซาตินที่คุมด้วยเสื้อสูทของหนึ่งในสองชายที่เดินประกบเข้ามา

           “โจนาธาน ทำไมนายถึงมาอยู่ที่นี้ล่ะ”  ทิมลงโทรศัพท์ในมือลงแล้วถามน้องชายตัวเองอย่างพาซื่อ

           “คำถามนั้นควรเป็นฉันที่ต้องถามแกไอ้พี่เวร เล่นบ้าอะไร”

           ธารถามกลับอย่างอารมณ์เสีย จะไม่ให้เขาหงุดหงิดได้ยังไงกัน เมื่อครู่เขายังเฝ้าสุดที่รักและลูกสาวของเขาที่โรงพยาบาลอย่างมีความสุขยู่เลย ถ้าไม่เพราะโทรศัพท์สายตรงจากชายต่อมาหาเขาพร้อมเล่าให้ฟังว่าไอ้พี่เวรมันอยู่ที่ไทยแถมทำเรื่องให้น้องน้อยสุดที่รักของเขาอาการกำเริมอีก และด้วยความเป็นพี่ชายที่รักน้องดั่งดวงใจ เขาถึงจำต้องยอมจากสุดสวาทขาดใจรักของเขามายืนอยู่ที่นี้

           “เล่นอะไร ฉันแค่มาทำความรู้จักกับน้องเขยฉันต่างหาก”

           ทิมลอยหน้าลอยตาพูดไม่สนใจทำตัวเป็นสุภาพบุรุษไปชงช็อกโกแลตอุ่นๆมาให้สุภาพสตรีหนึ่งเดียวในห้องอย่างเอาใจเพื่อแก้ตัวที่จู่ๆลูกน้องของตนก็พามาทั้งชุดนอนแบบนี้

           “อย่ามาตอแหล ค่อยดูฉันจะโทรฟ้องเมียแก”

           คล้ายคำประกาศิตชี้เป็นชี้ตายที่หลุดออกจากปากของธาร ทำเอาคนที่ตัวไร้สาระเมื่อครู่ถึงกับต้องตาโตรีบผละออกจากทนายสาวรุ่นป้าตรงไปกอดคอเพื่อหวังเอาใจน้องชายสุดที่รักแทน

           “โอ๋ๆๆ ธารน้อยของพี่อย่าทำแบบนั้นเลยนะ ขื่นอนาสตาเซีนกับเฟยหลงรู้เรื่องเข้าเนี่ยพี่ชายคนนี้จะลำบากเอานะ”

           อนาสตาเซียนะไม่เท่าไรพอคุยกันได้แต่ถ้าเฟยเฟยของเขารู้เขามีหวังเขาได้ไปว่ายน้ำเล่นกับฉลามกลางมหาสมุทรแน่ๆ  แค่คิดขนอ่อนที่หลังคอก็ลุกแล้ว...... 

           อาการเหมือนเจอผีของพี่ชายต่างแม่ของเขาทำให้คนที่ถือไพ่เหนือกว่าอย่างธารสะเยาะยิ้มสะใจใส่ไอ้คนกลัวเมียข้างๆ  หน่อยกลัวเมียแต่ดันมีเมียถึงสองน่าหมั่นไส้ที่สุด

           “เรื่องของมึง!”

           ธารพูดทิ้งไว้แค่นั้นแล้วเดินหนีจากพี่ชายทันทีโดยไม่หันลับไปมองว่าอีกคนจะทำหน้าจะเป็นจะตายขนาดไหน  ก่อนจะทรุดนั่งลงข้างๆชิตรัตน์แล้วเริ่มพูดคุยถึงเรื่องเอกสารตรงหน้าและการดำเนินการทางกฎหมายต่อคุณหญิงทันทีอย่างไม่ให้เสียเวลา  จนกลายเป็นทิมเองที่อยู่ๆก็กลายเป็นคนนอกสายตาของคนทั้งสามไปโดยปริยาย

           “เท่าที่คุณชินเล่ามาป้าว่าป่านนี้คุณหญิงไม่หนีออกนอกประเทศไปแล้วหรอ”

            ทนายสาวใหญ่ออกความคิดเห็น หลังจากที่พวกเขาทั้งสี่คนนั่งพูดคุยและลำดับความเชื่อมโยงของคดีทั้งสองเข้าด้วยกัน  เรื่องฉ้อโกงนี้ก็ถือว่าหนักแล้วเจอคดีฆ่าคนตายเข้าไปอีก ติดคุกเป็นสิบๆปีบางทีอาจตลอดชีวิตเสียด้วยซ้ำ ยิ่งกับคนที่หยิ่งยโสอย่างคุณหญิงโฉมฉวีแล้วหล่อนเชื่อเลยว่าคุณหญิงไม่มีวันอยู่บ้านนอนสบายใจรอให้ตำรวจมาจับเป็นแน่ไม่หลบหนีไปต่างจังหวัดก็ออกนอกประเทศไปแล้ว

           “แต่กว่าจะทำเรื่องยื่นพาสปอร์ตมันก็ต้องใช้เวลาอย่างน้อยก็สักอาทิตย์หนึ่งผมว่าคุณหญิงยังน่าจะอยู่ในประเทศนี้ละ”

           ชิตรัตน์ออกความคิดเห็น เพราะเขาเองก็ต้องเดินทางเพื่อทำธุรกิจกับต่างชาติมาก็ไม่น้อยไหนจะเคยไปเรียนที่ต่างประเทศ การจะเดินทางข้ามไปมาระหว่างประเทศอยู่ๆคิดจะไปเลยก็ไม่ใช่ไหนจะขั้นตอนทางศุลกากรอีกละ ถึงจะมีเส้นสายก็คงต้องใช้เวลาเป็นวันเหมือนกันนั้นแหละ

           “ฮึฮึฮึ” 

           ในขณะที่ทุกคนกำลังเคร่งเครียดถกประเด็นกันอยู่นั้น  คนที่ไม่มีใครคุยด้วยมานานอย่างทิมก็ส่งเสียงหัวเราะอย่างมีเล่ห์นัยออกมาเรียกให้คนทั้งสามที่นั่งรวมกันอยู่อีกฝั่งหนึ่งของเขาหันมามองอย่างเสียไม่ได้  และจากวีรกรรมสุดเหวี่ยงหลุดโลกของพี่ใหญ่ของบ้านเอลเมอร์ซี่ที่ชิตรัตน์เพิ่งประสบพบเจอมาเมื่อกี่ชั่วโมงก่อน ทำให้เขากับธารที่เริ่มจะมีความคิดที่ตรงกันเป็นครั้งแรก พวกเขาหันมามองหน้ากันเองก่อนหันไปมองคนต้นเสียงที่ทำหน้าเหมือนกุมความลับสำคัญบางอย่างเอาไว้

           “คุณทิโมธีหัวเราะอะไรหรือคะ”  สุภาพสตรีหนึ่งเดียวในห้องกล่าวถามอย่างไม่เข้าใจ

            “ขอละพี่ อย่าพูดในสิ่งที่ผมกำลังคิดอยู่เลยนะ”  ธารเริ่มวิตกกับคำตอบที่จะได้เช่นเดียวกับชิตรัตน์ที่เริ่มกุมขมับอย่างจำใจรอฟัง
           “ฮึฮึ นายคิดอะไรอยู่หรอน้องรัก” ทิมเล่นหูเล่นตาเย้าแหย่น้องชาย

           “เอาน่าอย่าทำหน้าเครียดกันอย่างนั้นสิ ฉันก็แค่ช่วยไม่ให้คนร้ายหนีไปต่างหาก อย่ามามองฉันในแง่ร้ายแบบนั้น”

           “แล้วไม่ทรายว่าคุณให้วิธีไหนหรอครับ”   อยู่ๆชิตรัตน์ก็รู้สึกเป็นห่วงแม่เลี้ยงของตอนขึ้นมาเสียดื้อๆ  ถึงยังไงก็เป็นคนที่ผูกพันกันมานาน จะเป็นห่วงก็คงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร........

           “ก็วิธีเดียวกับคุณนั้นละมิสเตอร์ชิตรัตน์ แต่ผมทำเบาๆนะแค่ให้ลูกน้องไปรับตัวมาเองตอนนี้คงอยู่ห้องข้างๆนั้นล่ะมั้ง”

           คำตอบที่ได้ก็ไม่ได้ต่างจากที่คาดเอาไว้เท่าไรถึงจะรู้สึกเครียดกับความคิดและวิธีการของอีกฝ่ายแต่ก็คงต้องขอบคุณล่ะมั้งที่ทำให้ได้ตัวคุณหญิงมาไว้ใกล้ก่อนที่อีกคนจะหนีหายไปจนไม่สามารถนำตัวมารับโทษความผิดที่ก่อได้

           “ระวังคุณหญิงจะฟ้องคุณกลับข้อหาลับพาตัวและกักขังนะคะ” ทนายหญิงเตือนเสียงเข้ม

           “เอาน่าเขาฟ้องมาเราก็ฟ้องกลับสิไม่เห็นยากเลย”  ทิมหยักไหล่อย่างไม่แคร์กับเรื่องที่ถูกเตือน

           “งั้นเรื่องฟ้องร้องดำเนินคดีกับคุณหญิงผมคงต้องรบกวนคุณป้าแล้วละครับ เพราะคดีนี้เป็นคดีอุทลุมผมคงทำอะไรเองได้ไม่มาก คงต้องฝากให้คุณป้าจัดการแล้วละครับ”    ชิตรัตน์ละความสนใจในเรื่องที่ทิมสร้างก่อนหันไปคุยกับทางทนายแทน ซึ่งทางนั้นก็รับปากจะช่วยอย่างเต็มความสามารถ
 
           ทั้งสี่พูดคุยรายละเอียดในทางรูปคดีต่างๆที่มีคุณหญิงโฉมฉวีเป็นจำเลยจนทุกอย่างเริ่มเข้าที่เข้าทางจนสามารถเอาผิดคุณหญิงได้อย่างดิ้นไม่หลุด แต่ก่อนที่ทุกอย่างจะถึงการยุติชิตรัตน์ก็เอ่ยขึ้นมาอย่างคนเพิ่งนึกเรื่องสำคัญได้

           “ไหนละครับพยานที่คุณทิมบอกว่าเอาไว้มัดตัวคุณหญิง”    เขาแค่สงสัยเพราะตั้งแต่คุยกันมาทิมไม่เอ๋ยปากถึงพยานปริศนาคนนี้เลยสักครั้งเดียว จนเขาเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่าพยานคนดั้งกล่าวจะมีตัวตนจริงๆดังที่อีกคนว่าหรือไม่ หรือเป็นเพียงคำอุปโลกน์ของอีกคน

           “เดี๋ยวพอถึงเวลาก็รู้เองนั้นละ คนคนนี้อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากตัวเราหรอก”   ทิมว่าสบายๆ ก่อนจะขอตัวกลับเข้าห้องพักเพื่อพักผ่อนเป็นเชิงตัดบทการสนทนาครั้งนี้เสียดื้อๆ

           “พี่ชายคุณเป็นแบบนี้เสมอเลยหรือเปล่าครับ”   ธารไหวไหล่อย่างไม่อยากพูดให้กับคำถามของชิตรัตน์ ก่อนจะออกปากสั่งลูกน้องที่ยืนประจำการเป็นยักษ์เฝ้าประตูให้พาคุณป้าทนายกลับไปส่งที่บ้านเพื่อพักผ่อนก่อนที่จะได้เดินทางไปที่สำนักงานตำรวจเพื่อแจ้งความและขอรื้อแฟ้มคดีเก่าขึ้นมาอีกครั้ง

           “แล้วคุณจะอยู่เฝ้าโรงแรมหรือจะกลับพร้อมผม”    ชิตรัตน์พยักหน้ารับรีบตอบรับคำชวนของธารแล้วเดินตามอีกฝ่ายออกจากห้องไปอย่างรวดเร็ว เพราะจากเวลาที่ข้อมือที่บอกว่าอีกไม่กี่ชั่วโมงก็จะเช้าแล้ว ไม่รู้ว่าปานนี้คนที่เขาเป็นห่วงจะเป็นยังไงบ้างยิ่งได้ยินจากธารบอกว่าเกลอยู่ๆก็อาการกำเริบแบบนี้เขาเองก็อดห่วงไม่ได้ขอกลับไปเจอสักหนึ่งชั่วโมงให้ชื้นใจก็ยังดี

......................................................................

     
   :m20:

ออฟไลน์ wavery

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 124
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-2

:m20:

   “พี่ชิน พี่ชินเป็นยังไงบ้างพี่ทิมไม่ได้ทำอะไรประหลาดๆใส่ใช่ไหม”
     
            เสียงร้องเรียกพร้อมร่างโปร่งบางของเกลที่พยายามวิ่งด้วยตัวเองมากอดชิตรัตน์ที่ยังไม่ทันจะได้เดินเข้ามาในห้องนอนให้เรียบร้อย บ่งบอกถึงความเป็นกังวลและความเป็นห่วงที่มีให้เป็นอย่างมาก จนคนถูกกอดอดที่จะรู้สึกดีไม่ได้ที่ได้เห็นความเป็นห่วงเป็นใยที่อีกฝ่ายมีให้

           “ไม่ครับ พี่ไม่เป็นอะไรแล้วนี้ทำไมเกลยังไม่นอนอีกจะตีสี่แล้วนะ”

           “ก็เกลเป็นห่วงพี่ชิน เกลนอนไม่หลับหรอก”

           ถ้าให้พูดคือเขายังไม่ได้นอนเลยต่างหากล่ะ การที่อยู่ดีๆคนรักของตัวเองไปอยู่กับพี่ชายคนโตที่มีความคิดยากที่จะเข้าใจได้แถมชอบทำอะไรประหลาดๆให้ได้ใจหายใจคว่ำได้ทุกสามวินาทีแบบนั้นเป็นใครใครก็ต้องเป็นห่วงเป็นธรรมดา ขนาดว่าพลให้ยากินไปรอบหนึ่งแล้วเขายังผวาตื่นขึ้นมาได้ตลอดแบบนี้ สู่เขาถางตารอนอนพร้อมชิตรัตน์ที่เดียวให้แน่ใจว่าอีกคนจะกลับมาหาเขาอย่างปลอดภัยอย่างนี้ยังจะดีกว่า

           “แต่ตอนนี้พี่กลับมาแล้วไงครับ ไม่มีอะไรต้องกังวลแล้วนะ”   ชิตรัตน์ระบายรอยยิ้มออกมาแล้วเพิ่มแรงกระชับกอดอีกคนให้แน่นขึ้นไปอีก ก่อนจะขอตัวไปจัดการธุระส่วนตัวของตัวเองให้เรียบร้อย
 
           “พี่ชินจะไปไหนหรือเปล่าครับพรุ่งนี้”  เกลเอ๋ยถามขึ้นทันทีเมื่อเห็นคนรักเดินออกจากห้องน้ำมา

           “ไปธุระนะครับ เกลมีอะไรหรือเปล่า” ชายหนุ่มว่าก่อนสอดตัวเข้าใต้ผ้าห่มข้างๆอีกคนที่กึ่งนั่งกึ่งนอนรออยู่ก่อนแล้ว

           “เกลแค่จะขอไปด้วย เกลไม่อยากอยู่คนเดียว” เจ้าตัวว่าพร้อมกอดแขนของอีกคนไว้ เขาไม่กล้าปล่อยชิตรัตน์ไปไหนคนเดียวอีกแล้ว เขาไม่ไว้ใจพี่ชายสติล้นของเขาเท่าไร

           “เกลจะเบื่อหรือเปล่า พี่ไม่ได้เข้าไปที่โรงแรมนะไปอยู่กับแก้วที่โรงพยาบาลแทนดีกว่าไหมอย่างน้อยก็จะได้มีเพื่อนคุยไง”  เกลส่ายหน้าที่ฝั่งอยู่ที่ไหล่กว้างของชิตรัตน์ไปมาอย่างไม่ยอม  เพราะรู้นี้ละว่าชิตรัตน์จะไปไหนเขาถึงอยากจะไปด้วย

           “แต่...”

           เกลมองหน้าชิตรัตน์อย่างตัดพ้อก่อนพลิกตัวหันหน้าหนีทำเป็นไม่สนใจอีกฝ่ายพร้อมกดสวิตช์ไฟตรงหัวนอนทันที ชิตรัตน์มองการกระทำแสนขี้งอนของคนข้างตัว

            ความจริงเขาอยากจะกลับบ้านมาเพื่อพักผ่อนไม่ได้อยากมาทะเลาะกับอีกคนเลย แต่จะให้เขาปล่อยเอาไว้อย่างนี้ก็คงไม่ได้ในเมื่อเลือกจะอยู่ด้วยกันแล้วการที่ต่างคนต่างไม่เก็บเอาเรื่องที่ไม่พอใจกันเอาไว้นานๆไม่ยอมคุยกันหรือปรับความเข้าใจให้ได้เร็วๆยอมไม่ส่งผลดีต่อชีวิตครอบครัวแน่  ต่อให้ง่วงจนตาจะปิดยังไงชิตรัตน์ก็ต้องอดทนเอาไว้แล้วหันไปให้ความสนใจคนที่นอนหันหลังให้เขาแทนอย่างเสียไม่ได้

           “เกลครับ”

            เจ้าของชื่อยังคงนอนนิ่งทำเป็นไม่สนใจเสียงเรียกของชิตรัตน์ที่พยายามจะง้องอนตน   เรียกไปสักพักแต่เกลกลับยังไม่ยอมที่จะหันกลับมาคุยด้วยชิตรัตน์จึงตัดสินใจรวบเอาคนขี้งอนข้างกายเข้ามากอดไว้จากด้านหลัง

           “พี่ก็แค่ไม่อยากให้เกลเหนื่อยไปตะลอนๆกับพี่” ชิตรัตน์พยายามให้เหตุผลอย่างใจเย็น

           “...”

           “...”

           “...”

           “โอเคครับ ถ้าอยากไปก็ไป”

           สุดท้ายเขาก็ใจอ่อนยอมที่จะพาอีกคนไปด้วยอยู่ดี  เกลยกยิ้มกริมในใจกับคำตอบที่ตนพึ่งพอใจ ก่อนจะพลิกตัวหันกลับมามองหน้าคนรักในความมืด

           “เกลสัญญาว่าจะไม่สร้างปัญหาให้พี่ชินเด็ดขาด”

           รอยยิ้มเล็กๆประดับบนใบหน้าสวยของอีกคนพร้อมขยับกายให้ชิดอีกคนมากขึ้นพร้อมกอดกายคนรักแน่นแทนคำสัญญาเมื่อครู่ที่ให้ไว้ ซึ่งชิตรัตน์ก็ไม่เอ๋ยอะไรมากไปกว่าการกอดตอบอีกคนในวงแขนแล้วเข้าสู่นิทราอย่างรวดเร็วด้วยความเหนื่อยอ่อน
 
         
           เช้าวันนี้เริ่มขึ้นด้วยบรรยากาศแสนครื้นเครงเสียจนเสียงดังลอดออกมาจากโซนห้องอาหารมาถึงบันไดอย่างผิดวิสัย สร้างความแปลกใจให้กับคนที่กำลังก้าวลงบันไดงมาช้าๆด้วยสองขาของตัวเองถึงกับขมวดคิ้วอย่างสงสัย เมื่อเสียงหัวเราะเอิ๊กอ๊ากที่ได้ยินอยู่นั้นคือเสียงของลูกชายหัวแก้วหัวแหวนเพียงคนเดียวของตน

           “คุณแม่!!”    เสียงร้องเรียกของเด็กชายวัยอนุบาลดังขึ้นอย่างตื่นเต้นระคมดีใจเมื่อหันไปเห็นคุณแม่คนสวยเดินทำหน้าสงสัยเข้ามาในห้องอาหาร
           “คุณแม่เดินได้แล้ว คุณลุงทิมดูสิครับคุณแม่ของเกรทเดินได้แล้ว”  ชื่อของอีกคนที่อยู่ร่วมโต๊ะอาหารของเด็กชายทำให้ข้อสงสัยเมื่อครู่ของเกลเป็นอันคลายลง เมื่อทันทีที่ละสายตาจากลูกชายตัวน้อยเงยขึ้นไปสบกับพี่ชายต่างมารดาที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ตรงหัวโต๊ะที่นั่งทำตาโตมองมาทางตนอย่างตกใจจนกาแฟสีเข้มในแก้วใบหรูเกือบหก

           “Oh my god เกลลี่”

            ทิมรีบว่างแก้วกาแฟลงทันทีแล้วตรงปรี่เข้าหาน้องชายสุดที่รักอย่างรวดเร็วพร้อมทั้งจับคนตัวเล็กกว่าหมุนไปมาหลายรอบพร้อมกับถามนู้นนี้นั้นจนเกลเองยังฟังไม่ทัน

           “พอแล้วๆ เกลเวียนหัว”

           “Oop sorry”  คนที่ออกอาการจนเกิดหน้าเกินตาเมื่อครู่รีบกล่าวขอโทษอีกคนทันทีก่อนจะอาสาพาคนที่เพิ่งเริ่มเดินเองไปนั่งที่เก้าอี้

           “แล้วพี่ทำไมถึงมาอยู่ที่บ้านได้ละครับไหนพี่ธารบอกว่าพักที่โรงแรมยังไงละครับ แถมยังอยู่กับน้องเกรทอีก” เกลพูดพร้อมลูบไปที่หัวทุยของลูกชายที่ตอนนี้เกาะเขาจนติดเป็นลูกลิงไม่ยอมปล่อย

           “ก็มันเหงานิเวลาอยู่คนเดียว อีกอย่างพี่อยากมาเจอหน้าหลานชายแสนน่ารักของพี่ด้วยไง” ทิมว่าก่อนส่งยิ้มหวานกินใจส่งให้หลานชายที่ฉีกยิ้มกว้างตอบกลับเขามา อู้ย.. น่ารักอะไรเช่นนี้หลานลุง

           “แน่ใจหรอครับว่าแค่นั้น” เกลว่าดักทางเอาไว้อย่างจับผิด ก่อนเริ่มลงมือทานอาหารตรงหน้า

           “คุณแม่ครับ แล้วคุณพ่อละครับยังไม่กลับหรอ”  เกรทถามขึ้นเมื่อมองไปรอบๆแล้วยังไม่พบใครอีกคนที่ถามถึง เมื่อคืนคุณพ่อก็ไม่เห็นเข้ามาหาเขาเลย...........

           “กลับมาแล้วครับ แต่ยังไม่ตื่นเลยเดี๋ยววันนี้น้องเกรทให้อาชาติไปส่งที่โรงเรียนนะครับ”

           เด็กชายพยักหน้ารับก่อนจะเริ่มทานอาหารที่แม่ของเขาป้อนให้ต่อจากที่คุณลุงป้อนค้างเอาไว้ โดยไม่สนใจการสนทนาของผู้ใหญ่ทั้งสองบนโต๊ะอาหาร

           “แล้วธารละยังไม่ลงมาอีกหรอ”

           “เดี๋ยวก็คงลงมามั้งครับ เห็นว่าวันนี้ต้องไปรับคุณแก้วที่โรงบาลด้วย”

           ทิมขมวดคิ้วอย่างสงสัยกับชื่อที่ไม่คุ้นเคยในบทสนทนาเมื่อครู่ที่เรียกความอยากรู้อยากเห็นของคนที่ทำตัวอยากรู้ไปทุกเรื่องอย่างทิมได้ไม่อยาก

           “แก้วไหน ?”

           “ก็ที่น้องเคนเล่าให้ฟังไงครับ ว่าที่สะใภ้คนใหม่ของบ้านเราไง”

           “อ๋อ ที่ว่าเป็นเลขาของสามีเกลนะน่ะที่ท้องอยู่ใช่ไหม”  เกลพยักหน้ารับแทนคำตอบ ทำเอาคนถามเองถึงกับทำตาโตอย่างเหลือเชื่อกับข้อความที่ได้ยิน

           “แล้วทำไมต้องไปที่โรงบาลด้วยละ หรือว่าคลอดแล้ว”

           “ใช่ครับ ได้ลูกสาว”   ทิมทำหน้าปลื้มปริ่มยิ่งกว่าเดิมกับคำตอบที่ได้รับ ก่อนจะหยิบมือถือส่วนตัวออกมากดข้อความบางอย่างอยู่ครู่หนึ่งแล้วเก็บลงไปที่เดิม

           “คุ้มจริงๆที่มาไทยครั้งนี้ ดูสิได้เจอทั้งหลานชายแถมยังได้หลานสาวเพิ่ม งานนี้ต้องฉลอง”

           ทิมว่าอย่างตื่นเต้นจนเกลอดคิดไม่ได้ว่าถ้าปีแอร์หลุดมาร่วมวงสนทนากับทิมพี่ชายของเขาเนี้ยระดับความน่าปวดหัวขนาดไหน นี้นับว่าโชคดีบนความโชคร้ายของไรอันที่ตอนเช้าฝ่ายนั้นจะมีอาการแพ้ท้องหนักจนลุกไปไหนไม่ได้ทำให้คุณหมอเด็กโข่งประจำบ้านต้องคอยดูแลอย่างใกล้ชิดขนาดที่ต้องยกถาดอาหารเข้าไปทานด้วยกันในห้อง เลยทำให้คู่นี้เขายังไม่ได้มาเจอกัน

           “เกรทไปแล้วนะครับคุณแม่ คุณลุงทิม” เกรทยกมือไหว้ลาคนทั้งสองที่ออกมาส่งตนขึ้นรถไปเรียน

           “รีบกลับนะครับ เดี๋ยวตอนเย็นจะได้ไปรับน้องวีนัสกัน”

           เกลก้มลงพูดกับลูกชายที่ดูจะตื่นเต้นดีใจกับเรื่องของสมาชิกคนใหม่ของบ้านเป็นอย่างมาก ขนาดที่ก่อนไปยังหันมาทิ้งท้ายเอาไว้อีกว่าจะรีบกลับบ้านเร็วๆอีกต่างหาก
 
           “ลูกไปโรงเรียนแล้วหรอเกล”

           ชิตรัตน์ที่เพิ่งเดินลงบันไดมาพร้อมกับธารเอ่ยถามขึ้นเมื่อเห็นคนรักกับพี่ชายตัวแสบของเจ้าตัวยืนอยู่หน้าประตูบ้าน เกลหันกลับมาส่งยิ้มให้ชิตรัตน์พร้อมกับค่อยๆเดินเข้าไปหาอีกคน

           “อ้าว พี่ชินตื่นแล้วหรอครับไม่นอนต่ออีกหน่อยละยังไม่แปดโมงเลยนะ”  เกลว่าอย่างเป็นห่วงเพราะเมื่อคืนชิตรัตน์เพิ่งจะได้ตอนตอนฟ้าใกล้สางไปได้เพียงไม่กี่ชั่วโมง หน้าตาขออีกคนจึงดูอิดโรยอย่างเห็นได้ชัด

           “ไม่ละ เดี๋ยวจะสายเอาแล้วนั้นคุณทิมเขาเป็นอะไรน่ะ”

           ชิตรัตน์ว่าปัดก่อนหันไปมองคนที่เมื่อครู่ยังยืนอยู่กับคนรักที่เดินแยกตัวออกไปข้างนอกพร้อมกับคุยโทรศัพท์มือถือด้วยท่าทียากจะอธิบาย มันเหมือนเด็กที่กำลังโดนแม่ดูอยู่อย่างนั้น............................

           เกลกับธารมองตามหลังพี่ชายคนโตที่ยืนคอตกอยู่ด้านนอกอย่างขบขัน ก็เรื่องที่เจ้าตัวไปก่อเอาไว้เมื่อวานน่ะ มันดังไกลข้ามโลกไปถึงหูภรรยาสุดที่รักทั้งสองของเจ้าตัวโดยฝีมือของเกลที่ส่งเมล์ไปหาเมื่อเช้าเพื่อให้พี่สะใภ้ทั้งสองโทรมาปรับทัศนคติพี่ชายของเขาเสียหน่อย โทษฐานทำน้องชายคนนี้ร้อนใจ.....

           “อย่าไปสนใจเลยมันก็เป็นอย่างนี้ประจำแหละ” ธารตบบ่าชิตรัตน์เบาๆสองสามที่ก่อนจะเดินแยกไปทางห้องอาหาร แต่ก็ไม่วายหันกลับมาพูดกับเกล

           “ น้องเกลจะไปด้วยใช่ไหมครับไปแต่งตัวสิเดี๋ยวจะไม่ทันเอานะ”
 
           เวลาผ่านไปครู่ใหญ่กว่าที่ทุกคนจะจัดการธุระส่วนตัวต่างๆพร้อมด้วยเอกสารที่ทุกคนต่างมืออยู่ให้ครบสำหรับการไปทำธุระสำคัญในครั้งนี้  ที่มีใครอีกคนไปรออยู่ที่นั้นก่อนแล้ว

           “สวัสดีครับป้า รอนายไหมครับ”

           “ไม่น่าหรอกค่ะ แล้วนี้คุณไนติงเกลสินะคะ ยินดีที่ได้พบค่ะ”

           ชิตรัตน์รีบลงจากรถยกมือไหว้ทนายหญิงที่คุ้นเคยกันที่ออกมายืนรอรับพวกตนอยู่ที่หน้าศาลอาญา พร้อมกับคนรักที่วันนี้เลือกที่จะเดินด้วยตัวเองแทนการนั่งอยู่บนวีลแชร์เหมือนอย่างเช่นทุกครั้งจึงจำเป็นต้องให้มีคนค่อยพยุงเดินอยู่ตลอดเวลา

           เมื่อคืนพวกเขาตกลงกันไว้ว่าวันนี้จะเริ่มต้นที่ศาลอาญาเพื่อร้องขอต่อศาลให้ช่วยนำคดีความของวาดฟ้ากลับขึ้นมานำสืบใหม่อีกครั้งโดยมีการยื่นหลักฐานพร้อมขอเบิกพยานบุคคลเพิ่มเติมประกอบการนำสืบในครั้งนี้ซึ่งทางศาลเองก็ยอมรับเรื่องนี้เอาไว้พิจารณาก่อนและจะติดต่อไปอีกครั้งเพื่อนัดมาฟังข้อพิพาท

           พอเสร็จจากศาลอาญาแล้วชิตรัตน์ก็เดินทางไปยังสถานีตำรวจในท้องที่ใกล้เคียงเพื่อแจ้งความดำเนินคดีกับคุณหญิงในฐานะฉ้อโกงบริษัทและปลอมแปลงเอกสารการซื้อขายที่ดินและอีกหลายกระทงที่พวกเขาเจอโดยมีคนของทางวิวัฒน์พงษ์ที่เคยส่งข่าวภายในให้เมื่อครั้งก่อนมาเป็นพยานในครั้งนี้แม้จะไม่ประสงค์ออกนามก็ตาม  เลยทำให้เรื่องนี้กลายเป็นข่าวใหญ่ทันทีในช่วงเที่ยงของวัน
 
           “แล้วเรื่องของคุณหญิงละจะว่ายังไง คุณลับพาตัวเขามาขังเอาไว้แบบนี้เรื่องมันจะไม่โยงมาถึงเราหรือไง”

            ป้าทนายขึ้นมาอีกครั้ง หลังจากที่พวกเขาตะลอนเดินสายเข้าออกศาลกับโรงพักกันมาตั้งแต่ช่วงเช้าจนค้อยบ่ายจึงได้กลับมาตั้งหลักพักเหนื่อยกันที่ห้องทำงานของชิตรัตน์ที่โรงแรม

           “เรื่องนั้นไม่ต้องเป็นห่วงไปครับ ผมเคลียร์ทุกอย่างเอาไว้หมดแล้ว”

           ทิมว่าอย่างสบายใจพลางยืดเข่งยืดขาพาดโต๊ะกระจดตรงหน้าอย่างสบายอารมณ์  ในเมื่อคนในเป็นใจช่วยให้เขาส่งคนเขาไปพาตัวคุณหญิงมาขนาดนี้ มีหรือเรื่องจะสาวมาถึงตัวเขาได้จริงไหม....

              “แกนี้มันจริงๆเลย”  ธารเองก็อดที่จะถลบออกมาอย่างปลงๆไม่ได้ หมอนี้มันเจ้าเล่ห์เกินกว่าที่คนธรรมดาจะตามความคิดทันได้จริงๆ

           “แต่พี่ทิมบอกว่าพี่เอาคุณหญิงมาไว้ที่นี้ ถ้าเกิดว่าคุณหญิงคิดจะเอาเรื่องพี่ชินแทนขึ้นมาจะทำยังไงละครับ”

           เกลถามขึ้นอย่างมีกังวล เพราะสัญลักษณ์ของโรงแรมก็มีให้เห็นได้ทั่วไปและยิ่งกับคุณหญิงที่อยู่ที่นี้มานานมองแค่แป๊บเดียวก็คนรู้แล้วว่าที่นี้คือที่ไหน ถึงจะมั่นใจว่าคุณหญิงจะไม่ทำร้ายชิตรัตน์แต่เขาก็ไม่วางใจอยู่ดีว่าอีกคนจะไม่เอาเรื่อง

           “คือ...พี่โกหกนะ “

           แต่คำพูดของทิมที่เอ่ยขึ้นมาเบาๆ นั้น ทำให้คนที่อยู่ในห้องหันมามองชายหนุ่มเป็นตาเดียวอย่างไม่เชื่อหูตัวเอง โดยเฉพาะชิตรัตน์ที่ดูจะอึ้งหนักกับคำพูดนั้นของทิม

           “ไอ้ทิมแกเอาตัวยัยแม่มดนั่นไปไว้ที่ไหน”   ธารที่ดูจะหมดความอดทนกับพี่ชายของตัวเองมาที่สุดเป็นคนคว้าเข้าที่คอเสื้ออีกคนอย่างเอาเรื่อง

           “ใจเย็นสิ เดี๋ยวเสื้อพี่ก็ยับหมดหรอก”

           ทิมยิ้มแหย่พร้อมปัดมือของธารออกก่อนจะจัดมันให้เข้าทรงดีๆอีกครั้ง  แต่ก็ต้องหยุดชะงักกับสายตาที่เริ่มแสดงความไม่พอใจของน้องเล็กคนสวยที่เริ่มกดสายตามาทางเขาอย่างหนักจดเขาเองยังอดกลืนน้ำลายลงคออย่างหวาดๆไม่ได้

           “พี่เอาคุณหญิงไปไว้ที่ไหนครับ”

           ไม่เคยมีครั้งไหนที่ทิมจะทนต่อสายตากดดันของเกลได้เลยสักครั้ง ชายหนุ่มกลืนน้ำลายเหนียวของตัวเองลงคอก่อนจะยอมบอกที่ซ้อนที่แท้จริงของคุณหญิงให้ทุกคนรู้

           “ท่าเรือขนส่งของบริษัท เอลเมอร์ซี่.....”

__________________________________________________________________________

ทักทายผู้คนตามสไตล์พี่ทิมคนหล่อสองเมียกันหน่อย
วันนี้วันของนางจริงๆ ลองสองตอนมีแต่นางทิมที่แย้วๆอยู่คนเดียวในขณะที่คนเขาเครียดกันหมด

ขอบคุณที่ติดตามนะคะ

ออฟไลน์ about

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 254
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0

ออฟไลน์ Jibbubu

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3385
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-6
ไม่รู้ว่าพ่อของพี่ชินแต่งงานกับคุณหญิงเพราะอะไรและมีคนรักอยู่ก่อนมั้ย แต่ก็น่าเห็นใจคุณหญิงนะว่าโดนผัวนอกใจไปมีชู้แล้วเล่นพามาเข้าบ้านพร้อมทั้งมีลูกแบบนี้ก็คงช้ำใจใช่เล่น แต่ก็ไม่รู้อีกแหล่ะว่านิสัยคุณหญิงแกร้ายแบบนี้หรือเปล่าผัวถึงนอกใจไปมีคนอื่นน่ะ

ออฟไลน์ wavery

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 124
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-2
ฝนหยดที่ 30


  “ปล่อยฉันออกไปเดี๋ยวนี้นะ นี้!! ได้ยินที่พูดไหม! หูแตกกันหรือไงฉันบอกให้ปล่อยฉันเดี๋ยวนี้!!”

           เสียงร้องอย่างบ้าคลั่งของคุณหญิงโฉมฉวีที่อาละวาดร้องสั่งให้คนที่อยู่ข้างนอกให้ปล่อยหล่อนออกจากตู้คอนเทนเนอร์ตู้หนึ่งที่ได้มีการนำมาดัดแปลงให้กลายมาเป็นห้องพักในแรงแรมขนาดย่อมที่มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบเครื่อง ยกเว้นเสียแต่อิสรภาพของคนที่อยู่ในนั้นตอนนี้เท่านั้น

           หลังจากที่ถูกพาตัวออกมาจากบ้านมาจนถึงที่นี้ก็เป็นเวลาเกือบเย็นแล้ว ยิ่งระว่างทางที่อยู่บนรถหล่อนถูกปิดทั้งปากและตาทำให้ไม่สามารถมองเห็นเส้นทางที่ตนผ่านมาได้ บวกกับคนขับรักษาระดับการขับด้วยความเร็วที่คงที่ขนาดว่าซาเล้งเก่าๆยังขับแซงได้ ทำให้ไม่สามารถระบุได้ว่าตอนนี้ตนอยู่ไกลจากเมืองหลวงมากเท่าไร  อีกทั้งพอมาถึงคนพวกนั้นก็จับหล่อนโยกเข้ามาในห้องแล้วปิดประตูขังเอาไว้ทันทีไม่มีการพูดหรือบอกกล่าวอะไร จะมีก็แต่อาหารที่วางอยู่บนโต๊ะพร้อมเสื้อผ้าที่ใช้สำหรับเปลี่ยนผลัดเท่านั้น  แต่ถึงจะหยิ่งในศักดิ์ศรีและถือดีขนาดไหนแต่หล่อนก็ไม่โง่ขนาดที่จะยอมอดข้าวอดน้ำประท้วงหรอก ดีเสียอีกอย่างน้อยได้กินอิ่มนอนหลับจะได้เป็นการเพิ่มพลังงานที่จะเอาไว้ใช้ในวันพรุ่งนี้ อย่างเช่นในตอนนี้เป็นต้น

           “หูแตกกันหรือยังไง ฉันบอกให้ปล่อยไงไม่หรือไงว่าฉันเป็นใคร ค่อยดูนะฉันออกไปได้เมื่อไรฉันจะลากคอพวกแกเข้าตารางให้หมด คอยดู!”

           แต่ถึงจะตะโกนให้ลำคออักเสบยังคนที่มีหน้าที่เฝ้าอยู่ข้างนอกนั้นก็หาได้ใส่ใจกับประโยคคำสั่งที่ไร้น้ำหนักนั้นอยู่แล้ว ออกแนวจะรำคาญเสียมากว่าด้วยซ้ำไป

           “เมื่อไหร่ป้าแกจะยอมเงียบสักทีเนี่ยตะโกนมาจะร่วมสองชั่วโมงแล้วนะ ไม่เหนื่อยหรือเจ็บคอบ้างหรือไง”

           ชายหนุ่มที่เคยเป็นหนึ่งในคนที่ไปหิ้วตัวคุณหญิงมาจากบ้านเอ่ยขึ้นอย่างเหนื่อยใจที่ต้องมาเฝ้าตัวปล่อยมลพิษทางเสียงเคลื่อนที่แบบนี้ ที่ทำเอาเหล่าเพื่อนร่วมชะตากรรมเดียวกับเขากว่าสามชีวิตต้องหาที่ปิดหูมาช่วยบรรเทาอาการแสบแก้วหู

            “เออน่า เดี๋ยวพอป้าแกเหนื่อยเดี๋ยวก็หยุดไปเองนั้นละ เฮ้อ คิดผิดจริงๆที่หวังดีเอาน้ำเข้าไปให้เป็นแพ๊คป่านนี้ถึงไม่ยอมหุบปาก”

           ชายอีกคนว่าพรางส่ายหน้าอย่างละอา ก็เห็นว่ามีอายุแล้วใครมันจะคิดละว่าฤทธิ์จะเยอะเหมือนอายุขนาดนี้ ยิ่งคิดถึงตรงนี้แล้วอย่างจะทึ้งหัวตัวเองแรงๆสักทีที่ดันเป็นคนดีไม่รู้เรื่องแบบนี้ ขื่นถ้าป้าแกยังไม่หยุดแหกปากไม่แน่ว่าเพื่อนผู้เงียบขรึมและขี้รำคาญอันดับหนึ่งของเขาเส้นความอดทนหมดเมื่อไรป้าแกจะไปลงไปว่ายน้ำเล่นกับปลาในอ่าวไทยแทนการไปนั่งคุยกับบอสเขาเสียนี่

           “เฮ้ยๆๆ เสียงเงียบไปแล้วเว้ย”

           หนุ่มคนแรกพูดขึ้นอย่างดีใจ พร้อมสะกิดเพื่อนรักที่คิดออกอ่าวไทยไปเมื่อครู่ให้ได้รู้ความ  ก่อนที่ทั้งสองจะถอนหายใจอยากโล่งอก แต่ก็เงียบไปเพียงไม่กี่อึดใจเสียงตะโกนก็ดังลอดออกมาให้ได้ยินอีกครั้งให้ปวดหัวเล่น จนคนขี้รำคาญถึงกลับต้องลุกเดินออกไปดูต้นทางข้างนอกแทนเพื่อเป็นการสงบจิตสงบใจตนเองไปในตัวด้วยเช่นกัน

           สองหนุ่มมองหน้ากันอย่างหาที่พึ่งแต่ก็ไม่สามารถทำอะไรได้เพราะต่อให้พวกตนสวมบทโหดเอามือทุบตู้เสียงดังเอาเท้าเตะให้ผนังยุบสุดท้ายคนในห้องก็ยังคงต่อปากต่อคำพวกเขาได้อย่างไม่มีหวาดเกรง ก็คงได้แต่หวังว่าคนเป็นนายจะรีบๆมาช่วยชีวิตพวกตนไวๆอย่างเดียวเท่านั้น............
 
           ไม่ใช่แค่สองหนุ่มผู้จ้องเผชิญชะตากรรมการร้องขอให้นายมาถึงที่ท่าเรืองขนส่งแห่งนี้โดยไว  ทางชิตรัตน์เองก็รีบเร่งที่จะไปถึงที่หมายให้ไวเช่นกัน ถึงจะเป็นฝ่ายที่เอ่ยปากของตัดสัมพันธ์ฉันแม่ลูกเองแต่ความผูกพันที่มีให้กันมานานหลายสิบปีทำให้ลึกๆภายในใจของเขาแล้วก็ยังคงอดเป็นห่วงเป็นใยคนที่แสนร้ายกาจอย่างนั้นไม่ได้  อยากจะโทษความไม่เด็ดขาดของใจตัวเองที่ยังคงเป็นลูกที่ดีต่อบุพการีที่เลี้ยงตนมาจนหลายครั้งที่สุดท้ายแล้วกลับต้องเป็นตัวเขาเองที่เจ็บปวด

           “ไม่ต้องเป็นห่วงไปหรอกครับ พี่ทิมน่ะไม่ทำอะไรคุณหญิงหรอก”

           เกลที่มองสีหน้าตึงเครียดของคนรักแล้วก็อดเป็นห่วงไม่ได้ จึงต้องเอื้อมมือไปจับที่ไหล่กว้างของอีกคนเอาไว้แล้วบีบเบาพร้อมพูดเพื่อให้คลายกังวลลงแม้ว่าในใจยากจะคิดให้เป็นแบบที่พูดได้

           “นี้ ผมว่านะเอาเวลาที่คุณมาเป็นห่วงแม่เลี้ยงคุณน่ะมาเป็นห่วงพวกลูกน้องผมที่เฝ้าคุณหญิงอยู่จะดีกว่า เนี่ยลูกน้องผมที่อยู่คันข้างหลังส่งข้อความมาบอกให้ผมรีบๆไปเพราะคนที่ผมส่งไปเฝ้าแม่คุณดูท่าจะทนเสียแสนล้านปรอทไม่ไหวแล้ว”

           ทิมแย้งแล้วหยิบเอาข้อความเมื่อครู่ที่เพิ่งเข้ามาส่งให้คนทั้งสองดู แต่กลับไปรับสายตาไม่ค่อยพอใจกับการกระทำเมื่อครู่จากน้องชายเสียแทนจนต้องหันกลับมานั่งที่ตัวเองดีๆแทนการหันไปวุ่นวายกับชิตรัตน์ที่ไม่แม้จะปายตามามองตนเลยด้วยซ้ำไป

           “อย่าไปใส่ใจที่พี่ทิมพูดเลยนะครับ พี่เขาแค่ไม่อยากให้พี่ชินเครียดเท่านั้นเอง”

             เกลรีบแก้ต่างให้พี่ชายตัวเองพร้อมซบแก้มแนบกับต้นแขนของอีกคนที่แค่หันมายิ้มนิดๆให้ตนเพียงเล็กน้อยแล้วหันออกไปมองข้างทางแทน
 

           เกือบสองชั่วโมงรถยนต์คันโตพร้อมด้วยรถติดตามอีกสองคันก็มาจอดสนิทอยู่ที่หน้าทางเข้าโกดังเก็บของใจกลางท่าเรืองขนส่งของบริษัทสัญญาติอังกฤษ  ที่ตอนนี้มีชายต่างชาติสามคนที่คาดว่าน่าจะเป็นของทิมที่ให้เฝ้าคุณหญิงเอาไว้ออกมาตอนรับการมาถึงของพวกเขา ประตูรถคันใหญ่ถูกเปิดออกโดยชายหน้านิ่งที่เป็นหนึ่งในสามคนที่ออกมารับพวกเขาเมื่อครู่ประจวบเหมาะกับที่ผู้ติดตามทั้งสองคันรถออกมายืนพร้อมหน้าอยู่ด้านข้างรถเป็นที่เรียบร้อย

           “เป็นไงมั่งแขกของฉันอยู่สบายดีใช่ไหม”

           ทิมถามเสียงสบายผิดกับหน้าตาบ่อบุญไม่รับของลูกน้อง ที่ออกอาการคล้ายคนจะร้องไห้อยู่สองคน อยากฆ่าเจ้านายตัวเองอีกหนึ่งคนที่ส่งเขามาทำเรื่องบ้าบอแบบนี้

           “สบายมากครับ นี้ก็ตะโกนมาได้เกือบสองชั่วโมงแล้วยังไม่มีทีท่าว่าจะหยุดเลยครับ”

            ทิมหัวเราะร่าขึ้นทันควันหลังได้ยินคำตอบของ เอริค น้องชายบุญธรรมของเขาที่ถูกเขาส่งมาคุมพวกลูกน้องอีกที จนธารอดไม่ได้ที่จะตบเขาที่ไหล่หนาของเอริคไม่ได้

           “เอาน่าอย่าคิดมากสิ อย่างน้อยก็สามารถบอกได้ว่าคุณหญิงแม่มดนั้นน่ะยังแข็งแรงพลังเหลือล้นขนาดไหน ป่ะ เข้าไปหากันดีกว่าเนอะ”

            ทิมอ้างพร้อมตัดบทเดินนำทุกคนเข้าไปด้านในโกดังแทนเพราะเขาเองก็ยังไม่อยากเห็นด้านมืดของชิตรัตน์เสียเท่าไร ก็ดูเอาสิจ้องเขาอย่างจะกินเลือดกินเนื้อก็ขนาดนั้นเห็นอย่างนี้เขาก็ยังอยากมีชีวิตกับไปนอนกอดสองเมียรักที่นอนรอเขาอยู่ที่อังกฤษอยู่นะเออ

 
           ชิตรัตน์เดินตามหลังทิมและธารเข้ามายังด้านในโกดังที่ถูกดัดแปลงบางส่วนให้เป็นเหมือนห้องออฟฟิตขนาดกลางที่จุคนได้ประมาณสามสิบคนตรงด้านบนส่วนด้านล่างที่พวกเขายืนกันอยู่ตอนนี้เป็นพื้นที่โล่งๆที่มีตู้คอนเทนเนอร์วางเรียงกันอยู่หลายตู้ก่อนจะได้ความจากคนข้างกลายว่ามันถูกดัดแปลงให้เป็นห้องพักของพนักงานทีต้องอยู่เฝ้าของฝนโกดังเก็บของแห่งนี้ แต่ถึงจะมีตู้นอนอยู่หลายตู้แต่กลับมีตู้หนึ่งที่เรียกความสนใจจากพวกเขาได้มากที่สุดก็คนจะเห็นเป็นตู้คอนเทนเนอร์ตู้สุดท้ายที่อยู่เกือบถึงทางออกอีกด้านหนึ่งของโกดังแห่งนี้ที่ส่งเสียงพร้อมทุบตีเสียงดังจนไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเป้าหมายที่พวกตนต้องการพบอยู่ที่ใด

 
           เกลมองท่าทีของคนรักที่ดูมีความประหม่าอยู่เล็กน้อยในสายตาที่สั่นไหวยามเมื่อใกล้ถึงเวลาที่จะต้องเจอกับใครบางคนที่ยังไม่พร้อมเจอ  เขาก็พอเข้าใจถึงเหตุการณ์ของคนทั้งคู่อยู่ในระดับหนึ่งแต่เขาไม่ใช้คนที่อยู่ในฐานะจะพูดไปว่าตนไปรู้อะไรมาบ้างและไม่ได้อยู่ในฐานะที่จะบอกได้เต็มปากว่าเข้าใจความรู้สึกที่อีกคนกำลังเก็บกักเอาไว้ลึกๆได้  เขาจึงเลือกที่จะเอื้อมมืออกไปกุมฝ่ามือหนาของอีกคนเอาไว้แทน โดยหวังว่าแรกใจเพียงเล็กน้อยที่ตนมีอยู่ตอนนี้จะพอช่วยให้ชิตรัตน์พอจะมีความกล้ามากขึ้นที่จะเจอหน้าคุณหญิงไม่มากก็น้อยและดูคล้ายว่าชิตรัตน์เองจะเข้าใจความหมายที่ถูกส่งผ่านมาจากมือที่กรอบกุมเขาเอาไว้ ชายหนุ่มจึงกระชับฝ่ามือข้างนั้นให้จับกันแน่นมากขึ้น

           “เกลจะอยู่ข้างๆพี่ชินเอง”

           ชิตรัตน์ยิ้มกับรับคำพูดที่ทำให้รู้ว่าอย่างน้อยตอนนี้ก็ไม่ใช่แค่เขาที่กำลังเผชิญกับเรื่องนี้แม้ผลที่จะตามมาจากการมาเจอหน้าคุณหญิงในเรื่องนี้มันไม่ได้มีแต่เรื่องที่ดีเท่านั้นที่จะต้องเจอในอนาคตแต่เขาก็พร้อมแล้วที่จะเผชิญกับมัน

           “ปล่อยฉันออกไปเดี๋ยวนี้ หูแตกกันหรือไง!”

             ยิ่งเดินเข้ามาใกล้เสียงที่คุ้นเคยของคนที่ถูกขังอยู่ในตู้คอนเทนเนอร์ดังชัดมากขึ้น  จนมีบางครั้งที่เกลเผลอสะดุ้งโหยงกับเสียงทุบตึงที่แสดงออกมา

           “ฉันว่ารีบๆเปิดประตูออกสักทีเถอะ จะได้คุยให้เสร็จๆเรื่องจะได้จบสักที” ธารว่าอย่างไม่ค่อยสบอารมณ์เสียเท่าไรขณะก้มมองนาฬิกาข้อมือไปด้วย  นี้ก็ใกล้ได้เวลาไปรับแก้วกับลูกแล้วเขายังทำธุระไม่เสร็จสักที

           ทิมหันไปพยักหน้าส่งให้ลูกน้องที่อยู่ใกล้ที่สุดเป็นคนเข้าไปปลดล็อกกุญแจที่คล้องอยู่ที่ด้ามจับประตูของตู้ให้เปิดออก  แล้วเดินนำเข้าไปข้างใน

           “พวกแกจับตัวฉันมาทำไม อ๋อ ฝีมือแกเองสินะไอ้เด็กเหลือขอ”

           คุณหญิงที่เขยิบตัวถอยห่างออกจากบานประตูที่เปิดออกตอนที่ผู้มาใหม่ก้าวเข้ามาเอ่ยถามขึ้นอย่างไม่วางใจก่อนรู้สึกโล่งอกเมื่อเห็นหน้าตาของลูกชายเพียงคนเดียวของหล่อนเดินเข้ามาตามหลังหนุ่มแปลกหน้าที่ทำลอยหน้าลอยตาจนอดหมั่นไส้ไม่ได้พอจะพูดขอความช่วยเหลือพลันสายตาก็เหลือบไปเห็นใครอีกคนที่เดินตามหลังลูกชายเขามาจนอดไม่ได้ที่จะทำเสียงเย้ยหยันขึ้นเมื่อเห็นว่าใคร

           เกลที่ถูกเรียกด้วยถ้อยคำดูเหยียดก็อดจะแสดงสีหน้าไม่พอใจใส่คนพูดไม่ได้แต่ก็ไม่ได้ทำอะไรมากไปกว่าการที่ตนกระชับมือที่กุมอยู่กับชิตรัตน์ไว้ให้แน่นขึ้นเท่านั้นเพราะคนที่โต้ตอบกลับไปอย่าไงไม่พอใจกลับเป็นทิมและธานที่เดินตามเข้ามาเป็นคนสุดท้าย

           “อ้าวๆ ป้า ทำไมพูดจาเป็นหมาเห่าแบบนี้ละครับ”

           ทิมว่าส่วนไปอย่างไม่พอใจที่อยู่ผู้หญิงตรงหน้าพูดจาดูถูกน้องชายคนเล็กที่เขาดูแลมาอย่างดีอย่างนี้ เช่นเดียวกับธารที่ยกมือขึ้นกอดอกไม่ชอบใจก่อนจะพูเสริมพี่ชายของตน

           “นั้นสิ เป็นถึงคุณหญิงแต่สมบัติผู้ดีนี้ไม่เคยอ่านหรือยังไงครับหรือวันๆใช้ชีวิตอยู่แต่กับแม่ค้าปากตลาด”

           “นี่พวกแก!!”

           คุณหญิงเองก็ตะคอกกลับอย่างไม่พอใจที่อยู่ๆโดนเด็กคราวลูกส่วนกลับเชิงสั่งสอนเช่นนี้ ชิตรัตน์ที่มองดูเหตุการณ์ตรงหน้าอยู่สักพักก็ออกตัวมาเป็นกรรมการห้ามศึกแทน

           “พอกันสักทีเถอะครับ เรามาคุยธุระกันแค่นั้น พอเสร็จแล้วคุณทิมก็จะพากลับไปส่งบ้านถูกไหมครับ”

           ด้วยความที่เขาเองก็ไม่อยากจะเสียเวลาไปกับเรื่องไม่เป็นเรื่องอย่างสงครามน้ำลายของทั้งสองฝ่าย ชิตรัตน์จึงต้องพูดจุดประสงค์ในครั้งนี้ออกไปพร้อมมัดมือชกให้อีกคนที่ละทิ้งหน้ากากคนอารมณ์ขันไปจนเหลือเพียงหน้าตาและอามรณ์ที่แท้จริงอย่างทิมที่จ้องมองคุณหญิงตาเขม็งด้วยใบหน้าที่เรียบนิ่ง

           “แต่พวกมันจับตัวฉันมาแกต้องเขาข้างฉันสิตาชินฉันเป็นฝ่ายเสียหายนะ”

           “ก็ถ้าคุณไม่คิดหนีมีหรือที่ผมจะให้คนไปเอาตัวคุณมาขังไว้ที่นี้นะ”  ทิมส่วนขึ้นทันทีเมื่อคุณหญิงออกปากเรียกร้องความเห็นใจจากคนที่หล่อนไม่คิดจะตัดขาดความสัมพันธ์ด้วย

           “ที่ผมให้คนไปพาตัวคุณมาก็เพราะว่าคุณหญิงกำลังหนีความผิดซึ่งผมคงยอมไม่ได้” ทิมว่าพร้อมเดินไปนั่งลงที่โซฟาขนาดสามคนนั่งพร้อมยกมือพาดไปตามพนักพิงโดยที่สายตายยังไม่ยอมละไปจากตัวการเมื่อครู่

           “ใครว่าฉันจะหนี ฉัน ฉันแค่จะไปพักผ่อนที่ต่างประเทศเฉยๆ” หน่อยแก้ตัวน้ำขุ่นที่ทำให้คนฟังยังต้องส่ายหน้า

           “ตอแหลมาก” แต่คนปากไวอย่างทิมหรือจะปล่อยให้คำหลวงนั้นเป็นจริง

           คุณหญิงชักสีหน้าไม่พอใจขึ้นมาทันทีเมื่อโดนส่วนกลับกลับมาเช่นนั้น แต่คนที่ยืนทนฟังมานานอย่างเกลเริ่มที่จะเบื่อหน่ายกับการโต้คารมไร้สาระพวกนี้เต็มทน เขาไม่อยากอยู่ในพื้นที่แคบๆหายใจเอาอากาศเข้าปอดร่วมกับผู้หญิงตรงหน้าเท่าไรนัก จึงใช้มืออีกข้างที่ว่างอยู่กระตุกชายเสื้อของธานให้รู้สึกตัวแล้วรีบๆทำเรื่องที่ค้าคาเอาไว้เสีย

           “ผมว่าเรารีบๆเข้าเรื่องกันดีกว่า ผมต้องรีบไปรับเมียกับลูกอีก”  ธารที่เข้าใจความต้องการของน้องชายจึงเป็นฝ่ายออกปากพูดขึ้นโดยเอาเรื่องส่วนตัวขึ้นเป็นข้ออ้าง

           “หึ เด็กนั้นมันยังไม่ตายอีกเหรอ”

           แต่ดูเหมือนคุณหญิงจะยังไม่เข็ดหรือรู้สถานะของตัวเองที่ดันเอ่ยปากพูดจาแสนร้ายกาจแบบนั้นจนเส้นความอดทนของเกลที่มีอยู่น้อยนิดถึงกลับขาดสะบั้นลงปล่อยมือที่กุมอยู่กับชิตรัตน์ออกแล้วตรงเข้าไปฟาดฝ่ามือใส่ข้างแก้มของคนปากเสียอย่างแรงจนล้มลงไปกับพื้น
 
          เพี้ยะ !

           ท่ามกลางสายตาตื่นตะลึงของทุกคนในห้องที่มองเหตุการณ์อยู่  เช่นเดียวกับคุณหญิงที่ลงไปนั่งกับพื้นก็ยังหันมามองเกลอย่างไม่เชื่อสายตาตัวเองเพราะคิดว่าอยู่ต่อหน้าชิตรัตน์แล้วเกลจะไม่กล้าที่จะทำอะไรตนแน่แต่หล่อนคิดผิด ความเจ็บที่ข้างแก้มทำให้หล่อนรู้ว่ามันคือเรื่องจริง

           “นี้แกกล้าตบฉันอย่างงั้นหรอฮะ!!”

            คุณหญิงตะโกนกร้าวพร้อมพยุงตัวลุกขึ้นหมายจะเอาคืนคนที่ตบหล่อนจนปากแตก  แต่มีหรือที่ลูกน้องจะปล่อยให้ใครที่ไหนเข้ามาทำร้ายเจ้านายตัวเองได้ ชายหนุ่มที่เป็นคนเปิดประตูเมื่อครู่รีบตรงเข้าไปรั้งตัวของคุณหญิงเอาไว้ทันที่เช่นเดียวกับชิตรัตน์ที่รีบวิ่งเข้าไปดันตัวคนรักหลบไปที่ด้านหลังของตัวเอง

           “พอได้แล้ว!!”

           และก็เป็นชิตรัตน์อีกครั้งที่เริ่มหมดความอดทน คราวนี้คุณหญิงยอมนิ่งเงียบแต่โดยดีไม่มีขัดอะไรไม่รู้เป็นเพราะตกใจกับเรื่องเมื่อครู่หรือเพราะคำพูดนั้นมาจากปากของชายหนุ่มเอง แต่ก็ถือว่าความวุ่นวายขนาดย่อมเมื่อครู่ยุติลงด้วยดี

           ชิตรัตน์โอบประคอมคนรักของตนให้มานั่งลงที่เก้าอี้ใกล้ๆเมื่อเห็นว่ามือของอีกคนเริ่มที่จะสั่นจนยากจะคุมได้ ธารที่มองอยู่ไม่ไกลจึงสั่งให้ลูกน้องยืนประกบคุณหญิงเอาไว้เพื่อความปลอดภัยของน้องน้อยที่รักของเขาทันที

           “เรามาเข้าเรื่องของเรากันเลยดีกว่าไหมครับ เสียเวลามามากพอแล้วรีบๆทำให้เสร็จก่อนที่ผมจะหมดความอดทนดีกว่านะ”

            คนที่อยู่ในโหมดจริงจังอย่างทิมพูดขึ้นพร้อมคำขู่ในตอนท้ายทำให้ทุกคนเริ่มหาที่นั่งลงเพื่อเริ่มการเจรจาในครั้งนี้เสียที  ทิมไม่ชอบความวุ่นวายและที่ไม่ชอบที่สุดคือการเห็นใครมาพูดจาไม่ดีใส่น้องหรือทำให้น้องเขากลัวอย่างตอนนี้   รีบๆคุยให้จบก่อนที่เขาจะหมดความอดทนส่งคุณหญิงประสาทเสียนี้ลงไปเป็นผีเฝ้าท่าเรือ

..............................................................

         
:serius2:

ออฟไลน์ wavery

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 124
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-2

:serius2:

   เมื่อทุกคนหาที่นั่งกันได้ครบแล้วและพร้อมที่จะเริ่มคุยกันเสียที ชิตรัตน์จึงหยิบเอาเอกสารต่างๆที่พวกเขารวบร่วมกันมาเอามาวางไว้ตรงหน้าของคุณหญิง ทีแรกหล่อนทำหน้าไม่รับรู้อะไรจนมาถึงเอกสารชุดสุดท้ายที่ถูกวางลงบนโต๊ะ ใบหน้าแสนเย้อหยิ่งเมื่อครู่พลันซีดเผือกอย่างเสียไม่ได้ จนต้องตะหวัดสายตามองคนที่หยิบมันมาวาง

           “ที่ผมจะคุยกับคุณคือเรื่องในเอกสารพวกนี้นี้แหละครับ” ชิตรัตน์เปิดประเด็น

           “ตอนนี้ผมได้ทำการแจ้งข้อหาคุณในฐานฉ้อโกงบริษัทและขโมยงานของบริษัทไปรวมถึงการที่เราไปขอให้มีการนำคดีของ คุณแม่ ผมกลับมาสืบใหม่อีกครั้ง”

           คำเรียกวาดฟ้าที่หล่อนได้ยินมันช่างเสียดแทงใจหล่อนมากกว่าการที่ได้ยินว่าลูกชายที่หล่อนเลี้ยงมากับมือแจ้งความดำเนินคดีกับตัวเธอเอง ถึงจะไม่เกินความคาดหมายที่คิดไว้แต่ก็ไม่อยากจะต้องมารับรู้ด้วยปากของชิตรัตน์เองแบบนี้แถมยังต่อหน้าคนที่หล่อนเกลียดแสนเกลียดนี้อีก

            คุณหญิงจ้องมองไปยังคนรักของชิตรัตน์ด้วยสายตาเครียดแค้นอย่างไม่คิดปิดบังยิ่งพออีกคนมองตอบเขามาด้วยสายตาที่ไม่เกรงกลัวนั้นด้วยแล้วมันยิ่งทำให้หล่อนแค้นฝั่งใจจนอยากลุกเข้าไปกระชากทั้งคู่ให้ออกจากกันแต่มันก็เป็นไปได้แค่ในความคิดเท่านั้นเมื่อความเป็นจริงแล้วหล่อนยังคงนั่งกำมือแน่นอยู่กับที่โดยมีชายสองคนยืนคุมอยู่ที่ด้านหลังจนแทบจะกระดิกตัวไปไหนไม่ได้ทำได้เพียงมองอย่างแค้นใจเท่านั้น

           “แต่คดีมันหมดอายุความไปแล้ว ต่อให้มีหลักฐานอะไรมาเพิ่มมันก็แค่นั้นแหละ”  คุณหญิงว่าอย่างใจเย็น ผิดกับในใจที่เริ่มเต้นระส่ำ

            “แต่หลักฐานที่ได้มาจากห้องของคุณมันก็มากพอที่จะทำคดีผ่านการพิจารณานำกลับมาสืบใหม่นะครับ” ธารว่า

              “แล้วยังไง”

           “ก็หมายความว่างานนี้คุณเตรียมตัวเข้าคุกได้เลยยังไงละ” ทิมว่าเยาะเย้ยพรางกระดิกปลายเท้าไปมาอย่างไม่แคร์มารยาทต่อหน้าผู้ใหญ่

           “มีแค่เอกสารเก่าๆไม่กี่ใบคิดจะเอาผิดฉันได้อย่างงั้นนะหรอ เหอะ” คุณหญิงพูดพร้อมปล่อยเอกสารที่ตนถือมาดูเมื่อครู่ลงอย่างไม่แยแสกับเนื้อความข้างในที่ตนอุตส่าห์เก็บซ่อนมานานหลายปี

           “ก็ถ้ามันมีแค่เอกสารน่ะนะครับ” ทิมสะเยาะยิ้มมุมปากอย่างจงใจยั่ว ซึ่งมันก็ได้ผลเมื่อคนที่ทำเป็นไม่แคร์เมื่อครู่เริ่มหน้าถอดสีอีกครั้งและดูท่าคราวนี้จะซีดหนักกว่าเดิมเสียด้วย

           “หมายความว่ายังไงที่ว่า แค่ นะ”   น้ำเสียร้อนรนของคนพูดทำให้สามพี่น้องหันมามองหน้ากันเงียบๆพร้อมรอบยิ้มที่จุดขึ้นมานิดๆอย่างไม่ปกปิด

           “ก็หมายความตามที่พูดนั้นละครับ พอดีว่าพี่ชายผมเขามีพยานปากเอกตัวเป็นๆที่สามารถให้การได้ว่าคุณนะเป็นคนฆ่าคุณวาดฟ้าที่ถือว่าเป็นผู้รู้เห็นในการฉ้อโกงบริษัทเมื่อตอนนั้นไงละครับ” ธารว่า คราวนี้คุณหญิงยิ่งทำหน้าคิดหนักกว่าเดิมจนแทบจะคุมสติที่มีอยู่ไม่ได้

           “ยอมรับเสียเถอะครับว่าคดีนี้มันไม่ใช่อุบัติเหตุแต่คุณตั้งใจฆ่าคุณแม่ผมจริงๆ” ชิตรัตน์พูดเสียงเบาโดยไม่ยอมมองหน้าคุณหญิงที่พยายามจะส่ายหน้าปฏิเสธข้อกล่าวหาที่ได้รับ

           “ไม่จริงนะตาชินฉันไม่ได้ตั้งใจที่จะทำจริงๆมันเป็นอุบัติเหตุ”

           “เลิกโกหกเถอะครับ ยอมรับเรื่องนี้เถอะครับเรื่องจะได้จบเสียที” ชิตรัตน์ว่าอย่างผิดหวังและหมดกำลังใจ ผิดกลับอีกคนที่ดูจะร้อนรนผิดปกติ

           “ฉันไม่ได้โกหกนะ “

           หล่อนว่าพร้อมลุกพรวดหมายจะเข้าไปหาชิตรัตน์แต่กลับถูกชายสองคนด้านหลังจับแขนรั้งเอาไว้ จนต้องออกแรงดิ้นขัดขื่นอย่างไม่พอใจปากก็พร่ำพูดแต่ว่ามันเป็นอุบัติเหตุ

           “แล้วถ้าคุณหญิงบอกว่ามันเป็นอุบัติเหตุแล้วทำไมพยานที่เรามีถึงบอกว่าคุณเป็นคนตั้งใจฆ่าละครับ”

           คุณหญิงหันขวับไปตามเสียงพูดของคนที่นั่งเงียบมาตั้งแต่เข้าห้องอย่างเกลอย่างเดือดดานใจกับคำพูดที่ยิ่งทำให้ตนยิ่งตกเป็นคนผิดในสายตาของชิตรัตน์

           “หุบปากเน่าๆของแกไปเดี๋ยวนี้เลยนะ” คุณหญิงตวาดใส่เกลอย่างไม่พอใจกับคำพูดนั้น ทำเอาพี่ชายทั้งสองของเกลออกท่าทางไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัด

           “ผมว่าคุณหญิงพูดความจริงออกมาดีว่านะครับว่าวันนั้นมันเกิดอะไรขึ้น เอาแต่บอกว่ามันเป็นอุบัติเหตุแบบนี้มีมันก็ไม่ได้ช่วยอะไรเลย ถ้ามันเป็นอุบัติเหตุจริงๆเราจะได้ขอยกเลิกการพิจารณาเรื่องที่จะเอาเรื่องนี้กลับมาสืบใหม่”

            เกลว่าอย่างใจเย็นขึ้นมาเมื่อเห็นท่าทีของพี่ชายทั้งสองที่เริ่มแสดงความไม่พอใจจนเขากลัวว่าเรื่องะไม่เป็นไปตามแผนที่พวกเขาวางเอาไว้ ด้วยนิสัยใจร้อนของทั้งคู่เกลรู้ดียิ่งเป็นเรื่องของเขาด้วยแล้วมีหรือที่ทั้งคู่จะยอมอยู่เฉยๆให้ใครมาว่าน้องคนเล็กอย่างเขาต่อหน้าแบบนี้แล้วจะถูกปล่อยไปง่ายๆ  ไหนจะชิตรัตน์เองที่ถือว่าเป็นคนกลางที่ต้องหนักใจที่สุดในเรื่องนี้เขาอยากให้เรื่องนี้มันจบเร็วๆเพื่อพาทั้งตัวเองและคนรักออกให้ห่างจากแม่มดร้ายตรงหน้านี้เสียที

           “ฉันไม่เชื่อ!! พวกแกตั้งใจจะยัดข้อหาให้ฉันโดยเฉพาะแก นังเพศยาอย่าคิดนะว่าฉันไม่รู้แผนการของแกนะ แกตั้งใจที่จะเขี่ยออกจากชีวิตของตาชินใช่ไหม อย่าหวังเลยว่ามันจะเป็นจริง ตาชินไม่โง่หลงเชื่อคำโกหกของพวกแกหรอก”  คุณหญิงพูดอย่างคนรู้ทันอีกทั้งยังยืนยันความบริสุทธิ์ของตนเองต่อชิตรัตน์อีกครั้ง

           “แล้วความจริงมันเป็นแบบไหนกันละครับ” แต่กลับชะงักเพียงเพราะคำถามที่ออกมาจากปากของชิตรัตน์ที่นั่งก้มหน้าอยู่ข้างๆเกล

           “ถ้าคุณบอกว่าเรื่องทั้งหมดมันเป็นเรื่องเข้าใจผิดแล้วเรื่องที่เกิดขึ้นจริงๆแล้วมันเป็นยังไงหรือครับ”

           เขามองหน้าคุณหญิงอย่างต้องการคำตอบ เขาต้องการได้ยินมันจากปากของคุณหญิงเองว่าเหตุการณ์ในวันนั้นมันเป็นยังไงกันแน่ถ้าอีกคนบอกว่ามันเป็นอุบัติเหตุจริงแล้วสิ่งที่เขาได้รู้มาละมันคือเรื่องหลอกหลวงใช่ไหม

           ขอแค่ว่าคุณหญิงยอมพูดเรื่องครั้งนั้นออกมาอีกครั้งเท่านั้นเขาเองก็อาจใจอ่อนขอยกเลิกการสอบสวนเรื่องนี้ก็เป็นได้แต่ทำไมกันละ ทำไมครางนี้คุณหญิงถึงเงียบไปไม่ตอบคำถามเขาเหมือนที่พยายามเถียงมาตลอดทำไมไม่พูดอะไรบ้างละ ขอเพียงแค่พูดออกมาเขาเองก็พร้อมยอมให้อภัยแท้ๆแต่ทำไมกันละ ทำไมถึงไม่ยอมพูดอะไรออกมา................

           ชิตรัตน์ตัดพ้อความคิดของตนเงียบโดยสื่อมันผ่านออกมาทางสายตายามที่มองท่าทีของคุณหญิงที่เลิกพยายามดิ้นหนีคนที่รั้งตัวเอาไว้แล้วกลับมานั่งนิ่งที่เก้าอี้ตัวเดิมอีกทั้งยังมองสบตาเขากลับมาอย่างวิงวอนขอความเห็นใจอีกด้วย อาจเพราะอะไรบ้างอย่างที่เชื่อมผูกชิตรัตน์เอาไว้กับคุณหญิงมานานทำให้เขาพร้อมที่จะยอมให้อภัยคุณหญิงอีกครั้งหากเรื่องนี้มันเป็นแค่อุบัติเหตุจริงๆ

           และดูเหมือนว่าเกลจะเข้าใจความนัยที่ส่งผ่านไปทางสายตาของชิตรัตน์ที่ส่งไปยังคุณหญิงซึ่งนั้นคือสิ่งที่เขาไม่มีทางยอมได้แน่

            ชิตรัตน์เป็นคนขี้ใจอ่อนยิ่งกับคนที่เรียกแม่มาจนถึงตอนนี้ด้วนแล้วต่อให้โกรธให้เกลียดขนาดไหน เขาเชื่อว่าชายหนุ่มพร้อมที่จะให้อภัยอีกฝ่ายแน่ เขาไม่ยอมและไม่มีทางยอมให้เรื่องมันเป็นแบบนั้นแน่ไม่งั้นแล้วความพยายามที่ผ่านมาทั้งหมดของเขามันสูญเปล่านะสิ ไม่ได้การ เขาไม่ยอม

           “พูดออกมาสิครับ ความจริงมันคือยังไงกัน” ชิตรัตน์พยายามแค้นถามอย่างไม่ยอมแพ้ จนกลายเป็นความกดดันให้คุณหญิงที่เริ่มพูดไม่ถูก

           “หรือว่าจริงๆแล้วคนที่โกหกเป็นตัวคุณหญิงเอง” ทิมแย้งขึ้นหลังจากที่เงียบดูสถานการณ์มานาน

           “ผมอ่านในเอกสารประวัติของคุณวาดฟ้าที่ได้มา ในนั้นเขียนว่าคุณวาดฟ้าเป็นภรรยาคนก่อนของสามีคุณในนั้นระบุว่าคุณที่เป็นอดีตคู่หมั่นในตอนนั้นไม่พอใจกับเรื่องนี้มาก เพราะคุณต้องการที่จะได้แต่งงานกับคุณชินวุฒิเพื่อช่วยพยุงบริษัทของพ่อคุณแต่กลับโดนคุณวาดฟ้าชิงตัดหน้าไปเสียก่อน ผมว่าแค่นี้มันก็พอจะเป็นแรงจูงใจได้เหมือนกันนะ”

           “หรือไม่ก็อาจเป็นเพราะเอกสารฉบับนี้ที่คุณชิตรัตน์ได้มาจากตู้เซฟในห้องของคุณ เอกสารการยักยอดเงินสดของบริษัทจำนวนหลายสิบล้านเพื่อนำไปทำบริษัทเก่าของพ่อคุณให้กลับมายิ่งใหญ่อีกครั้ง ดูจากรอยที่อยู่บนกระดาษแล้วนี้น่าจะเป็นสาเหตุจริงๆที่คุณลงมือฆ่าคุณวาดฟ้า” ธานพูดเสริมขึ้นพร้อมยกเอกสารฉบับนั้นขึ้นมาให้ดู พร้อมชี้ไปที่รอยเลือดแห้งๆที่ติดอยู่ตรงมุมหนึ่งของระดาษ

           “หรืออาจเป็นเพราะเอกสารอันนี้เรื่องที่คุณแอบปลอมแปลงเอกสารสำคัญของโรงแรม เอ๋? หรือจะเป็นอันนี้กันน่ะ ธารแกช่วยพี่ดูหน่อยสิว่าใช่ไหม  มิสเตอร์ชิตรัตน์ก็ช่วยดูด้วยสิครับว่านี้ใช่รายเซ็นของพ่อคุณหรือเปล่า”

            ทิมยื่นเอกสารดังกล่าวไปให้ตรงหน้าชิตรัตน์ช้าๆเหมือนกำลังรออะไรบ้างอย่างอยู่ แล้วมันก็ได้ผลพอชิตรัตน์ทำท่าว่าจะเอื้อมมือมาหยิบเอกสารจากเขา คุณหญิงที่ทำนิ่งไปนานก็กระชากแย่งเอกสารนั้นไปจากเขาอย่างรวดเร็วพร้อมยังฉีกเอกสารนั้นต่อหน้าทุกคนและไม่ใช่แค่นั้นเอกสารต่างๆที่อยู่บนโต๊ะหล่อนก็คว้ามาฉีกจนคนคุมทั้งสองต้องเข้าล็อกตัวอีกครั้ง แต่เมื่อมือใช้ไม่ได้เท้าก็เอา หล่อนยกเท้าขึ้นมาทั้งถีบทั้งปัดเอกสารไปมาอย่างไม่ยอมแพ้ตนพวกเขาทั้งสี่ต้องลุกถอย

           “แม่” ชิตรัตน์เผลอเรียกอีกฝ่ายด้วยสรรพนาเดิมอย่างตกใจในการกระทำ

           “ทำไม แกจะเรียกฉันทำไมฮะ?!”

             หล่อนว่าเสียงกร้าวอย่างคนขาดสติ ทำเอาคนที่เคยมีอดีตฝั่งใจอย่างเกลอดสะดุ้งตามเสียงไม่ได้จนชิตรัตน์ต้องรั้งตัวให้เข้ามาใกล้โดยโอบไหล่อีกคนไว้หลวมๆ

           “แพศยา ทั้งแกทั้งนังนั่นเพศยาเหมือนกันหมดนั่นแหละ หนอย ทำมาเป็นคนดีพูดจาเหมือนเข้าใจ ตอแหล !!”

           “คุณหญิง!” คนถูกเรียกสะดุ้งตามเมื่ออยู่ๆธารและทิมตะโกนขึ้นอย่างเหลืออด

           “รับไม่ได้หรือไงที่ฉันพูดความจริง น้องพวกแกมันร่านคิดจะจับลูกชายฉัน”

            หล่อนว่าต่ออย่างไม่เกรงกลัวแถมยังยิ้มเหยียดยามที่มองไปทางชิตรัตน์ที่โอบกอดเกลไว้แน่นขึ้นอย่างเป็นห่วง  เมื่อเห็นท่าไม่ดีชิตรัตน์จึงพาหลบฉากออกไปจากสายตาของคุณหญิงที่ดูเหมือนคลุ้มคลั่งขึ้นมา

           “นังนั่นมันก็แย่งคุณวุฒิไปจากฉันมันก็สมควรแล้วที่จะตายน่ะ” เมื่อเห็นว่าชิตรัตน์ไม่อยู่ในสายตาแล้วหล่อนจึงพูดสิ่งที่อยู่ในใจออกมา

           “สรุปคุณเป็นคนฆ่าคุณวาดฟ้าจริงๆงั้นสิ” ธานพูดหยั่งเชิง

           “ใช่ นังนั่นมันสมควรตายแล้วสาระแน่ไม่เข้าเรื่อง แต่ก็ดีตายๆไปสะได้ดี ฮ่าฮ่าฮ่า”

           หล่อนยิ้มเหยียดกับสิ่งที่พูดออกไปพรางนึกสะใจกับภาพที่เห็นในวันนั้น ภาพของผู้หญิงที่ได้ชื่อว่าเป็นภรรยาคนแรกและรักแรกของชินวุฒินอนตายอยู่ตรงหน้าเธอแค่คิดถึงตอนนั้นหล่อนก็สะใจอย่างหาที่สุดไม่ได้

           “ไหนคุณว่าเป็นแค่อุบัติเหตุไง” ทิมแกล้งถามออกมาพร้อมดูท่าทีของคุณหญิงที่ตอนนี้ดูจะไม่รู้ว่าโดนหลอกถามอยู่

           “ก็แค่ทำให้เป็นอุบัติเหตุไงละ ชนแล้วหนีใครๆก็ตามจับไม่ได้แล้วส่วนรถก็เอาไปปล่อยลงคลองใกล้ๆ หึ ตำรวจโง่ๆแบบนั้นจะทำอะไรฉันได้แค่บอกว่ารถโดนขโมยแค่นี้ก็เชื่อแล้ว”

           คำสารภาพที่หลุดออกจากปากของคุณหญิงมาง่ายๆ อย่างไม่มีใครคาด แต่ก็ไม่เกิดจากที่คิดเมื่อต้องอยู่ในสถานการกดดันเช่นนี้เป็นใครก็คงสติแตกหลุดคำพูดที่เก็บไว้ออกมา ยิ่งคนที่ความอดทนต่ำแบบนี้ด้วยแล้วจึงไม่แปลกที่พวกเขาจะได้คำตอบมาง่ายๆแบบนี้

           “เอกสารเอาผิดก็ไม่มีแล้วคราวนี้พวกแกจะเอาผิดฉันยังไงล่ะ แค่คำพูดนะมันไม่มีน้ำหนักพอหรอกนะย่ะ”

            คุณหญิงว่าอย่างเป็นต่อ แต่มันก็ไม่ทำให้สีหน้าของสองพี่น้องตรงหน้าแย่ลงเลยแม้แต่น้อยกลับกันทิมยังส่งยิ้มเหมือนพอใจกลับมาให้ จนหล่อนเริ่มหวั่นใจ

           “ใครบอกละครับว่าไม่มี” ธานพูดขึ้น ก่อนจะหยิบเอกสารอีกชุดที่ไม่ได้นำออกมาจากกระเป๋าชูขึ้นให้คุณหญิงดู

           “นี้เป็นบันทึกประจำวันในวันที่เกิดเหตุ ต้องยอมรับว่าคุณนี้รอบคอบมาที่มาแจ้งความว่ารถโดนขโมย” ธานเอ่ยชม

           “แต่คุณดันพลาดอย่างหนึ่งตรงที่คิดว่าไม่มีพยานเหลือแล้วในวันนั้น”

           !!!

           “มะ มะ หมายความว่ายังไง” คุณหญิงว่าเสียงสั่นอย่างตื่นตกใจกับสิ่งที่ได้รู้

           ธารมองเหยียดคนตรงหน้า ก่อนจะหยิบรูปบางอย่างที่เก็บเอาไว้ที่กระเป๋าเสื้อด้านในออกมาให้ดู  คุณหญิงเพ่งมองคนในรูปก่อนจะเบิกตากว้างอย่างตื่นตกใจอีกรอบหนึ่ง

           “คุณหญิงคงรู้จักคนในรูปนี้ดีสินะครับ”  ธารถาม ก่อนจะเก็บรูปเมื่อครู่กลับคืนมา

           “วีรกิตติ์....”

           “ครับ คุณวีรกิตติ์น้องชายต่างแม่ของคุณ ที่คุณใช้เป็นหุ่นเชิดแทนในการดำรงตำแหน่งประธานของวิวัฒน์พงษ์ไงครับ”

           ธารยิ้มกริมกับใบหน้าถอดสีของคุณหญิง นี้คงคิดไม่ถึงละสิว่าวีรกิตติ์จะเป็นคนเห็นเหตุการณ์ตั้งแต่ต้นจนจบแบบนี้ คุณหญิงแกจะรู้บ้างไหมนะว่าน้องชายที่ตัวเองเกลียดแสนเกลียดคนนี้จะเป็นคนที่พยายามปกป้องพี่สาวจากความผิดทั้งหมดนี้มาตลอด

           จากคำให้การของเขตทัพ ผู้ช่วยของวีรกิตติ์ที่เป็นสายให้กับเขารายงานมาให้ทำให้เขาสามารถหาข้อมูลภายในของบริษัทนั้นมาได้มากมายพร้อมกับสามารถกล่อมให้วีรกิตติ์ยอมเปิดปากบอกเรื่องทั้งหมดร่วมถึงรหัสตู้เซฟของคุณหญิงที่อยู่ในห้องนั้นได้

           “คราวนี้มีอะไรจะแก้ตัวอีกหรือเปล่าครับคุณหญิง ถ้าพยานพูดเองแล้วศาลไม่ฟังพวกเรายังมีนี้อีกนะครับ”    ทิมว่าเสียงเรียบก่อนหยิบเครื่องบันทึกเสียงในรูปของปากกาที่เหน็บอยู่ที่กระเป๋าเสื้อสูทตัวนอนออกมากดย่ำให้ฟังอีกครั้ง

          “สรุปคุณเป็นคนฆ่าคุณวาดฟ้าจริงๆงั้นสิ”

          “ใช่ นังนั่นมันสมควรตายแล้วสาระแน่ไม่เข้าเรื่อง............

           เสียงพูดที่ดังลอดมาจากเครื่องบันทึกเสียงขนาดพกพาทำเอาคนที่นิ่งค้างไปถึงกลับล้มลงไปกับพื้นอย่างไร้เรี่ยวแรง  คราวนี้นี้ต่อให้ไม่มีเอกสารที่จะเอาผิดหล่อนหรือคำให้การปากเปล่าของคนที่ยังเหลืออยู่หรือต่อให้ตำรวจบอกว่าคดีนี้ไม่มีทางนำกลับมาสืบใหม่ได้ แต่ถ้าคลิปเสียงนี้ถึงมือตำรวจแล้วละก็ยังไงเสียหล่อนก็คงดิ้นไม่หลุดถึงจะรอดจากคดีวาดฟ้าแต่คดีฉ้อโกงใช่ว่าหล่อนจะรอด หมดแล้วทุกอย่างที่ทำมา

            “ยอมรับความจริงสักทีเถอะ แล้วไปให้ปากคำสะ บางทีชิตรัตน์อาจใจอ่อนยอมยกฟ้องเรื่องที่คุณฉ้อโกงก็ได้”

           ธารพูดเหมือนปลอบใจก่อนจะสั่งให้ผู้คุมจำเป็นทั้งสองหิ้วปีกคุณหญิงขึ้นเพื่อนจะนำตัวออกจากห้องนี้เพื่อพากลับไปส่งบ้านที่เขาได้สั่งการให้คุณทนายป้าพาตำรวจไปรอรับอยู่ที่นั้นแล้ว

           ส่วนชิตรัตน์ที่พาเกลหลบออกมาก็ใช่ว่าจะไปไหนไกลพวกเขาอยู่ที่อีกด้านหนึ่งของประตูตู้คอนเทนเนอร์เขารับรู้เรื่องที่เกิดขึ้นในนั้นทั้งหมด อยากจะปฏิเสธความจริงที่ได้ยินแต่มันก็คงเป็นไปไม่ได้แล้วคุณหญิงสารภาพออมาเองว่าทุกสิ่งที่เกิดขึ้นหล่อนเป็นคนทำเองทุกอย่าง

            “พี่ชินไหวไหมครับ”

           เมื่อคนที่เป็นที่พึ่งพิงเริ่มอ่อนแรงจนไม่อาจนิ่งเฉยได้ เกลที่ยังคงอยู่ในอ้อมกอดของชิตรัตน์จึงตัดสินใจถามขึ้นมาหลังจากเหตุการณ์ข้างในเริ่มสงบลง

           “พี่ไม่รู้เกล พี่ไม่รู้”

           เกลมองใบหน้าคมของคนรักที่ก้มต่ำพร้อมส่ายไปมาอย่างคนหมดหนทาง ก่อนจะก้มลงซบลงบ่าของเขาอย่างหาที่พึ่งพิงจนเขาเองยังอดไม่ได้ที่จะยกมือขึ้นลูบหลังอีกฝ่ายเพื่อปลอบประโลมใจให้อีกฝ่ายบรรเทาความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นในใจนี้ที่ตนเองก็มีส่วนทำให้มันเกิดขึ้นมา

           ไม่ใช่ว่าเขาไม่เจ็บปวดใจยามที่ต้องเห็นชิตรัตน์เศร้าโศกและทุกข์ใจเช่นนี้แต่จะทำไงได้ละในเมื่อครั้งหนึ่งคนตรงหน้าที่เขารักหมดหัวใจนี้ก็เคยทำร้ายจิตใจดวงนี้ของเขามาก่อนและนี้คือการเอาคืน เอาคืนทั้งความทุกข์จนตรอมใจที่อีกฝ่ายหยิมยืนมาให้เขาแม้จะไม่เต็มใจ และเอาคืนคนรักที่ถูกแย่งไปจากแม่มดร้ายที่กำลังย่อยยับไม่เหลืออะไร

           เขายอมเห็นคนที่รักร้องไห้เจ็บปวดแทบขาดใจในวันนี้เพื่อที่วันพรุ่งนี้และตลอดไปชีวิตของพวกเขาจะไม่ต้องเจอกับคนที่ชื่อ โฉมฉวี อีก

            “จะยืนกอดกันอีกนานไหม รีบๆไปกันได้แล้ว”

           เสียงที่ดังขึ้นฝ่ากลางความเงียบของทั้งคู่ทำให้ชิตรัตน์ต้องรีบเช็ดน้ำตาที่รั้งหน่วงอยู่ที่ขอบตาให้หายไปก่อนจะหันมาเผชิญหน้าคนที่เพิ่งออกมาจากด้านใน

              “เรียบร้อยแล้วหรอครับ”

           “เออ” ธารขานรับเสียงห้วนก่อนเดินนำทุกคนไปยังทางรถยนต์ที่จอดรออยู่ไม่ไกล

           ทิมมองท่าทีของน้องชายคนรองก็ได้แต่ส่ายหัวอย่างช่วยไม่ได้ ก็รู้อยู่แหละว่าอยากจะปลอบใจชิตรัตน์แต่เจ้าตัวดันเล่นใหญ่ทำเป็นโกรธทำเป็นเกลียดเขามาแต่ต้นขนาดนั้นแล้วอยู่ดีๆจะให้พูดดีด้วยเหมือนคนไม่เคยมีเรื่องหมางใจกันเลยแบบนั้นคงไม่ใช่

            ส่วนเขาเองเวลานี้จะให้ทำตัวบ้าบอพูดจาเห็นอกเห็นใจก็คงจะโดนน้องรักส่งสายตาร้ายกาจกลับมาให้เป็นแน่ เพราะงั้นเขาต้องรักษาภาพลักษณ์ที่มีอยู่เพียงน้อยนิดในสายตาน้องเขยให้ดีที่สุดโดยการตบเขาที่บ่าอีกคนเบาๆสองสามทีเป็นการบอกนัยๆว่าไม่ต้องกังวลก่อนจะเดินตามหลังน้องชายอีกคนไป

           “ตาชิน”

            แต่เขาก็ยังไม่ทันเดินไปได้ไกลจนไม่ทันได้ยินเสียงของคุณหญิงที่เอ่ยเรียกลูกชายเสียงเบาหวิวจนแทบไม่ได้ยิน แต่ก็นะคนหูผีแบบเขามีหรอจะไม่ได้ยิน

           เจ้าของชื่อชายตามองคนที่เรียกอยู่เพียงชั่ววินาทีเดียวเท่านั้นก็จะเบือนหน้าไปอีกทางแล้วเดินหนีไปไม่ยอมแม้จะพูดจาอะไร เพราะมันเจ็บเกินไปที่จะมองได้......

         
           ยิ่งชิตรัตน์แสดงท่าทางแบบนี้ออกมาให้คุณหญิงได้เห็นความเจ็บแปลบที่หัวใจก็แสดงออกมาจนอดไม่ได้ที่จะต้องยกมือขึ้นมากุมเอาไว้  หล่อนไม่รู้ว่าความเจ็บที่ได้รับในตอนนี้เป็นผลมาจากความผิดปกติของหัวใจที่รอการผ่าตัดใหม่อีกครั้งหรือเป็นเพราะความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นจากจิตใจยามที่เห็นคนที่เป็นเหมือนแก้วตาดวงใจหันหลังให้ตนด้วยความผิดหวัง ไม่รู้เลยจริงๆว่ามันเป็นอย่างไหน หรือว่ามันจะเป็นทั้งสองอย่าง

           “หึหึหึ”

           เสียหัวเราะอย่างคนเย้ยหยันดังขึ้นเบาๆที่เหนือหัวของคุณหญิง ก็คงไม่ต้องเดาให้เสียเวลาหรอกว่าเสียหัวเราะเมื่อครู่นี้เป็นของใคร ถ้าไม่ใช่

           “หัวเราะอะไรของแก”

           เกลระบายยิ้มบางๆส่งให้คนที่ถามอย่างสมเพช เพราะสภาพของคนตรงหน้านี้มันก็ไม่ได้ต่างอะไรกับคนที่จนตรอกหมดสิ้นทุกสิ่งอย่างในชีวิต  เหมือนกับเขาในวันนั้น

           “รู้สึกเป็นยังไงบ้างหรือครับคุณหญิงเวลาตอนที่ไม่เหลือใคร มันรู้สึกเป็นยังไงหรอครับ”   แม้น้ำเสียงที่เอ่ยถามมาจะไม่ได้แสดงออกมาว่าซ้ำเติมหรือหาเรื่อง แต่สายตาที่แสดงออกมากลับตรงข้ามอย่างสิ้นชิง

           “นี้แก”

           คุณหญิงข่มกรามแน่นเมื่อความคิดหนึ่งผุดขึ้นมาในหัวว่า เรื่องทั้งหมดมีตัวการที่คอยชักใยอยู่เบื้องหลังและมันก็ไม่ใช่ใครที่ไหนเลย

           “ความเจ็บปวดที่ไม่เหลือใครที่คุณยัดเหยียดให้ผมในวันนั้น ผมขอคืนมันทั้งหมดให้คุณในวันนี้และจากนี้เราอย่าได้เจอกันอีกเลย”

           เกลว่าเสียงขาดก่อนเดินตามพี่ชายและเข้าไปกอดแขนคนรักที่รอขึ้นรถอยู่ โดยไม่หันมามองดูเลยว่าหมาจนตรอกที่เหมือนพ่ายแพ้ลงแล้วมันเก็บความแค้นในใจที่ถูกซ้ำเติมเอาไว้ในอกเงียบๆและยอมเดินตามแรงดันของผู้คุมทั้งสองเข้ามาใกล้

           ช่วงจังหวะที่เดินเข้ามาใกล้กลุ่มคนที่เดินมาหยุดรออยู่ก่อนหน้านั้นสายตาของคุณหญิงก็เหลือบไปเห็บบางอย่าง บางอย่างที่จะทำให้หล่อนรอดพ้นจากบั้นปลายชีวิตเน่าๆและสามารถกำจัดมารชีวิตตัวที่สองในชีวิตของหล่อนออกไป ในเมื่อวาดฟ้าหล่อนยังกำจัดมาได้แล้วดับภาษาอะไรกับอีเด็กนั้น

              คุณหญิงให้ความได้เปรียบทางสรีระของผู้หญิงพุ่งตัวเข้าไปด้านหลังของการ์ดที่เดินตามหลังเกลอย่างรวดเร็วพร้อมฉกชิงบางสิ่งมาไว้ในมือโดยที่ไม่มีใครคาดคิด

               “อย่าอยู่เลยแก!!”

              “เกล!!!”

              ปัง!!!
 
______________________________________________________

อ้าวเห้ย!!!
จบแบบนี้เลยหรอ
คิดหนักจังเลยว่าจะลงตอนต่อไปวันนี้เลยดีไหม??
หรือจะปล่อยค้างเอาไว้ให้เพื่อนๆเดาเล่นว่าใครตาย เอ๊ย โดนยิงดี เอ๊ะๆๆๆ

ตอนนี้ดราม่าซีรี่ย์ในทวีสกำลังมันส์ขอตัวไปเกาะติดสถานการณ์ก่อนนะคะ
Twitter : wavery

ขอบคุณที่ติดตามนะคะ

ออฟไลน์ Jibbubu

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3385
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-6
ที่เรื่องมันเป็นแบบนี้ก็เป็นเพราะตัวคุณหญิงเองนั่นแหล่ะ

ออฟไลน์ wavery

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 124
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-2
ฝนหยดที่ 31

 ไม่เจ็บ?

          ทำไมล่ะ ก็เมื่อกี้นี้...........................

          ถูกยิง ?

          ใช่แล้วเมื่อกี้นี้เขาจำได้ว่าคุณหญิงเล็งปลายกระบอกปืนมาทางเขานี่นะ แล้วทำไมเขาถึงไม่รู้สึกเจ็บอะไรเลยละ? ทำไมกัน..............................

 
           เหตุการณ์เมื่อครู่มันเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วงเวลาที่ไม่ใครทันคาดคิดและไม่มีใครจะทำได้ระวังตัว เพราะไม่มีใครคิดว่าอยู่ดีๆคุณหญิงที่ดูเหมือนหมดอาลัยตายอยากตั้งแต่ตอนที่อยู่ในห้องจะกล้าพุ่งตัวเข้ามาขโมยปืนที่เหน็บอยู่ที่ขอบกางเกงของบอดี้การ์ดที่อยู่ใกล้ตัวเอง จนเกิดเป็นเหตุความวุ่นวายขนาดย่อมเมื่อเป้านิ่งที่ถูกเลือกมานั้นคือคุณหนูเล็กของตระกูล

           “อย่าอยู่เลยแก!!”

เสียงตะโกนที่เหมือนเป็นสัญญาณว่าในอีกไม่ช้านี้เพชฌฆาตสีดำนี้กำลังจะฆาตชีวิตคนตรงหน้านี้

“เกล!!”

เสียงร้องพี่ชายทั้งสองที่เข้าไปนั่งรออยู่ในรถแล้วตะโกนออกมาเสียงดังเมื่อเหตุการณ์ตรงหน้ากำลังจะเกิดขึ้นกับน้องชายผู้เป็นที่รักยิ่งของพวกเขา 

            เสียงปืนดังลั่นหนึ่งนัดดังแหวกอากาศฝ่าความตกใจของผู้คนโดยรอบบริเวณ ร่วมถึงคนที่ลั่นไกย์ปืนออกไปด้วย

          ปัง!!

           !!!

           เสียงลั่นไกลปืนที่ดังออกมาพร้อมกับควันร้อนจากปลายกระบอกเริ่มจางหายไปก่อนจะถูกแทนที่ด้วยความเงียบเพียงชั่วครู่ จนได้ยินเสียงบางสิ่งร่วงตกสู่พื้นคอนกรีตของท่าเรือขนส่งพร้อมกับความตื่นตกใจของผู้คน

           เมื่อกระบอกปืนสีดำที่ถูกหยิบฉวยมาเพื่อหวังปลิดชีพคู่แค้นที่ทำร้ายชีวิตตนกลับร่วงหล่นลงพื้นพร้อมกับร่างของมือปืนชั่วคราว เมื่อลูกตะกั่วที่อยากจะฝั่งมันลงร่างไร้วิญญาณของเกลกลับถูกฝั่งลงบนแผ่นหลังของใครอีกคนแทน

            “พี่ชิน!!”

            เกลประคองร่างของคนรักที่โถมกายเข้าหาตนอย่างคนไร้เรี่ยวแรงจนเขาที่รับน้ำหนักของอีกคนไม่ไหวถึงกลับล้มลงไปนั่งอยู่ที่พื้นอย่างทำอะไรไม่ถูกเมื่อฝ่ามือที่ประคอมหลังของชิตรัตน์เปือกชื้นไปด้วยขงเหลวที่แดงฉานเต็มฝ่ามือ

           “พี่ชิน พี่ชิน”   เกลหวีดเรียกคนรักอย่างคนเริ่มคุมสติไม่อยู่ทั้งเรียกทั้งเขย่ากายหนาไปมาแต่อีกคนกลับแน่นิ่งไปจนเจ้าตัวเริ่มใจเสีย

             “ตาชิน!!!”

           เช่นเดียวกับคนที่ยิงลูกปืนออกไป เมื่อเห็นว่าคนที่ออกรับกระสุนจนแน่นิ่งไปคือลูกชายของตนเองคุณหญิงเองก็มีสภาพไม่ต่างไปจากคนเสียสติ พยายามตะเกียดตะกายไปตามพื้นเพื่อเข้าไปให้ถึงชิตรัตน์แต่ก็โดยการ์ดจับตัวเอาไว้เสียก่อน จนต้องดิ้นไปมาอย่างคนบ้าก่อนจะถูกทิมสั่งให้แยกตัวเอาไปไว้ที่รถอีกคันหนึ่งแทน

           “เลือดออกเยอะมาเลย รีบพาไปโรงพยาบาลเถอะ” ธารว่าเสียงเครียดก่อนหันไปเรียกให้ลูกน้องที่อยู่ใกล้ๆให้มาช่วยพาอีกคนขึ้นรถ

           “ไม่ๆ จะเอาพี่ชินไปไหนอย่าเอาพี่ชินไปนะ!”

            แต่ดูเหมือนว่าคนที่เสียสติไปแล้วจริงๆจะเป็นเกลที่ตอนนี้ไม่ยอมแม้จะให้ใครเข้ามาใกล้หรือมันจับตัวของชิตรัตน์เลย  จนทิมต้องเข้ามารวบตัวน้องชายของตัวเองเอาไว้เพื่อให้ลูกน้องช่วยกันพยุงร่างของชิตรัตน์เข้าไปไว้ในรถได้สะดวก

           “น้องเกลใจเย็นๆนะ ไม่มีใครพาชิตรัตน์ไปไหนทั้งนั้นพี่แค่จะพาเขาไปหาหมอ”

           ธารพยายามพูดอย่างใจเย็นเมื่อเกลเริ่มสติไม่อยู่กับเนื้อกับตัวพยายามเบี่ยงตัวเพื่อเข้าไปหาชิตรัตน์ให้ได้ ร้อนถึงทิมที่ต้องเข้ามานั่งประกบเพื่อไม่ให้น้องชายเกิดอาการคลั่งไปมากกว่านี้ แล้วจึงมุ่งหน้าไปยังโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุด

            “ไม่จริง เกลจะไปหาพี่ชินปล่อยเกลนะพี่ธารพี่ทิมปล่อย” เกลพยายามบิดตัวออกจากแขนของธานที่พยายามรั้งตัวเขาเอาไว้ไม่ให้ข้ามไปข้างหลังที่มีชิตรัตน์นั่งอยู่กับการ์ดอีกคนหนึ่ง

           “กะ เกล”

            เสียงแผ่วเบาจากริมฝีปากซีดอย่างคนขาดเลือดของชิตรัตน์เอ่ยเรียกชื่อคนรักออกมาทันทีที่เริ่มได้สติ  เกลที่พยายามดิ้นดึงอยู่เมื่อครู่พอได้ยินเสียของชิตรัตน์ก็เริ่มมีกำลังใจสะบัดตัวออกจากแขนของพี่ชายอย่างแรงจนหลุดแล้วรีบตรงเข้าไปหาชิตรัตน์ที่อยู่ข้างหลังทันที

           “พี่ชิน พี่ชินเป็นยังไงมั่งเจ็บมากไหม” เกลรีบถามอย่างรนรานพร้อมยกฝ่ามือของอีกฝ่ายขึ้นมาทาบกับแก้มของตัวเอง

           “พี่ไม่เป็นอะไร เกลละเจ็บตรงไหน ไหม”  เขานะไม่เจ็บอะไรเลยต่างหาก

           “เกลไม่เป็นอะไร”  พอได้ยินดังนั้นชิตรัตน์ก็ระบายยิ้มออกมาอย่างพอใจ

           “ดีแล้ว” ก่อนจะหลับตาลงไปอีกครั้ง

           “พี่ชิน?”  คราวนี้ไร้ซึ่งเสียงตอบรับจากคนที่ไดรับบาดเจ็บอีกครั้ง

           “ไม่ๆๆ ไม่นะพี่ชินตื่นสิตื่นมาเดียวนี้นะ เกลบอกให้ตื่นไง พี่ชิน!!”

           เมื่อเห็นว่าชิตรัตน์นิ่งเงียบไป เกลก็รู้สึกรนรานมากกว่าปกติพยายามเขย่าร่างของอีกคนพร้อมเรียกชื่ออยู่หลายครั้ง จนเอริคที่นั่งอยู่ข้างชิตรัตน์รีบเข้ามาประคอมจับที่ไหล่คนที่เริ่มออกอาการคลุ้มคลั่งอีกครั้งเอาไว้แทน

            “คุณหนูใจเย็นๆครับ”

           “ไม่ เอริคปล่อยเดี๋ยวนี้นะ พี่ชิน อึก”

           “คุณหนู / เกล”

            กลายเป็นเกลอีกคนที่เป็นลมหมดสติจนเกือบร่วงไปนอนกับพื้นรถโชคดีที่เอริคการ์ดที่อยู่ด้านข้างรับตัวเอาไว้ได้แล้วพาขึ้นมานอนข้างๆชิตรัตน์

           “เหยียบให้มันไว้กว่านี้ไม่ได้หรือไงวะ”

            ทิมหันไปเร่งให้คนขับขับให้ไวมาขึ้นกว่าเดินจนไม่สนแล้วว่ารถติดตามที่ขับตามมานั้นจะไล่ตามตนทันหรือไม่ ตอนนี้ความปลอดภัยของน้องเขาต้องมาก่อนค่าปรับที่ขับรถเร็วเกินกำหนดน่ะเอาไว้ก่อน

              เมื่อเจ้านายสั่งมีหรือลูกน้องจะกล้าขัดได้ เป็นคนขับรถของทิมมันต้องทำได้ทุกอย่าง อย่างเช่นตอนนี้ที่เขาต้องสวมวิญญาณนักขับตีผีปาดได้ปาดแซงได้แซงอะไรที่ทำแล้วโดนเพื่อนร่วมถนนด่าเขาทำหมดเลยทำให้รถคันโตสีดำมาถึงยังโรงพยาบาลเอกชนที่ใกล้ที่สุดในเวลาเพียงแค่หนึ่งอึดใจพร้อมเสียงด่าไล่หลังอีกเป็นโขยงและไม่ใช่แค่คันของเขาเท่านั้นที่มาถึงได้อย่างรวกเร็วเพราะรถติดตามทั้งสองก็มาจอดถึงที่หมายในเวลาไม่ห่างกันมาก

           และด้วยความที่ขับมาด้วยความเร็วอย่างยิ่งเมื่อมาจอดสนิทอยู่หน้าทางเข้าของโรงพยาบาลเหล่าบุรุษพยาบาลและคนดูแลด้านนอกก็รีบเข้ามาดูว่ามีผู้บาดเจ็บอยู่หรือไม่

           “มีคนถูกยิงครับ”

            ทิมที่เป็นคนเปิดประตูออกร้องบอกให้บุรุษพยาบาลที่เข้ามารับรู้ก่อนจะหลบทางให้คนในชุดสองสามคนเข้ามาในรถแล้วช่วยกันนำตัวคนที่สาหัสลงมาพร้อมกับอีกหนึ่งคนที่สลบไม่ได้สติ

           ร่างของชิตรัตน์ถูกเข็นเข้าห้องผ่าตัดด่วนพร้อมเครื่องช่วยหายใจแบบพกพา ส่วนเกลถูกแยกให้ไปยังห้องพักฟื้นอีกห้องหนึ่งพร้อมนายแพทย์อีกคนที่เข้ามาดูอาการโดยมีธารคอยเฝ้าอยู่ไม่ห่าง

           การผ่าตัดของชิตรัตน์ใช้เวลาอยู่นานมีพยาบาลเดินเข้าออกอยู่หลายครั้งทำเอาคนที่นั่งรออยู่หน้าห้องผ่าตัดรู้สึกผิดมายิ่งขึ้นจนกลายเป็นความเครียด

 
           คุณหญิงโฉมฉวีนั่งรอลูกชายที่ถูกหามเข้าห้องผ่าตัดด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนักไม่ใช่เพราะการ์ดที่เฝ้าอยู่ไม่ห่างหรือสายตาที่มองมาเป็นระยะอย่างกดดันของทิม แต่เป็นเพราะคนที่อยู่ข้างในนั้นต่างหากที่เธอเป็นห่วง

           หล่อนไม่ได้ตั้งใจให้มันเป็นแบบนี้ตอนนั้นหล่อนคิดแค่ว่าขอแค่กำจัดศัตรูให้ออกไปจากชีวิตได้แค่นั้นแล้วลูกชายของหล่อนก็จะกลับมาหาหล่อนเองอย่างแน่นอน  แต่ไม่คิดเลยว่าชิตรันตน์จะเข้ามารับกระสุนแทนจนอาการสาหัสขนาดนี้

           คุณหญิงยกมือสองข้างที่พลาดพลั้งจนเกือบปลิดชีวิตลูกชายขึ้นมาด้วยอาการสั่นเทา มือคู่นี้ที่ครั้งหนึ่งเคนโอบอุ้มค้ำชูชายหนุ่มมาตั้งแต่แบเบาะ แต่เมื่อไม่นานมานี้มันกลับเป็นมือคู่ที่กำลังพรากลมหายใจของอีกคนไป

           “มองมันให้ทะลุ ชิตรัตน์ก็ไม่หายขึ้นมาตอนนี้หรอก” คุณหญิงเงยหน้ามองคนที่พูดจาเชือกเชือนใส่ตนที่นั่งกอดอกมองอยู่ตรงข้าม

           “ทำอะไรโง่ๆ คิดว่าถ้าเกลตายแล้วลูกชายจะกลับมาหาคุณอย่างงั้นหรอ เหอะ มีแต่คนโง่เท่านั้นแหละที่จะคิดวิธีโง่ๆแบบนี้ออกมา”  ทิมยังคงพูดจาด้วยถ้อยคำร้ายกาจนั้นนออกมาอีกครั้งอย่างไม่ไว้หน้าคนตรงหน้าเลยว่าจะแสดงสีหน้าแบบไหนยามที่ได้ยินในสิ่งที่เขาพูด

           “แล้วจะให้ฉันทำยังไง ก็เพราะมันนั้นแหละที่แย่งความรักของชิตรัตน์ไปจากฉันเพราะมัน มันแย่งลูกชายไปจากฉัน!”

           หล่อนตะโกนออกมาเสียงดังอย่างไม่แคร์เลยว่าที่ที่ตนอยู่ตอนนี้คือหน้าห้องผ่าตัดในโรงพยาบาลสถานทีที่ต้องการความเงียบมากที่สุดในการช่วยเหลือชีวิตของผู้ป่วย เพราะในยามนี้หล่อนคิดอย่างเดียวคือขอแค่ได้ระบายความอัดอั้นในใจที่มีอยู่ออกมาแค่นั้น แค่ความอัดอั้นจากความคิดที่ตนมีขอแค่ได้พูดมันออกมา

           “ไม่มีใครแย่งความรักไปจากใครได้หรอกนะ คุณหญิง”

           !!

            “คุณเอาแต่บอกว่าทุกคนแย่งความรักไปจากคุณ แล้วคุณนะเคยเผื่อแผ่ความรักที่คุณมีอยู่ให้ใครบ้างหรือเปล่า”

           “แกหมายความว่าไง”   

           คุณหญิงถามอย่างไม่เข้าใจในสิ่งที่หนุ่มตรงหน้าพูดออกมา  แต่ทิมกลับหันหน้านี้ทำทีเป็นไม่สนใจกับสิ่งที่อีกคนถาม

           “ฉันถามก็ตอบมาสิว่ามันหมายความว่ายังไง”

           คราวนี้ไม่ใช่เสียงตะคอกโฮกฮากเหมือนที่ผ่านมา แต่เป็นเสียงของคนที่เหมือนกับกำลังหลงทางและสับสน    แต่ถึงจะพยายามถามอีกฝ่ายอย่างไรทิมก็ทำเป็นหูทวนลมไม่ยอมพูดจาอะไรที่จะเป็นคำตอบที่ทำให้หล่อนพึ่งพอใจเลย จนความสับสนเมื่อครู่เริ่มเปลี่ยนเป็นความไม่พอใจที่ไม่ได้รับคำตอบ ครั้งจะอยากกระแทรกเสียงใส่คนที่อายุน้อยกว่าบานประตูหน้าผ่าตัดก็เปิดออกพร้อมแสงไฟสีแดงที่ดับลง พร้อมกับร่างของคุณหมอผ่าตัดร่างท้วมใส่ชุดปลอดเชื้อสีเขียวเป็นผู้ที่เดินผลักบานประตูออกมาหยุดอยู่ตรงหน้า  ทำให้คนที่ตั้งใจจะเค้นคำตอบของปริศนาคำของหนุ่มตรงหน้าต้องเบนเข็มความสนใจทั้งหมดของตนไปที่ผู้มาใหม่แทน

           “คุณหมอลูกชายดิฉันเป็นยังมั้งคะ”

          น้ำเสียงร้อนรนของญาติผู้บาดเจ็บที่เสนอตัวบอกความสัมพันธ์ที่มีต่อกันออกมาก่อนที่คนเป็นหมอจะได้ถาม   แต่เพราะความกังวลในน้ำเสียงของญาติผู้บาดเจ็บทำให้นายแพทย์มากประสบการณ์รู้สึกกดดันทุกครั้งที่ต้องออกมารายงานเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

           “คนเจ็บพ้นขีดอันตรายแล้วครับ”

           แม้คำที่ออกมาจากปากของคุณหมอจะทำให้ใครหลายคนที่หน้าห้องผ่าตัดรู้สึกโล่งใจกับข่าวดีที่ได้รับ แต่สีหน้าที่ยังไม่คลายความกังวลของคุณหมอทำให้คนที่โล่งใจไปเมื่อครู่เริ่มตีหน้าเครียดขึ้นมาอีกครั้งอย่างไม่อยากคาดเดาว่าสีที่กำลังจะกล่าวออกมาจะเป็นเช่นไร

           “ทำไมคุณหมอทำหน้าแบบนั้นละคะ ไหนว่าลูกชายฉันไม่เป็นอะไรแล้วไง” คุณหญิงเริ่มลนลาน

           “ถึงเราทำการผ่าตัดเอากระสุดออกจากร่างกายของคนเจ็บได้แล้ว แต่เพราะกระสุนเข้าไปฝั่งอยู่ในจุดที่ถือได้ว่าเสี่ยงต่อชีวิตมากอีกทั้งคนเจ็บมาอาการเสียเลือดอย่างมากทำให้ต้องอยู่ดูอาการอย่างใกล้ชิดในห้องปลอดเชื้อเพื่อป้องกันการติดเชื้ออีกสักระยะ ตอนนี้หมอคงบอกพวกคุณได้เท่านี้ยังไงก็ขอตัวก่อนนะครับ”

           คุณหมอว่าจบก็เดินเบี่ยงตัวหลบออกไป ทิ้งเอาไว้เพียงญาติผู้ป่วยที่ไม่เหลือแม้เรี่ยวแรงที่จะทรงตัวอยู่ได้ที่ทรุดล้มลงกับพื้นเย็นเฉียบของกระเบื้องสีขาวของโรงพยาบาล

           “ทำไม ทำไมถึงเป็นแบบนี้ทำไม อ๊ายยยยยย!!” หล่อนกรีดร้องยกกำปั้นทุบลงที่พื้นอยู่หลายครั้งวนเวียนอยู่แบบนี้หลายครั้งอย่างไม่หมดสิ้นแล้วทุกสิ่ง

              ทิมมองการกระทำของคุณหญิงอย่างไม่รู้จะอธิบายสิ่งที่เห็นตรงหน้านี้อย่างไร จะพูดว่าสงสารมันก็ไม่ใช่ทั้งหมดที่มีจะว่าสมเพชก็ดูแรงไป แต่ก็คงจะต้องเป็นแบบนั้นแล้วละในตอนนี้ แต่ที่คิดไม่ตกในตอนนี้คงจะเป็นเรื่องของอาการชิตรัตน์ที่เขาเองยังไม่รู้เลยว่าจะบอกน้องของเขาให้รู้เรื่องนี้ยังไงดี  ทิมมองดูผู้หญิงตรงหน้าอีกครั้งก่อนจะเดินเลี่ยงจากภาพตรงหน้านี้เพื่อไปดูอาการของน้องที่นอนพักอยู่อีกห้องหนึ่งก่อนจะสั่งให้คนของตนอยู่เฝ้าแทน

           แต่ยังไม่ทันที่ทิมจะเดินไปถึงห้องที่น้องเกลของเขานอนพักอยู่เคนที่เขากำลังจะไปหากลับมาอยู่ตรงหน้าเขาพร้อมกับคนติดตามที่เขาสั่งให้อยู่เฝ้าหน้าห้อง

           “ทำไมน้องถึงมาอยู่ตรงนี้ เอริคนายพาน้องออกมาทำไม”

           ทิมตรงเข้ามาถามอย่างร้อนใจ  แม้ทุกอย่างจะดูปกติดีแต่เพราะใบหน้าที่ยังคงซีดเซียวของคนที่นั่งอยู่บนรถเข็นสีน้ำเงินของโรงพยาบาลทำให้คนเป็นพี่ชายอย่างเขาอดเป็นห่วงไม่ได้

           “อย่างไปว่าเอริคเลยครับ น้องขอให้เขาพาออกมาเอง” เกลตอบแทนคนที่อยู่ด้านหลังเพื่อจะได้ไม่ต้องถูกตำหนิจากพี่ชายของเขา

           “แต่น้องควรพักต่ออีกสักหน่อยดูสิหน้ายังซีดอยู่เลย แล้วเจ้าธารมันไปไหนทำไมปล่อยน้องออกมาแบบนี้ได้”

           ทิมเริ่มบ่นเป็นหมีกินผึ้งอีกครั้งเมื่อมองซ้ายมองขวาแล้วไม่พบแม่แต่เงาของน้องชายคนรองที่รับอาสาจะอยู่ดูแลเกลให้เสียดิบดีแต่ดันหายไปเสียนี้

           “พี่ธารต้องไปรับคุณแก้วกับลูกที่โรงพยาบาลนะครับเกลเลยฝากให้ไปรับน้องเกรทที่โรงเรียนด้วยเลยเดี๋ยวก็คงกลับมาเย็นๆนู้นละครับ”

           เกลตอบคำถามพี่ชายอีกครั้งก่อนจะขอให้ทิมช่วยพาไปหาชิตรัตน์ แต่ชายหนุ่มผู้พี่กลับมีทีท่าไม่ค่อยมั่นใจเสียเท่าไรที่จะพาน้องเข้าไปหาจนแสดงอาการลุกลี้ลุกลนออกมา

           “มีคนมาบอกน้องเรื่องอาการของพี่ชินแล้วละครับ นะครับพี่ทิมพาน้องไปหาพี่ชินทีแค่เห็นหน้าก็ยังดี”

            เกลเอื้อมมือออกไปจับมือของพี่ชายเอาไว้พร้อมแววตาขอร้องอย่างน่าสงสารจนทิมไม่อาจปฏิเสธได้จึงต้องจำใจยอมพาน้องไปยังด้านหน้าของห้องปลอดเชื้อที่มีใครบางคนยืนอยู่ตรงนั้นก่อนแล้ว

           เกลมองคุณหญิงที่ยืนเอามือแนบกับกระจกบานใหญ่ที่กั้นกลางระหว่างด้านนอกกับห้องพักฟื้นพิเศษเขตปลอดเชื้อที่มีร่างของชายหนุ่มคนหนึ่งนอนนิ่งอยู่บนเตียงพร้อมด้วยสายต่างๆที่พาดผ่านร่างกายรวมทั้งเครื่องช่วยหายใจขนาดเล็กที่วางอยู่เหนือริมฝีปาก

           “ให้ทุกคนออกไปก่อนได้ไหมครับ น้องมีเรื่องอยากคุยับคุณหญิงหน่อย”  เขาว่าเสียงนิ่งโดยที่สายตาไม่ละไปจากตัวต้นเรื่องนี้เลยแม้แต่น้อย

           “แต่..”

           เกลชายตากลับมามองพี่ชายคนโตนิ่งๆอีกครั้งก่อนพยุงตัวขึ้นจากรถเข็นของทางโรงพยาบาลเพื่อเป็นสัญญาณให้รู้ถึงความต้องการที่แน่ชัดของตนเอง  ซึ่งทิมเองก็ไม่กล้าที่จะขัดใจขัดความต้องการของน้องชายได้จะโทษก็คงต้องโทษพวกเขานี้แหละที่ตามใจน้องคนเล็กมากเสียจนตัวเองไม่กล้าขัดใจอีกฝ่ายไม่ว่าจะเรื่องเล็กหรือเรื่องใหญ่อะไร

           เกลยืนนิ่งรอจนทิมและพวกเดินออกไปจากบริเวณนั้นจนหมดและรอจนแน่ใจว่าจะไม่มีใครเดินมายังบริเวณที่ตอนอยู่รวมทั้งสอดส่องดูตำแหน่งของกล้องวงจรปิดที่อาจซ้อนอยู่ตามบริเวณนี้จนแน่ใจแล้วว่าไม่มีจึงได้เดินเข้าใกล้จุดที่คุณหญิงยืนอยู่  ก่อนเว้นนะยะห่างเอาไว้แล้วหันหน้ามองไปยังคนรักที่นอนอยู่ตรงหน้า

           “คุณมันฆาตกร”

           !!!

           คนที่ถูกสบประมาทหันขวับไปยังผู้มาใหม่อย่างไม่พอใจด้วยสายตาที่มากไปด้วยความอาฆาตและชิงชัง แต่เกลกลับไม่สะทบสะท้านต่อสายตาที่อีกคนส่งมาให้ กลับหันไปสบตาตอบด้วยแววตานิ่งเรียบแทน

           “คุณมันฆาตกร” เขาแน่ย้ำค้ำพูดนี้อีกครั้งให้อีกคนได้ยินชัดๆก่อนจะหันกลับมามองชิตรัตน์ใหม่อีกครั้ง

           “เพราะแกนั่นแหละที่ทำให้ลูกชายฉันเป็นแบบนี้ ถ้าไม่มีแกสักคนลูกฉันก็ไม่ต้องมานอนเป็นผักแบบนี้หรอก!”

           หล่อนตวาดเสียงดังลั่นอย่างเจ็บแค้น ถ้าไม่มีมันสักคนชิตรัตน์ที่น่ารักของเขาก็ไม่ต้องมาทำร้ายจิตใจหล่อนแบบนี้ไม่ต้องมาเจ็บเจียนตายแบบนี้มุกอย่างที่มันเกิดขึ้นมันเป็นเพราะไอ้เด็กเหลือขอนี้ทั้งหมด เป็นเพราะมันคนเดียว!!

           เกลได้แต่ถอนหายใจออกมาอย่างหมดคำพูดกับคำพิพากษาที่อีกคนพิพาทเขาอย่างเห็นแก่ตัว จนถึงตอนนี้คุณก็ยังไม่เคยยอมรับความจริงอะไรสักอย่างจริงๆ

           “เพราะแก ฮึก เพราะแกคนเดียว”

           และสิ่งหนึ่งที่เกลเองก็ไม่คิดว่าวันนี้เขาจะได้มาเห็นมัน น้ำตาของแม่มดร้ายที่กำลังไหลอย่างไม่อาจปกปิดได้ แต่ขอล่ะนะอย่าใช้มันมาเป็นเครื่องขอความเห็นใจเลยเขาไม่มีให้หรอกนะ

           “ร้องไห้เป็นด้วยหรอครับ” เขาถามในสิ่งที่คิด

           “คนเลือดเย็นที่ฆ่าคนได้โดยไม่รู้สึกผิดเนี่ยร้องไห้เป็นด้วยหรือครับ”

           “ฉันก็คนนะ หัวใจฉันก็มีลูกชายฉันจะเป็นจะตายอยู่ตรงหน้าแกจะให้ฉันยิ้มมีความสุขหรือไง” คุณหญิงว่ากลับอย่างขุ่นมัวใจ

           “งั้นหรอครับ แล้วคุณไม่คิดมั่งหรือไงว่าคนอื่นเขาก็มีหัวใจเหมือนกัน”

           “....”

           “คุณเคยคิดมั่งไหมว่าจะมีใครต้องเจ็บต้องเสียใจกับสิ่งที่คุณทำไปมั่งคุณเคยรู้บ้างไหม” เกลเริ่มเสียงสั่นอย่างข่มอารมณ์ที่มี แต่คุณหญิงกลับเอาแต่เงียบและก้มหน้านิ่ง

           “หึ คุณมันไม่เคยเห็นหัวใครเลยนอกจากตัวเองคุณมันเห็นแก่ตัว”  เขาย้ำ

           “....”

           “คุณคงอยากให้คนที่นอนอยู่ตรงนั้นเป็นผมแทนที่จะเป็นพี่ชินสินะ”  เกลยิ้มเยาะเมื่อแค่มองสายตาของคุณหญิงก็เหมือนว่าตนสามรถอ่านความคิดของอีกคนได้

           “ใช่ ถ้าเป็นแกที่ตายเรื่องทุกอย่างมันก็จะดีกว่านี้ถ้าไม่มีแกตาชินก็จะไม่มีวันทิ้งฉันไป”

           “ไม่ทิ้งงั้นหรอ ฮ่าฮ่าฮ่า”

           เกลหัวเราะออกมาอย่างกับว่าเรื่องที่เขาพูดทวนเมื่อครู่เป็นเรื่องตลก จนทำให้คุณหญิงต้องมองอย่างไม่เข้าใจว่ามันมีเรื่องอะไรให้น่าขำนักหนา

           “ขำอะไรของแกไอ้เด็กบ้า” หล่อนว่าอย่างหัวเสีย

           “ก็ขำคนที่เงาหัวยังไม่มีแต่ก็ยังพยายามยืดคออยู่น่ะสิครับ”

           “นี่แก!”

           “คุณหญิงคิดจริงหรือครับว่าแค่กำจัดผมออกไปพี่ชินจะกลับมาเป็นลูกชายที่น่ารักของคุณอยู่อีกน่ะ”

           “....”

           “ลองคิดดูเล็นๆนะครับถ้าวันนี้คนที่โดนยิงเป็นผมตามที่คุณตั้งใจไว้จริง ตอนนี้คุณคิดว่าพี่ชินจะเดินเข้ามาหาคุณแล้วบอกว่า ยอดเยี่ยมที่สุดครับ อย่างงั้นหรอ”  เกลลองเชิงถามเสียงเหยียด

           “...”

           “เงียบทำไมละครับทำไมไม่ตอบละ หรือเพราะว่าคำตอนที่รู้ดีอยู่ในใจมันพูดออกมาแล้วเสียหน้ากันล่ะครับ”

           หล่อนมองหน้าคนถามตาขวาง ใช่ เพราะสิ่งที่เกลพูดมันเป็นความจริงถ้าตอนนี้คนที่นอนอยู่ตรงนั้นเป็นไอ้เด็กนี้ และตรงนี้เป็นชิตรัตน์ล่ะก็ หล่อนคงโดนสายตาตัดพ้อและเจ็บปวดของอีกคนส่งมาให้ทิ่มแทงใจเล่นอย่างแน่นอน เพราะอะไรทำไมหล่อนถึงต้องมาเจออะไรแบบนี้ด้วย

           “คุณมันรักแต่ตัวเองคุณหญิง คุณมันไม่เคยรักใครจริงขนาดคนที่คุณบอกว่ารักนักรักหนาคุณยังทำให้เขาเกือบตาย มันก็สมควรแล้วนิที่คุณมันจะต้องไม่เหลือใคร”

            เกลว่าทิ้งท้ายเอาไว้แค่นั้นก่อนจะหันไปอีกทางเพื่อที่จะได้ออกไปจากบริเวณนี้ แต่เพราะเสียงจากคุณหญิงที่ยังคงดึงดันในความถูกแบบผิดๆของตัวเองเรียกเขาเอาไว้เสียก่อน

           “ที่ฉันไม่เหลือใครมันก็เพราะพวกแกนั้นแหละที่เป็นคนแย่งไป พวกแกทุกคนมันก็แค่พวกขี้อิจฉาเห็นฉันได้ดีเลยคิดจะแย่งไปใช่ไหมล่ะ เหอะ ฉันไม่ยอมหรอก!!”

           เกลส่ายหน้าอย่างละอากับความสมองน้อยคิดได้แค่เรื่องของตัวเองแบบนี้อย่างสมเพชเวทนา จึงต้องหันกลับไปเผชิญหน้ากับคุณหญิงใหม่อีกครั้ง แต่คราวนี้สายตาที่จ้องมองมายังคนตรงหน้ามีแต่คำว่าดูถูกและสมเพชอย่างมาที่มีให้อีกคน

           “ไม่มีใครแย่งของของคุณหรอกนะคุณหญิง มันมีแต่คุณนั้นแหละที่ผลักไสพวกเขาออกมาจากชีวิตคุณน่ะ”

           !!

     
  :monkeysad:

ออฟไลน์ wavery

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 124
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-2
:monkeysad:

    “เรื่องของคุณวาดฟ้าผมจะไม่ของพูดอะไรเพราะเรื่องนี้มันไม่ใช่เรื่องของผมมันเกิดขึ้นนานแล้ว แต่ที่ผมจะพูดมันคือเรื่องระหว่างงผมกับคุณและพี่ชิน”

           เกลเว้นระยะไว้แค่นั้นก่อนสาวเท้าเข้ามาใกล้คุณหญิงจนกลายเป็นว่าตอนนี้พวกเขายืนประชิดกันในระยะใกล้ ไม่มีความเกรงกลัวจากเกลออกมาให้เห็นเหมือนเวลาปกติจนทำให้ตัวคุณหญิงเองกลับเป็นฝ่ายที่รู้สึกว่าขนอ่อนทั่วลำตัวลุกชันอย่างไม่ทราบสาเหตุยาวที่เด็กคนนี้เดินเข้ามาใกล้

           “คุณคิดว่าผมแย่งพี่ชินมาจากคุณงั้นหรอ ?”

           “...”           

           “ผมจะบอกให้นะ พี่ชินนะเขารักคุณมากมากพอที่จะทำให้เขากล้าทำร้ายจิตใจของผมโดยแลกกับการที่จะมีคุณเป็นแม่ของเขาอยู่กับเขาบนโลกใบนี้ต่อ”

           !!!

           “ทำหน้าตกใจทำไมครับ อย่าบอกนะว่าลืมไปแล้วนะว่าเคยทำอะไรไว้อย่าให้ผมต้องพูดเรื่อเก่าๆของเราเลยครับผมยังไม่อยากเป็นฆาตกรเหมือนกับคุณตอนนี้ “

           “แกต้องการจะพูดอะไรกันแน่”

           คุณหญิงมีท่าทีสับสนอย่างเห็นได้ชัดยามที่คำพูดพวกนั้นออกมาจากปากของเกล แต่หล่อนเลือกที่จะปิดหูปิดตาทั้งทั้งที่ก็รู้อยู่เต็มอกถึงความหมายที่อีกคนต้องการสื่อ

           “พี่ชินรักและเลือกคุณมากกว่าที่จะเลือกผมในตอนนั้น แต่ก็เพราะคุณมันไม่รู้จักพอไงคุณถึงไม่เคยรู้เลยว่าความที่พี่ชินมีให้แม่เลวๆแบบคุณมันมีมากขนาดไหนคุณถึงได้ผลักไสความรู้สึกดีๆที่เขามีให้คุณทิ้งโดยการทำร้ายจิตใจของเขาสารพัดเพียงเพราะคุณคิดว่าผมกำลังจะแย่งความรักของคุณไป  น่าสงสารจริงๆคุณหญิง ทั้งชีวิตนี้คุณเคยได้รู้จักความรักบ้างหรือเปล่าครับ?”

           !!

           คนฟังถึงกลับสะอึกจะพูดอะไรไม่ออกยามที่ถูกถามคำถามที่จี้ใจแบบนี้  ความรักสำหรับหล่อนคืออะไรกันแน่หล่อนเองก็ยังไม่สามรถตอบได้ สำหรับคนที่มีทุกอย่างมากมายพออยากได้อะไรก็ต้องได้แต่พอเบื่อแล้วก็โยนทิ้งแล้วความรักสำหรับคุณหญิงโฉมฉวีคืออะไร หล่อนไม่รู้ แต่ถ้าความรักของคนที่ชื่อโฉมฉวีแล้ว คงพอตอบได้ว่าคือทุกสิ่งทุกอย่างที่หล่อหลอมออกมาจนเป็นชิตรัตน์ในวันนี้

           “ถ้าคุณหญิงรู้จักความรักคุณหญิงก็จะรู้ว่าความรักที่พี่ชินมีต่อคุณกับที่มีต่อผมมันไม่เหมือนกัน สำหรับคุณแล้วความรักของคุณช่วยสร้างชีวิตให้กับเขาทำให้เขาเป็นเขาได้จนถึงทุกวันนี้ แต่สำหรับผมผมเป็นจิตใจอีกครึ่งที่เข้ามาเติมเต็มให้เข้าก้าวต่อไปได้ เขาไม่มีวันละทิ้งผู้ให้ชีวิตเขาได้คุณเข้าใจไหม”

           คุณหญิงก้มหน้ารับฟังสิ่งที่เกลพูดอย่างเงียบๆพร้อมหยดน้ำตาใสที่ล้วงหลนลงพื้นกระเบื้องขาวหลายหยด เหมือนคนคิดได้เมื่อสายไป

           “ถ้าคุณรู้จักความรักคุณจะรู้จักแบ่งปันความรักที่มีให้คนอื่นด้วย”

           !!

           หล่อนเบิกตากว้างก่อนค่อยๆเงยหน้ามองเกลช้าๆ อย่างไม่เชื่อหู นี่น่ะเหรอคำตอบของปริศนาคำที่พี่ชายของอีกคนพูดทิ้งท้ายเอาไว้ไม่ยอมตอบ

           เพราะเขาไม่รู้จักคำว่ารักใช่ไหมเคนถึงไม่เคยได้รับความรักจากใคร แต่พอหล่อนให้ความรักกับชิตรัตน์จนอีกคนยอมมอบความรักตอบกลับมากลับเป็นหล่อนเสียเองที่ผลักไสความรักนั้นออกไปจนเกิดเป็นรอบร้าวในใจ

           หล่อนทำร้ายลูกชายที่หล่อนรักเองกับมือ หล่อนทำให้ลูกชายไม่มีความสุข เพราะหล่อนโง่เขลาในความรักที่มีลูกชายหล่อนถึงต้องมามีชะตากรรมที่น่าสงสารเช่นนี้

           คุณหญิงโฉมฉวีค่อยๆหันหน้ากลับไปหาลูกชายอีกครั้งก่อนจะวางฝ่ามือประกบเข้ากับกระจกตรงตำแหน่งหน้าของชิตรัตน์ที่ยังคงหลับไม่รู้เรื่องลูบเบาๆพร้อมน้ำตาที่ไหลออกมาอย่างไม่ขาดสายก่อนที่ร่างอรชรนั้นจะทรุดตัวลงกับพื้นที่แสนเย็นเฉียบเหมือนหัวใจที่ว่างเปล่าของตน

           “แม่ขอโทษตาชิน ฮึก แม่ขอโทษ”  เสียงสะอื้นร่ำไห้ของคุณหญิงดังออกมาให้ได้ยินเป็นระยะ

           เกลยืนนิ่งมองคุณหญิงที่สะอื้นอยู่กับพื้นอย่างเฉยชาก่อนที่จะทรุดตัวลงนั่งยองๆอยู่ข้างๆก่อนจะหยิบบางสิ่งที่อยู่ในห่อผ้าที่ตนใช้คุมกายตั้งออกมาจากห้องพักฟื้นมาวางไว้ที่ตักของคนที่หมดสิ้น

           “อยากแก้ตัวใหม่ไหมละครับ” เกลกระซิบเบาๆที่ข้างหูพอให้ได้ยินกันเพียงแค่สองคน

           “...”

           “ใช้สิ่งนี้ ชดใช้ในสิ่งที่คุณทำไว้กับทุกคนสะ เพื่อพี่ชินคุณทำได้หรือเปล่า ?”
 
           ปืนเล็กแบบพกพาสำหรับผู้หญิงถูกวางลงบนพื้นตรงหน้าของคุณหญิงที่ยังคงก้มหน้ามองพื้นไม่พูดไม่จากเหมือนกับว่ากำลังจมอยู่กับความคิดของตนที่หลั่งไหลอยู่มากมายในหัวจนไม่อาจรับรู้ได้ว่ารอบกายมีสิ่งได้เคลื่อนไหวไปบ้าง

“โชคดีนะครับคุณหญิง คิดให้ดีๆก่อนที่จะทำอะไรลงไป”

เกลเอ่ยคำอวยพรทิ้งท้ายนี้เอาไว้ก่อนจะลุกขึ้นหันไปมองเตียงที่มีร่างของคนรักนอนนิ่งอยู่ครู่หนึ่งด้วยรอบยิ้มก่อนจะเดินออกไปจากตรงนี้เพื่อให้เวลากับคนที่ยังจิตใจล่องลอยได้คิดทบทวนเรื่องราวต่างๆอยู่ตรงนั้นคนเดียว   เกลก้าวเดินออกไปตามทางเดินที่ทอดยาวก่อนจะหยุดลงเมื่อเห็นร่างของพี่ชายคนโตยืนนิ่งรอเขาอยู่ตรงทางแยกที่เขาเดินออกมา

“คุยกันเสร็จแล้วหรอครับ”

เกลยิ้มบางๆให้แทนคำตอบก่อนที่หางตาจะไปสะดุดกับชายในเครื่องแบบตำรวจสามคนที่ยืนคุยอยู่กับคุณหมอที่ทำการผ่าตัดให้ชิตรัตน์เมื่อครู่ จนเผลอมองอย่างใคร่รู้ในคำตอบ

“ตำรวจมาเพื่อขอสอบเรื่องที่มีเหตุยิงกันที่ท่าเรื่องของเรานั้นแหละ”

ทิมที่มองตามสายตาของน้องชายไปเป็นคนตอบข้อสงสัยนี้ให้แทน มีคนโดนยิงมาขนาดนี้ทางโรงพยาบาลคงจะเป็นคนโทรตามตำรวจจากสน.ใกล้ๆนี้มา

           “ครับ แล้วน้องต้องให้การด้วยหรือเปล่า”   เขาถามอย่างสงสัยเพราะถ้าตำรวจมาถึงนี้แล้วแสดงว่าทิมและลูกน้องก็ต้องโดนสอบสอนเพื่อให้การด้วยเหมือนกัน

           “ก็นะ พี่กับคนอื่นๆก็เพิ่งให้การเสร็จไปเมื่อครู่นี้เอง”เขาพยักหน้ารับ ก่อนที่เจ้าหน้าที่ตำรวจนายหนึ่งจะเดินเข้ามาตรงทางที่เขายืนอยู่

           “ขอโทษนะครับ ไม่ทราบว่าคุณใช่คุณไนติงเกลใช่หรือเปล่าครับ”

           “ครับ” เขาขานรับ

           “ผมจะขอรบกวนขอเวลาคุณสักครู่ได้หรือไม่ครับ พอดีเราต้องการทราบเรื่องที่เกิดขึ้นเพิ่มเติมเสียหน่อยนะครับ”

           เจ้าหน้าที่วัยกลางคนเอ่ยอย่างสุภาพ ซึ่งเกลเองก็ไม่ได้มีอะไรต้องปกปิดจึงรับปากที่จะร่วมให้การในครั้งแต่ พอกำลังจะเดินเลี่ยงไปอีกทางเพื่อที่จะได้เริ่มการสอบปากคำ ก็พลันเกิดเสียงที่ไม่มีใครคาดคิดว่าจะได้ยินมันในโรงพยาบาลดังขึ้น

              ปัง!!

             เสียงที่ดังมาจากทางที่เกลเพิ่งเดินจากมาเรียกความสนใจและตื่นตัวเจ้าเหล่าบอดี้การ์ดที่ลุกหน้าเข้ามาเอาตัวบังเจ้านายทั้งสองเอาไว้อย่างรวดเร็วร่วมทั้งเจ้าหน้าที่ตำรวจทีรีบชักปืนที่เหน็บอยู่ที่เอวออกมาอย่างเตรียมพร้อม พร้อมส่งสัญญาณให้กันเพื่อเดินเข้าไปยังสถานที่เป็นจุดเกิดเสียงเมื่อครู่อย่างระแวดระวัง ประจวบเหมาะกันเวลาที่ตำรวจกำลังเข้าไปดูสถานที่เกิดเหตุเสียงของนางพยาบาลที่คาดมาน่าจะออกมาดูเหตุการณ์ก็ดังขึ้น

              “กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดด!!”

              ทำให้นายตำรวจรีบวิ่งเข้าไปเร็วกว่าเดิมด้วยกลัวอาจมีผู้ได้รับอันตราย แต่พอไปถึงกับต้องหยุดชะงักกันทันทีไม่เว้นแม้แต่พวกของทิมที่วิ่งตามหลังเข้ามาด้วย

           ภาพที่อยู่ตรงสุดท้างเดินที่เลยจากห้องกระจกที่ชิตรัตน์นอนพักฟื้นอยู่ปรากฏร่างไร้วิญญาณของผู้หญิงคนหนึ่งที่นอนจมกองเลือดที่ไหลออกมาจากบริเวณศีรษะเช่นเดียวกับผนังที่มีรอยสาดกระเด็นของเลือดเปื้อนติดอยู่ส่วนที่มือด้านขวามีปืนพกกระบอกหนึ่งตกอยู่ไม่ไกล เป็นภาพที่ชวนสังเวชใจให้แก่คนที่มองดูอย่างทิมจนต้องดึงน้องชายเอามากอดเพื่อไม่ให้มองดูภาพที่เกิดขึ้นตรงหน้า

           นายตำรวจเข้าไปตรวจสอบสภาพร่างของคุณหญิงโฉมฉวีที่ทำการปลิดชีพตัวเองลงก่อนจะขอให้พวกเขาออกไปจากที่เกิดเหตุนี้พร้อมนางพยาบาลสาวที่ถึงกับเข่าอ่อนเดินไม่ไหวจนถึงพึ่งพาคนของทิมให้ช่วยประคองเดินออกไปแล้วตามหน่อยฉุกเฉินเข้ามานำร่างของคุณหญิงออกไป
 

           ทิมพาน้องชายกลับมายังห้องพักที่ทางโรงพยาบาลจัดเตรียมไว้ให้เมื่อตอนมาถึง  ทิมจัดการสั่งคนของตัวเองให้ออกไปรอข้างนอกและบางส่วนให้แยกออกไปรอรับพวกธานที่กำลังเดินทางมายังทีนี้และหน้าห้องพักฟื้นของชิตรัตน์เพื่อที่ว่าหากรู้สึกตัวแล้วจะได้มารายงานได้ทันท้วงที

           “เป็นไงมั่งเกล”

           ทิมเอ่ยขึ้นมาหลังจากที่ทุกคนออกไปจากห้องกันหมดแล้ว คนบนเตียงส่ายหน้าเบาๆแทนคำตอบ ทิมมองท่าทางของน้องคนเล็กเล็กน้อยก่อนจะลุกขึ้นเดินไปรินน้ำใส่แก้วให้อีคนรับไปดื่ม

           “พี่ไม่รู้นะว่าเราไปคุยอะไรกับคุณหญิงเรื่องมันถึงเป็นแบบนี้ แต่ถ้าชิตรัตน์ตื่นขึ้นมาน้องจะตอบเรื่องนี้ยังไง”

           พี่ชายคนโตว่าเสียงจริงจัง เพราะยังไงเสียข่าวการตายของคุณหญิงก็ต้องเป็นข่าวขึ้นหน้าหนึ่งแน่ถ้าชิตรัตน์รู้เรื่องเขาน้องของเขาจะตอบคนรักว่ายังไง

           “ก็ตอบตามจริงสิครับ”  เกลพูดขึ้นหลังจิบน้ำเข้าเข้าปากไปเหมือนคนที่ไม่รู้สึกรู้สาอะไร หากแต่ว่ามือข้างที่ถือแก้วน้ำเอาไว้นั้นกลับสั่นจนสังเกตเห็นได้ชัด

           “ยังไงพวกนักข่าวก็จะลงข่าวตามที่เราได้ให้การกับตำรวจไปแล้วเอามาโยงกับเรื่องการฆ่าตัวตายนี้อีก ยังไงเราก็ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องอยู่แล้วละครับ” เจ้าตัวว่าอย่างใจเย็นแล้วค่อยๆจิบน้ำที่อยู่ในแก้วใสต่อจนหมดแล้วนำไปวางคืนที่โต๊ะข้างเตียงผู้ป่วย

           “มั่นใจขนาดนั้นเลยเหรอว่าเรื่องมันจะไม่สาวมาถึงตัวเกลที่เป็นคนเอาปืนไปให้น่ะ”

           ทิมหรี่ตามองน้องชายอย่างจับผิด แต่ว่าคนโดนมองกลับทำทีเป็นไม่สนใจสายตานั้นพร้อมยังพูดเหมือนนั้นไม่ใช่ความผิดของตนทั้งที่มือทั้งสองข้างของเขาเองกำชายผ้าห่มเอาไว้แน่น

           “ปืนกระบอกนั้นเป็นปืนของคุณหญิงเอง เขาจะพกติดตัวมาด้วยก็ไม่เห็นแปลกอะไรนิครับ”

           “แต่ตอนที่พี่ไปเอาตัวคุณหญิงมาปืนกระบอกนี้มันไม่ได้อยู่กับตัวคุณหญิงนะ”    ทิมพูดดัก ในเมื่อมันไม่ได้อยู่ที่ตัวของคุณหญิงมาแต่แรกแบบนี้การที่อยู่ดีๆมันมาอยู่ที่นี้ได้ต้องเป็นเพราะมีใครจงใจเอามันมาไว้ที่นี้ต่างหาก

           “แล้วยังไงหรอครับ ในเมื่อคนที่ตัดสินใจในตอนนั้นคือคุณหญิงไม่ใช่น้อง ต่อให้ใครจะว่าน้องว่าเลวว่าชั่วยังไงก็ได้แต่น้องจะไม่ยอมให้ใครมาทำลายครอบครัวของน้องอีกแล้ว พี่ทิมเข้าใจที่น้องพูดใช่ไหมครับ”

           เข้าใจสิ เข้าใจดีเลย เขาเองก็มีครอบครัวแล้วเหมือนกันยิ่งในฐานะหัวหน้าครอบครัวแล้วเขามีหน้าที่ปกป้องลูกเมียไม่ให้ใครมาทำอันตรายได้แถมเมียก็มีตั้งสองคนไหนจะลูกอีกสามแล้วไหนนะใรอนาคตที่ไม่รู้จะมีอีกกี่คนนั้นอีก หน้าที่ของเขามันเยอะและใหญ่หลวงยิ่งกว่าน้องเขามาก และเขาเองก็ยิ่งเข้าใจมากขึ้นไปอีกเมื่อคนที่เคยมีบาดแผลในใจกับการโดนพรากครอบครัวไปต่อหน้าและต้องการที่จะได้ครอบครัวกลับคืนมาแบบนี้เขาก็พอเข้าใจ แต่ที่คิดไม่ถึงคือการที่น้องของเขาบีบให้ตัวการของเรื่องต้องฆ่าตัวตายแบบนี้

           “พี่ให้การกับตำรวจไปว่ามาคุยกับคุณหญิงเรื่องคดีความ”

           “...”

           “เดี๋ยวพี่ไปบอกตำรวจเพิ่มให้แล้วกันว่าคุณหญิงพกปืนมาเพื่อป้องกันตัว”

           ในเมื่อเรื่องมันมาขนาดนี้แล้ว ก็คงต้องโยงเรื่องทุกอย่างเข้ามาเป็นเรื่องเดียวกันสินะ  ทิมตั้งท่าจะเดินออกจาห้องเพื่อไปพูดคุยถึงเรื่องที่เพิ่งเกิดไปกับตำรวจเพิ่มเติม หากแต่ชายเสื้อของเขากลับถูกรั้งเอาไว้ด้วยมือนิ่มที่เริ่มสั่นเทาอีกครั้งของคนบนเตียง

           “เกลกลัว”

           เสียงแผ่วเบาที่ดังออกมาจากปากของน้องชาย ทำให้ทิมต้องถอนหายใจออมอย่างแรงอย่างช่วยไม่ได้  ก็นะถึงน้องเขาจะทำเรื่องที่มันร้ายแรงแบบนั้นลงไปด้วยหน้านิ่งๆไม่รู้สึกรู้สาอะไรแต่ลึกๆแล้วเจ้าตัวนะอ่อนไหวง่ายจะตาย ความรู้สึกที่พูดออกมาเมื่อครู่นี้ก็คงจะมาจากจิตใจส่วนลึกของเจ้าตัวเองนั้นแหละ

           “ไม่มีอะไรต้องกลัวแล้วนะทุกอย่างจบแล้ว”

           เขาหันหลังกลับไปรั้งร่างของน้องชายเข้ามากอดพร้อมกับฝ่ามือหนาลูบแผ่นหลังบางไปมาอย่างปลอบโยน เมื่อเริ่มรู้สึกถึงแรงสั่นเล็กน้อยที่สวมกอดอยู่

           ทิมกอดปลอบน้องชายออยู่อย่างนั้นเป็นเวลาอยู่นานกว่าแรงสั่นเทาบนร่างนั้นจะคลายลงได้ ทิมจึงดันร่างของน้องออกมาเพื่อใช้ปลายนิ้วโป้งทั้งสองเกลี่ยน้ำตาที่ยังคงไหลรินอยู่ที่สองข้างแก้มนิ่มอย่างถนอม ประจวบเหมาะกับที่ประตูถูกเปิดออกด้วยมือเล็กๆของเด็กชายที่เมื่อเช้ายังมีรอยยิ้มประดับอยู่บนหน้าผิดกับตอนนี้ที่สองแก้มป้องมีคาบน้ำตาติดเหมือนผู้เป็นแม่ที่นั่งอยู่บนเตียงกลางห้อง

           “คุณแม่ ฮึก”เกรทวิ่งร้องไห้เข้ามาในห้องเป็นคนแรกก่อนโผเข้ากอดกับเกลที่ยันตัวลงจากเตียงเพื่อเข้ามากอดรับลูกชายที่วิ่งร้องโยเยเข้ามา

           “คุณแม่ฮึก”

           “ครับ คุณแม่อยู่นี้แล้วครับไม่เป็นไรแล้ว ชู่ๆ”

           เกลกดหัวลูกชายซบลงกับไหล่พร้อมลูบปลอบเด็กน้อยที่กำลังขวัญเสีย ก่อนหันไปมอง ธารและแก้วที่อุ้มเด็กทารกแนบอกเดินตามหลังเข้ามาอย่างร้อนรน

           “คุณเกลเป็นยังไงมั่งคับ แล้วคุณชินละครับ”

           แก้วกล้าถามอย่างเป็นห่วงอย่างเห็นได้ชัดแม้จะยังไม่หายดีจากแผลผ่าคลอดจนต้องให้ธารคอยพยุงแล้วไหนจะต้องคอยอุ้มลูกน้อยอีก จนเกลต้องรีบบอกให้ธารพาแก้วมานั่งลงที่เตียงแทน

           “ชิตรัตน์พ้นขีดอันตรายแล้วแต่ยังต้องอยู่ในห้องปลอดเชื้อเพื่อกันการติดเชื้อและดูอาการนะ”ทิมอาสาเป็นคนตอบเรื่องทั้งหมดให้ทุกคนรู้แทน 

            “แล้วที่โรงบาลมันเกิดอะไรขึ้น ทำไมดูมันวุ่นวายกว่าตอนที่ฉันออกไปรับแก้วกับหลาน” ธารทักขึ้นถึงความวุ่นวายของกองทัพนักข่าวและตำรวจที่ด้านล่างของโรงพยาบาลจนพวกเขาเองยังแทบเขามาข้างในไม่ได้

           เกลกับทิมหันมามองหน้ากันก่อนจะเป็นเกลที่อุ้มลูกชายที่ยังคงสะอื้นเงียบอยู่ขึ้นซบบ่าแล้วพาออกไปนอกระเบียงห้องแทน เพื่อให้ผู้ใหญ่ในห้องได้คุยกันสะดวก

           ธารมองทั้งคู่อย่างใช้ความคิดการที่เกลพาลูกชายออกไปแบบนี้ย่อมแสดงว่าเรื่องที่เขากำลังจะได้รู้ต้องไม่น่าจะใช่เรื่องที่ดีเสียเท่าไร

           “มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ครับ”

           แก้วกล้าเริ่มใจคอไม่ค่อยจะดีเป็นฝ่ายที่เอ่ยปากถามขึ้น จนธารที่อยู่ข้างๆต้องยกมือขึ้นจับบ่าให้ใจเย็นลงด้วยกลัวว่าลูกสาวตัวน้อยที่นอนอยู่บนเตียงจะตื่นขึ้นมาก่อน

           “คุณหญิงตายแล้ว”

           !!

           “ตายแล้ว หมายความว่ายังไง”

            ธารว่าเสียงดังพร้อมทำหน้าตาแตกตื่นจนกลายเป็นเขาเสียเองที่ทำให้ลูกสาวตกใจตื่นจนร้องไห้จ๋าเสียงดังลั่นห้อง ขนาดเกลที่กำลังกลอมลูกอยู่นอกระเบียงยังสะดุ้งโหยง

           “แงงงงงงงง อึก แงงงงงงง”

           “ชิบหาย”

           “ทำบ้าอะไรของคุณเนี่ย”  แกล้วกล้าบ่นอุบอย่างหัวเสียที่อีกคนทำให้ลูกสาวของเขาทำให้ต้องตกใจจนร้องโยเยเช่นนี้

           “โอ๋ๆๆ หนูวีจ๊ะแด๊ดดี้ขอโทษนะครับ โอ๋ๆๆไม่ร้องนะคนดี โอ๋ๆๆๆ”

           ธารวิ่งล้อมหน้าล้อมหลังแก้วกล้าที่อุ้มลูกขึ้นซบบ่าเพื่อปลอบขวัญ  จนแก้วกล้าต้องส่งสายตารำคาญมาให้แล้วเดินหนีออกไปอยู่นอกระเบียงกับเกลแทน

           “อย่าทำหน้าง่อยเป็นหมาโดนทิ้งแบบนั้นสิ”   ทิมตบบ่าน้องชายอย่างเห็นใจ  ส่วนคนที่ถูกเปรียบว่าเป็นหมาโดนทิ้งก็ได้แต่ถอนหายใจอย่างทำใจ

           “แล้วเรื่องมันเป็นมายังไง ทำไมอยู่ๆ ยัยแม่มดนั่นถึงตายได้”

           ธารเลิกทำเป็นเล่นแล้วหันกลับมาถามพี่ชายของตนอย่างจริงจัง   ทิมมองหน้าก่อนจะเริ่มเล่าเหตุการณ์หลังจากที่ธารออกจากโรงพยาบาลไปแล้วให้เจ้าตัวฟังทั้งหมดว่าเกิดอะไรขึ้นมาบ้าง

              ธารได้ฟังเรื่องที่เกิดขึ้นก็อดที่หวนคิดถึงเรื่องที่ตนเคยคุยกับน้องน้อยเมื่อไม่นานมานี้เกี่ยวกับเรื่องของคุณหญิงโฉมฉวีกับความปรารถนาสูงสุดที่วันนั้นเจ้าตัวหลุดปากเอ๋ยออกมา แวบขึ้นมาในหัว

            “........................คุณหญิงนั่นต้องไม่อยู่ร่วมลมหายใจกับน้องอีก” 


               “  การตายของคุณหญิงเป็นสิ่งที่เจ้าตัวเขาเลือกเองอย่าโทษน้องเลย น้องเองลึกๆ แล้วก็รู้สึกผิดกับสิ่งที่เกิดขึ้นเหมือนกัน”  ธารพยักหน้าเข้าใจ

           ไม่มีใครไม่เคยไม่ทำผิดเรื่องนี้เขารู้และทุกคนมีเหตุผลที่จะทำมัน ไม่โทษน้องของเขาที่หยิบยื่นความตายนี้ให้คุณหญิง เพราะเขาเองก็ใช่ว่าจะไม่เคยหยิบยื่นความตายให้ใคร

           ทั้งเขาและทิมเองตั้งแต่จำความได้พวกเขาก็วนเวียนอยู่กับเรื่องราวพวกนี้มาตลอด อาจเพราะต้นสายของตระกูลที่ต้องอยู่ท่ามกลางวงล้อแห่งการแกร่งแย่งการหลั่งเลือดเพื่อให้ได้มาเพื่ออำนาจที่มากมาย ไหนจะเรื่องของทางธุรกิจอีก ทำให้สิ่งที่เกลทำไปนั้นเทียบอะไรไม่ได้เลยกับสิ่งที่เขาสองคนหรืออาจทุกคนในตระกูลทำมาเสียด้วยซ้ำ

           เขากับทิมก็ได้แต่ภาวนาขอให้สิ่งนี้เป็นการลงมือครั้งแรกและครั้งสุดท้ายที่น้องน้อยของพวกเขาจะทำ น้องของเขาสะอาดและบริสุทธิ์เกินกว่าจะต้องมาทำเรื่องแบบนี้

           ในเมื่อเมฆฝนดำมืดที่ปกคลุมอยู่ในใจของเกลและชิตรัตน์ถูกปัดเป่าออกไปจนหมดสิ้นแล้ว เขาที่เป็นพี่ก็ได้แต่หวังว่าท้องฟ้าที่สดใสหลังจากผ่านความหนาวเย็นของสายฝนจะเป็นแสงแดดที่ส่องสว่างและอบอุ่น......................
_____________________________________________________________

โปรดยืนไว้อาลัยแด่คุณหญิงโฉมฉวีสักหนึ่งนาที...
นิยายเรื่องนี้ไม่มีใครดีสุดและร้ายที่สุด ทุกคนเป็นสีเทาๆ ดั่งเช่นพี่อู๊ด นะคร้าบบบบ พี่น้องครับ
เหลืออีกตอนเดียวเท่านั้นกับบทสรุปของทุกๆตัวละคร
แล้วเจอกันเที่ยงคืน

ขอบคุณที่ติดตามนะคะ

ออฟไลน์ wavery

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 124
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-2
ฝนหยดสุดท้าย


ข่าวเรื่องการตายของคุณหญิงโฉมฉวีที่ลงมือปลิดชีวิตตนเองลง เพราะทนรับแรงกดดันกับหลายๆเรื่องที่เกิดขึ้นมาไม่ไหวโดยเฉพาะเรื่องของชิตรัตน์ แม้จะผ่านมาแล้วกว่าสามวันแล้วแต่หนังสือพิมพ์แทบทุกฉบับยังคงลงข่าวเรื่องนี้กันอย่างต่อเนื่องรวมทั้งขุดคุ้ยเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับคุณหญิงโฉมฉวีมาตีแพร่ร่วมถึงความสัมพันธ์ระหว่างคุณหญิงกับชิตรัตน์ที่ว่าแท้จริงแล้วคุณหญิงไม่ใช่แม่แท้ๆของชิตรัตน์ร่วมถึงข่าวลือที่คุณหญิงเป็นคนลงมือฆ่าคุณวาดฟ้าผู้เป็นแม่ที่แท้จริงของชิตรัตน์แล้วสวมรอยแทน

เกลกดปิดโทรทัศน์ที่กำลังฉายรายการข่าวภาคเที่ยงที่ตอนนี้กำลังรายงานข่าวเกี่ยวกับคดีฉ้อโกงของคุณหญิงลงอย่างไม่อย่าสนใจ ก่อนจะเดินไปทางระเบียงเพื่อเปิดบานประตูกระจกออกให้อากาศภายในห้องพักผู้ป่วยที่ชิตรัตน์ถูกย้ายออกมาพักฟื้นอยู่ในตอนนี้ได้ระบายอออกพร้อมเปิดรับอากาศดีๆในวันที่แสงแดดไม่แรงมากไหนจะลมเย็นๆที่พัดเข้ามาหลังจากฝนที่ตกหนักมาตลอดคืน

ชิตรัตน์ถูกย้ายออกมาจากห้องปลอกเชื้อเมื่อวานตอนเย็นหลังแพทย์วินิจฉัยแล้วว่าไม่พบการติดเชื้ออะไรแต่ยังคงต้องอยู่ดูอาการอีกสักระยะอย่างใกล้ชิด  ส่วนเรื่องงานศพของคุณหญิงมีกำหนดสวดเพียงสามวันและจะทำการเผาร่างในวันพรุ่งนี้ที่จะถึงภายใต้การดูแลของวีรกิตติ์ที่เป็นเหมือนญาติเพียงคนเดียวที่เหลืออยู่

ส่วนแก้วกล้ากับลูกสาวถูกธารสั่งให้อยู่แต่ภายในบ้านอย่างเดียวเท่านั้นเพราะหลังจากกลับจากการมาเยี่ยมชิตรัตน์ในวันที่อีกฝ่ายโดนยิงแล้ว วีนัสมีอาการไม่สบายร้องไห้ทั้งคืนจนธารต้องขับรถพาลูกสาวมาหาหมอในยามวิการก่อนจะได้ความว่าลูกสาวของเข้าติดเชื้อมาจากโรงพยาบาลทำให้รู้สึกไม่สบายเนื้อสบายตัวจนเป็นไข้อ่อนๆ ทำให้ธารทวีความเป็นห่วงกว่าเดิมจนคนเป็นแม่อย่างแก้วกล้ายังออกอาการปวดหัวกับพฤติกรรมที่เรียกว่าเกินคนปกติทำของธารที่สั่งย้ายหน้าที่ของปีแอร์จากการเป็นหมอส่วนตัวของเกลให้มารับหน้าที่ดูแลเรื่องสุขภาพของวีนัสทั้งหมดซึ่งอันนี้เกลเองก็เห็นควรด้วย ส่วนไรอันที่ช่วงนี้ยังไม่สามารถกลับไปทำงานกับธารได้อย่างปกติจึงหยุดพังตัวเองมาคอยช่วยแก้วกล้าดูแลวีนัสอีกแรงหนึ่ง

           ความสงบในแต่วันที่เพิ่งเข้ามาในชีวิตเขาตอนนี้จะบอกว่ามีความสุขดีไหมนั้นเขาเองก็ยังคงตอบได้ไม่เต็มปากเท่าไรนัก  เกลหันหน้ากลับเข้ามามองใครอีกคนที่อยู่ในห้องเดียวกับเขาที่ตั้งแต่วันนั้นก็ยังไม่ยอมตื่นขึ้นมาเลยสักครั้งเดียว

           เกลเดินกลับเข้ามานั่งที่เก้าอี้ข้างเตียงตัวเดิมกับที่เขานั่งอยู่ตั้งแต่เมื่อคืนจนกระทั้งถึงเมื่อสักครู่นี้ เขาเอื้อมมืออกไปจับมือของใครอีกคนขึ้นมาทาบที่ใบหน้าพร้อมสายตาจับจ้องไปยังคนที่ยังคงนอนหลับตาสนิทอยู่เช่นเดิม

           “เมื่อไรพี่ชินจะตื่นสักทีละครับ”

           “...”

           “เกลกับลูกคิดถึงพี่ชินแล้วนะ”

           “...”

              “เมื่อ ฮึก เมื่อไรจะตื่น ฮึก “

           สุดท้ายเขาก็ไม่อาจกลั้นความรู้สึกที่อัดอั้นอยู่ในใจได้ ทั้งทีคิดเอาไว้แล้วว่าจะไม่ร้องได้ออกมาแต่เขาก็ทำไม่ได้ ไม่ว่าจะเพราะห่วงคนรักที่ยังนอนนิ่งไม่ไหวติ่งหรือจะเป็นความรู้สึกผิดที่มีต่อการตายของคุณหญิงที่อยู่ลึกลงไปในใจ สุดท้ายเขาก็พ่ายแพ้ต่อสิ่งที่อยู่ในใจจนต้องซบหน้าร้องไห้ลงกับเตียงนอนผู้ป่วยสีขาวจนกายสั่น

           เขาร้องไห้ออกมาเงียบๆอยู่อย่างนี้นานพอที่จะทำให้ดวงตาทั้งสองบวมจนสังเกตได้แม้จะเพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่อยู่ดีๆสิ่งที่เขาไม่ทันจะได้ตั้งตัวก็เกิดขึ้น เมื่อมือข้างที่วางอยู่อีกฝั่งหนึ่งของร่างกายที่เขาคิดว่ายังคงหลับลึกไม่รู้สึกตัวกลับมาลูบเบาๆที่หัวของเขาอย่างอ่อนโยน เกลค่อยๆเงยหน้าขึ้นมามองคนที่กระทำการบางอย่างเงียบๆนั้นอย่างไม่เชื่อสายตาตัวเอง

           !!!

           “ร้องไห้ทำไมครับ คนดี” เสียงแผ่วเบาติดจะแหบแห้งของชิตรัตน์เรียกร้อยยิ้มทั้งน้ำตาของคนฟังอย่างเขาได้ไม่ยาก

“พี่ชิน”

ชิตรัตน์ยิ้มรับให้กับคนรักที่ร้องไห้ขี้แยเป็นเด็กอยู่ตรงหน้าเขาอย่างเอ็นดู ตามจริงเขาเริ่มรู้สึกตัวขึ้นมาเพราะอากาศที่แสดจะสดชื้นจากภายนอก ก่อนจะเริ่มรู้สึกถึงแรงสั่นเบาๆที่ข้างตัวพร้อมกับความเปือกชื้นจากหยดน้ำตาของใครบางคนที่ใช้แขนข้างนั้นของเขาเป็นที่รองน้ำตา จนเขาอดไม่ได้ที่จะยกมืออีกข้างไปลูบปลอบใจ

“ครับ คนดีของพี่”

           เขายกมือข้างที่เปือกน้ำตาของอีกคนขึ้นเพื่อจะไล่เกลี่ยหยาดน้ำตาที่ไหลเป็นทางอยู่บนแก้มสีมุขนั้น  ทำให้เกลเริ่มทำหน้าแหย่เกอย่างสุดจะกลั่นจนต้องร้องออกมาอีกครั้งพร้อมพุ่งตัวเข้าไปกอดคนที่นอนอยู่กับทีอย่างคิดถึง

           “พี่ชินฟื้นแล้ว พี่ชินกลับมาเกลกับลูกแล้ว”

           “พี่อยู่นี้แล้วครับพี่ไม่ไปไหนแล้ว”  ชิตรัตน์ย้ำคำแล้วกดจูบลงบนขมับของอีกคนแทนคำสัญญา

           เกลใช้ไหล่ของอีกคนรองรับน้ำตาแห่งความปลื้มปีติของตนอยู่นาน ก่อนจะยันตัวขึ้นนั่งดีๆก่อนจะปรับเตียงผู้ป่วยขึ้นเพื่อให้ชิตรัตน์ได้เปลี่ยนท่าทางพร้อมหยิบแก้วที่ใส่น้ำเอาไว้มายื่นให้อีกคนรับไปดื่มแก้กระหาย

           “พี่หลับนานขนาดไหนหรอ”  ชิตรัตน์ส่งแก้วน้ำคืนแก่เกลพร้อมกับคำถามที่เขาอยากรู้

           “สามวันนะครับ พี่ชินทำเกลกับทุกคนเป็นห่วงมาเลยรู้ไหม” เกลเอามือทาบหน้าคนรักอย่างห่วงหา 

           “พี่ขอโทษนะครับ” ชิตรัตน์ว่าพร้อมรั้งให้ใครอีกคนเข้าสู่อ้อมกอดเข้าอีกครั้งโดยโอบเอาเล็กของอีกคนไว้หลวมๆ

           “ไม่ๆๆๆ พี่ชินไม่ผิดเกลต่างหากที่เป็นสาเหตุที่ให้พี่ชินถูก .....”

           เกลส่ายหน้ารั่วอยู่กับไหล่ของชิตรัตน์ก่อนจะพูดปัดไม่ให้อีกคนรู้สึกผิดแต่กลับเป็นเขาเองที่ต้องชะงักคำพูดเอาไว้เมื่อเกือบจะเผลอพูดถึงคนที่ไม่อาจหวนกลับมาได้อีก

           ชิตรัตน์เองก็เข้าใจดีที่อยู่ๆเกลก็หยุดคำพูดลงเสียดีๆแต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกไปจนเกิดเป็นความเงียบขึ้นมากั้นกลางระหว่างพวกเขาสองคน

           “แล้วคุณหญิงละ” เกลสะดุ้งขึ้นมาทันทีเมื่อชิตรัตน์เอ่ยปากถามหาคนที่ไม่อยู่แล้ว จนเขาเองก็เริ่มจะอยากร้องไห้ออกมาอีกรอบ

           “พี่แค่ถามครับ ไม่มีอะไรไม่ตอบก็ได้”

           “....”

           ชิตรัตน์กดหัวคิ้วลงอย่างไม่เข้าใจเมื่ออยู่ๆคนรักก็เพิ่มแรงที่กอดเขาเอาไว้แน่น พร้อมกับแรงสั่งที่ดูเหมือนว่าเจ้าตัวจะเริ่มร้องไห้ขึ้นมาอีกครั้งทำให้เขาเองเริ่มตั้งตัวไม่ถูก

           “คุณหญิง ฮึก คุณหญิงเสียแล้ว”

           !!

           “หมายความว่ายังไง” เขาถามเสียงสั่นอย่างไม่อยากจะเชื่อกับสิ่งที่ได้ยิน

           “หลังจากที่พี่ชินพ้นขีดอันตรายแล้ว คุณหญิงก็ยิงตัวตายที่หน้าห้องปลอดเชื้อ ฮึก มันเป็นเพราะเกล เกลทำให้คุณหญิงตาย ฮึก”     ชิตรัตน์นิ่งค้างกับคำตอบที่ตนได้รับเขาดูช็อกกับเรื่องที่เกิดขึ้นอยู่ไม่น้อยคงเพราะตัวเขาเองก็ไม่คิดมาก่อนว่าจะเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น

           “เพราะเกล ฮึก คุณหญิงตายเพราะเกล ฮือ”

           เกลที่ยังคงพรั่งพรูกับเรื่องที่คล้ายว่าจะฝั่งใจจนยากที่จะลบออกได้ ดังเรียกสติที่หลุดลอยของชิตรัตน์หลังเกิดอาการช็อกจากข่าวของคุณหญิงจนต้องกลายมาเป็นฝ่ายที่ต้องกอดปลอบขวัญอีกคนแทน

           “มันไม่ใช่ความผิดของเกลหรอกนะ ไม่ต้องร้อง”

           เขาไม่รู้ว่าความหมายที่เกลพูดนั้นคืออะไรกันแน่ แต่ถ้าหาจะหมายความถึงว่าตัวเองคือสาตุที่ทำให้ตนโดนยิงจนทำให้คุณหญิงคิดฆ่าตัวตายแล้วล่ะก็มันไม่ใช่ความผิดของอีกฝ่ายเลย เขาต่างหากที่ยินดีจะเอาตัวเข้ารับกระสุนแทนคนรัก

           “เกลบอกพี่เองไม่ใช่หรอว่าคุณหญิงฆ่าตัวตาย แล้วมันจะเป็นความผิดของเกลได้ยังไงกัน” ชิตรัตน์พยายามพูดอย่างมีเหตุผลตามความเข้าใจของตัวเขาเอง เพื่อลบล้างความผิดที่คนรักสร้างขึ้นในใจ

           “มันเป็นการตัดสินใจของคุณหญิงเองเกลไม่ผิดหรอก”

           ใครๆต่างก็พูดบอกว่าเขาไม่ผิดนั้นเพราะไม่มีใครรู้ว่าเขาเป็นคนเสนอทางเลือกพร้อมปืนกระบอกนั้นให้คุณหญิงเองแม้ทิมที่รู้เรื่องทั้งหมดจะพูดเหมือนกับที่ชิตรัตน์พูดมาแบบนั้นหรือแม้ในใจของเขาจะต้องการให้ผลเป็นแบบนี้เองก็ตามทีแต่ทำไมกันละ ทำไมเขาเองกลับเป็นฝ่ายที่รู้สึกผิดแบบนี้กัน

           “แล้วเรื่องงานศพละ ใครเป็นคนจัดการ” ชิตรัตน์พยายามชวนคุยแทนเพื่อไม่ให้อีกคนดูเศร้ามากไปกว่านี้

           เกลเองก็พยายามเช็ดน้ำตาที่ไหลออกมาแล้วตอบคำถามของชิตรัตน์รวมถึงบอกเล่าเรื่องราวต่างที่เกิดขึ้นตลอดเวลากว่าสามวันที่ชิตรัตน์สลบไป

           ส่วนเรื่องที่โรงแรมกับบริษัทนับว่าชิตรัตน์โชคดีที่มีเหล่าผู้บริหารระดับสูงที่ไว้ใจได้คอยช่วยพยุงดูแลเอาไว้เป็นอย่างในระหว่างที่เกิดเรื่อง อีกทั้งยังมีชาติที่คอยเป็นคนประสานงานระหว่างคนในโรงแรมรวมทั้งแก้วกล้าที่แม้จะต้องคอยดูแลลูกสาวที่เพิ่มคลอดแต่ก็ไม่คิดที่จะละเลยหน้าที่ค่อยเป็นกำลังให้เขาอีกแรงในการช่วยชาติจัดการงานโรงแรมและคงจะช่วยกันต่อไปจนกว่าชิตรัตน์จะแข็งแรงพอที่จะกลับมาจัดการงานต่างๆด้วยตัวเองได้อีกครั้ง

           ส่วนเรื่องบริษัทวิวัฒน์พงษ์นั้นก็ไม่เป็นปัญหาเพราะวีรกิตติ์ตกลงขายกิจการทั้งหมดของวิวัฒน์พงษ์ให้กับทางนพเทพเพื่อเป็นการไถ่บาปทั้งหมดของวีรกิตติ์แทนคุณหญิงโฉมฉวีผู้เป็นพี่สาว แต่ถ้าเสียคนมีความสามารถอย่างวีรกิตติ์กับเขตทัพไปคงน่าเสียดายทางเหล่าผู้บริหารจึงคิดอยากให้ทั้งสองเข้ามาร่วมทำงานด้วยกัน โดยธารเห็นว่าควรส่งทั้งสองคนไปเป็นผู้ดูแลรีสอร์ตของตนที่เพิ่งลงทุนร่วมกับชิตรัตน์จึงไม่ได้ถามถึงความคิดเห็นของชิตรัตน์แต่อย่างใด เพราะคิดว่าอีกคนก็คงคิดไม่ต่างกันเท่าไร

 
           หลังจากที่ชิตรัตน์ฟื้นขึ้นมาเมื่อช่วงบ่ายของวันนายแพทย์ที่ทำการผ่าตัดและเจ้าของไข้ก็เข้ามาตรวจเช็คอาการของเขาก่อนจะขอให้ดูอาการต่อที่โรงพยาบาลอีกสองวันจึงจะกลับบ้านได้เพื่อรอดูผลข้างเคียงจากการถูกยิง โดยตลอดเวลาที่ชิตรัตน์รักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลนั้นก็จะมีผู้คนมาหน้าหลายตาเข้ามาเยี่ยมเยียนเขามากมายโดยส่วนใหญ่จะเป็นพนักงานของโรงแรมที่มีความใกล้ชิดกับเขาและเหล่าผู้บริหารระดับสูงที่เข้ามารายงานความเป็นไปของโรงแรมในช่วงที่เขาอยู่ที่นี้  และถึงจะมีคนมากมายที่เข้ามาหาเขาเยอะขนาดไหนแต่ก็ยังมีอีกคนที่อยู่ข้างกายเขาตลอดไม่ไปไหน

           เกลคอยดูแลชิตรัตน์อย่างใกล้ชิดตลอดเวลาส่วนในช่วงเย็นเขาก็จะมีผู้ช่วงพิเศษที่ไม่รู้ว่ามาช่วยเขาดูแลชิตรัตน์หรือมาให้เขาดูแลเพิ่มอย่างเกรทที่หอบหิ้วเอาพี่ชายคนโปรดอย่างปีแอร์เข้ามาด้วย จนเกิดเป็นความวุ่นวายเล็กๆในห้องพักผู้ป่วยพิเศษแห่งนี้ทุกวันไม่รู้เบื่อ

           “ไม่ลืมของอะไรแล้วใช่ไหมครับ” ชายเอ่ยถามขึ้นในช่วงสายของวันอาทิตย์วันสุดท้ายของการนอนเป็นผู้ป่วยในโรงพยาบาลของชิตรัตน์ เพื่อที่ว่าตนจะได้นำสิ่งของของเจ้านายไปเก็บที่รถ

           “ไม่มีอะไรแล้วละครับ พี่ชายเอาไปเก็บที่รถเลยก็ได้” ชายก้มหัวรับก่อนเดินถือกระเป๋าเสื้อผ้าขนาดย่อมเดินออกจากห้องไปเพื่อไปเก็บแล้วเตรียมรถออกมารับที่หน้าโรงพยาบาล

           “เรียบร้อยยังครับพี่ชิน”  เกลหันมาถามคนที่เพิ่งเดินออกจากห้องน้ำ

           “ครับ ในห้องน้ำไม่มีของอะไรเหลือแล้ว” ชิตรัตน์ว่ายิ้มๆ ก่อนจะอุ้มลูกชายที่ยืนกางแขนรอให้อุ้มอยู่ข้างๆขึ้นมา

           “น้องเกรท คุณพ่อยังไม่หายนะครับ” เกรทหน้ายู่ลงทันทีเมื่อถูกเกลเอ็ดใส่ จนชิตรัตน์ต้องออกโรงป้องลูกชายสุดที่รัก

           “ไม่เป็นไรหรอก แค่นี้เองพี่ไม่ได้เจ็บอะไรแล้วด้วย”

            เกลมองอย่างขัดใจแต่ก็ไม่ได้ว่าอะไรมากในเมื่อเจ้าตัวยืนยันแล้วว่าไม่เป็นอะไร  ก่อนจะเดินออกไปหาพลที่ไปจัดการเรื่องค่ารักษาพยาบาลของชิตรัตน์ที่เคาน์เตอร์

           “แล้วเรื่องบ้านพี่ชินจะเอายังไงครับ”  เกลถามขึ้นขณะที่กำลังเดินอยู่ตรงโถงด้านล่านกลางโรงพยาบาลเพื่อที่จะออกไปขึ้นรถที่ชายนำมาจอดรอไว้อยู่ข้างหน้า

           “พี่ว่าจะให้น้าวีย้ายกลับมาอยู่บ้าน อย่างน้อยมีน้าวีอยู่บ้านจะได้ไม่ไร้คนอาศัยอีกอย่างจะได้มีคนคอยดูแลน้าวีตอนที่คุณเขตลงไปดูแลการก่อสร้าง” เกลพยักหน้าเข้าใจ

           พอหลังจากสิ้นคุณหญิงแล้วบ้านก็ถูกโอนมาเป็นชื่อของชิตรัตน์ตามหลักแต่เพราะชิตรัตน์เลือกที่จะย้ายมาอยู่กับตนที่บ้านแทนการที่อยู่บ้านหลังนั้น เพราะเจ้าตัวบอกกับเขาเองว่าที่นั้นมีความทรงจำของที่เกี่ยวข้องกับคุณหญิงมากเกินไป มากจนไม่กล้าที่กลับเข้าไปอยู่ได้อย่างสนิทใจอีกทั้งลูกชายของพวกเขาเองก็คนอยากจะอยู่ที่บ้านของเขาเองมากกว่าอาจด้วยความที่ติดน้องสาวคนใหม่ด้วยเลยไม่ยอมที่จะแยกไปไหน

           ส่วนวีรกิตติ์เองแต่เดิมก็เคยอยู่บ้านนี้มาก่อนเขาจะเกิดก็คงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรที่เขาจะขอให้คนที่เขานับถือเหมือนน้าแท้ๆกลับมาอยู่ที่บ้านหลังนี้ ยิ่งอาการเจ็บออดๆแอดๆของวีรกิตติ์ที่เป็นมานานด้วยเขายิ่งอยากให้อีกคนกลับมาอยู่บ้านเพื่อที่ว่าเกิดอะไรขึ้นจะได้ช่วยเหลือกันได้ทันท้วงที

           “งั้นเราก็กลับบ้านกันเถอะครับ เกรทคิดถึงน้องวีนัสแล้ว”เด็กชายว่าเสียงสดใสก่อนจะดิ้นออกจากอ้อมแขนของผู้เป็นพ่อ

           “ครับ  กลับบ้านของเรากัน”

           เกลหันไปพูดพร้อมรอยยิ้มให้คนรักแล้วก็ลูกชายที่ตอนนี้อยู่ตรงกลาระหว่างพวกเขาทั้งสองพร้อมมือคู่น้องที่จับจูงเชื่อมพวกเขาทั้งสามคนเอาไว้เป็นหนึ่งเดียวกัน

           ความฝันเล็กๆที่เขาเคยวาดเอาไว้ว่าวันหนึ่งเขาจะได้เดินจับมือสามคนแบบนี้กลับบ้าน ในวันนี้และตอนนี้มันเป็นจริงขึ้นมาแล้ว

           เมื่อคำว่า บ้าน ที่พวกเขาจะกลับไปต่อจากนี้คือคำว่าบ้านของพวกเขาจริงๆ บ้านที่จะมีพ่อแม่ลูกอยู่ด้วยกัน แต่อาจไม่ใช่แค่ครอบครัวของเขาเท่านั้นที่จะอยู่ในบ้านหลังนั้นเพราะยังคงมีธารแก้วกล้าวีนัสไรอันปีแอร์และทุกคนอยู่ด้วยกัน ทำให้ตอนนี้ ครอบครัว ของเขาจะไม่มีเพียงแค่ เขา เพียงคนเดียวอีกต่อไปแล้ว ครอบครัวของเขายังมีทุกคนอยู่ด้วยกันเป็นครอบครัวใหญ่ ในบ้านหลังใหญ่ที่ต่อจากนี้จะมีแต่ความสุขและความอบอุ่น มันจะเป็นบ้านที่ไม่ว่าใครก็จะอยากกลับไปเพราะมีคนที่เรารักรออยู่ที่บ้านหลังนี้เสมอ.............................
 
.......................จบบริบูรณ์......................

จบแล้ว!!
ขอบคุณทุกๆคนที่ติดตามกันมาตลอดตั้งแต่ตอนแรกยันตอนสุดท้ายนะคะ
สำหรับรูปเล่มของฝนฤดูหนาวยังเปิดรอให้เพื่อนได้จับจองเป็นเจ้าของพร้อมตอนพิเศษอีกมากมายที่จะมาเป็นของหวานหลังมาม่ามื้อหลักของเรา

อ่านจบแล้วอย่าลืมเข้ามาพูดคุยถึงความรู้สึกต่างๆได้ที่เพจนะคะ
เราจะเก็บทุกคำของเพื่อนๆไปเป็นหลักการฝึกฝนในนิยายเรื่องต่อไปของเรา

ขอบคุณจากใจจริง
แล้วเจอกันใหม่กับนิยายเรื่องต่อไป

 :mew1:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 23-02-2017 22:49:42 โดย wavery »

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Jibbubu

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3385
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-6
เป็นบทสรุปที่เกินความคาดหมายไปซะหน่อย เราแค่คิดว่าคุณหญิงอาจจะแค่ติดคุกและตายในนั้นก็เท่านั้น
ไม่ได้คิดว่าเกลจะบีบให้คุณหญิงถึงกับฆ่าตัวตายด้วย แต่ก็นะคุณหญิงจะว่าน่าสงสารก็ไม่เชิง แต่ที่คุณหญิง
มีนิสัยแบบนี้ก็อาจเป็นเพราะไม่เคยที่จะมีความรักที่แท้จริงกับคนอื่นเขาก็เท่านั้น

ออฟไลน์ karashi

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 428
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-3
    • นิยาย นิยายแจ่มใส นิยายมือสอง
ขอบคุณค่ะ

ออฟไลน์ twinmonkey0311

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5480
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +110/-9

ออฟไลน์ Sohso

  • You are my precious thing And I will always love you.
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1372
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-3
มีครบรสเลย

ออฟไลน์ i_Tipz

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 160
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
ลุ้นตลอดเรื่องเรยย  :katai1: :katai1:

ออฟไลน์ wavery

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 124
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-2


สวัสดีกันอีกครั้งหลังจบเรื่องนะคะ
อ่านกันแล้วรู้สึกยังไงบ้างอย่างลืมบอกกันให้รู้ด้วยนะ :katai2-1:

อย่างที่รู้กันว่าตอนนี้ ฝนกลางฤดูหนาว กำลังเปิดรอบพรีอยู่
(ตั้งแต่วันนี้จนถึงวันที่ 16  มีนา 2560)

วันนี้เราจะมาแนะนำหนังสือกันสักหน่อย(ขอพื้นที่ขายของนั้นแหละ)

นิยายของเราจะมีอยู่ 2 เล่ม

โดยเล่มแรก จะเป็นเรื่องหลักเนื้อหาในเรื่องก็จะเป็นตามที่เราในบล็อคนี้เลย อาจมีแก้คำผิดบ้างสักเล็กน้อย

ส่วนเล่มที่สอง จะเป็นตอนพิเศษ จำนวน 10 ตอน !!

คือ

 
1. รัก นาน นาน                            (ชินเกล)
 
 2. ลูกสาวของแด๊ดดี้                      (ธารแก้ว)
 
3. คนของเธอ                              (ธารแก้ว)
 
4. สมาชิกใหม่                         (ปีแอร์ไรอัน)
 
5.ครอบครัวของเรา             (รวมทุกตัวละคร)
 
6. แรกเจอ (การเจอกันครั้งแรกของชินกับเกล)
 
7. วันสำคัญ                          (วันเกิดเกรท)
 
 8. ความเป็นห่วง                          (แทนไท)
 
9. ฉันชื่อ โฉมฉวี    (ความในใจของคุณหญิง)
 
งานนี้ใครFCตัวจริงคุณหญิงต้องห้ามพลาด !!

 Mini novel 1 ตอน

เจ้าหญิงของบ้าน    (เน็ตตี้)

หลังจากสัมผัสความขมปร่าของน้ำตา ในเล่มหลักกันแล้ว  มาเสพย์ความหวานได้ในเล่มนี้กันเลย!!
 
 เดี๋ยวเราจะเอาตัวอย่างตอนพิเศษในเล่มมาให้ได้อ่านกันนะคะ


Pre-oder ฝนกลางฤดูหนาว

 :mew1:

ขอบคุณค่ะ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 01-03-2017 22:40:25 โดย wavery »

ออฟไลน์ wavery

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 124
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-2
รัก นาน นาน
[/size]




       “ไม่ได้ พี่ไม่ให้ทำ”

   ธารตอบกลับความต้องการของน้องชายที่เอ่ยปากร้องขอบางสิ่งจากเขาอย่างหัวชนฝา ขณะกำลังก้มหน้าก้มตาเปลี่ยนผ้าอ้อมให้ลูกสาวตัวน้อยวัยสองเดือนที่นอนมองหน้าเขาตาแป๋ว เพื่อหลีกเลี่ยงที่จะได้ไม่ต้องมองใบหน้าง้ำงออย่างเด็กโดนขัดใจของอีกคนแล้วยอมใจอ่อนให้ง่ายๆ เหมือนทุกครั้ง

    “แต่เกลอยากทำงานบ้าง อยู่แต่บ้านเกลเบื่อ”

   “แต่น้องยังเดินเหินไปไหนได้ไม่สะดวก พี่ว่าเราอยู่บ้านอย่างนี้ไปก่อนดีกว่า รอให้หายดีแล้วค่อยไปทำก็ได้”

   “เอางี้นะ รอให้อะไรเข้าที่เข้าทางมากกว่านี้ก่อน แล้วถ้าน้องอยากทำจริงๆ พี่จะให้ไรอันช่วยหาตำแหน่งว่างๆ ให้ดีไหม”

   แล้วเมื่อไรละ..... เกลได้แต่บ่นในใจก่อนจะสะบัดหน้าหนีไปอีกทางพร้อมกดหมุนวิลแชร์ที่ตัวเองนั่งอยู่ออกจากห้องไปแทนด้วยใบหน้าง้ำงอเมื่อสิ่งที่ต้องการไม่เป็นไปตามที่หวัง

   ……

   ……………..

   ………………………….

   ดวงตากลมสีฟ้าใสขัดกับเส้นขนสีขาวมองดูใบหน้ากึ่งตัดพ้อกึ่งไม่พอใจของเจ้านายนิ่งเหมือนรับฟังความในใจนั้นก่อนถูไถหัวของตัวลงที่ข้างแก้มของเกล แทนคำปลอบเหมือนต้องการจะสื่อให้เจ้านายของมันรับรู้ว่าอย่างน้อยก็ยังมีมันอยู่ตรงนี้ไม่หนีไปไหน

   เกลมองการกระทำกึ่งออดอ้อนของเจ้าตัวโปรดด้วยรอยยิ้ม อย่างน้อยเขาก็ยังมีเน็ตตี้อยู่ถึงจะไม่รู้ว่าเจ้าขนฟูจะเข้าใจที่เขาพูดมากน้อยแค่ไหนแต่เขาก็ไม่ปฏิเสธเลยว่าการที่มีเจ้าตัวนี้อยู่ข้างในตอนที่ไม่มีใครแบบนี้มันทำให้เขารู้สึกดีมากขนาดไหน สุดท้ายเลยกลายเป็นว่าเขานอนกอดเจ้าเพื่อนรักขนฟูเอาไว้อย่างนั้นจนเผลอหลับไป

   …………

   …………………

   …………………………



   ก๊อก ก๊อก

   เกรทยกมือขึ้นเคาะบางประตูห้องเบาๆ ตามมารยาก่อนจะหันกลับมามองหน้าของบิดาที่อยู่ในระดับเดียวกันเมื่อเห็นว่าไร้เสียงตอบรับจากผู้ที่อยู่ด้านใน เด็กชายจึงลองเคาะอีกครั้งแต่ก็เป็นเช่นเดิมเมื่อสิ่งที่สองพ่อลูกได้กลับมาคือความเงียบจากคนข้างใน ชิตรัตน์จึงตัดสินใจถือวิสาสะเปิดประตูห้องที่เขาใช้นอนร่วมกับคนรักเข้าไปด้านใน และเป็นไปตามคาด เมื่อคนที่อยู่ในห้องนอนหลับสนิทอยู่ที่กลางเตียงโดยมีองค์รักขนฟูนอนเฝ้าอยู่ไม่ห่าง

   ชิตรัตน์ปล่อยลูกชายลงบนเตียงอย่างนุ่มนวลเพื่อไม่ให้สะเทือนจนทำให้คนที่หลับอยู่ตกใจตื่น ก่อนจะทรุดนั่งลงข้างๆ ร่างของเกลแล้วออกแรงเขย่าที่ต้นแขนเล็กของอีกคนเบาๆ

   “เกลครับ”

   “...”

   “เกล”

   ชิตรัตน์เขย่าเบาๆ อยู่หลายครั้งจนเปลือกตาขาวเริ่มขยับไปมาแล้วค่อยๆ ปรือตาขึ้นช้าๆ ก่อนจะเบิกตากว่างเมื่อเห็นใบหน้ากลมของลูกชายคนเดียวนอนตะแคงส่งยิ้มกว้างมาให้ พอหันไปอีกด้านก็เป็นคนรักที่ไม่ได้เจอกันมาเกือบเดือนมองมาที่ตนอยู่ไม่ไกล

   “พี่ชิน”

   เจ้าของชื่อยิ้มรับก่อนจะช่วยพยุงร่างคนเพิ่งตื่นให้ลุงขึ้น  เกลมองคนที่รักทั้งสองสลับไปมองก่อนจะอ้าแขนกอดทั้งคู่เอาไว้แน่นด้วยความคิดถึงบวกกับความน้อยใจที่สะสมอยู่เป็นทุนเดิมด้วยแล้ว ก็ยิ่งกระชับกอดให้แน่นกว่าเดิมจนชิตรัตน์เริ่มรู้สึกถึงความไม่ปกติที่อีกคนเป็น

   “เกรท เดี๋ยวไปเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วเอาหนังสือไปนั่งอ่านกันปีแอร์ก่อนนะเสร็จแล้วจะได้มากินข้าวกัน” ชิตรัตน์เอ่ยปากแกมไล่ลูกชายให้ออกไปก่อน ซึ่งเกรทเองก็รับคำอย่างว่าง่ายก่อนจะออกจากห้องไปโดยมีเจ้าแมวรู้มากเดินตาม หลังออกไปด้วย

   ไม่รู้ว่าเขาคิดไปเองหรือเปล่า แต่วันนี้เจ้าแมวสายพันธ์ดีนั้นหันกลับมามองเขาด้วยสายตาดูไม่ค่อยจะเป็นมิตรเหมือนตอนก่อนที่เขาจะไปใต้ ยิ่งตอนที่เดินมาเหยียบที่หน้าขาของเขาแล้วแอบจิกกรงเล็บลงกับเนื้อเขาแบบนั้นเหมือนจะบอกเป็นนัยๆ ว่ามันไม่พอใจเขาอยู่อย่างนั้น แต่เรื่องนั้นมันก็ดูจะไม่น่าสนใจเท่าคนข้างกายที่ผละออกจากอ้อมแขนของเขาทันทีที่บานประตูห้องปิดลง พร้อมกับเมินหน้าหนีเขาไปดื้อๆ อย่างนั้น

   “เป็นอะไรไปครับ” เขาถาม

   “...”

   “เกล”

   “คิดอะไรอยู่ครับคนดี” ชายหนุ่มนั่งซ้อนหลังอีกคนก่อนรวบร่างโปร่งบางของคนตรงหน้าเข้าสู่วงแขนแข็งแรงของตน

   “....”

   แต่อีกคนก็ยังคงนิ่งเงียบไม่ยอมตอบอะไร แต่ชิตรัตน์ก็ยังไม่ละความพยายามเขาจึงกระชับอ้อทกอดที่กอดอีกคนเอาไว้ให้แน่นขึ้นพร้อมกดจูบลงไปยังกลุ่มผมเส้นเล็กสีน้ำตาลเข้มที่เขาชอบอย่างถนอม และดูเหมือนว่าคราวนี้สิ่งที่เขาทำจะได้ผลเมื่อร่างเล็กๆ ในอ้อมแขนเริ่มมีปฏิกิริยาตอบสนองกับเขาขึ้นมาบ้าง แม้จะเป็นอาการสั่นของร่างกายก็ตามที

   “ใครทำอะไรคนดีของพี่ครับ ไหนบอกพี่สิเดี๋ยวพี่ไปจัดการให้” เขาว่าพลางโยกตัวไปมาเหมือนปลอบเด็ก ซึ่งนั่นยิ่งทำให้คนที่อยู่ในอ้อมกอดของเขาเพิ่มแรงสั่นจากร่างกายมากขึ้น ก่อนจะเปลี่ยนมากอดเขาเสียเองอีกครั้ง หากแต่ครั้งนี้ไม่ใช่กอดเพราะคิดถึงเหมือนอย่างครั้งแรกที่เป็น เพราะการกอดครั้งนี้มาพร้อมกับความชื้นที่อกซึ่งทำให้เขารู้ว่าอีกคนร้องไห้ออกมาเงียบๆ

   “ร้องไห้ทำไมครับ”

   “ทุกคนทิ้งเกล ฮึก ทุกคนไม่รักเกลแล้ว”

   “ไม่จริงสักหน่อย เกลอย่าคิดมากสิ” คนฟังส่ายหน้าหวืออย่างไม่เชื่อ

   “แต่ทุกคนทิ้งเกล”


   “พี่ไม่ได้ทิ้งเกลเสียหน่อย ไม่มีใครทิ้งเกลเลยนะ”

   ชิตรัตน์ที่พอจะเรียบเรียงเรื่องราวได้คร่าวๆ จากการกาคาดเดาของตนกับพฤติกรรมคำพูดของคนรักจึงสรุปเอาเองว่าคนขี้น้อยใจตรงหน้ากำลังน้อยใจที่เขาหรือใครๆ ไม่ค่อยมีเวลาให้จนรู้สึกเหมือนถูกทิ้งแบบนี้

   “อีกอย่างตาเกรทก็อยู่ด้วย แถมตอนนี้พี่ก็กลับมาแล้ว ไม่มีใครทิ้งเราไปไหนเสียหน่อย”

   “...”

   เกลไม่พูดอะไรและไม่ยกเอาเรื่องที่ตนแอบเผลอน้อยใจลูกชายบอกให้อีกคนรู้ด้วย แต่กลับยกเรื่องที่โดนธารขัดใจเมื่อเขาเรียกร้องขอในวันนี้ให้อีกคนฟังเหมือนเป็นการฟ้องแทน 

   ชิตรัตน์ยิ้มอย่างอ่อนใจกับเรื่องที่ได้ฟัง เพราะถ้าหากเป็นตัวเขาเองที่เป็นฝ่ายถูกร้องขอมา เขาก็คงจะตอบเช่นเดียวกับธารเหมือนกัน ไม่ใช่เพราะไม่อยากให้คนรักต้องลำบากกับการทำงาน แต่เพราะเขาเองไม่อยากให้เกลต้องฝืนตัวเองในการทำสิ่งที่ตนไม่เคยทำ และทำมันในขณะที่ร่างกายไม่อำนวยอย่างที่เป็นอยู่ในตอนนี้ ซึ่งเขาเองก็เชื่อว่าธารที่เป็นพี่คงคิดไม่ต่างจากที่เขาคิดเท่าไรนัก เพียงแต่คำพูดที่ธารเลือกใช้มันอาจดูตรงเกินไปจนคนฟังไม่เข้าใจถึงความเป็นห่วงกังวลที่แฝงมา

   “ทำไมพี่ธารไม่เข้าใจเกล ทั้งๆ ที่เกลแค่อยากจะช่วย อยากจะทำตัวให้เป็นประโยชน์บ้าง” เจ้าตัวตัดพ้อพี่ชายตนเองออกมาไม่หยุด

   “ไม่ใช่ว่าคุณธารไม่เข้าใจเกลนะ” เขาพยายามพูด

   “คุณธารเองก็มีเหตุผลของเขาที่ยังไม่อยากให้เกลทำงานในตอนนี้  เอางี้ไหมเดี๋ยวพอคุณธารกลับมาพี่ไปคุยให้ดีไหม”

   ชินรัตน์พยายามหว่านล้อม เพราะถ้าสังเกตดูดีๆ แล้วนิสัยบางอย่างของเกลเองก็คลับคล้ายคลับคลากับนิสัยของคุณหญิงอยู่บ้างในเรื่องของความเอาแต่ใจ แต่เกลจะดีกว่าตรงที่แค่อธิบายด้วยเหตุผล เจ้าตัวจะลดความดื้อดึงลงแล้วยอมรับฟังมัน และไอ้สาเหตุที่ทำให้ใบหน้าสวยบึ้งตึงแบบนี้คงหนีไม่พ้นการโดนพี่ชายขัดใจมาแน่ๆ แถมคนที่น่าจะพอเป็นหลักให้อย่างชายกับพลก็ไม่อยู่เพราะดันมาป่วยจนต้องเข้าโรงพยาบาลไปทั้งคู่แบบนี้ ทำให้นิสัยเสียของอีกคนออกลายออกมาอย่างที่เห็น เพราะงั้นวิธีรับมือกับอาการแบบนี้เขาจึงถนัดนัก

   “จริงหรอครับ”  เห็นไหมละ......

   “จริงสิครับ พี่จะโกหกเราทำไมกัน แต่ถ้าพี่พูดแล้วคุณธารไม่ยอม เดี๋ยวเกลหายเมื่อไรพี่จะพาเราไปทำงานกับพี่ดีไหม”  ข้อเสนอดังกล่าวทำให้เกลยิ้มกว้างอย่างพอใจ
   “เอางี้ไหม อาทิตย์หน้าเราไปเที่ยวกัน”  เขาเสนอ ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้วใช้โอกาสนี้พาครอบครัวไปเที่ยวเปลี่ยนบรรยากาศบ้างก็ดีเหมือนกัน

   “อาทิตย์หน้าตาเกรทก็สอบปลายภาคเสร็จพอดี หลังจากนั้นก็ปิดเทอม งานที่บริษัทก็คงจะลงตัวมากขึ้นแล้ว หระ..”

   หมับ

   “จริงๆ นะครับ พี่ชินพูดจริงๆ นะไม่ได้หลอกเกลจริงๆ นะ”  แรงกอดรัดแน่นของคนที่โถมตัวเข้าหาเขาพร้อมย้ำคำพูดของเขาเมื่อครู่ มันทำให้ชิตรัตน์อดไม่ได้ที่จะยิ้มตอบกลับพร้อมลูบหัวคนรักอย่างเอ็นดู

   “จริงสิครับ พี่จะโกหกเราทำไมล่ะ”

   “เกลรักพี่ชินที่สุดเลย”

   นี่สิ สิ่งที่เขาอยากจะเห็น............

   
   เช้าวันศุกร์ที่สุขสมชื่อของมันจริงๆในความคิดของเกล  เพราะตั้งแต่ตื่นขึ้นมาในตอนเช้าทุกๆ สิ่งรอบตัวดูจะสวยงามถูกใจเขาไปหมดไม่ว่าใครจะทำอะไรหรือพูดอะไรเจ้าตัวก็ดูจะพึ่งพอใจกับสิ่งเหล่านั้นไปเสียทุกอย่าง อาจเป็นเพราะว่าวันนี้คือวันที่เขารอคอยมันมาตลอดทั้งสัปดาห์

“พี่ธารจะไม่ไปด้วยกันจริงๆหรอครับ”

   เกลเอ่ยถามพี่ชายอีกครั้งก่อนจะขึ้นรถ ตอนนี้เขากำลังจะไปเที่ยวที่ต่างจังหวัดกันตามที่ชิตรัตน์ได้บอกกับเขาไว้เมื่อหลายวันก่อน และนั้นก็พลอยทำให้เรื่องเคืองที่เขามีต่อพี่ชายหายไปเสียดื้อๆ เล่นเอาคนที่ตั้งใจจะเอาของมาง้องอนน้องถึงกับปรับตัวไม่ทันเมื่อเห็นคนที่คิดว่าโกรธอยู่นั่งยิ้มกว้างรอเขากลับบ้านอยู่ที่ห้องรับแขก

   “ไว้งานหน้าแล้วกันนะ รอหนูวีโตกว่านี้หน่อยเราค่อยไปพร้อมกันทั้งบ้านเลย ดีไหมคะ”

   ธารว่าก่อนหันมาพูดเสียงเล็กเสียงน้อยใส่ลูกสาวที่ตอนนี้จ้องมองมาที่เขาตาแป๋วแหววอย่าไม่รู้ความ แต่ในสายตาของธารแล้วบอกได้คำเดียวเลยว่ามันน่ารักมาก มากเสียจนเขาเองยังอดไม่ได้ที่จะฟัดแก้มกลมๆ ของลูกสาวเสียให้หายหมั่นเขี้ยว จนก้อนนุ่มนิ่มเริ่มแดง

   “พอแล้วน่าคุณธาร แก้มลูกแดงหมดแล้ว” แก้วกล้าอดที่จะขึ้นเสียงเอ็ดคนตัวโตไม่ได้เมื่อเห็นว่าธารเริ่มจะลงแรงหอมลูกมาขึ้นอีก ทั้งคนเป็นแม่หวั่นใจกลัวว่าไรหนวดแข็งของอีกคนจะก่อความระคายเคืองผิวบอบบางของลูกน้อย พร้อมกับยื่นมือไปแย่งเอาลูกสาวมาอุ้มเอาไว้เสียเอง ก่อนที่จะหันกลับมาพูดกับเกลต่อ

   “คุณเกลกับคุณชินไปเที่ยวกันให้สนุกเถอะครับ ถือซะว่าไปฮันนีมูนกันสักรอบก็ได้ เผื่อว่ากลับมาคราวนี้น้องเกรทจะได้มีน้องเพิ่มไง”  คนถูกแซวรีบก้มหน้าซ่อนพวงมะเขือเทศสดที่สองข้างแก้มก่อนจะรีบตัดบทหนีขึ้นรถไปอย่างรวดเร็ว ทิ้งให้คนที่เหลืออมยิ้มขำกับท่าทางน่ารักผิดอายุเมื่อครู่

   “ถ้าได้แบบนั้นก็ดีสิแก้ว ฮึฮึ” ชิตรัตน์ที่อุ้มลูกชายที่หลับคอพับคออ่อนที่บ่าเอี้ยวตัวมองคนรักก่อนหันกลับมาพูดกับแก้วกล้า

   “อย่าให้มันเยอะนักนะ ทำอะไรก็หัดเกรงใจลูกตัวเองมั่ง ไหนจะชายกับพลอีก ไม่ได้ไปกันแค่สองคน” ธารว่าเสียงขรึมกับคำพูดของคนทั้งสองที่ดูจะไม่ค่อยเข้าหูเจ้าตัวสักเท่าไร จนแก้วกล้าได้แต่ส่ายหน้าไปมากับอาการหวงน้องของธารที่ไม่ว่าจะเวลาไหนเจ้าตัวก็พร้อมทำตัวเป็นบราคอนได้ตลอด

   “งั้นผมขอตัวก่อนดีกว่า เดี๋ยวออกสายแล้วจะไปถึงที่นู่นค่ำ” ชิตรัตน์ว่าก่อนจะเอ่ยลาคนทั้งสองที่ออกมาส่งพวกเขาตั้งแต่เช้า พร้อมกับส่งลูกชายที่ยังคงหลับไม่รู้เรื่องให้คนรักที่เขามานั่งรออยู่ก่อนให้รับไป

   เมื่อชิตรัตน์เข้ามานั่งในรถเรียบร้อยแล้วชายกับพลก็เข้ามาประจำตำแหน่งคนขับและผู้ดูแลก่อนจะสตาร์ทเครื่องยนต์แล้วออกจากบ้านไป โดยจุดมุ่งหมายของทริปครั้งนี้คือจังหวัดเล็กๆ ที่แสนโรแมนติกแห่งหนึ่งของประเทศไทยอย่างจังหวัด น่าน ............


   ….

   ………

   ……………….


   เกือบสองทุ่มกว่าที่พวกเขาจะเดินทางมาถึงโรงแรมที่พักที่ได้จับจ้องเอาไว้ก่อนหน้า โดยชิตรัตน์เลือกโรงแรมที่ขนาดไม่ใหญ่มากโดยเน้นหนักไปทางเรื่องของสถาปัตย์และสภาพแวดล้อมเสียมากกว่า เพื่อให้พวกเขาได้ดื่มด่ำกับการพักผ่อนในครั้งนี้ให้มากที่สุด และอีกอย่างหนึ่งก็เพื่อที่เขาจะได้ศึกษาเก็บข้อมูลต่างๆ จากการเข้าพักในครั้งนี้ไปปรับใช้กับโรงแรมของเขาเองที่กำลังสร้างอยู่ด้วย

“คุณพ่อดูสิ มีเตียงของเกรทด้วย”   เกรทเอี้ยวหลังไปมองคนที่เพิ่งเข้ามาใหม่พร้อมกับร้องบอกด้วยความดีใจ

   “อย่ากระโดดอย่างนั้นสิครับ ขายังไม่ได้ล้างเลย เดี๋ยวคืนนี้นอนก็คันหลัง
หรอก”  เขาว่าก็จะรวบตัวลูกชายขึ้นอุ้มแล้วเดินหายเข้าห้องน้ำไปเพื่อจัดการเจ้าตัวแสบให้ล้างมือล้างเท้าก่อนที่จะขึ้นเตียงใหม่อีกรอบ

   แต่ไม่รู้ว่าเขาพาลูกเข้าไปในห้องน้ำนานไปหรือว่าอย่างไ รเมื่อพอพวกเขาพากันเดินออกมาก็พบว่าคนที่นั่งรออยู่บนเตียงเมื่อครู่เอาหัวพิงหัวเตียงหลับไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

   “คุณแม่ยังไม่ได้อาบน้ำเลย” เกรทว่าเสียงอ่อยขณะมองคุณแม่ของตัวเองนั่งหายใจเข้าออกอย่างสม่ำเสมอ

   “งั้นเดี๋ยวเกรทไปอาบน้ำให้เรียบร้อยนะครับ เดี๋ยวคุณพ่อเช็ดตัวให้คุณแม่เอง คุณแม่จะได้สบายตัวไงดีไหม”

เกรทหยักหน้ารับก่อนจะวิ่งไปเปิดกระเป๋าเป้ของตัวเองที่ปีแอร์ช่วยจัดของใส่ไว้ให้เมื่อวานออก เพื่อหยิบเอาอุปกรณ์อาบน้ำของตัวเองพร้อมด้วยผ้าขนหนูผืนเล็กและชุดนอนขาสั้นสีฟ้าอ่อนที่เจ้าตัวชอบใส่ประจำออกมาก่อนจะวิ่งเข้าห้องน้ำไปอีกรอบ  แต่ดูท่าเกรทจะรีบไปหน่อยจนลืมไปว่าชิตรัตน์ยังไม่ได้เข้าไปเอาผ้าชุบน้ำมาเช็ดตัวให้คนที่นอนหลับอยู่เลย แต่จะให้ตะโกนเรียกก็คงไม่ทันแล้วเมื่อเสียงล็อกกรประตูดังออกมาให้ได้ยิน

   ชิตรัตน์ถอนหายใจออกมาอย่างหมดทางเลือก ก่อนจะหันกลับมามองคนที่ยังหลับไม่รู้เรื่องอยู่บนเตียง เขาเดินเข้ามาใกล้ก่อนจัดท่าทางให้อีกคนได้นอนในท่าทีคิดว่าน่าจะสบายกว่าท่าเดิมเมื่อครู่

   ไม่รู้เหมือนกันว่าเพราะอะไรแต่ใบหน้ายามหลับของเกล มักทำให้เขาอดไม่ได้ที่จะนั่งมองใบหน้าขาวๆ ที่มีแพรขนตาหนาบดบังแก้วตาสีคาราเมลนั้นเอา ไว้ พอได้มามองในระยะใกล้แบบนี้แล้วมันทำให้เขาคิดไปถึงช่วงเวลาเก่าๆ ที่เขาเคยพบกับคนตรงหน้าครั้งแรก  คนที่ดูมีเสน่ห์ดึงดูดให้เขาอยากรู้จัก และรักมาตลอดไม่ว่าจะตอนนั้นหรือแม้กระทั้งตอนนี้  ใบหน้าแสนใสซื่อในยามที่หลับแบบนี้มันคล้ายกับเชื้อเชิญให้ชิตรัตน์ค่อยๆ โน้มใบหน้าเข้าใกล้อีกคนมากขึ้น มากจนระยะห่างของพวกเขามีเพียงลมหายใจอุ่นๆ คอยกั้นกลางเอาไว้

   !!


อ่านต่อในเล่ม :katai1:

อุ๊ย!!
ตอนพิเศษหลุด

ออฟไลน์ wavery

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 124
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-2

แรกเจอ


              ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนดูเป็นประกายฉายแววอยากรู้อยากเห็นเหมือนเด็กๆ กับรอยยิ้มสดใสชวนมองที่ไม่ว่าจะอยู่ท่ามกลางผู้คนมากมายขนาดไหน ก็ไม่มีเลยสักคนที่จะส่องประกายได้เท่ากับคนคนนี้ เขาไม่รู้เหมือนกันว่าเผลอมองรุ่นน้องร่วมสถาบันคนนี้มานานขนาดไหนแล้ว ไม่รู้ตัวเลยด้วยซ้ำว่าเผลอแอบยิ้มตามท่าทางน่ารักเป็นธรรมชาติของคนคนนี้ไปกี่ครั้ง

….

…………….
 

               “มึงชอบน้องเขาหรอวะ”  คำถามง่ายๆ ที่เขาเองก็เฝ้าถามตัวเองมาตั้งแต่สามชั่วโมงที่แล้วตั้งแต่ได้เจอกับนางฟ้าในใจเป็นครั้งแรก

              “ถ้ากูตอบว่าใช่ละ” คนถูกถามตอบกลับไปโดยที่สายตายังคงจับจ้องไปยังรุ่นน้องหนุ่มหน้าสวยที่ถูกเรียกออกมายืนหน้าแถวร่วมกับเพื่อนๆ อีกหลายคนตรงลานกว้างของตึกคณะที่กำลังจัดกิจกรรมรับน้องรวมทุกสาขาของคณะเพื่อกระชับความสัมพันธ์ของรุ่นพี่รุ่นน้อง และเพื่อให้น้องๆ ที่มาจากหลากหลายที่มาได้ทำความรู้จักซึ่งกันและกันเผื่อว่าในอนาคตจะได้สามารถช่วยเหลือซึ่งกันและกันได้โดยไม่รู้สึกว่าเป็นคนแปลกหน้าสำหรับกันและกัน

               “มึงก็เข้าไปจีบเลยดิ หล่อๆ แบบมึงจีบติดอยู่แล้ว” ดลธรรมยุเพื่อนสนิทของตนทันที ก็ตั้งแต่เข้ามหาวิทยาลัยมาเขายังไม่เห็นเพื่อนรูปหล่อดีกรีแรงคนนี้จะทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันเลยสักอย่าง นอกจากลากเขาไปนู่นไปนี่เพื่อตามดูน้องเฟรชชี่หน้าสวยต้อยๆ เป็นเหมือนพวกโรคจิตอย่างไรอย่างนั้น

                “กุไม่กล้าว่ะ” คำตอบโคตรใจเสาะของประธานนักศึกษา อดีตเดือนมหาลัยทำเอาเขาอยากเอาเท้าก่ายหน้าผากนอนตาย ชอบแต่ไม่พูดแล้วมันจะได้ไหม

                 “หรือมึงจะรอให้หมามันคาบไปแดกวะ” เขาบ่น

                  “ไม่เอา” ชิตรัตน์หมุนตัวกลับมาพูดกับเพื่อนด้วยสีหน้าจริงจัง นั่นรักแรกพบของเขาเลยนะ ใครจะยอมปล่อยให้หลุดมือไปง่ายๆ ล่ะ เขาก็แค่ขอเวลารวบรวมความกล้าหน่อยสิ ตั้งแต่เกิดมาเคยจีบใครก่อนที่ไหนกัน

                    “งั้นมึงก็ควรรีบหน่อย” ดลธรรมเตือนเพื่อนพร้อมบุ้ยหน้าไปยังด้านหลังให้ชิตรัตน์หันตามไปดู

                      “เวรล่ะ”

                       ชิตรัตน์สบถออกมาอย่างหัวเสียเมื่อพบว่าเด็กน้อยที่ตนหมายตากำลังหัวร่อต่อกระซิกสนุกสนานกับผู้ชายผิวเข้มหุ่นนักกีฬาที่นั่งอยู่ข้างๆ อย่างออกนอกหน้า และที่ทำให้เขาหัวร้อนไปมากกว่านั้นคือเกมที่ตอนนี้พี่สันทนาการกำลังให้น้องเล่นก็คือ การส่งกระดาษรูปหัวใจสีหวานแหววด้วยปาก ปาก เลยนะ

                       ให้ตายเถอะ!!

                        เขาล่ะอยากเข้าไปแยกทั้งคู่ออกจากกันใจจะขาด ไม่อยากให้ใครเข้าใกล้เด็กน้อยน่ารักของเขา แต่เขาทำไม่ได้ ได้แต่นั่งมองกิจกรรมรับน้องกระชับมิตรออยู่ห่างๆด้วยใจว้าวุ่นแบบสุดๆ  มันอาจฟังดูบ้ากับการที่ต้องมานั่งนับเวลารอเลิกกิจกรรมเหมือนเด็กปีหนึ่งหัวรุนแรงที่ต่อต้านการรับน้องในขณะที่ตัวเขาเป็นถึงหัวหน้าในการจัดกิจกรรมและที่น่าปวดหัวมากไปกว่านั้นคือเขานี่แหละคือคนคิดเกมที่กำลังเล่นในตอนนี้ด้วย
เมื่อไรกิจกรรมจะจบสักทีวะ...............
 

                   สุดท้ายจนแล้วจนรอดเขาก็ไม่มีโอกาสได้เข้าไปทำความรู้จักรุ่นน้องคนสวยที่ว่า เพราะระหว่างที่รอให้กิจกรรมรับน้องเลิกเขากับดลธรรมก็ถูกเรียกตัวให้เข้าประชุมเพื่อวางแผนกิจกรรมรับน้องในวันพรุ่งนี้ กว่าจะเสร็จก็ปาไปเกือบสองทุ่มซึ่งก็เลยเวลารับน้องมาหลายชั่วโมงแล้วด้วย

                  “เอาน่าพรุ่งนี้ยังมี” ดลธรรมได้แต่ตบบ่าให้กำลังใจชิตรัตน์ที่เดินออกมาจากห้องประชุมสโมสรนักศึกษาด้วยอาการคอตกจิตใจห่อเหี่ยวขัดกับภาพ ลักษณ์จริงจังเมื่อครู่ตอนอยู่ในห้องประชุมลิบลับ

                    “ก็คงต้องเป็นอย่างนั้นแล้วละ” ชิตรัตน์ว่าอย่างปลงๆ  ทั้งๆ ที่เขาตั้งใจว่าจะเข้าไปทำความรู้จักหลังเลิกกิจกรรมแท้ๆ

                       ถึงวันนี้จะไม่รู้จักก็ไม่เป็นไร ยังไงก็อยู่คณะเดียวกันถึงจะคนละสาขาก็เถอะ ยังไงเขาก็ยังมีโอกาสที่จะได้เจอน้องคนนั้นอยู่ ชิตรัตน์ปลอบตัวเองเบาๆก่อนจะเดินไปยังลานจอดรถของคณะที่ด้านหลังตึก

                       แต่ดูเหมือนวันนี้จะไม่ใช่วันของเขาจริงๆ นั่นแหละ นอกจากจะไม่ได้รู้ชื่อรักแรกที่เฝ้ามองมาทั้งวันแล้ว ตอนนี้เขายังทำกุญแจรถหายไปไหนอีกก็ไม่รู้

                         “กุญแจหายเหรอวะ” ดลธรรมตะโกนถามมาจากอีกฝั่งของลานจอดรถเมื่อเห็นเพื่อของตัวเองยังพะวงอยู่แต่กับการค้นหาของในกระเป๋าไม่ยอมเปิดประตูรถสักที

                          “น่าจะใช่” ชิตรัตน์หน้าเครียดเพราะไม่ว่าจะล้วงจะค้นยังไงเจ้ากุญแจรถมันก็ไม่แสดงตัวออกมาให้เขาได้เห็นเลยแม้แต่น้อย

                         “ให้กูช่วยหาไหม” ดลธรรมอาสา

                         “ไม่เป็นไร น่าจะลืมไว้ที่ห้องสโม มึงกลับไปก่อนเลย”

                         “เอางั้นเหรอ”

                           “เออ”

                          “แล้วถ้าไม่เจอล่ะ มึงจะกลับไง”

                           “ถ้าไม่เจอเดี๋ยวกูโทรให้ชาติเอารถมารับก็ได้”

                          “เอางั้นเหรอ”

                           “เออ”

                          “เออๆ ถึงบ้านแล้วบอกกูด้วยละกัน”

                          ดลธรรมโบกมือลาเพื่อนก่อนจะกลับไปที่รถของตัวเองที่จอดอยู่แล้วขับออกไปโดยไม่วายจะหันมาเปิดกระจกถามย้ำเพื่อนอีกครั้งด้วยความเป็นห่วง

                          “เออ กลับๆ ไปได้แล้วมึงอะ”

                         ชิตรัตน์โบกมือไล่เพื่อนก่อนจะเดินกลับหลังหันเข้าไปในตัวอาคารเรียนอีกครั้งอย่างเซ็งๆ ดีนะที่ช่วงนี้แม่เขาไปสัมมนาที่ต่างจังหวัด แถมน้าวีรกิตติ์ก็ย้ายออกไปอยู่ที่อื่นแล้ว ไม่อย่างนั้นมีหวังสายโทรศัพท์เขาได้ไหม้แน่ที่กลับบ้านเกินเวลาโดยไม่บอกกล่าวเช่นนี้
 

……………
………………………
…………………………………….



                           ช่วงขายาวก้าวไปตามทางเดินภายในอาคารที่ปราศจากผู้คนจนเกินเสียงสะท้อนดังก้องไปทั่วบริเวณยามที่ส้นรองเท้าหนังขัดมันของเขากระทบลงบนพื้น ชิตรัตน์รีบจ้ำก้าวอีกเป็นเท่าตัวเมื่อประตูห้องสโมที่เพิ่งประชุมเสร็จเมื่อครู่อยู่ตรงหน้า ฝ่ามือหนาผลักบานประตูเข้าไปพร้อมคลำหาสวิทช์ไฟที่อยู่ตรงกำแพงเพื่อให้แสงสว่างช่วยทำให้เขาสามารถมองหาสิ่งที่ตามหาได้ง่ายขึ้น

                             เกือบห้านาทีที่เขาหมดไปกับการหากุญแจรถเจ้าปัญหาก่อนจะพบว่ามันนอนนิ่งอยู่ในลิ้นชักโต๊ะทำงานประจำตำแหน่งของเขาที่ด้านในสุดของห้อง  เขารีบคว้ามันเอาไว้ก่อนจะรีบปิดไฟล็อกประตูแล้วพุ่งกลับไปที่รถทันที ไม่ใช่ว่าเขากลัวว่าจะมีอะไรโผล่ออกมาในความมืดเหมือนที่เพื่อนๆ ชอบเล่าให้ฟังเวลาอยู่ทำงานกันดึกๆ หรอกนะ เขาก็แค่อยากรีบกลับบ้านไปนอนก็เท่านั้น จริงๆ นะ

                           โชคดีที่ห้องสโมสรนักศึกษาของเขาอยู่ชั้นล่างสุด ทำให้เขาไม่ต้องฝ่าฟันกับความมืดขึ้นไปชั้นบนของตัวตึก แต่ทางที่จะไปลานจอดรถมันก็ต้องผ่านลานกิจกรรมซึ่งอยู่ตรงกลางของตึกอยู่ดี ถ้าเป็นเวลาปกติเหมือนตอนขามาเขาจะไม่กลัวหรืออะไรเลยเพราะตรงลานจะเปิดไฟเอาไว้สว่างพอให้เห็นทาง แต่ตอนนี้นี่สิไฟที่ว่ามันดันดับหมดเลยเหลือแต่ไฟสำรองที่ส่องพอให้เห็นสลัวๆ เท่านั้น และสิ่งที่ทำให้เขาต้องชะงักเท้าที่กำลังจะก้าวไปข้างหน้าเพื่อหนีห่างจากความมืดก็คือเงาตะคุ่มๆ กลางลานกิจกรรมนั้นต่างหาก
 

…………….
………………………..

                 “นั่นใครนะ”  เขาทำเป็นใจดีสู้เสือตะโกนถามออกไป  ในใจก็ได้แต่ภาวนาขอให้เจ้าของเงาตะคุ่มที่ว่านั้นเป็นใครสักคนในคณะหรือลุงยามที่คอยดูแลตึก เพราะถ้าเป็นอะไรที่นอกเหนือไปจากที่เขาจินตนาการไว้ละก็ เขาไม่แน่ใจว่าลูกผู้ชายอกสามศอกที่ชื่อชิตรัตน์คนนี้จะสามารถก้าวขาวิ่งหนีได้ทันหรือไม่

                   “ฉะ ฉันถามว่าใคร”  เขาถามย้ำอีกครั้งพร้อมพยายามก้าวขาที่เริ่มจะสั่นกลัวของตัวเองเข้าไปใกล้เจ้าเงาปริศนาที่ยังคงนั่งนิ่งอยู่กับที่ ชิตรัตน์ค่อยๆ ก้าวเข้าไปที่ละนิดละนิดจนกระทั้ง

!!

                    “เฮ้ยยยยยยยยยยยยยยย!!”
……………….

……………………………
 

อ่านต่อในเล่ม
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 04-03-2017 18:30:09 โดย wavery »

ออฟไลน์ wavery

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 124
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-2

คนของเธอ (ธารxแก้ว)




เสียงหอบหายใจหนักๆ ดังขึ้นมาเป็นระยะพร้อมกับความร้อนในกายที่เพิ่มขึ้นมาเป็นระยะและยังคงไต่ระดับสูงขึ้นเรื่อยๆ

   …..
   …………
                
   CUT เบนเข้าโคมไฟ
[/b]
   
   ……………………
   …………………………………….

   “คุณธาร... “
   “ครับ”
   เขารวบเอามือข้างนั้นของคนรักขึ้นมาสอดผสานแล้วโน้มตัวลงไปประทับจูบที่กลีบปากอิ่มเบาๆ ก่อนจะไล่ไปตามลำคอและลาดไหล่เล็ก ขบเม้มเบาๆ ตรงอกซ้ายจนเกิดรอย
   “ผม..ไม่ไหวแล้ว”  แก้วกล้าว่าเสียงหอบ
   ตั้งแต่เขาเปิดใจยอมรับธารในฐานะคนรักที่จะร่วมชีวิตด้วยกันแล้วอะไรๆ ก็ดูจะพัฒนาไปในทางที่ดีขึ้น และเมื่ออยู่ด้วยกันเรื่องบนเตียงก็ดูจะเหมือนเป็นเรื่องปกติธรรมดาอย่างหนึ่งที่ควรจะเกิดขึ้น แต่เพราะตัวของแก้วกล้าเองที่ยังมีบาดแผลจากการคลอดอยู่ เรื่องอย่างว่าจึงถูกผลัดออกไป และเมื่อถึงคราวที่ร่างกายของเขาพร้อม ธารก็ไม่ปล่อยให้ช่วงเวลาที่ตนอดทนรอต้องยืด เวลาต่อไป
   พวกเขาสองคนเริ่มสัมพันธ์ทางกายกันมาได้สักพักใหญ่ๆ แล้ว และนั่นก็ทำให้แก้วกล้าค้นพบความต้องการที่ไม่มีที่สิ้นสุดของธารด้วยเช่นกัน
   “ขออีกรอบ ฮึ่ม ฉันหยุดมันไม่ได้แล้ว”
    ในเมื่อคนนำเกมไม่คิดจะหยุดเกมรักในครั้งนี้ลง คนตามอย่างเขาก็ไม่มีสิทธิถอนตัวเช่นกัน
   ……………….
   ……………………………
   ………………………………….

   แสงแดดยามสายที่สาดแสงจ้าถูกบั่นทอนความเจิดจ้าลงด้วยผ้าม่านผืนหนาที่ถูกเลื่อนมาปิดไว้ เพื่อไม่ให้ความสว่างของดวงอาทิตย์มารบกวนการนอนอย่างเป็นสุขของคนบนเตียง
   ลมหายใจที่สม่ำเสมอกับช่วงอกที่ขยับเป็นจังหวะบ่งบอกถึงการนอนอันแสนสุขของคนซึ่งนอนอยู่บนเตียงกว้างได้เป็นอย่างดี บานประตูหนาถูกเปิดและปิดลงอย่างเบามือเพื่อไม่ให้คนที่นอนอยู่ตกใจ  ช่วงขายาวก้าวเดินแผ่วเบามาหยุดตรงข้างเตียง ก่อนจะประคองร่างเล็กๆ ที่เขาโอบอุ้มอย่างทะนุถนอมเอาไว้ในอ้อมแขนลงบนเตียงใหญ่อย่างเบามือ
   ฝ่ามือคู่น้อยยื่นออกตะปบไปมาบนแก้มของคนที่ยังคงนอนหลับอยู่พร้อมกับเสียงอ้อแอ้ที่ถูกเปล่งออกมาไม่เป็นศัพท์ เหมือนพยายามเรียกคนที่หลับใหลอยู่ให้รู้ตัว
   แก้วกล้าที่ถูกรบกวนการนอนจนไม่สามารถข่มความรู้สึกให้หลับลงต่อไปได้อีกครั้ง แม้ว่าเจ้าตัวจะยังคงรู้สึกอ่อนเพลียจากกิจกรรมเมื่อคืนอยู่จนอยากจะจมอยู่กับความสบายของที่นอนหนาก็ค่อยๆ ลืมตาขึ้น ก่อนรอยยิ้มจะถูกจุดขึ้นเมื่อเห็นว่าใครกันที่เป็นผู้มาปลุกเขาในเช้านี้
   “ไงคะเจ้าหญิงของแม่”
   เขาว่าพร้อมจูบลงบนแก้วยุ้ยนิ่มของลูกสาวตัวน้อยที่ส่งเสียงพึ่งพอใจออกมา ก่อนจะถูกอุ้มลอยไปอยู่บนตักของผู้เป็นพ่อที่นั่งอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลแทน  คนเพิ่งตื่นไล่สายตามองตามการกระทำนั้นก่อนจะค่อยๆ ชันตัวลุกขึ้นมานั่ง แม้จะยังรู้สึกเสียดตรงช่องทางอยู่บ้างแต่ก็ไม่ได้เจ็บมากมายเหมือนเมื่อครั้งแรกแต่อย่างไร
   “หอมแต่ลูก แล้วฉันละ” ธารว่าเสียงกระเง้ากระงอด
   “เมื่อคืนได้ไปเยอะแล้วไม่ใช่หรือไง”  แก้วกล้าเถียงกลับแต่ก็ยินยอมที่จะรับจูบจากริมฝีปากร้อนของอีกคน
   เมื่อพอใจกับรสสัมผัสในตอนเช้าแล้ว ธารจึงค่อยๆ ละจากสัมผัสนุ่มนั้นออกมาพร้อมกับเดินอุ้มลูกน้อยออกจากห้องไป เพื่อเป็นการเปิดทางให้แก้วกล้าได้มีเวลาจัดการกับตัวเองให้เรียบร้อย

   …………..
   ……………………..
   ……………………………………


   แก้วกล้ามองตามแผ่นหลังธารออกไปจนหายลับออกไปจากสายตา ก่อนจะบิดขี้เกียจน้อยๆ แล้วลุกขึ้นจากเตียงนอน ความเสียดจากช่วงล่างทำให้คนตัวเล็กไม่อาจเดินได้ไวมากเท่าที่ควร สองขาเรียวก้าวช้าๆ ก่อนจะหายเข้าไปในห้องน้ำจัดการชำระร่างกายให้สดชื่น ผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดใหม่ก่อนจะเดินกลับออกมา หากแต่ระหว่างที่เขากำลังจะเดินตรงไปที่ประตูห้อง หางตาก็ไปสะดุดเข้ากับกระดาษแผ่นหนึ่งที่ตกอยู่ข้างโต๊ะทำงานของธารที่ถูกจัดเอาไว้อยู่ตรงมุมหนึ่งของห้อง
   คนตัวเล็กเปลี่ยนจุดหมายจากบานประตูห้องไปยังกระดาษแผ่นนั้นแทนอย่างสนใจ  เขาเอื้อมลงไปหยิบเอากระดาษแผ่นนั้นขึ้นมาดูแล้วพบว่ามันเป็นแผนงานการขนส่งสินค้าต่างๆ ทั่วๆ ไปของบริษัท คนตัวเล็กจึงไม่ได้สนใจอะไรกับมันมากเลยทำแค่วางมันกลับลงไปบนโต๊ะอีกครั้ง พร้อมกับหาอะไรทับเอาไว้กันไม่ให้มันปลิวตกลงมาอีก แต่ขณะที่กำลังหาที่ทับอยู่นั้นดวงตาสวยก็ไปสบเข้ากับบางอย่างที่อยู่ในลิ้นชักที่ปิดไม่สนิท
   ล็อกเก็ตอันเล็กซึ่งเขาจำได้ว่าเป็นสิ่งที่ธารมักจะพกติดตัวอยู่เสมอถูกเปิดค้างเอาไว้ ด้วยความสงสัยใคร่รู้เขาจึงถือวิสาสะหยิบขึ้นมาพิจารณาอย่างสนใจ โดยเฉพาะรูปหญิงสาวต่างชาติที่ปรากฏอยู่ในนั้น ยิ่งทำให้คนมองนิ่วหน้าด้วยความรู้สึกไม่พอใจ  สุดท้ายเขาจึงเลือกที่จะปิดล็อกเก็ตแล้วนำมันวางลงที่เดิมพร้อมกับแรงกระแทรกปิดลิ้นชักเสียงดัง ก่อนจะเดินออกจากห้องไปพร้อมกับความรู้สึกยุบยิบที่หัวใจ.......
   ผู้หญิงคนนั้นเป็นใคร...?


อ่านต่อในเล่ม
[/color]

ออฟไลน์ Bb nale

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 559
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-0
ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆเรื่องนี้นะ คนแต่งเขียนได้ดีมากทั้งความรู้สึกตัวละครขอบคุณ^^

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ wavery

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 124
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-2
 

เพื่อนๆสามารถเข้าไปตรวจสอบรายชื่อการแจ้งโอนนิยายในรอบพรีออเดอร์ได้ที่

รายชื่อ-ที่อยู่

นิยายจะจัดส่งช่วงสิ้นเดินนะคะ

ออฟไลน์ mickeyz.min

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 767
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0

ออฟไลน์ sk_bunggi

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 398
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +24/-0
อ่านจบแล้วววว มันส์ได้ใจ  o13 o13

ออฟไลน์ mint_852

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 734
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-1
เคยอ่านแล้วรอบหนึ่ง
กลับมาอ่านรีไรท์อีกรอบ
ก็สนุกเหมือนเดิม
ชอบปิแอร์มาก
ร่าเริงตลอดๆ
ขอบคุณที่เอามาลงให้อ่านอีกครั้งนะคะ

ออฟไลน์ Nobodylove

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 291
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-1
 :katai2-1: :katai2-1: ผูกเรื่องได้ดี ชอบๆ :katai2-1:

ออฟไลน์ reborn

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 675
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +54/-1

ออฟไลน์ Bebii123

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 49
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
ดีมากๆ  :L2:

ออฟไลน์ Musashi

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 494
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-13
 เพื่อความสมบูรณ์ของนิยายเราขอคอมเมนต์อะไรนิดหน่อยนะ คงไม่ว่ากัน
ชื่อโจนาธาร (Jonathan) ต้องเขียนว่า โจนาธาน สะกดด้วย "น" ไม่ใช่ "ร" ที่จริงแล้วฝรั่งจะออกเสียงว่า จอนาธั่นด้วยซ้ำไป
ส่วนปิแอร์ (P'ierre ) เป็นชื่อของชาวฝรั่งเศสไม่ใช่อิตาลี :mew1:

ออฟไลน์ Musashi

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 494
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-13

 
 เมื่อทำอะไรไม่ได้คุณหญิงจึงเอามาลงที่คนท้องแทนจากแค่เขย่าร่างกายอย่างแรงเปลี่ยนเป็นเริ่มลงไม้ลงมือ แต่คนท้องใช่ว่าจะยอมเพราะแก้วกล้าเองก็ปัดป้องด้วย ถึงแม้แรงจะยืนเขายังไม่มีแต่เขาก็ไม่ยอมให้ใครมาทำร้ายเขากับลูกฟรีๆเหมือนกัน

            ปัง!

“แม่ / แก้ว!!!”

เสียงบานประตูที่ถูกผลักเข้ามาอย่างแรงจนทำให้คุณหญิงหยุดการกระทำเมื่อครู่ลงแล้วหันไปมองผู้มาใหม่ทั้งสองที่อุกอาจเข้ามายังในห้องนอน

ชิตรัตน์รีบเข้าไปรั้งเอาตัวของคุณหญิงให้ออกมาห่างๆจาก คนท้องที่เริ่มทรงตัวไม่อยู่จนเซไปมาก่อนจะล้วงลงไปในอ้อมแขนของธานที่วิ่งตามเข้ามารับร่างอวบนั้นเอาไว้

“แก้ว!” ธานนึกโกรธผู้หญิงตรงหน้าที่กล้ากระทำการร้ายกาจใส่คนที่กำลังท้องอยู่ได้ขนาดนี้ดูสิแขนขาวทั้งสองข้างแดงเป็นรอยมือไปหมดไหนจะรอยฟกช้ำดำเขียวนั้นอีก แม่งเอ๊ย! เขาสถลออกมาในใจใครมันจะคิดละว่าการที่เขาขับรถวนกลับมาเพื่อนำของที่อีกคนลืมไว้มาให้จะทำให้เขาต้องเจอกับเหตุการณ์อะไรแบบนี้ นี้ถ้าแก้วกับลูกเป็นอะไรไปเขาจะเอาเรื่องอีคุณหญิงปีศาจนี้ให้ถึงที่สุดเลยจริง

“คุณธาน” แต่เสียงเรียกชื่อเขาเบาๆของคนในอ้อมแขนนั้นเรียกสติของเขาที่เอาแต่ต้องมองคุณหญิงอย่างโกรธเคืองนั้นให้หันกลับมามองคนในอ้อมแขนอีกครั้ง

“คุณธานรีบพาแก้วไปโรงพยาลดีกว่าครับ เดี๋ยวทางนี้ผมจัดการเสร็จแล้วจะตามไป”

คราวนี้ธานยอมทำตามที่ชิตรัตน์พูดอย่างว่าไง เขารีบช้อนตัวของแก้วกล้าขึ้นอุ้มแล้วรีบเดินฝ่าผู้คนออกไปโดยมีชาติคอยเคลียทางเดินให้จนไปถึงรถ

ส่วนชิตรัตน์เมื่อเห็นว่าธานพาแก้วกล้าออกไปแล้วเขาก็หันไปสั่งให้คนที่ออกันอยู่เต็มหน้าประตูกลับไปทำงานของตนเสียแล้วรอจนทุกคนออกจากห้องเขาไปจนหมดแล้วจึงปล่อยตัวของคุณหญิงโฉมฉวีให้เป็นอิสระหลังจากที่ถูกจับมานาน

“แม่ทำอะไรลงไปรู้ตัวบ้างไหม”

“หึ รู้สิ ถ้าไม่รู้จะทำไปหรือไง”

“แล้วถ้าแก้วเป็นอะไรขึ้นมาจะทำยังไง”

ชิตรัตน์ขึ้นเสียงอย่างเหลืออดกับการกระทำของแม่ตัวเอง รู้ว่าไม่ชอบแต่อย่างน้อยก็ควรจะมีมนุษยธรรมมากกว่านี้สิ เลขาของเขาก็ท้องขนาดนั้นไม่เห็นหรือไงถ้าเกิดเด็กเป็นอะไรขึ้นมาใครจะรับผิดชอบเขาไม่มีปัญญาไม่ขุดเอาแทนไทขึ้นมาจากหลุมมาทำลูกใช้คืนแก้วกล้าใหม่หรอกนะ

“ก็ชั่งหัวมันสิ”

 
คุณหญิงวรนุช :m20:

ออฟไลน์ Musashi

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 494
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-13

ขอเดานะ
ชินเป็นลูกของวาดฟ้าที่โดนคุณหญิงวรนุชฆ่าตาย ใช่มั้ยๆๆ

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด