ปานตะวัน ▪☀▫ บทพิเศษที่ ๔ Christmas Gifts (๒๕/๑๒/๖๐) [จบ]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ปานตะวัน ▪☀▫ บทพิเศษที่ ๔ Christmas Gifts (๒๕/๑๒/๖๐) [จบ]  (อ่าน 133729 ครั้ง)

ออฟไลน์ snowrabbit

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 264
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +219/-6
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17



เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม


****************************************************

ปานตะวัน

สำหรับ 'ปานตะวัน' สิ่งมีชีวิตเดียวที่เขาไม่ชอบและรับมือไม่ได้คือ 'เด็ก' !
แต่ใครจะรู้ว่าการกลับมายังบ้านเก่าของเขาจะทำให้ปานตะวันได้มรดกเป็น
บ้าน ที่ดิน หลานชายและผู้ชายหน้าโหดบ้านตรงข้าม!

"ผมไม่เคยเลี้ยงเด็กนะ ไม่แน่ใจว่าจะเลี้ยงให้ดีได้ด้วย"
"ฉันก็ว่าอย่างนั้นแหละ แล้วนายจะทำยังไง จะทิ้งเด็กคนนี้ไว้ที่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าเหรอ"
"ผม..."
"มีความรับผิดชอบได้แล้วปานตะวัน...ไม่ว่านายจะพูดยังไงสุดท้ายก็ต้องดูแลเด็กคนนี้อยู่ดี"
พอเห็นสีหน้าของเขา มือใหญ่ก็คว้าเอาปากกามา จดเบอร์ตัวเอง เฟซบุ๊ค และไอดีไลน์ลงบนมือของเขา
"แต่ถ้ามีอะไรอยากปรึกษาก็ติดต่อมาแล้วกัน"

********************************************************

สวัสดีค่า snowrabbit เองค่ะ!
นี่เป็นผลงานเรื่องที่สามที่เอาลงในเล้าแล้วค่ะ ก็ยังถือว่าเป็นมือใหม่อยู่นะคะ
เรื่องนี้ก็เป็นแนวฟีลกู๊ด อบอุ่นหัวใจเหมือนเรื่องอื่นๆ ที่ผ่านมาค่ะ (ยิ้มหวาน)
คนอ่านสามารถติชมและโปรยปรายความรักของท่านได้ตามใจชอบเลยนะคะ
ขอฝากเนื้อฝากตัว ฝากน้องปานตะวัน น้องเจียหลินและคุณพี่หน้าโหดบ้านตรงข้ามไว้ในอ้อมอกอ้อมใจด้วยนะคะ

Facebook -> AzureDream

********************************************************
Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 25-12-2017 18:48:01 โดย snowrabbit »

ออฟไลน์ snowrabbit

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 264
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +219/-6
ปานตะวัน
บทที่ ๑
เด็กชายกับเพื่อนบ้าน


        เสียงล้อรถบดลงกับถนนโรยกรวดและแรงสั่นสะเทือนเบาๆ ทำให้ร่างซึ่งนอนขดตัวอยู่บนเบาะข้างคนขับค่อยๆ ลืมตาตื่นขึ้นช้าๆ เป็นเวลาเดียวกับที่รถยนต์สีขาวจอดอยู่ตรงหน้าที่หมายพอดี ชายหนุ่มร่างสูงที่รับหน้าที่เป็นสารถีเขย่าปลุกคนข้างกายที่ทำท่าเหมือนจะกลับไปหลับอีกรอบด้วยแรงที่ไม่เบานัก
   
        “ไอ้ตะวัน  ตื่น ถึงบ้านมึงแล้ว”
   
        “อืม...ขออีกห้านาที”
   
        คนที่ถูกปลุกครางในลำคอก่อนจะพลิกตัวหนีฝ่ามือใหญ่แล้วขดกายซุกกับเบาะราวกับลูกแมวตัวน้อย เป็นเหตุให้ผู้ที่รับหน้าที่เป็นคนปลุกถึงกับคิ้วกระตุกด้วยความหงุดหงิด
   
        ป้าบ
   
        ชายหนุ่มเลยฟาดฝ่ามือใหญ่ของตัวเองลงที่กลางหลังไอ้คนนอนหลับไปแรงๆ พร้อมกับตะโกนเสียงดังลั่นรถ
   
        “ห้านาทีพ่อมึงสิ! ลุกขึ้นมาเดี๋ยวนี้ ปานตะวัน!”
   
         เท่านั้นเองชายหนุ่มเจ้าของนาม ‘ปานตะวัน’ ก็กระเด้งตัวลุกขึ้น เส้นผมที่ถูกย้อมเป็นสีน้ำตาลสว่างยุ่งเหยิงไม่เป็นทรง ดวงตากลมสีนิลฉายประกายหงุดหงิดอย่างเห็นได้ชัด ชายหนุ่มยกนิ้วกลางใส่หน้าอีกฝ่ายก่อนสบถออกมา
   
         “ตะโกนหาเตี่ยมึงเหรอเชี่ยกันต์ อยู่กันแค่นี้บอกดีๆ ก็ได้”
   
         “กูปลุกดีๆ มึงก็บอกอีกห้านาที กูเลยต้องตะโกน”
   
         ปานตะวันถลึงตาใส่เพื่อนสนิทอย่างหงุดหงิดก่อนจะมองออกไปนอกหน้าต่างรถ เมื่อพบว่าจุดหมายของตนอยู่ตรงหน้า ชายหนุ่มก็จัดเสื้อเชิ้ตสีดำที่ยับย่นของตนให้เรียบร้อยก่อนจะคว้ากระเป๋าใส่สัมภาระมาถือไว้เตรียมตัวจะลงจากรถ
   
         “ขอบคุณมากนะมึง อุตส่าห์ขับมาส่ง ไม่ค้างด้วยกันจริงๆ เหรอวะ”
   
         “ไม่ล่ะ กูไม่อยากรบกวนบ้านมึงเท่าไหร่”
   
         “ไม่หรอกน่า คิดมาก”
   
         “ไม่เป็นไร กูขับกลับได้ มึงนั่นแหละดูแลตัวเองดีๆ มีอะไรก็โทรหากูนะ”
   
         ปานตะวันพยักหน้ารับ โบกมือให้เพื่อนสนิทอย่าง ‘ชนกันต์’ ที่อุตส่าห์ขับรถมาส่ง ทั้งที่บ้านมันก็ห่างจากที่นี่พอสมควร ชายหนุ่มยืนมองจนรถของเพื่อนลับสายตาไปจึงสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เพื่อเรียกความกล้าก่อนจะหันกลับไปเผชิญหน้ากับ ‘บ้าน’ ของตัวเอง
   
         บ้าน...ที่ปานตะวันไม่เคยคิดว่าจะได้กลับมาเยือนอีก
   
        บ้านที่ห่างหายไปนานเหลือเกินจนแทบจดจำถึงความอบอุ่นในอดีตไม่ได้เลยสักนิด
   
        ที่นี่ยังเหมือนเดิม คล้ายกับในความทรงจำของเขา

        บ้านเรือนไทยหลังน้อยซุกซ่อนตัวอยู่ท่ามกลางต้นไม้ใหญ่ ต้นคูน ต้นมะม่วง ถูกปลูกไว้จนเต็มสวน บันไดทางขึ้นบ้านมีกระถางบัวตั้งอยู่สองฝั่งกับโอ่งมังกรที่ไว้ใช้ใส่น้ำสำหรับล้างมือล้างเท้าก่อนขึ้นบ้าน นอกจากนี้ในสวนยังมีสารพัดไม้ดอกที่พ่อและพี่สาวสรรหามาปลูก อย่างตอนนี้ปานตะวันก็ได้กลิ่นดอกราตรีโชยมาตามสายลม ถึงจะรู้สึกว่าไม่มีอะไรเปลี่ยนไปแต่ปานตะวันรู้ว่าตอนนี้ทุกอย่างไม่เหมือนเดิม

         ตอนที่ปานตะวันยังเล็กครอบครัวของเขาอยู่กันพร้อมหน้าในบ้านหลังนี้ มีพ่อ มีแม่ มีพี่สาว แล้วก็เขา แม้จะไม่ได้ร่ำรวยแต่ก็ไม่ได้ขัดสน พวกเขาเป็นครอบครัวเล็กๆ ที่มีความสุข แต่แล้ววันหนึ่งภาพความสุขเหล่านั้นก็สลายไปเมื่อแม่ของเขาตัดสินใจแยกทางกับพ่อเพื่อไปแต่งงานใหม่ ปานตะวันถูกแยกไปอยู่กับแม่ ส่วนพี่สาวซึ่งเป็นลูกติดของพ่อก็อยู่กับพ่อตามเดิมและนับตั้งแต่นั้นปานตะวันก็ไม่เคยได้กลับมาเหยียบเรือนไทยหลังนี้อีกเลย

         ตอนแรกเขาร่ำร้องอยากจะกลับมาแต่เมื่อโตขึ้นปานตะวันก็รู้ว่าทำไมแม่ถึงไม่เคยอนุญาต

         ที่แห่งนี้ไม่ต้องรับพวกเขาสองแม่ลูกอีกแล้ว...เพราะแม่ของเขา...นอกใจพ่อ

         แผ่นไม้กระดานลั่นเอี๊ยดใต้ฝ่าเท้ายามชายหนุ่มก้าวขึ้นไปบนบ้าน ภายในเปิดไฟสว่าง ญาติบางส่วนทางฝั่งพ่อยังไม่กลับไป คงจะรอพบเขาก่อน แล้วก็เป็นดังคาดเมื่อชายหนุ่มปรากฏตัวก็ดึงดูดสายตาของคนมากมายที่อยู่บนเรือนได้ ร่างเล็กยืนอิหลักอิเหลื่ออยู่ที่ปากกระตู ใจนึกอยากโทรเรียกไอ้กันต์เพื่อนรักให้กลับมารับไปเสียเดี๋ยวนั้น

          ก็สายตาของแต่ละคนที่มองเขาเนี่ยมันไม่ค่อยเป็นมิตรเลยน่ะสิให้ตาย!

          นอกจากจะหันมามองแล้วก็ยังมีการหันกลับไปซุบซิบกันต่อหน้า ไม่รู้ว่าจงใจให้เขาเห็นหรืออะไร แต่ถ้า ‘แอบนินทา’ ก็ถือว่าสอบตกอย่างแรง ปานตะวันเม้มริมฝีปากตอนที่บทสนทนาบางส่วนลอยมาเข้าหู มือที่กำกระเป๋าอยู่ชื้นเหงื่อ เขาอยากออกจากที่นี่แล้ว

          ในระหว่างที่เขายืนนิ่งอยู่ที่หน้าประตูนั้นเอง เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นช่วยชีวิต “อ้าว ตะวันมาแล้วเหรอลูก เข้ามาเร็วๆ ไหนมาให้น้าดูใกล้ๆสิ” หญิงวัยกลางคนร่างท้วมคนหนึ่งกระวีกระวาดเดินออกมาจากในครัว ใบหน้าอิ่มแต้มด้วยรอยยิ้มแต่กระนั้นปานตะวันก็ยังเห็นสายตาไม่ชอบใจที่โผล่ขึ้นมาแวบหนึ่งยามที่เธอมองเขาได้

          เอาเถอะ เขาชินแล้วล่ะ ญาติฝ่ายพ่อเขาก็ไม่ชอบเขากับแม่กันทั้งนั้น

          “สวัสดีครับน้าสายหยุด ไม่เจอกันนานเลยนะครับ”

          “ต๊าย จริงด้วย ตอนที่เห็นครั้งล่าสุดยังเป็นเด็กตัวน้อยๆ อยู่เลย ดูตอนนี้สิ โตเป็นหนุ่มหล่อเชียว”

          ปานตะวันยิ้มให้น้าสาวของตน แม้น้าสายหยุดจะไม่ชอบเขากับแม่แต่ก็ไม่มากเท่าญาติคนอื่นหรืออาจจะมากแต่ไม่แสดงออก นับว่าเธอเก็บอาการได้เก่งทีเดียว เธอทำทีเป็นห่วงเป็นใยเขาอยู่พักหนึ่ง จากนั้นก็พูดขึ้นว่า “แล้วนี่ตะวันกินข้าวมาหรือยังลูก”

          “กินแล้วครับ”

          “โอเคจ้ะ ตอนนี้เอาของไปเก็บก่อนไหมแล้วก็อาบน้ำพักผ่อน เดินทางมาเหนื่อยๆ”

          “ไว้ทีหลังก็ได้ครับ ตอนนี้ตะวันอยากไปไหว้พี่ก่อน”

          สิ้นประโยคนั้นใบหน้าแย้มยิ้มของคุณน้าสายหยุดก็เจื่อนลงเล็กน้อย หญิงสาวเดินนำปานตะวันไปที่ห้องพระซึ่งเก็บโกศบรรจุอัฐิของพี่สาวเขาเอาไว้ ปานตะวันทรุดตัวลงนั่งจุดธูปพลางเหม่อมองรูปของพี่...ใบหน้าของที่ไม่ได้เห็นมานานหลายปี แต่ปานตะวันก็จำได้ดีถึงรอยยิ้มใจดีและน้ำเสียงอ่อนหวาน แม้พ่อกับแม่จะแยกทางกันแต่ปานตะวันก็ยังติดต่อกับพี่สาวเสมอ พวกเขารักใคร่กลมเกลียวกันเหมือนพี่น้องแท้ๆ

          และพี่ก็เป็นเหตุผลเดียวที่พาปานตะวันกลับมายังบ้านหลังนี้...เมื่อสองวันก่อนปานตะวันได้ข่าวจากน้าสายหยุดว่าพี่สาวของเขาประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์เสียชีวิต ญาติๆ ทางฝั่งพ่อจัดการเรื่องงานศพและเผาศพเสร็จเรียบร้อยแล้ว ตอนแรกชายหนุ่มทั้งตกใจทั้งโกรธที่เขาไม่รู้เรื่องมาก่อน แต่พอมาคิดดูก็รู้ได้ว่าญาติทางฝั่งพ่อคงไม่อยากให้เขาโผล่หน้าไปงานศพเท่าไหร่นัก ส่วนแม่ก็ไม่ต้องการให้เขารู้เรื่องเพราะไม่ถูกกับทางบ้านของพ่ออยู่แล้ว มีเพียงคุณน้าสายหยุดเท่านั้นที่ส่งข่าวมาให้เขาแม้จะไม่เต็มใจเท่าใดนัก ไม่อย่างนั้นปานตะวันก็คงยังไม่รู้ว่าพี่ตัวเองตายไปแล้ว

          ชายหนุ่มถอนหายใจ มองรูปของพี่สาว ในรูปพี่ช่างดูอ่อนเยาว์และสดใส เขาได้แต่หวังว่าตอนนี้พี่จะได้ไปอยู่ในที่ที่ดีและได้พบกับพ่อ

          พี่...ตะวันขอโทษที่มาช้า...ตะวันขอโทษที่ไม่ได้มาส่งพี่

          ทั้งที่สัญญากับตัวเองว่าจะไม่ร้องไห้ แต่พอมาอยู่ต่อหน้ารูปของพี่สาวแบบนี้กระบอกตาของร่างเล็กก็ร้อนผ่าว ปานตะวันกัดริมฝีปาก กล้ำกลืนก้อนสะอื้นลงไป เขาไม่อยากแสดงความอ่อนแอให้ใครเห็น

          “ตะวันจ๊ะ...ไปอาบน้ำแล้วก็พักผ่อนเถอะนะ หนูเหนื่อยมามากแล้ววันนี้”

          “ครับ”

          โชคดีที่เสียงของเขาไม่ได้สั่น ปานตะวันเดินกลับออกไปนอกห้อง เขาพบว่าญาติส่วนใหญ่กลับกันไปเกือบหมดแล้ว ชายหนุ่มยกมือไหว้คนที่เหลืออยู่จากนั้นก็เดินตามน้าสายหยุดไปที่ห้องพักของตน ในระหว่างที่เดินนั้น จู่ๆหญิงสาวก็พูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา

           “น้าขอโทษนะจ๊ะที่บอกตะวันช้าไป ไม่อย่างนั้น...”

           “ไม่เป็นไรหรอกครับ มันไม่ใช่ความผิดของน้าสักหน่อย”

            “มันก็มีหลายๆ เรื่องทำให้พูดกันยากน่ะนะ เอาเถอะ ตอนนี้พี่ยศกับหนูจันทร์ก็ไม่อยู่แล้ว ตะวันคงไม่ได้กลับมาที่นี่บ่อยๆ สินะ...ถ้ายังไงสนใจจะขายบ้านหลังนี้ไหมจ๊ะ ตอนแรกจันทร์จ้าวเขาเปิดเป็นร้านขนมไทย แต่มันก็ทำเงินได้ไม่เท่าไหร่ อย่างว่า เดี๋ยวนี้คนเขาไม่ค่อยกินกันแล้ว ตะวันเองก็ทำขนมไม่เป็นไม่ใช่เหรอ เก็บไว้ก็ไม่มีประโยชน์หรอก”

            สิ้นประโยคนั้นมุมปากของคนตัวเล็กก็ยกขึ้นทันที นี่สินะประโยคใจความหลักที่อยากจะพูดจริงๆ ปานตะวันอยากจะกลอกตา แม้เขาจะไม่ได้มาที่บ้านนี้บ่อยๆ แต่สำหรับปานตะวันที่นี่คือสถานที่ที่มีความทรงจำอันล้ำค่าอยู่ เขาไม่อยากปล่อยให้มันหายไป
 
            “ไม่ล่ะครับ ตะวันยังไม่ได้คิดถึงเรื่องขายที่ขายบ้านอะไรทั้งนั้น ตอนนี้ตะวันยังทำใจไม่ได้ คงต้องขอเวลานานกว่านี้อีกหน่อย ให้จัดการเรื่องของต่างๆ ในบ้านด้วย”

            นี่คืออีกเหตุผลที่หลังทราบข่าวปานตะวันต้องรีบกลับบ้านเรือนไทยทันที เพราะญาติพวกนี้หลายคนก็ไว้ใจไม่ได้ ตอนเขาไม่อยู่ก็ไม่รู้กวาดของไปเท่าไหร่แล้ว  ดูอย่างน้าสายหยุดสิ เจอหน้ากันไม่นานก็ตะล่อมให้ขายบ้ายแล้ว รู้หรอกว่าอยากได้ที่ดินตรงนี้ใจจะขาด...แต่ฝันไปเถอะ ปานตะวันไม่คิดจะขายมรดกชิ้นเดียวที่ได้จากพ่อและพี่แน่ๆ ญาติพวกนี้ก็เหลือเกิน จ้องจะฮุบของกันตาเป็นมัน แม้บ้านหลังนี้จะเก่าและไม่ได้มีของมีค่ามากนักแต่ของสะสมของคุณพ่อหลายชิ้นก็เป็นของเก่า ยังพอขายได้ราคา ถ้าไม่อยากโดนกวาดจนโล่งทั้งบ้านเขาก็ต้องจัดการให้ดีๆ

            “ไม่เป็นไรจ้ะ เอาตามที่ตะวันต้องการเลย แต่ถ้าอยากขายบ้านหรืออยากให้เช่าก็ติดต่อมาหาน้าได้นะ”
   
            คนตัวเล็กยิ้มให้น้าสายหยุดแทนคำตอบ ก่อนที่บทสนทนาของพวกเขาจะจบลงเมื่อเดินมาถึงหน้าห้องนอนของปานตะวัน
   
           “ฝันดีนะจ๊ะตะวัน”
   
           “ขอบคุณครับ”
   
           แต่ในตอนที่ปานตะวันกำลังจะเดินเข้าห้องนั้นเอง เสียงของน้าสาวก็ทำให้มือที่กำลังจะบิดลูกบิดประตูชะงัก
   
           “จริงสิ คือว่า...”
   
           “ครับ?”
   
            ถ้าเขาไม่ได้ตาฝาด ปานตะวันก็แน่ใจว่าตัวเองเห็นร่องรอยของความไม่สบายใจและความกังวลปรากฏในดวงตาของหญิงสาวตรงหน้าแต่เพียงแวบเดียวมันก็เลือนหายไป
   
            “ไม่มีอะไรหรอกจ้ะ”
   
            “แน่ใจนะครับ”
   
            “แน่ใจจ้ะ ตะวันนอนเถอะ พรุ่งนี้ยังมีเรื่องให้จัดการอีกเยอะ เดี๋ยวน้าจะกลับแล้ว ฝากดูบ้านด้วยนะจ๊ะ แล้วจะมาใหม่พรุ่งนี้ คือ...มีเรื่องที่น้าต้องบอกตะวันด้วยแต่ไว้บอกพรุ่งนี้ก็แล้วกัน”
   
            “ครับ?” คิ้วเรียวเลิกขึ้นน้อยๆแต่เมื่อเห็นหญิงสาวทำท่าไม่อยากพูดเขาจึงตามใจเธอ “ไปเถอะครับ น้าสายหยุดไม่ต้องห่วง”
   
            ตึง! โครม!
   
            แต่ยังไม่ทันได้เดินเข้าห้อง เสียงโครมครามเหมือนมีอะไรตกก็ทำให้ชายหนุ่มสะดุ้ง รีบมองไปรอบๆ อย่างตกใจ
   
            “เมื่อกี้...เสียงอะไรน่ะครับ”
   
            คนตัวเล็กเสียงสั่น ปานตะวันไม่กลัวอะไรก็จริงแต่มีสิ่งเดียวที่เขาไม่คิดสู้...ก็คือผี...ไม่สิ ทุกสิ่งที่ขึ้นชื่อว่าเป็นสิ่งลี้ลับนั่นแหละ
   
            “อ๋อ คงเป็นหนูน่ะ สงสัยสามีน้าจะไล่จับหนูในครัวอีกแล้ว เดี๋ยวน้าจะเดินไปดูนะจ๊ะ”
   
           หนู...เออ ภาวนาให้มันเป็นหนูจริงแล้วกัน
   
           เสียงตึงตังโครมครามยังดังไม่หยุดจนน่ากลัวว่าจะมีคนมาเคาะประตูบ้านด่า ดวงตากลมสีดำหรี่ลงเล็กน้อยก่อนที่มือบางจะคว้ากระเป๋าสะพายแล้วผลุบหายเข้าห้องนอนไปโดยไม่บอกฝันดีกับคุณน้าอีกเลย
   
            ปานตะวันวางกระเป๋าก่อนกระโดดผลุงขึ้นเตียง เสียงโครมครามเงียบไปสักพักแล้ว ก่อนจะดังขึ้นมาใหม่ แน่ใจว่าไม่ใช่หนูแน่ๆ...ถ้าเป็นหนูก็คงมีเป็นกองทัพ จากตอนแรกที่คิดว่าจะไปอาบน้ำคนตัวเล็กก็ตัดสินใจว่าจะปล่อยไป อาบพรุ่งนี้เช้าก็ได้ไม่ว่ากัน
   
           ก็เขาไม่อยากเดินออกไปห้องน้ำตอนนี้นี่นา น่ากลัวจะตายชัก!
   
           ชายหนุ่มเปิดหน้าต่างห้องออกก่อนจะคว้าเอายาสีฟันมาบีบใส่แปรง โชคดีที่ในกระเป๋าเขามีน้ำอยู่หนึ่งขวดทำให้ไม่ต้องเดินออกไปนอกห้อง ตอนที่แปรงฟันอยู่เขาก็เห็นแสงไฟจากรถยนต์สว่างขึ้นพร้อมกับเสียงรถแล่นออกไป คุณน้าสายหยุดกับสามีคงกลับไปแล้ว 

          หลังจากแปรงฟันเสร็จก็เปลี่ยนชุดแล้วรีบขึ้นมาสวดมนต์ไหว้พระ  แต่ขึ้นอะระหังไปได้แค่คำเดียวก็ต้องหยุดชะงักอีกหน ครั้งนี้ไม่ใช่เสียงโครมครามแต่เป็นเสียงกุกกักเหมือนมีคนเดินอยู่ในบ้าน บ้านหลังนี้สร้างจากไม้ ดังนั้นเวลาเดินถ้าลงฝีเท้าก็จะได้ยินชัดเจน

         เอี๊ยด

         นั่นไง เสียงเหมือนคนเดินจริงด้วย!

         ปานตะวันปากคอสั่น สวดมนต์ก็สวดไม่จบ ตัดสินใจกราบหมอนแล้วล้มตัวลงนอน ไฟก็เปิดเอาไว้อย่างนั้นแหละ

          น้าสายหยุดกลับไปแล้ว...เป็นไปไม่ได้ที่จะมีคนเดินในบ้าน เพราะที่นี่มีแต่เขา!

          หรือจะเป็นแค่ไม้กระดานลั่นกันนะ...เอาไงดี ออกไปดูดีไหม จะได้ถือโอกาสตรวจสอบด้วยว่าคุณน้าเขาล็อกประตูแน่นหนาดีหรือเปล่า

          เอี๊ยด

         เสียงไม้กระดานลั่นอีกหนทำให้คนกลัวผีแทบจะร้องไห้ ปานตะวันนึกด่าตัวเองที่ไม่ยอมกราบอ้อนวอนไอ้กันต์เพื่อนรักให้มานอนค้างด้วยกัน

         ตอนนี้สติของเขาก้ำกึ่งอยู่ระหว่าง ‘ออกไปดู’ กับ ‘ช่างแม่งแล้วหลับซะ’

         ปานตะวันนับหนึ่งถึงสิบ เขายังคงได้ยินเหมือนมีคนเดินประกอบกับเสียงลมที่ตีหน้าต่างดังตึงๆ เบาๆ ชวนให้ขวัญบินมากกว่าเดิมอีก ใจนึงก็อยากลุกออกไปดูให้แน่ๆ แต่อีกใจก็บอกว่าช่างมันเถอะ อย่าไปสอดรู้สอดเห็นจะดีที่สุด

          จะว่าไปพวกตัวละครในหนังผีส่วนใหญ่มันจะมีคนหนึ่งที่ตายเพราะความขี้สงสัยของตัวเอง ปานตะวันหลังตาปี๋ ตัดสินใจได้ในนาทีนั้น

         โบราณว่าได้ยินเสียงประหลาดตอนกลางคืนห้ามทักเพราะงั้น...ราตรีสวัสดิ์ก็แล้วกัน

          คนตัวเล็กเอาผ้าห่มขึ้นคลุมโปงแต่ทำยังไงก็นอนไม่หลับเพราะเสียงกุกกักข้างนอกยังดังอยู่อย่างต่อเนื่องจนเป็นเขาเองที่ทนไม่ไหว

         “โว้ย อะไรกันนักหนาวะ!” ปานตะวันคำราม กระเด้งตัวลุกขึ้นมาหลังจากที่เสียงแปลกประหลาดยังดังอยู่เป็นระยะ ชายหนุ่มสะบัดผ้าห่มออก ไม่สนแล้วว่าสิ่งที่อยู่ข้างนอกจะเป็นคน เป็นผี เป็นแมว หมา กา ไก่ หรือแม้แต่ขโมย! ถ้าเป็นขโมยเขาจะจับส่งตำรวจซะ ข้อหาบุกรุกและรบกวนเวลานอน!

          ปานตะวันเป็นคนอารมณ์ดี แต่เวลาที่เขาจะหงุดหงิดมากที่สุดคือตอนที่ง่วงนอนแล้วก็ตอนหิว พอโมโหแล้วก็อยากจะเหวี่ยง อยากจะพาลมันไปซะทุกเรื่อง แล้วก็อยากจะเอาข้าวสารเสกมาสาดใส่ไอ้ตัวที่เดินไปเดินมาอยู่ข้างนอกด้วย อย่าให้จับได้นะ พ่อจะด่าให้หาทางออกจากบ้านไม่ถูกเลย!

         เพราะความโกรธทำให้ความกลัวลดไปกว่าครึ่ง ปานตะวันเลยกล้าหยิบไฟฉายออกจากกระเป๋า มือหนึ่งถือไฟฉาย มือหนึ่งถือโทรศัพท์เดินออกจาห้องนอน ไฟตรงหน้าห้องเขาและหน้าห้องน้ำถูกเปิดไว้ทำให้เห็นภายในบ้านได้รางๆ เสียงลมหวีดหวิวนอกหน้าต่างพร้อมกับกลิ่นไอของดินและสายฝนถูกหอบเข้ามาทำให้รู้ว่าอีกไม่นานฝนคงจะตก

         ปานตะวันกัดริมฝีปาก สืบเท้าไปข้างหน้าช้าๆ พยายามไม่ให้เกิดเสียง

          แกรก

         ชายหนุ่มสะดุ้งจนเกือบทำไฟฉายหล่น ก่อนจะถอนหายใจออกมาเมื่อพบว่าเสียงนั้นเป็นแค่เสียงกิ่งไม้ที่กระทบหน้าต่างเท่านั้น

         “คิดมากไปเองสินะ บ้าชะมัด”

         ถึงจะพูดแบบนั้นแต่คนตัวเล็กก็ยังเดินออกไปที่ประตู ปานตะวันยืนนิ่งอยู่ครู่หนึ่งก่อนตัดสินใจเปิดประตูแล้วยื่นหน้าออกไปสำรวจบริเวณชานบ้าน เมื่อเห็นว่าไม่มีอะไรผิดปกติจึงถอยหลังกลับเข้าบ้าน แต่แล้วทันใดนั้นเองร่างเล็กก็รู้สึกได้ถึงแรงกระแทกอย่างแรงที่ด้านหลังทำเอาเขาเซไปข้างหน้า สะดุดขาล้มไปจูบพื้น

         “เฮ้ย อะไรวะ!”

          ปานตะวันรู้สึกได้ว่ามีบางสิ่งแทรกตัวออกมานอกบ้านก่อนวิ่งลงบันไดหายไปอย่างรวดเร็ว ชายหนุ่มเบิกตาโพลง วิ่งกระแทกเขาแบบนี้ได้...ไม่ใช่ผี ไม่ใช่หนู ไม่ใช่หมาแมวแล้ว

          ขโมย!

          ปานตะวันรีบวิ่งตามร่างนั้นไปทันที ไม่อยากให้อีกฝ่ายหนีหายไปได้ แม้จะมองเห็นไม่ค่อยชัดเพราะมันมืดแต่ก็ยังได้ยินเสียงฝีเท้าอยู่ เขาไล่ตามเจ้าหัวขโมยนั่นไปจนถึงประตูรั้ว  ตอนนั้นเองที่ไฟถนนริมทางเดินส่องให้เห็นร่างสูงใหญ่ที่ยืนอยู่หน้าประตูรั้วบ้าน

         ไวเท่าความคิด ไฟฉายกระบอกใหญ่ในมือถูกเขวี้ยงออกไปทันทีแถมยังกระแทกเข้ากลางหัวของร่างที่หน้าประตูได้อย่างแม่นยำสมฉายาปานตะวันนักยิงหนังสติ๊กประจำซอย

         “โอ๊ย”

         เสียงร้องที่ดังขึ้นทุ้มต่ำ ยิ่งวิ่งเข้าใกล้ยิ่งเห็นถึงโครงร่างสูงใหญ่ของอีกฝ่าย มองปราดเดียวก็รู้ว่าเป็นผู้ชาย

          ปานตะวันรีบพุ่งเข้าล็อกอีกฝ่ายจากด้านหลัง หัวขโมยนี่สูงกว่าเขามาก ถึงกับต้องเขย่งกันจนเท้าแทบลอยถึงสามารถล็อกคออีกฝ่ายได้

         “แค่ก เฮ้ย ปล่อย เล่นอะไรเนี่ย!”

         “จะไปโรงพักกับดีๆ หรือจะไปด้วยน้ำตา! โดนซ้อมสักทีก่อนไหมถึงจะยอมมอบตัว หา!”

         “แค่ก...บอกให้ปล่อยไงวะ!”

         “กล้ามากนะที่เข้ามาขโมยของในบ้าน โง่จริงๆ คิดว่าคนเขาจะไม่ได้ยินอะไรเลยเหรอ”
   
         ปานตะวันตะคอก  แต่แล้วในตอนนั้นเองที่เขาได้ยินเสียงสบถก่อนที่หัวขโมยตัวใหญ่จะกระแทกส้นเข้าที่หลังเท้าเขาเต็มแรงแถมยังจงใจขยี้เท้าให้ปานตะวันเจ็บจนน้ำตาแทบร่วง จังหวะนั้นเองที่เขาเผลอปล่อยมือจากหัวขโมย เป็นเหตุให้มันหันกลับมาซัดหมัดหนักๆ เข้าเต็มๆ ที่แก้ม

        “โอ๊ย”

        รสคาวเลือดกระจายเต็มปาก ปานตะวันถลึงตาใส่ร่างสูงใหญ่ปานหมีที่ทำหน้าถมึงทึงไม่แพ้กันอย่างเอาเรื่อง เขาทำท่าจะพุ่งไปชกร่างสูงอีกรอบหากแต่คราวนี้กลับถูกคว้าคอเสื้อทุ่มลงบนพื้นอย่างไร้ความปราณี ปานตะวันร้องออกมาอีกหนเมื่อถูกจับพลิกคว่ำ มือแข็งแรงราวคีมเหล็กจับแขนเขาบิดไพล่ไปด้านหลังก่อนที่ร่างของหัวขโมยตัวโตจะตรึงเขาไว้ได้ในที่สุด
คนตัวเล็กกลืนน้ำลาย ตอนนี้เขาแพ้แล้ว...แล้ว...แล้วจะถูกฆ่าปิดปากไหมวะ!

        ปานตะวันหลับตาปี๋ หัวใจเต้นแรงจนแทบจะกระดอนออกมานอกอก แต่เมื่อผ่านไปสองสามนาทีก็ไม่ยักมีอะไรเกิดขึ้น จนกระทั่งเสียงทุ้มของคนที่ตรึงเขาอยู่ดังขึ้นทำลายความเงียบ

(มีต่อค่ะ)

ออฟไลน์ snowrabbit

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 264
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +219/-6
      “หายบ้าหรือยัง”

       ประโยคสั้นๆ แต่ทำเอาเส้นประสาทของคนตัวเล็กลั่นเปรี๊ยะ

       “มึงว่าใครเป็นบ้าวะ”

       “ขึ้นมึงขึ้นกูแถมตะคอกใส่คนที่เพิ่งเคยเจอหน้ากันครั้งแรกแบบนี้...ไม่น่ารักเลย ที่บ้านสั่งสอนมายังไง”

       น้ำเสียงเรียบๆ กับถ้อยประโยคที่เสียดลึกในอกทำให้ความโกรธของชายหนุ่มร่างเล็กปะทุเหมือนภูเขาไฟระเบิด

       “เออ ที่บ้านไม่สั่งสอน ทำไม มีปัญหา? แล้วคนที่แอบเข้ามาขโมยของบ้านคนอื่นเนี่ยมารยาทดีนักหรือไง”

        “ขโมยของอะไรของนาย เห็นตะโกนปาวๆ มาตั้งแต่เมื่อกี้แล้ว”

        “ก็แกไม่ใช่เรอะที่แอบเข้ามาในบ้านแล้วก็ทำเสียงดังตึงตังๆ น่ะ โธ่ อยากจะเป็นขโมยก็ไปหัดวิชาย่องเบามาก่อนไป”

       ชายด้านบนถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย ในที่สุดก็ปะติดปะต่อเรื่องราวทั้งหมดได้ ร่างสูงลุกขึ้นก่อนจะปล่อยปานตะวันให้เป็นอิสระ คนตัวเล็กรีบลุกขึ้นทันที เส้นผมสีน้ำตาลสว่างยุ่งเหยิง ดวงตากลมสีนิลวาววับจ้องเขาอย่างเอาเรื่องแต่กระนั้นไอ้ท่าทางที่กระโดดหนีไปตั้งหลักซะไกลเหมือนลูกแมวขี้ระแวงมันก็ชวนให้ชายหนุ่มเกิดความรู้สึกอยากหัวเราะออกมาดังๆ

         นึกว่าจะแน่...ที่แท้ก็เด็กอวดเก่งนี่เอง

       “นี่ถามจริงๆ เถอะ ถ้าฉันเป็นขโมยจริงนายคิดว่าฉันจะยืนเฉยๆ อยู่หน้าบ้านให้จับได้งั้นเหรอ แล้วคิดว่าฉันจะยืนเฉยๆ โดยไม่หยิบอาวุธออกมาตีนายให้สลบหรือไม่ก็ฆ่าปิดปากไปซะ จะได้จบๆ ไป”

        ร่างตรงหน้าสะดุ้ง ทำท่าเหมือนเพิ่งนึกขึ้นได้ แต่กระนั้นก็ยังย่นจมูกใส่เขา ท่าทางไม่ยอมแพ้

        “แล้ว...แล้วมายืนหน้าบ้านคนอื่นตอนดึกดื่นทำไม มันน่าสงสัย!”

        “แล้วทำไมฉันจะยืนไม่ได้ในเมื่อฉันก็มาแบบนี้ของฉันทุกวัน นายนั่นแหละเป็นใคร”

        “ผมชื่อปานตะวัน เป็นน้องชายของพี่จันทร์”

        เขาเลิกคิ้วเล็กน้อย พิจารณาชายหนุ่มตรงหน้าให้ละเอียดขึ้น จริงด้วย โครงหน้าคล้ายจันทร์อยู่บ้าง ชายหนุ่มที่ชื่อปานตะวันสูงถึงแค่อกเขา เส้นผมสีน้ำตาลล้อมกรอบใบหน้า ดวงตากลมโตสีดำสนิท จมูกโด่งเล็กเชิดรั้น เป็นผู้ชายที่หน้าสวยไม่น้อยเลยทีเดียว...ขัดกับท่าทางห้าวๆ ที่เจ้าตัวแสดงออกเป็นที่สุด ดูอายุอานามแล้วก็คงจะเพิ่งยี่สิบต้นๆ อาจจะสักยี่สิบเอ็ดปี เขาเคยได้ยินจันทร์จ้าวเล่าว่าน้องชายเธอยังเรียนมหาวิทยาลัยอยู่

        “ฉันชื่อราเมศ เป็นเพื่อนบ้านแล้วก็เป็นเพื่อนสนิทกับจันทร์จ้าวพี่สาวของนายด้วยเรียกฉันว่าพี่เมศก็ได้”
 
       “พี่เมศเนี่ยนะ”

        ปานตะวันทำหน้าไม่อยากเชื่อและตอนนั้นเองที่ราเมศตัดสินใจว่าคนตรงหน้าเขานี่มันเด็กแสบดีๆ นี่เอง เขาเรียกอะไรนะ...พวกโตแต่ตัวใช่ไหม

        “คุณเป็นอะไรกับพี่จันทร์ แล้วมาทำอะไรหน้าบ้านผม”

       “ก็บอกว่าเป็นเพื่อนสนิท ส่วนที่ว่าฉันมาทำอะไรหน้าบ้านนาย...เพราะว่าหนูเจียโทรมาหาบอกว่ามีคนแปลกหน้ามาอยู่ในบ้านฉันก็เลยรีบมา นึกว่าขโมย ขอโทษที่ทำให้เข้าใจผิด”

       “หนูเจีย?” ปานตะวันมองเขาอย่างงุนงง “หนูเจียคือใคร?”

       ชายหนุ่มร่างสูงยังไม่ทันได้ตอบอะไร ปานตะวันก็สังเกตเห็นบางสิ่งค่อยๆ ขยับออกจากมุมมืด เดินเตาะแตะมาทางพวกเขา

       “น้าเมศ”

        เจ้าของเสียงสั่นๆ นั้นเป็นเด็กชายคนหนึ่ง ดูแล้วอายุคงประมาณ 3-4 ขวบ ผิวขาว แก้มป่องตึงใส ดวงตากลมโตสีดำสนิท เส้นผมสีดำยาวระต้นคอ โครงหน้าติดจะหวานและดูคุ้นตาอย่างประหลาด  พอเด็กคนนั้นเห็นเขาเจ้าตัวก็ยืนนิ่งก่อนจะเบือนหน้าหนี ขยับไปแอบหลังราเมศ

        ปานตะวันหรี่ตามองชายหนุ่มที่พอยืนจ้องอย่างตั้งใจแล้วก็พบว่าเป็นผู้ชายที่ดูดีไม่น้อย แต่ไม่ได้ดูดีแบบฝรั่งหรือเกาหลี ราเมศเป็นชายหนุ่มที่หล่อคมแบบไทยแท้ ผิวออกเป็นสีแทน ตาคมดุ คิ้วเข้ม  จมูกโด่ง ทุกองค์ประกอบของเครื่องหน้านั้นปานตะวันมองปราดเดียวก็สรุปออกมาได้เป็นคำสั้นๆ ว่า ‘มันหล่อ’ ไม่หล่อธรรมดาแต่ยังหุ่นดีจนน่าอิจฉา ผิดกับเขาที่เตี้ยจนยืดไม่ขึ้น กินนมแทนข้าวก็ไม่สูง

        ราเมศคลี่ยิ้มเอ็นดูให้เด็กน้อยคนนั้นก่อนจะช้อนตัวอุ้มขึ้นมา หันมาประจันหน้ากับเขาพลันรอยยิ้มดูดีเมื่อครู่ก็เลือนหายไปเมื่อเห็นเขามองเด็กคนนั้นอย่างงุนงง “นั่นลูกคุณเหรอ”

       “ไม่ใช่....แต่คนที่ทำเสียงตึงตังในบ้านนายคงเป็นเด็กคนนี้”

       “คุณแน่ใจได้ยังไง”

       คิ้วเข้มเลิกขึ้น ดวงตาคมฉายแววไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัด ปานตะวันรีบเสหลบ เผลอไขว่มือไว้ด้านหลัง เป็นท่าทางที่ทำประจำเวลาเจ้าตัวรู้สึกว่าตัวเองทำอะไรผิดไป แต่หนนี้เขาก็ไม่รู้ว่าตัวเองทำอะไรผิดไป...

       “นายไม่รู้จักเด็กคนนี้?” น้ำเสียงฉุนเฉียวนั้นทำเอาคนตัวเล็กสะดุ้ง

       “ก็...ก็จะรู้ได้ยังไงล่ะ ลูกคุณ หลานคุณ ผมไม่รู้จักด้วยซะหน่อย”

        “ให้ตาย ฉันอยากจะบ้า เหอะ”

        ราเมศแค่นเสียงหัวเราะ “สาบานสิว่านายไม่รู้เรื่องนี้จริงๆ ทั้งที่เป็นน้องชายของจันทร์เนี่ยนะ”

        ปานตะวันสะอึก เขาส่ายหัว ได้ยินเสียงถอนหายใจหนักๆอีกหน พอเงยหน้าก็พบกับสาตาที่เขาเกลียดแสนเกลียด...สายตาที่มองมาอย่างผิดหวัง ไม่พอใจ เหนื่อยหน่ายและ..ตำหนิ

        อะไรกันล่ะ เขาไม่รู้เรื่องอะไรด้วยสักหน่อย อีกฝ่ายพูดเหมือนกับว่าเด็กคนนี้เกี่ยวข้องกับพี่...แต่เขาก็ไม่ได้เจอหน้าพี่มานานแล้ว ส่งหากันแต่อีเมล  แชท แล้วก็มีโทรคุยกันบ้างเท่านั้น

         เดี๋ยวก่อนนะ...ถ้าเด็กคนนี้เกี่ยวข้องกับพี่...หรือว่า

         พอเห็นดวงตากลมโตเบิกกว้างอย่างตระหนก ราเมศก็เผยยิ้มหยันออกมา นึกระอาชายหนุ่มตรงหน้าไม่น้อย ดูใช้ไม่ได้อย่างที่คิดไว้จริงๆด้วย ไม่เห็นจะเหมือนที่จันทร์อวดไว้เลยสักนิด เนี่ยนะหรือครอบครัวที่เธอรักมาก น้องชายที่ไม่คิดแม้แต่จะมาเหลียวแลเธอ น้องชายที่ไม่เคยรู้อะไรเกี่ยวกับเธอเลยเนี่ยนะ

         น้ำเสียงทุ้มเอื้อนเอ่ยประโยคที่ทำให้ปานตะวันตัวชา ตกใจจนทำอะไรไม่ถูก

         “เด็กคนนี้ชื่อเจียหลิน เป็นลูกชายแท้ๆของจันทร์จ้าว...แล้วก็เป็นหลานชายของนาย”

         กึก

         สองเท้าพลันก้าวเท้าถอยหลัง ปานตะวันจ้องหน้าราเมศอย่างตกใจ ความจริงที่ถูกกระแทกกลางแสกหน้าทำให้เขาตกใจจนคิดอะไรไม่ออกนอกจากคำที่ว่าเรื่องทั้งหมดนี่มันไม่จริง หรือว่านี่คือสาเหตุที่น้าสายหยุดมีท่าทีอึดอัดใจ เหมือนกับมีอะไรจะบอกเขาแต่ก็ไม่กล้า

        “ไม่จริง”

        “จริง”

        “ไม่...ก็พี่...พี่ไม่เห็นเคยบอก”
   
        ตลอดเวลาที่ติดต่อกันไม่เคยมีสักครั้งที่พี่จะเล่าเรื่องเด็กคนนี้ให้ฟัง
   
        “ถ้านายไม่เชื่อก็ลองไปดูในบ้านสิ มีใบสูติบัตรของเด็กคนนี้อยู่ ฉันเองก็ยืนยันได้ ฉันเห็นจันทร์มาตั้งแต่ตอนท้อง ไปเยี่ยมเธอหลังคลอดด้วยซ้ำ” คำพูดของราเมศคล้ายจะบอกว่า ขนาดเขาที่เป็นคนนอกยังรู้เรื่องแล้วปานตะวันที่เป็นครอบครัวแท้ๆ ทำไมถึงได้ไม่รู้อะไรเลย
   
        “จันทร์เลี้ยงลูกมาด้วยตัวคนเดียว ฉันยังสงสัยเลยว่าครอบครัวของเธอหายไปไหนกันหมด”
   
         ดวงตากลมของปานตะวันเลื่อนมาสบกับดวงตาของเด็กน้องที่กำลังแอบมองเขาอยู่เช่นกัน ใบหน้าของเจียหลินมีแววของความหวาดกลัว พอเห็นเขามองอีกฝ่ายก็เบือนหน้าหนี หันไปซุกอกราเมศ ปานตะวันที่เห็นดังนั้นก็รีบเดินกลับเข้าไปในบ้าน ไม่ว่ายังไงเขาก็ทำใจให้เชื่อไม่ได้ว่าเด็กคนนั้นเป็นหลานของเขา!
   
        ลิ้นชักที่เก็บเอกสารถูกกระชากออก ข้าวของถูกรื้อออกมา ปานตะวันค้นไปจนถึงก้นลิ้นชักจนเจอแผ่นกระดาษที่เขาตามหา นัยน์ตาสีนิลกวาดอ่านอย่างรวดเร็วก่อนที่ใบสูติบัตรจะถูกปล่อยลงพื้นเพราะคนถือไม่มีแม้แต่เรี่ยวแรงจะทรงตัว
   
        แค่กลับมาบ้านนี้แค่ครั้งเดียว ทุกอย่างก็พลิกคว่ำพลิกหงายถึงเพียงนี้เชียวหรือ
   
        “ทีนี้เชื่อหรือยัง”
   
         ราเมศมองปานตะวันที่หน้าซีดเผือดแล้วก็ให้นึกหงุดหงิด เด็กคนนี้ทำเหมือนไม่อยากยอมรับความจริง...เท่ากับว่าไม่อยากยอมรับเจียหลิน  ชายหนุ่มขมวดคิ้วรีบสลัดความคิดแง่ลบทิ้งไป อาจเป็นเขาที่คิดมากไปเอง ปานตะวันอาจแค่ตั้งตัวไม่ทัน...
   
        “แล้ว...แล้วพ่อของเด็กคนนี้ล่ะ”
   
        “เสียไปแล้ว...สองปีก่อน”
   
        หึ ปานตะวันไม่รู้ด้วยซ้ำว่าพี่สาวตัวเองมีสามี แม้จะไม่ได้แต่งงานแต่ก็จดทะเบียนกันถูกต้องตามกฎหมาย ชายหนุ่มมองร่างเล็กตรงหน้าอย่างฉงน เขารู้เรื่องปานตะวันมาจากจันทร์บ้าง หญิงสาวเคยบอกเขาว่าน้องชายตัวเองเป็นคนน่ารัก ใจกว้าง อบอุ่น เป็นเด็กที่ใครเห็นก็หลงรัก เป็นคนที่มีรอยยิ้มสวยและเจิดจ้าเหมือนดวงตะวัน แต่เด็กตรงหน้าเขานั้นดูตรงข้ามกับคำบอกเล่าของจันทร์จ้าวอย่างที่สุด
   
        บางทีปานตะวันที่จันทร์จ้าวรู้จักอาจจะหายไปแล้วก็ได้
   
        “แล้วผม...ผมจะทำยังไง...ในเมื่อตอนนี้ผม...” ปานตะวันชะงักก่อนจะกล่าวต่อ “ผมจะดูแลเด็กคนนี้ได้ยังไง” เขาไม่ได้อยากได้ภาระอะไรมาแบกไว้ตอนนี้ ชายหนุ่มไม่เคยเลี้ยงเด็กมาก่อนและไม่แน่ใจว่าเลี้ยงได้  ตอนนี้ปานตะวันก็มีปัญหาแบกอยู่เต็มบ่า...ไม่มีใครหาทางออกให้เขาได้เลยสักคน แล้วตอนนี้ยังมีเจียหลินเข้ามาให้เขาปวดหัวเพิ่มอีก 

         ปานตะวันไม่มีปัญญาเลี้ยงเด็กคนนี้ได้เลย ถ้าคิดจะพาเด็กคนนี้เข้าบ้านเขาเชื่อว่าแม่ต้องไม่ยอมอย่างแน่นอน
   
         เพราะแม่เกลียดพี่สาวของเขาจนเข้ากระดูกดำ
   
         “ถึงไม่อยากทำนายก็ต้องทำ”
   
        “ญาติคนอื่นล่ะ”
   
        “ญาติที่จันทร์จ้าวไว้ใจที่สุดก็มีแต่นาย เธอยกบ้านหลังนี้และทรัพย์สินในบ้านให้นายรวมถึงฝากลูกชายที่เธอรักที่สุดให้กับคนที่เธอเชื่อว่าจะดูแลได้ แต่นายจะผลักภาระทั้งหมดออกไปอย่างนั้นเหรอ” ราเมศมองปานตะวันอย่างประเมิน  ”ฉันเข้าใจนะว่าเรื่องทั้งหมดมันทำใจยาก แต่นายก็ไม่ควรแสดงท่าทีเหมือนไม่ต้องการเด็กคนนี้ออกมาโจ่งแจ้งแบบนี้”
   
         คำพูดนั้นเหมือนกับฝ่ามือที่ตบเขาจนหน้าหัน ปานตะวันอับอาย...ที่ถูกมองออกจนทะลุปรุโปร่ง
   
         “นายไม่ควรแสดงว่าเขาเป็นภาระ”
   
         “ผม...” เปล่า...อย่างนั้นหรือ? จะปฏิเสธก็ไม่กล้าในเมื่อเมื่อกี้เขาเองก็เผลอคิดไปว่าเจียหลินคือภาระ
   
        “เงยหน้าขึ้นแล้วมองเจียหลินสิ มองหลานชายแท้ๆ ของนาย”
   
         ปานตะวันไม่ได้เงยหน้า เขาไม่อยากแสดงสีหน้าสับสนของเขาให้ผู้ชายแปลกหน้าคนนั้นเห็น ใจหนึ่งปานตะวันก็อยากจะโกรธ อยากจะอาละวาด อีกฝ่ายเป็นใคร กล้าดียังไงมาสั่งสอนเขาทั้งที่เพิ่งเจอหน้ากันแค่วันเดียว ทำไมถึงเอาแต่ยัดเยียดภาระให้เขา แต่ถ้าหากลดทิฐิลงแล้วมองตามความจริงปานตะวันก็พบว่าราเมศพูดถูกทุกอย่าง
   
         อีกฝ่ายเป็นผู้ใหญ่กว่าเขา ถ้าราเมศอายุเท่ากับพี่จันทร์ก็แปลว่าอีกฝ่ายห่างกับเขาถึงห้าปี คำที่พูดออกมาคือคำของผู้ใหญ่ที่เห็นโลกมามากกว่า
   
         ร่างสูงของราเมศก้าวมาประชิด อีกฝ่ายปล่อให้เจียหลินลงยืนที่พื้นก่อนจะก้มหน้ามามองเขาด้วยสายตาดุๆ
   
         “ไม่ว่าจะยังไงเด็กคนนี้ก็เป็นหลานของนายปานตะวัน...นั่นคือสิ่งที่ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง”
   
         น้ำเสียงนั้นเรียบนิ่งหากแต่ปานตะวันกลับรู้สึกว่ามันแฝงแววของความโกรธเจืออยู่ในนั้น วันนี้มีแต่เรื่องที่เขาไม่เข้าใจเลยสักนิด

         ได้รับโทรศัพท์ว่าพี่สาวเสียชีวิต กลับมาบ้านที่จากไปนานเป็นสิบปีเพื่อพบว่าตัวเองได้รับมรดกเป็นบ้าน ที่ดินและหลานชายหนึ่งคน ชีวิตนี้จะมีอะไรทำให้เขาแปลกใจได้มากกว่านี้อีกไหม

         เขากับราเมศยืนจ้องตากันด้วยท่าทางไม่ยอมแพ้ แต่ก่อนที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะได้วางมวยกันเสียงเล็กๆ ก็ดังขัดขึ้นเสียก่อน

         “น้าเมศ”

         ทั้งปานตะวันและราเมศหันไปมองเด็กน้อยตัวเล็กที่ถูกลืมไปแทบจะพร้อมกัน เจียหลินก้มหน้างุด มือกำชายเสื้อราเมศไว้แน่น

         “หนูเจียง่วงแล้ว”

        “โอ๊ะ จริงด้วย ดึกป่านนี้แล้ว งั้นน้าเมศพาหนูเจียเข้านอนดีไหมครับ”
 
         ชายหนุ่มผมน้ำตาลมองผู้ชายใจยักษ์ที่แทบจะกินหัวเข้าเมื่อครู่อย่างไม่เชื่อสายตา

         ไอ้โหมดคุณพ่อนี้มันลงประทับมาตั้งแต่ตอนไหน!

         เจียหลินเหลือบมองปานตะวันแวบหนึ่งก่อนจะเริ่มเบะปาก  เบียดตัวเข้าหาราเมศ  “น้าเมศ อย่าทิ้งหนูเจีย หนูเจียกลัว”

         “ชู่ว์ ไม่ต้องกลัวนะครับ นี่น้าตะวัน เป็นน้องชายคุณแม่จันทร์ไง เป็นน้าชายแท้ๆ ของหนูเจียไงครับ”

          ไม่รู้คิดไปเองหรือเปล่าแต่ราเมศดูจะย้ำคำว่าน้าชายแท้ๆ เหลือเกิน ปานตะวันหน้างอ มองเจียหลินที่ทำท่ากลัวเขาแล้วก็ยิ่งหงุดหงิด ไม่รู้จะกลัวอะไรนักหนา ชายหนุ่มตัดสินใจพูดขึ้นอย่างน้อยก็แนะนำตัวก่อนก็ได้ จะได้ลดความห่างเหิน

         “ฉันปานตะวัน เรียกน้าตะวันก็ได้ ยังไงก็เป็นน้าชายของเธอนี่นะ ชื่ออะไร เจียหลินใช่ไหม”

          แต่แทนที่เด็กคนนั้นจะตอบรับ อีกฝ่ายกลับเบะปาก ดวงตากลมค่อยๆแดงก่ำก่อนที่หยดน้ำใสจะกลิ้งตัวผ่านแก้มป่อง
แล้วหลังจากนั้นเสียงร้องไห้จ้าก็แผดดังไปทั่วเรือนไทย

          “ฮึก...ฮือออ ไม่เอา หนูเจีย..ฮึก..ไม่เอาคนแปลกหน้า...ฮือ...แม่จันทร์ แม่จันทร์จ๋า หนูเจียกลัว มีแต่คนแปลกหน้าฮือออ” เจียหลินร้องไห้ เด็กตัวกลมตะกายซุกเข้าหาราเมศทำเอาคนเป็นหน้าแท้ๆ ถึงกับทำอะไรไม่ถูก

          “แม่จันทร์อยู่ที่ไหน ฮือออ”

          “ชู่ว์ เจีย...หนูเจีย...เงียบก่อนครับ”

          “ใช่ๆ เงียบก่อนนะ เดี๋ยวแม่จันทร์ไม่รักนะ”

          พอปานตะวันหลุดประโยคนั้นออกไปเสียงร้องไห้ก็แผดดังกว่าเดิม ราเมศถลึงตาใส่เขา คำรามลอดไรฟัน

          “นายมีจิตวิทยาในการพูดกับเด็กไหมฮะ!”

          “ไม่มี! เรียนนิเทศมาไม่ได้เรียนด้านจิตวิทยา!”

          “ประสาท”

          “อย่ามาว่าผมนะ ทำให้เด็กหยุดร้องที แสบแก้วหูจะแย่แล้ว”

          นัยน์ตาสีนิลถลึงใส่เขาก่อนที่ราเมศจะก้มลงกระซิบอะไรบางอย่างข้างหูเจียหลิน พลางลูบแผ่นหลังเล็กๆ นั้นไปด้วย ปลอบกันอยู่นานกว่าเสียงร้องจะเงียบหายไป

         ปานตะวันถอนหายใจอย่างโล่งอก ส่วนเจียหลินหลังจากร้องไห้จนเหนื่อยก็ค่อยๆ ผล็อยหลับคาอกราเมศไป

         “ฉันพอเดาได้นะว่านายเกลียดเด็ก แต่ไม่คิดว่าจะเป็นหนักขนาดนี้ ขืนปล่อยให้นายดูหนูเจียคืนนี้หนูเจียได้ร้องไห้ทั้งคืนแน่”

         “ถ้าเป็นห่วงขนาดนั้นคืนนี้ก็เอาไปกล่อมนอนเองเลยสิ”

         สาบานได้ว่าที่พูดน่ะประชด แต่ไอ้คนตัวยักษ์นั่นดันทำหน้าเหมือนเขาไปชี้ทางสว่างอะไรให้ ก่อนที่รอยยิ้มแปลกประหลาดจะผุดขึ้นที่ริมฝีปากของอีกฝ่ายแล้วเลือนหายไปอย่างรวดเร็ว

         “ดี...งั้นคืนนี้ฉันจะคอยนอนเฝ้าหนูเจียที่นี่เอง”

         “ฮะ!?”

         “ได้ยินแล้วนี้ คืนนี้ฉันจะค้างที่นี่ และนายก็ต้องมานอนกับหนูเจียด้วย”

         “ทำไมล่ะ ในเมื่อคุณก็อยู่!”

         “แต่นายเป็นน้า นายต้องหัดเอาไว้”

         เขาไม่ได้อยากเป็นสักหน่อย อย่ามายัดเยียดนะ!

         แต่ถึงจะทำท่าเหมือนอยากฆ่าปาดคอคนตรงหน้ามากแค่ไหนราเมศก็หาได้สะทกสะท้านไม่ แถมยังทำท่าเหมือนกำลังสนุกที่ได้เอาคืนเขาอยู่อีกต่างหาก!

          “เอ้า ห้องนอนนายอยู่ไหน นำไปสิ คืนนี้ก็นอนด้วยกันหมดนี่แหละ ให้หนูเจียนอนตรงกลางนะ ถ้าเขาตื่นมากลางดึกนายจะต้องเป็นคนกล่อมให้เขาหลับ”

         “ถ้าทำไม่ได้ล่ะ”

        “ก็ต้องทำให้ได้ ไม่งั้นทั้งนายทั้งฉันก็ไม่ต้องนอนกันทั้งคู่”

         ว่าพลางเดินนำออกไปราวกับรู้ทางในบ้านเป็นอย่างดี แต่เมื่อเห็นว่าเขาไม่ได้เดินตามไป ชายหนุ่มผิวแทนก็หันมาเลิกคิ้วด้วยท่าทางกวนประสาทก่อนจะพูดออกมาด้วยสีหน้าเรียบนิ่งหรือเรียกง่ายๆ ว่ากวนตีนหน้าตายนั่นแหละ “เอ้า ยังไม่มาอีก หรือคืนนี้อยากจะนอนข้างนอก” ว่าพลางยกยิ้มมุมปากทำให้ใบหน้าหล่อเหลาที่เคยเฉยเมยนั้นดูเจ้าเล่ห์ขึ้นกว่าเดิมเป็นร้อยเท่า “ถ้าอยากค้างข้างนอกพี่ก็ไม่ขัดหรอกนะครับ ดีซะอีกเตียงจะได้กว้างขึ้น ว่าไงครับคืนนี้จะนอนนอกห้องไหม น้องตะวัน

         นับตั้งแต่วินาทีนั้น ปานตะวันก็ร่ำร้องกับตัวเองในใจ...ว่าเขาเกลียดผู้ชายที่ชื่อราเมศที่สุด!

********************************************************

สวัสดีค่าทุกคนนน (กอดก่ายคนอ่าน) ยินดีต้อนรับแล้วก็ขอขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านนิยายเรื่องนี้นะคะ
ในที่สุดก็ได้เขียนอะไรที่มันมุ้งมิ้งน่ารักสักที อยากเขียนนิยายที่มีเด็กน้อยตัวกลมน่าบีบมานานแล้วค่ะ ><
สำหรับนายเอกเรื่องนี้ค่อนข้างแตกต่างจากเรื่องอื่นพอสมควรเลย เพราะปานตะวัน 'เด็ก' มากๆ
เด็กในที่นี่ไม่ใช่อายุแต่เป็นความคิด ผิดกับเรื่องอื่นที่นายเอกจะมีความคิดเป็นผู้ใหญ่ทางความคิดมากๆ
ทุกคนอย่าเพิ่งดีดปานตะวันออกนอกโลกนะคะ  :hao5: สำหรับนิยายเรื่องนี้ก็เป็นนิยายรายสัปดาห์(บ้าง)เช่นเคย
ฝากติดตามด้วยนะคะ สามารถติชมและแสดงความคิดเห็นได้เต็มที่เลยค่ะ ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านนะคะ(โค้ง)

ปล.ตอนที่หนึ่งยาวมาก...
ปล. 2 พระเอกเรื่องนี้ดุกว่าที่ท่านคิดไว้
ปล. 3 ทุกคนสามารถติดตามความเคลื่อนไหวนิยายและพูดคุยกับเราได้ที่เพจ AzureDream นะคะ  :กอด1:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 03-12-2016 20:14:52 โดย snowrabbit »

ออฟไลน์ utamon

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 706
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-2
ปานตะวันจะรับมือยังไงเนี่ยยยยยยยย  o22
คนนึงก็เป็นหลานแท้ๆ ส่วนอีกคนก็คนเลี้ยงหลาน(?) ใครน่าปวดหัวกว่ากัน 5555
รอติดตามตอนต่อไปอยู่นะคะ

ออฟไลน์ puiiz

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-4
น่าสนุกดีค่าาา      :mew1: :mew1:

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
นิสัยเด็กไม่ว่า ขออย่างี่เง่าแล้วกัน

ออฟไลน์ BlueCherries

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4061
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +159/-17

ออฟไลน์ Jibbubu

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3393
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-6
จะว่าไปแล้ว ตะวันก็น่าสงสารนะ รู้ตัวอีกทีพี่สาวที่รักก็มาตายแล้วไหนเรื่องที่พี่สาวแต่งงานมีลูกก็ไม่ได้รู้เรื่องกับใครเขา มาถึงงานศพก็จัดเสร็จแล้ว แถมยังญาติๆ ที่หวังจะฮุบบ้านและที่ดิน ไหนจะหลาน ถ้าคิดดีๆ ตะวันก็แค่เด็กที่เพิ่งจะ 20 กว่าๆ จะมาจัดการอะไรแบบก็คงจะเกินตัวไปหน่อยนะ แต่ก็อย่างว่าล่ะไหนๆ เรื่องก็เป็นแบบนี้แล้วคงต้องให้เวลาตะวันจัดการกับตัวเองและปรับตัวให้ได้ตัวล่ะนะ

ออฟไลน์ JustWait

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3348
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +80/-4
ราเมศนี่ทำให้รู้สึกว่า ไม่ใช่ตัวเองที่ต้องทำนี้จะพูดอะไรก็ได้อยู่แล้ว มากเลยค่ะ555 /ไทยสไตล์มากๆ

ออฟไลน์ titansyui

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2386
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-0
 :pig4: :L2: :L2:

แวะเข้ามาติดตามเรื่องใหม่จ้า :mc4:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ zine

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 168
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-1
เปิดเรื่องใหม่แล้ว ดีงาม จะคอยเป็นกำลังใจให้นะคะ

ออฟไลน์ snowboxs

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5467
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-7
จะว่าแต่ตะวันก็ไม่ได้นะ
แล้วพี่สาวเห็นน้องชายเป็นอะไร
เรื่องใหญ่ขนาดมีลูก ทำไมถึงไม่เล่าให้ฟังบ้าง

ออฟไลน์ snowrabbit

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 264
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +219/-6
ปานตะวัน
บทที่ ๒
เพื่อนบ้านคือสิ่งมีชีวิตที่รับมือยากที่สุด


        ปานตะวันกำลังฝัน...หรืออย่างน้อยเขาก็คิดว่าสิ่งที่เห็นอยู่เป็นความฝัน แต่ในตอนนี้ตัวเขาเองก็ชักไม่แน่ใจว่าสิ่งที่เห็นคือความจริงหรือภาพลวงตา
   
        ตอนนี้ปานตะวันกำลังนั่งอยู่ที่ชานเรือนของบ้านทรงไทยที่คุ้นตา  บรรยากาศรอบด้านเงียบสงัดแต่ไม่ได้ทำให้เขารู้สึกกลัวแต่อย่างใด กลิ่นไม้หอมลอยมาตามสายลมทำให้ผ่อนคลาย ชายหนุ่มนั่งนิ่งอยู่ตรงนั้น หัวใจเต้นถี่รัวด้วยความรู้สึกแปลกประหลาดที่อธิบายไม่ถูก
   
        มันเหมือนกับว่าเขาควรจะต้องอยู่ตรงนี้ รอคอยใครบางคนที่กำลังจะมา
   
        ตึก ตึก ตึก
   
        เสียงฝีเท้าดังขึ้นที่ด้านหลัง ชายหนุ่มร่างเล็กหันไปมองช้าๆ ก่อนที่ดวงตากลมจะเป็นประกายด้วยความยินดี
   
        “พี่...พี่จันทร์!”
   
        น้ำเสียงใสละล่ำละลักออกมาอย่างยินดีเมื่อเห็นว่าคนที่ยืนยิ้มอย่างสงบอยู่เบื้องหน้าคือใคร
   
        หญิงสาวตรงหน้าปานตะวันมีโครงหน้าหวานละมุน ดวงตากลมโตล้อมกรอบด้วยแพขนตายาวงอน ริมฝีปากอิ่ม คลี่รอยยิ้มหวานที่คุ้นตาส่งมาให้
   
        ไม่ผิดแน่...คนตรงหน้าเขาคือพี่จันทร์ไม่ผิดแน่!
   
        “พี่จันทร์....พี่จันทร์จริงๆ เหรอ”
   
        “ก็พี่จริงๆ น่ะสิจ๊ะ ไหน...มาใกล้ๆ หน่อยสิ มาให้พี่เห็นตะวันชัดๆ หน่อย”
   
        น้ำเสียงของพี่จันทร์อ่อนโยนหากแต่กลับดูแผ่วเบาคล้ายลอยมาจากที่ไกลแสนไกล
   
        ปานตะวันไม่รอช้ารีบขยับไปหาพี่สาวของตัวเองทันที มืออบอุ่นของพี่จันทร์ประคองสองแก้มเขาไว้พร้อมน้ำเสียงหวานที่เอื้อนเอ่ย “เหนื่อยหน่อยนะตะวัน ขอโทษด้วยนะ”
   
        “พี่จันทร์จะขอโทษทำไม”
   
        “ขอโทษด้วย....ในหลายๆเรื่องน่ะจ้ะ”
   
        “พี่จันทร์ไม่ได้ทำอะไรผิดสักหน่อย จะขอโทษทำไมกัน”
   
        “ไม่หรอก พี่ผิดเต็มๆ เลยล่ะ แล้วก็มีเรื่องอีกตั้งเยอะที่พี่อยากคุยกับตะวัน”
   
        สองพี่น้องทรุดตัวลงนั่งข้างๆ กันก่อนที่จันทร์จะเป็นฝ่ายเอ่ยขึ้นก่อนอีกครั้ง
   
        “แต่ก่อนอื่นพี่ต้องขอโทษ...ที่ไม่ได้บอกลา”
   
       สิ้นคำนั้นสิ่งที่เหลือมีเพียงความเงียบ ปานตะวันก้มหน้าลง จริงสินะ พี่จันทร์ตายไปแล้ว จากไปโดยไม่ได้บอกลา ถ้าอย่างนั้นตอนนี้สิ่งที่เขาเผชิญอยู่ก็คงเป็นความฝัน
   
       ขอบตาของคนเป็นน้องร้อนผ่าวขึ้นช้าๆ
   
       อย่างน้อย...ได้บอกลากันในฝันก็ยังดี
   
       ก็ยังดี...
   
        “ตะวันเอง...ก็มีหลายอย่างที่อยากบอกพี่จันทร์เหมือนกัน ตะวันเองก็ต้องขอโทษเหมือนกัน”
   
        ขอโทษที่เขาละเลยพี่สาวของตัวเอง
   
        ขอโทษที่ไม่ได้มาหา ขอโทษที่ไม่ได้รับรู้ปัญหาของพี่ ขอโทษ...ที่ไม่รู้อะไรเลย
   
        “ตะวัน...ฮึก...ตะวันขอ...ขอโทษ”
   
         หยดน้ำใสๆ เอ่อคลอก่อนจะหยดแหมะ...ปานตะวันสะอื้นฮัก ยิ่งพยายามกลั้นสะอื้นหยดน้ำตายิ่งร่วงหล่น เขาขยี้ตาแรงๆ นึกหงุดหงิดที่ร้องไห้ออกมาแบบนี้ แต่แล้วอ้อมกอดอ่อนโยนก็โอบกอดเขาไว้  มือเรียวขาวลูบเส้นผมปานตะวันอย่างอ่อนโยนเหมือนในอดีต
   
        เหมือนเมื่อครั้งที่เขายังเป็นเด็กน้อยปานตะวันที่มาร้องไห้งอแงกับพี่สาวทุกครั้ง
   
        “ไม่ร้องสิ เด็กดี เงียบเถอะนะ ตอนนี้พี่ไม่อยู่แล้ว ไม่มีใครคอยปลอบตะวันแบบนี้แล้วนะ”
   
        “พี่จันทร์ก็ไม่ต้องไปไหนสิ” อยู่กับตะวันตลอดไปไม่ได้เหรอ “อย่าไปเลยนะ”
   
        เพราะนอกจากพี่จันทร์...ตะวันก็ไม่เหลือใครแล้ว
   
        จันทร์จ้าวไม่ได้สัญญาว่าจะอยู่กับปานตะวันตลอดไป หญิงสาวยังคงพูดต่อไปเรื่อยๆ คล้ายกับไม่ได้ยินสิ่งที่ปานตะวันร้องขอ
   
        “ต่อไปนี้ตะวันต้องเข้มแข็งแล้วนะ ต้องดูแลตัวเองแล้วก็คนรอบข้างแล้วรู้ไหม”
   
        คำว่า ‘คนรอบข้าง’ ทำให้ปานตะวันชะงัก ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นมองพี่สาวทันที
   
        “พี่จันทร์หมายถึงเจียหลินเหรอ”
   
        จบประโยคนั้นพี่สาวของเขาก็พยักหน้า ดวงตาคู่งามฉายแววเศร้าโศก
   
        “ขอโทษที่ผลักภาระให้ แต่พี่ก็ไม่มีใครนอกจากตะวัน พี่ฝากเจียหลินด้วยได้ไหม...ได้ไหมตะวัน รับปากพี่ ดูแลเจียหลินได้ไหม”
   
        “แต่...แต่ตะวันทำไม่ได้ ตะวันไม่เคยเลี้ยงเด็กมาก่อน”
   
        “ได้โปรดเถอะ” น้ำเสียงนั้นสั่นเครือคล้ายจะร้องไห้ “ได้โปรดดูแลเจียหลินด้วย”
   
        ชายหนุ่มผมน้ำตาลทำท่าจะค้านแต่แล้วทันใดนั้นร่างทั้งร่างของปานตะวันพลันหนักอึ้ง ชายหนุ่มพยายามเปล่งเสียงแต่ก็ไม่ได้ผล ริมฝีปากของเขาขยับไม่ได้ ทำได้เพียงมองพี่สาวที่ส่งยิ้มทั้งน้ำตามาให้
   
        “พี่ฝากเจียหลินด้วยนะปานตะวัน...แล้วก็...ลาก่อนนะ”
   
        พลันสายลมมหาศาลก็พัดผ่านร่างของเขาแล้วจันทร์จ้าว ปานตะวันรู้สึกถึงแรงดึงมหาศาลกระชากเขาออกห่างจากพี่สาว ชายหนุ่มพยายามดิ้นรนแต่ก็ไม่สำเร็จ ภาพของจันทร์จ้าวและบ้านเรือนไทยเลือนรางลงทุกที สิ่งสุดท้ายที่ปานตะวันได้ยินคือเสียงแผ่วเบาของพี่สาวที่ดังแว่วมา
   
        พี่รักตะวันนะ...ได้โปรดใช้ชีวิตและรักเจียหลินเผื่อในส่วนของพี่ด้วยนะจ๊ะ
   
        จากนั้นเขาก็ถูกกระชากออกจากความฝันด้วยเสียงร้องไห้ที่กรีดผ่านความเงียบสงัดยามราตรี
   
        ปานตะวันลืมตาโพลงในความมืด สมองสับสนระหว่างความฝันกับความจริง ใช้เวลาอยู่ครู่หนึ่งชายหนุ่มถึงได้ตระหนักว่าตนกำลังนอนอยู่บนเตียงในบ้านเรือนไทยและบนโลกนี้ไม่มีผู้หญิงที่ชื่อจันทร์จ้าวอีกแล้ว
   
        เจ้าของเรือนผมสีดำเม้มริมฝีปากก่อนจะหลุบตาลง ซ่อนแววไหวระริกไว้
   
        ใช่...พี่จันทร์ไม่อยู่แล้ว ต้องเข้มแข็งได้แล้ว จะมัวมาร้องไห้เป็นเด็กๆ ไม่ได้แล้ว
   
        จริงสิ...ร้องไห้ ตอนที่สะดุ้งตื่นก็ได้ยินเสียงเหมือนเด็กร้องไห้นี่นา
   
        คิ้วเรียวขมวดมุ่นก่อนที่จะนึกขึ้นมาได้ว่าตอนนี้เขาไม่ได้อยู่ที่บ้านหลังนี้คนเดียวหากแต่มีหลานชายหมาดๆ ของตนกับผู้ชายบ้านตรงข้ามมานอนค้างด้วย
   
        ปานตะวันสะบัดผ้าห่มออกก่อนเร่งฝีเท้าเดินไปยังห้องนอนของราเมศกับเจียหลิน ปานตะวันจัดให้ทั้งคู่นอนที่ห้องพักอีกห้องหนึ่งเพราะเตียงที่ห้องนอนเขาเล็กเกินกว่าที่ผู้ชายสองคนกับเด็กเล็กอีกหนึ่งจะมานอนเบียดกันได้ ส่วนที่เขาให้เจียหลินไปนอนกับราเมศเพราะอีกฝ่ายดูสนิทกับเด็กน้อยมากกว่าเขา เด็กเองก็ดูกลัวๆ ปานตะวันอยู่มาก อาจเพราะไม่คุ้น ดังนั้นคืนนี้ให้ไปนอนกับราเมศที่อีกฝ่ายคุ้นเคยมากกว่าเป็นทางออกที่ดีที่สุด
   
        ยิ่งเข้าใกล้ห้องนอนของทั้งคู่เสียงร้องไห้ยิ่งดังชัดเจน คิ้วเรียวขมวดมุ่นก่อนที่ชายหนุ่มจะผลักประตูเปิดพร้อมกับพูดว่า “เกิดอะไรขึ้น”
   
        ราเมศที่นั่งกอดเจียหลินอยู่บนเตียงเงยหน้ามองปานตะวัน ตอนนั้นเองที่เขาสังเกตว่าใบหน้าของชายหนุ่มเพื่อนบ้านดูอ่อนล้าอย่างบอกไม่ถูก
   
       “เกิดอะไรขึ้น ทำไมเจียหลินร้องไห้แบบนั้น”
   
       ฝ่ามือใหญ่ของราเมศลูบหลังเด็กน้อยที่สะอื้นไม่หยุดเบาๆ ก่อนหันมาตอบว่า “เจียหลินหลับๆ ตื่นๆ มาสักพักแล้ว เห็นว่าคิดถึงแม่จันทร์ อยากให้แม่จันทร์มากล่อมนอน พอฉันลองกล่อมให้หลับสักพักก็สะดุ้งตื่นแล้วก็ร้องไห้ คงฝันร้ายน่ะ”
   
         ดวงตาสองคู่สบกันด้วยแววตาลำบากใจ ก่อนที่ปานตะวันจะยื่นมือไปข้างหน้าเป็นเชิงว่าขออุ้มหลานหน่อย ราเมศเลิกคิ้วนิดๆ ก่อนจะดันตัวเจียหลินออกแล้วส่งให้คนตัวเล็กอุ้ม
   
         ปานตะวันไม่เคยเลี้ยงเด็กและพูดได้เต็มปากเลยว่าการต้องรับมือสิ่งมีชีวิตตัวเล็กพวกนี้ไม่ได้อยู่ในความสามารถของเขาเลยแม้แต่น้อย ปานตะวันเป็นผู้ชายที่ห่างไกลจากคำว่าอ่อนโยนเสียด้วย ดังนั้นไอ้เรื่องเป็นพระเอกซีรีส์ที่ใจดีรักเด็กน่ะลืมไปได้เลย คุยกับเด็กปกติว่ายากแล้ว การปลอบเด็กที่งอแงตอนตีสองนี่ยากกว่าเดิม แต่ไม่ยังไงเขาก็ต้องลองดูสักตั้ง
   
        “เป็นอะไรไปเจียหลิน นอนไม่หลับเหรอ” คนตัวเล็กถามเด็กน้อยในอ้อมแขนด้วยน้ำเสียงที่คิดว่าอ่อนโยนใจดีที่สุด
   
        ดวงตากลมสีน้ำตาลทอดมองหลานชายที่ก้มหน้านิ่ง ปล่อยหยดน้ำตาให้ร่วงพรูอย่างอ่อนใจ ปานตะวันใช้ชายผ้าห่มซับน้ำตาเด็กน้อย พยายามเบามือที่สุด
   
        “ฝันร้ายเหรอครับ ฝันว่าอะไร บอกน้าตะวันได้ไหม”
   
        เจียหลินยังคงเงียบ เด็กน้อยก้มหน้าก้มตา จับชายเสื้อตัวเองแน่น ไม่พูดกับเขา พอมองแบบนี้แล้วเด็กน้อยตรงหน้าดูเหมือนกระต่ายตัวเล็กๆ ที่ขี้ตกใจไม่มีผิด
   
       “เจียหลิน ถ้าไม่บอกน้าตะวันก็ไม่รู้หรอกนะครับ” ปานตะวันถอนหายใจ “เป็นอะไรก็พูดสิ ร้องไห้ทำไม”
   
       “นี่ จะไปดุเด็กทำไมกัน แค่นี้หนูเจียก็ร้องไห้จะแย่แล้ว”
   
       เสียงห้าวขัดขึ้นเป็นเหตุให้ปานตะวันหันไปถลึงตาใส่ราเมศทันที
   
       “ก็เขาไม่พูดผมจะรู้ปัญหาไหมล่ะ เงียบแบบนี้ไม่รู้หรอกนะว่าอยากได้อะไร”
   
        “ก็พูดให้มันดีๆ หน่อยสิ”
   
        “โอ๋จริงๆ หลานตัวเองก็ไม่ใช่”
   
       “ไอ้เด็กปากเสียนี่ เดี๋ยวพ่อดีดออกนอกโลก”
   
        ปานตะวันขบฟันกรอด นึกอยากสาดคำด่าทั้งมวลที่นึกออกใส่ไอ้คนใจร้ายตรงหน้า แต่สถานการณ์ก็ไม่อำนวยโดยเฉพาะเมื่อเจียหลินเริ่มขยับตัว ตลกดีที่วินาทีที่เด็กคนนั้นค่อยๆ ขยับเข้ามาใกล้ ทั้งเขาและราเมศต่างพร้อมใจกันหยุดต่อล้อต่อเถียงแล้วจ้องเจียหลินตาเป๋งเพื่อรอว่าเด็กน้อยจะทำอะไรต่อไป
   
        มือเล็กๆ ที่ฝ่ามือของปานตะวันกุมได้มิดค่อยๆ เอื้อมมารั้งชายเสื้อของคนตัวเล็กเอาไว้ ก่อนที่น้ำเสียงสั่นเครือจะหลุดออกจากปากเจ้ากระต่ายตัวเล็ก
   
        “เจีย...ฮึก...หนูเจีย...คิดถึง...แม่จันทร์ แม่จันทร์อยู่ที่ไหนครับ ฮึก...เจียจะหาแม่จันทร์”
   
        ปานตะวันชะงัก เด็กน้อยตรงหน้าสะอื้นจนตัวโยน จะว่าไปสองสามวันที่ผ่านมา...หรืออาจจะเป็นหนึ่งอาทิตย์ที่ผ่านมาคงหนักหน่วงสำหรับเด็กวัยเท่านี้น่าดู
   
        บางทีเจียหลินอาจจะไม่รู้หรอกว่าจันทร์จ้าวตายแล้ว...แต่เด็กน้อยก็รับรู้ได้ว่าแม่จันทร์ของตนจะไม่อยู่ข้างกายอีกแล้ว
   
        ปานตะวันหลุบตาลง เอื้อมมือไปรั้งเอาร่างน้อยนุ่มนิ่มมากอดแนบอก ในตอนนั้นชายหนุ่มก็ตระหนักขึ้นมาได้ว่าตนเองก็เหลือเพียงเด็กคนนี้เช่นกัน
   
        ตอนที่โอบกอดร่างน้อยๆ นั้นไว้ ชายหนุ่มรับรู้ได้ถึงสายสัมพันธ์ที่เชื่องระหว่างตนกับเจียหลินเอาไว้ หากแต่ตอนนี้มันช่างบางเบานัก
   
        “น้าตะวันก็คิดถึงเหมือนกัน...คิดถึงแม่จันทร์เหมือนกัน”
   
       “แม่จันทร์...ฮึก...แม่จันทร์...ไปไหน”
   
       ปานตะวันนิ่งไป กดศีรษะเด็กน้อยให้ซุกลงกับบ่าเขา เจียหลินสะอื้นอย่างน่าสงสาร เรียกหาแต่แม่จันทร์ไม่หยุดจนคนเป็นน้าเองก็ไม่รู้จะปลอบอย่างไร  คำตอบเดียวที่นึกออกก็คือ
   
        “แม่จันทร์ไปอยู่บนฟ้าแล้วครับแล้วก็กำลังดูเจียหลินอยู่บนนั้นนะ”
   
        ดวงตากลมโตที่แวววาวด้วยหยดน้ำตาเหลือบขึ้นมอง ก่อนที่น้ำเสียงสั่นเครือจะเอ่ยถามขึ้น
   
         “แล้วบนฟ้า...ไกลไหมครับ”
   
         ปานตะวันยิ้ม หากแต่รอยยิ้มของเขาบิดเบี้ยวเหลือเกิน ขอบตาสองข้างร้อนผ่าว ก้อนสะอื้นจุกอยู่ในลำคอ “ไกลสิครับ ไกลมากๆ”
   
        “แล้วแม่จันทร์จะกลับมาไหมครับ”
   
        “มันไกลมาก แม่จันทร์กลับมาไม่ได้หรอกครับ”
   
        “แล้ว...ฮึก...แล้วหนูเจียจะอยู่...จะอยู่กับใคร”
   
         มือเรียวลูบศีรษะเด็กน้อยแผ่วเบา ปานตะวันซุกหน้าลงกับบ่าของเจียหลิน
   
         “อยู่กับน้าปานตะวันไงครับ ต่อจากนี้น้าตะวันจะดูแลหนูเจียเอง อย่าร้องไห้เลยนะ”
   
         แต่ถึงจะพูดว่าอย่าร้องไห้ แต่ในที่สุดหยดน้ำตาที่กลั้นไว้ก็ร่วงพรูออกมาช้าๆ 
   
         วินาทีนั้นปานตะวันรู้สึกอ้างว้างเหลือเกิน
   
          หลังจากกอดกันและร้องไห้จนปวดตาไปหมดเจียหลินก็ผล็อยหลับไปด้วยความอ่อนเพลีย ปานตะวันค่อยๆ วางเด็กน้อยลงบนเตียงอย่างนุ่มนวล ในตอนนั้นเองที่ผ้าสีฟ้าผืนเล็กถูกยื่นมาให้
   
         “อะไร”
   
        “เช็ดหน้าซะ ดูไม่ได้เลย”
   
        “ผมไม่ได้อยากเป็นอย่างนี้สักหน่อย”
   
        ราเมศมองเด็กหัวน้ำตาลที่ทำปากคว่ำแต่ก็ยังดึงผ้าเช็ดหน้าจากมือเขาไปถูๆ ที่ตากับจมูกแรงๆ ชายหนุ่มร่างใหญ่ถอนหายใจออกมาก่อนจะดึงผ้าเช็ดหน้าออก ดุเบาๆ “เช็ดแรงแบบนั้นเดี๋ยวก็เจ็บตาหรอก” ว่าพลางใช้ผ้าเช็ดหน้าเช็ดน้ำตาให้อีกฝ่ายเบาๆ
   
        พอมานั่งพิจารณาแบบนี้แล้วราเมศก็ตระหนักได้ว่าปานตะวันถูกจัดอยู่ในหมวดผู้ชายน่ารักได้อย่างไม่ต้องสงสัย
   
       ไม่...อีกฝ่ายไม่ได้ดูสาวหรือเหมือนผู้หญิงแต่อย่างใด ใบหน้าของคนตัวเล็กตรงหน้าเป็นโครงหน้าที่ติดหวานเหมือนผู้หญิงแต่ก็ยังมีเค้าโครงของความเป็นผู้ชายอยู่ บวกกับนิสัยห้าวๆ ที่ขัดกับหน้าตาเหลือแสนนั่นทำให้ปานตะวันเป็นเด็กที่ทั้งน่าเอ็นดูทั้งน่าโมโห และแน่นอนว่าสำหรับราเมศ น้ำหนักของความน่าโมโหมันมากกว่าเป็นร้อยเท่า
   
        “ขอบคุณครับ” อย่างน้อยเด็กนี่ก็มีมารยาทพอจะพูดคำว่าขอบคุณล่ะนะ
   
        “ตาบวมหมดแล้ว”
   
        “เดี๋ยวก็ยุบ”
   
        “เอาน้ำแข็งประคบไหม”
   
        “ไม่มีน้ำแข็ง”
   
        “มีในตู้เย็น”
   
        “ช่างเถอะครับ”
   
         เด็กตัวยุ่งพูดขึ้น ท่าทางเหนื่อยอ่อน ราเมศมองอีกฝ่ายขยับตัวไปพิงกำแพงโดยระวังไม่ให้เจียหลินตื่นก่อนจะเอาผ้านวมของเขามาพันรอบตัวแล้วก็นั่งเหม่อลอยอยู่แบบนั้น
   
        ระหว่างพวกเขาเหลือเพียงความเงียบจนในที่สุดราเมศก็ต้องเป็นฝ่ายพูดขึ้นมา
   
        “นายโอเคนะ”
   
        “ตอนนี้เหรอ...ไม่เลยครับ”
   
         เขาสังเกตว่าคำพูดของปานตะวันดูสุภาพขึ้น น้ำเสียงที่ใช้ก็อ่อนลง ดูท่าเด็กตรงหน้าคงตัดสินใจได้แล้วว่าเขาไม่มีผิดมีภัยอะไรเลยลดปราการของตัวเองลงเล็กน้อย
   
         “ผมคิดถึงพี่จันทร์”
   
          “ฉันรู้” เขาเองก็คิดถึงจันทร์จ้าวเหมือนกัน
   
        “ตอนพี่อยู่ที่นี่...มีความสุขดีไหมครับ พักหลังผมแทบไม่ได้เจอกับพี่เลย”
   
         ดวงตากลมหันมาสบกับเขาอย่างรอคอยคำตอบ ราเมศขยับตัวอย่างอึดอัด “สบายดี” เขาเลียริมฝีปาก หลบสายตาคู่นั้น
   
         “งั้นเหรอครับ ดีจัง”
   
         ชายหนุ่มผิวแทนเบนสายตาไปมองเจียหลินที่นอนหลับอย่างสงบ พลันในใจรู้สึกหนักอึ้งเหมือนหินถ่วงขึ้นมาอีกครั้ง
   
        “ก่อนหน้านี้ผมฝันถึงพี่ด้วยนะ”
   
        “งั้นเหรอ”
   
        “อื้อ พี่มาบอกลา” ปานตะวันขยับเบียดเข้ามาใกล้อย่างไม่รู้ตัว คนตัวเล็กชันเข่า มองเหม่อไปอย่างไร้จุดหมาย  “พี่มาเข้าฝันคุณด้วยหรือเปล่า”
   
        ราเมศชะงักก่อนเหยียดยิ้มออกมา โชคดีที่ปานตะวันไม่เห็นรอยยิ้มของเขา เพราะมันเป็นรอยยิ้มที่ขมขื่นและบิดเบี้ยวเหลือเกิน
   
        “ไม่มาหรอก” เธอคงเกลียดฉันมากเกินกว่าจะมาหา แน่ล่ะว่าประโยคนี้เขาไม่ได้พูดออกไป

(มีต่อค่ะ)

ออฟไลน์ snowrabbit

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 264
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +219/-6
        พวกเขาเงียบกันไปอีกครั้งก่อนที่เสียงเล็กๆ จะค่อยๆ กระซิบขึ้น
   
        “นี่...ผมขอโทษนะ” ราเมศขมวดคิ้ว หันไปมองเด็กข้างตัวอย่างงุนงงแล้วก็พบว่าปานตะวันกำลังจ้องผ้าห่มอย่างเอาเป็นเอาตาย มือเล็กๆ คู่นั้นทั้งบีบทั้งขยี้ผ้าห่มเล่นเหมือนคนทำตัวไม่ถูก และถ้าเขาไม่ได้ตาฝาด ใบหูเล็กๆ ของอีกฝ่ายก็เปลี่ยนเป็นสีแดงด้วยเช่นกัน
   
        “ขอโทษเรื่องอะไร”
   
        “ที่ก่อนหน้านี้ผมทำตัวไม่ดี”
   
         ริมฝีปากได้รูปยกยิ้ม รู้สึกสนุกที่เห็นคนเคยปากเก่งกำลังอุบอิบขอโทษเขาอยู่ พอเป็นแบบนี้แล้วชักอยากแกล้งขึ้นมานิดหน่อย
   
         “นายพูดอะไรนะฉันไม่ได้ยิน”
   
         เท่านั้นแหละเด็กแสบก็เงยหน้าขึ้น ถลึงตากลมๆ ใส่เขาแล้วตวัดเสียง “บอกว่าขอโทษที่ผมทำตัวไม่ดี ที่พูดจาไม่สุภาพ ทำตัวก้าวร้าว พอใจหรือยังครับ!” พูดจบก็ทำปากคว่ำฟึดฟัดใส่ ราเมศต้องกลั้นขำจนปวดแก้ม เขาแสร้งตีหน้าดุ ก่อนพูดว่า “อย่าเสียงดัง หนูเจียหลับอยู่”
   
        ปานตะวันสะดุ้ง เหลือบไปมองเด็กน้อยอย่างหวาดๆ ว่าเจ้าตัวจะตื่นมาอีกหน ชายหนุ่มผิวแทนยิ้มขำ “แล้วก็ได้ยินแล้วล่ะว่าสำนึกผิด เด็กดีๆ”
   
        “แกล้งผมเหรอ”
   
        “เปล่าสักหน่อย ฉันก็ต้องขอโทษเหมือนกัน”
   
        พอได้ยินแบบนั้นเด็กแสบก็เลิกอาละวาด ปานตะวันเอนตัวพิงผนังห้องอีกรอบก่อนจะอ้าปากหาว ราเมศจึงไล่อีกฝ่ายไปนอนแต่เด็กดื้อกลับส่ายหน้า
   
        “ไม่อยากนอนตอนนี้หรอกครับ”
   
        “แต่นายง่วงแล้ว”
   
        “ไม่อยากหลับนี่นา”
   
        “ทำไมล่ะ”
   
        ปานตะวันนิ่งไปครู่หนึ่งแต่ก็ไม่ได้ตอบอะไร ราเมศเองก็ไม่อยากนอน อันที่จริงแล้วเขายังไม่ได้หลับเลยต่างหาก สมองของเขาวุ่นวายเกินกว่าจะข่มตานอน
   
        ดวงตาคมเหลือบมองเจียหลินที่หลับสนิทอยู่พลันความรู้สึกหนักอึ้งก็เข้าเกาะกุมหัวใจอีกครั้ง
   
        ปานตะวันถามเขาว่าทำไมถึงได้โอ๋เจียหลินนัก หลานตัวเองก็ไม่ใช่ ราเมศรู้ตัวดีว่าเขาก้าวข้ามเส้นของคำว่าเพื่อนบ้านมามากแล้ว เขาเข้ามายุ่งวุ่นวายจนปานตะวันสงสัย แต่เขาปล่อยเจียหลินไปไม่ได้จริงๆ ราเมศรู้อยู่เต็มอกว่าเจียหลินเป็นความรับผิดชอบของเขา ยังไงก็ทิ้งไปไม่ได้
   
        บางทีถ้าจันทร์ยังอยู่เธออาจจะไม่ให้เขาเข้าใกล้เจียหลินขนาดนี้ก็ได้ ก็นะ...เขาทำกับเธอไว้ตั้งขนาดนั้น แต่ตอนนี้จันทร์จ้าวไม่อยู่แล้ว ราเมศไม่สามารถทำเมินเฉยกับเลือดเนื้อเพียงหนึ่งเดียวของหญิงสาวได้ เพราะรู้อยู่เต็มอกว่าเขาต้องรับผิดชอบเด็กคนนี้
   
        แม้ว่าจันทร์จ้าวจะไม่ต้องการก็ตาม
   
        ราเมศไม่คิดว่าปานตะวันจะดูแลเจียหลินได้ดี อีกฝ่ายไม่เคยเตรียมพร้อมสำหรับการดูแลเด็กมาก่อนและดูเหลาะแหละเหมือนทำอะไรไม่เป็นเลย เขาไม่ไว้ใจให้หนูเจียอยู่ในความดูแลของปานตะวันแน่ๆ เพราะอย่างนั้นราเมศจะขออยู่ดูแลเจียหลินด้วย นี่คือสิ่งเดียวที่เขาพอจะทำได้เพื่อจันทร์จ้าว เพื่อเจียหลินและเพื่อตัวเอง
   
        “นี่ คุณว่าผมจะดูแลเด็กได้ดีไหมนะ” น้ำเสียงสั่นไหวดึงเขาออกจากภวังค์ ชายหนุ่มเหลือบมองคนข้างกาย ตอบสั้นๆ “นั่นก็ขึ้นอยู่กับนาย”
   
       “คุณรู้ไหมว่าวันนี้มันหนักมากเลยสำหรับผม ต้องมาบ้านที่ไม่ได้กลับมานานเพื่อมาไหว้กระดูกของพี่ มาเจอเด็กที่เป็นลูกแถมยังต้องกลายมาเป็นผู้ปกครองของเด็กอีก ทั้งๆ ที่ไม่เคยเตรียมตัวกับอะไรแบบนี้มาก่อนเลยแท้ๆ” ปานตะวันถอนหายใจเบาๆ “ผมกลัวมากๆ เลยล่ะ”
   
        ราเมศไม่ได้ตอบอะไร เขานั่งเงียบ คนข้างตัวเองก็เงียบไป เนิ่นนานทีเดียว ในที่สุดเขาก็รู้สึกถึงน้ำหนักที่เพิ่มขึ้นบริเวณไหล่ซ้าย ปานตะวันเผลอหลับไปจนได้ เด็กน้อยนั่นเอนศีรษะมาซบเขา ใบหน้ายามหลับของชายหนุ่มตัวเล็กดูสงบนิ่งไร้พิษสง เปลี่ยนจากเด็กแสบตัวร้ายกลายเป็นลูกแมวเชื่องๆ หนึ่งตัว
   
       ชายหนุ่มลูบผมของปานตะวันเบาๆ เส้นผมของอีกฝ่ายนุ่มลื่นกว่าที่คิดไว้ เด็กน้อยครางเบาๆ ในลำคอก่อนเบียดซุกเข้ามา
   
       ราเมศถอนหายใจ มองปานตะวันก่อนจะเลื่อนสายตาไปมองเจียหลิน ดวงตาสีนิลฉายแววเศร้าสร้อยลึกล้ำ
   
        อะไรที่เป็นความลับก็ควรเป็นความลับต่อไปใช่ไหม ความจริงบางเรื่องไม่รู้เสียยังดีกว่า...ใช่ไหมจันทร์จ้าว
   
        เช้าวันต่อมาปานตะวันตื่นสาย คนตัวเล็กยันตัวลุกขึ้น ใช้มือขยี้ผมสีน้ำตาลที่ยุ่งเหยิงของตนก่อนจะหันมองรอบตัวแล้วก็พบว่าที่นี่ไม่ใช่ห้องของตัวเอง คิ้วเรียวขมวดฉับก่อนจะค่อยๆ ไล่เรียงเหตุการณ์ในหัว เมื่อคืนเขาได้ยินเสียงเจียหลินร้องเลยเดินมาดู แล้วก็อยู่คุยกับราเมศต่อ จากนั้น...คงจะเผลอหลับไปสินะ
   
        คนตัวเล็กยกมือปิดหน้า รู้สึกได้ว่าสองแก้มร้อนผ่าว เมื่อวานเขาคงทำตัวอ่อนแอน่าสมเพชออกไปสินะ น่าอายชะมัด
   
        ว่าแต่ราเมศไม่อยู่ หายไปไหนกันนะ
   
        ปานตะวันมองไปข้างกายก็พบว่าข้างตัวเหลือเพียงเจียหลินที่หลับสนิทอยู่ แต่ราเมศนั้นหายไปแล้ว ช่างเถอะอาจจะกลับบ้านไปแล้วก็ได้
   
        เขายักไหล่ก่อนจะขยับตัวลงจากเตียง การเคลื่อนไหวนั้นเองที่ทำให้ร่างเล็กบนเตียงปรือตาขึ้นช้าๆ เจียหลินยันตัวลุกขึ้น มองไปรอบๆ อย่างมึนงงพลางใช้กำปั้นน้อยๆ ของตัวเองขยี้ตา
   
        ปานตะวันคลี่ยิ้มก่อนจะย่อตัวลงตรงหน้าเจียหลิน ลูบผมนุ่มๆ ของอีกฝ่าย
   
        “ตื่นแล้วเหรอครับ”
   
        แม้ว่าจะพยายามฉีกยิ้มเอาใจเด็กยังไงแต่สิ่งที่ได้รับกลับมาคืออาการนิ่ง เงียบ ใบหน้าน่ารักนั้นไม่แสดงสีหน้าอะไร เจียหลินหลบตา พยักหน้าหงึกหนึ่งที
   
        ปานตะวันกะพริบตาปริบ ไม่รู้ว่าตัวเองควรทำอะไรต่อไป จริงสิ...ตื่นมาแล้วก็ต้องอาบน้ำสินะ เจียหลินอาบน้ำเองได้หรือยังเนี่ย
   
        “เอ่อ...งั้นไปอาบน้ำกันก่อนดีกว่าเนอะ”
   
        หงึก
   
        พยักหน้ากลับมาอีกหนึ่งที
   
        “เอ่อ ผ้าเช็ดตัวกับเสื้อผ้าของเจียหลินอยู่ที่ไหนเอ่ย”
   
        สิ่งที่ได้รับกลับมาคือความเงียบ ปานตะวันลองถามอีกสองสามรอบเจียหลินก็ยังคงเงียบ สิ่งที่ตอบสนองกลับมาคือการส่ายหน้ากับพยักหน้าเท่านั้น ทำเอาชายหนุ่มรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังนั่งคุยอยู่กับตุ๊กตาหัวสั่น
   
        สุดท้ายแล้วปานตะวันก็ต้องออกเดินไปไล่เปิดห้องต่างๆ ในบ้านเพื่อตาหาเสื้อผ้าของหลานชาย จนมาถึงห้องใหญ่สุดในบ้าน ห้องนั่งถูกใส่กุญแจไว้ ชายหนุ่มจึงเดินกลับไปหยิบกุญแจมาไข เมื่อเปิดออกก็พบว่าห้องนั้นคือห้องของจันทร์จ้าวนั่นเอง
   
        ร่างเล็กหยุดนิ่งอยู่ที่กรอบประตู เหม่อมองข้าวของที่ยังวางอยู่เหมือนเดิม ห้อนี้มีกลิ่นอายของจันทร์จ้าวอยู่เต็มเปี่ยม ผ้าม่านลายลูกไม้สีส้มอ่อนแบบที่พี่สาวเขาชอบ เครื่องสำอาง เสื้อผ้าพับเป็นระเบียบ ตุ๊กตาสองสามตัวที่น่าจะเป็นของหลานชายวางอยู่บนเตียง กรอบรูปมากมายตั้งอยู่บนโต๊ะริมหน้าต่าง ปานตะวันเดินเข้าไปใกล้ พินิจดูรูปเหล่านั้นด้วยดวงตาหลากหลาย
   
       รูปของพวกเขาตอนยังเด็ก รูปของพ่อ รูปของเจียหลินตอนแรกเกิด 
   
        ชายหนุ่มถอนหายใจ ตอนนั้นเองที่เขาสังเกตว่าไม่มีรูปของพี่เขยตัวเองเลยสักรูปเดียว แม้จะสงสัยแต่ชายหนุ่มก็เลือกที่จะไม่ใส่ใจ เขาหันหลังให้รูปเหล่านั้นก่อนจะเร่งมือหยิบเสื้อผ้าของเจียหลินกับผ้าเช็ดตัวลายการ์ตูนออกมา ชายหนุ่มรีบร้อนออกจากห้องนั้นเพราะหากอยู่นานกว่านั้นเขาจะต้องร้องไห้ออกมาแน่ๆ
   
        เมื่อกลับมาที่ห้องเดิมปานตะวันก็พบว่าเจียหลินนั่งอยู่ที่เดิม ก้มหน้าไม่พูดจาจนเขาชักสงสัยว่าเด็กคนนี้ปกติเป็นแบบนี้ตลอดหรือเป็นเฉพาะกับเขา แต่ตอนคุยกับราเมศก็ดูปกติดี
   
       บางทีเด็กอาจจะยังไม่คุ้นกับเขา
   
         พอคิดได้แบบนี้ปานตะวันจึงสูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้วเดินไปหาหลานชายของตน “น้าตะวันเอาเสื้อผ้ามาแล้ว ไปอาบน้ำกันเถอะครับ”
   
        ปานตะวันอุ้มเจียหลินออกจากห้อง ตรงไปที่ห้องน้ำ ชายหนุ่มบีบยาสีฟันให้เจียหลิน เด็กน้อยก็ก้มหน้าก้มตาแปรงฟัน สีหน้ายังคงนิ่งเรียบและไม่มีทีท่าว่าจะเงยหน้ามาคุยกับเขาแต่อย่างใด
   
       หลังล้างหน้าแปรงฟันเสร็จปานตะวันก็จับเจียหลินอาบน้ำและสระผม เด็กน้อยนั่งนิ่งเป็นตุ๊กตาให้เขาทำตามใจ จนชายหนุ่มคลายใจว่าการเลี้ยงเจียหลินคงไม่ยากอย่างที่คิด
   
       จนกระทั่งมาถึงตอนใส่เสื้อน่ะนะ
   
          เสื้อที่ปานตะวันหยิบมาให้เจียหลินใส่เป็นเสื้อยืดสีเหลืองอ่อนลายลูกเจี๊ยบกับกางเกงขาสั้นสีน้ำเงิน ตอนหยิบมาก็ไม่ได้ใส่ใจมากนักจนกระทั่งเจียหลินจับเสื้อที่ตัวเองใส่อยู่ด้วยสีหน้าแปลกๆ
   
         “เป็นอะไรไปครับ” ปานตะวันถามอย่างสงสัย เจียหลินกำชายเสื้อแน่นก่อนจะพูดออกมาเบาๆ “อยากใส่พี่หมี” ปานตะวันกระพริบตาปริบ พี่หมีคืออะไร อะไรคือพี่หมี...

         “เอ่อ น้าตะวันไม่เห็นเสื้อพี่หมีนะครับ น้องเจียใส่ตัวนี้ไปก่อนได้ไหม”

         “อยากใส่เสื้อพี่หมี” คิ้วเล็กๆ เริ่มขมวดหากัน “วันนี้วันเสาร์ ต้องใส่เสื้อพี่หมี”

         เอ้า มีใส่เสื้อตามวันด้วย  ไอ้ตะวันอยากสะบัดตีนก่ายหน้าผาก แต่พอเห็นหลานตัวน้อยเม้มปาก ทำท่าจะร้องไห้ได้แต่ยอม “โอเคๆ พี่หมีก็พี่หมี แล้วเสื้อพี่หมีเป็นยังไง บอกน้าตะวันได้ไหมครับ”

         สุดท้ายปานตะวันก็ต้องยอมเดินกลับไปคุ้ยหาเสื้อพี่หมีอะไรนั่นอีกครั้ง แต่สุดท้ายหลังจากรื้อเสื้อเด็กออกมาจนหมดลิ้นชักก็หาไม่เจอ ชายหนุ่มจึงเดินไปที่ห้องซักเสื้อผ้าที่ตั้งเครื่องซักผ้าเอาไว้ ในนั้นมีตะกร้าใส่ผ้ารอซักอยู่ตะกร้าหนึ่ง พอคุ้ยๆ ดูก็พบเสื้อแขนสั้นสีขาวแบบมีฮู้ดคลุมผมเป็นรูปหน้าหมีอยู่ตัวหนึ่ง

         แต่ถึงจะหาเจอก็เอาไปใส่ไม่ได้เพราะยังไม่ได้ซัก ทำยังไงล่ะทีนี้

         ปานตะวันถอนหายใจก่อนเดินย้อนกลับไปหาเจียหลิน

          “ขอโทษด้วยนะน้องเจีย เสื้อพี่หมียังไม่ได้ซักเลย วันนี้น้องเจียใส่พี่ลูกเจี๊ยบไปก่อนแล้วกันเนอะ เอาไว้วันนี้น้าตะวันจะซักพี่หมีให้แล้วค่อยใส่พรุ่งนี้เนอะ ดีไหมครับ”

         เจียหลินเม้มริมฝีปาก คิ้วเล็กขมวดมุ่นก่อนจะพยักหน้ารับ พอเห็นแบบนั้นปานตะวันก็แอบถอนหายใจ ดีที่เจียหลินไม่งอแง

        สองน้าหลานพากันเข้าไปในห้องครัว หลังจากก้มๆ เงยๆ ดูของสดในตู้อยู่พักหนึ่งปานตะวันก็ตัดสินใจหันมาหาเจียหลิน “น้องเจียอยากกินอะไรครับ” เจียหลินก้มหน้างุด ไม่ตอบ ปานตะวันจึงพูดขึ้นมาอีกครั้ง “เจียอยากกินอะไรครับ บอกน้าตะวันเร็ว น้าตะวันจะได้ทำให้กิน”
   
         สิ่งที่ได้รับกลับมาก็ยังคงเป็นความเงียบ ปานตะวันได้แต่ถอนหายใจอย่างเหนื่อยอ่อน สุดท้ายก็หยิบนมออกมากล่องหนึ่ง ค้นตู้กับข้าวไปมาก็เจอขนมปังแผ่น ดูแล้วยังไม่หมดอายุ ชายหนุ่มก็หยิบมาทาแยมที่ค้นเจอจากในตู้เย็น ทำเป็นแซนด์วิชง่ายๆ ก่อนวางใส่จานให้เด็กน้อย
   
         “เอ้า ทานเร็วครับ”
   
         เด็กน้อยแก้มป่องมีสีหน้าลังเลก่อนจะหยิบขนมปังขึ้นมากัด...จากนั้นก็เบะปากออกมา
   
         แล้วก็เริ่มร้องไห้
   
         ปานตะวันอ้าปากค้าง ยกมือกุมศีรษะแล้วกรีดร้องออกมา
   
         กูทำอะไรผิดอีกเนี่ย!
   
          ถอนคำพูด ขอถอนคำพูดว่าเจียหลินเลี้ยงง่าย ไอ้ตะวันเชื่อแล้วว่าเด็กที่ไหนแม่งก็ไม่มีคำว่าเลี้ยงง่ายทั้งนั้น โว้ย อยากจะบ้า
   
          “เจียเป็นอะไรครับ ไม่อร่อยเหรอ หรือแยมหมดอายุ” แต่ตะกี้ที่ดูทั้งแยมทั้งขนมปังก็ยังไม่หมดอายุนี่นา แล้วเด็กนี่เป็นอะไรอีกล่ะเนี่ย
   
        “ไม่ชอบ...ฮึก...เจีย...ไม่ชอบสตรอเบอรี่”
   
        เอ้าชิบหายละ แล้วก็ไม่พูดตั้งแต่แรก ไอ้เขาไม่รู้ก็ปาดแยมสตรอเบอรี่ไปเต็มที่เลยสิ
   
        “งั้นก็ไม่ต้องกินแล้วครับ แล้วหนูเจียอยากกินอะไรครับ บอกน้าตะวันสิ” เจียหลินปาดน้ำตาออกพลางตอบ “อยากกินข้าวต้มหมูสับครับ”
   
        แล้วถามว่าไอ้ตะวันทำเป็นไหม...คำตอบคือไม่
   
        “กินไข่ดาวแทนได้ไหมครับ”
   
        “น้องเจียอยากกินข้าวต้มหมูสับ”
   
         ไม่ว่าเปล่าแต่เด็กน้อยยังช้อนตาขึ้นมอง แม้สีหน้าจะเรียบนิ่งแต่ดวงตากลมคู่นั้นก็เต็มไปด้วยแววออดอ้อนจนคนมองใจอ่อนเป็นรอบที่ล้าน สุดท้ายเจียหลินก็ต้องเดินไปหยิบโทรศัพท์ตัวเองมาเปิดวิธีการต้มข้าวต้ม ก่อนจะเริ่มทำแบบช้าๆ แต่ด้วยความที่เขาทำอะไรไม่เป็นเลยนอกจากต้มมาม่า การทำข้าวต้มครั้งแรกให้ออกมากินได้คงเกินมือไปหน่อย หลังจากทำข้าวไหม้ติดก้นหม้อไปปานตะวันก็คิดว่าตนควรหยุดสร้างความหายนะให้ห้องครัวได้แล้ว
   
         ชายหนุ่มหันหน้าไปหาเจียหลินที่ขยับจมูกฟุดฟิดเพราได้กลิ่นไหม้ก่อนจะยิ้มแหยๆ ออกมา
   
        “น้าตะวันว่าวันนี้เราออกไปทานข้าวนอกบ้านกันดีกว่านะครับ” ให้เขาทำคงไม่ได้กินกันล่ะ “รอแป็ปนะ เดี๋ยวน้าตะวันอาบน้ำแต่งตัวก่อนแล้วเราไปหาอะไรอร่อยๆ กินกัน”
   
        “เจียอยากกินข้าวต้ม...ข้าวต้มฝีมือแม่จันทร์”
   
        ปานตะวันเม้มริมฝีปากก่อนจะพยายามยิ้มออกมา ลูบหัวเด็กน้อยไปหนึ่งที “เดี๋ยวน้าตะวันมานะครับ”
   
         ชายหนุ่มเดินไปหยิบเสื้อผ้าก่อนจะหายเข้าห้องน้ำไป พรูลมหายใจออกมาอย่างช้าๆ ก่อนจะพลิกดูฝ่ามือที่แดงจากการถูกหม้อร้อนๆ เมื่อครู่ ชายหนุ่มยื่นมือไปรองใต้ก๊อกน้ำ ให้น้ำเย็นไหลผ่าน
   
        การเลี้ยงเด็กไม่ง่ายเลยจริงๆ
   
        หลังอาบน้ำแต่งตัวเสร็จปานตะวันก็กลับมาในครัวอีกครั้งแต่แล้วเขาก็ต้องเบิกตากว้างเมื่อพบว่าเจียหลินไม่อยู่ในครัวแล้ว คนตัวเล็กรีบออกเดินตามหาตามห้องต่างๆ พลางตะโกนเรียกแต่ก็ไม่พบ ปานตะวันรีบวิ่งลงไปข้างล่าง ตามหาบริเวณสวนแต่ก็ไม่เจอ
   
         เจียหลินหายไปไหน!
   
         วินาทีนั้นความหวาดกลัวก็แล่นปราดไปทั่วร่าง บางทีเจียหลินอาจจะเดินออกจากบ้านไปไหนสักที่ แต่มันที่ไหนกันล่ะ แล้วทำไมถึงไม่บอกเขา  จู่ๆ ออกไปเฉยๆ ได้ยังไง
   
         ปานตะวันวิ่งพรวดออกจากบ้าน มองซ้ายมองขวาหาเงาของเจียหลิน แต่แล้วเขาก็ชะงัก เพ่งมองไปยังบ้านหลังตรงข้าม คนตัวเล็กเลิกคิ้วอย่างฉงนเมื่อเห็นราเมศยืนอยู่หลังประตูรั้วสีน้ำเงิน ชายหนุ่มผิวแทนขมวดคิ้วเหมือนจะดุ กวักมือเรียกเขาให้เข้าไปหา
   
         “เจียหลินอยู่ในบ้าน” เสียงทุ้มเอ่ยเรียบๆ “วิ่งมาหาเมื่อกี้ ขอให้ทำข้าวต้มให้กิน ฉันเลยทำให้ ตอนนี้กำลังกินอยู่” อีกฝ่ายกวาดตามองเขาตั้งแต่หัวจรดเท้า “แล้วทำไมถึงปล่อยให้เจียหิวขนาดนี้ สิบโมงกว่าแล้วนะ”
   
         ปานตะวันเบนสายตาหลบ มือกำผ้าเช็ดผมผืนเล็กที่พาดคอไว้แน่น “ผมทำข้าวเช้าให้แล้วนะแต่เจียไม่กิน”
   
         “ทำอะไรให้”
   
         “แซนด์วิชกับนม แต่เจียไม่กินแยมสตอเบอรี่ เขาขอให้ผมทำข้าวต้มให้”
   
         “แล้วไงต่อ”
   
         “ผม...ทำไม่เป็น...ข้าวเลยไหม้ติดหม้อ...กินไม่ได้”
   
          ยิ่งพูดยิ่งอาย  ปานตะวันไม่เงยหน้ามองราเมศด้วยซ้ำคนผมน้ำตาลเอาแต่เพ่งพินิจรองเท้าตัวเองประหนึ่งจะหาลายแทง เงียบกันอยู่นานจนในที่สุดชายหนุ่มผิวแทนก็ถอนหายใจออกมา
   
          “เข้าใจล่ะ”
   
         เสียงเปิดประตูรั้วทำให้ปานตะวันเงยหน้าขึ้นมองอย่างฉงน จากนั้นก็ร้องโวยวายออกมาเมื่อถูกลากเข้าไปในบ้าน ชายหนุ่มตัวเล็กถูกดึงเข้าไปในครัวก่อนจะถูกจับให้นั่งลงตรงข้ามกับเจียหลินที่นั่งกินข้าวต้มตุ้ยๆ เด็กน้อยพอเห็นเขาก็เบิกตากว้างก่อนจะรีบก้มหน้าหลบตา ไม่พูดอะไร
   
          ปานตะวันมองราเมศที่เดินตีหน้ายักษ์เข้ามาอย่างประหลาดใจปนหงุดหงิด ชายหนุ่มผิวแทนหันไปมองหลานชาย “หนูเจียอิ่มหรือยังครับ”
   
        “อิ่มแล้วครับ”
   
         เจียหลินพูดค่อยๆ ท่าทางเหมือนกลัวปานตะวันนักหนาทำเอาคนเป็นน้าแท้ๆ ต้องแค่นยิ้มออกมา ราเมศลูบหัวเด็กน้อยสองสามทีก่อนจะบอกเจียหลินเอาชามไปวางในอ่าง ล้างมือล้างปากให้เรียบร้อยแล้วก็หยิบนมมากินหนึ่งกล่องด้วย
   
         หลังหลานชายออกไปจากครัวแล้วราเมศก็ทิ้งตัวลงนั่งตรงข้ามเด็กแสบ กอดอกตีหน้าดุเหมือนกำลังสอบสวนผู้ร้าย
   
         “เอาล่ะปานตะวัน ฉันถามจริงๆ นะ นอกจากต้มมาม่าแล้วนายทำอะไรเป็นบ้าง”
   
         ปานตะวันเลิกคิ้วตอบออกไป “ไม่เป็นเลยสักอย่างเดียว” อายก็อายหรอกนะที่ทำกับข้าวไม่เป็น แต่แล้วยังไงล่ะ เพื่อนเขาอีกหลายคนก็ทำอาหารไม่เป็น เขาเป็นผู้ชายนะ นี่คือสิ่งที่ผู้ชายต้องรู้เหรอ!
   
         “อย่ามองผมแบบนั้นนะ ทำไมอ่ะ เพื่อนผู้หญิงหลายคนที่ผมรู้จักก็ทำกับข้าวไม่ได้ ผมไม่ผิดสักหน่อย”  ปานตะวันรีบพูดปกป้องตัวเองเมื่อราเมศมองเขาด้วยสายตาระอาใจ สายตาคู่นั้นเหมือนจะบอกว่าแค่ทำอาหารง่ายๆ ก็ทำไม่ได้เลยอย่างนั้นเหรอ โตมาแบบไหนกัน
   
         “นายต้องหัดทำ จะได้ไม่เกิดเหตุการณ์แบบนี้อีก ถ้าวันนี้ฉันไม่อยู่บ้านนายจะทำยังไง ทำอะไรก็ไม่เป็นนอกจากมาม่าแบบนี้ จะพากันอดตายทั้งน้าทั้งหลานหรือไง”
   
        “แล้วข้าวกล่องอีซี่โกกับร้านอาหารมีไว้ทำไมล่ะครับ แหม่”
   
        “แล้วใจคอนายจะพาหลานไปกินข้าวนอกบ้านกับให้กินอาหารแช่แช็งที่ไม่มีประโยชน์กับสุขภาพไปตลอดเลยหรือไง” คนตัวโตพูดเสียงเข้ม “รู้อะไรไหม กินข้าวที่ไหนก็ไม่ดีเท่ากินฝีมือของคนที่บ้านหรอก”
   
        ปานตะวันเงียบไป ในใจก็เห็นด้วยกับคำพูดราเมศแม้จะไม่อยากยอมรับ
   
        เมื่อก่อนตอนเขายังเป็นเด็ก ทุกวันจะได้กลับจากโรงเรียนมาทานข้าวเย็นที่บ้าน พ่อของเขาทำอาหารเป็น แน่ล่ะว่ามันไม่ได้อร่อยเลิศที่สุดแต่ปานตะวันก็ชอบกับข้าวของพ่อมากที่สุด แม้รสชาติจะไม่ธรรมดาแต่ปานตะวันคิดว่าอร่อยมากกว่าตามร้านอาหารทุกที่และเขาก็กินจนหมดทุกครั้ง
   
        “ทำไม่เป็นก็ต้องหัด ไม่มีใครเก่งแต่เกิดหรอก”
   
        “ผมไม่มีปัญญาไปเข้าคอร์สทำอาหารหรอกนะ”
   
         ราเมศหรี่ตามองเขาก่อนจุดยิ้มมุมปาก ส่งให้ใบหน้าหล่อเหลานั่นดูดีขึ้นไปอีก เสียงทุ้มเอ่ยกลั้วหัวเราะราวกับจะกลั่นแกล้ง  “แล้วใครว่าฉันจะให้นายไปลงคอร์สทำอาหารกันล่ะ ฉันก็ทำอาหารได้ สอนให้นายทำเป็นคงไม่ได้ยากเกินความสามารถหรอก แต่นายต้องมาเรียนทำอาหารที่นี่ทุกวัน วันละอย่าง เข้าใจไหม”
   
        “นี่คุณเป็นพวกคอมมิวนิสต์หรือไง บังคับอยู่ได้!”
   
        “ก็นายมันดื้อ”  ดื้อจนน่าตี  “กับเด็กแบบนายต้องพูดแบบนี้แหละ”
   
        “แล้วผมจะรู้ได้ไงว่าคุณทำอร่อยจริง ไม่ใช่มาโม้ไปอย่างนั้น  อ้อแล้วก็ผมไม่มีเงินจ่ายค่าเรียนหรอกนะ”
   
         “ฉันไม่เก็บตังค์ ถือว่าทำเพื่อหลาน ส่วนที่ว่าฝีมือฉันอร่อยไม่อร่อย นายก็พิสูจน์ดูเองสิ”
   
         ว่าตบก็เดินไปที่หน้าเตาซึ่งมีหม้ออยู่หม้อหนึ่ง ราเมศเปิดฝาหม้อ ควันสีขาวลอยขึ้นพร้อมกลิ่นหอมของข้าวต้มลอยอวลไปทั่ว ชายหนุ่มผิวแทนตักข้าวต้มใส่ถ้วยก่อนวางลงตรงหน้าไอ้เด็กดื้อ
   
         “กินสิ”
   
         “อะไร”
   
        “ข้าวต้มฝีมือฉันเอง นายลองชิมสิ ยังไม่ได้ทานอะไรมาเหหมือนกันไม่ใช่เหรอ”
   
         ปานตะวันย่นจมูกใส่ก่อนจะหันไปมองคนที่แสร้งเลิกคิ้วด้วยท่าทางหงุดหงิด แต่กระนั้นก็ยอมตักข้าวต้มเข้าปากแต่โดยดี
   
         อร่อย...อร่อยแฮะ ผิดจากที่คิดไว้เยอะเลย
   
         ราเมศอมยิ้มด้วยท่าทางเหนือกว่า “อร่อยล่ะสิ”
   
        “เปล่าสักหน่อย”
   
        “หน้านายมันฟ้อง”
   
       “ฮึ่ย!”   
   
         “อร่อยก็กินไปไม่ต้องวางฟอร์มหรอก มีอีกเยอะ ไม่พอเติมได้นะ” ราเมศวางขวดพริกไทยลงตรงหน้าคนผมน้ำตาล “เชื่อหรือยังล่ะว่าฉันมีฝีมือ ทีนี้นายก็ยอมมาเรียนทำอาหารกับเสียดีๆ”
   
        คนอายุน้อยกว่าได้ฮึดฮัดในใจก่อนจะพยักหน้ากลับไป “รู้แล้วน่า ย้ำจัง”
   
        ราเมศหัวเราะหึ เดินไปหยิบแก้วน้ำกับขวดน้ำมาวางไว้ไห้ จากนั้นก็เดินออกไปดูเจียหลิน เมื่อเห็นว่าหลานเปิดทีวีดูตาแป๋วก็กลับเข้ามาในครัวเพื่อจัดการคนเป็นน้าต่อ
   
        ราเมศเดินไปยืนอยู่ด้านหลังปานตะวัน มือใหญ่ดึงผ้าขนหนูที่พาดคอคนตัวเล็กมาไว้ในมือก่อนจะเช็ดผมให้อีกฝ่าย
   
        “เฮ้ ทำอะไรเนี่ย”
   
        “กินไปเถอะน่า” เขาดุ “ปล่อยผมเปียกแบบนี้ไม่ดีนะ นายนั่งกินไป เดี๋ยวเช็ดผมให้”
   
        เจ้าเด็กแสบบ้านตรงข้ามนิ่งไป ราเมศก้มมองก็เห็นใบหูเล็กๆ ของอีกฝ่ายเปลี่ยนเป็นสีแดงอีกแล้ว เขาหัวเราะเสียงทุ้ม แกล้งโยกศีรษะอีกคนเบาๆ จากนั้นก็เช็ดผมให้ร่างเล็กต่อไปเรื่อยๆ 
   
        น้ำหนักพอดีที่กดลงมาบนศีรษะไม่ได้ทำให้เจ็บแต่อย่างใด ปานตะวันเม้มริมฝีปาก กินข้าวต้มไปก็นั่งบ่นผู้ชายใจร้ายด้านหลังไปด้วย
   
        คนอะไรเดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย เดี๋ยวดุเดี๋ยวทำดี
   
        ตามไม่ทันแล้ว
   
         ปานตะวันถอนหายใจออกมาอย่างไม่ปิดบัง  การเลี้ยงเด็กว่ายากแล้วแต่การรับมือพี่เลี้ยงเด็กบ้านตรงข้ามก็ไม่ได้ง่ายไปกว่ากันเท่าไหร่เลยจริงๆ


************************************************************

สวัสดีค่าาาา กลับมาแล้วหลังจากหยุดปีใหม่ไปนาน ลงตอนใหม่รับปีใหม่ได้แล้วในที่สุด
พอเขียนตอนนี้ก็รู้สึกว่า...ทำไมมันเหมือนจะดราม่าตั้งแต่ต้นเรื่องเลยหว่า 55555
อีกอย่างที่ชอบคือปานตะวันค่ะ ถึงจะทำอะไรไม่เป็นแต่ก็กำลังพยายาม จริงๆ ก็ไม่ได้เป็นเด็กไม่ดี
แต่เป็นเด็กปากไม่ตรงกับใจต่างหาก ต้องให้พี่เมศง้างปากบ่อยๆ  :hao7:
ตอนนี้ไม่รู้จะเหนื่อยใจแทนใคร แทนปานตะวันที่ต้องรับมือทั้งหลานทั้งเพื่อนบ้านหรือแทนพี่เมศที่ต้องรับมือเด็กดื้อ
55555555
ตอนต่อไปจะมาอาทิตย์หน้านะคะ ไม่แน่ใจว่าเสาร์หรืออาทิตย์ แงงง
ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านนะคะ อยากบอกอะไร อยากติชมตรงไหนบอกได้เต็มที่เลยค่ะ
พบกันตอนต่อไปนะคะ จุ๊บ

ปล. สามารถติดตามข่าวสารและพูดคุยกับเราได้ที่เพจ AzureDream นะคะ


ออฟไลน์ winndy

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1135
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +89/-3

ออฟไลน์ insomniac

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1483
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +111/-3
เรื่องใหม่ของคุณ snowrabbit  :mc4:
เริ่มเรื่องมาก็น่ารักปนเศร้าแล้ว แต่โทนคงแนวอบอุ่นไม่ดราม่ามาก ติดตามๆ

ออฟไลน์ stickyyrice

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1509
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +40/-5
ตามๆ น้องเจียยังไม่คุ้นสินะ

ออฟไลน์ titansyui

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2386
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-0

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
ทำไมราเมศถึงคิดว่าแม่ของเจียหลินเกลียดตัวเองล่ะ ที่แท้แล้วราเมศเป็นพ่อของเจียหลิน โดยการข่มเหงจันทร์จ้าวหรือเปล่า หรือว่าราเมศแอบรักเพื่อนตัวเองจนไปมีอะไรด้วยโดยวิธีใดวิธีหนึ่งเข้า (ขี้มโนเสียจริง)

ออฟไลน์ Jibbubu

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3393
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-6
ทำไมราเมศถึงคิดว่าแม่ของเจียหลินเกลียดตัวเองล่ะ ที่แท้แล้วราเมศเป็นพ่อของเจียหลิน โดยการข่มเหงจันทร์จ้าวหรือเปล่า หรือว่าราเมศแอบรักเพื่อนตัวเองจนไปมีอะไรด้วยโดยวิธีใดวิธีหนึ่งเข้า (ขี้มโนเสียจริง)

คิดเหมือนกันเลยว่าราเมศอาจจะเป็นพ่อเจียหลิน และแอบแปลกใจเหมือนกันว่าทำไมถึงไม่มีรูปพ่อของเจียหลินเลย

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ p_phai

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2302
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +154/-6

ออฟไลน์ zenesty

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 256
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-0
น้องเจียอยากใส่ชุดพี่หมี  แอร๊~~ น่าย้ากกกกกก   :ling1:

ออฟไลน์ monetacaffeine

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 681
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +53/-5

ออฟไลน์ Mura_saki

  • แค่เรารู้จักกัน...มันก็ดีที่สุดแล้ว :)
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2067
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +179/-9
สงสัยในตัวราเมศ? พ่อเจียหลินรึป่าว หรือพี่จันทร์ท้องกับคนอื่น


ออฟไลน์ utamon

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 706
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-2
แอบสงสัยความสัมพันธ์ระหว่างราเมศกับจันทร์จ้าว ต้องมีอะไรในกอไผ่ไหมนะ :m28:

ออฟไลน์ snowrabbit

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 264
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +219/-6
ปานตะวัน
บทที่ ๓
A little thing I can do



         หนึ่งอาทิตย์ผ่านไปอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว  บางทีอาจเป็นเพราะตลอดอาทิตย์ปานตะวันเอาแต่ยุ่งวุ่นวายกับเจียหลินและผู้ชายบ้านตรงข้ามก็ได้
   
         อยู่ร่วมบ้านกับหลานชายแท้ๆ มาได้หนึ่งสัปดาห์เต็มแต่เจียหลินก็ยังคงไม่พูดกับปานตะวัน เด็กน้อยจะแสดงความต้องการออกมาตรงๆ แค่บางครั้งเท่านั้น ส่วนเวลาที่เหลือก็จะนั่งเงียบ  ตอนแรกปานตะวันคิดว่าเจียหลินอาจจะแค่ไม่คุ้นกับเขา แต่หลังจากเวลาผ่านไปเด็กน้อยก็ยังมีทีท่าไม่เปิดใจให้ คนเดียวที่เจียหลินยอมพูดด้วยคือราเมศ เห็นดังนั้นปานตะวันจึงได้รู้
   
        เจียหลินไม่ใช่ไม่คุ้นกับเขา
   
       แต่เด็กน้อยไม่เปิดใจต่างหาก
   
       เจียหลินยังคงเห็นปานตะวันเป็นคนแปลกหน้าอยู่ตลอดเวลา
   
        แต่เขาก็ไม่แปลกใจหรอก จิตใจของเด็กคนนี้ค่อนข้างเปราะบาง สิ่งเดียวที่ปานตะวันทำได้คือสร้างความคุ้นชินกับหลานชายไปเรื่อยๆ
   
        แต่เอาเข้าจริงๆ เขาก็แอบท้อเหมือนกันนะ แล้วก็...อิจฉาราเมศนิดหน่อยล่ะมั้ง
   
        “น้าตะวัน น้าตะวัน ตื่นได้แล้ว เจียสายแล้วนะ” เสียงเล็กดังขึ้นข้างหูพร้อมกับมือน้อยๆ พยายามเลิกผ้าห่มปานตะวันออก ทำเอาคนขี้เซาต้องปัดป้องด้วยความรำคาญ “ส่งเสียงดังอะไรแต่เช้าน้องเจีย น้าตะวันจะนอน”
   
        “แต่...แต่วันนี้เจียต้องไปโรงเรียนนะ น้าตะวันบอกว่าจะเป็นคนไปส่งเจียไม่ใช่หรือไง น้าตะวัน เจียสายแล้วนะ”
   
        คำว่า ‘ไปโรงเรียน’ ทำให้ปานตะวันถึงกับลืมตาโพล่ง กระเด้งตัวลุกขึ้นมานั่งอย่างว่องไวประหนึ่งใครกดเปิดสวิตช์การทำงานของสมอง  ชายหนุ่มขยี้เส้นผมสีน้ำตาลอย่างงุนงงก่อนจะคว้าโทรศัพท์มาดู
   
        ไอ้ชิบหาย เจ็ดโมงสิบห้า!!
   
        พอหันไปมองข้างเตียงก็เจอหนูเจียยืนหน้าตาตื่นอยู่ เด็กน้อยยังอยู่ในชุดนอนลายกล้วยหอมอยู่เลยด้วยซ้ำ “หนูเจีย ทำไมยังไม่อาบน้ำ!”
   
       เจียหลินตาโต ปากสั่นระริก ตอบตะกุกตะกัก “ก็...ก็...เจียรอน้าตะวัน...”
   
       เท่านี้ก็รู้แล้วว่าที่เด็กน้อยไม่ยอมอาบน้ำเป็นเพราะรอเขาตื่นมาอาบให้นั่นเอง  ปานตะวันสบถในใจอย่างบ้าคลั่ง ด่าตัวเองที่หลับลึกชนิดว่าตั้งนาฬิกาปลุกทุกสิบห้านาทีก็ยังตื่นสาย
   
        วันนี้เป็นวันแรกที่เจียหลินจะไปโรงเรียนหลังจากบรรดาญาติๆ ขอลาหยุดมาเพื่อจัดการงานศพของคุณแม่และวันนี้ก็เป็นวันแรกที่ปานตะวันจะได้พาหลานไปโรงเรียนด้วยตัวเอง ตอนแรกราเมศอาสาจะไปส่งแต่ปานตะวันก็ดันอยากโชว์แมน แสดงให้อีกฝ่ายเห็นว่าเขาก็ดูแลเจียหลินได้ ดังนั้นเลยอาสาพาไปส่งด้วยตัวเอง
   
       แล้วเป็นไงล่ะ...สาย...สายสนิท นี่ถ้าไอ้พี่ยักษ์บ้านตรงข้ามมันรู้นะ ไอ้ตะวันโดนขบหัวไปเคี้ยวเล่นแน่ๆ
   
       โดนด่ายับแบบไม่ให้กลับบ้านถูกแหงๆ
   
       “โอ๊ยยย น้องเจีย น้าตะวันขอโทษนะ”
   
       ปานตะวันรีบคว้าผ้าเช็ดตัวพร้อมกับหิ้วตัวเจียหลินขึ้นมาก่อนจะติดสปีดเข้าห้องน้ำอย่างรวดเร็ว ชายหนุ่มบีบยาสีฟันใส่แปรงสีฟ้าอันเล็กกับอันใหญ่ที่ใส่ไว้ในแก้วน้ำด้วยกัน อันเล็กเป็นของเจียหลิน ส่วนอันใหญ่เป็นของเขา เงาชายหนุ่มตัวโตกับเด็กชายตัวเล็กที่ยืนเขย่งอยู่บนเก้าอี้เพื่อให้ตัวเองสูงถึงเหนือกระจกตรงอ่างล้างหน้าเป็นภาพที่น่ารักจนชวนให้จั๊กจี้หัวใจจริงๆ
   
       หลังล้างหน้าแปรงฟันเสร็จปานตะวันก็ถอดชุดของเขากับหนูเจียออก อาบน้ำพร้อมกันไปทั้งคู่ จากนั้นก็รีบออกมาแต่งตัว

        ชุดนักเรียนอนุบาลของน้องเจียที่รีดเรียบร้อยถูกแขวนไว้ มันเป็นชุดเสื้อสีขาว มีกระเป๋าที่ปักตราโรงเรียนตรงอกซ้าย กางเกงนักเรียนของฝ่ายอนุบาลเป็นสีฟ้าอ่อน ปานตะวันรีบจนติดกระดุมให้หลานผิดๆ ถูกๆ  พอพลิกดูนาฬิกาข้อมืออีกทีก็พบว่าเป็นเวลาเจ็ดโมงครึ่งแล้ว
   
       “หนูเจีย ไปกินข้าวเช้าที่โรงเรียนได้ไหมครับ” ปานตะวันคิดว่าคุณครูคงไม่ใจร้ายเกินไปนัก อย่างน้อยๆ ก็คงอนุญาตให้เด็กอนุบาลที่ไม่ได้กินข้าวเช้ามาได้กินขนมปังกับนมแหละน่า
   
       เจียหลินมีสีหน้าไม่แน่ใจแต่ก็พยักหน้า รีบวิ่งไปหยิบกระเป๋านักเรียนตัวเองมาสะพายก่อนจะวิ่งปรู๊ดไปรอที่รถมอเตอร์ไซค์สีฟ้าพร้อมกับหยิบหมวกนิรภัยมาสวมอย่างรู้หน้าที่ ปานตะวันหยิบนมกล่องกับแซนด์วิชที่ทำเตรียมไว้ตั้งแต่เมื่อวานออกมาก่อนจะใส่ลงกระเป๋าให้หลานชาย จากนั้นจึงรีบบึ่งพาไปโรงเรียน
   
       ตอนที่พามาถึงยังเหลือเวลาอีกประมาณสิบนาทีก่อนเข้าแถว ปานตะวันอุ้มเจียหลินลงจากรถก่อนจะพาวิ่งไปที่ตึกเรียน เด็กน้อยในอ้อมแขนหัวสั่นหัวคลอน ชายหนุ่มผมน้ำตาลวิ่งหลบบรรดาพวกแม่ๆ และผู้ปกครองทั้งหลายก่อนจะเบรกเอี๊ยดลงที่หน้าห้องเรียนของน้องเจียได้ทันเวลา ควรค่าแก่การบันทึกเป็นสถิติโลก
   
       คุณครูประจำชั้นคนสวยที่เจียหลินบอกว่าชื่อ ‘น้ำมนต์’ ยืนยิ้มหวานรอต้อนรับอยู่แล้ว เธอรับไหว้เขาก่อนจะส่งก้มลงไปลูบศีรษะเจียหลินด้วยความเอ็นดู
   
       “สวัสดีค่ะน้องเจีย แล้วก็...”
   
       “ปานตะวันครับ ตอนนี้เป็นผู้ปกครองเจียหลิน”
   
        “อ๋อ” เธอรับคำ สีหน้าฉายแววเข้าใจและเห็นอกเห็นใจ ปานตะวันยิ้มบางๆ ให้คุณครูน้ำมนต์ “ผมต้องขอฝากเจียหลินด้วยนะครับคุณครู ช่วงนี้แกยังซึมอยู่เลย”
   
        “ครูเข้าใจค่ะ ไม่ต้องห่วงนะคะ ทางเราจะดูแลน้องเจียให้ดีที่สุดค่ะ”
   
        ปานตะวันกล่าวขอบคุณอีกครั้งก่อนจะย่อตัวลง ดึงเจียหลินมาหอมแก้มซ้าย แก้มขวาหลายๆ ที จากนั้นก็กอดแน่นๆ
   
        “เป็นเด็กดี ตั้งใจเรียนนะน้องเจีย แล้วตอนเย็นน้าตะวันจะมารับนะครับ”
   
        เจียหลินพยักหน้า ไม่พูดตอบ ไม่กอด ไม่หอม ปานตะวันยิ้มเจื่อนก่อนจะขยับตัวออกมา “ผมไปนะครับครู ขอบคุณมากครับ”
   
        “ค่ะ”
   
        “ไปนะน้องเจีย”
   
        ปานตะวันโบกมือให้เด็กน้อยที่ยืนก้มหน้าจ้องพื้นลายหินอ่อนตรงทางเดิน  บางครั้งเขาก็สงสัยเหมือนกันว่าเจียหลินคิดอะไรอยู่...อยากให้เจียหลินเปิดใจ อยากให้เด็กน้อยพูดออกมา
   
        จะต้องทำยังไงนะ ความเศร้าที่มีถึงจะคลายลงไปได้บ้าง
   
        บางทีตอนที่ยืนลากันเจียหลินอาจจะคิดถึงภาพตอนที่แม่จันทร์อุ้มตนมาส่งโรงเรียนก็ได้ บางทีตอนที่อาบน้ำให้หรือก่อนออกจากบ้านเจียหลินอาจจะคิดถึงตอนแม่จันทร์ทำอาหารอร่อยๆให้ทานหรือมาคอยปลุกไม่ให้ไปโรงเรียนสาย
   
        ถ้าเขาเป็นอย่างพี่จันทร์ได้ก็ดีสิ จะได้เลี้ยงเจียหลินให้มีความสุขได้ หลานจะได้ไม่ต้องคอยทำหน้าเศร้าแบบนี้
   
        ปานตะวันกอดลาเจียหลินเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะหันหลังเดินกลับออกไป แต่ในตอนนั้นเองที่แรงโถมเล็กๆ จากด้านหลังทำให้เขาเกือบสะดุด พอหันไปมองชายหนุ่มผมน้ำตาลก็ต้องอุทานขึ้นมาอย่างแปลกใจ
   
        “น้องเจีย!?”
   
         เจียหลินกอดขาขวาปานตะวันแน่น ซุกหน้าลงไม่มองเขา จนสุดท้ายคนโตกว่าก็ต้องย่อตัวลงไปเพื่อคุยกันให้ถนัด
   
         “ว่าไงครับน้องเจีย มีอะไรหรือเปล่า”
   
         เจียหลินส่ายหน้า
   
          “งั้นน้าตะวันไปแล้วนะ น้องเจียก็ไปเข้าห้องเรียนได้แล้วล่ะครับ เจอกันตอนเย็นนะ”
   
         เจียหลินนิ่งไปครู่หนึ่ง ปานตะวันเหลือบตาไปมองครูน้ำมนต์ที่ทำท่าจะเดินแยกเจียหลินออกจากผู้ปกครอง แต่แล้วทันใดนั้นร่างเล็กนุ่มนิ่มก็กระโดดกอดคอปานตะวัน ซุกกายเข้าหาเหมือนลูกสัตว์ตัวน้อย
   
         ปานตะวันนิ่งค้างไปครู่หนึ่งก่อนที่รอยยิ้มกว้างจะผุดขึ้นที่ริมฝีปาก คนตัวเล็กโอบร่างเจียหลินแน่น หอมแก้มนุ่มนิ่มอีกหลายทีก่อนจะเดินตัวลอยๆ ออกจากโรงเรียน
   
         ตลอดทางผู้ปกครองคนอื่นๆ ก็มองเขาด้วยสายตาหวาดระแวง มองทำไมกันนักก็ไม่รู้ ไม่เคยเห็นคนยิ้มดีใจที่โดนหลานกอดหรือไง!
   
        พอเดินมาจนถึงรถของตัวเองปานตะวันก็ต้องรีบทรุดลงนั่งสงบจิตสงบใจก่อนหยิบโทรศัพท์มากดหาใครบางคนด้วยมือสั่นระริก รอไม่นานก็ได้ยินเสียงทุ้มดังออกมา
   
        [ว่าไงเด็กแสบ มีอะไร ได้ข่าวว่าไปส่งหลานสายเหรอ เห็นไหมฉันบอกแล้วว่าจะไปส่งให้ก็ไม่ฟัง]
   
        “นี่...นี่คุณ...ฟังนะ...คือว่าตอนก่อนจะออกมาอ่ะ จู่ๆ น้องเจียเขา...เขาก็เข้ามากอดผมด้วย ครั้งแรกเลยนะที่น้องเจียกอดผมก่อนอ่ะ!”
   
        ปลายสายเงียบไปพักหนึ่งก่อนที่เสียงหัวเราะเบาๆ จะลอดออกมา หากเป็นยามปกติปานตะวันคงแยกเขี้ยวโวยวาย แต่ตอนนี้เขาดีใจเกินกว่าจะอารมณ์เสียกับเรื่องเล็กน้อยเท่านี้
   
         [ดีใจใช่ไหมล่ะ]
   
         “อื้อ ดีใจสิ! ครั้งแรกเลยนะ โหย อยากเอากล้องมาถ่ายเก็บไว้จริงๆ”
   
         ก็น้องเจียของเขาน่ารักมากๆ เลยนี่นา!
   
         ปานตะวันยิ้มกว้าง แตะมือลงที่อกของตัวเอง
   
         ทีละเล็ก ทีละน้อย แต่เขาก็รับรู้มันได้...สิ่งที่เรียกว่า ‘สายสัมพันธ์’ กำลังถักทอขึ้นช้าๆ
   
          ตอนที่กลับมาถึงบ้านราเมศยังไม่กลับมา ถ้าเป็นตามปกติเวลานี้ปานตะวันจะไปคลุกอยู่บ้านอีกฝ่าย ให้คนตัวโตหน้าดุสอนทำอาหาร ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อแต่ผู้ชายที่ดูจะไร้ความอ่อนโยนคนนั้นกลับทำอาหารออกมาได้อร่อยและใส่ใจทุกขั้นตอนการทำ แถมยังอดทนกับตัวเขาที่งุ่มง่ามเงอะงะได้อย่างน่ามหัศจรรย์ถึงแม้จะบ่นไปจิกกัดไปแต่ทุกครั้งที่ปานตะวันกะส่วนผสมผิดหรือทอดอะไรสักอย่างไหม้ ราเมศก็ไม่เคยที่จะทำสีหน้าหมดความอดทนเลยสักครั้ง นอกจากสอนทำอาหารแล้วอีกฝ่ายยังสอนเขาทำงานบ้านเล็กๆ น้อยๆ ด้วย
   
          หลังจากราเมศสละจานที่บ้านตัวเองไปครึ่งโหล อย่างน้อยตอนนี้ปานตะวันก็ล้างจานได้โดยไม่ทำจานแตกแล้ว
   
          หลังจากไปด้อมๆ มองๆ หน้าบ้านอีกฝ่ายอยู่พักหนึ่งปานตะวันก็ตัดสินใจไลน์ไปหาอีกฝ่าย
   
          TaWan : ไม่อยู่บ้านเหรอครับ
   
          ไม่ถึงสามนาทีอีกฝ่ายก็ตอบกลับ
   
          ราม : ไม่อยู่ วันนี้ฉันออกมาคุยงานกับลูกค้า โทษทีนะที่ไม่ได้บอกก่อน
   
         TaWan : ไม่เป็นไรครับ ถ้าวันนี้ไม่มีเรียนทำกับข้าวงั้นผมจะทำความสะอาดบ้านแล้วกัน ชักรกแล้ว
   
         ราม : อย่าพังบ้านนะ
   
        ปานตะวันกดส่งสติ๊กเกอร์หน้าตาโมโหไปหลายตัว ก่อนที่ราเมศจะส่งไลน์มาอีกรอบ เปล่าไม่ได้ขอโทษหรอก ไอ้มนุษย์ยักษ์นั่นส่งมาบอกว่า
   
        ราม : ฉันจะซื้อพลาสเตอร์ยากลับไปตุนไว้เยอะๆ แล้วกัน
   
       มันใช่เหรอวะ!
   
       ปานตะวันฮึดฮัด ก่อนจะยัดโทรศัพท์กลับเข้ากระเป๋าแต่ไม่ทันไรก็ต้องหยิบขึ้นมาอีกรอบเมื่อโทรศัพท์ของเขาสั่นเป็นสัญญาณว่ามีคนโทรเข้ามา เมื่อหยิบขึ้นมาดูก็พบว่าเป็นเพื่อนสนิทของเขาเอง จะว่าไปตั้งแต่มันขับรถมาส่งที่บ้านหนนั้นพวกเขาก็แทบไม่ได้คุยอะไรกันอีกเลย มันก็ยุ่งกับการเรียน ปานตะวันก็ยุ่งกับการเลี้ยงหลาน มีส่งไลน์ถามกันบ้างแต่ก็ไม่ได้พูดอะไรไปมากกว่าคำว่าสบายดี  ชายหนุ่มกดรับสายจากนั้นก็ต้องรีบเหยียดโทรศัพท์ออกห่างให้มากที่สุดเพราะปลายสายมันดันตะโกนขึ้นมา
   
        [เชี่ยตะวัน!!]
   
        “โอ๊ย ตะโกนหาใครวะ พูดธรรมดาก็ได้ยิน”
   
        [มึงหายไปไหนมา ทำไมตอบไม่ตอบไลน์กู ล่าสุดส่งไปเมื่อวานก็ไม่อ่าน แล้วนี่ที่บ้านเป็นยังไงทำไมไม่เล่าให้ฟังเลย มึงสบายดีใช่ไหม]
   
       ปานตะวันหลุดยิ้มออกมา ไอ้หมอนี่จะกี่ปีก็ชอบทำตัวห่วงเกินจริง
   
       แต่ก็มีแค่มันนี่แหละ...ในวันที่เขาไม่เหลือใครเลย
   
       “ใจเย็นๆ ถามเยอะแบบนี้กูงงนะ”
   
       [อย่ามาเฉไฉ]
   
        “โอเคๆ งั้นเอางี้ วันนี้มึงว่างไหม ออกมาเจอกันไหมล่ะ หรือว่าจะเข้ามาหากูที่บ้าน”
   
       [เดี๋ยวกูเข้าไปหาที่บ้านก็ได้ ยังอยู่ที่เรือนไทยใช่ไหม]
   
       “ใช่”
   
        [งั้นเดี๋ยวไปหา เจอกัน]
   
        พูดจบก็ชิ่งวางสายไปเลย ทิ้งให้ปานตะวันมองโทรศัพท์ตาปริบๆ ก่อนจะพรูลมหายใจออกมา ชายหนุ่มกลับเข้าบ้าน จัดการห้องรับแขกที่รกเป็นรังหนูให้พอดูได้ จากนั้นก็นั่งเล่นโทรศัพท์รอจนกระทั่งได้ยินเสียงรถ ชายหนุ่มจึงเดินไปชะโงกหน้าดู เมื่อพบว่าเป็นรถเพื่อนสนิทตัวเองก็รีบเดินลงบันไดไปรับ
   
        “เฮ้ย ว่าไงมึง”
   
        ชนกันต์มองเพื่อนสนิทตัวเล็กที่เดินหน้าระรื่นลงมาด้วยสายตาหลากหลายก่อนจะบุ้ยปากไปที่หลังรถ “กูซื้อข้าวมาด้วย”
   
        “ดีเลย กูยังไม่ได้กินอะไรเลยตั้งแต่เช้าเนี่ย”
   
        “งั้นก็ไปช่วยหิ้วกับข้าวเลย หิวแล้ว เร็วๆ”
   
         ปานตะวันรับคำเสียงยานคาง ก่อนจะเดินไปหยิบถุงอาหารสองสามถุงจากเบาะหลัง เพื่อนสนิทของเขาพอเข้าบ้านได้ก็ทิ้งตัวนั่งบนโซฟาทันที ทิ้งให้ปานตะวันจัดการเทกับข้าวลงจานแล้วจัดโต๊ะทานอาหารอยู่คนเดียว
   
         “เอ้า เสร็จแล้ว”
   
         ปานตะวันเรียกคนที่นอนอืดบนโซฟาให้มานั่งกินข้าว ชนกันต์เดินมา ทิ้งตัวลงนั่งตรงข้ามเขา ทั้งที่บ่นอยู่ตลอดว่าหิวมากแต่อีกฝ่ายกลับไม่ยอมลงมือทาน เอาแต่จ้องปานตะวันตาไม่กะพริบจนคนถูกมองทำตัวไม่ถูก
   
         “จ้องอะไรของมึง”
   
         “มึงจะเล่าให้กูฟังได้ยังว่าไปเจออะไรมา”
   
         “กินข้าวก่อนไม่ได้หรือไง”
   
         “ไม่ เล่ามา”
   
        ปานตะวันถอนหายใจกับคำพูดเอาแต่ใจของเพื่อน แต่พอเห็นสายตาเป็นห่วงจากมันก็ทำให้เขาใจอ่อน สุดท้ายก็ยอมเล่าออกไป
   
        แต่ไหนแต่ไรก็มีแต่ชนกันต์ที่ยอมอยู่ข้างเขาไม่ว่าจะเป็นยามทุกข์หรือยามสุข อยู่ข้างๆ คอยดึงไม่ให้หลงทาง เขาสัญญาว่าจะไม่มีความลับกับมันและมันก็สัญญาว่าจะไม่ทิ้งเขาไปไหน
   
        “กูตัดสินใจจะอยู่ที่นี่สักพัก...กูเพิ่งรู้ว่าตัวเองมีหลาน” ปานตะวันพูดจบก็งับริมฝีปากเงียบ รอดูปฏิกิริยาของเพื่อน ชนกันต์หรี่ตาลง
   
       “หลาน? หมายความยังไง?”
   
        “ลูกชายของพี่จันทร์ กูก็เพิ่งรู้นี่แหละว่าพี่มีลูก มีครอบครัว พอพี่ตายหลานก็เหลือกูคนเดียว”
   
        “แล้วพ่อเด็กไปไหน ปู่ย่าเขาอีก แม่มึงรู้ไหมเนี่ย”
   
         พอพูดถึงตรงนี้ปานตะวันก็ส่ายหน้า “แม่ยังไม่รู้ กูไม่ได้บอก  ส่วนญาติฝั่งพ่อเด็กก็ไม่เห็นมีใครติดต่อมาสักคน” ตอนแรกชายหนุ่มก็ไม่ได้คิดถึงเรื่องนี้ แต่พอชนกันต์พูดเขาถึงฉุกใจคิดได้ว่าไม่เคยเจอญาติฝ่ายพ่อของเจียหลินเลย รวมถึงเรื่องที่ว่าไม่เคยเห็นหน้าพ่อของเจียหลินเลยสักครั้ง
   
        “กูว่ามันชักยังไงๆ แล้วนะ หลานกับลูกสะใภ้เสียทั้งคน ทำไมเขาไม่มาดูบ้าง อย่างน้อยก็น่าจะรับหลานไปเลี้ยง แล้วเด็กคนนี้กี่ขวบแล้ว?”
   
        “สี่ อยู่อนุบาลสอง”
   
       “ไปกันใหญ่เลยทีนี้”
   
        ชนกันต์พ่นลมหายใจออกมาอย่างหงุดหงิด ใช้ส้อมจิ้มหมูทอดในจานเสียงดัง  ปรายตามองปานตะวันดุๆ “แล้วมึงแน่ใจเหรอว่าจะเลี้ยงเด็กคนนี้ได้”
   
       “ก็คงต้องลองดู”
   
       พอเขาตอบไปแบบนี้นายกันต์ก็ทำหน้าขรึม ประสานมือเข้าด้วยกันเหมือนทุกครั้งที่มันกำลังจะพูดเรื่องจริงจัง ทำให้ปานตะวันรู้ว่าหลังจากนี้ชนกันต์จะไม่พูดหรือทำท่าทีเล่นๆ อีกแล้ว
   
       “ฟังนะตะวัน กูรู้ว่ามึงรู้สึกว่าต้องรับผิดชอบ แต่เอาตรงๆ นะ...”
   
       “มึงในตอนนี้ไม่มีทางเลี้ยงเด็กคนหนึ่งให้ดีได้เลยเพราะขนาดตัวมึงเองยังเอาตัวไม่รอด”
   
       ปานตะวันก้มหน้า ไม่เถียง ไม่โต้ตอบ
   
       เพราะชนกันต์พูดถูกทุกอย่าง
   
        หนึ่งอาทิตย์ที่ผ่านมาเป็นสิ่งที่พิสูจน์คำพูดของเพื่อนสนิทได้ เจียหลินยังไม่เปิดใจให้เขา และปานตะวันก็ยังไม่สามารถจัดการชีวิตที่เพิ่มหลานชายเข้ามาให้เข้าที่เข้าทางได้ ทุกอย่างดูยุ่งเหยิงและสับสน
   
        “อย่างแรกที่กูจะพูดคือหนึ่ง มึงไม่เคยเลี้ยงเด็กและไม่เคยชอบเด็ก จากใจกูนะ ผู้ชายกับเด็ก...นอกจากคนเป็นพ่อแล้วก็ไม่ใช่อะไรที่จะเข้ากันได้ง่ายๆ เลย มึงแน่ใจเหรอว่าจะทำในส่วนที่เป็นทั้งพ่อและแม่ให้เขาได้ แน่ใจเหรอว่าจะร้องเพลงกล่อมนอน ทำอาหาร ซักผ้า รีดผ้า ทำงานบ้านได้อ่ะ มึงที่ตอนนี้ทำเป็นแค่ต้มมาม่าเนี่ยนะ”
   
        “ข...ของแบบนี้มันก็ฝึกกันได้ป่ะวะ”
   
       “เลี้ยงเด็กไม่เหมือนเลี้ยงหมาแมวนะไอ้ตะวัน แล้วไหนจะค่าเทอม ค่ากินค่าอยู่ มึงอย่าลืมว่ามึงยังแบมือขอเงินแม่มึงอยู่เลย”
   
       ปานตะวันกัดริมฝีปาก คำพูดของชนกันต์ทำให้ความพยายามตลอดอาทิตย์ที่ผ่านมาของเขากลายเป็นศูนย์ไปเลย
   
       “กูจะหางานทำ”
   
       “ถามหน่อยงานอะไร”
   
       “ยัง...ยังไม่ได้คิด”
   
       “แล้วเรื่องเรียนจะเอายังไง”
   
      “นั่นใช่ปัญหาเหรอ”
   
        ชายหนุ่มตัวโตมองเพื่อนสนิทด้วยสีหน้าลำบากใจ สงสารก็สงสารแต่ก็ไม่อยากให้มันหาเรื่องมาใส่ตัวเพิ่ม “ตะวันมึงอย่าลืมสิ...มึงถูกรีไทร์ออกจากมหา’ลัย แล้วนะ” พอเขาพูดออกไปปานตะวันก็เงียบเสียง สีหน้าอมทุกข์จนเพื่อนสนิทรู้สึกเสียใจ แต่ก็ต้องพูดต่อ
   
        ชนกันต์ไม่ได้ต้องการตอกย้ำความผิดพลาด แต่เขาต้องการให้ปานตะวันคิดได้ คิด...ถึงอนาคตว่าตัวเองควรทำอะไร วางแผนชีวิตยังไง ไม่ใช่เอาแต่ทำตัวลอยชายไปวันๆ เหมือนที่ผ่านมา
   
       “มึงอาจจะไม่ชอบใจแต่นี่คืออีกหนึ่งเหตุผลที่กูไม่อยากให้มึงหาภาระมาใส่ตัวเพิ่ม  มึงจำได้ไหมว่าตัวเองเหลวแหลกแค่ไหน มึงไม่เข้าเรียน ไม่ส่งงาน ‘เลย’ สักวิชาเดียว มึงออกไปเที่ยว ผลาญเงินที่แม่มึงส่งให้ทุกเดือนไปกับค่าเหล้า ค่าผู้หญิง ตอนนี้สิ่งที่มึงควรทำคือตั้งสติแล้ววางแผนว่าจะเอายังไงกับชีวิตและเอาตรงๆ นะ กูไม่คิดว่ามึงที่เป็นแบบนี้จะเลี้ยงหลานได้หรอก”
   
        สิ้นคำทุกสิ่งก็ตกอยู่ในความเงียบ ปานตะวันหายใจติดขัด หน้าชาเหมือนถูกลากไปตบกลางสี่แยก

(มีต่อค่ะ)

ออฟไลน์ snowrabbit

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 264
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +219/-6
         ความผิดพลาดพวกนั้นเกิดจากตัวเขา เขายอมรับ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะไม่รู้สึกอะไรหากมีคนเอาเรื่องนั้นมาพูดอีกครั้ง โดยเฉพาะเมื่อมันหลุดออกจากปากเพื่อนสนิทของตัวเอง
   
        “มึงคงโกรธกูแล้ว...กูขอโทษนะ แต่กูอยากให้มึงเก็บที่กูพูดไปคิดสักนิดก็ยังดี มึงควรติดต่อญาติทางพ่อของเด็กคนนี้ไม่ก็ไปฝากญาติสักคนของมึงเลี้ยงไว้ก็ได้ มึงตอนนี้ไม่พร้อมจริงๆ”
   
        ชายหนุ่มตัวเล็กรับรู้ได้ว่าเพื่อนสนิทลุกขึ้นยืน แต่เขาไม่ได้เงยหน้า สติที่เหลืออยู่จมจ่อมกับความคิดตัวเองจนกระทั่งได้ยินเสียงทุ้มของชนกันต์เอ่ยขึ้นอีกครั้ง
   
        “กูไปแล้วนะ อย่าลืมบอกแม่เรื่องหลานล่ะ”
   
        เสียงเล็กๆ ตอบกลับมาแค่คำว่าอืมในลำคอเท่านั้น หลังนั่งรอจนได้ยินเสียงรถแล่นไกลออกไปจากบริเวณบ้านปานตะวันก็เทกับข้าวทั้งหมดที่ชนกันต์ซื้อมาทิ้งลงถังขยะ ก่อนจะโยนจานโครมลงในอ่างล้างจาน ตอนนั้นเองที่แก้วใบหนึ่งถูกเขาปัดตกพื้นจนแตก ปานตะวันจึงนั่งลงตั้งใจว่าจะเก็บเศษแก้วไปทิ้งแต่ด้วยความหงุดหงิดทำให้ไม่ทันระวังตัว ปลายนิ้วชี้ของเขาจึงถูกคมของเศษแก้วบาดเอา  หยดเลือดซึมออกจากบาดแผลเรียกให้สติกลับคืนมา
   
        กลับมาพร้อมหยดน้ำตา
   
        ปานตะวันไม่ใช่คนเจ้าน้ำตา แต่บางครั้ง ในวันแบบนี้...เขาก็เหนื่อยมากจริงๆ
   
       “มึงจำได้ไหมว่าตัวเองเหลวแหลกขนาดไหน”
   
        คำพูดของเพื่อนก้องสะท้อนอยู่ในหัว คนตัวเล็กกัดริมฝีปาก จำได้สิ ทำไมจะจำไม่ได้ เขาเป็นเด็กเหลวแหลก กินเหล้า เที่ยวผู้หญิง ไม่เข้าเรียน ไม่ส่งงาน ทิ้งอนาคตและถูกรีไทร์ออกจากมหาวิทยาลัยที่สอบเข้าไปด้วยความยากลำบากและครั้งหนึ่งเคยวาดฝันไว้ว่าอยากจะรับปริญญาที่นั่น
   
       ส่วนสาเหตุของมัน...คือสิ่งที่ปานตะวันไม่อยากนึกถึง
   
       มันเป็นความลับของเขา...ความลับที่ต่อให้ตายก็จะไม่พูด ไม่อยากบอกใคร ไม่อยากถูกมองด้วยสายตาแปลกประหลาด เป็นความลับที่มีแค่เขากับชนกันต์เท่านั้นที่รู้
   
       ชายหนุ่มเจ้าของเรือนผมสีน้ำตาลสว่างเก็บล้างจานและทำความสะอาดพื้นห้องครัวจนเรียบร้อย สายลมอบอุ่นพัดมาแต่คราบน้ำตาที่แก้มยังไม่หายไป เสียงโมบายที่แขวนไว้ตรงชานระเบียงดังเป็นจังหวะกังวานใส แต่ในใจของเจ้าของบ้านตอนนี้กลับจมดิ่งอยู่ในห้วงอดีตอันแสนปวดร้าว
   
       แผลเก่าที่ปิดไปแล้วกลับถูกฉีกกระชากออก เพราะคำพูดไม่กี่คำของเพื่อนพาให้ทุกสิ่งย้อนกลับคืนมา
   
       อดีต...ที่ทำให้รู้สึกว่าตัวเขาช่างสกปรกและไร้คุณค่าเหลือเกิน
   
        เพื่อไม่ให้ตัวเองฟุ้งซ่านหลังล้างจานเสร็จปานตะวันจึงเริ่มทำความสะอาดบ้าน เมื่อสักครู่ราเมศส่งข้อความมาบอกว่าตอนเย็นจะกลับมาทำอาหารให้เขากับหลานกินและจะแวะไปรับเจียหลินกลับบ้านด้วย ปานตะวันส่งสติ๊กเกอร์ขอบคุณไปให้อีกฝ่ายจากนั้นก็กลับไปจดจอกับการกวาดพื้นอีกครั้ง
   
        ชายหนุ่มทำงานบ้านไม่คล่องนักจึงใช้เวลาค่อนข้างนานในการปัดกวาดเช็ดถู หลังจากนั้นคนตัวเล็กก็รื้อเอาข้าวของอื่นๆ ของเจียหลินออกมา เขาตั้งใจว่าจะห้องของพี่จันทร์เอาไว้ก่อนหน้านี้เจียหลินนอนอยู่กับเขาก็จริงแต่ส่วนใหญ่เด็กน้อยมักแอบมาหลับไม่ก็มานั่งอยู่ในห้องนี้ คงอยากอยู่กับแม่จันทร์อีกครั้ง แต่ตอนนี้ปานตะวันตัดสินใจจะปิดห้องพี่จันทร์ เพื่อที่เจียหลินจะได้ใช้เวลาอยู่ในส่วนอื่นๆ ของบ้านให้มากขึ้น ใช้เวลากับเขาให้มากขึ้น
   
       คนตัวเล็กเก็บข้าวของไปจนกระทั่งดวงตากลมไปสะดุดกับบางสิ่งที่ตกอยู่ตรงหัวเตียง มันเป็นตุ๊กตากระต่ายตัวเก่าที่กลายเป็นสีตุ่น ชุดเอี๊ยมสีน้ำเงินของเจ้ากระต่ายซีดลงจนกลายเป็นสีฟ้าอ่อนจาง ตรงแขนกับตรงพุงก็มีรอยขาด นุ่นทะลักออกมาเล็กน้อย ดูยังไงก็ของเก่าแล้วชัดๆ แถมยังเป็นตุ๊กตาอีก ดูยังไงก็ไม่น่าใช่ของที่เด็กผู้ชายชอบเล่น
   
       ตุบ
   
        ปานตะวันโยนตุ๊กตาตัวเก่าลงถุงขยะไป ก่อนจะเก็บพวกตุ๊กตาทหารกับรถของเล่นใส่กล่องพลาสติกใบใหญ่ไว้ เผื่อหนูเจียจะอยากหยิบมาเล่น
   
        ตอนที่เขาย้ายของเสร็จราเมศกับเจียหลินก็กลับมาพอดี ปานตะวันยิ้มพยายามยิ้มแม้ในใจจะอ่อนล้า เจียหลินยกมือไหว้เขา พูดเบาๆ ว่ากลับมาแล้ว
   
       “เป็นไงบ้างหนูเจีย เรียนสนุกไหมครับ”
   
        เด็กน้อยแก้มยุ้ยพยักหน้าหงึกเบาๆ
   
        “แล้วหิวไหมครับ”
   
        เจียหลินก็ยังคงพยักหน้าอีก ปานตะวันบีบแก้มนุ่มสองที “งั้นเอากระเป๋าไปเก็บเนอะ เสร็จแล้วมากินข้าวกัน อ้อ น้าตะวันล็อกห้องแม่จันทร์เอาไว้นะแต่ของอื่นๆ ของน้องเจียอยู่ในห้องน้าแล้ว อยากเล่นหรืออยากได้อะไรก็หยิบได้นะครับ”
   
       ดวงตากลมของเจียหลินวูบไหว สั่นระริก และชัดเจนจนปานตะวันสังเกตได้
   
        “ล็อกห้อง...”
   
       “อื้อ น้องเจียก็ย้ายมานอนห้องน้าตะวันนะ”
   
       เจียหลินกัดริมฝีปากก่อนจะหันหลังเดินเอากระเป๋าไปเก็บ  คนสองคนได้แต่ยืนมองร่างเล็กนั้นจนลับตา จากนั้นคนเป็นน้าก็ได้แต่ถอนหายใจออกมา บนใบหน้าน่ารักฉายแววทุกข์ใจออกมาจนคนข้างกายอดเอ่ยทักไม่ได้
   
       “เป็นอะไร”
   
       “ครับ?”
   
      “เห็นถอนหายใจ”
   
       “ผม...ผมแค่เหนื่อยน่ะ” ปานตะวันงับริมฝีปากก่อนจะพรั่งพรูความในใจส่วนหนึ่งออกไป “เจียไม่เปิดใจให้ผมเลย ผมแทนที่พี่จันทร์ไม่ได้เลยสินะ ผมพยายามแล้ว ทั้งๆ ที่ผมแค่อยากจะเป็นครอบครัวที่ดีให้เขาเท่านั้นเอง”
   
        ทำไมตอนนี้มันมีแต่ความรู้สึกว่าเป็นไปไม่ได้กันนะ
   
       “ของแบบนี้มันต้องใช้เวลา” ฝ่ามืออบอุ่นวางลงบนศีรษะของปานตะวัน ลูบไปมาอย่างแผ่วเบา “ตอนนี้มันอาจจะยากแต่ก็นายก็กำลังพยายาม...เก่งมากๆ เลยนะ”
   
       พอเงยหน้ามองก็พบกับรอยยิ้มอ่อนโยนถูกส่งมาให้ แม้จะแค่เล็กน้อย เป็นรอยยิ้มบางๆ แต่ปานตะวันกลับรู้สึกอบอุ่น หัวใจเต้นรัวขึ้นมาส่งให้เลือดสูบฉีดไปรวมที่พวงแก้มขาว แต้มสีแดงระเรื่อน่าเอ็นดู
   
       “อะ...อะไรเล่า พูดจาแบบนั้น”
   
       “เอ้า คนชมก็ไม่ชอบอีก”
   
       “ม...ไม่ได้บอกว่าไม่ชอบนะ แค่รู้สึกแปลกๆ ปกติคุณเอาแต่ทำหน้ายักษ์ใส่นี่นา”
   
        ราเมศหัวเราะ โยกหัวเด็กตรงหน้าไปมา “ก็นายมันดื้อไง”
   
        “เปล่านะ”
   
        “ดื้อ ไอ้เด็กดื้อ”
   
        ปานตะวันแยกเขี้ยวขู่อีกฝ่าย แต่สุดท้ายผู้ชายหน้ายักษ์ก็เดินผิวปากหายเข้าไปในครัวแล้ว ทิ้งคนที่ถูกตราหน้าว่าเป็นเด็กดื้อให้ยืนแยกเขี้ยวคำรามแง่งๆ อยู่คนเดียว
   
       มื้อเย็นคืนนั้นผ่านไปอย่างเรียบง่าย หลังกินข้าวเสร็จเจียหลินก็รบเร้าให้น้าเมศอยู่ช่วยสอนการบ้านก่อน ปานตะวันที่เกรงใจจึงเอ่ยปากว่าตนสอนให้ก็ได้แต่เจียหลินกลับกอดสมุดการบ้านแน่น วิ่งไปอ้อนราเมศลูกเดียว จนชายหนุ่มต้องปล่อยเลยตามเลย ได้แต่หลบมุมมานั่งอยู่บนโซฟา มองน้าเมศกับน้องเจียคุยเล่นหงุงหงิงกันอยู่สองคน
   
      แอบน้อยใจนิดๆ แฮะ
   
        “ตะวัน” เสียงทุ้มเรียก ทำเอาคนที่กำลังแกล้งทำเป็นดูทีวีทั้งที่ใจลอยไปไหนต่อไหนสะดุ้งเฮือก “ค..ครับ ว่าไง?” ราเมศมองปานตะวันด้วยสายตาขบขัน
   
        “ขวัญอ่อนเหรอ โอ๋ๆ นะ”
   
       “อย่ามาแกล้งผมนะ” ปานตะวันแยกเขี้ยว “แล้วสอนการบ้านหลานเสร็จแล้วเหรอ”
   
        “เสร็จแล้วล่ะ ฉันเลยว่าจะพาหนูเจียไปอาบน้ำนอน นี่ก็ดึกแล้ว”
   
       ดวงตากลมเหลือบมองนาฬิกาบนผนัง จริงด้วย สองทุ่มกว่าแล้ว ดึกไปสำหรับเด็กอย่างเจียหลิน
   
        “อาบด้วยกันไหม?”
   
         คำถามสั้นๆ แต่ไม่รู้ทำถึงได้ทำให้คนปากกล้าอย่างปานตะวันอ้าปากค้าง สมองที่ประมวลคำตอบเกิดการติดขัดไปต่อไม่เป็น  ใบหน้าน่ารักกลายเป็นสีแดงก่ำจนคนมองอดหัวเราะออกมาไม่ได้ ยิ่งพอได้ยินคำตอบที่ไอ้เด็กแสบมันตอบกลับมาราเมศก็หัวเราะออกมาจนได้
   
        “จะบ้าเหรอ ใครจะไปอาบน้ำกับคุณ!”
   
        “โอ๊ย ฮ่าๆๆ แล้วใครว่าฉันชวนนายอาบน้ำด้วยกันเล่า ฉันหมายถึงจะมาช่วยฉันอาบน้ำเจียหลินไหม คิดไปถึงไหนเนี่ยไอ้เด็กลามก”
   
         “บ้าเหรอวะ ใครคิด ไม่มี๊ ป...ไปอาบน้ำหลานเลยนะ ไปเลย ไปสักทีสิ!”
   
         คนที่หน้าแตกยับเยินอายจนแทบแทรกแผ่นดินหนี พอทำอะไรไม่ได้ก็พาลเอากับตัวต้นเหตุมันซะเลย ราเมศหัวเราะตอนที่เจ้าลูกแมวปากกล้าดันหลังเขาไปทางห้องน้ำก่อนวิ่งจี๋ไปซุกตัวบนโซฟา ขู่ฟ่อใส่เหมือนแมวเวลาโกรธไม่มีผิด
   
         “ไม่อาบน้ำด้วยกันเหรอ”
   
          “ไม่อาบ!”
   
          “เหรอ น่าเสียดาย”
   
          “เลิกแกล้งผมสักที เมากาวเหรอครับ ไปอาบน้ำเลยนะ”
   
          ว่าจบคนตัวเล็กก็มุดเข้าไปในกองผ้าห่ม นอนนิ่งอยู่แบบนั้นเพื่อรอให้ใบหน้าหายร้อนและเพื่อให้เจ้าก้อนเนื้อที่เต้นถี่ในอกกลับมาเป็นปกติเสียที
   
        ครึ่งชั่วโมงต่อมาสองน้าหลานก็ออกจากห้องน้ำในสภาพตัวหอมฟุ้ง คนอาบน้ำน่ะมีเจียหลินคนเดียวแต่ราเมศที่เป็นคนอาบให้ก็ถูกเด็กน้อยสาดน้ำจนตัวเปียกโชก สุดท้ายก็ต้องร้องตะโกนให้ปานตะวันเดินไปหยิบเสื้อผ้าจากที่บ้านมาให้หน่อย
   
        “นึกว่าหลับคาห้องน้ำแล้ว”
   
         “โทษทีๆ” ราเมศตอบก่อนจะขยี้ผมปานตะวันเบาๆ ด้วยความหมั่นเขี้ยว
   
        “โอ๊ย เป็นอะไรของคุณเนี่ย อ๊ะ น้องเจียสระผมเหรอครับ มา เดี๋ยวน้าตะวันเช็ดผมให้” ท้ายประโยคหันไปพูดกับเด็กตัวเล็ก เจียหลินทำท่าลังเลเล็กน้อยแต่พอราเมศพยักหน้าให้ก็ยอมเดินไปหาปานตะวันแต่โดยดี ชายหนุ่มอุ้มหลานนั่งบนโซฟาก่อนจะหยิบผ้าขนหนูมาเช็ดผมให้อย่างแผ่วเบา เด็กน้อยที่เริ่มผ่อนคลายก็เอนหลังพิงอกปานตะวันจนได้
   
         “สบายล่ะสิ” คนเป็นน้าอมยิ้ม เจียหลินหันมามองปานตะวันแวบหนึ่ง ก่อนพยักหน้าหงึก “เจียชอบ ขอบคุณครับ” แค่คำสั้นๆ ที่หลุดออกจากปากก็ทำให้ปานตะวันยิ้มกว้างออกมาจนได้ และเพราะมัวแต่จดจ่ออยู่กับเจียหลินนั่นเองทำให้ปานตะวันไม่ได้หันไปมองใครอีกคนที่กำลังยืนยิ้มและมองพวกเขาด้วยสายตาอ่อนโยนอยู่ไม่ไกล
   
         อาบน้ำแต่งตัวเสร็จก็ได้เวลาเข้านอนของเจีย ราเมศกับปานตะวันพาหนูน้อยนอนลงเตียงฝั่งที่ชิดผนัง ส่วนปานตะวันเป็นคนนอนด้านนอก แต่ตอนที่กำลังจะล้มตัวลงนอนนั่นเองเจียหลินก็มองซ้ายมองขวาก่อนหันมาพูดกับปานตะวัน
   
         “น้าตะวัน คุณกระต่ายของเจียล่ะ”
   
         “ครับ?”
   
         คนถูกถามทำหน้าเหลอหลา กระต่ายอะไรวะ
   
        “กระต่ายของเจีย ใส่เอี๊ยมสีฟ้า น้าตะวันเอาไว้ไหน เจียอยากกอดคุณกระต่าย”
   
        ปานตะวันขมวดคิ้วก็จะเหงื่อตก กระต่ายตัวนั้น...ตัวที่เขาโยนลงถุงขยะไปแล้วแน่เลย!
   
         “เอ่อ...น้าตะวันก็ไม่แน่ใจ เจียนอนโดยไม่มีคุณกระต่ายได้ไหมครับ เดี๋ยวน้าตะวันไปหาให้” แต่สิ่งที่หนักใจคือเจียหลินไม่ยอมนอนลงง่ายๆ เด็กน้อยลุกออกจากเตียงก่อนวิ่งไปที่ห้องของจันทร์จ้าวทันที “คุณกระต่ายตกอยู่ในห้องแน่เลย เดี๋ยวเจียไปหยิบเอง”
   
        “ไม่ได้ๆ คืนนี้น้องเจียต้องนอนแล้ว เดี๋ยวน้าตะวันหาเอง”
   
         “แต่เจียนอนไม่หลับ เจียอยากกอดคุณกระต่าย”
   
          “น้องเจียอย่าดื้อนะ น้าตะวันบอกให้ไปนอนก็นอนสิ”
   
          “แต่เจียอยากกอดคุณกระต่ายนี่นา”
   
          เจียหลินเบะปาก แผดเสียงร้องไห้ออกมา ปานตะวันจึงรีบก้มลงปลอบ แต่ไม่ว่าจะปลอบยังไงก็ไม่ได้ผล เจียหลินผลักเขาออกก่อนจะตะโกนขึ้นมาว่า
   
         “ถ้าเป็นแม่จันทร์จะต้องหาให้เจียแน่ๆ น้าตะวันใจร้าย ใจร้าย เจียไม่อยากอยู่กับน้าตะวัน เจียอยากอยู่กับแม่จันทร์ ฮึก...แม่จันทร์...แม่จันทร์ แงงง”
   
        อีกแล้ว...เขาผิดอีกแล้ว
   
        ทุกๆ อย่างที่ทำไป เอาชนะใจเด็กคนนี้ไม่ได้เลยใช่ไหม เจียหลินไม่ยอมรับเขาเลยใช่ไหม
   
        “ไม่มีหรอกตุ๊กตาน่ะ โตแล้วนะ เป็นเด็กผู้ชายด้วย ใครเขาเล่นตุ๊กตากัน น้าตะวันทิ้งไปแล้ว พอแล้วนะ กลับไปนอนเดี๋ยวนี้!”
   
        ปานตะวันเผลอขึ้นเสียงกับเจียหลิน แต่ทันทีที่ประโยคร้ายกาจนั่นหลุดออกไปเด็กน้อยก็หยุดโวยวาย หากแต่น้ำตายังไม่หยุดไหล ดวงตากลมของเจียหลินเบิกกว้างน้ำตาร่วงผล็อยไม่ขาดสายจนคนขึ้นเสียงรู้สึกผิด
   
       แต่พอจะเข้าไปปลอบ เด็กน้อยก็ถอยหนี
   
        “น้าตะวัน...ทิ้งทำไม” เจียหลินกระซิบเสียงสั่น ราเมศที่วิ่งตามมาเพราะได้ยินเสียงโวยวายรีบรวบตัวเจียหลินเข้าไปกอด เด็กน้อยสะอื้นแรงขึ้นเรื่อยๆ “น้าตะวันทิ้งคุณกระต่ายของน้องเจียทำไม! นั่นแม่จันทร์ให้มานะ แม่จันทร์ให้เจียมา ฮึก...ฮือ...เจีย...เจียโกรธน้าตะวันแล้ว ม...ไม่ต้องมาใกล้เจียนะ!”
   
         ลมหายใจของชายหนุ่มผมน้ำตาลสะดุดไป ของนั่นเป็นของจากพี่จันทร์งั้นเหรอ งั้นก็เท่ากับเป็นของดูต่างหน้า
   
          แล้วเขา...เขาทำอะไรลงไป
   
         “เจีย น้าตะวันขอโทษนะครับ เดี๋ยวน้าจะ...จะไปหาตัวใหม่มาให้”
   
         “เจียไม่เอา! เพราะ...ฮึก...เพราะตัวใหม่ไม่ใช่คุณกระต่ายของแม่จันทร์ เจียไม่เอา”
   
         ปานตะวันหันไปมองราเมศอย่างจนปัญญา สุดท้ายชายหนุ่มร่างสูงก็ทำปากเป็นคำว่าให้เขาออกไปก่อน จากนั้นก็อุ้มเจียหลินหายไป เหลือเพียงปานตะวันที่ยืนเคว้งอยู่ที่เดิม
   
         ปึง
   
        ราเมศงับประตูปิดก่อนวางเจ้าตัวน้อยที่สะอื้นฮักลงในบนเตียง เขาพาเจียหลินออกห่างจากปานตะวันโดยพากลับมาที่ห้องนอนแล้วขอให้ปานตะวันอยู่ข้างนอกไปก่อน อย่างน้อยก็จนกว่าจะคุยกับเจียเสร็จ
   
         “หยุดร้องไห้เถอะ” ผ้าเช็ดหน้าซับน้ำตาออกให้อย่างอ่อนโยน “ยกโทษให้น้าตะวันเถอะนะครับ หนูเจีย”
   
         “หนูเจียโกรธ ฮึก ทิ้งกระต่ายของแม่จันทร์ได้ยังไงกัน”
   
         “ก็น้าตะวันเขาไม่รู้นี่นา” ราเมศพูด ลูบศีรษะหลานชายก่อนจะโอบให้เขยิบมาใกล้ๆ “หนูเจียก็ไม่เห็นบอกน้าตะวันเลย” พอพูดแบบนี้เด็กตัวกลมก็ก้มหน้างุด ราเมศจึงเอ่ยต่อ
   
         “หนูเจียไม่เคยบอกน้าตะวันว่าชอบทานอะไร โรงเรียนเป็นยังไง อะไรที่ชอบ อะไรที่ไม่ชอบ ใช่ไหมครับ”
   
        “ใช่...ครับ”
   
         “ถ้าหนูเจียไม่บอก น้าตะวันจะรู้ได้ยังไง” ราเมศลูบศีรษะเด็กน้อย “เกลียดน้าตะวันเหรอครับ” คราวนี้เจียหลินส่ายหน้าอย่างแรง
   
        “เปล่านะครับ”
   
        เจียหลินไม่เคยเกลียดปานตะวัน กลับกัน ตลอดหนึ่งสัปดาห์ที่ผ่านมา เด็กน้อยกำลังชอบปานตะวันขึ้นมาทีละนิด
   
        “ถ้าอย่างนั้นหนูเจียขอโทษน้าตะวันได้ไหมครับแล้วก็หลังจากนี้มีอะไรก็ค่อยๆ พูด ค่อยๆ จากัน หนูเจียต้องบอกน้าตะวันนะว่าตัวเองอยากได้อะไรหรือน้าตะวันควรทำตัวยังไง นะครับ” ดวงตาสีนิลมองหลานชายตัวน้อยที่จับชายเสื้อตัวเอง  เจียหลินมีท่าทางลังเลครู่หนึ่งจากนั้นก็พยักหน้าตอบรับข้อตกลง
   
        “เก่งมากครับ เด็กดี” ราเมศชม “ งั้นไปขอโทษน้าตะวันกันนะครับ” ว่าพลางเปิดประตูออกไป แต่เมื่อสองน้าหลานเดินกลับเข้าไปในห้องนั่งเล่น ปรากฏว่าปานตะวันไม่ได้อยู่ที่นั่นแล้ว
   
         เสียงรองเท้ากระทบพื้นดังเป็นจังหวะถี่เร็ว บ่งบอกให้รู้ว่าเจ้าของเสียงกำลังวิ่งอย่างสุดกำลัง เงาร่างเล็กๆ เคลื่อนไหวไปหยุดลงตรงบริเวณถังขยะใต้เสาไฟ แสงไฟสลัวริมถนนเผยให้เห็นร่างชายหนุ่มที่มีเรือนผมสีน้ำตาล ร่างนั้นชะงักอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเปิดฝาถังขยะออกแล้วหยิบถุงดำที่อยู่ข้างในออกมา

(มีต่อค่ะ)

ออฟไลน์ snowrabbit

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 264
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +219/-6
         ปานตะวันย่นจมูกลงเล็กน้อยกับกลิ่นไม่พึงประสงค์แต่กระนั้นเขาก็ไม่หยุด มือบางเปิดถุงดำถุงแล้วถุงเล่า เพื่อหาตุ๊กตากระต่ายที่ทิ้งลงไป นอกจากในถังแล้วที่พื้นข้างๆ ก็ยังมีถุงดำวางสุมทับกันอยู่อีกหลายถุง ปานตะวันกัดริมฝีปาก พยายามเพ่งมองหาตุ๊กตา เหงื่อไหลลงมาตามข้างขมับ
   
        ทำไมต้องทำถึงขนาดนี้นะ...ทำไมเขาถึงยอมให้ตัวเองยุ่งยากขนาดนี้
   
        ถ้าเป็นเมื่อก่อน แค่เด็กหนึ่งคน โทรหาญาติก็สิ้นเรื่อง กับอีแค่ตุ๊กตาหนึ่งตัว ซื้อให้ใหม่ไปก็จบ
   
        แต่ในตอนนี้ เขาทำแบบนั้นไม่ได้ ของที่เขาโยนทิ้งไปคือของดูต่างหน้าของพี่จันทร์ เป็นของสำคัญที่ไม่มีอะไรแทนได้ ปานตะวันรู้สึกเจ็บไปทั้งใจเมื่อนึกย้อนไปถึงสีหน้าและน้ำเสียงของเจียหลินที่บอกว่าโกรธเขาแค่ไหน บ่งบอกให้รู้ว่าเขามันเป็นน้าที่ไม่ได้เรื่องแค่ไหน
   
         บางทีอาจจะถูกของไอ้กันต์ก็ได้...เขาไม่มีทางเลี้ยงเด็กคนนี้ได้เลยและบางทีเจียหลินอาจไม่ได้ต้องการเขา
   
         แต่ถึงอย่างนั้นปานตะวันก็ยังอยากขอโทษ
   
        ปานตะวันกัดริมฝีปาก ปลายจมูกแสบร้อนขึ้นมา ราเมศบอกว่าเขาเก่งที่พยายามมาได้ขนาดนี้แต่มันไม่จริงเลย ปานตะวันก็ยังเป็นปานตะวันที่ไม่ได้เรื่องอยู่เหมือนเดิม ถ้าเขาเก่งจริง เจียหลินคงเปิดใจให้เขาไปแล้ว
   
        “อ๊ะ อยู่นี่เอง” ปานตะวันพึมพำเมื่อค้นเจอตุ๊กตากระต่ายตัวนั้นจนได้ มันดูมอมแมมจนน่าสงสาร จะว่าไปก็เหมือนเขาตอนนี้เลย สกปรกแถมยังมีกลิ่นเหมือนขยะด้วย
   
        ปานตะวันเอานิ้วจิ้มนุ่นที่ทะลักออกมากลับเข้าไป จากนั้นก็เดินลากขากลับบ้าน ตอนที่เขาเข้าบ้านชายหนุ่มก็พบว่าเจียหลินกับราเมศไม่อยู่ พอเดินไปชะโงกดูบ้านฝั่งตรงข้ามก็พบว่าไฟเปิด ราเมศคงพาหลานไปที่บ้านของตัวเอง  ดีเหมือนกัน ให้เจียอยู่กับคนที่ตัวเองสบายใจไปจะดีกว่า
   
         “จะว่าไป...โกรธเราไปด้วยอีกคนหรือเปล่านะ” ผู้ชายหน้ายักษ์ที่เพิ่งชมเขาว่าเก่งไปเมื่อตอนกลางวัน ถ้ารู้ว่าเขาทำอะไรลงไป จะโกรธไหมนะ จะผิดหวังหรือเปล่า 
   
         ถ้ารู้ว่าจริงๆ แล้วปานตะวันก็ยังไม่เอาไหน จะรู้สึกเบื่อหรือเปล่านะ จะถอนคำพูดที่ว่าเขาเก่งหรือเปล่า
   
        ไม่อยากให้เป็นอย่างนั้นเลย
   
        ไม่รู้ทำไมแค่คิดถึงสายตาผิดหวังของราเมศ ปานตะวันก็รู้สึกหายใจไม่ทั่วท้องแล้ว
   
        ชายหนุ่มรีบอาบน้ำ ตอนแรกคิดว่าจะไปรับเจียหลินแต่ก็ต้องเปลี่ยนใจเพราะรู้ว่าตอนนี้เด็กคนนั้นคงยังไม่อยากเจอหน้าเขา บางทีเขาควรไปขอโทษเด็กน้อยพร้อมกับคืนตุ๊กตาให้...ถ้าทำแบบนั้นเจียหลินอาจจะหายโกรธก็ได้
   
       ปานตะวันกลับเข้ามาในห้องนอนของตัวเอง วางกล่องอุปกรณ์ตัดเย็บลงบนเตียง ชายหนุ่มเห็นว่าเจ้าตุ๊กตาตัวนี้มีแต่รอยขาด เขาจะเย็บซ่อมมัน เอาไปซักแล้วก็คืนให้น้องเจีย เขาไม่ถนัดงานเย็บผ้าอะไรแบบนี้หรอก แต่...ลองดูก็ไม่เสียหายนี่นา ตอนนี้เพื่อหลานชายคนเดียว ปานตะวันยอมทุกอย่างนั่นแหละ
   
        “โอ๊ย เชี่ย!”
   
        แต่หลังจากพยายามเย็บซ่อมมาเกือบยี่สิบนาทีร่างเล็กก็พบว่ามันไม่ง่ายเลยจริงๆ ปานตะวันสะบัดมือ จ้องรอยแดงจากการถูกเข็มทิ่มเขม็ง
   
        “รอบที่สิบแล้วมั้งเนี่ยให้ตายเหอะ” คนตัวเล็กบ่นอุบพลางพลิกตัวตุ๊กตาที่รอยขาดเกือบทั้งหมดถูกปิดไว้ด้วยด้ายขาว ฝีเข็มแม้จะบูดๆ เบี้ยวๆ น่าเกลียดแต่ก็ทำให้นุ่นไม่ทะลักออกมาได้ ปานตะวันถือว่าตัวเองผ่านล่ะนะ
   
        “เอ้า เอาใหม่” ว่าพลางค่อยๆ แทงเข็มลงไปในเนื้อผ้าอีกครั้ง บนตักและเสื้อนอนของปานตะวันมีแต่เศษด้ายเต็มไปหมดแถมนี่ก็เข็มเล่มที่สองแล้ว เพราะเล่มแรกปานตะวันเย็บตรงที่เนื้อผ้ามันหนาแล้วเขาออกแรงดันจนเข็มงอ ใช้งานไม่ได้
   
       ตอนแรกปานตะวันเสียเวลาสนเข็มไปเกือบสิบห้านาที มีช่วงหลังๆ ที่สนได้ไวขึ้น แต่การเย็บผ้าก็ไม่ได้ง่าย วิชาการงานอาชีพที่เคยให้เย็บกระดุมหรือเย็บรอยขาดก็ลืมไปหมดแล้ว อันที่จริงควรเรียกว่าไม่ได้ทำเองถึงจะถูก เพราะปานตะวันจ้างเพื่อนผู้หญิงในห้องทำ
   
        คิดๆ แล้ว...เหมือนกรรมตามสนองเลยแฮะ แถมงานของเขาตอนนี้ถ้าอาจารย์สมัยมัธยมมาเห็นคงริบเกรดสี่วิชาการงานอาชีพคืนแหง
   
        “เฮ้อ” ร่างเล็กถอนหายใจเป็นรอบที่เท่าไหร่ไม่รู้ ริมฝีปากบางเม้มหากันแน่นตอนที่พยายามเย็บรอยขาดให้ปิดสนิท หลังโดนเข็มทิ่มไปอีกสี่ห้าทีภารกิจวันนี้ก็ลุล่วง ปานตะวันแทบโห่ร้องตอนที่ขมวดปมด้ายแล้วใช้กรรไกรตัดเป็นขั้นตอสุดท้าย เจ้ากระต่ายมีรอยปุปะไปทั่วตัวแต่ก็พร้อมจะลงเครื่องซักและกลับสู้อ้อมแขนเจียหลินแล้ว
   
        ปานตะวันยิ้มออกมาพลางก้มมองมือที่มีแต่รอยแดงของตัวเอง
   
        เจ็บไหม...เจ็บ แต่มันก็เล็กน้อยเท่านั้น เขาทนได้
   
       เพราะนี่คือสิ่งเล็กๆ เพียงสิ่งเดียวที่ปานตะวันสามารถทำให้เจียหลินได้
   
       ครืด ครืด ครืด
   
        ในตอนนั้นเองที่โทรศัพท์ของเขาสั่น พอเอื้อมไปหยิบมาดูเบอร์คนโทรเข้าก็ต้องขมวดคิ้ว ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายมีธุระอะไรตอนดึกดื่นแบบนี้
   
        “สวัสดีครับน้าสายหยุด” คนตัวเล็กขมวดคิ้วเมื่อได้ยินปลายสายตอบกลับมา “มีเรื่องจะคุยเหรอครับ...หืมเกี่ยวกับเจียหลิน??”
   
        [ใช่จ้ะ คือน้ากับสามีมาคิดๆ ดูแล้ว พวกเราจะรับเจียหลินมาเป็นลูกบุญธรรมจ้ะ]
   
        ปลายสายตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล
   
        “คุณน้า...สะดวกเหรอครับ”
   
        [สะดวกสิจ๊ะ คือ น้ามาคิดดูแล้ว การทิ้งเด็กคนนั้นไว้กับตะวันดูจะเป็นการไร้ความรับผิดชอบเกินไปหน่อย เธอเองก็ยังเด็ก ยังต้องไปเรียน ดูแลหลานเล็กๆ ขนาดนั้นไม่ได้หรอกจริงไหม อีกอย่างตะวันไม่เคยเลี้ยงเด็กมาก่อนคงลำบากน่าดู น้ารับเจียหลินมาเลี้ยงแบบนี้คงดีกว่าเธอมากกว่า จริงไหมจ๊ะ]
   
        ยิ่งฟังสิ่งที่น้าสายหยุดพูดมากขึ้นเท่าไหร่ สีหน้าของปานตะวันก็ยิ่งแย่มากขึ้นเท่านั้น ชายหนุ่มกำโทรศัพท์แน่น พึมพำตอบกลับไป
   
        “ผมยังไม่แน่ใจเลยครับ ผมคงต้อง...จัดการหลายๆ อย่างก่อน ถ้ายังไงผมจะติดต่อไปอีกทีนะครับ”
   
         [จ้ะ น้าว่าเดี๋ยวเร็วๆ นี้จะไปหาที่บ้านเรือนไทยด้วยนะจ๊ะ]
   
        “ครับ แล้วเจอกันครับ”
   
        ตุบ
   
        ปานตะวันกดตัดสายก่อนโยนโทรศัพท์ลงไปบนเตียง แล้วทันใดนั้นเองเขาก็รับรู้ถึงการปรากฏตัวของใครบางคน เมื่อเงยหน้าขึ้นก็ได้แต่ฝืนยิ้มออกมา
   
       “มาตั้งแต่เมื่อไหร่ครับ คุณเมศ”
   
       “ก็...ตั้งนานแล้ว นายมัวแต่คุยโทรศัพท์เลยไม่ได้ยิน”
   
       ดวงตากลมสีน้ำตาลจ้องร่างสูงใหญ่เขม็ง “ได้ยินหมดเลยสินะ” ราเมศนิ่งไปพักหนึ่งก่อนพยักหน้า “ก็เกือบทั้งหมด”
   
       ได้ยินดังนั้นปานตะวันจึงทิ้งตัวลงนอนบนเตียง หัวเราะออกมาทั้งที่ไม่ได้มีอะไรน่าตลกเลยสักนิด ร่างเล็กยกแขนปิดตาตัวเอง จะได้ไม่ต้องเห็นสีหน้าผิดหวังของเพื่อนบ้านตัวโต
   
        “ผมนี่มันแย่เนอะ เป็นน้องที่แย่ เป็นน้าที่แย่ เป็นลูกที่แย่ด้วย ดูสิ ขนาดเย็บผ้ายังแย่เลย”
   
        ไม่มีเสียงตอบกลับแต่เตียงข้างๆ เขายวบลง ลดแขนลงแล้วหันไปดูก็พบว่าอีกฝ่ายทิ้งตัวลงนอนเคียงข้างกัน ปานตะวันมองลึกไปในดวงตาคู่สวยที่จ้องเขาอยู่ก่อนหน้านี้แล้ว นัยน์ตาของราเมศเป็นสีนิล ดูลึกล้ำและน่าค้นหา และบางคราก็รู้สึกเหมือนถูกอ่านทะลุปรุโปร่ง ในมือของราเมศมีตุ๊กตากระต่ายอยู่ในมือ ชายหนุ่มตัวโตพลิกมันไปมาก่อนจะเปรยขึ้น
   
        “นายเย็บผ้าแย่จริงๆ ด้วย”
   
        “ก็ครั้งแรกนี่นา”
   
        “แต่ก็ยังตั้งใจเย็บ”
   
         “อืม อยากขอโทษน้องเจีย ขอโทษคุณด้วย...ที่ทำให้ผิดหวัง”
   
         ปานตะวันพลิกตัวนอนตะแคง หันไปมองราเมศ อีกฝ่ายเพียงแค่ยิ้มนิดๆ ย้อนกลับมาเสียงเรียบ “ทำอะไรให้ผิดหวังเหรอ”
   
        “ผมไม่ใช่น้าที่ดี เป็นเด็กไม่ได้เรื่องอย่างที่คุณว่าจริงๆ นั่นแหละ”
   
        ราเมศถอนหายใจออกมา ก่อนจะลุกขึ้นนั่ง ฉุดให้ปานตะวันลุกตาม “แบมือ” สั่งเสียงเรียบก่อนหยิบเอาบางอย่างออกจากกระเป๋ากางเกง พลาสเตอร์ยานั่นเอง...ไม่ใช่พลาสเตอร์ยาธรรมดาแต่ดันเป็นรูปการ์ตูนแมวจิ๋วหน้าตาน่าฟัด   
 
       “เลือกพลาสเตอร์ได้ขัดกับหน้าตาชะมัด”
   
       “ตอนจ่ายเงินพนักงานก็มองเหมือนกัน”
   
        ปานตะวันหัวเราะ เงียบเสียงลงเมื่อมือใหญ่อบอุ่นค่อยๆ แปะพลาสเตอร์ลงบนรอยแดงตามฝ่ามือเขาอย่างแผ่วเบา  หัวใจไม่รักดีเต้นถี่ขึ้นมาอีกเมื่อเสียงทุ้มเอ่ยประโยคถัดมา “แต่คิดว่าคงเข้ากับหน้านาย”
   
        บ้าเอ๊ย เป็นอะไรไปเนี่ย เขาเป็นอะไรไป
   
        นี่ผู้ชายนะ...ผู้ชายตัวโต หน้ายักษ์ ปากร้าย ที่สำคัญใจเต้นกับผู้ชายไม่ตลกโว้ย!
   
        ปานตะวันสูดลมหายใจลึกๆ ระงับอาการฟุ้งซ่านที่เกิดขึ้น เขาไม่ได้พูดอะไร ทำเพียงแค่มองราเมศแปะพลาสเตอร์ให้จนเสร็จ จากนั้นก็กล่าวขอบคุณ
   
        แต่หลังจากนั้นฝ่ามือคู่นั้นก็ไม่ได้ละไปไหน ยังคงจับมือปานตะวันไว้เช่นเดิม
   
        “นี่ ปล่อยได้แล้วมั้ง”
   
        “เหนื่อยเหรอ”
   
        คำถามสั้นๆ ที่ออกจากปากราเมศทำให้ปานตะวันหยุดดึงมือออกจากมือของอีกฝ่าย ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้น สบตาคนอายุมากกว่า “เปล่าสักหน่อย”
   
        “นายเหนื่อย ฉันรู้”
   
        “รู้ดี”
   
         ถ้าเป็นตามปกติคงถูกด่าแล้วฐานพูดจาไม่เคารพผู้ใหญ่ แต่หนนี้ราเมศแค่ออกแรงเล็กน้อย ดึงเอาร่างของปานตะวันให้โน้มตัวไปพิงได้อย่างง่ายดาย หน้าผากมนแตะอยู่ที่บ่าแข็งแรง พออยู่ลักษณะนี้...ก็รู้สึกเหมือนที่สิ่งที่แบกเอาไว้จะเบาบางลงไปหน่อยหนึ่ง
   
       “เหนื่อยก็พักเถอะ วันนี้แย่ก็พัก ฉันอยู่ตรงนี้แหละ”
   
      “คุณไม่เหนื่อยเหรอ”
   
       “ไม่เหนื่อยหรอก นายน่ะ ถ้าเหนื่อยก็เลิกทำเป็นเข้มแข็งแล้วพักบ้างเถอะ”
   
       “ทีอย่างนี้ทำเป็นพูดจาดี ตอนแรกนะโวยวายใส่เขาจะเป็นจะตาย ดุอีก”
   
        “ก็น่าดุไหมล่ะ ลูกแมวปากดี”
   
        ปานตะวันหัวเราะ ขยับตัวให้นั่งสบายขึ้น ราเมศมองเจ้าแมวน้อยที่ยุกยิกไปมาก็ผ่อนลมหายใจออก วันนี้จะยอมให้วันหนึ่งก็แล้วกัน
   
       คิดได้ดังนั้นชายหนุ่มก็ลูบศีรษะที่ปกคลุมด้วยเส้นผมสีน้ำตาลนุ่มมือ มืออีกข้างก็ยังคงจับมือเล็กๆ ที่เต็มไปด้วยรอยแดงเอาไว้  ใช้ปลายนิ้วโป้งลูบไล้แผ่วเบาราวกับจะปลอบโยน
   
       ปานตะวันกับเจียหลินสมแล้วที่เป็นน้าหลานกัน ปากแข็งไม่ค่อยพูดแล้วก็ยังขี้แยเหมือนกันอีก ชอบตั้งกำแพงใส่คนแปลกหน้า แต่ถ้าหากทลายกำแพงนั้นลงได้ล่ะก็ อีกฝ่ายก็จะกลายเป็นแมวเชื่องๆ ทันที
   
       แต่เหมือนแมวตัวใหญ่จะรั้นแล้วก็น่าปวดหัวกว่าแมวตัวเล็กเยอะเลย
   
        “ผมไม่เหมาะกับการเลี้ยงเด็กจริงๆ ด้วยสินะ” คนที่ซุกหน้าอยู่กับบ่าเขาพูดอู้อี้ “ให้หนูเจียไปอยู่กับคนอื่นคงดีกว่า”
   
        “รู้ได้ยังไง”
   
        “คิดเอา”
   
        “แมวขี้มโน”
   
       “ผมไม่ใช่แมวนะ แล้วว่าใครขี้มโนวะ!”
   
         ราเมศกลอกตา หยิกแก้วขาวจนอีกคนร้องโอ๊ย “อย่ามาขึ้นวะขึ้นโว้ยกับพี่นะ”  เขาดุเสียงเข้ม อีกคนก็คงตกใจเลยยอมพยักหน้าแบบมึนๆ แต่ก็นึกขึ้นได้ว่า “คุณเรียกใครว่าพี่นะ”
   
        “ฉันไง อายุมากกว่านาย เป็นพี่ถูกแล้ว”
   
       “ลุงสิไม่ว่า”
   
        “ตะวัน” ราเมศเรียกชื่อชายหนุ่มเสียงเนิบ “ปานตะวัน” เขาชอบชื่อนี้ ฟังแล้วอบอุ่น เหมือนดวงอาทิตย์ เขานึกชมคนตั้งชื่อให้ชายตรงหน้าอยู่ในใจ
   
        “อะ...อะไร”
   
        “เรียกพี่เมศสิ”
   
       “ไม่เอา”
   
        ปานตะวันส่ายหน้า พยายามหลบสายตาที่ทอดมองมา สายตาแบบที่ทำให้เขาฟุ้งซ่านจนหน้าแดงอีกรอบ แต่ราเมศก็ยังไม่หยุด อีกฝ่ายจับเขาให้หันไปมองหน้ากันตรงๆ น้ำเสียงที่เรียกชื่อเขาฟังดูอ่อนโยนจนใจสั่น
   
         “ปานตะวัน...เรียกพี่เมศสิครับ”
   
        “ม...” จะตอบว่าไม่ แต่ริมฝีปากก็สั่นจนพูดได้ไม่เป็นคำ สุดท้ายแล้วเจ้าลูกแมวแสนพยศก็ซุกหน้าเข้ากับบ่าร่างสูงอีกครั้งเพื่อซ่อนใบหน้าเขินอายของตัวเอง
   
       “ย...ยอม...ยอมเรียกก็ได้...พี่เมศ
   
       ยอมแพ้ แพ้แล้ว แพ้แบบหมดรูปเลยจริงๆ แต่...ฮึ่ย ปานตะวันยอมให้หนนี้หนเดียวหรอกนะ!
   
       “เด็กดี” ราเมศพูดยิ้มๆ “ฟังพี่นะ นายน่ะไม่ได้เลี้ยงเด็กไม่ได้หรอก ก็แค่ไม่ชินเท่านั้นเอง ของแบบนี้ต้องใช้เวลาเรียนรู้ อีกอย่างเรื่องที่เจียไปอยู่กับคนอื่นแล้วจะมีความสุขน่ะ อย่าไปคิดแทนหลานเลย นายควรไปถามเขาด้วยตัวเองนะว่าอยากไปหรืออยากอยู่กับนาย”
   
       “เจียโกรธผมอยู่นะ หลานไม่ให้ผมเข้าใกล้ด้วย”
   
       “เชื่อพี่เถอะ มีใครบางคนก็อยากขอโทษนายเหมือนกัน”
   
        ปานตะวันดันตัวเองออกจากอีกฝ่าย นัยน์ตาคู่สวยฉายแววงุนงง ราเมศยิ้ม ดึงมือคนตัวเล็กให้ลุกออกจากเตียง ไม่ลืมยัดตุ๊กตาใส่มือบางด้วย
   
       “พี่จะพาไปรับหลานกลับบ้าน”
   
       “คืนนี้ให้เขานอนกับพี่ก็ได้ ไม่เป็นไรหรอก เจียคงสบายใจกว่า”
   
       “อย่ามโน”
   
        แมวเด็กทำท่าจะขู่ฟ่ออีกหน ราเมศจึงรีบยกมือยอมแพ้ เขาจูงมือปานตะวันออกไป อีกฝ่ายก็เดินตามมาแม้จะมีสีหน้าลังเล พอถึงหน้าบ้านเขาอีกฝ่ายก็กระตุกมือเป็นเชิงให้หยุด
   
      “ผมว่า ไว้พรุ่งนี้ดีกว่า”
   
      “วันนี้แหละ”
   
       ราเมศไม่รอฟัง เขากระตุกมือ ดึงอีกฝ่ายให้เดินเขาเขตบ้านตนทันที ปานตะวันแอบอยู่ด้านหลังเขา เหมือนเจียหลินเวลาเจอคนแปลกหน้าไม่มีผิด เจ้าลูกแมวพวกนี้นี่...
   
       “ถ้าเจียไม่กลับกับผมล่ะ”
   
      “นายก็นอนกับเจียที่นี่ไง”
   
      “บ้า!”
   
       คนตัวเล็กตะโกนใส่ ใบหน้าน่ารักฉายแววหงุดหงิด ราเมศขยี้ผมปานตะวันอย่างหมั่นเขี้ยว นึกอยากหนีบปากเป็ดนั่นให้ยืดจริงๆ เขารังแกอีกฝ่ายจนพอใจจากนั้นก็โน้มตัวลงไปกระซิบข้างหู ให้กำลังใจเป็นรอบสุดท้ายก่อนที่คุณน้ามือมือใหม่จะเข้าไปทำการง้อหลาน
   
       “เชื่อพี่เถอะ ไม่มีที่ไหนที่เจียหลินจะอยากอยู่มากไปกว่าบ้านของพวกนายหรอก”

**********************************************************

อันความเนียนของพี่เมศนั้น....5555555 คนนี้เนียนหน้านิ่งดัวยนะคะ คนก่อนๆ เขาเนียนหน้ายิ้มกันหมด ฮ่าๆ
ไม่ได้อัพซะนานเลย ขอโทษนะคะ ช่วงอาทิตย์ก่อนติดเขียนตอนพิเศษ พออาทิตย์นี้มีช่วงติดสอบ แง
จริงๆ ตอนนี้เขียนตั้งแต่อาทิตย์ที่แล้วลากยาวมาถึงปัจจุบัน ยาวมากค่ะประมาณ 22 หน้าA4 ได้ เขียนไปหลับไป
 :katai5:
การเขียนปานตะวันก็ยังเป็นอะไรที่ให้ความรู้สึกท้าทายมากๆ อยู่ โดยเฉพาะเจียหลินกับปานตะวัน
เป็นสองน้าหลานที่น่าปวดหัวจริงๆ หวังว่าคนเลี้ยงแมวอย่างพี่เมศจะเอาอยู่นะคะ ฮ่าๆ
เรื่องนี้มีแมวเล็ก แมวใหญ่กับคนเลี้ยงแมว หวังว่าครอบครัวนี้จะสงบสุข 5555

ปล. ถ้าเราอัพไม่ได้ทุกอาทิตย์เหมือนเมื่อก่อนก็ต้องขอโทษด้วยนะคะ แต่จะพยายามไม่ทิ้งช่วงนานเกินไป
มีแววว่าหนังสือจะเข้ามาทับถมอีกแล้วค่ะ (ร้องห่มร้องไห้)
ปล. 2 ติดตามข่าวสารการอัพและนิยายเรื่องอื่นๆ รวมถึงพูดคุยกับเราได้ทางเพจ AzureDream นะคะ <3

ออฟไลน์ titansyui

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2386
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-0

ออฟไลน์ Mura_saki

  • แค่เรารู้จักกัน...มันก็ดีที่สุดแล้ว :)
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2067
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +179/-9
ชอบมากเลยค่ะ

ปานตะวันจะต้องเลี้ยงเจียหลินได้ดีไม่แพ้พี่จันทร์แน่นอน

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด